นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/12/2010, 20:43
-
เกริ่นนำ
ลัทธิที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในประเทศจีน ก็คือลัทธิของท่านขงจื่อ กับ ท่านเหลาจื่อ
ท่านขงจื่อ ท่านดึงคนให้เข้ามาอยู่ในกรอบแห่งจริยธรรม ประเพณี และพิธีกรรมเพื่อให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขชั่วนิรันดร์
ท่านเหลาจื่อ ท่านแก้คนให้หลุดจากขอบข่ายทั้งมวลในสังคมให้ดำรงชีวิตผสมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติอันเสรี ให้ชีวิตเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวพุทธทรงเห็นว่า แม้จะร้อยรัดชีวิตให้อยู่ในขอบเขตได้ดีเพียงไรหากเกิดความขัดแย้งทางจิตใจซึ่งเป็นปกติวิสัยของชาวโลก ความทุกข์ย่อมเข้าครอบงำทันที ครั้นเมื่อแก้คนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของสังคมได้แล้ว ก็ยังหนีความทุกข์อันเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์หาพ้นไม่ ตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ตราบนั้นก็ย่อมหนีความทุกข์ในวัฏจักรแห่งกรรมไปมิได้เลย นอกจากจะพัฒนาตนเองตามขบวนการของศีล สมาธิ และปัญญา ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน จึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้โดยสิ้นเชิง
ท่านเหลี่ยวฝานเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจและเข้าถึงคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ท่านจึงนิพนธ์หนังสือนี้อันเป็นประสบการณ์ของท่านเอง เพื่อชี้ให้ลูกท่านเห็นว่า ชีวิตที่อยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมก็ดี หรือจะหลุดจาดขอบข่ายทั้งมวลในสังคมก็ดี ล้วนแ่เกิดจากเจตนารมณ์ของตนเองทั้งสิ้น มิได้ขึ้นอยู่กับลิขิตของฟ้าดิน ชะตาชีวิตมิใช่ข้อชี้ขาดที่จะแก้ไขมิได้ จะดีจะชั่วมิใช่ฟ้าดินจะบันดาลให้โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลตัวเราเองต่างหากคือผู้กำหนดอนาคตของตนเอง ปุถุชนมักมองชีวิตว่าถูกลิขิตมาแล้วแน่นอนก่อนเกิดเสียอีก ความจน ความรวย ความสูงศักดิ์ ความต่ำต้อย ความบุญมั่นขวัญยืนหรือไม่ ล้วนแต่เกิดจากผลแห่งกรรมอันเป็นการกระทำด้วยเจตนาที่ดีบ้างชั่วบ้าง ทัศนคติที่มีต่อกรรมเช่นนี้แม้จะถูกต้องแต่ก็มิใช่ทั้งหมด
ท่านเขียนหนังสือนี้ เพื่อสั่งสอนอบรมบุตรของท่าน ต่อมาท่านเห็นควรพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน หนังสือนี้จึงแพร่หลายมาจนทุกวันนี้ คำว่า ""พ่อ""ในหนังสือนี้จึงหมายถึงท่านเหลี่ยวฝานนั่นเอง
เจือจันทร์ อัชพรรณ (มิสโจ)
อังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2524
-
7 กรกฏาคม ร.ศ. 199 เทียนแล่มแรกได้ถูกจุดขึ้นโดยคุณจรูญ โหราทัย และครอบครัวเป็นปัจจัยให้เทียนดวงต่อ ๆ มา ถูกจุดสว่างไสวและยังไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นใครใคร่แจก...แจก ใครใคร่ขาย...ขาย สบายใจดีทุกฝ่าย
คุณจรูญส่งหนังชีวประวัติของท่านเหลี่ยวฝานและท่านอวิ๋นกุเถระมาให้ จึงได้ย่อมาเป็นอภินันทนาการแด่ท่านผู้อ่าน ในโอกาศปีทองฉลองความเป็นเอกราชของชาติไทยที่ยืนยงคงอยู่และจะคงอยู่คู่โลกเรา ชาติไทยใฝ่ธรรมชาวไทยส่วนมากยังคงประพฤติดีปฏิบัติชอบ คุณงามความดีของทุกท่านเมื่อรวมกันแล้วย่อมเป็นเกราะป้องกันผองภัย เป็นพลังกำจัดอธรรม เป็นกุศลวิบากที่จักส่งผลให้ประเทศไทยบังเกิดความผาสุขและไพร่ฟ้าหน้าใสอีกวาระหนึ่งอย่างแน่นอน ท่านผู้จารึกชีวประวัติของท่านเหลี่ยวฝานมีนามว่า ""เผิงซ่าวเซิง"" ท่านเป็นพุทธศาสนิกที่เคร่งครัดในศีล จริงจังในการฝึกกรรมฐานชอบอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรและวัดวาอาราม ท่านแต่งตำราทางพระพุทธศาสนาไว้มากมาย ท่านเกิดและสอบ จิ้นซื่อ ได้ในรัชสมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ระหว่างพ.ศ.2275-2338 (ค.ศ1732-1795) ท่านมีความเฉียบแหลมในสรรพวิทยาทั้งหลาย เมื่อท่านอายุ 20 เศษ ๆท่านมีความมุ่งมั่นจะประกอบวีรกรรมให้ชื่อเสียงเกียรติคุณปรากฏในประวัติศาสตร์เหมือนบรรพชนทั้งหลาย ต่อมา "ท่านกลับเห็นว่าทางธรรมดีกว่าทางโลก" หากปฏิบัติได้ตามที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้วย่อมจักต้องไม่เป็นผู้ที่วกกลับ ท่านจึงถือศีลกินเจกลางคืนนอนวัด กลางวันเขียนหนังสือธรรม วันที่ท่านจะจากโลกไป ท่านสวดมนต์หันหน้าสู่ทางทิศตะวันตก สวดจนหมดลมไปด้วยอาการนั่งอย่างสงบ ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกเพียง 57 ปีแต่ก็เป็น 57ปีที่ทรงคุณค่า ผลงานของท่านเป็นคุณประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังอย่างมหาศาล ผู้ด้อยปัญญาขอน้อมคารวะต่อท่าน และกราบขออนุญาตย่อประวัติท่านเหลี่ยวฝาน ณ บัดนี้
ท่านเหลี่ยวฝานเป็นชาวเจียงหนาน (กังหนำ) อายุ 437 ปี ในปีนี้หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านสอบ จิ้นซื่อ ได้และเข้ารับราชการเมื่ออายุ 37 ปี คนสมัยก่อนมีเวลาร่ำเรียนมากกว่าพวกเราสมัยนี้ ท่านจึงมีความรู้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งนัก เชี่ยวชาญในวิชาการเกือบทุกแขนง นอกจากพุทธธรรมที่ท่านสนใจมาก จนสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว ท่านยังเป็นนักปราชญ์ในทางอักษรศาสตร์ โราณคดี คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ดหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ อุทกศาสตร์ ธรณีวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ปรัชญา ฯลฯ แม้ยุทธศาสตร์ท่านก็ช่ำชอง สามารถใช้ปัญญาเอาชนะโจรสลัดญี่ปุ่นที่โจมตีท่าน ในขณะปฏิบัติการทางทหารที่ชายแดนได้อย่างงดงาม ตำแหน่งหน้าที่ราชการของท่านนั้นดำรงทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ซึ่งน้อยคนนักจักมีความสามารถเช่นนี้ เมื่อท่านถึงแกอนัจกรรม แม้จะเป็นเวลาที่ไม่ได้รับราชการแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังระลึกถึงคุณงามความดีของท่านอยู่จึงทรงสถาปนายศและทรงประกาศเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏไปทั่วแผ่นดิน
ท่านไม่หวงแหน หรือกลัวจะหลุดจากตำปหน่งหน้าที่ราชการ ใครทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ใครใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรม ใครทำให้ประชาราษฏร์เดือดร้อนท่านจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง แม้ผู้นั้นจะมีความยิ่งใหญ่เพียงใดท่านก็ไม่ยอมสยบ แต่สำหรับตัวท่านเองแล้วใครจะใส่ร้ายป้ายสี ท่านก็ไม่นำพา อิจฉากันนักท่านก็กราบถวายบังคมลาไปอยู่ถิ่นเดิมของท่าน ท่านแต่งตำรับตำราไว้มากมายเป็นเพชรน้ำหนึ่งในสมัยหมิง
เมื่อครั้งท่านรับราชการเป็นนายอำเภออยู่ทางเหนือ ซึ่งเป็นท้องที่ประสบอุทกภัยเสมอ ท่านสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ ด้วยวิธีการแยกพลังน้ำออกเป็น 3 ทิศทาง แม่น้ำสายเดียวแต่โบราณมาก็กลายเป็นสามสาย ด้วยปัญญาของท่านและความสามัคคีของชาวบ้านที่คิดพึ่งตนเองอย่างไม่ย่อท้อ ผนึกพลังอันน้อยนิดของแต่ละคนรวมเป็นพลังมหาศาล ยิ่งใหญ่เหนือพลังน้ำที่น่ากลัวแล้วท่านให้ปลูกต้นหลิ่ว (ต้นหลิว) ตามริมฝั่งแม่น้ำและริมฝั่งทะเลสุดสายตา คราใดที่คลื่นซัดเข้ามาฝั่งทรายจะติดอยู่บริเวณต้นหลิ่ว ทับถมกันนานเข้าก็กลายเป็นเขื่อนธรรมชาติ ป้องกันน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี ทางภาคเหนือของประเทศจีน มักจะมีพายุพัดทรายมาทีละมาก ๆ ก็ได้อาศัยต้นหลิ่วทั้งหลายนี้ปะทะแรงลม และทรายไว้ได้
แม้ท่านจะกลับมาอยู่ถิ่นเดิมในบั้นปลายของชีวิตท่านก็ไม่นิ่งดูดาย คอยช่วยเหลือดูแลทุกข์สุขของชาวบัานอย่างใกล้ชิด คิดค้นวิธีทำไร่ไถนาให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นให้แผ้วถางพื้นดินที่รกชัฏจนเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่มีที่ดินของตนเอง นอกจากท่านจะสอนให้ชาวบ้านมีความรู้กว้างขวาง มีรายได้เพิ่มพูนแล้ว ท่านยังสอนให้ชาวบ้านรักกัน ช่วยเหลือกัน เสียสละ และหมั่นบริจาคจนเป็นนิสัย แต่ละวันท่านจะทำตารางการทำงานส่วนตัวและส่วนที่จะทำเพื่อผู้อื่นไว้ล่วงหน้า ท่านไม่เคยอยู่นิ่ง ทำงานตลอดวันอย่างมีระเบียบ ท่านฝึกสมาธิเป็นเวลาและสม่ำเสมอจนบรรลุฌาณ และเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุญาณท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่ออายุ 74 ปี ในขณะที่บุตรของท่านอายุ 42 ปีแล้ว คือปีพ.ศ. 2166 (ค.ศ1623) ผิดจากที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ถึง 21 ปี โดยมิต้องบนบวงต่อฟ้าดินและท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์มิต้องเสดาะเคราะห์ปล่อยนกปล่อยปลา อันคุณงามความดีนี้ ช่างมีอานุภาพต่อชีวิตมนุษย์ให้เห็นถึงปานนี้หนอ
ภรรยาของท่านก็ใจบุญสุนทร์ธรรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เป็นคู่ชีวิตที่คอยส่งเสริมแต่ในทางที่ดีเป็นปัจจัยในการทำดีเพื่อกันและกันตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งภรรยาของท่านซื้อฝ้ายมาปั่นเพือ่ทำเสื้อหนาว ท่านเหลี่ยวฝานท้วงว่า บ้านเรามีเสื้อหนาวอย่างดี ทำด้วยแพรเนื้อดีสอดใส้ด้วยนุ่น อุ่นดีอยู่แล้ว ไฉนจึงให้ลูกใส่เสื้อหนาวที่ทำด้วยผ้าฝ้ายถูก ๆ เล่าภรรยาของท่านตอบว่าก็เพราะฝ้ายนั้นถูกจึงตัดใจขายเสื้อหนาวดี ๆ ของลูกเสีย ได้เงินมามาก ๆ เพื่อทำเสื้อหนาวแจกชาวบ้านที่กำลังหนาวสั่นอยู่นี้ได้ทั่วถึง ท่านเหลี่ยวฝานดีใจมาก พูดด้วยความตื้นตันใจว่า ถ้าแม่ใจบุญถึงป่านนี้ลูกของเราจะไม่มีวันลำบากเป็นแน่แท้ บุตรของท่านก็สอบ จิ้นซื่อ ได้เช่นท่านและได้เป็นนายอำเภอที่เมืองกว่างตง (กวางตุ้ง) อีก 21 ปีต่อมา ก็สิ้นแผ่นดินหมิงในพ.ศ.2187 (ค.ศ.1644)ประเทศจีนตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวแมนจู ที่สถาปนาราชวงศ์ชิง (เช็ง) ปกครองชาวจีนตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนายอยู่นานถึง 267 ปีท่านซุนจางซาน (ดร.ซุนยัดเซ็น) กับคณะจึงได้ลบความเป็นเจ้าเข้าครองออกจากประวัติศาสตร์ได้สำเร็จในปี พ.ศ.2454 (ค.ศ.1911)
-
เป็นบุญของเราชาวไทยที่ไม่ต้องทนถูกเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไปถึง 267 ปี พระคุณของวีรกษัตริย์และวีรชนของเรานั้นใหญ่หลวงนักแม้ประวัติศาสตร์จะได้จารึกความยิ่งใหญ่ไว้แล้วแต่เราก็จะต้องสำนึกในพระคุณจดจำไว้ในส่วนลึกของหัวใจเพื่อเป็นตัวอย่างอันที่จะปกป้องแผ่นดินไทยต่อไปด้วยชีวิตของเราทุกคน
ท่านหานซานต้าซือ ศิษย์ของท่านอวิ๋นกุเถระ เขียนประวัติเมื่อท่านอาจารย์ได้จากไปแล้วว่า "ผู้ด้อยปัญญาขอกราบคารวะท่านหานซานต้าซือกราบขออนุญาตท่านจารึกประวัติของท่านอวิ๋นกุเถระผู้พลิกชีวิตของท่านเหลี่ยวฝาน ดังต่อไปนี้
ท่านอวิ๋นกุเถระ เกิดเมื่อ ค.ศ.1500 (พ.ศ.2043) ในราชวงศ์หมิง ท่านเกิดก่อนท่านเหลี่ยวฝาน 49 ปี ท่านคิดบวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สมัครเป็นศิษย์กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่วัดต้าอวิ๋นจื้อ อายุ 19 ปี เริ่มฝึกฌาณ อายุ 25 ปีบวชเป็นภิกษุได้พบอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษ ณ วัดเทียนหมิง จึงฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ตัดขาดจากกิจนิมนต์ทั้งหมด นั่งเข้าสมาธิอยู่เป็นระยะ ๆ จาก 7 วัน เป็น 14 วันจนถึง 1 ปีเต็ม ไม่เคยก้าวล่วงธรณีกุฏิของท่านไปเลย จิตท่านใสใจสว่างแต่ท่านอาจารย์อธิบายว่าการฝึกจิตเช่นนี้ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ แล้วสอนให้ท่านฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 ติดตามการเกิดดับของจิตให้ได้ทุกขณะไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบถใดจงตั้งกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ ที่นั่น เมื่ออยุ๋ในความรู้สึกอย่างไร จงตั้งเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ ความรู้สึกนั้น เมื่ออยู่ในสภาพจิตอย่างไร จงตั้งจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ สภาพนั้น เมื่อเผชิญกับสภาวธรรมใดจงตั้งธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ สภาวะนั้นฝึกให้สติและสัมปชัญญะคอยกำกับบทบาททุกขณะของปัจจุบันให้รู้เท่าทันให้รู้ท่วงทีให้รู้อย่างไม่ยินดียินร้ายให้รู้อย่างหมอที่กำลังตรวจคนไข้ ให้รู้อย่างผู้พิพากษากำลังวินิจฉัยคดีว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ กำลังมีสภาพจิตเป็นเช่นไรกำลังเผชิญกับสภาวธรรมอะไร เมื่อกระแสแห่งกิเลสตัณหาอปาทานกำลังเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลาวันแล้ววันเล่าคืนแล้วคืนเล่า ชีวิตก็ล่วงไป ๆ จงเพียรพยายามอย่าท้อถอยแม้แต่ก้าวเดียวแม้แต่ขณะจิตเดียวที่จะสำรวจตรวจดูสติสัมปชัญญะว่าได้เจริญงอกงามมีประสิทธิภาพเพียงพอ แก่การปฏิบัติธรรมหรือยังจนกว่าความรู้ความเข้าใจจะถึงจุดอิ่มตัว ก็จักหลุดพ้นจากอิทธิพลของกิเลสตัณหาอุปาทานได้เอง
ท่านอวิ๋นกุเถระ จึงเริ่มฝึกมหาปัฏฐาน 4 อย่างจริงจังทันที บางครั้งไม่ฉันไม่จำวัดก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ท่านอิ่มจากการฉันอาหาร ท่านเผลอตัวเพียงขณะจิตเดียวชามข้าวก็ตกลงบนพื้น ทันใดนั้นท่านก็เข้าถึงความหมายของสติและสัมปชัญะอย่างสมบูรณ์ ท่านรีบไปกราบเล่าให้อาจารย์ฟัง ท่านอาจารย์ผงกศรีษะรับรองวาระจิตของลูกศิษย์ว่าได้เข้าถึงสภาวธรรมแล้วจริง ตั้งแต่นั้นมาจิตของท่านอวิ๋นกุเถระได้รับการพัฒนายิ่งขึ้นเป็นลำดับ จนหลุดพ้นจากกามฉันทะคือความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และกระทบทางใจ หลุดพ้นจากความพยาบาท อันเป็นความคิดให้ร้ายคนหรือสัตว์เสียได้ หลุดพ้นจากถีนมิทธะอันทำให้จิตมืดมัวกายง่วงโงกเสียได้ หลุดพ้นจากอุทธัจจกุกกุจจะ อันยังความตื่นเต้น ฟุ้งซ่านหวาดหวั่น รำคาญใจเสียได้ หลุดพ้นจากวิธีกิจฉา อันยังความเคลือบแคลงสงสัยไม่แน่ใจ ในการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียได้ การล่วงพ้นนิวรณ์ทั้ง 5 นี้ เป็นปัจจัยให้ท่านเข้าถึงความหมายของอุปาทานขันธ์ 5 เห็นความเกิดขึ้น -ตั้งอยู่ -ดับไปของรูป เห็นความไม่คงทน ต้องทรุดโทรมแปรปรวนไปตามเหตุปัจจัยของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขาร และของวิญญาณ (กระสจิตที่รู้บทบาทของรูป เวทนา สัญญา สังขารเมื่อเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป) ท่านละสัญโญชน์ อันเป็นเครืองจองจำชีวิตให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร คอยเชื่อมโยงอายตนะภายนอกและภายในทั้ง 6 ทวารให้เกิดความประมาทติดใจไหลหลงในรูปธรรมเสียได้
เมื่อท่านอวิ๋นกุเถระมีสติ และสัมปชัญญะต้องอยู่เฉพาะหน้าเช่นนี้แล้ว กิเลสตัณหาอุปาทานและความเห็นผิดย่อมอาศัยนอนเนื่องอยู่ในจิตใจของท่านไม่ได้อีกแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือองค์ธรรมอันยิ่งใหญ่คือ โพชฌงค์ 7 อันเป็นกลุ่มธรรมสามัคคีที่เกิดขึ้นด้วยกัน อิงอาศัยให้คุณต่อกันและกันนำไปสู่องค์ปัญญาแห่งการตรัสรู้ กลุ่มธรรมอันประเสริฐยิ่งนี่เอง ที่ทำให้ท่านอวิ๋นกุเถระเห็นแจ้งในอริยประเสริฐนี้เองเห็นแจ้งในอริยสัจ 4ทุกแง่ทุกมุมอย่างหมดจดข้ามพ้นความโศกและความร่ำไรดับได้ซึ่งความทุกข์และโทมนัสมีแต่ความกระปรี้กระเปร่าชื่นบานสงบสบายทั้งกายและใจอยู่อย่างเป็นกลางในทุกสิ่งแม้จะมีใครขอให้ท่านขนสัตว์ให้หมดโลกเสียก่อนก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เพราะเมื่อจิตได้หลุดพ้นจากกระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเสียแล้วพระพุทธศาสนาจึงมิใช่สอนให้ชาวพุทธตัดช่องน้อยแต่พอตัวดังที่หลายท่านเข้าใจกันอยู่
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ท่านอวิ๋นกุเถระ กำลังนั่งเข้าสมาธิจนกายไม่ไหวติงอยู่นั้น ได้มีผู้ทรงอิทธิพลมาเที่ยววัดเห็นท่านนั่งเฉยไม่ลุกขึ้นต้อนรับ ก็โกรธหาว่าท่านไม่มีสัมมาคารวะ ผรุสวาทอย่างไม่กลัวบาปกรรม ท่านจึงย้ายไปอยู่ที่วัดซีเลียซานอันเป็นสถานที่ๆ ท่านเหลี่ยวฝานไปกราบนมัสการท่านในเวลาต่อมาและท่านก็ได้สอนให้ท่านเหลี่ยวฝานฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 เช่นเดียวกับท่าน
เมื่อท่านหานซานต้าซือ ไปกราบลาท่านเพื่อออกธุดงค์ ท่านให้โอวาทว่า "โบราณท่านเดินธุดงค์เพื่อมองเห็นตนเอง ขูดเกลาตนเอง พัฒนาตนเอง เพื่อความหลุดพ้น เจ้าจงสำเหนียกอยู่เสมอว่าเจ้ามีหน้ากลับมาพบพ่อแม่พี่น้องครูบาอาจารย์ญาติสนิทมิตรสหายได้อย่างไร ถ้าเดินธุดงค์โดยรองเท้าสึกเสียเปล่า ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้นเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองของผู้ที่ถวายรองเท้าเจ้ามา" ท่านหานซานต้าซือประทับใจในโอวาทจนสะอื้นไห้
ลูกศิษย์ของท่านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกทีอุบาสกอุบาสิกามาฟังธรรมจากท่านเนืองแน่น ท่านพูดน้อย พูดแต่ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง เสียงท่านชัดเจนก้องกังวาน ก่อนที่ท่านจะลาจากโลกนี้ไป ท่านกลับไปยังบ้านเกิด โปรดผู้คนเป็นจำนวนหมื่นจำนวนแสน
อยู่มาคืนหนึ่ง เป็นคืนขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีค.ศ.1575 (พ.ศ. 2118) ชาวบ้านเห็นบนหลังคากุฏิที่ท่านอยู่สว่างไสว เหมือนไฟกำลังลุกโชติช่วง ฉะนั้น ครั้นรุ่งเช้าชาวบ้านพากันไปที่วัด ปรากฏว่าท่านได้ดับขันธ์ไม่ไหวติงเสียแล้ว ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ท่านดับขันธ์ด้วยเตโชกสิณนั่นเอง ขณะนั้นท่านอายุ75 ปีพรรษา 50 ท่านหานซานต้าซือรำพึงรำพันว่า "ตั้งแต่ท่านออกธุดงค์ได้พบพระเถรมากมาย แต่จะหาใครสักรูปหนึ่งที่ทรงคุณวิเศษเช่นท่านอวิ๋นกุเถระ ไม่มีเลย แม้ต่อมาท่านหานซานต้าซือพรรษามากขึ้น ก็ไม่สามารถลืมคำสอนของท่านได้ แม้ปฏิปทาในศีลาจารวัตรของท่าน ก็ได้นำมาประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่หลุมฝังศพของท่านอวิ๋นกุเถระ มีศิลาจารึกคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน โดยท่านเหลี่ยวฝาน ท่านหานซานต้าซือ เห็นว่าควรมีประวัติจารึกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงเขียนประวัติและคำสั่งสอนของท่านไว้เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เสียดายผู้ด้อยปัญญาบันทึกไว้ได้เพียงนี้ ขอความหลุดพ้นจงเกิดแก่ผู้อ่านเทอญ
เจือจันทร์ อัชพรรณ (มิสโจ)
-
พ่อนั้น กำพร้าท่านบิดามาแต่อายุยังไม่ถึง 20 ท่านย่าของลูกในวันนั้นก็มีอายุมากแล้ว ท่านได้บอกให้พ่อเลิกคิดที่จะเป็นขุนนางเสีย หันมาเรียนแพทย์ดีกว่า ท่านบอกพ่อว่าการเป็นแพทย์นั้นนอกจากจะยึดเป็นอาชีพได้ดีแล้วยังจะช่วยคนยากจนได้อีกด้วย ถ้ามีความสามารถดีก็จะเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นความปรารถนาของท่านบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ต่อมา พ่อพบผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่วัดฉืออวิ๋นจื้อ ท่านมีเครายาวมีราศีผ่องใสยิ่งนักรูปร่างสูงใหญ่สง่างามราวกับเทพยดา พ่อจึงคารวะท่านด้วยความเคารพ ท่านพูดกับพ่อว่า เธอไม่ได้เป็นขุนนางนะปีหน้าจะสอบผ่านได้ทั้งสามขั้น ไฉนจึงไม่เรียนหนังสือเล่า พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังแล้วถามชื่อแซ่และที่อยู่ของท่าน ท่านตอบว่าท่านแซ่ข่ง เป็นชาวอวิ๋นหนาน ได้เล่าเรียนวิชาโหราศาสตร์อันเป็นตำราดั้งเดิม ถ่ายทอดกันมาโดยมิได้แก้ไขเพิ่มเติมอันใดให้ไขว่คว้าเลย ซึ่งเป็นตำราของท่านบรมโหราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ซ้อง พ.ศ.1503 - 1670 ท่านผู้เฒ่าข่งต้องการจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่พ่อ พ่อจึงพาท่านมาบ้านเพื่อมาพบท่านย่าของลูก ท่านกำชับให้พ่อต้อนรับท่านผู้เฒ่าให้ดีแล้วทดลองให้ท่านพยากรณ์ดูปรากฏว่าแม่นยำไปเสียทุกสิ่ง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ผิดพลาดเลย
พ่อจึงเรียนหนังสือใหม่ และท่านลุงของลูกที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อนี่แหละ ท่านได้แนะนำให้พ่อไปเป็นนักเรียนกินนอนที่สำนักเรียนแห่งนี้ ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์พ่อไว้ว่า จะสอบผ่านทั้งสามขั้น ขั้นแรกได้คะแนนมาเป็นที่ 14 ขั้นกลางจะได้ที่ 71 และขั้นที่สามจะได้ที่ 9 ปรากฏว่าผลออกมาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ต่อมาท่านก็พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้ว่าปีใดจะสอบได้เป็นนักเรียนหลวง ได้ข้าวพระราชทานเป็นจำนวนเท่านั้นถัง ปีใดจะได้สอบขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้เป็นนายอำเภอ เมื่อเป็นนายอำเภอสามปีครึ่งก็ควรลาออกจากราชการเพราะอายุ 53 ปีก็จะสิ้นอายุขัยจะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8เวลาระหว่างตี 1-3 น่าเสียดายจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุล พ่อได้บันทึกไว้ทุกคำเพื่อกันลืม
ในกาลต่อ ๆ มา คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่ง ก็ยังคงแม่นยำเสมอมา มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านพยากรณ์ไว้ว่าจะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบจำนวนหนึ่งแล้ว จึงจะได้สอบขั้นสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงนั้น ยังไม่ทันที่พ่อจะได้ัรับพระราชทานข้าวหลวงครบตามจำนวนที่ท่านพยากรณ์ไว้ พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ไปสอบ คราวนี้สอบตก พ่อเริ่มสงสัยคำพยากรณ์อยู่ในใจแต่แล้วในปีต่อมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบให้พ่อ ท่านเคยชมพ่อว่า คำตอบทั้ง 5 ข้อของพ่อนั้นเขียนได้ดีเหมือนขุนนางผู้ใหญ่เขียนทูลเกล้าฯถวายความเห็นต่อฮ่องเต้นั่นเทียว ท่านว่าถ้าคนไม่มีความรู้จริงย่อมเขียนไม่ได้เช่นนี้ ความสามารถของพ่อย่อมจักเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ไฉนจึงถูกทำลายอนาคตเสียเล่า ท่านจึงสั่งให้พ่อไปทำงานกับท่าน และให้รับพระราชทานข้าวหลวงย้อนหลังจนครบจำนวนที่ขาดไป ปรากฏว่าจำนวนที่ท่านผู้เฒ่าข่งคำนวณไว้พอดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พ่อเพิ่มความเชื่อถือในคำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่ง ยิ่งขึ้นเพราะอุปสรรคที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าชะตาชีวิตนั้นได้ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็ว จะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างไรก็หนีไม่พ้น พ่อจึงปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยานขวนขวาย ไม่ดิ้นรนที่จะเอาดีไปกว่านี้อีกต่อไป ทำให้จิตใจสงบดียิ่งขึ้น เมื่อพ่อสอบได้แล้วเช่นนั้น ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง (ปักกิ่งในปัจจุบัน) อยู่ในมหาวิทยาลัยของหลวงหนึ่งปี พ่อไม่ได้ดูหนังสือหรือตำราเรียนใด ๆ อีกเลย เอาแต่นั่งสมาธิ ไม่พูด ไม่จา ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปี พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวงทางใต้ (นานกิงในปัจจุบัน) อันเป็นสถาบันสุดท้ายซึ่งนักศึกษาที่สอบไล่ได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ ในภูมิลำเนาเดิมของตนมาแล้ว จะต้องเข้ามาฝึกฝนเตรียมตัวสอบเพื่อออกรับราชการต่อไป แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไปยังสถาบันนี้ ได้แวะไปที่วัดชีเสียซานเพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระเสียก่อน พ่อได้นั่งสมาธิกับท่านสองต่อสอง เป็นเวลานานถึงสามวันสามคืนโดยมิได้หลับนอนเลย
-
พระเถระกล่าวกับพ่อด้วยความแปลกใจว่าอันธรรมดาของปุถุชนนั้น จิตใจว้าวุ่นสับสน จึงไม่สามารถบรรลุฌานได้ ส่วนพ่อนั้น ไฉนนั่งสามวันแล้วยังไม่เห็นจิตใจวอกแวกเลย พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังว่า ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยาการณ์อนาคตของพ่อไว้แน่นอนแล้ว คิดวุ่นวายไปก้ไร้ประโยชน์ จึงทำให้สบายไร้กังวลดีกว่า ท่านอวิ๋นกุเถระหัวเราะแล้วก็ร้องว่า โธ่เอ๋ยนึกว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเสียอีก ที่แท้ยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง พ่อจึงกราบถามท่านว่า ทำไมจึงว่าพ่อเป็นปุถุชน ท่านตอบว่า อันที่จริงคนเรานั้นถ้าจิตใจไม่ว้าวุ่นทำใจให้สงบได้แล้ว ก็เกือบจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นปุถุชนได้แล้ว แต่คนธรรมดานั้น จิตใจยากที่จะสงบระงับได้การฟุ้งซ่านนี่เอง ที่ทำให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอำนาจพลังบวกและพลังลบของธรรมชาติ ทำให้ไม่มีอิสระเสรีต้องขึ้นกับดวงชะตาราศีและการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า ที่โหราจารย์ทั้งหลายได้คิดค้นทำสถิติกันไว้ โหราศาสตร์จึงมีขึ้นด้วยเหตุนี้ ก็มีแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นที่จะถูกกำหนดได้ตามวิชาโหราศาสตร์แต่คนที่ทำความดีมาก ๆ แล้วชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ โหราศาตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของเราหรอก วิชาโหราศาสตร์ จึงยึดถีอเป็นบรรทัดฐานไปหมดมิได้เพราะคนดีนั้นถึงแม้ชะตาชีวิตจะบ่งไว้ว่าไม่ดีอย่างไร แต่ "พลังแห่งกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนักสามารถพลิกความคาดหมายได้" คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ อายุสั้นก็กลายเป็นอายุยืนได้ในทำนองเดียวกัน คนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ชะตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตมาว่าจะได้ดีมีสุขอย่างไร แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นหนักนัก ย่อมสามารถเปลี่ยนความสุขเป็นความทุกข์ ความมีลาภยศกลายเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้นได้เช่นกัน ท่านว่าพ่อนั้นปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรมมายี่สิบปี ไฉนจึงไม่ใช่ปุถุชนเล่า พ่อกราบถามท่านอีกว่า ถ้าเช่นนั้นชะตาีชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือ ท่านตอบว่า ชะตาชีวิตนั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอนอนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทำดีชะตาก็ดี คนทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทำดี ถ้าทำแต่ความไม่ดีแม้ชะตาจะดีก็กลายเป็นร้ายไปได้ ในพุทธธรรมก้ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดต้องการลาภยศ ย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดาย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืนย่อมได้อายุยืน หากประกอบแต่กรรมดีย่อมสมปรารถนาแลพระผู้มีพระภาคทรงกล่าวไว้เช่นนี้
พ่อซักท่านต่อไปว่า ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่าหากปรารถนาสิ่งไรต้องได้สิ่งนั้น ท่านคงหมายถึงสิ่งที่กระทำทางนามธรรมละกระมัง คุณธรรมความดีงามนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างได้เองโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน แต่ทางรูปธรรมนั้นยศฐาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงและความมั่นคงจะแสวงหาได้อย่างไรถ้าไม่มีผู้หยิบยื่นให้ ท่านอวิ๋นกุเถระตอบพ่อว่า ท่านเมิ่งจื่อกล่าวไว้ไม่ผิดหรอก พ่อเองที่เข้าใจคำสอนของท่านผิดไป ท่านลั่กโจ๊วเคยกล่าวไว้ว่า ความสุขความเจริญทั้งมวลเกิดขึ้นที่ใจก่อนทั้งสิ้น การแสวงหาใด ๆ ก็ตาม "ต้องเริ่มที่ใจก่อน" ไม่เพียงแต่จะได้คุณธรรมความดีงามทางธรรมเท่านั้น ความสุขความเจริญลาภยศชื่อเสียงเงินทอง อันเป็นความดีงามทางโลกก็จะติดตามมาเอง เพราะฉะนั้นการแสวงหาสิ่งที่ดีงามนั้นย่อมได้สิ่งที่ดีงามตามปรารถนา ในทำนองเดียวกัน "หากไม่สำรวจตนเอง" ไม่เริ่มต้นทำความดีจากตัวเราเอง กลับดิ้นรนคิดแสวงหาจากภายนอก แม้จะแสวงหามาได้ ก็เป็นเพียงได้ตามชะตากำหนดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้นอาจจะต้องใช้ความพยายามในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วคาถา แสวงหาด้วยแรงขับกิเลสตัณหาจึงไม่ทันได้คำนึงถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งสองทาง ทางธรรมก้เสียหายแล้ว ทางโลกก็เสียหายอีก การแสวงหาจากภายนอกนั้น จึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
ท่านพ่อถามว่า ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง พ่อก็เล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด ท่านจึงถามพ่อว่าเธอลองทายดูเองสิว่าจะสอบได้เป็นขุนนางหรือเปล่า จะมีบุตรได้ไหม พ่อคิดหาเหตุผลอยู่นาน โดยสำรวจตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วจึงตอบท่านว่าเห็นทีจะสอบไม่ได้และก็คงจะไม่มีบุตรอีกแล้ว พ่อให้เหตุผลท่านว่า คนที่จะได้เป็นขุนนางจะต้องมีบุญวาสนา ส่วนพ่อนั้นมีบุญวาสนาน้อย ตนเองก็มิได้สั่งสมกุศลกรรมอันใดไว้ให้เป็นพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างบุญญาบารมีใด ๆ นิสัยของพ่อก็ไม่ดีไม่มีความอดทน งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ใครทำให้ไม่ถูกใจก็โกรธ ไม่ยอมให้อภัย ใจคอคับแคบบางครั้งยังอวดดีว่ามีความรู้มากมายยกตนข่มท่านใจคิดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น คนเช่นพ่อนี้ไม่สมควรมาสอบเพื่อเป็นขุนนางกับเขาเลย
-
แล้วพ่อก็สาธยายให้ท่านฟังถึงเหตุผล ที่คิดว่าตนเองไม่สมควรมีบุตรจริง ดังคำพยากรณ์ของผู้เฒ่าข่งให้ท่านอวิ๋นกุเถระฟังต่อไปว่า อันธรรมดานิสัยของพ่อนั้นชอบความสะอาดมากเกินไปไม่เป็นไปตามทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา โบราณท่านว่าไว้อันพื้นดินนั้นยิ่งไม่สะอาดเพียงใด ก็ย่อมเจริญด้วยพืชพันธ์นานาชนิด น้ำที่ใสสะอาดมักจะไม่มีปลามาแหวกว่ายฉันใด พ่อนั้นชอบความสะอาดมากเกินไป จึงย่อมไม่มีบุตรฉันนั้น นี่เป็นเหตุผลประการที่หนึ่ง
ธรรมชาติสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ให้มีความสมดุลเมื่อให้ชีวิตเจริญเติบโตด้วยดี แแต่พ่อมักโกรธทำให้ร่างกายและจิตใจเสียดุลอยู่เป็นนิตย์ ย่อมไม่สามารถมีบุตรได้ นี่เป็นเหตุผลประการที่สอง
ความเมตตาเท่านั้นที่ค้ำจุนโลกไว้ แต่พ่อนั้นจิตใจขาดความกรุณาปราณี ไม่ยอมลดตนลงช่วยผู้อื่น เต็มไปด้วยอัสมิมานะ (การถือเขาถือเราถือดีไม่ยอมลงใคร) ไฉนจักมีบุตรได้เล่า นี่คือเหตุผลประการที่สาม
การพูดมาก ทำให้สูญเสียพลัง พ่ออดพูดมากไม่ได้ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง นี่คือเหตุผลประการที่สี่
ชีวิตต้องอาศัยพลังลมปราณและความมีชีวิตชีวาอันเกิดจากชีวิตอินทรีย์ที่ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมอิงอาศัยกันอยู่สามสิ่งนี้เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน คอยผดุงชีวิตไว้ให้ดำรงคงอยู่ พ่อดื่มเหล้ามากเผาผลาญร่างกายตนเองอยู่เสมอ ทำให้ปัจจัยทั้งสามนี้ลดน้อยถอยลง จักมีบุตรได้อย่างไร แม้จะมีได้บุตรก็จะไม่แข็งแรงและอายุก็คงไม่ยืน นี่คือเหตุผลประการที่ห้า
ในยามกลางวันคนเราไม่ควรนอน ในยามกลางคืนก็ควรนอนพักผ่อนให้สบาย แต่พ่อไม่ชอบนอนกลางคืนชอบนั่งเข้าที่เป็นสมาธิอยู่ตลอดทั้งคืนได้เสมอจักมีบุตรได้เล่า นี่เป็นเหตุผลประการที่หก ที่ำทำให้พ่อคิดว่าชาตินี้ พ่อจะมีบุตรไม่ได้สมจริงดั่งคำทำนายเป็นแน่แท้
ท่านอวิ๋นกุเถระฟังพ่อพูดเสียยืดยาวแล้ว จึงกล่าวว่าไม่เพียงแต่พ่อไม่สมควรจะเข้าสอบเป็นขุนนางเท่านั้น ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่พ่อก็ไม่สมควรจะได้รับด้วย คนในโลกนี้แม้จะอยู่ในภาวะแวดล้อมเดียวกัน ในเวลาที่ไม่ต่างกัน แต่บางคนได้รับแต่สิ่งดีมีสุข บางคนกลับได้รับแต่ความยากจนเป็นทุกข์ มีความแตกต่างกันมากมาย ผู้รู้ย่อมเข้าใจดีว่า นั่นล้วนแต่เป็นผลที่เกิดจากใจตนเองทุกคนสร้างเหตุที่จะทำให้เกิดผลดีผลชั่วจากใจตนเองทั้งสิ้น ผู้ไม่รู้ย่อมถือว่าเป็นชะตาชีวิตที่ลิขิตมาแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ หารู้ไม่ว่าทุกสิ่งเกิดจากใจตนเองแล้วทำไมตนเองจะแก้ไขไม่ได้เล่า คนที่ทำบุญให้ทานมากมายนั่นเขากำลังสร้างเหตุปัจจัยเพื่อความเป็นเศรษฐีมีเงินพันชั่งร้อยชั่ง ตามความมากน้อยที่เขาทำแล้ว บางคนจนถึงขนาดอดตาย นั่นเพราะเขาสร้างเหตุปัจจัยมาเช่นนั้น มีความตระหนี่เหนียวแน่นไม่ยอมเกินเลยใคร ทรมานกักขังสัตว์ให้อดอยากและอดตายมาแล้ว ผลจึงเกิดแก่เขาเช่นนั้น หาใช่ฟ้าดินเกิดความลำเอียงไม่ ฟ้าดินก็คือธรรมชาติย่อมปราณีคน ลงโทษคนชั่ว เหมือนดั่งที่ปราณีพืชพันธ์ธัญญาหารคอยหลั่งฝนมาให้ความชุ่มชื่น คอยส่องความสว่างมาให้ความเจริญเติบโตและธรรมชาติก็จะดุดันกับความไร้คุณธรรม กระหน่ำทั้งฝนพายุและสายฟ้า มนุษย์ต้องตายไปท่ามกลางความดุดันของธรรมชาติก็มีไม่น้อย ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความดีความชั่วในตัวบุคคล ใครดีก็จะได้รับการส่งเสริม ใครเลวก็ลงโทษเสียบ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน
-
มีความเชื่อกันมาแต่โบราณกาลว่า การจะมีบุตรหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับเหตุผลเดียวกันผู้ที่ทำความดีติดต่อกันมาแล้วร้อยชาติ ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดีสามารถสืบสกุลให้ยืดยาวได้ถึงร้อยชั่วคน ผู้ที่ทำความดีมาสิบชาติติดต่อกัน ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดีสามารถสืบสกุลให้ยืดยาวได้ถึงสิบชั่วคน ผู้ทำความดีติดต่อกันเพียงสองสามชาติ ก็ย่อมจะมีบุตรหลานสืบต่อไปสองสามชั่วคนเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีบุตรเลยก็จะเห็นได้ว่า ไม่เคยสั่งสมคุณธรรมความดีที่เป็นชิ้นเป็นอันมาบ้างเลยนอกจากบางคนเท่านั้น ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว คือเป็นผู้ที่ไม่มีหนี้กรรมกับผู้ใดมา ธรรมชาติแห่งการมีบุตรธิดา ถ้ามองตามทัศนะของกฏแห่งกรรมแล้ว ก็คือการเปิดหน้าบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ขึ้นมาสะสางกันอีกวาระหนึ่ง บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้ ก็ทำตัวดื้อรั้นอวดดี ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย จนบิดามารดาไม่มีความสุขตลอดเวลา ส่วนบุตรธิดาที่เกิดมาใช้หนี้บุญคุณที่ติดค้างกันอยู่ในภพก่อน ๆ ก็มีความกตัญญูกตเวทีว่านอนสอนง่ายเป็นที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจของบิดามารดา นำความปลื้มปิติความภาคภูมิใจมาให้บิดามารดามีความสุขความอิ่มใจอยู่เสมอ
กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ในอดีตล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตต้องเวียนว่ายมาพบกันอีกตามกระแสของวิบากกรรมมาเป็นพ่อแม่ลูกกันตามกรรมดีกรรมชั่วที่แต่ละคนได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต ผู้ใดมิได้ก่อหนี้กรรมไว้กับใครเลยก็ย่อมไม่มีผู้ใดตามมาทวงหนี้หรือมาใช้หนี้ ก็ทำให้ไม่มีบุตรธิดาในชาติปัจจุบัน ซึ่งในกรณีเช่นนี้มีน้อยนัก ท่านเหลี่ยวฝานจึงมิได้กล่าวไว้ (ผู้ถอดความ) แล้วท่านก็บอกพ่อว่า เมื่อพ่อรู้ตัวเองว่าไม่ดีอย่างไรบ้างแล้วเช่นนี้ และเข้าใจความเป็นไปของฟ้าดินแล้วไซร์ ก็จงรีบเร่งสร้างคุณธรรมความดีงามทันที ไม่คอยแต่จับผิดผู้อื่น สามารถให้อภัยได้แม้ความผิดนั้นจะเทียบเท่าภูเขาก็ตาม มีขันติอดทนต่อความไม่พอใจ ไม่โกรธง่าย มีแต่ความเมตตากรุณา ไม่พูดมาก ไม่ดื่มสุรา รักษาสุขภาพ ให้ดีทั้งกายและใจ สิ่งที่แล้วมาแล้วก็ให้คิดว่าตายไปแล้วเมื่อวานนี้แล้วเริ่มต้นสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมาแทนที่เหมือนเกิดใหม่ในวันนี้ มีชีวิตใหม่เพื่อสร้างสมคุณธรรมที่ดีใหม่ ไม่มีชีวิตเก่าที่มีแต่เลือดเนื้อและเต็มไปด้วยความเป็นปุถุชน สร้างชีวิตให้หลุดพ้นจากความครอบงำของกิเลสตัณหาอุปาทาน สามารถพัฒนาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วชีวิตก็จะมีคุณค่าผิดแผกแตกต่างจากชะตาชีวิตที่ได้กำหนดไว้แล้วในคำพยากรณ์ ก็ร่างกานที่กอปรด้วยเลือดเนื้อนี้ยังเป็นไปตามลิขิตของฟ้าดิน ทำไมกับชีวิตที่กอปรด้วยคุณธรรมความดีงามของฟ้าดินจะไม่หยั่งรู้ได้หรือโชคชะตาที่ฟ้าดินลิขิตมา มนุษย์ยังพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง แต่เคราะห์กรรมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง ก็จะหนีไม่พ้นเลย มีผู้เขียนโแลกบทหนึ่งไว้ว่า...มนุษย์ต้องคอยสำรวจตนเองเสมอ เพื่อจักได้ดำเนินชีวิตไปตามครรลองครองธรรม เมื่อกระทำแต่คุณงามความดีแล้วไซร์ ไฉนจักไม่ได้ความดีอันเป็นผลเล่า ความดีความชั่วจึงล้วนขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์เองทั้งสิ้น การที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์เอาไว้ให้นั้นเป็นเพียงชะตาชีวิตที่ลิขิตจากฟ้าดินย่อมมีทางแก้ไขได้จงรีบสร้างคุณธรรมความดีงามเริ่มด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว เสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอย่ามุ่งหวังแต่เพียงชื่อเสียงทำอย่างเงียบ ๆ การปิดทองหลังองค์พระปฏิมานั้นกลับได้บุญมากกว่า ถ้ามีผู้คนรู้เห็นกันมาก พากันสรรเสริญอนุโมทนาสาธุการ ความมีชื่อเสัยงก็จะแบ่งความดีงามไปเสียมาก บุญก็จะน้อยลงเพราะได้ผลปัจจุบันไปเสียแล้วบ้าง แต่ถ้าทำแล้วไม่โอ้อวดในความดีนั้นผลบัญก็จะเต็งดุจวารีที่เปี่ยมฝั่งใครเล่าจะแย่งหรือแบ่งบุญของเราไปได้การทำดีเช่นนี้มีหรือจะไม่ได้เสวยผลแห่งความดีนี้
-
คัมภีร์โบราณเชื่อว่า เอ้กเก็ง ก็ได้เน้นถึงความดีความชั่วไว้อย่างละเอียดละออ สอนคนดีให้รู้จักหลบหลีกจากความชั่ว สั่งสมแต่กรรมดีเพื่อจักได้ผลดีตอบแทน หากว่าลิขิตของชะตาชีวิตเป็นสิ่งแน่นอนแล้วไซร์ จักหลีกเลี่ยงกรรมชั่วสั่งสมแต่กรรมดีได้อย่างไร ในหน้าแรกของคัมภีร์ก็กล่าวไว้ว่า ครอบครัวใดสั่งสมแต่ความดีงาม ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะได้เสวยผลแห่งความดีนั้น แม้แต่ลูกหลานแหลนโหลนก็จะพลอยได้เสวยผลแห่งกรรมดีนั้นด้วย วิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าชะตาชีวิตไม่สามารถควบคุมมนุษย์ไว้ได้เสมอไป จิตใจมนุษย์สำคัญกว่า จิตใจที่ดีงามย่อมกระทำแต่สิ่งที่ดีงามและได้รับผลที่ดีงาม ผู้มีจิตใจทรามย่อมกระทำแต่สิ่งที่เลวทรามและได้ผลที่ทราม ท่านถามพ่อว่า เชื่อท่านหรือไม่เล่า พ่อเชื่ออย่างมากเพราะท่านพูดมีเหตุผลพ่อจึงคุกเข่าลงกราบท่าน เพื่อแสดงว่ารับคำสั่งสอนด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วพ่อไปนั่งลง ณ หน้าที่บูชาพระรัตนตรัย สารภาพบาปในอดีตต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหมดเปลือก แล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง ต่อไปนี้จะเริ่มกระทำความดีให้ครบสามพันครั้ง เพื่อตอบแทนพระคุณฟ้าดินและบรรพชนของพ่อ ท่านอวิ๋นกุเถระ เห็นพ่อมีความตั้งใจทำความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัวอย่างบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาให้พ่อดู แล้วสอนพ่อให้จดพฤติกรรมของตนเองแต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่้เข้าข้างตนเอง ถ้าทำกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จดไว้อีกข้างหนึ่ง เหมือนบัญชีรับจ่ายต้องนำกรรมชั่วไปลบกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้งโดยไม่มีกรรมชั่วที่ไม่ได้หักลบกลบหนี้แล้ว จึงจะนับว่าทำกรรมดีได้ครบสามพันครั้ง ต้องนำบัญชีมาทบทวนดูทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้งว่าวันหนึ่ง ๆ เราได้ทำอะไรไว้บ้าง ดีมากกว่าชั่วหรือชั่วมากกว่าดีอะไรผิดอะไรถูก จักได้แก้ไขปรับปรุงตนเองไม่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกกรรมชั่วเบา ๆ ก็ต้องนำมาลบกรรมดีออกเสียหนึ่งครั้ง กรรมชั่วหนัก ๆ ก็ต้องลบความดีออกหลาย ๆ ครั้ง จนกว่าความดีจะครบสามพันครั้งดังที่ได้อธิษฐานไว้ แล้วสอนพ่อสวดมนต์บริกรรมคาถาเพื่อช่วยให้มีจิตมั่นคงโดยอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะ เพื่อให้คำอธิษฐานหนักแน่นสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน ท่านยังเล่าให้พ่อฟังต่อไปว่า ผู้ที่ชำนาญการวาดฮู้ (ลงเลขลงยันต์) ได้กล่าวไว้ว่าหากมนุษย์ไม่รู้จักวิธีวาดฮู้ได้ถูกต้องแล้วไซร์จะถูกผีสางเทวดาหัวเราะเยาะเอาได้ เพราะฉะนั้นการวาดฮู้ก็ต้องหัดไห้เป็นไว้ เคล็ดลับของวิชานี้ อยู่ที่ต้องทำใจให้เป็นเอกัตตาให้ได้เท่านั้น เมื่อเริ่มจับพู่กัน ก็ต้องหยุดความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ทั้งหมด ไม่วอกแวก ทำจิตให้นิ่ง รวมพลังจิตทั้งหมดพุ่งตรงไปยังปลายพู่กันแล้วจรดปลายพู่กันลงไปที่กระดาษผ้าหรือแพรก็ได้ ทิ้งน้ำหนักปลายพู่กันให้แน่นิ่งเป็นการเบิกทวารฟ้าดินด้วยพลังจิตที่พุ่งกระทบอย่างแหลมคม ฮู้จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อยู่ที่จุดเริ่มต้นนี้เอง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องเขียนให้จบขบวนการ โดยไม่หยุดชะงักไม่ต่อเติมไม่ยกพู่กันขึ้น ต้องวาดให้ต่อเนื่องเป็นเส้นเดียวกัน จิตเป็นเอกัตตาตลอดแนวทางที่พู่กันตวัดไปมา ฮู้นี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะอธิษฐานใด ๆ ต่อฟ้าดิน ก็จะสัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนและรวดเร็ว
ผู้ที่มีกิเลสธุลีหนาแน่นในใจ เหมือนตกอยู่ในความมืดดั่งอยู่ในครรภ์มารดา ไม่สามารถมองเห็นอะไรอื่นเมื่อจรดปลายพู่กันลงไปครั้งแรกก็เท่ากับได้เจาะความมืดให้แสงสว่างส่องเข้าไปได้และเมื่อตวัดพู่กันด้วยจิตอันแหลมคมเป็นสมาธิอยู่นั้นก็เป็นการพุ่งพลังจิตไปตามพู่กันนั้นโดยมีแสงสว่างและชาดในพู่กันเป็นสู่นำพลังจิตไปพลังจิตจะประทับอยู่ตรงไหนความศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดที่นั่น
การบริกรรมก็ต้องทำสม่ำเสมอขาดไม่ได้เช่นกัน ต้องบริกรรมจนแม้ปากไม่บริกรรมแล้วแต่ใจยังคงบริกรรมอยู่ บริกรรมจนไม่รู้สึกว่าตัวเราเป็นผู้บริกรรมเพราะมนต์ก็ดีการบริกรรมก็ดีตัวเราเป็นผู้บริกรรมก็ดี ได้ผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียแล้ว จนแยกไม่ออกเมื่อใด เมื่อนั้นการบริกรรมก็สักดิ์สิทธิ์
ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า อันว่าอายุยืนหรืออายุสั้นหามีความแตกต่างกันไม่ ให้หมั่นฝึกฝนตนเองไปจนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้นคือวันที่เราจะได้พบความจริงว่า ใด ๆ ในโลกนี้หามีความแตกต่างกันไม่ ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมที่มนุษย์สมมุติกันขึ้นมา ผู้ที่ฝึกฝนตนเองจนไม่เห็นความแตกต่างของสภาวะธรรม เมื่อใดผู้นั้นก็เข้าถึงสภาวะธรรมเมื่อนั้น และไม่ถูกความไม่รู้ไม่เข้าใจหลอกหลอนเบียดเบียน หลุดพ้นจากความร้อยรัดของกิเลสตัณหาอุปาทานได้หมดสิ้น ถ้าคิดโดยผิวเผินก็จะรู้สึกแปลกใจ เพราะความอายุสั้นและอายุยืนนั้น แตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งแล้วก็จะเห็นได้ว่าท่านพูดไว้ไม่ผิดเลย ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นสภาวะธรรมหนึ่ง ๆ เท่านั้น มนุษย์มักจัดเข้าพวกกันบ้าง แยกประเภทให้บ้างจนดูสับสนสลับซับซ้อนไปหมด ธรรมดาทารกที่เกิดใหม่ ๆ นั้น หารู้ไม่ว่าอายุสั้นอายุยืนมีความหมายอย่างไรกัน ต่อเมื่อเติบโตแล้วจึงสามารถแยะแยอะความหมายเลือกคุณค่าของสรรพสิ่งโดยคำสอนของผู้ใหญ่บ้าง จิตดั้งเดิมเป็นเช่นนั้นบ้าง ตอนนี้เองผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วของเด็กนั้นก็จะเริ่มมาให้ผล จึงได้เห็นความอายุสั้นบ้างอายุยืนบ้าง ความแตกต่างจึงบังเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
-
ฉะนั้น ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างระหว่างความรวยกับความจน ความสุขกับความทุกข์ ความตกต่ำกับความรุ่งเรือง หรือ ความมีอายุยืนกับอายุสั้น ก็จะสามารถสร้างสรรค์ชีวิตให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อนแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างชีวิตให้ดีตามความต้องการของเราได้เลย จะยกตัวอย่างให้ดู เด็กสองคน คนหนึ่งเกิดมาเป็นลูกคนรวย อีกคนเกิดมาเป็นลูกคนจน ถ้าเด็กรวยคิดว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่นเพราะความรวยกว่าผู้อื่นแล้วไซร์ ก็จะเกิดความลำพองถือเงินเป็นอำนาจบาตรใหญ่ เที่ยวระรานข่มเหงเอาแต่ใจตนเอง ส่วนลูกคนจนนั้น ถ้าคิดว่าตนเองยากจนไม่มีเงินเหมือนลูกคนรวย ก็จะมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่ออยากได้อะไรไม่ได้ดั่งใจ ความกดดันก็จะเป็นแรงขับ ให้เริ่มฉกชิงวิ่งราวลักเล็กขโมยน้อย จนถึงปล้นจี้ฆ่าเจ้าทรัพย์รุนแรงขึ้นทึกที แม้จะต้องโทษก็ไม่กลัว ได้กินข้าวหลวงสบายไปเสียอีก ถ้าเราแยกแยะความรวยความจนเช่นนี้ ก็จะเป็นคนดีไปไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่คิดว่าเรารวย จะทำอะไรก็ระมัดระวัง ไม่ให้กระทบกระเทือนถึงผู้อื่นคิดแต่จะช่วยเหลือเจือจานไปทั่วหน้า ใช้เงินที่ตนเองมีมากให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่น้อย อาศัยความรวยที่ตนเองได้เปรียบผู้อื่นโดยสภาวะธรรม มาเกื้อกูลผู้อื่นที่มีน้อยถึงกับขาดแคลน ตามสภาวะธรรม ความเมตตากรุณาที่เกิดจากความรู้จริงในสภาวะธรรมนี้ก็จะหล่อหลอมให้ช่องว่างระหว่างความรวยความจนนั้นปิดสนิท ไม่สามารถเกิดความแตกแยกได้เลย ส่วนเด็กที่เกิดมายากจนอันเป็นสภาวะธรรมหนึ่งนั้น ถ้าไม่ให้ความแตกต่างในความรวยกับความจนแล้ว ก็จะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้จักขยันหมั่นเพียร สันโดษในความเป็นอยู่ ซื่อตรงในความประพฤติ รู้จักใช้แรงกายช่วยเหลือผู้อื่นแทนแรงเงินที่ตนขาดแคลน ไม่คอยคิดที่จะให้ผู้อื่นมาช่วยตนแต่ไม่รังเกียจที่จะช่วยผู้อื่น ตั้งหน้าทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ อดออมถนอมตน ไม่นานนักคนจนก็จะกลายเป็นคนรวย คนรวยก็จะไม่จน ถ้ามีนิสัยเหมือนเด็กทั้งสองคนนี้ เมื่อถึงวันนั้นความแตกต่างจักมีได้อย่างไร
แม้อายุสั้นอายุยาวก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตได้ลิขิตให้เรามีอายุสั้น เราก็จะไม่พะวงถึงความตายตั้งหน้าประกอบกรรมดี ไม่ใช่อยู่รอความตายไปวันหนึ่ง ๆ ผู้ที่ไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตลิขิตมาให้อายุยืน ก็จะไม่ทนงตนว่ามีชีวิตอยู่อีกยาวนาน เกิดความประมาทเกียจคร้านที่จะประกอบกรรมดี ผัดวันประกันพรุ่ง ดื่มสุราหานารี เล่นพาชีกีฬาบัตร เผาผลาญชีวิตไปทุกวัน ๆ อายุจักยืนนานไปได้อย่างไร
ความเกิดความตาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งที่กล่าวมาแล้วไซร์ เราจะเกิดในสภาวะธรรมใดก็ตาม ย่อมจักดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยจิตใจที่ปราศจากความกดดัน รู้จักดำรงชีวิตด้วยดี ตายดี และไปเกิดในสภาวะธรรมที่ดีต่อไป
ทำไมหรือ เพราะความชั่วร้าย มิได้อยู่ที่ความรวยความจน มิได้อยู่ที่ความีอายุสั้นหรือยาว ความสุขความทุกข์นั้นย่อมขึ้นอยู่ที่เราจะสามารถประกอบคุณงามความดีได้มากน้อยเท่าใดต่างหากเล่า การฝึกฝนตนเองให้รู้จักประกอบกรรมทำดีนั้นย่อมเป็นการสั่งสมบุญบารมีโดยแท้ เราจะต้องหมั่นสังเกตุพฤติกรรมเราเอง มีสิ่งใดผิดพลาดก็พยายามแก้ไข เหมือนดั่งหมอที่พยายามรักษาคนไข้ให้หายจากโรค ฉะนั้นการสั่งสมบุญบารมีก็ต้องพยายามอยูาทุกขณะจิตค่อยทำค่อยไปไม่หวังผลจนเกินกำลัง ไม่หย่อนยานจนไม่ก้าวหน้า เมื่อจิตได้รับการอบรมทีี่ดี บ่มใจจนได้ที่แล้วนั่นคือความสำเร็จที่จะได้รับในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านบอกกับพ่อว่า จิตนั้นเกิดดับอยู่ทุกขณะขอให้หมั่นบริกรรมอย่าได้หยุดยั้ง จะขาดการสืบต่อ เมื่อบริกรรมจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็จะกลายเป็นนิสัยไม่ว่าปากจะบริกรรมหรือไม่ จิตก็จะทำไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อจิตดิ่งเป็นเอกัคตาแล้วไซร์ ย่อมรวมมนต์คาถาที่บริกรรม ตัวคนบริกรรม และจิตที่บริกรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกออกจากกัน เมื่อนั้นการบริกรรมก็จะประสบความสำเร็จทันที อธิษฐานไว้เช่นไรก็จะสมปรารถนาเช่นนั้น
-
พ่อนั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า "เสวียห่าย" ในวันนั้นพ่อเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ""เหลี่ยวฝาน"" เพราะพ่อรู้ซึ้งแล้วว่า การสร้างอนาคตนั้นจะต้องเริ่มที่ตนเองมิใช่รอคอยโชคชะตามาผลักดันให้เป็นไปตามยถากรรม พ่อจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนให้ได้ ไม่ยอมตกอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์อีกต่อไป นี่คือความหมายในชื่อใหม่ของพ่อ ตั้งแต่นั้นมาพ่อสำรวมระวังบทบาทของกาย วาจา ใจอยู่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ทำให้ผิดแผกไปกว่าแต่ก่อนมา ความักง่ายตามใจตนเอง ความไม่สำรวมอินทรีย์ได้ลดน้อยลง มีแต่ความระแวดระวังตั้งสติไม่ประมาท ดุจดั่งเตรียมพร้อม ตั้งรับภยันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาพ่อ ฉะนั้นแม้จะอยู่ในที่มืดหรือในที่รโหฐานก็ยังเกรงว่าผีสางเทวดา คอยจ้องจับตามองพ่ออยู่ ต่อหน้าและลับหลังคน จึงประพฤติตนไม่ต่างกัน หากมีผู้ใดแสดงความไม่พอใจพ่ออย่างไร วิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพียงใด พ่อกลับรับฟังได้โดยดุษดีไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใดอีกเลย
เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี พ่อได้โอกาสเข้าทำการสอบไล่อีกครั้ง คราวนี้สอบได้ที่หนึ่ง พลิกความคาดหมายของผู้เฒ่าข่ง ที่พยากรณ์ไว้ว่าจะสอบได้ที่สามท่านว่าหลังจากสอบครั้งนี้แล้ว ต่อไปจะสอบไม่ได้อีกแต่เมื่อพ่อไปสอบ ก็สอบได้อีก เป็นอันว่าคำพยากรณ์ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
แต่การทำความดีนั้น มิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้สำรวจดูแล้วก็พบข้อบกพร่องอย่างมากมาย เช่น ไม่มีความอาจหาญพอ ที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยบางทีจิตใจรังเลไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไปบ่นว่าไป อดติเตือนเสียมิได้ ปกติยังมีสติควบคุมตัวเองดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย ความประพฤติดั่งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีกคะแนนของกรรมดีกรรมชั่วลบไปเสียมากทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 11 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ.2112 - 2122 จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง บังเอิญขณะนั้น พ่อไปเที่ยวนอกด่านกับเพื่อนจึงมิได้ประกอบพิธีอุทิศบุญกุศล ดังที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกปีหนึ่ง พ.ศ. 2123 เมื่อกลับมาทางใต้แล้ว จึงไปนิมนต์ท่านซิ่งคงและท่านเฮว่ยคง ซึ่งล้วนเป็นพระเถระที่ทรงคุณวิเศษมาประกอบอุทิศกุศลผลบุญ ที่ได้เพียรทำต่อเนื่องมาได้รวมสามพันครั้งตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ครั้งนี้ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. 2124 พ่อก็ได้เจ้ามาจึงตั้งชื่อให้ว่า "เทียนชี่" แปลว่า ฟ้าประทาน
เวลาใดที่พ่อได้กระทำความดีทางกายกรรมก้ดี มโนกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี พ่อจะใช้พู่กันบันทึกไว้ทันที แต่แม่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น เมื่อได้ช่วยพ่อกระทำความดีตรงใด ก็ใช้ก้านขนห่านจิ้มชาดกวงไว้บนปฏิทิน บางวันให้ทานคนยากจนหลายครั้ง ปล่อยสัตว์มีชีวิตมากวันหนึ่ง ๆ แม่เจ้าวงไว้ถึงสิบกว่าวงด้วยกันเพียงสิบปีกว่า ก็ทำได้ครบสามพันครั้งอีก คราวนี้พ่อนิมนต์พระเถระรุ่นก่อน ๆ มาทำพิธีอุทิศบุญกุศลที่บ้านเราเอง และเริ่มตั้งจิตอธิษฐานขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ต่อมาอีกสามปี พ่อก็สอบได้และได้เป็นนายอำเภอในปีนั้นเอง ประมาณพ.ศ. 2129 (ค.ศ. 1586)
-
พ่อได้ทำสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ให้ชื่อว่าสมุดบริหารใจ ตอนเช้าอันเป็นเวลาที่พ่อนั่งชำระความ พ่อก็ให้คนนำสมุดนี้มาวางไว้บนบัลลังก์ด้วย ในแต่ละวันพ่อชำระคดีไว้อย่างไรบ้างก็จะบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้อย่างละเอียด เพื่อไว้ตรวจสอบดูว่าจะมีอคติในการชำระความอย่างไรบ้างหรือไม่ มีความยุติธรรมเพียงพอไหมให้ความเมตตากรุณาเพียงพอไหม เพื่อจะได้ไว้แก้ไขใในวันต่อไป พอตกกลางคืน พ่อก็ตั้งโต๊ะที่กลางลานบ้าน พ่อแต่งตัวเต็มยศเพื่อแสดงความเคารพต่อฟ้าดิน แล้วจุดธูปเทียนบูชาฟ้าดินคุกเข่าลงอ่านบันทึกนั้น แล้วเผาถวายฟ้าดินหนึ่งชุด เก็บไว้หนึ่งชุด ที่พ่อทำเช่นนี้ก็เพราะพ่อเห็นตัวอย่างอันดีงามนี้มาจากขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ในสมัยราชวงศ์ซ้องที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนด้วยความเคารพอย่างสูงว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของท่านเท่ากับชีวิตของท่านเอง ไม่ยอมสยบต่อขุนนางกังฉินดูแลความทุกข์สุขของราษฏรและขุนนางใหญ่น้อยอย่างไม่กลัวตาย ถ้าการฉ้อราษฏร์บังหลวงมีการอาศัยหน้าที่หรืออิทธิพลก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านหรือขุนนางผู้น้อยแล้วไซร์ แม้ผู้นั้นจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้สักเพียงใรก็ตามท่านก็ไม่เกรงกลัว เป็นต้องนำหลักฐานทูลเกล้าฯถวายฮ่องเต้ให้ได้รับโทษานุโทษจงได้ เมื่อท่านสิ้นอายุขัยแล้วจึงได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงส่ง ได้รับสถาปนาเป็นที่ชิงเชี่ยงกง หมายถึง ผู้ที่กราบทูลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ใจ พ่ออ่านชีวประวัติอันเกริกเกียรติของท่านแล้วประทับใจมาก จึงถือเป็นตัวอย่างอันดีงามที่จะต้องปฏิบัติตามให้ได้ เพื่อป้องกันการชำระความของพ่อ มิให้ด่างพร้อยเสียความยุติธรรมไปได้ พ่อจึงกระทำเช่นนี้ทุกคืน
แม่ของเจ้าแสดงความวิตกกังวลให้พ่อฟังว่า แต่ก่อนนี้อยู่บ้านเราเอง ก็ช่วยกันทำบุญทำทานมีโอกาสประกอบกรรมดีมาก ไม่กี่ปีก็ได้ครบสามพันครั้ง แต่ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่ราชการ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับคนยากจนเหมือนแต่ก่อน ความดีหนึ่งหมื่นครั้ง เมื่อใดจะทำสำเร็จได้เล่า พ่อก็ได้แต่รับฟัง ในคืนวันนั้น จะว่าบังเอิญหรือไม่หนอ พ่อฝันเห็นเทวดาองค์หนึ่งพ่อจึงปรับทุกข์กับท่านถึงเรื่องที่แม่เจ้าวิตกกังวล ท่านบอกกับพ่อว่าพ่อนั้นไม่รู้ตัวเลยพ่อได้ทำความดีครบหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว เพียงแต่ลดภาษีข้่าวให้ราษฏรเป็นสุขขึ้น พ่อตื่นขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่า พ่อได้ทำไปเช่นนั้นจริง ๆ เพราะสงสารราษฏรที่ต้องเสียภาษีหนักเกินไปทำไมเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งพ่อเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็ล่วงรู้ถึงเทวดาฟ้าดินได้ และก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำเพียงแค่นี้น่ะหรือ ก็เป็นความดีได้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง บังเอิญท่านฝานเอวี๋ย์เถระมาจากภูเขาอู่ถายซาน พ่อจึงกราบถามท่านเพื่อให้หายสงสัย ท่านตอบว่า กุศลใดก็ตามถ้าทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจไม่หวังตอบแทนเป็นส่วนตัวแล้วไซร์แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำได้หมื่นครั้งทีเดียว การที่พ่อเห็นความทุกข์ยากของราษฏร หาทางแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบา ความสุขที่ราษฏรทั้งอำเภอได้รับย่อมเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ พ่อจึงเอาเงินเดือนของพ่อเดือนนั้นถวายแก่ท่านฝานอวี๋ย์เถระ เพื่อให้ทำอาหารมังสวิรัติถวายพระภิกษุในวัดของท่าน ซึ่งมีประมาณหนึ่งหมื่นรูป และอุทิศกุศลกรรมทั้งมวลไปตามที่อธิษฐานเอาไว้
-
ท่านผู้เฒ่าข่งเคยพยากรณ์พ่อไว้ว่า พ่อจะมีอายุอยู่ได้ 53 ปีเท่านั้น พ่อก็มิได้อธิษฐานให้ตนเองมีอายุยืนยาวแต่อย่างใด แต่ปีนั้นพ่อก้ไม่เป็นไรอยู่มาจนบัดนี้พ่อมีอายุได้ 69 ปีแล้วโบราณท่านกล่าวไว้ว่าฟ้าดินนั้นสุดที่จะหยั่งรู้ได้ ชะตาชีวิตจึงเอาแน่ไม่ได้ ชีวิตของใครคนนั้นก็ต้องสร้างอนาคตเอาเองจะให้คนอื่นสร้างให้หาได้ไม่ คำพูดนี้เป็นความจริงที่พ่อพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง พ่อจึงเชื่อมั่นด้วยความประจักษ์แจ้งแก่ใจของพ่อเองว่าความสุขความทุกข์ ล้วนแต่เกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว เป็นคำที่นักปราชญ์โบราณกล่าวกันต่อ ๆ มาจนถึงบัดนี้ถ้าใครยังเชื่อว่า สุขทุกข์เป็นสิ่งลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอนแก้ไขไม่ได้แล้วไซร์ แม้ผู้นั้นจะแสนฉลาดปราดเปรื่องอย่างไร เขาก็ยังเป็นปุถุชนอยู่หาความก้าวหน้ามิได้เลย
สำหรับตัวของลูกนั้น พ่อก็ยังไม่ทราบอนาคตว่าเป็นอย่างไรแต่ขอให้ลูกจำไว้ว่า แม้ลูกจะมีบุญวาสนาชะตาสูงก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีวันที่ตกต่ำลงได้ ถ้าลูกไม่รู้จักการระวังตัว ยามใดที่ลูกรู้สึกชีวิตมีแต่ความราบรื่นปลอดโปร่งสดวกสบายไปทุกอย่างลูกก็อย่ายึดมั่นจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อาจจะมีวันประสบความยุ่งยากเดือดร้อน ถ้าลูกไม่ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมเสมอ ยามใดที่ลูกมีความเหลือเฟือเงินทองไหลมาเทมามีความสมบูรณ์พูนสุขทุกประการก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกจะต้องตกระกำลำบาก ระหกระเหิน แม้จะหาที่ค้างกายสักคืนยังหายาก หากลูกไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควร ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ยามใดที่มีคนยิ้มชมชอบเคารพนบนอบต่อลูก ลูกก็จะต้องยิ่งทำตนให้เป็นที่น่าเคารพยิ่ง ๆ ขึ้น ถ่อมเนื้อถ่อมตัวด้วยความจริงใจมิใช่เสแสร้งแกล้งทำ ปากอย่างใจอย่าง อวดดีวางอำนาจ ยามใดที่ลูกได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ลูกก็อย่ายึดมั่นในโลกธรรมอันนั้นว่าจะแน่นอนเสมอไป ต้องเตือนสติตนเองอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่ง ยศศักดิ์ ชื่อเสียง เงินทอง และความสุขทั้งมวลอาจจะพังพินาศไปในพริบตาเดียวก็ได้ ถ้าลูกไม่หมั่นประกอบความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แม้ลูกจะมีความรู้ความสามารถเพียงใด ก็จงอย่าทะนงตนว่า ใครก็สู้ไม่ได้ลูกจะต้องหมั่นฝึกฝนเพื่อให้ความรู้นั้นแตกฉานยิ่งขึ้น ถ้าลูกทำได้เช่นนี้ ลูกก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง แสดงความสูงส่งนั้นไว้ได้ ไม่มีวันที่จะตกต่ำนอกจากวิบากแห่งกรรมเก่าซึ่งไม่มีใครรู้ว่าในชาติปางก่อน ๆ นั้นลูกได้เคยทำอกุศลกรรมอะไำรไว้บ้าง วิบากแห่งอกุศลกรรมนั้นย่อมให้ผลเมื่อถึงเวลาเสมอ แต่ถ้าลูกมีความดีมากจริง ๆ แล้ว อกุศลกรรมบางอย่างก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปคือกรรมตามไม่ทัน
ลูกต้องเคารพบูชาบรรพชนสรรเสริญคุณงามความดีของบรรพชนให้แผ่ไพศาล ลูกจะต้องปกปิดความผิดพลาดของพ่อแม่ไว้อย่าให้เป็นที่เสื่อมเสียแห่งวงศ์ตระกูลได้ ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งที่จะต้องเทิดทูนรักษาไว้ด้วยชีวิตต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต่ไม่เสื่อมคลาย ลูกจะต้องสร้างครอบครัวให้มีความสุขความอบอุ่นใจ ตลอดจนคนรับใช้ลูกจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ยากไร้ให้ทันท่วงที ลูกจะต้องมีจิตสำรวมระวังอินทรีย์อยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น ทั้งทางกาย วาจา และใจ
ลูกจะต้องสำรวจข้อบกพร่องในตัวของลูกเองทุก ๆ วันอย่าได้ขาดและจะต้องแก้ไขความผิดพลาดให้ทันท่วงทีทุก ๆ วันเช่นกัน วันใดที่ลูกมองไม่เห็นความผิดพลาดของลูก ก็แสดงว่าการปฏิบัติธรรมของลูกไม่ได้ก้าวหน้าไปเลยและกำลังถอยหลังแล้ว เพราะฉะนั้นลูกจะต้องหาความผิดพลาดของตนเองให้พบและแก้ไขให้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้ว ลูกจะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้เป็นการเสียชาติเกิด
คำสั่งสอนของท่านอวิ๋นกุเถระนั้น ซึ่งลึกล้ำตรงตามสภาวะธรรมและความเป็นจริงทุกประการ ซึ่งลูกจะต้องนำมาครุ่นคิดวิเคราะห์วิจัยหาเหตุผลเพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ใจของลูกเอง และยึดถือนำมาปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านอย่างเคร่งครัด ให้เกิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาให้ได้ จึงจะไม่เสียแรงที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง มิได้ปล่อยเวลาอันมีค่าให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลย
-
ในยุคชุนชิว (ก่อนพุทธศักราช 227 ปี) ก่อน พ.ศ.227 - พ.ศ.67 เป็นระยะเวลาที่อำนาจของราชวงศ์จิว (ก่อนศตวรรษที่ 11 ก่อน พ.ศ. 228)เสื่อมถอย หัวเมืองใหญ่น้อยต่างแข็งข้อ ตั้งตนเป็นใหญ่ จิตใจคนจีนในยุคนี้ เสื่อมทรามโหดเหี้ยมมาก ลูกฆ่าพ่อ ขุนนางฆ่าฮ่องเต้ ท่านนักปราชญ์ขงจื่อก็เกิดในยุคนี้ ท่านเห็นว่าเหตุการณ์จะรุนแรงยิ่งขึ้นไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ จึงนำหนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า " ชุนชิว " ซึ่งเป็นของแคว้นหลู่ มาแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ ส่วนที่ดีคงไว้ ส่วนที่ขาดเพิ่มเติม บันทึกความชั่วร้ายในยุคนั้นไว้ในหนังสือชุนชิวนี้อย่างละเอียดลออ เพื่อไว้เตือนใจคนไม่ให้นำมาเป็นเยี่ยงอย่าง ขุนนางในสมัยนั้น ช่างดูคนโดยสังเกตุกิริยาวาจา ก็สามารถคาดคะเนอนาคตของคน ๆ นั้นได้ สังคมขุนนางในสมัยนั้นจึงมักนำบุคลิกของใครต่อใครมาเป็นหัวข้อในการสนทนา พ่อจึงอยากให้ลูกค้นหาส่วนดีส่วนเสียของหนังสือเล่มนี้ แม้จะเป็นของโบร่ำโบราณ ห่างจากยุคเราเกือบสองพันปีก็ตาม แต่ลูกก็จะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้อย่างเหลือล้น นอกจากเล่มนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายเล่ม ที่บันทึกประวัติศาสตร์ในระยะสองพันปีนี้ ลูกอ่านแล้วจะได้เข้าใจชีวิตดีขึ้น รู้จักนำส่วนดีของอดีตมาเสริมสร้างชีวิตอนาคตของลูกเองให้เพียบพร้อมด้วยความเป็นคนที่มีศีลมีธรรมหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนได้ในที่สุด
ธรรมดานิมิตหรือลางสังหรณ์นั้นมักจะเกิดทางใจแล้วปรากฏให้เห็นเป็นอริยาบท บุคคลิกลักษณะจึงเปรียบประดุจกระจกเงา ฉายให้เห็นบุญวาสนาหรือเคราะห์กรรมที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องได้รับในอนาคต ปุถุชนมักมองไม่เห็นบุคคลิกลักษณะอันน่าศึกษานี้ กลับเห็นว่าเป็นการคาดคะเนที่ไม่แน่นอน ธรรมชาตินั้นมีความซื่อตรงยิ่งนัก หากเราเอาอย่างธรรมชาติได้ จิตใจของเรานี้ก็จะผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ซึ่งก็คือฟ้าดินนั่นเอง ฉะนั้นลูกจงสังเกตุพฤติกรรมของบุคคล ต่าง ๆ ว่าเขาชอบทำกรรมดีหรือว่ากรรมชั่ว ถ้าเขาชอบทำแต่กรรมดี ทำได้ครบตามมาตรการและสูงถึงมาตรฐานแล้วไซร์ ก็จงแน่ใจเถิดว่าเขาจะต้องได้รับผลดีแน่ แต่ถ้าเขาชอบทำแต่กรรมชั่ว ลูกก็จงแน่ใจเถิดว่าเขาจะต้องได้รับผลเลวร้ายตอบแทน หากลูกต้องการความสุขและห่างไกลจากความทุกข์ ลูกจะต้องรู้จักวิธีแก้ไขความผิดพลาดของตนเองเสียก่อน
ข้อที่ 1. ลูกจะต้องมีความละอายต่อการทำชั่ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้คน ลูกลองคิดดูสินักปราชญ์แต่ครั้งโบราณมา ท่านก็เป็นชายอกสามศอกเช่นลูกนี้ แต่ไฉนท่านเหล่านั้นจึงได้รับความเคารพบูชาเป็นปูชนียบุคคล แม้กาลเวลาจักได้ผ่านไปแล้วเป็นร้อยชั่วคนก็ตาม ส่วนลูกนั้นเล่ายังคงเป็นกระเบื้องที่แตกอยู่เป็นเสี่ยง ๆ ในชีวิตยังไม่ได้สร้างอะไร เป็นชิ้นเป็นอันเป็นแก่นสาร ให้ปรากฏเลย ทั้งนี้ก็เพราะลูกมัวหลงระเริงอยู่กับความสุขทางโลก เหมือนผ้าขาวที่ถูกสีต่าง ๆ แปดเปื้อนเสียแล้ว ย่อมหมดความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มักจะทำอะไรที่ไม่สมควรทำ แต่คิดว่าผู้อื่นไม่ล่วงรู้ ต่อไปก็ยิ่งเหิมเกริมทำผิดมากขึ้นทุกที โดยไม่มีความละอายต่อบาป ลงท้ายก็จะเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ในโลกนี้ จะมีสิ่งใดอีกเล่าที่จะน่าละอายไปกว่าที่ตนเองไม่รู้ดีรู้ชั่ว ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อจึงได้กล่าวไว้ว่า ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปนั้น เป็นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในโลกนี้ ผู้ใดมีไว้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ ผู้ใดมิได้มีไว้ย่อมเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ลูกจึงต้องเริ่มต้นแก้ไขความผิดพลาดของตนเองด้วยกุศลธรรมข้อนี้ก่อน
-
ข้อที่ 2. ลูกจะต้องมีความเกรงกลัวต่อการทำชั่วเทพยดาอยู่เบื้องบน ผีสางวิญาณล้วนมีร่างโปร่งแสงมีอยู่เกลื่อนกลาด ทุกหนทุกแห่งซึ่งนัยน์ตาของมนุษย์ธรรมดาย่อมมองไม่เห็นไม่ว่าลูกจะทำผิดอะไรที่คนไม่รู้ผีสางเทวดาก็รู้หมด ถ้าลูกทำความผิดร้ายแรง ลูกก็จะได้รับเคราะห์กรรมไม่เบาทีเดียวล่ะ ถ้าลูกทำผิดเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้ลูกได้รับความสุขที่กำลังให้ผลอยู่ในปัจจุบันลดน้อยลงทันที ลูกจะไม่กลัวได้หรือ ไม่เพียงเท่านั้น แม้เราจะอยู่ในบ้านของเราเอง ในที่รโหฐานก็ตาม ก็หนีไม่พ้นสายตาของผีสางเทวดาไปได้ แม้ลูกจะปกปิดความผิดไว้ดีเพียงไรแต่จะปกปิดผีสางเทวดาหาได้ไม่ เพราะแม้แต่ตัวลูกมีไส้กี่ขด ท่านเหล่านั้นก็มองเห็นทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว หากวันใดบังเอิญมีคนแอบรู้เห็นเข้าก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าไปทีเดียว อย่างนี้แล้วลูกยังจะไม่กลัวอีกหรือ ไม่เพียงเท่านั้น หากลูกยังมีลมหายในอยู่แม้จะทำความผิดล้นฟ้า ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้ ถ้าลูกสำนึกในความผิดนั้นได้ทันท่วงที ในกาลก่อนมีชายคนหนึ่งตลอดชีวิตของเขาชอบทำแต่ความชั่ว ครั้นพอใกล้จะตาย ได้สำนึกผิดเพียงขณะจิตเดียว และจิตสุดท้ายที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ก็ยังสามารถทำให้จิตที่เกิดต่อจากจิตสุดท้าย (จุติจิต) ได้ปฏิสนธิในสุคติภพทันท่วงที รอดจากการไปสู่ทุคติภพอย่างหวุดหวิด และเมื่อเขาได้ไปสู่สุคติถพเสียก่อนเช่นนี้จิตที่เรารู้จักผิดชอบชั่วดีแล้วในวินาทีสุดท้ายนี้ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เขาประกอบแต่กรรมดี หากเขาสามารถสั่งสมความดีได้มากกว่ากรรมชั่ว ที่เคยกระทำมาเป็นหมื่นเท่าพันทวีแล้วไซร์ วิบากแห่งกรรมชั่วที่มิใช่กรรมหนักจักติดตามมาให้ผลไม่ทันเสียแล้ว ดุจในถำ้ที่มืดมิดมานานนับพันปีเพียงแต่จุดไฟให้สว่างเพียงดวงเดียว ก็สามารถขับไล่ความมืดที่มีมานานนับพันปีให้หมดสิ้นไปในพริบตาเดียว ฉะนั้นลูกจงจำไว้ว่า ความผิดที่ลูกกระทำไว้นานแล้วหรือเพิ่งกระทำ ขอให้รู้สำนึกและแก้ไขเสียทันทีจึงจะเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องไปสู่ทุกคติภพที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน แต่ลูกจะต้องจำไว้ให้ดีว่า แม้ความผิดนั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ก็อย่านอนใจที่จะทำผิดบ่อย ๆ อย่านึกว่าเราทำผิดแค่นี้ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราจะแก้ไขไม่ทำอีกแล้วก็แล้วกัน ถ้าคิดเช่นนี้ ก็ผิดจากวัตถุประสงค์ที่พ่อพร่ำสอนลูกมา อันความผิดที่เกิดจากรู้ว่าผิดแล้วยังจงใจทำ ""เป็นมโนกรรมที่มีโทษหนัก"" แม้ลูกตั้งใจจะแก้ไขนั้นพรุ่งนี้ก็อาจจะสายไปเสียแล้ว เพราะในโลกแห่งความวุ่นวายนี้ ใครจะรับประกันได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ถ้าลูกขาดหายใจเพียงครั้งเดียวชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของลูกเสียแล้ว ทุกสิ่งลูกก็นำติดตัวไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งเป็นรูปธรรม มีใครเป็นเจ้าของรูปธรรมได้ชั่วนิรันดร์ สิ่งที่ติดตามลูกไปได้มีเพียงกรรมดีและกรรมชั่วเท่านั้น อันเป็นนามธรรมที่มนุษย์มองไม่เห็นจะสัมผัสได้ด้วยใจเท่านั้น หากบุญยังมีเหลือพอได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ดีเป็นร้อยเป็นพันปี แม้จะมีลูกหลานที่ดีก็ไม่สามารถช่วยลูกได้ หากกรรมหนักไม่สามารถมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะต้องตกนรกหมกไหม้ทนทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงโปรดไม่ได้ เพราะผู้ใดทำกรรมไว้ผู้นั้นเองเป็นผู้ได้รับผลแห่งกรรมนั้น ลูกยังจะไม่กลัวได้หรือ
-
ข้อ 3. ลูกจะต้องมีความกล้าที่จะแก้ไขตนเอง มีกำลังใจที่จะแก้ไขอย่างจริงจังไม่ท้อถอยมีความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำบ้างหยุดบ้าง ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เปรียบประดุจหนามตำอยู่ในเนื้อ ถ้ารีบบ่งหนามออกเสียก็จะหายเจ็บทันที หากเป็นความผิดใหญ่หลวงก็เปรียบประดุจถูกงูพิษที่ร้ายแรงขบกัดเอาที่นิ้ว ถ้าลูกไม่กล้าตัดนิ้วทิ้งพิษก็จะลุกลามไปถึงหัวใจและตายได้ง่ายๆ ลูกจึงต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าเผชิญ ความจริงรู้ตัวว่าผิดตรงไหน ต้องแก้ตรงนั้นทันที อย่ารีรอลังเลจะเสียการในภายหลัง ลูกจึงศึกษา"" วิชาโป๊วก่วย ที่ว่าด้วยความแข็งแกร่งของฟ้า ความอ่อนโยนของดิน ความมีพลังของไฟ ความเย็นของน้ำ ความกึกก้องของเสียงฟ้าร้อง ความแรงกล้าของลม ความมั่นคงของขุนเขา และความเป็นกระแสของสายธาร แล้วลูกจะเข้าใจถึงธรรมชาติแปดประการนี้ "" ซึ่งต่างก็เป็นปัจจัยให้กันและกัน ในยามที่พายุมา เสียงฟ้าร้อง ลมก็จะกลายเป็นปัจจัยช่วยให้ฟ้าร้องดังยิ่งขึ้น ฟ้าก็จะช่วยลมให้มีกำลังพัดรุนแรงขึ้น ตัวอย่างเหล่านี้ ถ้าลูกศึกษาให้เข้าใจแล้ว ก็จะสามารถนำวิชาโป๊ยก่วยนี้ มาประยุกต์ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สุขแก่ลูกเอง ความผิดถูกความดีชั่วลัวนเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เมื่อรู้ว่าผิดรีบแก้ไขเสีย ความถูกก็จะกลับคืนมา เมื่อทำความดีอยู่ ความชั่วไหนเลยจะกล้ำกราย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของลูกเอง เท่านั้นจงจำไว้
เมื่อลูกมีความละอาย มีความเกรงกลัว และมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะแก้ความผิดพลาดของตนเองแล้วไซร์ ความผิดนั้นก็ย่อมลดน้อยถอยลงจนหมดไปในที่สุด เปรียบประดุจสายน้ำที่รวมตัวกลายเป็นน้ำแข็งในฟดูใบไม้ผลิ เมื่อถูกแสงอาทิตย์ก็ย่อมละลายกลายเป็นดั่งเดิม แต่ความผิดพลาดของมนุษย์นั้นไม่ง่ายดั่งว่าเป็นเสียทั้งหมดบางสิ่งต้องแก้ที่เหตุการณ์ บางสิ่งต้องแก้ที่เหตุผล บางสิ่งต้องแก้ที่ใจ วิธีการแก้ไขย่อมแตกต่างกันออกไป ผลที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ลูกจงฟังให้ดี
เช่นเมื่อวานเราฆ่าสัตว์ วันนี้เราตั้งใจไม่ฆ่าอีกต่อไป หรือ เมื่อวานเราโกรธ ผรุสวาทไปมากมาย วันนี้เราตั้งใจไม่โกรธอีกต่อไป นี่คือการแก้ไขที่เหตุการณ์ ทำผิดแล้วจึงได้คิด ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลเพียงระงับได้ชั่วคราว เผลอเมื่อใดเราก็จะทำผิดได้อีก
การแก้ไข จึงต้องแก้ก่อนที่จะมีการกระทำผิดที่เกิดขึ้น คือ ต้องรู้เหตุที่ก่อให้เกิดความผิดได้เสียก่อน เช่นการฆ่าสัตว์ ถ้าเราเข้าใจเสียก่อนว่าชีวิตใคร ๆ ก็รัก ไฉนจึงฆ่าสัตว์อื่นเพื่อเลี้ยงชีวิตเราให้ยืนยาวเล่า ถ้ามีใครทำกับเราบ้างอย่างนี้ลูกจะยอมหรือ อนึ่ง การฆ่าสัตว์นั้น ทำให้เกิดความทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส นำสัตว์ต้มในกะทะร้อน ๆ กว่าจะตายก็แสบร้อนไปทุกขุมขน บริโภคอาหารเนื้อสัตว์เอร็ดอร่อยเพียงใด เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องเราแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นปฏิกูลต่อไป ถ้าเราบริโภคแต่พืชผักผลไม้ เราก็อยู่ได้อย่างเป็นสุขเช่นกันไม่เดือดร้อนอะไร ไฉนจึงต้องไปทำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อความอิ่มเพียงชั่วยาม แต่ต้องทำลายบุญที่มีอยู่แล้วให้น้อยลง และเพิ่มบาปให้มากขึ้นด้วยเล่า
ชีวิตที่ประกอบขึ้นด้วยเลือดเนื้อนั้น ย่อมมีวิญญาณคือความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับเรา ถ้าเราไม่สามารถทำให้สัตว์เหล่านั้น มารักนับถือเราไว้วางใจเราและอยากอยู่ใกล้เราแล้ว เราก็อย่าสร้างความเคียดแค้นชิงชัง จนถึงจองเวรจองกรรมกันขึ้นเลย ถ้าลูกคิดได้เช่นนี้แล้วลูกก็จะกลืนเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ลงคอ เมื่อสมัยโบราณกาลในยุคหินใหม่ เรามีผู้นำซึ่งเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาและทรงปรีชาสามารถยิ่งพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีพระนามว่า ""ตี้ซุ่น"" ก่อนเสวยราชย์โดยราษฏรพร้อมใจกันเลือกท่าน ท่านเป็นชาวนาที่ทำนาอยู่นั้นจะมีช้างมาช่วยท่านไถนา มีนกมาช่วยท่านถอนหญ้า ซึ่งปัจจุบันนี้ ภาพเช่นนี้หาดูไม่ได้อีกแล้ว ก็เพราะมนุษย์ขาดความเมตตากรุณาอย่างจริงใจนั่นเอง
เรื่องความโกรธก็เช่นกัน ถ้าเรารู้จักคิดสักนิดว่าคนนั้นแตกต่างกันทั้งนิสัย สติปัญญา กรรมในอดีตและปัจจุบัน ภูมิหน้าภูมฺหลังของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน บางอย่างเขาสู้เราไม่ได้ บางอย่างเราสู้เขาไม่ได้ เมื่อเขาพลาดพลั้งไปก็ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา น่าสงสารมากกว่า น่าให้อภัยมากกว่า ถึงแม้เขาจะให้ร้ายเราก็เป็นเรื่องที่เขาทำผิดเอง เราไม่เดือดร้อนนัก ก็จะไม่เกิดความโกรธขึ้นมาเลย
-
ลูกจะต้องคิดให้ได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำความผิด คนที่อวดดี อวดวิเศษนั้นหาใช่ปราชญ์ที่แท้จริงไม่ คนที่มีความรู้สมเป็นนักปราชญ์นั้น ท่านมักถ่อมตน คอยจับผิดตนเอง ไม่กล้าโกรธเคืองผู้อื่น ไม่จับผิดผู้อื่น คอยสำรวตตนเองว่าได้ล่วงเกินใครอย่างไรบ้างหรือเปล่า ยามที่มีคนล่วงเกินตน ก็จะต้องถามตนเองเสียก่อนว่า ได้เคยล่วงเกินเขาไว้ก่อนหรือไม่ เรามัวคิดเสียเช่นนี้ เราก็จะไม่ทันได้โกรธผู้อื่น ยิ่งถามตนเองแล้วปรากฏว่า ไม่เคยล่วงเกิน ไม่เคยไม่จริงใจต่อเขามาก่อน เราก็ยิ่งสบายใจ รับเอาความผิดพลาดของผู้อื่นมาเป็นบทเรียนฝึกฝนตนเองต่อไป เราก็จะกลายเป็นคนดียิ่ง ๆ ขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใครทำไม่ดีกับเรา เราก็รับบทเรียนไว้ด้วยความยินดี จิตใจไม่ขุ่นมัวจักมีความโกนธมาแต่ไหน
ถ้ามีคนนินทาว่าร้ายลูก ลูกก็จะต้องคิดให้ได้ว่าเหมือนคนจุดกองไฟเผาฟ้า แม้กองไฟจะใหญ่มหึมาเพียงได แต่ฟ้านั้นว่างเปล่าไม่มีเชื้อที่จะติดไฟได้ กองไฟจะลุกโชติช่วงสักเพียงใด ก็จะไหม้และมอดไปข้างเดียวในที่สุด คนที่ว่าร้ายลูก เห็นลูกอยู่ในความสงบไม่โกรธ ไม่ตอบเขาก็จะหยุดไปเองเช่นกัน เพราะการนินทาว่าร้ายนั้นเหมือนนำสีมาป้ายที่ผ้าขาวนั้น ย่อมยากที่จะขาวได้ดั่งเดิม แม้ลูกจะมีเหตุผลดีอย่างไร ก็ไม่สามารถจะโต้แย้งให้ขาวกระจ่างได้ เปรียบประดุจตัวไหมในฤดูใบไม้ผลิหลงกินใบหม่อนไปดิ้นไป ยิ่งกระดุกกระดิกมากเท่าไร ใยไหมก็ยิ่งผูกมัดตัวเองมากเท่านั้น ความโกรธก็เช่นกัน มีแต่โทษหามีคุณไม่ ถ้าลูกสามารถใช้เหตุผลใคร่ครวญดูแล้ว ทุกสิ่งก็จะไม่น่าโกรธ ความโกรธก็จะไม่เกิดขึ้นกับลูกอีกเลย
วิธีแก้ไขความผิดพลาดที่พูดไปแล้ว มีแก้ไขเมื่อเกิดความผิดขึ้นแล้ว และแก้ไขเมื่อยังมิได้ทำ ความผิดวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การแก้ที่ใจนั่นเอง โบราณท่านว่าไว้กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ก็ล้วนเกิดที่ใจทั้งสิ้น ถ้าเราห้ามใจมิให้เกิดกิเลสตัณหาได้ ความผิดใด ๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดุจดั่งดวงตะวันสาดแสงส่องมาคราใด ความมืดก็หมดไป ปีศาจก็ยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่กล้าออกมาเพ่นพ่าน เปรียบได้กับการโค่นล้มต้นไม้ที่มีพิษ ลูกจะต้องขุดรากถอนโคลนให้หมดสิ้น ไม่ใช่ค่อย ๆ ลิดกิ่งปลิดใบ ซึ่งไม่ทันการ
สรุปแล้ว การแก้ที่ใจ จึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างแท้จริง เพียงเกิดรู้สึกว่าจะทำผิด ก็รู้สึกตัวเสียก่อนแล้วด้วยสติสัมปชัญญะ ความผิดจึงเกิดขึ้นไม่ได้ นี่คือการยับยั้งชั่งใจที่ต้องอบรมบ่มเพาะ ให้สติประคองใจเราไว้ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ ลูกจะต้องใช้วิจารณญาณให้ถูกต้องว่า คราใดที่ควรจะใช้วิธีใดจึงจะเหมาะจะควร ถ้าลูกนำวิธีมาใช้ไม่เหมาะไม่ควรก็จะไม่ทันการ แล้วลูกก็จะต้องตกอยู่ในความโง่ต่อไปไม่มีทางได้ดี
การตั้งปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตนเองก็ดี การอธิษฐานจิตอยู่บ่อย ๆ ตลอดวันตลอดคืนก็ดี ล้วนแต่จะช่วยกระชับความหนักแน่นให้แก่ลูก นอกจากนี้ยังจะต้องมีกัลยาณมิตร คอยช่วยเหลือตักเตือนมีผีสางเทวดาคอยช่วยดลใจิจตใจของลูก ต้องเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ทั้งกลางวันกลางคืน ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก เพียงสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ อย่างช้าก็ไม่เกินสามเดือน ย่อมปรากฏผลอย่างแน่นอน
ลูกจงคอยสังเกตุถึงจิตใจที่จะสงบขึ้น สติปัญญาแจ่มใสสมองโปร่งไม่ปวดศรีษะ ทำอะไรก็ดูจะง่ายขึ้นเร็วขึ้น ไม่มีผิดพลาด ไม่เครียดจนหงุดหงิด ถ้าลูกพบคนที่ไม่ถูกโรคกันมาก่อน กลับรู้สึกเฉย ๆ แทนที่จะเกิดความอิดหนาระอาใจอย่างที่เคยเป็นมา กลางคืนอาจจะฝันว่าตนเองได้อาเจียนของดำ ๆ ออกมา บางทีก็จะฝันเห็นนักปราชญ์โบราณมาสั่งสอนแนะนำ บางทีก็จะฝันว่าได้บินไปเที่ยวบนท้องฟ้า บางทีก็จะฝันเห็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นนิมิตดี เพื่อให้ลูกรู้ว่าบาปกรรมนั้นได้ลดน้อยถอยลงแล้ว แต่ลูกอย่าได้ลำพองใจเป็นอันขาด มิฉะนั้นความเพียรของลูกจะหยุดก้าวหน้าได้ทันที
แต่ก่อนนี้สมัยซุนซิว มีขุนนางในแคว้นเอว้ย ท่านหนึ่งเมื่ออายุได้ยี่สิบปี ท่านก็รู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดอะไรมาบ้าง และสามารถแก้ไขได้หมดสิ้น ครั้นเมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ท่านก็รู้อีกว่า ที่คิดว่าแก้ไขหมดแล้วนั้น ที่แท้ยังไม่หมดจนดี ครั้นเมื่อท่านอายุได้ 22 ปี ท่านก็ยังเห็นอีกว่าเหลือความผิดอะไรอยู่บ้างเช่นนี้ทุกปีมา จนเมื่อท่านอายุ 50 ปี ก็ยังรู้ว่าเมื่ออายุ 49 ปีนั้น มีความผิดอะไรที่ยังไม่ได้แก้ไขบ้าง ลูกจงดูไว้เป็นตัวอย่างว่าคนโบราณนั้น ท่านมีความจริงใจต่อการแก้ไขเพื่อพัฒนาตนเองเพียงไร
พวกเราสมัยนี้ล้วนแต่เป็นคนหยาบ มีความผิดติดตัวกันอย่างมากมาย ราวกับตัวเหลือบที่เกาะเต็มไปหมด แต่เราก็ไม่เห็นไม่รู้สึกว่าอดีตนั้น เราได้ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง นี่ก็เพราะความหยาบของจิตมีดวงตาก็หามีแววไม่นั่นเอง ลูกจงสังเกตุคนที่บาปหนา มักจะปรากฏบุคคลิกภาพที่อาภัพให้เห็นได้ง่าย ๆ เช่น เป็นคนขี้หลงขี้ลืม ปวดหัวมึนงง ง่วงเหงาหาวนอน แม้จะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็มีจิตใจที่หงุดหงิด เศร้าซึมเลื่อยลอย ขี้หวาดกลัวหาความสุขความร่าเริงไม่ได้ เห็นคนก็ไม่กล้าสบตาด้วย ไม่ชอบฟังเทศน์ ฟังธรรม บางทีทำดีกับใครก็กลับได้ผลในทางตรงกันข้าม กลางคืนนอนก็ฝันร้าย พูดจาเลอะเลือน จิตใจท้อแท้ เหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตของคนบาปหนาทั้งสิ้น ถ้าลูกรู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนี้ ก็จงรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน อย่าได้รั้งรออยู่เลย
-
โอวาทข้อที่สองนั้น ท่านเหลี่ยวฝานได้สอนวิธีแก้ไขความผิดในชีวิตปัจจุบัน แต่การที่ไม่ทำผิดในชาตินี้ ยังไม่สามารถที่จะทำให้ชีวิตเสวยผลดีมีสุขได้ตลอดไป เพราะเหตุว่าแม้ชาตินี้จะมิได้ก่อกรรมทำเข็ญเพิ่มขึ้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชาติก่อน ๆ นั้นเราทำความไม่ดีอะไรไว้บ้างซึ่งจะต้องมีแน่ ๆ เพียงแต่มากหรือน้อยเท่านั้นที่เราไม่อาจจะทราบได้ ซึ่่งก็จะต้องได้รับวิบากแห่งกรรมในชาตินี้ต่อไป ฉะนั้น ไม่เพียงแต่เราจะต้องละการทำชั่วแล้ว เรายังต้องสร้างกรรมดีให้เพิ่มพูนยิ่ง ๆ ขึ้น โอวาทข้อที่สามนี้ ท่านเหลี่ยวฝาน จึงสอนให้ลูกท่านรู้จัก " วิธีสร้างความดี "
ลูกจะต้องอ่านคัมภีร์เอ้งเก็งให้เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะเป็นคัมภีร์ที่ดีมากเล่มหนึ่ง เพียงหน้าแรกก็ให้กำลังใจแก่ผู้อ่านอย่างมหาศาล โดยกล่าวไว้ว่าครอบครัวที่สั่งสมแต่ความดี ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวจะได้รับผลดีเท่านั้น แม้ลูกหลานเหลนโหลก็พลอยได้เสวยผลแห่งความดีนั้นด้วย เพราะเหตุนี้ท่านตาของท่านขงจื่อ นักปราชญ์ผู้เลืองชื่อของจีน ท่านจึงยกลูกสาวของท่านให้กับท่านพ่อของท่านขงจื่อ เพราะท่านได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าชายที่จะมาเป็นบุตรเขยของท่านนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเท่านั้น ยังต้องมีบรรพชนที่ประพฤติปฏิบัติชอบมาหลายชั่วอายุคนด้วย และก็เป็นความจริงตระกูลนี้ได้ให้กำเนิดนักปราชญ์ ที่ชาวจีนทั้งประเทศต้องสักการะบูชาเป็นปูชนียบุคคลที่หายากในโลกผู้หนึ่งคือท่านขงจื่องัยล่ะลูก ต่อมาท่านขงจื่อได้สรรเสริญท่านตี้ซุ่น ที่พ่อได้กล่าวให้ลูกฟังทีหนึ่งแล้ว ว่าท่านตี้ซุ่นเป็นผู้ที่มีความกตัญญูอย่างยอดเยี่ยมหาใครเปรียบได้ยากบรรพชนของท่านตี้ซุ่น จะต้องยินดีปรีดาที่มีลูกหลานที่ดีเซ่นไหว้บูชา ส่วนลูกหลานที่กระทำตนไม่ดีนั้น แม้จะเซ่นไหว้บูชาบรรพชน บรรพชนก็ไม่ยินดีด้วย และไม่ยอมรับการเซ่นไหว้บูชาด้วย ลูกศึกษาประวัติศาสตร์สมันชุนซิวแล้ว ลูกก็จะเข้าใจดีว่าลูกหลานของท่านหลายชั่วอายุคนทีเดียว อดีตจึงเป็นตัวอย่างอันดี ที่ลูกจะได้ศึกษาทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงและจดจำมาแต่สิ่งที่ดีงามเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของลูกเอง
มีขุนนางตำแหน่งพระอาจารย์ท่านหนึ่ง มีหน้าที่ถวายพระอักษรฮ่องเต้ เมื่อยังทรงพระเยาว์ท่านผู้มีบรรพชนที่ยึดอาชีพแจวเรือจ้างมาหลายชั่วคน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตั้งแต่พระอาจารย์ยังไม่เกิด ฝนตกนานจนท่วมตลิ่งกระแสน้ำได้พัดพาชีวิตผู้คน และทรัพย์สินลอยตามน้ำมามากมาย ชาวเรือจ้างต่างก็สารวนเก็บทรัพย์สินขึ้นเรือเป็นของตน มีแต่ท่านทวดและท่านปู่ของพระอาจารย์ท่านนี้เท่านั้น ที่ไม่ยอมเตะต้องสิ่งของใด ๆ เลย ตั้งหน้าตั้งตาช่วยชีวิตคนที่ลอยตามกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากมา ใคร ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะว่าท่านทั้งสองโง่ ไม่รู้จักฉวยโอกาสหาความร่ำรวยใส่ตน แต่การณ์หน้าเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อท่านปู่ได้ลูกชายคือท่านบิดาของพระอาจารย์นี้ ความเป็นอยู่ของท่านกลับไม่ลำบากดังแต่ก่อน ครอบครัวมีความสุขสบายขึ้น ท่านทวดสิ้นบุญไปแล้ว ต่อมาท่านปู่ก็ถึงแก่กรรมลง มีเต้าหยินท่านหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันมาว่าเป็นเทวดาแปลงร่างมาปรากฏได้แนะนำท่านพ่อของพระอาจารย์ นำศพของท่านทวดและท่านปู่ไปฝังรวมกันในที่แห่งหนึ่งใกล้บ้านซึ่งมีชัยภูมิดีมาก เป็นมงคลแก่ลูกหลานต่อไป ทุกวันที่ฮวงซุ้ย กระต่ายขาวนี้เป็นที่เลื่องลือกล่าวขวัญกันทั่วทุกทิศ สดุดีในเกียรติคุณของคนแจวเรือจ้างที่เป็นท่านทวดและท่านปู่ของพระอาจารย์ เมื่อพระอาจารย์ถือกำเนิดมาอายุได้ 20 ปีก็สอบไล่ได้ตามขั้นตอนทั้งหมด ได้รับราชการเป็นขุนนาง จนได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแก่ฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบถึงคุณงามความดีของท่านทวด และท่านปู่ของอาจารย์ ก็ได้โปรดเกล้าฯพระราชทานยศขุนนางให้กับท่านทวด ท่านปู่ และท่านพ่อของพระอาจารย์อีกด้วย เพื่อเป็นการแสดงให้ปรากฏว่าการทำความดีงามนั้น ย่อมได้รับสิ่งที่ดีงาม สมควรเป็นแบบอย่างแก่บุคคลทั่วไป แม้ลูกหลานของพระอาจารย์ก็ได้รับราชการเป็นใหญ่เป็นโตตราบจนทุกวันนี้มากมาย
-
มีเสมียนอำเภอท่านหนึ่ง แม้จะมีตำแหน่งเล็ก ๆ แต่จิตใจนั้นเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมเป็นคนรักษาระเบียบวินัยของราชการอย่างเคร่งครัด มีความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ไม่ทำสิ่งไรที่ผิดศีลธรรม ส่วนนายอำเภอนั้นเป็นคนดุร้าย อยู่มาวันหนึ่ง นายอำเภอสั่งเฆี่ยนผู้ต้องหาที่ไม่ยอมรับสารภาพ ตีจนเนื่อแตกเลือดไหลนองพื้นก็ยังไม่หายโกรธ เสมียนอำเภอเห็นความทารุณไม่ไหว จึงคุกเข่าต่อหน้านายอำเภอ ขอให้ปราณีนักโทษ หยุดตีเสียที นายอำเภอตอบว่าปราณีน่ะได้ แต่ผู้ต้องหาคนนี้ไม่รักษากฏหมาย ไม่มีศีลธรรมจะไม่ให้โกรธกระไรได้ เสมียนอำเภอจึงโขกศรีษะลงกับพื้น พลางพูดว่า ผู้ที่เป็นขุนนางถ้าไม่ชำระความตามเหตุผลข้อเท็จจริง เอาแต่อารมณ์ตนเป็นใหญ่ ราษฏรย่อมไม่มีตัวอย่างอันดีงามให้ประพฤติปฏิบัติตามจิตใจของราษฏรหาที่ยึดเหนี่ยวเป็นสรณะไม่ได้ การชำระความนั้นแม้จะสอบสวนได้ความจริงออกมาแล้วก้ไม่ควรดีใจจะทำให้เกิดความประมาทเลินเล่อ ไม่ได้ความจริงที่อยู่ลึกกว่าคนจริงธรรมดา ทำให้การชำระความผิดพลาดได้ง่าย แม้จะได้ความจริงทั้งหมดออกมาแล้ว ก็ยังไม่ควรดีใจ ควรจะเสียใจและสงสารที่เขาทำผิดไปโดยความจงใจก็ดี เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดียังต้องนำเมตตาธรรมมาร่วมกับการวินิจฉัยคดีความด้วยทางใดที่ผ่อนหนักเป็นเบาได้ ก็ควรให้โอกาสเขาได้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีต่อไป ถ้าแสดงความโกรธมากมายเช่นนี้ผู้ต้องหาเกรงอาญาก็จะรีบยอมรับเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ตนมิได้ทำความผิดดังที่ถูกกล่าวหา จะมิเป็นการปรักปรำราษฏรไปหรือ ดีใจยังไม่เป็นการบังคับจักโกรธได้ที่ไหน นายอำเภอสำนึกในคำพูดของเสมียนอำเภอ แต่นั้นมาก็ไม่กล้าแสดงความโกรธความดีใจในขณะที่ชำระความอีกเลย
ทีนี้พ่อจะพูดถึง""ความดีข้อที่สอง"" คือ ทำความดีโดยบริสุทธิ์ใจหรือแฝงความเจตนาใด ๆ สมัยนี้คนส่วนมากชอบคนที่มีนิสัยไม่ดื้อรั้นว่าเป็นคนดี แต่นักปราชญ์ท่านมักชอบคนที่เป็นตัวของตัวเองเพราะคนชนิดนี้มักจะสอนง่าย แต่หาได้ยากมากคนที่ว่านอนสอนง่าย ชักจูงอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ถึงแม้ใครต่อใครพากันชมเชยว่าเป็นคนดีนักหนาก็ตามที แต่ท่านนักปราชญ์กับเห็นว่าคนชนิดนี้เป็นผู้ร้ายในคุณธรรมสอนให้ดีได้ยาก หาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นความดีความไม่ดีชาวโลกมักเห็นตรงกันข้ามกับนักปราชญ์เสมอ ดังนั้นการทำความดี จึงมิได้อาศัยที่ตาดู หูฟัง แต่ต้องเริ่มที่ใจของตนเองเริ่มไตร่ตรอง สำรวจตนเองอย่างระแวดระวัง อาศัยกำลังใจของเราเองซักฟอกจิตใจให้ใสสะอาดไม่ว่าจะทำอะไร ก็ให้คิดถึงประโยชน์สุขของผู้อื่นก่อน แล้วทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่แฝงไว้ด้วยเจตนาที่จะต้องการตอบแทนจากใคร จึงจะเป็นความดีโดยบริสุทธิ์ หากเราทำความดีเพื่อเอาใจผู้อื่นก็ดี หวังการตอบแทนก็ดี ก็ไม่ใช่ความดีที่เกิดจากความบริสุทธิ์ใจแล้ว เป็นการเสแสร้งเพทุบายเพื่อหวังประโยชน์ตนเป็นที่ตั้งเป็น "เจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ใจถือเป็นความดีแท้ไม่ได้" ส่วน ""ความดีข้อที่สาม"" คือ การทำดีที่มีผู้รู้เห็นและไม่มีผู้รู้เห็น ถ้าทำความดีมีคนรู้เห็นมาก ก็กลายเป็นความดีทางโลกไป แต่ทำแล้วไม่มีผู้รู้เห็น เหมือนการปิดทองหลังพระ นี่เป็นความดีทางธรรม ความดีทางธรรมฟ้าดินย่อมประทานผลดีให้ ส่วนความดีทางโลกจะได้รับแต่ชื่อเสียง เกียรติยศความมั่งคั่งเป็นผลตอบแทน การมีชื่อเสียงโด่งดังนั้น ชาวโลกมักจะเห็นว่า เป็นผู้มีบุญวาสนา แต่ทางธรรมแล้วเห็นว่า ผู้นั้นมิได้ทำความดีมาก พอกับการมีชื่อเสียง จึงมักจะได้รับผลไม่ดีในบั้นปลาย แต่คนดีที่ได้รับการปรักปรำจนเสียชื่อเสียงนั้น ลูกหลานกลับรุ่งเรืองได้ดีมีสุข เพราะผู้ที่ได้รับการปรักปรำสามารถอดทนต่อการถูกประณามเหยียดหยาม หวนอมขมกลืน ก้มหน้ารับความขมขื่นด้วยความสงบเป็นการสั่งสมกุศลกรรมอย่างใหญ่หลวง ลูกหลานจึงมีโอกาสได้ดี เพราะฉะนั้นลูกจะต้องเห็นความสลับซับซ้อนอันล้ำลึก ของการทำความดีที่ดีแท้ และดีปลอม จึงจะทำความดีได้ถูกต้อง
-
ความดีข้อที่สี่่ คือความดีที่ทำผิดหรือทำถูกในแคว้นหลู่สมัยชุนชิวนั้น มีกฏหมายอยู่ข้อหนึ่งกำหนดว่าหากราษฏรในแคว้นหลู่ ถูกจับไปเป็นเฉลยในแคว้นอื่น หากมีคนไถ่ออกมาได้ส่งคืนแคว้นหลู่ไป จะได้รับเงินจำนวนหนึ่งเป็นการตอบแทนเพราะสมัยชุนชิวนั้นต่างกันต่างก็ต้องตัวเป็นอ๋องกัน รบราฆ่าฟันเพื่อชิงเขตแดนกันจับเชลยศึกได้ก็นำไปเป็นข้าทาสทั้งหญิงชาย แคว้นหลู่เป็นแคว้นเล็ก ๆ ไม่ค่อยจะมีกำลังไปสู้รบกับใครนักจึงมักถูกแคว้นอื่นบุกเข้ามาจับราษฏรไปเป็นทาสเสมอ ใครใจบุญอยากทำความดีก็นำเงินไปไถ่มาคืนเจ้าผู้ครอแคว้นหลู่ ก็จะได้รับเงินรางวัลทันที ต่อมาท่านจื่อก้ง ซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่านขงจื่อท่านก็ไปไถ่เชลยศึกคืนมาให้แคว้นหลู่โดยไม่ยอมรับเงินรางวัล เพราะท่านมีฐานะดีอยู่แล้วทำไปโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ แต่เมื่อท่านขงจื่อทราบเรื่องเข้าท่านก็โกรธลูกศิษย์ของท่านมาก ท่านบอกว่าแคว้นหลู่คนจนมากคนรวยมีน้อยต่อนี้ไป คงจะไม่มีใครกล้าไปไถ่เชลยอีกแล้วเพราะท่านจื่อก้งไปทำตัวอย่างเอาไว้เช่นนี้ ก็มีแต่คนที่มีฐานะดีจึงจะกล้าเอาอย่างท่านจื่อก้งได้ ส่วนคนที่โลภเงินรางวัลก็ดี คนที่ไม่ค่อยจะมีเงินนักก็ดีต่างก็ไม่ทำความดีอีกต่อไป เพราะไม่ได้เงินก็ดีต่างก็ไม่ทำความดีอีกต่อไป เพราะไม่ได้เงินรางวัลจะทำไปทำไม ดังนั้นจึงเห็นได้ว่านักปราชญ์นั้นไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นจึงต้องระมัดระวังจะทำอะไรผิดไม่ได้ คนก็จะพากันทำตามอย่างผิด ๆ ไปด้วย ความดีก็เลยเป็นความดีปลอมไป ต่อมาวันหนึ่งท่านจื่อลู่ซึ่งเป็นศิษย์เอกของท่านขงจื่อเช่นกัน ได้ช่วยคนตกน้ำไว้ได้ ชายคนนั้นให้วัวตัวหนึ่งเป็นการตอบแทนที่ได้ช่วยชีวิตไว้ ท่านจื่อลู่ก็รับเอาวัวนั้นมา ท่านขงจื่อเมื่อทราบเรืองก็ดีใจมาก ท่านพูดว่าต่อนี้ไปในแคว้นหลู่ของเรานี้จะมีคนชอบช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้นอีก เพราะเมื่อทำความดีแล้ว มีคนเห็นความดีและได้รับการตอบแทนทันที ใครๆ ก็อยากจะทำความดีเช่นนี้กันมากขึ้น แต่ในสายตาของชาวโลกแล้วจะต้องมองในทัศนะกลับกันกับท่านขงจื่อเป็นแน่ ชาวโลกจะต้องเห็นว่าท่านจื่อก้งดีช่วยคนแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทน ส่วนท่านจื่อลู่นั้นไม่ดีช่วยแล้วก็ไม่ปฏิเสธการตอบแทนแต่นักปราชญ์ท่านมองไกล การทำความดีที่มีคนนำไปเป็นเยี่ยงอย่างให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมได้จึงจะเป็นคนดีแท้ ส่วนการทำความดีที่กลับทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไป เป็นผลร้ายต่อส่วนรวมแล้วไซร์ ก็หาชื่อว่าเป็นความดีแท้ไม่สมมุติว่ามีคนไม่ดีคนหนึ่งเที่ยวเกะกะระรานผู้คน ถ้าไม่มีคนถือสา เห็นว่าการให้อภัยเป็นคุณธรรมที่ดีนี่เป็นการทำความดีที่ผิดเพราะคนพาลนั้นก็ยิ่งได้ใจกล้าทำความผิดหนักยิ่งขึ้น ผู้คนก็จะถูกทำร้ายหนักขึ้น คนพาลนี้ก็จะต้องถูกกฏหมายลงโทษอย่างหนัก แต่ถ้าไม่ปล่อยให้คนพาลเหิมเกริม หาทางกำราบเสียก่อนที่จะสายเกินแก้ ก็จะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย เพราะฉะนั้น บางครั้งการไม่ให้อภัยคนพาลช่วยกันกำราบให้กลับตัวได้ กลับจะเป็นความดีแท้
-
ความดีข้อที่ห้า คือการทำความดีแล้วผลทำให้ผู้อื่นเป็นอย่างไร แต่ก่อนนี้มีขุนนางไจเสี่ยงท่านหนึ่งรับราชการ ในรัชสมัยของพระเจ้าอิงจงฮ่องเต้ (พ.ศ. 1979 - 1992) ท่านรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่มีด่างพร้อย เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ต่อมาท่านปลดเกษียณตนเองกลับไปอยู่ภูมลำเนาเดิมของท่านที่ชนบทประชาชนก็พากันมาเคารพท่านต่างก็เปรียบท่านดุจขุนเขาอันสูงสุด ในแผ่นดินจีนคือท่านซานและเปรียบดุจดาวเหนือที่สุกใสกว่าดาวใด ๆ ในภิภพ แต่มีชายขี้เมาคนหนึ่งมาด่าท่านซึ่ง ๆ หน้า ท่านเห็นเป็นคนเมาก็ไม่ถือโกรธ กลับบอกคนรับใช้ว่าอย่าไปเอาเรื่องกับคนเมาเลย ปิดประตูเสียเถิด ต่อมา ชายขี้เมาคนนี้ได้รับโทษประหารชีวิต เมื่อท่านไจเสียงรู้เข้าก็เสียใจมาก รำพึงว่าถ้าเราเอาเรื่องเสียแต่แรกที่ด่าเรา จับไปทำโทษสถานเบาเสียที่อำเภอ เขาก็จะไม่ต้องรับโทษประหารในวันนี้ เพราะเราแท้ ๆ กรุณาเขาผิดกาละไป ทำให้เขาเหิมเกริมทำชั่วจนตัวตาย นี่คือตัวอย่างของความใจดี แต่กลับทำให้ผู้อื่นได้รับผลชั่วตอบแทน
ส่วนการกระทำที่เห็นว่าร้าย แต่กลับเป็นผลดีนั้น ก็มีตัวอย่างเช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งบ้านเมืองเกิดทุพภิกขภัยราษฏรต่างแย่งชิงกันกินในกลางวันแสก ๆ เศรษฐีท่านหนึ่ง จึงไปร้องต่อนายอำเภอให้ระงับเหตุก่อนที่จะเกิดจลาจล แต่นายอำเภอไม่เอาเรื่อง คนยากจนก็เลยได้ใจพากันยื้อแย่งกันยิ่งขึ้น เศรษฐีเห็นไม่เป็นการ จึงระดมผู้คนของตนออกมาปราบเอง เรื่องจึงสงบ การกระทำของท่านเศรษฐีท่านนี้ แม้จะรุนแรงแต่ก็ทำด้วยความสุจริตใจ หวังมิให้เกิดจลาจล จึงเป็นการทำความดีแท้อีกวิธีหนึ่ง
-
ความดีข้อที่หก คือความดีที่กระทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ และทำอย่างสมบูรณ์ ในคัมภีร์เอ้งเก็งได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ไม่สั่งสมความดีไม่พอที่จะได้รับชื่อเสียงดี ผู้ที่ไม่สั่งสมบาปย่อมไม่รับเคราะห์กรรมถึงตายแล้ว ในประวัติศาสตร์ก็ได้กล่าวถึงราชวงศ์เซียง (ก่อน ค.ศ. ประมาณ ศตวรรษที่ 16 - 11) ก่อนพุทธศักราช ระหว่าง 967 -467 ว่าติ้วอ๋อง สั่งสมแต่บาปกรรมดุจการร้อยเงินเหรียญไว้เต็มพวง จึงรักษาแผ่นดินและชีวิตของตนเองไว่ไม่ได้ การสั่งสมความดีความชั่วนั้นดุจนำของบรรจุลงในภาชนะ ถ้าสั่งสมทุกวันก็จะเต็มเปี่ยม ถ้าสั่งสมบ้างไม่สั่งสมบ้าง หยุด ๆ ทำ ๆ บุญหรือบาปนั้นก็พร่องอยู่เสมอ ไม่มีวันเต็มได้เลย แต่ก่อนนี้ มีเด็กสาวคนหนึ่งเขาไปในวัดเพราะอยากทำบุญ แต่มีเงินเพียงสองอีแปะ ความจริงราคาของเงินน้อนนิดเดียว แต่ค่าของความมีใจอยากทำบุญนั้นเหลือหลาย ท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวอนุโมทนาคาถาเองให้ศีลให้พรเอง
ต่อมาหญิงนี้ได้เข้าวังเป็นพระสนมของฮ่องเต้ มีเงินมากมาย จึงได้นำเงินจำนวนหลายพันตำลึงมาที่วัดนั้นอีกเพื่อทำบุญ คราวนี้เจ้าอาวาสท่านให้พระลูกวัดกล่าวอนุโมทนาและให้ศีลให้พรแทน พระสนมเกิดความสงสัยยิ่งนัก จึงกราบถามท่านว่าเมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้ายากจน มีเงินทำบุญเพียงสองอีแปะ แต่ท่านมากล่าวอนุโมทนาคาถาและให้ศีลให้พรข้าพเจ้าด้วยตนเอง มาบัดนี้ข้าพเจ้าพอจะมีเงินบ้างจึงนำเงินมาถวายหยายพันตำลึง แต่ทำไมท่านกลับให้พระลูกวัดทำหน้าที่แทนท่านเล่า ท่านเจ้าอาวาสกล่าวว่า แต่ก่อนนี้แม้ท่านจะทำบุญน้อยแต่ใจท่านเปี่ยมไปด้วยเจตนาที่เป็นกุศล มาบัดนี้แม้ท่านจะมีเงินทำบุญมากแต่ใจของท่านนั้นไม่เหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้อาตมาไปกล่าวเอง
นี่คือตัวอย่างการทำความดีที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยราคาของเงินมาวัดความดีนั้น ทำบุญด้วยเงินน้อยนิดกลับเป็นบุญที่เต็มเปี่ยม เพราะจิตใจที่เต็มไปด้วยกุศลเจตนา แม้ทำบุญด้วยเงินมากมายหากจิตใจมีศรัทธาเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น
อีกตัวอย่างหนึ่ง มีเซียนท่านหนึ่งชื่อว่า จงหลี ท่านเป็นชาวฮั่น ก่อนพ.ศ. 749 -551 เมื่อตายได้สำเร็จเป็นผู้วิเศษ เสวยสุขอยู่บนสวรรค์หลายร้อยปี จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง พ.ศ.1160 - 1450 ท่านเซียนจงหลีก็รับศิษย์ไว้คนหนึ่งชื่อว่าท่าน ห-ลวี่ต้งปิน ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ผู้คนเรียกท่านว่า ลื่อโจว๊ ท่านลื่อโจว๊เป็นขุนนางรับราชการเป็นนายอำเภออยู่สองครั้ง เมื่อมีโอกาสพบเซียนผู้วิเศษ ท่านก็ได้รับถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ในลัทธิเต๋า รวมทั้งการนั่งสมาธิด้วย ท่านจึงลาออกจากราชการติดตามท่านเซียนผู้วิเศษๆปฝึกฌาญสมาธิที่ภูเขาแห่งหนึ่ง จนสำเร็จได้เป็นเซียนเช่นกัน ต่อมาท่านจงหลี ได้สอนให้ท่านลื่อโจว๊รู้จักผสมยาวิเศษ เพียงแต่เอายานั้นหยดลงไปที่เหล็ก เหล็กนั้นก็จะกลายเป็นทอง สามารถนำไปช่วยเหลือความยากจนของผู้คนได้ ท่านลื่อโจว้จึงกราบถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อเปลี่ยนไปเป็นทองแล้วจะกลับเป็นเหล็กดังเดิมอีกมั้ย ท่านจงหลีบอกว่า เมื่อครบห้าร้ยปีแล้ว ก็จะกลับสภาพเดิมได้ ท่านลื่อโจว๊จึงปฏิเสธ ไม่ยอมทำเหล็กให้เป็นทองเพราะท่านเห็นว่าเมื่อครบห้าร้อยปีแล้ว ก็จะทำให้ผู้คนเสียหายมากมาย เพราะอยู่ ๆ ทองในมือก็จะกลายเป็นเหล็กไปเสียแล้ว ย่อมนำมาถึงความสูญเสียอย่างมากมาย เป็นการให้ร้ายผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม การที่ท่านจงหลีลองใจท่านลื่อโจว๊ครั้งนี้ ทำให้ท่านภูมิใจในลูกศิษย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะคำพูดเพียงคำเดียวก็แสดงให้เห็นความเป็นคนของท่านลื่อโจว๊ว่าสูงส่งเพียงใร ท่านจึงกล่าวกับศิษย์รักของท่านว่าการที่จะบรรลุความเป็นเซียนนั้นจะต้องสั่งสมคุณธรรมให้ได้ถึงสามพันอย่าง คำพูดของเจ้าเพียงคำเดียว ก็เท่ากับได้สร้างคุณธรรมครบสามพันอย่างแล้วในพริบตาเดียว
การทำความดีนั้นเมื่อทำแล้วก็แล้วกันอย่าได้นำมานึกคิดบ่อย ราวกับว่าการทำดีนั้นช่างใหญ่ยิ่งนัก ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา ถ้าคิดเช่นนี้ความดีนั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ถ้าทำแล้วก็ไม่นำพาใส่ใจอีก คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดีจึงจะเป็นความดีที่สมบูรณ์ ไม่ตกไม่หล่น เช่นนี้การให้เงินแก่คนยากจน ในใจของลูกจะต้องอย่าได้คิดว่าเราเป็นผู้ให้ ภายนอกก็อย่าได้สนใจว่าใครเป็นผู้รับ แม้แต่เงินที่เราบริจาคไปแล้ว ก็มองไม่เห็นว่าสำคัญตรงไหนให้แล้วก็แล้วกัน ลืมเสียให้ได้ไม่กลับมาคิดอีกให้เสียเวลาเช่นนี้ เรียกว่าทำความดีด้วยจิตว่างเปล่า เมื่อไม่ได้บรรจุอะไรไว้ที่จิตเลย จิตนั้นก็ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยกุศลผลบุญพลังแห่งกุศลกรรมเช่นนี้ใหญ่หลวงนัก สามารถทำลายเคราะห์กรรมได้ถึงหนึ่งพันครั้ง เพราะฉะนั้นการทำความดีจึงมิได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินทองหรือวัตถุที่บริจาคแต่อยู่ที่ใจเราเท่านั้นที่จะทำจิตใจให้ว่างเปล่าจนสามารถบรรจุบุญกุศลได้เพียงใดต่างหาก
-
ความดีข้อที่เจ็ด คือความดีที่ใหญ่หรือเล็ก มีขุนนางผู้หนึ่งมีนามว่าเอว้ยจังต๊ะ รับราชการอยู่ในกรมประวัติศาสตร์ อยู่มาวันหนึ่งถูกจับวิญญาณไปยังยมโลก พญายมได้สั่งเสมียนในยมโลกนำบัญชีดีชั่วของท่านเอว้ยมาให้ดู ปรากฏว่าบัญฃีชั่วนั้น ช่างมากมายก่ายกองวางจนเต็มห้องไปหมด ส่วนบัญชีความดีนั้นเล็กนิดเดียว มีขนาดพอ ๆ กับตะเกียบข้างหนึ่งเท่านั้นพยายมสั่งให้คนเอาตาชั่งมา ปรากฏว่าบัญชีความดีนั้นแม้จะเล็กนิดเดียว แต่กลับมีน้ำหนักมากว่าบัญชีความชั่วมีรวมกันแล้วทั้งหมด
ท่านเอว้ย มีความสงสัยเป็นอันมาก จึงถามพยายมว่า ข้าพเจ้ามีอายุยังไม่ถึงสี่สิบปี ไฉนจึงมีความชั่วมากมายเช่นนี้ พยายมตอบว่า เพียงแต่จิตคิดมิชอบเท่านั้นก็เป็นบาปแล้ว เช่นเห็นผู้หญิงสาวสวยก็มีจิตปฏิพัทธ์ จิตที่คิดมิชอบ เช่นนี้ก็จะถูกบันทึกในบัญชีความชั่วทันที ท่านเอว้ยถามต่อไปอีกว่า ถ้าเช่นนั้นในบัญชีอันน้อยนิดนี้ ได้บันทึกไว้ว่าอย่างไร พยายมตอบว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งฮ่องเต้ทรงดำริจะซ่อมสะพานหินที่เมืองฮกเกี้ยน ท่านเกรงว่าราษฏรจะเดือดร้อน จึงถวายความเห็นเพื่อยับยั้งพระราชดำรินั้นเสีย บัญชีความดีนั้นก็คือสำเนาที่ท่านทูลเกล้าฯ ถวายฮ่องเต้นั้นเอง ท่านเอว้ย ก็แย้งว่า แม้ข้าพเจ้าจะกระทำดังกล่าวจริงแต่ก็ไม่เห็นเป็นผลสำเร็จ พระองค์ทรงดำเนินการไปแล้ว ไม่น่าเลยที่บัญชีความดีเพียงอย่างเดียว จะมีน้ำหนักมากกว่าบัญชีความชั่ว ที่กองอยู่เต็มห้ากองนี้ พยายมจึงพูดว่า การที่ท่านมีเมตตาจิตต่อราษฏรเกรงจะได้รับความลำบากกันมากมาย กุศลจิตนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าหากท่านยับยั้งได้สำเร็จก็จะยิ่งเพิ่มความหนักขึ้นอีก พลังแห่งกุศลกรรมนี้จะยิ่งใหญ่อีกหลายเท่านัก แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้ากระทำเพื่อชนหมู่ใหญ่แล้วไซร์ ความดีนั้นก็ใหญ่หลวงยิ่งนัก หากทำดีเพื่อตนเองแล้วไซร์ แม้จะทำดีขนาดไหนก็ได้ผลน้อยมาก ลูกจงจำไว้ว่าการทำความดีไม่ว่าจะเป็นการทำความดีมากหรือน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเมตตาในการทำความดีนั้น เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อตนเอง
-
ความดีข้อที่แปด คือความยากง่ายในการทำความดี สมัยก่อนท่านผู้คงแก่เรียนมักจะพูดว่า ถ้าจะเอาชนะใจตนเองให้ได้ ต้องเริ่มจากจุดที่ข่มใจได้ยากที่สุดเสียก่อน ถ้าเอาชนะได้ จุดอื่น ๆ ก็ไม่สำคัญเสียแล้ว ย่อมจักเอาชนะได้โดยง่าย ลูกศิษย์ของท่านขงจื่อชื่อฝานฉือ ได้ถามท่านอาจารย์ว่าเมตตาธรรมนั้นเป็นอย่างไร ท่านขงจื่อตอบว่าการทำสิ่งที่ยากที่สุดได้เสียก่อนจึงจะชนะใจตนเองได้ เมื่อชนะใจตนเองได้แล้ว ความเห็นแก่ตัวก็หมดไป จึงบังเกิดเมตตาธรรม พ่อจะนำตัวอย่างให้ฟังลูกจะได้เข้าใจง่ายเข้า ที่มณฑลเจียงซีมีท่านผู้เฒ่าแซ่ซุท่านยังชีพด้วยการสอนหนังสือตามบ้าน อยู่มาวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเป็นหนี้เพราะความยากจน เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้ก็จะยึดภรรยาของชายผู้นี้ไปเป็นคนรับใช้ ท่านผู้เฒ่าซูเกิดความสงสารสามีภรรยาคู่นี้ยิ่งนัก จึงยอมเสียสละเงินที่เก็บออมไว้ได้จากการสอนหนังสือเป็นเวลาสองปี นำมาใช้หนี้แทนชายผู้นั้น ทำให้สามีภรรยาคู่นี้ไม่แยกจากกัน
อีกตัวอย่างหนึ่ง มีชายคนหนึ่งด้วยความยากจนยิ่งนักจึงนำภรรยาและบุตรชายไปจำนำไว้ ได้เงินมาพอประทังชีวิต เมื่อถึงกำหนดไม่มีเงินจะไปไถ่คืน ภรรยาก็เดือดร้อนคิดจะฆ่าตัวตาย บังเอิญท่านผู้เฒ่าจางรู้เรื่องเข้า มีความสงสารเป็นยิ่งนักจึงนำเงินที่เก็บสะสมมาแล้วถึงสิบปี มาใช้หนี้แทนให้พ่อแม่ลูกจึงได้มีโอกาสกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
ทั้งท่านผู้เฒ่าซู และ ท่านผู้เฒ่าจาง ล้วนแต่ได้กระทำในสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เงินที่ท่านสะสมไว้คนละสองปีและสิบปีนั้น ท่านก็หวังเมื่อทำมาหากินไม่ได้แล้ว ก็จะได้ใช้เงินจำนวนนี้ประทังชีวิตต่อไปเป็นเงินที่ใช้เวลาอันยาวนานสะสมไว้วันละเล็กวันละน้อย แต่ท่านทั้งสองก็สามารถตัดใจช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกันเลยแม้แต่นิดได้ในพริบตาเดียว นี่คือการทำความดีที่ยากยิ่งจริง ๆ อีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ชนะใจตนเองได้ คือ ท่านผู้เฒ่าจินท่านอายุมากแล้ว ยังไม่มีบุตรไว้สืบสกุล ด้วยความหวังดีของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ได้ยกบุตรสาวของตนให้เป็นอนุภรรยาของท่านผู้เฒ่า แต่ท่านกลับไม่ยอมรับความหวังดีนั้น ท่านให้เหตุผลว่า ท่านนั้นชราภาพแล้ว ส่วนเด็กสาวนั้นอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ควรจะได้สามีที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ท่านจึงไม่ควรที่จะไปทำลายความสุขและอนาคตของเด็กสาวนี้เสียด้วยความเห็นแก่ตัว เพียงเพื่อจะมีบุตรไว้สืบสกุล เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ท่านผู้เฒ่าทั้งสามนี้ ล้วนแต่ทำในสิ่งที่ยากยิ่งจริง ๆ ฟ้าดินจึงประทานความสุขความเจริญให้กับท่านทั้งสาม ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าเป็นแน่แท้ ส่วนคนที่มีเงินมีอำนาจนั้น ถ้าจะกระทำความดีก็ย่อมง่ายกว่าผู้ที่ไม่มีเงินและอำนาจ แต่พวกนี้ก็ไม่ค่อยชอบทำความดี เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสทำความดีได้ง่ายเพราะมีทั้งเงินและอำนาจ กลับไม่ยอมทำความดี ส่วนผู้ที่ไม่มีเงินมีอำนาจ กว่าจะทำความดีได้ก็ด้วยความยากลำบากยิ่ง นี่คือความแตกต่างกันในคุณค่าของความดี
-
การทำความดีต่อผู้อื่นนั้นก็จะต้องแล้วแต่โอกาสจังหวะเวลา ก็มีความสำคัญเช่นกัน การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีวิธีการมากมาย ประมวลแล้วก็สามารถแยกออกได้ 10 วิธีด้วยกันคือ
1.ช่วยเหลือผู้อื่นทำความดี
2.รักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้า
3.สนับสนุนผู้อื่นให้เป็นผู้มีความดีพร้อม
4.ชี้ทางให้ผู้อื่นทำความดี
5.ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความคับขัน
6.กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
7.ไม่ทำตนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หมั่นบริจาค
8.ธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมะ
9.เคารพผู้มีอาวุโสกว่า
10.รักชีวิตผู้อื่นดุจรักชีวิตตนเอง
ข้อ 1. การช่วยเหลือผู้อื่นทำความดีนั้นเป็นอย่างไร เมื่อครั้งท่านตี้ซุ้นยังมิได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจีนสมัยโบราณ (ก่อน พ.ศ.1712 - 1665) ท่านไปยังหนองน้ำแห่งหนึ่ง เห็นชาวบ้านกำลังจับปลากันอยู่ คนที่แข็งแรงก็พากันไปยังที่ ๆ มีน้ำลึก ปลาชุม ส่วนพวกที่ไม่แข็งแรงและผู้ชราถูกกันให้ไปจับปลายังที่ ๆ มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว และที่มีน้ำตื้น ซึ่งปลาจะไม่ชอบมาในบริเวณนั้น ทำให้จับปลาไม่ได้ ท่านตี้ซุ่นเห็นดังนั้นก็บังเกิดความสงสารจับใจ ท่านจึงเข้าไปช่วยคนที่ไม่แข็งแรงและผู้ชราหาปลา ใครที่เห็นแก่ตัว ชอบแย่งที่น้ำลึก ท่านก็นิ่งเสียไม่ไปว่าเขา ใครที่ไม่เห็นแก่ตัว ท่านก็จะนำพฤติกรรมของเขาไปสรรเสริญจนทั่ว ท่านเองก็ทำตัวอย่างอันดีให้เป็นที่ปรากฏอยู่ทุก ๆ วัน จนกาลเวลาได่ผ่านไปหนึ่งปี ชาวบ้านพากันสำนึกในความเห็นแก่ตัวของตน ต่างก็ทำดีต่อกันและกัน ในที่นี้ พ่อจะต้องบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อไม่สนับสนุนในเรื่องจับปลามาเป็นอาหาร เพราะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาปอย่างยิ่ง แต่ที่พ่อยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ ก็เพื่อให้ลูกเข้าในว่าการช่วยให้ผู้อื่นทำความดีนั้น ต้องใช้ความอดทนพยายามเพียงไร ท่านตี้ซุ่นนั้นเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก เพียงแต่ท่านใช้คำพูดกล่อมเกลาจิตใจ ผู้คนก็จะเชื่อท่าน เพราะต่างก็มีความเคารพท่านอยู่แล้ว แต่ท่านอตสาห์ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ก็เพื่อจะให้ทุกคนกลับตัวกลับใจได้หมด และจะไม่ยอมกลับไปเป็นคนเห็นแก่ตัวอีกไม่ว่าในกรร๊ใดและเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ด้วยบังคับหรือขอร้อง ให้ทุกคนตระหนักถึงความดีที่ต้องกระทำร่วมกัน เพื่อความผาสุกของพวกเขาเอง พ่อจึงสรรเสริญในความอุตสาหะของท่านยิ่งนัก พ่อและลูก ต่างก็มีชีวิตอยู่ในความมืดมน ผู้คนไม่ค่อยมีศีลธรรมเหมือนดังยุคก่อน เพราะฉะนั้นลูกจะต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว อย่าได้อวดดีว่าวิเศษกว่าผู้อื่น อย่านำความสามารถของลูกไปข่มผู้อื่นที่ด้อยกว่าให้เขาได้อาย จงเก็บความรู้ความสามารถของเจ้าไว้ในใจ อย่าได้แสดงออกให้ปรากฏแก่่สายตาผู้อื่น ใครพลาดพลั้งล่วงเกินลูกก็จงรู้จักให้อภัย อย่าได้แพร่งพรายความไม่ดีออกไป เพื่อให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจและเมื่อไม่มีใครรู้ และก็ทำให้เขาไม่กล้ากำเริบสืบสานเพราะทุกคนย่อมรักหน้ารักตาไม่อยากเป็นคนเสียชื่อเสียง จึงไม่วิจารณ์ให้ความลับของเขาเป็นที่เปิดเผยออกไป เขาจึงไม่กล้าที่จะทำผิดอีก บางคนนั้น เมื่อมีคนรู้ว่าเขาเ้ป็นคนไม่ดีเสียแล้ว เขาก็ทำตัวแหลวแหลกยิ่งขึ้น เมื่อเป็นคนดีไม่ได้ก็ย่อมเป็นคนชั่วเสียเลย คนเช่นนี้ก็มีให้เห็น ๆ อยู่ ลูกจะต้องคอยสังเกตุว่าผู้อื่นนั้น เขามีความสามารถอะไรบ้าง ถ้าเป็นสิ่งที่ลูกยังไม่มี ก็จงรีบเอาความดีนั้นมาใส่ตนเถิด อย่าได้รีรอเลย ลูกจะต้องรู้จักชมเชยสรรเสริญความดีงามความสามารถของผู้อื่นให้แผ่ไพศาลไป อย่าได้มีจิตริษยา ในชีวิตประจำวันของลูก ไม่วา่จะพูดสักคำจะทำอะไรสักอย่าง จงอย่าทำเพื่อประโยชน์ตนเอง ต้องถูกประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ลูกจงจำไว้ให้ดี
-
ข้อ 2.รักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้านั้นเป็นอย่างไร ผู้ดีนั้น คนที่มีคุณงามความดีและกระทำแต่คุณงามความดีอย่างสม่ำเสมอ ส่วนคนเลวนั้นบางทีก็ซ่อนอยู่ในคราบของผู้ดี ปะปนกันจนบางทีก็ดูไม่ออก แต่ถ้าลูกสังเกตุดีแล้วก็จะเห็นความแตกต่างราวกับขาวและดำทีเดียว ผู้ดีที่มีข้อแตกต่างจากคนทั่วไปนั้น คือมีน้ำใจรักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน ธรรมดาคนที่เราได้พบเห็นในชีวิตประจำวันนั้น บางคนเราก็เคยใกล้ชิดด้วย บางคนก็ห่างเหินกันไป บางคนสูงศักดิ์ บางคนต่ำต้อย บางคนฉลาดหลักแหลม บางคนโง่เขลาเบาปัญญา บางคนมีคุณธรรมประจำใจ บางคนก็ร้ายจนได้ชื่อว่าเป็นคนพาล แม้ทุกคนจะมีสถานภาพและจิตใตไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็เป็นเพื่อนมนุษย์ที่ต้องเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นักปราชญ์ทั้งปวงจึงไม่ชอบให้ใครเกลียดกันดูถูกกัน ต้องรักกัน เคารพอย่างเสมอหน้าจึงจะมีสันติสุขเกิดขึ้นได้
ข้อ 3. สนับสนุนผู้อื่นให้เป็นผู้ที่มีความดีพร้อมนั้นอย่างไร หยกนั้นย่อมมาจากหินชนิดหนึ่ง ถ้าเราทิ้งขว้างไม่สนใจก็เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่ง แม้ภายในจะมีหยกเร้นอยู่ ก็ไม่สามารถปรากฏความมีค่าของมันออกมาได้ แต่ถ้ามนุษย์นำมาเจียระไนเอาความเป็นหยกออกมาจากหินและสลักให้สวยงาม ก็จะเป็นของมีค่าสำหรับฮ่องเต้ และขุนนางกลายเป็นสัญลักษณ์ที่จะต้องติดตัวไว้แสดงถึงความบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ยามที่ฮ่องเต้ออกขุนนางก็ต้องมีหยกแสดงความเป็นใหญ่ไว้ในแผ่นดิน ขุนนางเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ต้องถือหยกพระราชทานไว้ในมือ เพื่อแสดงความเคารพและจงรักภัคดีต่อฮ่องเต้ หยกยังนำมาใช้ในพิธีกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ลูกต้องอย่าลืมว่าหยกมีความงาม และความสำคัญขึ้นมาได้เพราะฝีมือของมนุษย์เอง คนก็เช่นกันถ้ามีคนคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ดี คนธรรมดา ๆ ก็จะกลายเป็นคนดีพร้อมไปได้ เพราะฉะนั้น ลูกจงใส่ใจในคนที่รักดี มุ่งมั่นจะเป็นคนดี ลูกจงให้ความช่วยเหลือสนับสนุนให้กำลังใจประคับประคองเพื่อให้เขาเป็นคนดีพร้อมให้ได้ แม้เขาจะถูกผู้คนปรักปรำ ก็จงช่วยชี้แจงปกป้อง และยอมรับข้อปรักปรำนั้นว่าลูกก็มีส่วนผิดอยู่ด้วย เพื่อผ่อนคลายความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา จนกว่าเขาจะยืนอยู่บนขาของเขาเองได้แล้ว ก็นับว่าลูกได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว คนดีคนเลวนั้น มักจะคบหากันไม่ได้ คนดีย่อมคบกับคนดี คนชั่วก็ชอบมั่วสุมกับคนชั่ว คนชั่วมักเกลียดชังคนดี ยิ่งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญด้วยแล้ว คนชั่วมีมากกว่าคนดี ชอบข่มเหงคนดีอยู่เสมอจนตั้งตัวไม่ติด คนดีมักจะเป็นคนตรงและไม่กลัวตาย ไม่ชอบการแต่งตัวที่หรูหรา ไม่ชอบความเป็นอยู่ที่ฟุ่มเฟือย จึงมักตกเป็นขี้ปากของคนชั่วที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนผิด ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อลูกพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็จงช่วยปกป้องคนดีและช่วยชี้ทางให้คนชั่วกลับใจเป็นคนดีเสีย นี่เป็นมหากุศลที่ลูกจะต้องทำให้ได้
-
ข้อ 4.ชี้ทางให้ผู้อื่นทำความดีนั้นอย่างไร เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนย่อมมีศีลธรรมประจำใจอยู่บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ที่จะไม่มีเลยคงหายาก นอกจากมนุษย์จะมัวสาละวนอยู่กับการแสวงหาลาภยศเงินทอง ชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม ทำให้ต้องตกอยู่ในความหายนะ ถ้าลูกพบคนเช่นนี้ ลูกจงพยายามช่วยเขา ฉุดเขาให้พ้นจากความหายนะให้ได้ ดุจคนฝันร้าย ลูกปลุกเขาให้ตื่นจากความฝัน ให้ความรู้ความคิดที่ดีงามแก่เขา เขาก็จะตื่นจากความฝัน ให้ความรู้ความคิดที่ดีงามแก่เขา เขาก็จะตื่นจากฝันร้ายกลายเป็นคนดีได้ เมื่อครั้งราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161 - 1450) มีขุนนางท่านหนึ่ง ท่านเขียนหนังสือสอนใจคนได้ดีมากเป็นที่แพร่หลายทั่วไปในประเทศจีน ชาวจีนมีความเคารพนับถือท่านมาก เมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรมยังได้รับเกียรติยศอันสูงส่ง ได้รับการสถาปนาจากฮ่องเต้ให้เป็นที่ "เอวิ๋น" เป็นการเชิดชูผลงานอันมีทั้งร้อยแก้วร้อยกรองเป็นเยี่ยมยอดนั่นเอง ชาวบ้านพากันเรียกท่านว่า "หานเอวิ๋นกง" ท่านเคยกล่าวไว้ว่า การตักเตือนผู้อื่นด้วยคำพูดนั้น ไม่ช้าก็จะถูกลืมเลือนไป ผู้อยู่ไกลก็ไม่สามารถได้ยินคำเตือนนั้นได้ หากบันทึกไว้เป็นหนังสือแม้สักร้อยชั่วคนคำสอนนั้นก็ยังคงอยู่ สามารถแพร่ไปไกลกว่าพันหมื่นลี้อีก ข้อที่หนึ่งพ่อได้ยกตัวอย่างให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการกระทำตนเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นนานวันเข้าก็จะเป็นคนตามอย่างไม่รู้ตัว ส่วนข้อนี้พ่อยกตัวอย่างให้ใช้คำพูดใช้หนังสือเป็นตัวอย่างลูกก็จะต้องใช้ให้เหมาะสมมิฉะนั้นก็จะไม่ได้ผลเลยดุจดั่งคนป่วย ถ้าได้ยาตรงกับโรคก็จะหายวันหายคืน เหมือนคนที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ถ้าเราใช้คำพูดตักเตือนเขาจะไม่เชื่อโดยง่าย พูดไปก็เสียเวลาเปล่า ถ้าเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนการตักเตือนด้วยคำพูดมักจะได้ผล ลูกไม่ควรพลาดโอกาสอันนี้เสีย ทั้งนี้ขึ้นอยูกับลูกต้องดูคนเป็น ต้องอ่านนิสัยได้ถูกต้องแล้ว จึงจะวินิจฉัยได้ว่าเป็นคนเช่นไรสมควรตักเตือนด้วยคำพูด คนเช่นไรสมควรให้เขาอ่านหนังสือเพื่อแก้ไขตัวเขาเอง
ข้อ 5.จะช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความคับขันได้อย่างไร เคราะห์กรรมย่อมเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่ากับใคร ๆ หากลูกพบเห็นคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากลูกจะต้องเข้าช่วยเหลือให้ทันท่วงทีและจะต้องช่วยแก้ไขสถานการณ์ด้วยสติปัญญาของลูกอย่างรอบคอบ เพื่อให้การช่วยเหลือนั้นประสบความสำเร็จ ท่านซุยจื่อ ซึ่งเป็นขุนนางในราชวงศ์หมิง ในปลายสมัยพระเจ้าเซี่ยวจงฮ่องเต้ (พ.ศ.2031 -2048) ท่านกล่าวไว้ว่า การช่วยเหลือนั้นไม่ควรคำนึงว่าจะได้บุญได้คุณสักเพียงใดขอให้ช่วยให้ได้ทันท่วงทีจึงจะควรช่างเป็นคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาเสีนนี่กระไร
ข้อ 6.กระทำที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างไร ไม่ว่าลูกจะอยู่ในชนบทเล็ก ๆ หรือในเมืองใหญ่ ๆ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สุขของส่วนรวมแล้ว ลูกจะต้องไม่ท้อถอยในการเป็นอาสาสมัครเช่น ขุดคูส่งน้ำ เพื่อไว้ใช้ในนายามหน้าแล้ง หรือสร้างทำนบเพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือซ่อมสะพานที่ชำรุดเพื่อให้การสัญจรไปมาสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น และให้ทานอาหารแก่คนอดอยาก หรือให้น้ำแก่คนกระหาย แล้วลูกก็ควรชักชวนชาวบ้านให้ร่วมแรงร่วมใจกันกระทำความดีร่วมกัน ใครมีเงินก็ออกเงิน ใครมีแรงก็ออกแรงผนึกกำลังให้เข้มแข็งจะได้ช่วยเหลือคนได้มากขึ้น หากใครมาว่าร้ายลูกก็จงอย่าใส่ใจถ้าเราทำดีโดยสุจริตแล้วใคร ๆ ก็ย่อมเข้าใจ และช่วยป้องกันลูกเสียอีกลูกจงอย่าท้อถอย ไม่ว่าจะประสบอุปสรรคใด ๆ ก็อย่าได้วางมือเป็นอันขาด
-
ข้อ 7. ไม่ทำตนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หมั่นบริจาคอย่างไร คำสอนในพระพุทธศาสนานั้นมากมาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้รู้จักให้ทานเสียก่อน การให้คือการเสียสละ ท่านที่บรรลุธรรมแล้ว ท่านเสียสละได้หมด ทั้งอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลื้น กาย ใจ) และ อายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์) ก็สิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นชีวิต ท่านยังเสียสละได้เรื่องทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย ไฉนจักเสียสละไม่ได้ ถ้าหากเราสามารถเสียสละได้ทุกอย่างเช่นนี้แล้วเราก็จะรู้สึกว่าเรามิได้แบกภาระอันใดไว้ทำให้จิตใจปลอดโปร่งไม่ห่วงหน้ากังวลหลัง ใครทำของเราเสีย ใครขโมยของเราไปก้ไม่เดือดร้อนเลยแม้แต่นิด เพราะเราเสียสละได้หมดจริง ๆ ผู้ที่ไม่สามารถเสียสละได้ทั้งหมด ก็ต้องเริ่มต้นให้ทานด้วยการบริจาคทรัพย์เสียก่อน คนในโลกนี้เห็นว่าปัจจัยสี่นั้นเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต และเงินเท่านั้นที่จะบันดาลให้ได้มาซึ่งปัจจัยสี่ เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจึงให้ความสำคัญเงินเท่าชีวิต หาได้คิดสักนิดไม่ว่าหากยังมีลมหายใจก็ดีอยู่หรอก ถ้าหมดลมเมื่อใดมีใครเคยเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง ผู้ที่รักเงินยิ่งกว่าชีวิตจึงควรฝึกตนให้บริจาคทรัพย์ให้ทานเสียบ้าง ใหม่ ๆ ก็จะเกิดความเสียดาย เพราะคนรักเงินยิ่งชีวิตมักจะเป็นคนตระหนี่ ใจคอคับแคบ แต่ถ้าหมั่นบริจาคก็จะเกิดเป็นนิสัยอันดีงามขึ้น สามารถบริจาคได้มากขึ้น และไม่นึกเสียดายดั่งแต่แรก
ข้อ 8. ธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมได้อย่างไร ธรรมะ คือ ประทีปที่ส่องวิถีทางแห่งชีวิตเมื่อหนทางข้างหน้าสว่างใสชีวิตย่อมดำเนินไปตามทิศทางที่ถูกต้องดุจดั่งคนที่มีนัยน์ตาดีย่อมสามารถเลือกทางเดินที่สะดวกที่สุด และดีที่สุดได้ โบราณท่านจึงว่า ธรรมะ คือการธำรงไว้ซึ่งฟ้า ดิน และมนุษย์ ให้เกิดความสมดุลย์ผสมผสานกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะขาดไปแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็หาไม่ ต้องเป็นปัจจัยอิงอาศัยซึ่งกันและกันทำให้เกิดสรรพสิ่งด้วยธรรมะ ธรรมะทำให้ชีวิตหลุดพ้นจากห้วงแห่งควาทุกข์ มีอิสรเสรีที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ จะไปให้พ้นโลกเสียก็ได้ฉะนั้นเมื่อลูกเห็นศาลที่บูชานักปราชญ์ราชบัณฑิต หรือเห็นคัมภีร์โบราณที่เป็นธรรมะอันสูงส่ง ลูกจะต้องถนอมด้วยความเคารพ หากมีสิ่งขาดตกบกพร่องลูกจะต้องซ่อมแซมให้สภาพดีดังเดิมเพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป ลูกจะต้องเผยแผ่ธรรมะธำรงไว้ซึ่งธรรมะ สอนให้ผู้อื่นรู้จักธรรมะจึงจะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนิกที่รู้ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าถ้าลูกทำได้เช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้พระคุณของพระผู้มีพระภาคอย่างแท้จริงและได้ถวายความกตัญญูกตเวทีแด่พระองค์อย่างถูกต้องแล้ว
ข้อ 9.เคารพผู้มีอาวุโสกว่าอย่างไร ในครอบครัวย่อมมีบิดามารดา พี่ชายพี่สาว ที่มีอาวุโสกว่าเรา เราต้องเคารพรักรู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุข ให้ความสุขความสำราญแก่ท่าน ให้ความสนิทสนมกลมเกลียว ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน พูดจาด้วยวาจาอันไพเราะนานไปก็จะเป็นผู้มีนิสัยอันดีงาม ในประเทศย่อมมีฮ่องเต้เป็นประมุขที่เราจะต้องแสดงความจงรักภัคดีรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รักษากฏหมายยิ่งกว่าชีวิตของลูกตนเอง อย่าอวดดีทำผิดโดยคิดว่าพระองค์จะไม่ทรงทราบการลงโทษคนโดยอาศัยอำนาจของกฏหมาย ก็อย่าเมาอำนาจจนตัดสินโทษด้วยอารมณ์อย่านึกว่าพระองค์ไม่ทรงทราบแล้วทำไปด้วยความลำพองใจ โบราณท่านว่าการรับใช้ฮ่องเต้ก็คือการรับใช้สวรรค์ สวรรค์ย่อมประทานความเจริญความสุขสมบูรณ์ให้ถ้าลูกทำดีพอ
ข้อ 10.รักชีวิตผู้อื่นดุจรักชีวิตตนเองอย่างไร มนุษย์จักทรงความเป็นมนุษย์อยู่ได้ก้ด้วยจิตที่มีเมตตากรุณา การเอาชนะสิ่งที่ยากที่สุดคือ ใจของตนเอง ต้องเริ่มปลูกฝังจิตให้มีเมตตากรุณาก่อน การสั่งสมคุณธรรมใด ๆ ก็ต้องเริ่มที่จิตกอปรด้วยเมตตากรุณาเช่นกัน ในสมัยราชวงศ์โจวนั้น (ก่อนค.ศ.1100 - ก่อนค.ศ.771) ท่านโจวกงซึ่งเป็นไจเสียงของพระเจ้าเฉิงอ๋องได้แต่งหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งให้ชื่อว่าโจวหลี่ อันเป็นต้นตำรับที่ราชวงศ์ต่อ ๆ มา ถือเป็นแบบฉบับว่าด้วยการบริหารประเทศหน้าที่ความรับผิดชอบของข้าราชการกฏหมายและจารีตประเพณี รวมทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ มีข้อหนึ่งที่ท่านกำหนดไว้ว่าเดือนแรกของปีเป็นเวลาที่พืชพันธุ์ธัญญาหารมีโอกาสเจริญเติบโต ง่ายแก่การตั้งครรภ์ของสรรพสัตว์ฉะนั้นการเซ่นสสรวงบูชาในเดือนนี้จึงห้ามฆ่าสัตว์ตัวเมียเพราะเกรงว่าอาจจะกำลังตั้งครรภ์อยู่นี่ก็เป็นความเมตตากรุณาของท่านโจวกงท่านนักปราชญืเมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า ผู้ดีย่อมอยู่ห่างไกลจากโรงครัวที่มีการฆ่าสัตว์เพราะเพียงได้ยินเสียงผู้อื่นฆ่าสัตว์ ก็จะทำให้จิตใจหดหู่เศร้าหมอง ท่านผู้ใหญ่แต่กาลก่อนจึงไม่ยอมบริโภคเนื้อสัตว์สี่ประเภท คือ 1.สัตว์ที่ได้ยินเสียงเขาฆ่า 2.สัตว์ที่เห็นเขากำลังฆ่า 3.สัตว์ที่เลี้ยงอยู่เอง 4.สัตว์ที่เขาจงใจฆ่าเพื่อให้เราบริโภค ลูกเห็นใครที่ไม่อยากบริโภคเนื้อสัตว์แต่ยังทำไม่ได้ทันที ก็จงแนะนำเขาให้เริ่มไม่แตะต้องเนื้อสัตว์สี่ประเภทนี้ให้ได้เสียก่อน เริ่มฝึกเสียแต่เดี๋ยวนี้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมย่อมตามมา เมื่อกระแสจิตได้ถูกฝึกฝนให้เจริญด้วยเมตตาธรรมและกรุณาธรรม แล้วไซร์ ก็จะไม่นึกอยากฆ่าสัตว์สัตว์ทั้งมวลย่อมมีชีวิตจิตใจเช่นเราเหมือนกัน การนำตัวไหมลงไปต้มในน้ำร้อน ๆ เพื่อทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ที่นิยมกันว่าสวยงามมีค่ามากที่แท้เป็นบาปกรรมโดยไม่รู้ตัว ความจริงผ้าไหมมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์ เราน่าจะใช้ผ้าฝ้ายที่ไม่ต้องเบีบยดเบียนสัตว์จะมิดีกว่าหรือ แม้กระทั่งการถางดินฆ่าหนอนก็ล้วนแต่เป็นบาปกรรมทั้งสิ้น ดูมนุษย์เกือบทั้งหมดล้วนแต่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เพื่อความมีชีวิตของตนเอง ต้องทำปาณาติบาตอยู่ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่แม้กระทั่งมือที่ตบยุงบี้มด เท้าที่เหยียบลงไปบนตัวสัตว์โดยไม่เจตนา ก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ ได้ทำไปกี่ครั้ง ลูกจงระวังให้ดีป้องกันให้ได้นอกจากจะสุดวิสัยจริง ๆ มีโคลงโบราณอยู่บทหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ประทับใจพ่อจนบัดนี้ ท่านว่าไว้ว่า เพราะรักหนูจึงเก็บข้าวไว้ให้กิน เพราะสงสารแมลงจึงไม่จุดตะเกียงในยามค่ำคืน ดูเถิดว่าคนโบราณนั้นท่านมีเมตตากรุณาเพียงไร การทำความดีนั้นไม่มีที่สิ้นสุด อธิบายเท่าไรก็คงไม่หมด จงถือหลักสิบประการนี้แล้วลูกก็จะแผ่ขยายการทำด้ให้กว้างขวางออกไปเอง การสั่งสมคุณธรรมให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ก็จะอยู่เพียงแค่เอื้อม
-
โอวาททั้งสามข้อที่กล่าวจบไปแล้วนั้น ล้วนแต่สอนให้ทำความดี ส่วนโอวาทข้อสุดท้ายนี้ ท่านสอนให้รู้จักวางตนในการคบหาสมาคมกับบุคคนทั่วไป โดยให้ยึดคุณธรรมข้อนี้ไว้คือ การถ่อมตน ไม่อวดดีว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่นจะได้ไม่มีเรื่องกับใคร ไม่กล้าทำความชั่วสำนึกอยู่เสมอว่าตนเองยังทำความดีไม่เพียงพอ แล้วจะมีความกล้าหน้าในการฝึกฝน และไม่เพียงแต่จะหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา แต่ยังต้องรู้จักฝึกตนให้เข้ากับคนในสังคมได้จะได้ไม่มีศรัตรูทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีอุปสรรคในการสั่งสมคุณธรรมความดีงาม
คัมภีร์เอ้กเก็งได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดยกตนข่มท่านอวดวิเศษกว่าผู้อื่น ย่อมต้องประสบความเสียหาย ผู้ใดอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่จองหองลำพองตน ย่อมต้องประสบความสุขความเจริญ แม้แต่แผ่นดินก็หนีกฏนี้ไม่พ้น ดูแต่ขุนเขาที่สูงตระหง่านยืนทะมื่นเย้ยฟ้าท้าดินก็ยังต้องพังทลายอยู่เนือง ๆ ส่วนแอ่งน้ำที่ต่ำต้อยนั้น กลับมีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ปีศาจก็ชอบให้ร้ายคนทรนงและอภิบาลคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน วิชาโป๊ยก่วยนั้นได้แบ่งออกเป็น 64 หน่วย หน่วยอื่น ๆ ล้วนสอนให้เห็นผลดี และ ผลชั่วในพฤติกรรมของมนุษย์ แต่หน่วยแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้ ไม่มีผลชั่วเลยมีแต่ผลดีทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่า ฟ้าดินเทพยดาผีปีศาจและมนุษย์ ล้วนนิยมชมชอบความอ่อนน้อมถ่อมตนกันทั้งสิ้น
ในคัมภีร์อื่น ๆ ก็กล่าวเหมือนกันว่าทระนงตนอยู่นำมาซึ่งความวิบัติ ถ่อมตนนำมาซึ่งความเจริญ พ่อได้ไปร่วมสอบไล่กับนักศึกษาอื่น ๆ ตั้งหลายครั้ง ทุกครั้งพ่อสังเกตุเห็นนักศึกษาที่ยากจนบางคน บนใบหน้ามักทอประกายถ่อมตน จนบางครั้ง พ่อคิดอยากจะเอามือทั้งสองข้างของพ่อไปประคองประกายแห่งความถ่อมตนนั้นมาประดับบนใบหน้าของพ่อเสียบ้าง และไม่ต้องสงสัยเลยพวกเขาเหล่านี้สอบไล่ได้ทุกปีไป
เมื่อตอนที่พ่อเข้ามาสอบในเมืองหลวง มีเพื่อนนักศึกษาร่วมเดินทางมาด้วย รวมทั้งหมดสิบคนด้วยกัน พ่อสังเกตุดูเห็นมีคนอายุน้อยที่สุดมีชื่อว่า ปิง เป็นคนเดียวที่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตนมีความถ่อมตนอยู่เป็นนิจ พ่อจึงบอกกับเพื่อนพ่อว่า คน ๆ นี้ต้องสอบไล่ได้แน่นอน เพื่อนถามว่าทำไมพ่อจึงรู้ล่วงหน้าได้เล่า พ่อบอกเขาว่า ความถ่อมตนนำมาซึ่งความเจริญ ในหมู่พวกเราทั้งสิบคนนี้มีใครบ้างที่ซื่อและจริงใจเหมือนเขา คอยเอาใจเพื่อนฝูง ไม่เคยเอาเปรียบใครเลย แม้ใครจะหยอกล้อก็ไม่โกรธตอบ ใครนินทาว่าร้ายก็ไม่โต้เถียง สำรวมระวังไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์เหมือนคนอื่น คนเช่นนี้แม้แต่ผีสางเทวดาฟ้าดินก็ยังต้องให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ เมื่อผลการสอบไล่ครั้งนั้นปรากฏออกมา ก็เป็นจริงดังที่พ่อคาดไว้ทุกประการ เมื่อปี พ.ศ.2120 พ่ออยู่ในเมืองหลวงพักกับเพื่อนชื่อ ไคจื่อ แซ่เผิง พ่อสังเกตุดูรู้สึกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเด็ก ๆ เขาขี้เล่นซุกซน และเจ้าอารมณ์ แต่บัดนี้ดูเขามีสติควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก เขามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเป็นคนดีมาก ฉลาด ซื่อตรง ชอบช่วยเหลือเพื่อน คุณธรรมสามประการนี้สมแล้วที่จักขนานนามเขาว่าเป็นกัลยาณมิตร เขามักจะติเตียนไคจื่อต่อหน้า ไคจื่อไม่เคยโกรธหรือโต้ตอบเขาเลย รับฟังอย่างอารมณ์ดีเสมอ พ่อจึงบอกเขาว่า นิสัยอันดีงามของเขานี้ ย่อมเป็นปัจจัยนำไปสู่ความมีบุญวาสนา ส่วนคนที่ต้องประสบเคราะห์กรรม ก็เป็นเพราะเขาสร้างนิสัยไม่ดีงามเป็นเหตุปัจจัยนำไปสู้ความหายนะเช่นกัน สำหรับเพื่อนนั้น แม้ฟ้าดินก็ต้องประทานความช่วยเหลือ ปีนี้เพื่อนจะต้องสอบไล่ได้อย่างแน่นอนต่อมาก็เป็นจริงดังที่พ่อพูดกับเขาไว้
-
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แซ่จ้าว สอบไล่ได้ในภูมิลำเนาของตนเมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ต่อจากนั้นไป จะสอบกี่ครั้งก็ไม่เคยสอบไล่ได้อีกเลย ต่อมาได้ติดตามท่านบิดาที่ต้องย้ายไปรับราชการที่อำเภออื่นในอำเภอนั้น มีบัณฑิตมีความรู้สูงอยู่ท่านหนึ่ง แซ่เฉีย เด็กหนุ่มไม่ทราบข่าวก็รีบนำบทประพันธ์ของตนไปหาเพื่อขอคำแนะนำ โดยไม่คาดฝันท่านบัณฑิตจับพู่กันได้ ก็ตวัดข้อความในบทประพันธ์นั้นทิ้งเกือบหมด ถ้าเป็นบางคนก็จะโกรธมาก แต่เด็กหนุ่มคนนี้นอกจากจะไม่โกรธแล้ว ยังขอบพระคุณท่านบัณฑิต รีบแก้ไขข้อความแล้วนำมาให้ท่านแก้ไขให้อีกด้วย ความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง พอรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้ก็สอบไล่ได้ เมื่่อปี พ.ศ.2135 พ่อได้ไปเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ได้พบกับเพื่อนคนหนึ่ง ดูเขาช่างมีความจริงใจและอารมณ์ดีเสียนี่กระไร ประกายแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ทั่วบรรยายกาศที่รอบ ๆ ตัวเขา ทำให้พ่อได้สัมผัสกับประกายนี้ ด้วยความชื่นชม พ่อกลับจากเข้าเฝ้าได้เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่า หากฟ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองแก่ใคร มักจะประทานสติปัญญาให้ก่อน เมื่อมีสติปัญญาแล้ว คนที่เจ้าอารมณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นคที่ควบคุมอารมณ์ได้ คนที่อวดดีก็กลายเป็นคนถ่อมตนได้เอง พัฒนาตนเองได้แล้วฟ้าย่อมประทานบุญวาสนามาให้ และก็เป็นจริงดังว่า เขาสอบไล่ได้ในปีนั้นเอง
เมื่อปี พ.ศ.2077 มีนักศึกษาแซ่จาง คนหนึ่ง มีความรู้ เขียนบทความก็ดี เป็นคนเด่นคนหนึ่งในบรรดานักศึกษาทั้งหมด เขาเดินทางมานานกิงเพื่อเข้าสอบ พักอยู่ที่วัด ๆ หนึ่ง เมื่อผลการสอบประกาศออกมา ปรากฏว่าสอบตก แทนที่จะโทษตนเองว่าความรู้ยังไม่ถึงจึงสอบไม่ได้ กลับโกรธกรรมการคุมสอบ หาว่าไม่ยุติธรรม มีตาหามีแววไม่ บทประพันธ์ดี ๆ ก็หาว่าไม่ดี หลวงจีนในวัดท่านหนึ่งได้ยินเขา จึงยืนยิ้มอยู่ เขาก็เลยพาลโกรธท่านหลวงจีนในวัดไปด้วย หลวงจีนจึงกล่าวกับเขาว่า ดูดูแล้วเห็นทีบทประพันธ์ของท่านไม่ดีจริง เขายิ่งโกรธใหญ่ ตวาดหลวงจีนว่า ยังไม่ทันเห็นบทประพันธ์ จะรู้ว่าดีไม่ดีได้อย่างไร หลวงจีนจึงพูดว่า การประพันธ์ต้องอาศัยความสงบทางใจ จิตเป็นสมาธิจึงจะเขียนได้ดี ท่านควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา จะเขียนบทประพันธ์ได้ดีอย่างไรได้ นักศึกษาจางได้สติ จึงคุกเข่าขอขมา และมอบตัวเป็นศิษย์หลวงจีนจึงสอนว่า การสอบไล่ได้หรือไม่ได้ล้วนขึ้นอยู่กับชะตาชีวิต ถ้าชะตาไม่ดี แม้จะเขียนบทประพันธ์ได้ดีอย่างไรก็สอบไม่ได้ จึงต้องแก้ไขที่ตนเองเสียก่อน นักศึกษาจางกราบถามท่านว่า หากขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตแล้ว จะแก้ไขได้หรือ หลวงจีนพูดว่า ฟ้าประทานชีวิตให้เรา แต่ชะตาชีวิตเราต้องสร้างสมเอง หากกระทำแต่กรรมดีมีศีลมีธรรม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งไม่มีผู้รู้เห็น ก็ยิ่งเป็นกุศลมหาศาล เมื่อเราสั่งสมความดีจนเต็มเปี่ยมแล้ว เราจะต้องการชะตาชีวิตอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น นักศึกษาจางจึงปรารภว่า ข้าพเจ้าเป็นคนจน จะมีปัญญาช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร ท่านชี้แจงว่า การทำความดีต้องเริ่มที่ใจ มุ่งแก้ไขตนเองเสียก่อน เช่นการอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ต้องใช้เงินเลย ทำไมท่านไม่ตำหนิตนเองว่าความรู้ยังไม่เพียงพอ จึงสอบตก แต่กลับไปด่ากรรมการควบคุมสอบเล่า นักศึกษาจางเพิ่งได้คิด จึงเริ่มปฏิบัติตนเสียใหม่ ลดความหยิ่งผยองลงไปทุกวัน ๆ เพิ่มคุณธรรมให้กับตนเองมากยิ่งขึ้นทุกวัน ๆ ครั้นอีกสามปีต่อมา ในปีพ.ศ.2080 ในคืนวันหนึ่งได้ฝันไปว่าได้ไปในตึกสูงใหญ่หลังหนึ่ง เห็นบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไล่วางอยู่เล่มหนึ่ง พอเปิดออกดูเห็นทุกช่องมีช่องว่าง เกิดความสงสัยจึงถามคนที่ยืนใกล้ ๆ ว่า ทำไมบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไล่ได้แล้ว จึงมีการคัดออกอีกเล่า ได้รับคำตอบว่า เนื่องจากผู้ที่สอบไล่ได้แล้วจะต้องผ่านการตรวจสอบในยมโลกทุก ๆ 3 ปี ถ้าใครมีความประพฤติไม่ดีไม่อยู่ในธรรมก็จะถูกคัดชื่ออก จะสอบอีกอย่างไรก็สอบไม่ได้ แล้วชี้ไปที่ว่างบนสมุดบัญชีนั้นว่า สามปีมานี้เจ้าตั้งใจฝึกตนให้ก้าวหน้าไปมาก จะเอาชื่อเจ้าไว้ตรงนี้ ขอให้เจ้ารักตนสงวนตัว อย่าได้วู่วามทำผิดเหมือนดั่งแต่ก่อนอีก ปีนั้นเขาสอบไล่ได้ที่ 105
เมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า สูงจากศรีษะมนุษย์ไปเพียง 3 ฟุตก็มีเทพเจ้าคอยเฝ้าดูอยู่แล้ว เราจะต้องทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล หลีกเลี่ยงการกระทำอันเป็นอัปมงคลเสีย จะดีจะชั่วจึงอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าควบคุมจิตใจ และความประพฤติของเราให้ดี ไม่ทำสิ่งที่ฟ้าดินและผีสางเทวดาไม่พอใจ ไม่หยิ่ง ไม่โอหัง ไม่วู่วาม อดทนในสิ่งที่ทนได้ยาก ฟ้าดินและผีสางเทวดาก็ย่อมจะสงสารเห็นใจเรา ประทานความช่วยเหลือแก่เรา คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ย่อมไม่ทำจิตใจคับแคบเห็นแก่ตัว ย่อมไม่เป็นผู้ทำลายความสุขความเจริญของตนเอง ความถ่อมตนทำให้มีโอกาสที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านผู้รู้ได้รับผลประโยชน์จากท่านเหล่านั้นไม่จบสิ้น นักศึกษาจึงควรทำตัวเช่นนี้ ลูกจงจำไว้ว่า คนที่ยกตนข่มท่านถิอดีอวดเบ่งนี้ แม้จะได้ดิบได้ดีก็ไม่ยั่งยืนนาน
โบราณท่านว่าไว้ว่า ปรารถนาชื่อเสียงย่อมได้ชื่อเสียง ปรารถนาความร่ำรวย ก็ย่อมได้เป็นเศรษฐี ความปรารถนาของมนุษย์เปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ เมื่อหยั่งลึกลงดินแล้ว ต้นไม้ก็จะมีกิ่งก้านไพศาล ออกดอกออกผลตามฤดูกาล รากแก้วของมนุษย์ก็คือ การอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ เราจะต้องยึดมั่นในคุณธรรมข้อนี้ ถ่อมตนไว้เสมอ ให้ความสะดวกแก่ผู้อื่น เมื่อไม่ทำให้ผู้อื่นสะเทือนใจเพราะความอวดดีของเราแล้ว ฟ้าดินย่ิอมประทับใจในความดีของเรา พวกนักศึกษามักบนบวงเทพยดาฟ้าดินขอให้สอบไล่ได้ แต่พวกนี้ไม่ค่อยมีความจริงใจ การบนบวงจึงไม่ได้ผล ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อ พูดกับพระเจ้าฉีเซวียนอ๋องว่าพระองค์โปรดดนตรี ถ้าโปรดด้วยความจริงใจแล้วไซร์ชะตาของประเทศฉี ก็จักรุ่งเรืองสุกใสเป็นแน่ แต่นี่พระองค์โปรดดนตรีเพื่อความสุขของพระองค์เอง หากพระองค์สามารถขยายความสุขส่วนพระองค์นี้ ให้แผ่ไพศาลไปในดวงใจของราษฏรทุกคนแล้วไซร์ ราษฏรก็จะมีความสุขเหมือนพระองค์ และทุกคนก็จะจงรักภัคดีต่อพระองค์อย่างสุดหัวใจ เมื่อนั้นชะตาของบ้านเมืองฉี จะไม่รุ่งเรืองสุกใสอย่างไรได้ เมื่อลูกต้องการสอบไล่ได้เป็นขุนนาง ลูกก็จะต้องตั้งความปรารถนาไว้ดุจรากแก้วของต้นไม้ แน่วแน่ที่จะทำความดีไม่ท้อถอย สั่งสมความดีงามให้ได้ทุก ๆ วัน ลดความอวดดีถือดีให้หมดสิ้นไป สร้างอนาคตด้วยตัวลูกเอง ชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ ขอให้ลูกจงเพียรพยายามต่อไปเถิด ความสำเร็จย่อมรอลูกอยู่แล้วอย่างแน่นอน
ลำดับการสอบไล่ของจีนโบราณ
ซิวจ๋าย นักศึกษาที่สอบไล่ได้ครั้งแรกในภูมิลำเนาของตน หมายถึงผู้ฉลาดที่คัดมาแล้ว
กือหยิน ซิวจ๋ายที่สอบไล่ได้อีกครั้ง หมายถึง ผู้ฉลาดที่สมควรสนับสนุนต่อไป
จิ้นสือ กือหยินที่สอบไล่ได้อีกครั้ง เป็นบัณฑิตที่ควรส่งเสริมให้เข้าสอบรับราชการได้แล้ว
ท่านเหลี่ยวฝานสอบได้จิ้นสือแล้ว ก็สอบเข้ารับราชการเลย จึงมิได้เข้าสอบชิงตำแหน่งจอหงวนอีก และเป็นเพราะความสันโดษของท่านด้วย เมื่อศึกษาได้ผ่านบันได 3 ขั้น เป็นบัณฑิตแล้ว ถ้าจะสอบต่อไปก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง เข้าสอบในพระราชวังฮ่องเต้ทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เอง
จอหงวน ผู้ที่มีลักษณะเป็นเลิศ ได้เป็นที่หนึ่ง
ปังหงัน ผู้ที่พลาดไปนิด แม้เป็นรองก็สองตาที่ฉลาดได้เป็นที่สอง
ถัมฮวย ผู้เข้าใจเก็บดอกไม้ ได้เป็นที่สาม
สมัยราชวงศ์ถัง ผู้สอบจิ้นสือได้แล้ว จะได้รับพระราชทานเลี้ยง เรียกว่างานเก็บดอกไม้ โดยคัดเลือกจิ้นสือที่มีอายุน้อย 2 ท่านไปเลือกเก็บดอกไม้งามและมีชื่อในอุทยานต่าง ๆ เพื่อมาเป็นหัวข้อในการแต่งโคลงฉัน?์กาพย์กลอนของบัณฑิตในงานเลี้ยง ต่อมา ผู้ที่สอบไล่ได้ที่สาม ก็จะได้รับพระราชทานนามนี้จนถึงสมัยราชวงศ์เช็ง
ถวนหลู ผู้ที่สอบไล่ได้ที่ 4 ไม่ได้เข้าเฝ้า หมายถึง ผู้ที่รับทราบว่าสอบไล่ได้ โดยพระบรมราชโองการที่ขุนนางประกาสต่อ ๆ กันออกมาจากท้องพระโรง
ฮั่นหลิม ผู้ที่สอบไล่ได้ที่ 5 ไม่ได้เข้าเฝ้าเช่นกัน หมายถึง บัณฑิตที่สอบไล่ได้ในขั้นนี้มากมายประดุจไม้ยืนต้นตระหง่านในป่าเปรียบประดุจกำลังของแผ่นดิน
จบเล่ม