นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/12/2553, 16:05

หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/12/2553, 16:05

                                                     ไม้สูงตั้งตรงได้ด้วยเชือกเถาวัลย์ที่พันรัดไว้
                                              โลหะทองคำยังต้องอาศัยหินฝนลับเหลี่ยมจนแหลมคม
                                                    ปัญญาชนผู้ใฝ่รู้ที่คอยกระตุ้นเตือนตนทุกวี่วัน
                                                            ย่อมสามารถบรรลุหนทางธรรม
                                                        อีกทั้งการกระทำย่อมไร้ข้อผิดพลาด

                                                                   คำนำของผู้เขียน

                                                   หลักปฏิบัติตนของคนตะวันออก  :  ธรรมะขงจื๊อ           

                            โลกตะวันตก  โลกตะวันออก 
                            คนตะวันตก    คนตะวันออก     
        ความจริงในทางชีววิทยาก็เป็นคนเหมือน ๆ กัน วัฒนธรรมยุคบรรพกาลก็ไม่ต่างกัน แต่มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมต่างกัน  แนวคิดในการมองโลกและมองชีวิตจึงมีจุดแตกต่างกัน ปราชญ์ตะวันตกเขาเน้นเสมอว่า ตะวันตกคือตะวันตก ตะวันออกคือตะวันออก และไม่มีวันที่ทั้งสองโลกจะมาบรรจบกัน นั่นคือฝรั่งตื่นรู้อยู่เสมอว่า คนตะวันตกกับคนตะวันออกแตกต่างกัน ยากที่จะหลอมรวมกันได้ วิธีการของฝรั่งจึงต้องการเปลี่ยนจิตวิญญาณของคนตะวันออกเสียใหม่ ทำให้คนตะวันออกยอมรับเอาแนวคิดและวัฒนธรรมของตะวันตกว่าเป็นสิ่งเหนือกว่าดีกว่า แล้วนำเอามาปฏิบัติ ซึ่งก็ได้ผลมากทีเดียว แต่ถึงอย่างไร ๆ ก็ไม่อาจจะลบล้างวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของคนเอเชียได้ทั้งหมด ตัวอย่างนี้เห็นได้ชัดในญี่ปุ่น
      ญี่ปุ่นเป็นชาติโดดเดี่ยวเพราะเป็นเกาะอยู่ห่างไกลจากผืนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีอัตลักษณ์สูง แต่ก็ยอมรับอารยธรรมที่ก้าวหน้ากว่าจากภายนอกและยอมเปลี่ยนแปลเพราะอารยธรรมจากภายนอกด้วยเช่นกัน วัฒนธรรมญี่ปุ่นก่อนที่จะกลายเป็นฝรั่งอย่างทุกวันนี้นั้น นอกจากอารยธรรมพื้นเมืองแล้ว ส่วนไม่น้อยของวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นวัฒนธรรมที่ถูกเก็บไว้ในแคปซูลเวลาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังของจีนคือประมาณพันห้าร้อยปีที่แล้วเพราะรับอิทธิพลจีนจากราชวงศ์ถังไว้อย่างเต็มที่ และก็ยังรักษามันไว้ได้ ญี่ปุ่นมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อถูกฝรั่งบังคับให้เปิดประเทศ รัฐญี่ปุ่นดำเนินการปฏิรูปเมจิ และปราชญ์ญี่ปุ่นเปลี่ยนระบบคิดว่าต้องทำตามอย่างชาติตะวันตก จึงจะอยู่รอดปลอดภัยในโลกยุคใหม่
     ญี่ปุ่นจึงเป็นชาติแรกในเอเชียที่กลายเป็นประเทศทุนนิยมอุตสาหกรรม และเป็นชาติจักรวรรดินิยมล่าเมืองขึ้นด้วย เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ถูกทำให้เป็นแบบอเมริกัน แต่ถึงอย่างไร แม้จนถึงปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นจะใกล้เคียงความเป็นอเมริกันมากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีอัตลักษณ์อยู่ คือถึงอย่างไรๆ เสีย การประพฤติปฏิบัติตัวในสังคมก็ยังไม่ใช่คนฝรั่ง อย่างเช่นยังชอบไปติดสินบนเทวดาตามศาลเจ้าชินโตเป็นต้น มองไปทางจีน  อินเดีย  ชาติมุสลิม  ก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างตะวันตก - ตะวันออกชัดขึ้น
    ยังจำสถานการณ์เมื่อคราวโรคต้มยำกุ้งเล่นงานเศรษฐกิจโลกกันได้หรือไม่ คราวนั้นพวกฝรั่งพลิกกลับ จากที่เคยยกย่องความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของชาติที่มีพื้นฐานแบบวัฒนธรรมขงจื๊อ เช่น เกาหลี  ไต้หวัน  สิงคโปร์ กลายเป๋นโจมตีว่าวิกฤติเศรษฐกิจเกิดจากจุดอ่อนของ "ค่านิยมแบบเอเชีย" ฝรั่งกล่าวโทษค่านิยมแบบเอเชียอย่างไม่จำแนกแยกแยะเพราะไม่ว่าจะเป็น "ค่านิยมแบบตะวันตก" หรือ "ค่านิยมแบบตะวันออก" ก็ตามต่างก็ล้วนมีข้อที่ดีงามถูกต้องและข้อที่ไม่ดีอะไรไม่ดีเราควรยอมรับและปรับปรุงแก้ไข แต่อะไรที่ดีเราก็ควรรักษาไว้
    ฝรั่งโจมตีว่าเศรษฐกิจเชียพัง เพราะนายทุนเอเชียชอบช่วยพรรคพวก ช่วยกันถึงขั้นคอร์รัปชั่น ไม่โปร่งใส ฝรั่งบอกว่าเป็น "ทุนนิยมพวกพ้อง" Crony  Capitalism คนเชียชอบ "เอาพวกพ้องไว้ก่อน" แต่นั่นก็มิใช่มาตรฐานจริยธรรมที่สังคมเอเชียยกย่อง ระบบศีลธรรมของทุกศาสนานั้นแจ่มชัด มีไว้เพื่อรักษาความดีงาม มีไว้เพื่อความสงบสุขในสังคม ลัทธิขงจื๊อก็มีระบบศีลธรรมทำนองเดียวกัน
   การที่ฝรั่งโจมตีประเทศที่มีรากเหง้าวัฒนธรรมจากลัทธิขงจื๊อล้มเหลว เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะค่านิยมเอเชียจึงไม่ถูกต้องเป็นการมองอย่างเหมารวมและผิวเผินเกินไป เหมือนกับเหมาว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่คนในเมืองไทยฆ่ากัน ใช้ความรุนแรงกันมากนักหนา จึงบอกว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะพุทธศาสนา ทุกคนย่อมรู้ว่า มันไม่ใช่เพราะเหตุนี้ การที่คนไทยถอยห่างจากพระพุทธศาสนา นับถือศาสนาแต่เปลือกต่างหากที่ทำให้ศีลธรรมในสังคมด้อยลง ทุกคนย่อมภูมิใจในชาติกำเนิดของตน ไม่ว่าคนตะวันตกคนตะวันออก ต่างก็ล้วนภูมิใจในชาติกำเนิดของตน และความภูมิใจที่ถูกที่ควรนั้นต้องประกอบส่วนด้วยการให้เกียรติคนอื่นยอมรับความเป็นอื่นของผู้อื่นด้วย
     หากถามผู้เขียนว่าหลักแก่นแห่งความภูมิใจในความเป็นคนตะวันออกของผู้เขียนคืออะไร ขอตอบว่าคือเบญจศีลเบญจธรรมของศาสนาพุทธและหลักมนุสสธรรม (เหญิน) 5ข้อ ของขงจื๊อได้แก่ ความสงบเสงี่ยม  ความใจกว้าง  ความมีสัจจะ  ความเฉียบแหลม  ความเอื้ออาทร
    สงบเสงี่ยมย่อมไม่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ใจกว้างย่อมได้รับความชมเชยจากผู้อื่น มีสัจจะย่อมได้รับความวางใจให้ทำงาน เฉียบแหลมย่อมสามารถสร้างผลงานความดี เอื้ออาทรย่อมสามารถมอบหมายงานต่อผู้อื่นได้ง่าย หากผู้ปฏิบัติตนรักษาศีลห้าและธรรมห้า สังคมจะสงบร่มเย็น หากผู้คนปฏิบัติตามหลักห้าประการของขงจื๊อเขาจะมีชีวิตที่สงบจำเริญรุ่งเรืองในกิจการงาน
    นี่เป็นหนึ่งในค่านิยมเอเชียอันดีงามที่สามารถสร้างความสมานฉันท์ ความสงบร่มเย็นในสังคมได้ ผู้เขียนจึงพยายามสรุปความแก่นสำคัญของหลักจริยธรรมในลัทธิขงจื๊อ หรือหญูเจีย เขียนให้เข้าใจง่าย ๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที แต่ถ้ามีจุดใดบกพร่องผิดพลาด ผู้เขียนยินดีน้อมรับคำติติงแนะนำด้วยความขอบพระคุณ  อนึ่ง  ในการรวมข้อเขียนจัดพิมพ์ครั้งนี้ ผู้เขียนได้นำงานค้นคว้าของอาจารย์ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ ผู้เป็นกัลยาณมิตรของผู้เขียนมานับแต่เรียนหนังสือที่วัดเทพศิรินทร์ มารวมพิมพ์ไว้ด้วยเพราะเป็นงานค้นคว้าที่มีประโยชน์มาก อธิบายให้เห็นชัดเจนว่าลัทธิขงจื๊อมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาอย่างไร                                         

                                                                   คารวะธรรม
                                                              ทองแถม  นาถจำนง
                                                                 อาศรมแม่โพสพ                                         
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ขงจื๊อคือใคร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/12/2553, 08:46

      ขงจื๊อ (๕๕๑ - ๔๗๙ BC) แซ่ข่ง ชื่อ ชิว ฉายาจงนี เป็นชาวอำเภอโจวอี้ ก๊กหลู่ (ปัจจุบันคือแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอำเภอชวีฟู่ มณฑลซานตง) เป็นเชื้อสายขุนนาง แต่เนื่องจากมารดาเป็นคนชั้นต่ำ (เป็นลูกสาวของนักดนตรีตาบอดในยุคชุนชิวนักดนตรีตาบอดแม้จะเป็นบุคคลที่จำเป็นต้องมีในการพิธีกรรม เพราะดนตรีเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในพิธีกรรม แต่ก็ถือเป็นคนชั้นต่ำในสังคม) ครอบครัวของบิดาไม่ยอมรับให้อยู่ในครอบครัว มารดาต้องพาข่งชิว กลับไปอาศัยอยู่กับบิดาของตน (นักดนตรีตาบอด) ข่งชิวมีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษา ได้เห็นการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายตั้งแต่วัยเด็ก (ต้องจูงตาไปในงานพิธีกรรม)
    ในวัยหนุ่ม  ข่งชิวเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย ดูแลห้องคลังและสัตว์เลี้ยงเป็นต้น เมื่ออายุ ๕๐ ปี ได้เป็นอำมาตย์ยศ ชือโข้ว ทำหน้าที่ควบคุมคุกตะรางและการสอบสวนอยู่สามเดือน ต่อมาได้เดินทางไปเสนอแนวคิดของตนตามก๊กต่าง ๆ เช่น ก๊กเหวย ก๊กเฉิน ก๊กซ่ง ก๊กเติ้ง ก๊กฉี ก๊กฉู่ เป็นต้น แต่เจ้าก๊กต่าง ๆ ไม่สนใจรับไปปฏิบัติ
    ในวัยชรา  เดินทางกลับไปอยู่ก๊กหลู่ ตั้งสำนักศึกษา ทุ่มเทให้กับการศึกษาและการชำระคัมภีร์ต่าง ๆ นับเป็นผู้เริ่มต้นก่อตั้งสำนึกศึกษาเอกชนขึ้น เล่ากันว่าขงจื๊อมีศิษย์ถึงสามพันคน ศิษย์เอกที่มีชื่อเสียงมีถึงเจ็ดสิบกว่าคน
   คำสอนของขงจื๊อได้รับการสืบทอดพัฒนาต่อมา ปราชญ์ลัทธิหญู (ขงจื๊อ) ชื่อต่งจ้งชู (๑๗๙ - ๑๐๔ BC) ทำให้ "ฮั่นอู่ตี้" (ครองราชย์ ๑๔๐ - ๘๘ BC) ยอมรับนับถือลัทธิหญู (ขงจื๊อ) ต่อจากนั้นทุกราชวงศ์ก็รับนับถือลัทธิขงจื๊อตลอดมา ลัทธิขงจื๊อมีพัฒนาการและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
   ในยุคต่อ ๆ มาก็ได้รับคำสอนของเต๋า และพุทธ เข้าไปผสมผสานด้วย ท่านผู้อ่านศึกษาพัฒนาการของปรัชญาขงจื๊อได้จากงานค้นคว้าของ ผศ.ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ ในภาคผนวก
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ขงจื๊อกับลัทธิหญู
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/12/2553, 08:04

       ขงจื๊อ เกิดก่อนพุทธศักราช ๘ ปีในยุคชุนชิว แผ่นดินจีนกำลังป่วนปั่น สังคมกำลังอยู่ในช่วงระยะผ่านจากสังคมทาสเป็นสังคมศักดินา แนวคิดดั้งเดิมของขงจื๊อจริง ๆ เป็นความคิดอนุรักษ์นิยมที่ต้องการรักษาจริยธรรมแบบเก่าๆ เอาไว้ ความคิดรวบยอดของท่านสรุปได้สองคำคือ "หลี่" กับ "เหญิน"
      หลี่ คือจารีตธรรมเนียม ขงจื๊อเน้นการปฏิบัติตัวตามจารีตธรรมเนียมโบราณของยุคราชวงศ์โจว แนวความคิดเรื่อง หลี่ นี้มีมาก่อนขงจื๊อนานแล้ว ผู้ที่วางรากฐานความคิดเรื่องนี้คือ "โจวกง" หรือ "จิวกง" ผู้เป็นปราชญ์คนสำคัญยุคต้นราชวงศ์โจว (ประมาณหนึ่งพันปีก่อนครสต์ศักราช)
     "เหญิน"  แต่ก่อนมักมีผู้แปลว่า เมตตาธรรม ซึ่งไม่ตรงความหมายนัก ผู้เขียนเองก็ยังกำหนดคำแปลให้เป็นที่ยอมรับทั่วกันไม่ได้ จึงขอทดลองใช้คำว่ามนุสสธรรมไปก่อน (ซึ่งไม่ใช่ความหมายของมนุษยธรรม) ความหมายของมันมีสองนัย นัยหนึ่งหมายถึงความรัก ความรักต่อมวลมนุาญชาติ อีกนัยหนึ่งหมายถึงการเอาชนะตัวเองเพื่อปฏิบัติตามจารีตธรรมเนียม แนวคิดเกี่ยวกับ "เหญิน" นี้ เป็นสิ่งใหม่ที่ขงจื๊อพัฒนาขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มนุสสธรรมของขงจื๊อก็ยังอยู่ในกรอบกฏเกณฑ์ของจารีตธรรมเท่านั้น ปรัชญาแนวขงจื๊อ จีนเรียกว่า "หญู" แปลว่า รัก สงบ ทำให้คนสงบสุข ทำให้คนเชื่อฟัง ผู้ที่มีความเชื่อและปฏิบัติตามแนวคิดลัทธินี้เรียกว่า "หญูเจีย" (ชาวลัทธิหญู)
    หลังจากขงจื๊อสิ้นชีพไปแล้ว ลัทธิหญูแตกตัวออกเป็นหลายแนว บางแนวความคิดก็ตรงกันข้ามเลย อย่างเช่น สวินจื่อ (ซุ่นจื้๊อ) กับ หมิงจื่อ (เม่งจื๊อ) เป็นต้น แต่สายที่ได้รับการเชิดชูยอมรับจากชนรุ่นหลังต่อมาคือ สายเม่งจื๊อ  เม่งจื๊อเกิดมาทีหลังขงจื๊อร้อยกว่าปี อยู่ในสังคมที่แตกต่างจากยุคขงจื๊อ แนวความคิดทางการเมืองนั้น เม่งจื๊อแตกต่างจากขงจื๊อ แต่เม่งจื๊อได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับ "เหญิน" ให้เป็นระบบสมบูรณ์ขึ้น และยังได้ผนวกเข้ากับปรัชญาการปกครองเรียกว่า "ขันติยมรรค" (หวางต้าว )- หรือ การปกครองด้วยมนุสสธรรม  เม่งจื๊อได้รับการยกย่องให้เป็นศาสดาลำดับที่สองรองจากขงจื๊อ
     ปลายยุคจั้นกั๋ว (รณรัฐ) สังคมปั่นป่วน แคว้นต่าง ๆ แก่งแย่งอำนาจความเป็นใหญ่ แนวคิดรัฐหญู ไม่เอื้ออำนวยต่อการต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่ ลัทธิหญูเริ่มเสื่อมความนิยมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้นิยมลัทธินีติวาท (ฝ่าเจีย) ลัทธิหญูถูกสั่งห้ามเผยแพร่ นับเป็นช่วงตกต่ำสุดขีดของลัทธิหญู กาลผ่านมาจนกระทั่ง เล่าปังก่อ ตั้งราชวงศ์ฮั่นแล้ว จึงมีนักลัทธิหญูคนหนึ่งชื่อ ต่งจ้งชู  ประยุกต์ลัทธิหญู รับเอาแนวคิดลัทธิหยินหยางเข้ามาผสม เลือกเน้นคำสอนที่ช้วยสร้างความมั่นคงให้อำนาจฮ่องเต้ เช่น "ฟ้าไม่เปลี่ยนมรรคย่อมไม่เปลี่ยน" ต่งจ้งซูสามารถทำให้จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือฮั่นบู๊เต้ ยอมรับลัทธิหญูเป็นจริยธรรมหลักของประเทศ มีผู้ประณามต่งจ้งซู ว่าเป็นผู้ทรยศ แต่อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนลัทธิหญูของต่งจ้งซูทำให้ราชวงศ์ฮั่นรับนับถือลัทธิหญูเป็นหลัก ทำให้ลัทธิหญูได้เป็นปรัชญาประจำชาติจีนนับแต่นั้นเป็นต้นมา หลักใหญ่สามปะการแห่งลัทธิหญูของต่งจ้งซู คือ...
๑. ปฏิบัติตัวให้สมกับนามหรือฐานะ เช่น เป็นกษัตริย์ เป็นอำมาตย์ เป็นบิดา เป็นบุตร เป็นสามี เป็นภรรยา ต่างต้องปฏิบัติต่อกันให้ถูกต้องตามฐานะที่เป็น
๒. เชื่อฟังอาณัติสวรรค์
๓. รักษา ปฏิบัติ ตามกฏเกณฑ์เก่าที่สืบทอดกันมา
    จะเห็นได้ว่าลัทธิหญูในราชวงศ์ฮั่น แตกต่างไปจากของขงจื๊อดั้งเดิมแล้ว จากยุคราชวงศ์ฮั่นลงมาถึงราชวงศ์ซ่ง (๒๐๖ BCค.ศ.๙๖๐) พันกว่าปี ลัทธิหญูพัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่มาก จึงตกเป็นรองศาสนาพุทธ และ ศาสนาเต๋า  เดิมทีนั้นแนวคิดทางปรัชญาความเชื่อต่าง ๆ ของจีนยังไม่อาจเรียกได้เต็มปากว่า "ศาสนา" สิ่งที่เรียกได้เต็มปากว่าศาสนาแรกคือ "ศาสนาพุทธ" เริ่มแพร่เข้าสู่จีน ตั้งแต่ต้นราชวงศ์ตงฮั่น (ค.ศ.๒๕ - ๒๒๐) ศาสนาพุทธแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ลัทธิเต๋าดั้งเดิมของจีนจึงปรับตัวเป็นระบบขึ้น จนเป็นรูปแบบศาสนาในช่วงปลายยุคราชวงศ์ตงฮั่น  แต่ลัทธิหญูไม่เปลี่ยน จนกระทั่งเห็นว่าจะแย่เต็มทีแล้วจึงมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ในราชวงศ์ซ่ง การปฏิรูปครั้งนั้น ซึมซับแนวคิดจากศาสนาเต๋าและศาสนาพุทธเข้าไปประสมประสานมากมาย จนบางท่านบอกว่าแก่นเป็นพุทธและเต๋า เปลือกเป็นขงจื๊อ
   "ศาสนาขงจื๊อ" หรือ "ศาสนาหญู" กำเนิดจากศาสนาจริง ๆ จัง ๆ ในยุคราชวงศ์ซ่งนี่เอง ลัทธิหญูมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามสภาพเงื่อนไขที่เป็นจริงทางสังคม นับตั้งแต่ยุคขงจื๊อ ผ่านเม่งจื๊อ ผ่านต่งจงซู เรื่อยมาจนกระทั่งการปฏิรูปครั้งใหญ่ในยุคราชวงศ์ซ่ง ซึ่งได้มีการซึมซับเอาศาสนาพุทธและศาสนาเต๋าเข้าไปประสมประสานมากมาย จนเกิดเป็นศาสนาขงจื๊อ (ในยุคนั้นเรียกว่า "หลี่เสวีย") อย่างที่ชนรุ่นเราเข้าใจกัน
    คนสำคัญที่สุดผู้วางรากฐานศาสนาขงจื๊อในยุคนี้คือ "จูซี" การตีความคำสอนของขงจื๊อ และวัตรปฏิบัติทั้งหลายแหล่ของชาวหญูในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากสิ่งที่จูซีวางรากฐานปฏิรูปเอาไว้ในยุคราชวงศ์ซ่ง  การเชิดชูยกย่อง "สี่ตำรา ห้าคัมภีร์" ก้เนื่องจากจูซีผู้นี้เองเป็นคนกำหนดขึ้น ตำราทั้งสี่ได้แก่ หลุนอวี่  ต้าเสวีย  จงยง  และเม่งจื๊อ
""หลุนอวี่"" เป็นบันทึกวจนะของขงจื๊อ หากเราจะศึกษาแนวคิดของขงจื๊อแท้ ๆ ก็ต้องพิจารณาจากเล่มนี้เล่มเดียวเท่านั้นเพราะเล่มอื่น ๆ มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนไปจากเดิมทั้งสิ้น
""ต้าเสวีย"" สอนเรื่องการศึกษาเป็นผลงานของเจิงจื๊อ ศิษย์รุ่นหลาน
""จงยง""   สอนเรื่องการปฏิบัติทางสายกลาง เป็นผลงานของจื่อซือ ศิษย์เอกของขงจื๊อ
""เม่งจื๊อ""  เป็นตำรารวบรวมวจนะของเม่งจื๊อ
          ห้าคัมภีร์นั้น เดิมมีหกคัมภีร์ ได้แก่ ชู  ซือ  ชุนชิว  อี้  หลี่  และเยวี่ย   ""คัมภีร์เยวี่ย"" ได้หายสาบสูญไป จึงคงเหลือเพียงห้าคัมภีร์  ทั้งห้าคัมภีร์นี้ ก็มิใช่บทประพันธ์ของขงจื๊อ มันเป็นของเก่าโบราณมีมาก่อนขงจื้อนานแล้ว เพียงแต่ขงจื๊อมาเรียบเรียงชำระใหม่ มีประโยชน์ในแง่การศึกษาแนวคิดก่อนยุคขงจื๊อ  จูซี กำหนดให้้ ""สี่ตำรา  ห้าคัมภีร์"" เป็นแบบเรียนหลักที่บัณฑิตทุกคนจะต้องเรียนให้เจนจบ และใช้ในการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการ
     หลักจริยธรรมห้าประการได้แก่.....เหญิน -- มนุสสธรรม 
                                             อี้      -- ความถูกต้องทำนองคลองธรรม
                                             หลี่ --    จารีตธรรมเนียม
                                             จือ --     ปัญญา
                                              ซิ่น --    ความมีสัจจะเชื่อถือได้
กำหนดแน่ชัดในยุคนี้ หรือ ธรรมะแปดประการได้แก่ ความกตัญญู  ความรักญาติพี่น้อง  ความจงรักภัคดี  ความมีสัจจะ  ความมีมารยาทรักษาจารีตธรรมเนียม  ความสุจริตตามทำนองคลองธรรม  ความไม่โลภความละอายต่อบาป  ก็เป็นการขยายความให้สมบูรณ์ขึ้นใยุคนี้เหมือนกัน นอกจากนั้นแล้วหลักกรอบสามประการและห้าสม่ำเสมอ (ซานกังอู่ฉาง) ก็ถูกเน้นเข้มงวดขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ
      กรอบสามประการคือ หลักปฏิบัติตนระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง  บุตรกับบิดา   สามีกับภรรยา
      ห้าสม่ำเสมอ  คือ หลักจริยธรรมห้าประการที่กล่าวแล้วข้างต้น  ธรรมะเหล่านี้มีกำหนดไว้อย่างเข้มงวดเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงของระบอบการปกครองศักดินาของจีน นับว่าศาสนาหญูยุคราชวงศ์ซ่ง ผูกมัดรัดรึงผู้คนไว้อย่างเข้มงวด
    ในยุคต่อ ๆ มา ศาสนาหญู ก็มีการปรับปรุงพัฒนาต่อไป ยุคราชวงศ์หมิง สังคมสินค้าพัฒนาเจริญขึ้นมาก พาณิชยกรรมขยายใหญ่โตกว่าเดิมมาก กระแสความคิดในสังคมย่อมเปลี่ยนแปลงไปยิ่งในบางท้องที่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับชาวตะวันตกด้วย ก็ยิ่งมีแนวความคิดใหม่ ๆ ขึ้น
    หลี่จื๊อ นักคิดคนสำคัญ ถึงกับเสนอว่า "เราไม่อาจจะนำคุณธรรมท่านขงจื๊อมาเป็นคุณธรรมของพวกเราได้ (เพราะต่างยุคกัน) ในยุคราชวงศ์ชิงกระแสความคิดพลิกกลับอีก ปฏิเสธ "หลี่เสวีย" ของยุคราชวงศ์ซ่ง พากันย้อนไปศึกษาเรื่อง หลี่ (จารีตธรรมเนียม) ก่อนยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่ก็ไม่มีอะไรสร้างสรรค์ใหม่ จนกระทั่งยุคปฏิวัตรประชาธิปไตย ศาสนาหญูต้องตกเป็นเป้าการโจมตีของปัญญาชนรุ่นใหม่ และยิ่งเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนครองแผ่นดินใหญ่ศาสนาหญูนับว่าจบสิ้นไปแล้ว จะคงความสำคัญอยู่บ้างก็ในทางปรัชญาแนวความคิด ไม่มีบทบาทเป็นศาสนาอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนถ่ายผู้นำมาถึงผู้นำรุ่นที่สาม เกิดการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมอย่างมากและรัฐจีนทุกวันนี้กำลังหันมาฟื้นฟูเกียรติภูมิของขงจื๊อและจริยศาสตร์ลัทธิหญูอย่างจริงจังมากขึ้น               
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : อธิบายคำว่าหญู
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/12/2553, 02:44

       ลัทธิขงจื๊อ หรือ หญูเจีย  เน้นคำสอนทางโลกียธรรม คือสั่งสอนให้ผู้คนรักษาคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนอย่างวิญญูชน เพื่อจรรโลงสังคมโลกีย์ให้สงบอยู่เย็นเป็นสุขมีความทุกข์น้อยที่สุด ก่อนที่จะเข้าถึงคำสอนด้านปรัชญา และจริยศาสตร์ลัทธิขงจื๊อ ผู้เขียนอยากจะเล่าถึงตัวอักษรคำว่า "หญู" ไว้ก่อนอักษรจีนคำนี้ในยุคเริ่มแรกนั้นหมายถึงบุคคลซึ่งมีหน้าที่เป็นครูสั่งสอนพวกลูกหลานของเจ้าขุนมูลนายและหมายถึงคนที่มีความรู้ในศาสตร์เฉพาะทางบางอย่างเช่น พวกแพทย์ พวกโหราจารย์ นักพยากรณ์โหงวเฮ้ง นักปรุงยาอายุวัฒนะ ฯ ก็เรียกว่า พวกหญู ด้วย
     อักษรจีนนั้นเกิดจากการผสมกันหลายลักษณะ อักษร "หญู" มีตัวหน้าหมายถึง คน คือคำว่า เหญิน สัญลักษณ์ หรือตัวอักษรด้านขวาเป็นคำบอกเสียงให้อ่านว่า "หญู" คำว่า "หญู" นี้มาประมาณเกือบสามพันปีแล้ว (ก่อนขงจื๊อเกิด) ครู หรือ หญู มีหน้าที่สอนศิลปศาสตร์ให้แก่ลูกหลานเจ้าขุนมูลนาย ศีลปะศาสตร์ของชนเผ่าหัวเซี่ย (จีนแท้แถบลุ่มแม่น้ำเหลือง) ก่อนยุคขงจื๊อนั้น ประกอบด้วยวิชา วิชาจารีต (ธรรมเนียม) วิชาดนตรี วิชายิงเกาทัณฑ์ วิชาบังคับรถม้า วิชาหนังสือ วิทยาศาสตร์ (ยุคโบราณ ประกอบด้วยการคำนวน ปฏิทินและดาราศาสตร์ ตลอดจนเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติทั้งปวงเท่าที่จะมีความรู้กันในยุคนั้น) ตกมาถึงสมัยท่านขงจื๊อ ท่านได้พยายามปฏิรูประบบการศึกษา ท่านสอนศิษย์ว่า "พวกเจ้าจะต้องทำตัวเป็นหญูวิญญูชนที่แท้จริง อย่าทำตัวเป็นหญูชั้นต่ำ  ท่านขงจื๊อมีอุดมคติอนุรักษ์นิยม ท่านพยายามฟื้นฟูจารีตธรรมเนียมเก่า ๆ สมัยก่อนตั้งแต่ยุค "โจวกงตั้น" หรือ "จิวกง" ผู้วางรากฐานลัทธิธรรมเนียมให้ราชวงศ์โจว (จิว) ท่านขงจื๊อเห็นว่า คำสอนโบราณเกี่ยวกับ บทกวี หรือ บทเพลง หนังสือ จารีตธรรมเนียม ดนตรี อี้จิง (ตำราเกี่ยวกับความผันแปรซึ่งต่อมากลายเป็นคัมภีร์หลักของโหราศาสตร์จีนไป) เป็นหลักการสำคัญในการขัดเกลามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ เป็นหลักการทางจริยศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านยังได้เรียบเรียงจดหมายเหตุประวัติศาสตร์ของแคว้นหลู่ขึ้น ให้ชื่อว่า "ชุนชิว" คัมภีร์ดังกล่าวข้างต้น ได้เป็นรากฐานของปรัชญาลัทธิหญู (ลัทธิขงจื๊อ) ต่อมาในภายหลัง
    โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนมักจะเข้าใจว่า คำสอนของขงจื๊ิอเป็นคำสอนที่ชาวจีนยึดถือปฏิบัติกันมานับตั้งแต่บรรพกาล แต่ความเป็นจริงคือในสมัยที่ท่านขงจื๊อยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านได้พยายามเผยแพร่สื่อให้ประมุขแคว้นต่าง ๆ รับเอาแนวปรัชญาและจริยศาสตร์ของท่านไปใช้ในการปกครองแคว้น แต่ประมุขหรือชนชั้นปกครองในยุคชุนชิวต่างมุ่งแก่งแย่งกันเป็นใหญ่ ไม่มีแคว้นใดรับเอาจริยศาสตร์ของท่านขงจื๊อไปใช้บริหารปกครองแคว้นเลย
    ศิษย์ของขงจื๊อเองก็มีความแตกต่างทางแนวคิด คือสายหนึ่งพัฒนากลายเป็นลัทธินีติวาท หรือ ฝ่าเจีย สายนี้มี "สวินจื่อ หรือ สุ้นจื๊อ เป็นต้นเค้า ยุคจั้นกั๋ว (รณรัฐ) ก่อนจิ๋นซีฮ่องเต้ครองอาณาจักรทั้งหมด ประมุขแคว้นต่าง ๆ หันไปนิยมแนวปรัชญาการปกครองแบบนีติวาทให้ความสำคัญกับการใช้กฏหมายปกครองบังคับคนมากกว่าที่จะใช้คุณธรรมที่เป็นนามธรรมมาสั่งสอนคน และสุดท้าย การใช้อำนาจรัฐตามแนวของลัทธินีติวาทก็ได้ชัยชนะ คือจิ๋นซีฮ่องเต้ชนะสงคราม หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้พินาศไปแล้วเกือยร้อยปี เมื่อราชวงศ์ฮั่นสร้างระบบการปกครองได้มั่นคงแล้ว ลัทธิขงจื๊อจึงได้รับการฟื้นฟูกลับมาได้รับการยกย่องให้เป็นหลักคำสอนประจำราชสำนักฮั่น
    ต่อจากนั้นมา หญูเจีย ก็เป็นหลักคำสอนประจำราชสำนักจีนมาตลอด แต่ในห้วงประวัติศาสตร์สองพันปีมานี้ หญูเจีย หรือ ลัทธิขงจื๊อ ก็มีการปรับตัว พัฒนาปฏิรูปอย่างมากมายเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อปรัชญาหญูเจียต้องแข่งขันกับพุทธศาสนา การปฏิรูปครั้งใหญ่เกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ซ่ง หนึ่งพันปีที่แล้ว หญูเจียถูกเรียกเสียใหม่ว่า "หลี่เสวีย" (ดูภาคผนวก) และได้รับเอาแต่แก่นความคิดของทั้งพุทธและเต๋าเข้าไปประสมประสานกันจนแทบแยกไม่ออก ซึ่งก็คือคำสอนจริยศาสตร์ขงจื๊อที่ชนทุกวันนี้ยังร่ำเรียนกันอยู่
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : คัมภีร์ขงจื๊อเล่มแรกในภาษาไทย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/12/2553, 06:07
   
      สยามกับจีนมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นใกล้ชิดมายาวนานมาก อย่างน้อยก็แต่ก่อนยุคสามก๊ก ในยุคราชวงศฮั่น (สองพันปีที่แล้ว) เมืองท่าสำคัญในอ่าวไทย ทางตะวันออกคือเมืองศรีมโหสถ อญู่ในพื้นที่ปราจีนบุรีเดี๋ยวนี้ ทางตอนกลางคือเมืองละโว้ (ลพบุรี)  ทางด้านตะวันออกคือ "เฉินหลี่" (ในยุคราชวงศ์ซีฮั่น) และ "จินหลิน" (ในยุคสามก๊ก) ซึ่งอยู่ในพื้นที่สุพรรณบุรีเดี๋ยวนี้
     การเดินทางไปอินเดียได้ (เมืองท่าคานจิวะรำ) ของพ่อค้าจีนนั้น จะขึ้นบกที่จินหลิน แล้วเดินทางบกไปต่อเรือทางฝั่งอันดามันเข้าใจว่าเมืองท่า ทางด้านอันดามันในสมัยโบราณก็น่าจะอยู่แถบเมืองมะริดนั่นเอง เส้นทางการค้านี้ใช้มายาวนานถึงยุคอยุธยา แม้ว่าเทคโนโลยีการเดินเรือจะพัฒนาขึ้นจนสามารถเดินทางผ่านช่องแคบมะละกาได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ตาม พ่อค้าและนักสอนศาสนาชาวยุโรปก็ยังใช้เส้นทางนี้เดินทางเข้าอยุธยา
    เล่าประวัติไว้เล็กน้อย เพื่อตอกย้ำว่าความสัมพันธ์สยาม -- จีน มีประวัติยาวนานมาก แต่ก็อย่างว่า ชาวสยามเราดัดแปลงตัวอักษรจากอินเดียมาใช้เมื่อสักพันปีก่อนในขณะที่จีนมีอักษรใช้มายาวนานกว่า และจีนก็มีนิสัยช่างจดช่างเขียนมากกว่าชาวสยามเรา วัฒนธรรมจีนด้านต่าง ๆ ต้องมีเข้ามาแลกเปลี่ยนกับวัฒนธรรมสยามมานานแล้ว เรื่องราววรรณกรรมจีนนั้น ชาวสยามก็น่าจะได้สัมผัสบ้าง อย่างเช่นได้รับรู้ผ่านการแสดงงิ้ว เป็นต้น งานวรรณกรรมและข้อเขียนทางด้านอื่น ๆ ของจีนจะคอยมีแปลออกมาให้ชาวสยามศึกษากันก่อนยุครัตนโกสินทร์หรือไม่ เรายังไม่พบหลักฐาฯพอสรุปได้ เอาเป็นว่า เรายังไม่พบหนังสือที่แปลจากภาษาจีนก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ก็แล้วกัน
    เรื่องจีนที่แปลออกมาเป็นชุดแรกในสมัยรัชกาลที่ ๑ (ที่มีหลักฐาน) คือเรื่อง สามก๊ก  และ  ไซ่ฮั่น  เรื่องที่แปลความจริงเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์แต่ฝ่ายไทยเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องประวัติศาสตร์จริง ขนาดถือว่าเป็นตำราพิชัยสงครามให้ทหารไทยศึกษากันเลยทีเดียว
    เรื่องสามก๊กคงเป็นที่นิยมกันมาก ต่อมาเลยเกิดกระแสนิยมแปลนิยายอิงประวัติศาสตร์จีนกันต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ความนิยมจึงเริ่งซาลงไป น่าสังเกตุว่า เรื่องจีนที่แปลนั้น นิยมแปลนิยายอิงประวัติศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ ตำรับตำราที่เป็นวิชาการความรู้ เช่น ปรัชญา  การแพทย์  การช่าง  หรือแม้แต่ตำราพิชัยสงครามที่แท้จริง เช่น พิชัยสงครามชุนวู  พิชัยสงครามเง่าคี้ กลับไม่เลือกแปลกัน ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะชาวสยามไม่นิยม (ที่ไม่นิยมอาจเป็นเพราะไม่รู้ว่าหนังสือจีนมีเรื่องอะไรดี ๆ บ้าง) หรือจีนที่มาอยู่สยามไม่มีความรู้พอจะแปลตำรับตำราชั้นสูงได้ (ปัญญาชนชั้นสูงคงไม่อยากมาอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนแดนไกลอย่างสยาม) เสนอปัณหานี้ไว้คิดกันเล่น ๆ เท่าที่สืบได้ขณะนี้ ตำรับตำราที่เป็นหนังสือปรัชญาของจีนที่แปลเป็นไทยเล่มแรกคือ "สุภาษิตขงจู๊" เล่มนี้แปลจากคัมภีร์ "หลุนอวี่" ของขงจื่อ หรือ ขงจื๊อ หนังสือเล่มนี้แปลเมื่อ พ.ศ.2369 หนึ่งร้อยแปดสิบปีมาแล้ว (ขงจื๊อสอนเรื่องราวเหล่านี้ไว้เมื่อประมาณสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว) ในบานแผนกหนังสือสุภาษิตขงจู๊ เขียนไว้ว่า "วันเสาร์  เดือนห้า  ขึ้นเก้าค่ำ  จุลศักราช ๑๑๘๘  ปีจอ  อัฐศก  อาตมภาพ  พระอมรโมลี  สถิต ณ วัดราชบุรณพระอารามหลวง แปลฮักยี่ฉบับจีนออกเป็นไทย  ได้ความว่า" แล้วเราก็รู้เท่านี้จริง ๆ
    พระอมรโมลี ท่านมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เราก็ไม่รู้จะไปค้นจากไหน ท่านแปลหนังสือจีนไว้กี่เล่ม นอกจากเรื่อง "หลุนอวี่" แล้วยังจะมีแปลเรื่องอื่นไว้อีกหรือไม่ (วิสัยคนเขียนคนแปลหนังสือ ผู้เขียนคิดว่าท่านน่าจะแปลงานด้านอื่น ๆ ไว้ด้วย) เราก็ไม่อาจสืบรู้ได้
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๒ คัมภีร์ขงจื๊อเล่มแรกในภาษาไทย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/12/2553, 07:50

      แต่ถึงแม้จะแปลไว้เล่มเดียวก็นับว่าท่านมีคุณูปราการมากมาย เพราะคัมภีร์ที่ท่านเลือกแปลเป็นคัมถีร์ลัทธิหญู (ลัทธิขงจื๊อ) เล่มสำคัญที่สุด คำสอนของขงจี๊อเป็นสัจธรรม มิฉะนั้นจะยืนยงมาสองพันห้าร้อยปีได้อย่างไร คำสอนเหล่านี้ยังประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดีดังตัวอย่างซึ่งเป็นสำนวนแปลของพระอมรโมลี ดังต่อไปนี้ "ขงจู๊ผู้เป็นนักปราชญ์ในเมืองจีน กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะรักเรียนรู้ในหนังสือธรรมเนียมทั้งปวง พึงอุตสาหะเรียนทุกวัน ถ้าหมั่นอยู้ฉะนี้แล้ว เหตุใดจะไม่รู้ แล้วก็เพียรเล่าเรียนมาแต่ถิ่นฐานบ้านไกล เหตุใดจึ่งไม่สนุก อนึ่ง ถ้าคนโง่มาติเตียนก็อย่าโกรธเพราะมันไม่รู้ว่าคนดี และมันติเตียนนั้น ใช่ตนจะกลับเป็นคนชั่วก็หาไม่"
     คำขงจู๊ว่า ถ้าผู้ใดมักพูดจาตลกคะนอง ทำหน้าซื่อใจคต มักล้อเลียนผู้ใหญ่ ปากหวาน ห้ามมิให้คบ มีประโยชน์น้อยนักถึงผู้นั้นก็หามีวาสนาไม่
     คำเจงจู๊ ศิษย์ขงจู๊ ถ้าจะทำการทั้งปวง อย่าให้ด่วนได้ใจเร็วให้ตรองแล้วตรองเล่า น้ำใจผู้อื่นมาใส่ใจตัว น้ำใจตัวไปใส่ใจผู้อื่น ถ้าได้รับธุระเขาแล้ว ก็ให้สำเร็จดังวาจา ทำกิริยาให้ซื่อตรง จึ่งเป็นที่นับถือ ถ้าคบเป็นเพื่อนรักกันแล้วอย่าลวงกันจึงยืดยาว
    คำขงจู๊ว่า ถ้าเป็นเจ้าเมืองใหญ่ มีรถรบถึงพันเล่มมีทหารมากพร้อมเพรียงอยู่ก็ดี ก็อย่าให้ทะนงตัว จะมีกิจราชการประมาณน้อยหนึ่งก็ดี ก็ให้ตรึกตรองให้ถ่องแท้ อันธรรมเนียมเป็นเจ้าเมืองให้รักราษฏรเหมือนบุตร จะใช้ก็ให้ใช้เป็นเวลา อนึ่งผู้เรียนรู้ถ้าอยู่ในเรือนให้เคารพบิดามารดาแลญาติผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวง ถ้าออกจากเรือนให้ยำเกรงผู้มียศอายุมากกว่าตน จะพูดสิ่งใด ๆ ให้คนทั้งปวงนับถือเชื่อฟังได้ ให้เมตตาแก่คนทั้งปวง ถ้าเห็นพอจะคบได้ จึ่งคบหารักใคร่กัน ถ้าเห็นชั่วก็อย่าคบให้หลีกหนีเสีย อย่าเคียดแค้นชิงชังเขา ถ้าจะสั่งสอนว่ากล่าวให้ดูคนก่อน ถ้าเห็นพอจะว่ากล่าวได้ตึ่งว่า"
    สำนวนภาษาในเรื่อง "สุภาษิตขงจู๊" เป็นสำนวนเก่าอ่านเข้าใจยากหน่อย แต่ต่อ ๆ มามีผู้แปลคัมถีร์ของขงจื๊อออกมาเป็นภาษาไทยอีกหลายสำนวน แต่ละสำนวนมีข้อดีข้อเด่นต่าง ๆ กันไป แต่สรุปแล้วเป็นหนังสือดีทุกสำนวน
    คัมภีร์ของขงจื๊อนั้น มีพิมพ์ออกจำหน่ายอยู่เป็นระยะ ๆ แม้จะขายไม่ดีนัก แต่ก็สามารถพิมพ์จำหน่ายได้เรื่อย ๆ ส่วนหนังสือประวัติขงจื๊อโดยละเอียด กลับหาไม่ค่อยได้ วันก่อนคนข้างบ้านต้องวิ่งมาหาผู้เขียนเพราะลูกสาวที่อยู่มหาลัยปีหนึ่งต้องทำรายงานเรื่องประวัติขงจื้อ หาหนังสืออ้างอิงไม่ได้ มันน่าปวดใจนะ ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยหาหนังสืออ้างอิงได้ไม่เพียงพอ ผู้เขียนต้องค้นหนังสือหลายเล่มถ่ายสำเนาให้ไป ปัญหานี้ทำให้นึกได้ว่า เออ! ยังไม่มีหนังสือประวัติขงจื๊อเป็นภาษาไทยที่ละเอียดลออเลย ผู้เขียนเองค้นคว้าไว้พอสมควร แต่ก็เหมือนอ่านเพื่อรู้คนเดียว เคยคิดจะเขียนเหมือนกัน แต่เมื่อก่อนเข้าใจผิดว่าหนังสือเกี่ยวกับขงจื๊อมีแยอะแล้ว เลยไม่เขียน พอมาเจอปัญหานี้เข้าต้องยอมรับว่าหนังสือรวมคำสอนของขงจื๊อนั้นมีหลายเล่มจริง แต่ประวัติขงจื๊อโดยพิศดารนั้น หาอ่านยาก ผู้เขียนเองเคยอ่านภาคพิศดารในภาษาจีน ตำราเล่มนี้ค้นคว้าได้ลึกซึ้งจริง ๆ เป็นต้นว่า เรื่องกำเนิดขงจื๊อ โดยทั่วไปหนังสือเล่มเก่าจะเขียนเพียงว่า เนื่องจากบิดาและมารดาของท่านขงจื๊อ แต่งงานกันอย่างไม่ถูกต้องตามจารีตประเพณีบิดามารดาจึงต้องแยกทางกัน ขงจื๊อนั้นอยู่กับมารดา ประวัติตรงนี้ คนโบราณมีเจตนาปิดบังหรือลบเลือนเสีย
    ฉบับพิศดารที่ผู้เขียนได้อ่านนั้น เขาค้นคว้าได้หลักฐานประมวลได้ว่า บิดาของขงจื๊อ มีเชื้อสายเจ้าขุนมูลนาย เป็นนายทหารที่แข็งแกร่งและมีฝีมือวรยุทธเยี่ยมยอด แต่มารดาเป็นลูกสาวของนักดนตรีตาบอด บิดาขงจื๊อเมื่อได้ลูกสาวนักดนตรีตาบอดเป็นเมีย (น้อย) ไม่นาน บ้านใหญ่ก็คือครอบครัวของท่านยอมรับไม่ได้ จึงขับไล่มารดาขงจื๊อกลับไปอยู่บ้านพ่อของนางซึ่งเป็นนักดนตรีตาบอด ท่านผู้อ่านคงจะสงสัยว่า เป็นนักดนตรีตาบอด มันจะต่ำต้อยอะไร ยุคพุทธกาลนั้น สังคมจีนเหยียดนักดนตรีเป็นคนชั้นต่ำ ยิ่งตาบอดยิ่งต่ำลงไปอีก เหมือนวณิพก แม้จะแลกเปลี่ยนด้วยฝีมือทางดนตรี แต่คนอื่นก็ยังมองไม่ต่างจากขอทาน ก็โถ เมื่อไม่นานมานี้เอง สังคมไทยยังเหยียดหยามศิลปินว่าเป็นคน "เต้นกินรำกิน" อยู่เลย ถึงแม้สถานะจะต้อยต่ำ แต่ทว่าคนเล่นดนตรีก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในพิธีกรรมต่าง ๆ  อย่าลืมว่า ดนตรีในยุคโบราณแรกเริ่มนั้น มิใช่ดนตรีเพื่อความบันเทิงอย่างที่เราเห็นในสมัยหลัง ๆ ดนตรีเป็นส่วนประกอบในพิธีกรรม ไม่ได้เล่นเอาสนุก แต่บรรเลงสร้างความขลังหรือเป็นการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นักดนตรีผู้มีฝีมืออย่างคุณตาของขงจื๊อ จึงได้รับงานบรรเลงในพิธีกรรมต่าง ๆ รวมถึงราชพิธีของประมุขแคว้น(อ๋อง) ด้วย
    ทำไมขงจื๊อถึงได้รู้เรื่องพิธีกรรม พระราชพิธี มากมาย ตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่นท่านก็มีชื่อเสียงด้านนี้แล้ว ท่ารู้ก็เพราะท่านได้เข้าร่วมเห็นมากับตาและท่านสนใจในเรื่องนี้มากจึงจดจำเอาไว้ทุกอย่างระหว่างประกอบราชพิธีต่าง ๆ เหตุที่เด็ก ๆ อย่างขงจื๊อได้เข้าร่วมพระราชพิธีใหญ๋ ๆ ก็เพราะท่านเป็นคนจูงตาไปเล่นดนตรีในงานพิธีต่าง ๆ
    ในชีวิตจริงของขงจื๊อลูกศิษย์ท่านบันทึกไว้ว่า ขงจื๊อเมตตาคนตาบอดเสมอ และถ้าหากเิดนไปพบนักดนตรีตาบอดท่านจะแสดงคารวะทุกครั้ง หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมท่านทำอย่างนั้น แต่ถ้ายอมรับประวัติพิสดารนี้ เราจะไม่แปลกใจเลย เพราะว่าท่านทำงานเป็นคนจูงคุณตาไปเล่นดนตรีหาเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก พูดให้สะเทือนใจยิ่งขึ้นก็ว่า ท่านจูงคุณตาที่ตาบอดไปวณิพกขอทานตั้งแต่เด็ก ข้อที่ว่าขงจื๊อมีกำเนิดต่ำต้อยเป็นครอบครัววณิพก จะทำลายเกียรติภูมิของท่านหรือไม่ ? มีแต่สร้างเกียรติภูมิให้สูงส่งขึ้นอีก
    การกำเนิดมาจากครอบครัวยากไร้ ทุกข์ยากลำบาก แต่สามารถเติบใหญ่เป็นผู้รู้ เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องพิธีกรรมในราชสำนักและมีความรู้ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ด้านอักษรศาสตร์ ด้านปรัชญา ฯลฯ กลายเป็นปรมาจารย์ เป็นศาสดาท่านหนึ่งแห่งโลก นับว่าน่าสรรเสริญยิ่งกว่าศาสดาที่กำเนิดในครอบครัวมั่งมีศรีสุขเสียอีก มีคำสอนบทหนึ่ง ท่านขงจื๊อบอกว่า "ถึงมาตรว่าคนทั้งปวงจะไม่รู้ว่าเราดี เราก็ไม่เป็นทุกข์ เป็นทุกข์อยู่แต่ว่า เราไม่รู้จักน้ำใจคน" ก็สมควรเป็นทุกข์อยู่หรอก เพราะน้ำใจคนมันแสนคดจนยากที่จะอ่านออก
    หนังสือ "สุภาษิตขงจู๊" ของพระอมรโมลี แปลเมื่อปีพ.ศ.๒๓๖๙ ร่วมสมัยกับท่านสุนทรภู่ จึงเชื่อได้ว่าปราชญ์ใหญ่อย่างท่านสุนทรภู่ คงได้อ่านสุภาษิตขงจู๊เล่มนี้บ้างแน่นอน  สำนวนกลอนที่เป็นภาษิตของท่านสุนทรภู่หลายบท กล่าวถึง "การไม่รู้จักน้ำใจคน" เช่น..
     
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่
เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด
ถึงคลองคดก็ไม่เหมือนใจคน

หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/12/2553, 13:38

      สังคมสับสน มาตรฐานทางคุณธรรมตกต่ำ เราจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การรักษาทำนองคลองธรรมกันให้มากขึ้น การนำเอาปรัชญาขงจื๊อกลับมาฟื้นฟูเผยแพร่กันอีกทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก น่าจะเหมาะสมกับภาวะการณ์สังคมในขณะนี้ หลักธรรมะขงจื๊อที่สำคัญคือ เหญิน สังเกตุตัวอักษรจีน "เหญิน" ข้างหน้าหมายถึง คน ข้างหลังหมายถึง จำนวนสอง  หรือหมายถึงหลายคนนั่นเอง  เหญิน หมายถึง "คลองธรรม" ระหว่างมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม หากแต่ละคนไม่รักษาคลองธรรม สังคมมนุษย์จะปั่นป่วนวุ่นวาย มนุษย์เราจะรักษาคลองธรรมไว้ได้ ก็ต้องมีความรักเพื่อนมนุษย์คนอื่น ๆ รักตนเองคนเดียว ในแคบที่สุด  รักตนกับรักแฟนตน ก็ยังถือว่าใจแคบ  รักครอบครัวพ่อแม่พี่น้อง รักแฟน เท่านั้นก็ยังไม่พอ เกิดมาเป็นคนเราควรรักกันในหมู่บ้าน รักคนในอำเภอ รักคนในชาติ รักคนทั้งโลก ถ้ารู้จักสร้างควารมรักให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นคลองธรรมของท่านก็จะยิ่งสูง
     มีนิทานจีนโบราณเรื่องหนึ่งเล่าว่า ชาวแคว้นฉู่คนหนึ่ง ทำธนูหายไป เขาพูดว่า ไม่เป็นไร คนแคว้นฉู่คนหนึ่งเสียธนูไป แต่คนแคว้นฉู่อีกคนหนึ่งก็ได้ธนู ทานขงจื๊อได้ฟังเรื่องนี้ ท่านบอกว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้่น ควรจะตัดคำว่า"แคว้นฉู่" ออกเสีย หมายความว่า ให้มองคนในทัศนะที่กว้างขวางขึ้น ไม่จำกัดกับความเป็นเผ่าพันธ์ ความเป็นชาติ  ท่านเหลาจื๊อ ปรมจารย์ฝ่ายเต๋า ได้ยินเรื่องนี้ก็บอกว่า เป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรจะตัดคำว่า"คน" ทิ้งไปเลย หมายความกว้างขึ้นลึกขึ้นกว่าขงจื๊อเสียอีก คือให้มองว่าคนกับสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกอย่างเป็นสมมุติ ต่อไปนี้เรามาพิจารณาคติพจน์เกี่ยวกับ "มนุสสธรรม" ของท่านขงจื๊ิอ จากบันทึก "หลุนอวี่" ดังต่อไปนี้
     "ท่านขงจื๊อว่า ความร่ำรวยและความสูงศักดิ์เป็นสิ่งที่คนปรารถนาต้องการ  แต่ถ้าหากว่าการได้รับสิ่งนั้นมาไม่ถูกต้องตามมนุสสธรรม นรชนจะไม่ยอมรับไว้ ความยากจนและความต่ำต้อยเป็นสิ่งที่คนรังเกียจ แต่ถ้าจะให้หลุดพ้นจากสิ่งนั้น ด้วยวิธีอันไม่ถูกต้องตามมนุสสธรรม นรชนจะไม่กระทำ  นรชนละทิ้งมนุสสธรรมจะได้ชื่อเสียงด้วยความเลวได้อย่างไร  นรชนมิละเมิดมนุสสธรรม แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ขนาดกินข้าวยังไม่จบมื้อ แม้ในขณะเร่งร้อนกระทำเรื่องราวก็ยังรักษามนุสสธรรม  แม้ยามระหกระเหินร่อนเร่ก็ยังรักษามนุสสธรรม"
    "ฝานฉื่อ (ศิษย์ของขงจื๊อ) ถามเรื่องเหญิน (มนุสสธรรม) ท่านขงจื๊อว่ารักมนุษย์ ถามเรื่องจือ (ปัญญาธรรม) ท่านขงจื๊อว่าเข้าใจมนุษย์  ฝ่านฉือ ยังไม่แจ่มแจ้ง ท่านขงจื๊อว่า (ผูปกครอง) แต่งตั้งคนซื่อตรงเป็นใหญ่เหนือคนชั่ว สามารถทำให้คนชั่วกลับตัวซื่อตรงได้"
    "ท่านขงจื๊อว่า ผู้รักษาคุณธรรมย่องจะมีวาทะ แต่ผู้มีวาทะไม่แน่ว่าจะต้องมีคุณธรรม ผู้รักษาคลองธรรมย่อมจะมีความกล้าแต่ผู้มีความกล้าไม่แน่ว่าจะมีคลองธรรม"  "เหยียนหุ้ย (ศิษย์ขงจื๊อ) ถามเรื่องเหญิน ท่านขงจื๊อว่า เอาชนะควบคุมตัวเอง ให้ปฏิบัติตามจารีต (ทั้ง กาย ใจ วาจา) นั่นคือเหญิน (คลองธรรม) เมื่อเอาชนะควบคุมตนเองให้ปฏิบัติตามเหญินได้ เรื่องทั้งใต้ฟ้านี้ย่อมทำตามคลองธรรม การรักษาคลองธรรมขึ้นอยู่กับตัวเอง มิใช่ผู้อื่น เหยียนหุ้ยถามถึงหลักปฏิบัติ ท่านขงจื๊อว่า ในยามปกติจงสงบเสงี่ยมมีสัมมาคารวะ ในการทำงานต้องเอาจริงเอาจัง ในการสัมพันธ์กับคนต้องสัตย์ซื่อ ถึงแม้การปฏิบัติต่อพวกชนเผ่าอนารยชนก็มิอาจละเมิดกฏนี้
   "จื่อก้ง" (ศิษย์ขงจื๊อ) ถามว่า หากมีผู้สามารถยังประโยชน์แก่มวลประชา สามารถช่วยเหลือมวลชนทั้งปวงได้ จะเป็นอย่างไร จะสามารถเรียกว่ามีเหญิน - มีคลองธรรมหรือไม่ ท่านขงจื๊อว่า อะไรจะแค่เหญิน อย่างนี้ต้องเป็นอริยะบุคคลแล้ว แม้แต่หยาว สุ้น (ประมุขผู้ทรงธรรมล้ำเลิศในตำนาน) ยังกระทำเช่นนั้นได้ยาก สำหรับเรื่องคลองธรรมของเราก็คือ ท่านอยากยืนตระหง่าน (กระทำกิจกรรม) ท่านจงช่วยให้ผู้อื่นยืนตระหง่าน (ได้กระทำกิจกรรม) ท่านอยากประสบความสำเร็จ จงช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จ หากรับเอาสิ่งนี้ไปปฏิบัติ ก็นับว่าได้วิถีรักษาคลองธรรมแล้ว
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๒ หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/12/2553, 14:24

    "จื่อจาง (ศิษย์ท่านขงจื๊อ) ถามท่านขงจื๊อเรื่อง เหญิน ท่านขงจื๊อว่า ต่อทั่วใต้ฟ้านี้หากปฏิบัติตามหลักห้าประการนี้ได้ ถือว่ามีเหญิน จื่อจางถามว่าหลักห้าประการใด ท่านขงจื๊อว่า สงบเสงี่ยม ใจกว้าง (อารี) มีสัจจะ เฉียบแหลม เอื้ออาทร  สงบเสงี่ยมย่อมไม่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม  ใจกว้างย่อมได้รับความชมชอบจากมวลชน  มีสัจจะได้รับความวางใจให้ทำหน้าที่   เฉียบแหลมย่อมสร้างผลงานความดีความชอบ  เอื้ออาทรย่อมสามารถมอบหมายงานได้ง่าย  จื่อก้งถามว่ามีคำสอนใดคำเดียวที่นำไปปฏิบัติได้ตลอดชีวิตหรือไม่ท่านขงจื๊อว่า คือคำว่าโกรธ อะไรที่เราไม่ปรารถนา อย่ากระทำสิ่งนั้นกับคนอื่น  ถ้าคนไทยปฏิบัติธรรมะข้อนี้ได้เมืองไทยจะสงบร่มเย็นขึ้นมากแน่นอน ในทัศนะส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่า หลัก เหญิน - มนุสสธรรม เป็นธงชัยของลัทธิขงจื๊อ ผู้เขียนจึงพยายามอธิบายเรื่อง "เหญิน - มนุสสธรรม" ให้ละเอียดมากกว่าหลักธรรมข้ออื่น ๆ ของขงจื๊อ
   "เหญิน " คำนี้ ผู้เขียนใช้คำไทยว่า "มนุสสธรรม" ผู้รู้รุ่นก่อน ๆ ใช้คำทับศัพย์ก็มี แปลเป็น "เมตตาธรรม" ก็มี คำว่า "มนุษยธรรม" นั้น พจนานุกรมบัณฑิตยสถานท่านให้ความหมายไว้ว่า "ธรรมของคน ธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน มีเมตตากรุณา" เป็นต้น ผู้เขียนถอดคำว่า "เหญิน" ในความหมายนี้แหละ  แต่ทีนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่า เวลาใช้คำว่า "มนุษยธรรม" แล้ว คนอื่นมักจะมองเพียงแค่ ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ได้นึกให้ลึกลงไปถึงขั้นว่า มันคือหลักธรรมสำหรับความเป็นมนุษย์ ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ ก้เป็นได้แค่เพียงสัตว์ในรูปกายของคนเท่านั้นเอง ผู้เขียนเลยเลือกใช้ "มนุสสธรรม" ให้มันดูแปลกออกไป เพื่อให้ฉุกคิดปุจฉาในใจบ้าง แล้วจะได้เข้าใจเนื้อหาให้ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการ ส่วนคำว่า "เมตตาธรรม" นั้น ผู้เขียนไม่นิยมเพราะอมความได้ไม่หมด คำว่า "เหญิน" นั้น แปลว่ารัก ตัวอักษรจีนมีคำว่า "คน" กับคำว่า "สอง"
    คนมาอยู่ร่วมกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปแล้ว ถ้าไม่มีความรักต่อกัน ก็คงจะทะเลาะกัน ฆ่ากัน  หรือจะอยู่รวมกันต่อไปไม่ได้ เมื่อคนอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกัน สังคมนั้นจึงต้องมีกำหนดกฏเกณฑ์ มีหลักให้ปฏิบัติตัว คือคนเราควรรักกัน ปรัชญาทางศาสนาส่วนใหญ่ก็ตรงกัน คือสอนให้มนุษย์รักกัน เมื่อรักกัน จะไปข่มเหง ทำร้าย ฆ่าฟัน คดโกง ขโมยของเขา ดกงเขา แกล้งเขา ทำไม
    ใครว่าลัทธิขงจื๊อล้าสมัย ผู้เขียนยังเห็นว่า ปรัชญาข้อนี้ของขงจื๊อยังใช้ได้ โลกนี้ ถ้ามนุษย์รักกันจริง โลกจะสงบร่มเย็น แต่สัตว์มนุษย์น่ะมันแปลก มันเลือกที่จะรักเพียงบางคนโดยเฉพาะมักจะรักแต่ตัวเอง เกลียดคนอื่น เกลียดพวกอื่น เกลียดผิวสีอื่น เกลียดศาสนิกศาสนาอื่น เกลียดคนมีความเชื่อทางลัทธิต่างไปจากตน ฯลฯ มนุษย์จึงฆ่ากันไม่รู้จบ
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๓ หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/01/2554, 03:22

     ในยุคชุนชิว แว่นแคว้น (ก๊ก)ต่าง ๆ แตกแยกกันมากมาย มีสงครามไม่หยุดหย่อน ขงจื๊อเสนอแนวคิดสร้างความสันติสุขโดยยึดแนวทางจารีตเก่า ๆ สมัยราชวงศ์โจวซึ่งมันค่อนข้างจะล้าหลังจากพัฒนาการทางสังคมไปแล้ว เจ้าแคว้นต่าง ๆ จึงไม่รับแนวความคิดขงจื๊อไปปฏิบัติ มองอีกมุมหนึ่งก็คือคำสอนของขงจื๊อมันงดงามในทางอุดมคติแต่เอามาปฏิบัติยากในสังคมวุ่นวายเป็นจลาจล แต่หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งได้ หลังจากผ่านการปกครองของราววงศ์ฮั่นตะวันตก (ไซ่ฮั่น)มาระยะหนึ่งสังคมจึงสงบร่มเย็นมีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของสังคมขึ้น คำสอนเชิงอุดมคติของขงจื๊อถูกปรุงแต่งใหม่ โดยลากเอาแนวคิดปรัชญาเต๋า ทฤษฏีโหงวเฮ้ง-หยินหยาง เข้ามาผสมผเสทำให้คำสอนแนวขงจื๊อ (หญูเจีย) เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ต้งจ้งชู (179 BC-104 BC) ปราชญ์ลัทธิหญู ในสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ปฏิรูปลัทธิหญูใหม่ สามารถโน้มน้าวให้พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ประกาศให้ลัทธิหญูเป็นคำสอนหลักของประเทศได้สำเร็จ มนุษย์ปัจจุบันส่วนไม่น้อยขาดความรักต่อมนุษย์ด้วยกัน แบ่งเป็นพวก พวกฉันฉันรัก พวกที่ไม่เหมือนฉันฉันไม่รัก หรือกระทั่งรังเกียจ เป็นศรัตรูกันต้องฆ่ากันให้หมดเผ่าพันะ์ไป ศาสนาทุกศาสนาสอนให้มนุษย์รักกัน แต่กลับมีคนใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก แตกจนบ้าคลั่ง ฆ่าฟันกันใหญ่ในประวัติศาสตร์มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน
      นักวัตถุนิยม (หรือสสารธรรม -Materialism) มองว่าคำสอนเรื่องความรักศาสนานั้นเป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความจริงทางวัตถุนิยมอย่างเช่นมองว่าสังคมมนุษย์มีการแบ่งแยกชนชั้น มีชนชั้นกดขี่ขูดรีดกับชนชั้นผู้ถูกกดขี่ขูดรีดแล้วจะให้สองชนชั้นนี้รักันด้วยความจริงใจได้อย่างไร แต่ถ้าจะยืนยันกันให้ได้ว่ามนุษย์มีแบ่งเป็นพวก มีพวกที่เป็นศรัตรูกันโดยธรรมชาติสังคมมนุษย์ก็ไม่มีวันสันติสุขเพราะพวกต่าง ๆ ก็จะตั้งหน้าฆ่ากันจนกว่าพวกใดพวกหนึ่งสูฐเผ่าพันธ์ไป คิดแล้วไม่มีใครรู้สึกเป็นสุข (เอ ! แต่ประวัติศาสตร์โลกก็ไม่เคยสันติสุขนี่นา หรือว่าพวกนักวัตถุนิยมจะถูกต้อง?) ถ้าเราเถียงกันตามแนวความคิดสองแนวข้างต้น จะถึงจุดต้นไปข้างหน้าต่อไม่ได้ ต้องเอาชนะคะคานกันให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดให้ได้
     แนวปรัชญายุค นวยุค (โมเดิร์น) แก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะปรัชญานวยุควางกรอบไว้กรอบเดียว กรอบนี้ตอบปัญหาได้หมด กรอบนี้ถูกต้องทั้งหมดใครไม่ยอมอยู่ในกรอบนี้ก็จะเข้ากับสังคมส่วนใหญ่เขาไม่ได้ สุดท้ายต้องดิ้นรนต่อไปจนมาตั้งสำนัก หลังนวยุค (โพสต์โมเดิร์น) ซึ่งก็ดูดี แต่ขณะนี้สถาบันทางสังคมทุกสถาบันในสังคมโลก ยังมีลักษณะแบบยุคนวยุคอยู่มันจึงขัดแย้งกับแนวคิด(และวิถีชีวิตจริง) ของคนรุ่นใหม่ (หลังนวยุค หรือ Postmodern)ความขัดแย้งนี้กำลังรอเวลาระเบิด แต่ก็อย่ากังวลอะไรมากเพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เมื่อบังเอิญเกิดมาเผชิญกับปัณหานี้ ก็จงพยายามศึกษาปรัชญาและธรรมะกันบ้าง เราก็จะสามารถลดเบา "ความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงได้" นี้ไปได้
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๔ หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/01/2554, 11:34

      ศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ  ท่านเขียนอธิบายปรัชญาหลังนวยุคไว้ดีมาก ซึ่งปรัชญาหลังนวยุคนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความเป็นไปในสังคมปัจจุบันได้แจ่มแจ้งขึ้น ท่านเขียนไว้ดังนี้ " ยุคดึกดำบรรพ์มีผู้รู้น้ำพระทัยเบื้องบนเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในทุกเรื่อง ในยุคโบราณผู้รู้น้ำพระทัยของเบื้องบนถือโอกาสเอาเปรียบประชาชนเกินไป ก็มีนักปราชญ์ทำตัวเป็นที่พึ่งแทน ในยุคกลางนักปราชญ์สร้างเงื่อนไขวิวาทะกันมากเหลือเกิน เพื่อแย่งลูกค้ากัน ศาสดาสำคัญ ๆ จึงอุบัติขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ที่สงบเย็น จะได้เป็นที่พึ่งของประชาชน โดบอบรมสาวกให้สละตนเป็นที่พึ่งของประชาชนแบบเดียวกัน สมัยใหม่นักวิชาการเชิงวิทยาศาสตร์พยายามทำตนเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วยการค้นหาเทคโนโลยีใหม่ให้ประชาชนได้ดำรงชีพอย่างสะดวกสบายขึ้น มาในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีของวิทยาศาสตร์ได้ก่อให้เกิดพลังอำนาจใหญ่ๆ ขึ้ง 3 พลัง คือพลังศาสนาหลายรูปแบบ  พลังการเมืองหลายรูปแบบ  และพลังเศรษฐกิจรูปแบบเดียวคือทุนนิยม แต่แปรโฉมออกมาให้เห็นในรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา ประชาชนกลายเป็นแมลงเม่าที่ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะบินเข้ากองไฟไหน ถึงจะไม่ถูกไฟไหม้ปีก  ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ก็คือนักปราชญ์ที่ช่วยวิเคราะห์ วิจักษณ์ และวิธาน (หาข้อสรุป) ปรัชญาไม่มีอำนาจบังคับ มีแต่ศิลปแห่งการจูงใจให้รู้จักเลือกด้วยวิจารณญาณ
      ปรัชญาที่จะเป็นที่พึ่งในยุคปัจจุบันได้ดีที่สุดคือปรัชญาหลังนวยุคแบบสายกลาง  ซึ่งลีโอตาร์ด เสนอคำนิยามหลังนวยุคว่าเป็นพันธะสังคม (social bond) สิ่งที่เป็นพันธะสังคมจะทอไขว้กันเหมือนเส้นด้ายแห่งการปฏิบัติที่เกิดขึ้นเกยกันไปมา ไม่เหมือนด้ายเส้นเดียวขึงตึงตลอดทาง บุคคลต่าง ๆ คือปมข่าย (node) ที่ปฏิบัติไขว้กัน และมนุษย์เป็นที่ตั้งของปมข่ายจำนวนมาก จึงเป็นอันว่าเอกลักษณ์ทางสังคมมีหลากหลายซับซ้อน เอกลักษณ์เหล่านี้ไม่สามารถเอามาเรียงลงบนแผนที่แผ่นเดียวหรือสังคมโฉมหน้าเดียว จึงฟันธงลงได้ว่า หาองค์รวมสังคมองค์เดียวไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ทฤษฏีเดียวอธิบายสังคมแบบองค์รวมแบบเดียวกัน
     กำลังอธิบายปรัชญาขงจื๊อ แต่ผู้เขียนนำเอาปรัชญาโพสต์โมเดิร์นมายุ่งทำไม? เหตุที่ต้องนำมาพาดพิงบ้างก็เพราะถ้าเถียงกันในกรอบเดียวแบบนวยุค จะเถียงกันตายโดยเปล่าประโยชน์ และอีกประการหนึ่งคือ ปรัชญาคำสอนของขงจื๊อนั้นก็เกิดในสภาพดังที่ศาสดาจารย์กีรติสรุปไว้ว่า "ในยุคกลางนักปราชญ์สร้างเงื่อนไขวิวาทะกันมากเหลือเกินเพื่อแย่งชิงลูกค้า ศาสดาสำคัญ ๆ จึงอุบัติขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ที่สงบเย็น
     ปรัชญาขงจื๊อ กำเนิดในยุคที่วุ่นวายแย่งชิงกันเป็นเจ้าคือ ยุคชุนชิว - จั้นกั๋ว (เลียดก๊ก) เราควรจะเข้าใจสภาพสังคมของศาสดาต่าง ๆ ด้วย เพราะคำสอนของท่านมีต้นตอที่มาจากปัญหาสังคมในยุคของท่านเอง
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๕ หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/01/2554, 21:40

      ในยุคราชวงศ์โจว (จิว) สังคมจีนแถบภาคเหนือตอนกลางของลุ่มแม่น้ำเหลืองที่เรียกกันว่า "จงหยวน" (ตงง้วน) ยังเป็นสังคมยุคทาส นายทาสมิได้มองคนที่เป็น ทาส ว่าเป็น คน ทาสเป็นเหมือนทรัพย์สินสิ่งของ เหมือนสัตว์เลี้ยง ที่นายทาสจะฆ่สแกงอย่างไรก็ได้ สังคมทาสยุคราชวงศ์โจวมั่นคงอยู่ได้ด้วยศาสตร์หรือองค์ความรู้ชนชั้นการปกครอง (นายทาส) ด้วยอำนาจของกองทัพ และด้วนขนบจารีต (หลี่) ที่เคร่งครัดมาก จารีตนี้เป็นตัวกำหนดวิถีและรูปแบบการดำเนินชีวิตของทุกคนตามลำดับขั้นฐานันดรรวมทั้งกำหนดรูปแบบการดำเนินชีวิตของทุกคนตามลำดับขั้นฐานันดรรวมทั้งกำหนดรูปแบบวิธีการปกครองด้วย
      ผู้วางจารีตยุคราชวงศ์โจวคนสำคัญคือ "โจวกง" (จิวกง) น้องชายของโจวเหวินหวาง (จิวบุ๋นอ๋อง) ปฐมกษััตริย์ราชวงศ์โจว โจวกง ผู้ที่เคยได้ปกครองแคว้นหลู่อันเป็นบ้านเกิดของขงจื๊อในยุคต่อมา
     ขงจื๊อ (551 BC-479 BC) เคารพนับถือโจวกงมากในยุคของท่านราชวงศ์โจวได้ร่วงโรยลงมาจนหมดอำนาจไป แว่นแคว้นต่าง ๆ ล้วนแข่งขันกันขยายอำนาจฮุบกลืนแคว้น ทำสงครามรุกรานกันไม่หยุดหย่อน นักประวัติศาสตร์เรียกยุคนี้ว่ายุค "ชุนชิว"ทุกข์ภัยจากสงครามทำให้ขงจื้อพยายามแก้ไข สร้างสันติสุขขึ้น แนวทางที่ขงจื๊อเชื่อมั้นว่าจะนำสันติสุขกลับคืนมาคือจะต้องทำให้สังคมรักษาขนบจารีตอย่างมั่นคงแบบยุคราชวงศ์โจว นั่นคือขงจื๊อหันไปหาของเก่า นั่นเอง ขงจื๊อมีแนวคิดอนุรักษ์ แต่อย่างไรก็ตามความเป็นจริงในสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว คือสังคมยุคชุนชิวได้เริ่มพัฒนาขึ้นเป็นหน่ออ่อนของระบบศักดินาแล้ว ทัศนะต่อทาส เปลี่ยนแปลงไป ทาสก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
     ขงจื๊อสอนให้รักทุกคน คุณสมบัติขั้นพี้นฐานของทุกคนคือต้องรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (มี เหญิน) นี่เป็นความก้าวหน้า (จากยุคราชวงศ์โจว) ของแนวคิดขงจื๊อ รากฐานแนวคิดของขงจื๊อคือ ต้องการฟื้นฟูความมั่นคงสมบูรณ์ในสังคมโดยทำให้สังคมหันกลับมาปฏิบัติตามจารีตราชวงศ์โจว (โจวหลี่) อย่างเคร่งครัด
     จุดหมายสูงสุดของขงจื๊อคือ ฟื้นฟูจารีต (หลี่)  แต่ท่านพัฒนาคือเสนอให้คนมีเหญิน (มนุสสธรรม) แล้วจะสามารถควบคุมตนเองไม่ให้ทำความเลว มิให้ทำผิดศีลธรรม ซึ่งก็จะปฏิบัติได้ตามจารีตนั่นเอง ทุกคนรักษาจารีต เรื่องร้ายที่สร้างความทุกข์ยากในสังคมก็ไม่เกิดขึ้น ทำให้สังคมมีสันติสุข เหญิน เป็นแก่นแกนของปรัชญาที่ขงจื๊อพัฒนา ขงจื๊อให้ความหมายของเหญินไว้สองนัย
       นัยแรก คือควบคุมเอาชนะตน ฟื้นฟูจารีต นี่คืิ เหญิน (มนุสสธรรม) ขงจื๊อสอนให้คนควบคุมตนเอง เอาชนะตนเอง ควบคุมการดู การฟัง การพูด การกระทำ ให้ถูกต้องตามจารีตราชวงศ์โจว (หลี่)
       นัยที่สอง คือเหญิน หมายถึง รักมนุษย์ การปฏิบัติตนตามเหญิน คือ ตนปรารถนาอยากได้อะไร จงช่วยให้คนอื่นได้เช่นกัน และ สิ่งที่ตนไม่ปรารถนา (จะประสบ) อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเราไม่ชอบคำด่าว่า แน่นอน เมื่อเราไม่ชอบคำด่า เราก็จงอย่าได้ไปด่าว่าคนอื่นเขา เราทุกข์ยากเวลาเดือดร้อนถูกโกง เราก็อย่าไปโกงคนอื่นเขา คำสอนทำนองนี้ ศาสนาทุกศาสนาสอนไว้ตรงกัน
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๖ หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/01/2554, 22:15
      แม้ว่าฝ่ายนักวัตถุนิยมจะวิพากษ์ว่า แนวคิด "ความรักสากล" (รักมนุษย์โดยทัดเทียมกันหมด) เป็นแนวคิดนามธรรมที่ไม่อาจดำรงอยู่จริง เช่นมองว่ามนุษย์มีแบ่งแยกชนชั้น กดขี่ขูดรีดกับชนชั้นผู้ถูกกดขี่ขูดรีด สองชนชั้นนี้ไม่อาจจะรักกัน อย่างจริงใจได้ เหญิน หรือ ความรักสากล  เป็นเพียงคำสอนมอมเมาชนชั้นผู้ถูกกดขี่ขูดรีดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่อง เหญินของขงจื๊อก็ได้สะท้อนความเป็นจริงทางสังคมด้วยเช่นกัน ดังที่เล่าตอนต้นว่า แนวคิดทางศีลธรรมจรรยายุคชุนชิวเปลี่ยนแปลงไปจากยุคทาสสมัยราชวงศ์โจวแล้ว
     มาตรฐานทางศีลธรรมจรรยาในยุคทาสสมัยราชวงศ์โจวนั้น "จารีตพิธีกรรมไม่ตกไปถึงคนชั้นต่ำ การลงอาญาโทษไม่ขึ้นไปถึงขุนนาง"  ทาสเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่พูดได้ เป็นต้น แต่ตกมาถึงยุคขงจื๊อ มีคำสอนให้เห็นความสำคัญราษฏร (หมิน) เช่นต้องทำให้ราษฏรผาสุกร่ำรวย ประมุขจึงจะเป็นสุข คน(ราษฏร) ได้รับการยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์มากขึ้น สร้างความสงบสันติสุขในสังคมโดยให้การศึกษา ต่อต้านการลงโทษอาญาที่โหดร้ายทารุณเป็นต้น
    แนวคิดเรื่องเหญิน ถูกพัฒนาขยายขึ้นครอบคลุมไปถึงแนวทางการปกครองแผ่นดินเรียกว่า เหญินเจิ้ง โดย เมิ้งจื๊อ (390 BC-305 BC) มหาปราชญ์อีกท่านหนึ่งในยุคต่อมา
    เม่งจื๊อ หรือ เหมิงจื่อ นามจริงว่า เหมิงเค่อ มีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ390 BC-305 BC) เป็นศิษย์ของ ขงจี๋ หลานชายของขงจื๊อ เมิ่งจื๊อเป็นผู้ที่พัฒนาปรัชญาหญูของขงจื๊อไปมาก และได้รับความเคารพยกย่องจากบัณทิตหญู เป็นที่สองรองจากขงจื๊อเพียงผู้เดียวเท่านั้น ในยุคของเมิ่งจื๊อ ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดเจ้าทาสกับศักดินานืยมทวีความรุนแรงขึ้น พูดให้ชัดขึ้นก็คือความคิดของชนชั้นเจ้าทาส (ที่ครอบครองควบคุมได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ดินและชีวิตของทาส) กับความคิดของชนชั้นเจ้าที่ดิน (ซึ่งเิกดขึ้นทีหลังมีสิทธิ์ในการครองที่ดินเพราะได้ส่วนแบ่งจากเจ้าทาสมาสะสมไว้แต่ครอบครองควบคุม คน กำกับให้อยู่ติดกับที่ดินตนไม่ได้) ผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าทาสกับชนชั้นเจ้าที่ดินขัดแย้งกัน
     ภาวะสงครามแย่งยึดที่ดินและช่วงชิงกำลังแรงงาน (ราษฏร) เป็นไปอย่างรุนแรงมาก เมิ่งจื๊อเสนอแนวคิดปราณีประนอมแก้ปํญหาด้วยหลักศีลธรรม และหลักมนุสสธรรมคลองธรรม "เจี่ยงต้าวเต๋อ ซัวเหญินอี้ " ใช้หลักการปกครองโดยมนุสสธรรม เหญินเจิ้ง ปฏิรูปสังคมโดยสันติ ให้เกิดการรวมเป็นเอกภาพ โดยสันติ แทนที่จะใช้อำนาจทหารทำสงครามเพื่อยึดครองรวมประเทศแบบที่ก๊กต่าง ๆ กำลังกระทำอยู่
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๗ หลักมนุสสธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/01/2554, 03:40

       เมิ่งจื๊อ ก็เิดินสายแสดงปาฐก หวังจะโน้มนำราชาแห่งก๊กต่าง ๆ ให้เห็นดีเห็นงามรับการปกครองแบบมนุสสธรรม (เหญินเจิ้ง) ของตนไปปฏิบัติ แต่ก็ไม่มีราชาก๊กไหนเชื่อ พากันมองว่าแนวคิดของเมิ่งจื๊อเหินห่างความเป็นจริงทางสังคมเป็นเพียงแนวคิดเพ้อฝันเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดของเมิ่งจื๊อนั้นเหมาะสมกับยุคศักดินาเหลือเกิน ดังนั้นในยุคต่อ ๆ มาที่สังคมเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคศักดินาเต็มที่แล้ว แนวคิดทางการปกครองของเมิ่งจื๊อจึงกลับมาได้ความนิยมยกย่องกันมาก
      หลักพื้นฐานของการปกครองตามแนวคิดของเมิ่งจื๊อเรียกว่า "หวางต้าว -ขัติยมรรค" เป็นการปกครองโดยพระคุณมิใช่พระเดช เมิ่งจื๊อต่อต้านการใช้สงครามความรุนแรง (พระเดช) เพราะในช่วงชีวิตของท่าน ก๊กต่าง ๆ ทำสงครามฆ่าฟันกันแบบบรรลัยล้างโหดร้ายกันสุด ๆ "พระคุณ" ที่ขัติยะมรรคเสนอก็คือ"การรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนบุคคลของราษฏร" นี่นับเป็นข้อเสนอที่รุนแรงคุกคามต่อผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าทาส แต่ก่อประโยชน์สำหรับชนชั้นปกครองในระบบศักดินา เพราะว่าการยินยอมให้ราษฏรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (ส่วนหนึ่ง)ของตน (แล้วรัฐเก็บผลประโยชน์ในรูปแบบภาษี ส่วย เป็นต้น) จะผูกมัดราษฏรไว้ให้อยู่ติดที่ดินทำกิน ชนชั้นเจ้าที่ดินก็จะไม่ขาดแรงงานสำหรับเพาะปลูกในขอบเขตที่ดิน (ก๊ก) ของตน
      เหญินเจิ้ง การปกครองโยมนุสสธรรมของเมิ่งจื๊อ เมิ่งจื๊อบอกว่า "เหญินเจิ้งต้องเริ่มต้นที่ราษฏรมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของตน - เหญินเจิ้งปี้จื้อเจี่ยสื่อ"  คือให้ราษฏรมีทรัพย์สินถาวร ได้แก่ที่ดินปลูกบ้าน ๕ โหม่ว ที่ดินทำกินร้อยโหม่ว แล้วเก็บส่วยจากผลผลิต ๑ ใน ๑๐ ส่วนเมื่อราษฏรมีแหล่งที่มาสำหรับดำรงชีวิต (ที่ดิน)เพียงพอ ราษฏรก็สงบสุขไม่กระด้างกระเดื่อง เจ้าที่ดิน (ซึ่งมีรายได้จากส่วย ๑ในสิบส่วนก็เพียงพอเหลือเฟือแล้ว) ก็ไม่ขาดแรงงานสร้างผลผลิตที่ตน ชาติบ้านเมืองจะสงบสุข ที่สำคัญอยู่ที่เรื่องปากท้องต้องมีกินให้อิ่ม ชนชั้นปกครองก๊กใดทำให้ราษฏรอิ่มท้องมีความสุข ก๊กนั้นก็สงบสุขเจริญรุ่งเรือง แล้วก็จะมีอำนาจเหนือก๊กอื่น ๆ เอง เรียกว่าเอาชนะได้ด้วย "สือเหญินเจิ้งอวี่หมินดำเนินการปกครองโดยมนุสสธรรทต่อราษฏร" และ "จื้อหลี่อี้ปกครองโดยจารีตและคลองธรรม"
      แนวคิด เหญินเจิ้ง ของเมิ่งจื๊อ เสนอให้ "อี่เต๋อฝูเหญิน ใช้คุณธรรมสยบคน" ต่อต้านการ "อี่ลี่ฝูเหญิน-ใช้แรงงาน(อำนจ)สยบคน เสนอให้การปกครองโดย "หวางต้าว-ขันติยมรรค" ต่อต้านการปกครองแบบ "ป่าต้าว-ลัทธิครองความเป็นจ้าว"แก่นแกนความคิด "เหญินเจิ้ง" ของเมิ่งจื๊อคือ "กุ้ยหมิน ให้ความสำคัญต่อราษฏร" เมิ่งจื๊อเสนอว่า หลักการปกครองต้องให้ความสำคัญต่อราษฏรมากที่สุด "ราษฏรสำคัญที่สุด ผู้นำชุมชนรองลงมา ประมุขสำคัญน้อย(เบา)
     รากฐานทางทฤษฏีที่ปรัชญาการปกครองของเมิ่งจื๊อตั้งมั่นอยู่คืิทฤษฏีที่เชื่อว่า "ธรรมชาติธาตุแท้ของมนุษย์ดีงาม ดังนั้นจึงให้การศึกษาขัดเกลาอบรมได้ อันจะทำให้ "หวางต้าว" จึงมีชัยชนะเหนือ "ป่าต้าว" ขงจื๊อสอนว่า "เหญิน"เป็นคุณธรรมสูงสุด คำสอนที่คนจีนรุ่นเก่าสอนบุตรหลานนั้นมีประโยคที่น่าสนใจประโยคหนึ่งว่าต้อง "จั้วเหญิน-ปฏิบัติตัวเป็นมนุษย์" คือต้องปฏิบัติคุณธรรม "เหญิน-มนุสสธรรม" นั่นเอง คนที่มีร่างกายเหมือนมนุษย์แต่ปฏิบัติตัวเลวทรามต่ำช้า สังคมจีนโบราณเขาว่า คนนั้นไม่ใช่มนุษย์ คำสอนให้ "จั้วเหญิน-ปฏิบัติตนเป็นมนุษย์" นั้นดูเหมือนง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วทำยาก สังคมทุกวันนี้กล่นเกลื่อนไปด้วยผู้คนที่มีร่างกายเหมือนมนุษย์ แต่ขาดมนุสสธรรม ซึ่งก็คือสาเหตุที่เราจะต้องช่วยกันเผยแพร่ธรรมะที่""สอนคนให้เป็นคน""
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ความกตัญญูกตเวที
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/01/2554, 05:44

        คำสอนของลัทธิหญู (ลัทธิขงจื๊อ) เน้นหลักการปกครองชีวิตของคนในโลกนี้ ในสังคมนี้ ไม่เน้นชีวิตในโลกหน้าหรือในสวรรค์นรกเราอาจจะเรียกปรัชญาคำสอนของขงจื๊อว่าโลกียธรรมก็คงพอจะได้เพราะไม่ได้เน้นถึงการบรรลุธรรมให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ หลักการครองชีวิตของขงจื๊อมีหลายข้อ ข้อที่เป็นพื้นฐานที่สุดคือ "กตัญญูกตเวที" (เซี่ยว) คุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์คือ มีความรักเคารพพ่อแม่ ถ้ากระทั่งความรักพื้นฐานแค่นี้ยังไม่มีแล้ว คน ๆ นั้นจะรู้จักรักเมตตาปราณีคนอื่นหรือ สังคมจีนโบราณนั้นเน้นการเคารพรักเชื่อฟังบิดามารดามากรวมทั้งฝังรากความเชื่อเกี่ยวกับการเคารพบูชาบรรพบุรุษไว้มาก ดังนั้นไม่ว่าคนจีนจะอพยบของโลกก็ตามก้ยังคงมีความผูกพันกับบ้านเกิดกับดินแดนบรรพชนของตน คิดดูแล้วความเคารพรักพ่อแม่ก็เป็นคุณธรรมพืีนฐานแรกของมนุษย์จริง ๆ เรารู้จักรักเคารพพ่อแม่ก่อนที่จะรู้จักการจงรักภัคดีต่อเจ้านาย (ในยุคศักดินา) ก่อนที่จะรู้จักคุณะรรมระหว่างมิตร คุณธรรมระหว่างสามีภรรยาและบุตร หนังสือตำราสอนเด็ก ๆ จึงเริ่มต้นสอนเด็กจีนด้วยคุณธรรมข้อกตัญญูกตเวทิตาเสมอ
      ในคัมภีร์ซานจื้อจิง - คัมภีร์สามคำ ยกตัวอย่าง : เด็กกตัญญูชื่อหวงเซียง เรื่องนี้เป็นเรื่องในยุคราชวงศ์ตงฮั่น (ค.ศ.๒๕๒๒๐) เด็กชายหวงเซียง (แซ่ หวง ชื่อ เซียง) กำพร้ามารดาตั้งแต่อายุ ๙ ขวบ เขามีความกตัญญูกตเวทีมากถึงแม้ว่าอายุยังน้อยแต่ก็พยายามทำงานบ้านแทนมารดาที่ตายจากไปเพื่อผ่อนเบาภาระของบิดาที่ต้องทำงานนอกบ้านเหนื่อยมากแล้ว ในยามฤดูหนาว เพื่อที่จะให้บิดานอนสบาย หวงเซียงจึงขึ้นนอนบนเตียงก่อน ใช้อุณภูมิร่างกายของตัวเองทำให้เตียงนอนที่เย็นเฉียบอบอุ่นขึ้น เมื่อบิดามานอนจะได้อุ่นสบาย ในยามฤดูร้อน อากาสร้อนอบอ้าว หวงเซียงจะใช้พัดโบกพัดเสื่อที่นอนหมอนหนุนให้เย็น บิดาจะได้นอนอย่างสบาย หวงเซียงรู้จักปรนนิบัติบิดาด้วยความรักกตัญญูตั้งแต่อายุน้อย ๆ จึงถูกยกย่องเป็นตัวอย่างบุตรกตัญญู
      หนังสือจีนโบราณที่สอนคุณธรรมกตัญญูนั้นมีแพร่หลายในเมืองไทยมานานแล้วเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "ยี่จับสี่เห่า - คนดียี่สิบสี่คน"รวบรวมเรื่องราวของบุตรกตัญญูผู้เป็นแบบอย่าง ๒๔ คน ทั้งหญิง และ ชาย
      คุณธรรมพื้นฐานระดับครอบครัวข้อต่อมาคือ ความเคารพนับถือรักใคร่กลมเกลียวในหมู่พี่น้อง ความสงบสุขนั้นเริ่มจากภายในครอบครัวก่อน บุตรธิดาเคารพกตัญญูบิดามารดา ความสัมพันธ์ระดับรุ่นพ่อกับรุ่นลูกเป็นไปอย่างดีงาม ครอบครัวก็มีความสุข ความสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นลูกด้วยกันคือ พี่น้อง (น่าสังเกตว่าลัทธิขงจื๊อเน้นแต่ผู้ชาย เพราะยุคโบราณนั้น ผู้หญิงเมื่อแต่งงานออกเรือนไปก็ถือว่าไปเป็นคนของตระกูลอื่นแล้ว) หากพี่น้องมีความรักใคร่กลมเกลียวกัน น้องเคารพเชื่อฟังพี่ชาย ครอบครัวก็มีความสุข สังคมโบราณยกย่องคุณธรรมบุตรกตัญญูกตเวทิตาและคุณธรรมระหว่างพี่น้อง ว่าด้วยคุณธรรมระดับต้นที่มนุษย์พึงปฏิบัติ สังคมชาวจีนจึงเด่นในเรื่องการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบิดามารดามากเป็นพิเศษ หวงเซียง เป็นตัวอย่างของบุตรกตัญญู  ""ข่งหญง"" (คนในยุคสามก๊ก) เป็นตัวอย่างผู้มีคุณธรรมที่ คุณธรรมระหว่างพี่น้อง ดังเรื่องที่เล่าว่า เมื่อ ข่งหญง อายุเพียง ๔ ขวบ วันหนึ่งมีคนนำสาลี่ตะกร้าหนึ่งมามอบให้ครอบครัวข่งหญง บิดาของข่งหญง ให้ ข่งหญงเลือกหยิบผลสาลี่ก่อนคนอื่น ข่งหญงเลือกเอาผลเล็ก เขามีโอกาสเลือกก่อนเด็กคนอื่น ๆ มักจะชอบเลือกเอาผลใหญ่ ๆ แต่ข่งหญงเลือกเอาผลเล็กที่สุด บิดาข่งหญงสงสัยถามว่า เหตุใดจึงเลือกผลเล็กที่สุดข่งหญงตอบว่า เขาเป็นบุตรคนเล็กสุดควรกินผลเล็กที่สุด พี่ ๆ อายุมากกว่าควรได้กินผลใหญ่กว่า คุณธรรมของจีนในยุคโบราณเขาเป็นอย่างนี้ เมื่อเราศึกษาหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องจีน ๆ ก็ควรจะรับรู้สิ่งพื้นฐานเหล่านี้ไว้ด้วย การอ่านหนังสือหรือศึกษาเรื่องราวจะได้อรรถรสมากขึ้น อัน ""ข่งหญง"" ที่เป็นตัวอย่างสำหรับคุณธรรมข้อที่ คุณธรรมระหว่างพี่น้องคนนี้ เขาเป็นทายาทรุ่นที่ยี่สิบของท่านปรมาจารย์ของท่านขงจื๊อ เกิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๕๓ ในยุคสามก๊ก เขาเป็นปราชญ์ใหญ่คนหนึ่งในกลุ่ม ""เจ็ดปราชญ์ยุคเจี้ยนอัน"" รับราชการได้เป็นถึงข้าหลวงตงไห่ ""ตงไห่ไท่โส่ว"" ต่อมาได้เลื่อนเป็น ""ไท่จงไต้ฟู"" เมื่อคราวที่โจโฉดำริจะยกทัพลงใต้ไปปราบเล่าปี่ และซุนกวน  ข่งหญง (ในเรื่องสามก๊กเรียก"ขงหยง") เขียนฏีกาทัดทานไม่เห็นด้วย โจโฉไม่รับฟัง ข่งหญงเปรยขึ้นว่า "ผู้ไม่มีมนุสสธรรมไปปราบผู้มีมนุสสธรรม"" แล้วมีคนไปฟ้องโจโฉ โจโฉโมโหสั่งประหารชีวิตข่งหญงและบุตร  ข้างต้นเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริงสำหรับเรื่องราวอื่น ๆ ของข่งหญงในนิยายเรื่องสามก๊กนั้นผู้ประพันธ์แต่งเติมใส่สีใส่ไข่เข้าไปอีกมากมาย
      การดำรงชีวิตนั้นอันดับแรกต้องเป็นคนมีคุณธรรมกตัญญูกตเวทิตาต่อบิดามารดา และรักเชื่อฟังในหมู่กลมเกลียวพี่น้อง ผู้เขียนเห็นว่าหลักคำสอนข้อที่สำคัญที่สุดของขงจื๊อคือ "เหญิน - มนุสสธรรม" ดังได้อธิบายไว้ในบทก่อน ๆ แล้ว แต่ทว่าเรื่องความกตัญญูกตเวทิตานี้ ก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งเพราะคุณธรรมข้อนี้เป็นรากฐานของมนุสสธรรม ถ้าหากคนเราไม่รู้จักรักกตัญญูต่อพ่อแม่แล้ว จะมีความรักเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้อย่างไร ดังที่คัมภีร์หลุนอวี่ บทที่ ๑ หัวข้อที่ ๒ สอนว่า การมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เคารพพี่น้อง คือรากฐานแห่งมนุสสธรรม" บทที่ ๑ หัวข้อที่ ๖ สอนว่า ขงจื๊อกล่าวว่า เมื่อเป็นเด็กต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ ต้องเคารพพี่ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำการงานต้องสุขุมรอบคอบ มีสัจจะวาจา ต้องรักประชาชนต้องใกล้ชิดกับผู้มีมนุสสธรรม และศึกษาหาความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม
      ต่อเรื่องการประพฤติปฏิบัติต่อพ่อแม่นั้น ขงจื๊อมีความละเอียดอ่อน กล่าวคำสอนไว้แม้จุดเล็ก ๆ เช่น "ต้องจำวันเกิดของพ่อแม่ให้ได้ ด้านหนึ่งดีใจที่ท่านอายุยืน ด้านหนึ่งก็ห่วงใยว่าท่านอายุมากขึ้นอีกแล้ว" (หลุนอวี่ บทที่ ๔ หัวข้อที่ ๒๑)  ในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกไม่ไปไหนไกล ๆ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไกล ก็ต้องบอกให้พ่อแม่ทราบ (หลุนอวี่ บทที่ ๔ หัวข้อที่ ๑๙) ในเรื่องสำคัญที่สุดของลูกหลานมักประสบคทอพ่อแม่กับลูก มีความเห็นไม่ตรงกัน ขงจื๊อสอนว่า " การปรนนิยัติรับใช้พ่อแม่ ถ้าพ่อแม่มีความผิดพลาดต้องเตือนอย่างโน้มน้าวอ้อมค้อม ถ้าพ่อแม่ไม่รับฟัง ก็ยังต้องเคารพนอบน้อม แม้จะเป็นทุกข์กังวล แต่ก็ไม่น้อยใจโกรธเคืองพ่อแม่ ลูกหลานยุคโลกาภิวัตน์ทำได้ถึงขั้นนี้หรือเปล่า !!
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : กล้าและอดทน ยืนหยัดสู้ชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/01/2554, 02:12

        โลกนี้คนทุกข์คนยากมีมากมายมหาศาลเหลิอเกิน ขงจื๊อเองก็เป็นคนทุกข์คนยากโดยเฉพาะในวัยเด็นวัยเยาวชน ขงจื๊อยากจนมาก และแม้ในวัยผู้ใหญ่ ที่มีชื่อเสียงว่าเป็รปราชญ์ผู้รู้แล้ว ขงจื๊อก็ใช่ว่าร่ำรวยสุขสบายอะไรนัก ความยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งของขงจื๊อคือ ไม่ว่าชีวิตจะทุกข์ยากอย่างไร แต่ก็ไม่เคยงอมืองอเท้า โทษฟ้าดิน โทษคนอื่น ยืนหยัดอดทนสู้ชีวิต มุ่งมั่นสร้างความก้วหน้าไม่หยุดยั้ง ขงจื๊อบอกว่า เมื่อข้าอายุสิบห้า ข้าตั้งปณิธานอยู่ที่การศึกษา อายุสามสิบตั้งมั่นอุดมคติได้ อายุสี่สิบไร้วิจิกิจฉา อายุห้าสิบเข้าใจชะตาฟ้า อายุหกสิบหูข้าก็รื่น (ไม่มีความรู้สึกขัดหูอีก) อายุเจ็ดสิบทำได้ตามใจ โดยไม่เหินห่างจากความถูกต้อง หลักฐานตรงนี้ยืนยันชัดเจนว่า ขงจื๊อพัฒนาความรู้และอุดมคติมาเป็นลำดับ ไม่ใช่ได้อุดมคตินั้นมาลอย ๆ เริ่มแรกขงจื๊อตั้งใจมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้อย่างจริงจังเป็นจุดหมายในชีวิตจากนั้นก็มานะบากบั่นเคี่ยวกรำอย่างหนักให้บรรลุถึงความเป็นบัณฑิต จนสามารถยกฐานะจากคนชั้นต่ำ (ลูกของหญิงขับร้อง หลานของนักดนตรีตาบอด อันเป็นชนชั้นต่ำต้อยมากในสังคมยุคนั้น) เมื่อสูงอายุขึ้น ขงจื๊อละเลิกการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องบทบาททางการเมือง หันไปมุ่งมั่นอบรมให้การศึกษาแก่เยาวชนอย่างไม่เลือกชั้นวรรณะ
        ต่อการศึกษา ขงจื๊อบอกว่า ต่อผู้ที่พึ่งกำลังตนเอง ควบคุมเรียกร้องตนเองเท่านั้น ข้าจึงจะแนะเคล็ดบางอย่างให้ หากมิใช่ผู้ที่ภายในใจมีความคิดพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังลำบากในการถ่ายทอดออกมาเป็นวาจา ข้าก็จะยังไม่แนะเคล็ดให้ถ้าเมื่อข้ายกตัวอย่างอธิบายเขาหนึ่งตัวอย่างแล้ว เขาไม่สามารถขยายให้เป็นสามตัวอย่าง ข้าก็จะไม่แนะเขาอีก
       ขงจื๊อเห็นความสำคัญของ "จิตใจใฝ่เรียน" จิตใจรักความก้าวหน้าของนักเรียน ว่าเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุด ประการต่อมาคือ การยืนหยัด มีความกล้าหาญ ความอดทน ใช้สติปัญญาฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ถึงเป้าหมาย ชีวิตขงจื๊อนั้นลุ่ม ๆ ดอน ๆ มากหลังจากที่เริ่มได้รับการยอมรับเป็นบัณฑิตผู้รอบรู้ มีนักเรียนมาฝากตัวร่ำเรียนบ้าง ขงจื๊อมีใจใฝ่ที่จะเข้าไปปรับปรุงการปกครองบ้านเมือง ท่านได้พยายามไม่น้อย มีทั้งช่วงที่สำเร็จได้รับเชิญเป็นอำมาตย์ใหญ่ และช่วงตกยากต้องระเหเร่ร่อนเดินทางไปตามแว่นแคว้นต่าง ๆ หาที่พักพิง (เพราะมีศรัตรูทางการเมืองในแคว้นตนเองจนอยู่ไม่ได้
       มีครั้งหนึ่ง ขงจื๊อถูกกองทหารแคว้นหนึ่งปิดล้อมไว้อยู่หลายวัน สถานการณ์อันตรายคับขันมาก มีเพียงขงจื๊อคนเดียวที่ยังนิ่งเฉย ไม่แสดงกิริยาเดือดเนื้อร้อนใจ จื่อลู่ - ศิษย์เอกทนไม่ได้ถามขึ้นว่า "วิญญูชนต้องมาอับจนถึงเช่นนี้ด้วยหรือ" ขงจื๊อตอบว่า "วิญญูชนก็มีโอกาสเผชิญความอับจนเช่นกัน แต่วิญญูชนจัดการแก้ไขทุเลาได้อย่างสงบใจ เหล่าผู้ต่ำต้อยเมื่อตกอยู่ในอันตรายจะอกสั่นขวัญแขวน วุ่นวายสับสน"
       มีขันติธรรม มีสมาธิ สงบใจใคร่ครวญ ไตร่ตรองพิจารณาปัญหา คือ รูปแบบการต่อสู้ชีวิตของขงจื๊อ ข้อนี้เราสมควรเก็บรับไว้เป็นบทเรียนสอนใจ ความสำเร็จของชาวจีนอพยพที่แต่แรกเริ่มมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ส่วนหนึ่งก็มาจากอุดมคติแบบขงจื๊อข้อนี้ ซึ่งซึมซาบอยู่ในสายเลือดของพวกเขา
       ขงจื้อแม้จะเข้มงวดต่อตัวเอง มีความมุ่งมั่นเรียกร้องตัวเองสูง แต่ต่อผู้อื่น ขงจื้อก็มีความเข้าอกเข้าใจและเปี่ยมด้วยมนุสสธรรมเสมอ ในคัมภีร์หลุนอวี่ มีบันทึกคำวิจารย์ขงจื๊อของศิษย์ผู้หนึ่งว่า "มีความสุภาพนุ่มนวล แต่ก็ไม่เสียความเคร่งครัดเอาจริงเอาจัง แม้จะมีท่าทีให้เกรงขาม แต่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถูกกดดันบังคับ ให้ความสำคัญของขนบจารีตมารยาท แต่ก็ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด อดทน มีสติ มีมานะ ใช้ปัญญา ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าความยากลำบากแค่ไหน เราจักฝ่าข้ามไป
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : สัจจะ -- ความซื่อสัตย์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/01/2554, 02:08

      วันหนึ่งจื่อลู่ ศิษย์ขงจื๊อ ถามอาจารย์ว่า "เราจะมีท่าทีปฏิบัติต่อเทพอย่างไรดี" ขงจื๊อ ตอบว่า "รู้เรื่องท่าทีปฏิบัติต่อเทพ ยังไม่ดีเท่ารู้เรื่องท่าทีปฏิบัติต่อมนุษย์หรอก" จื่อลู่ยังสงสัยจึงถามต่อว่า "แล้วความตายนั้น มันเป็นอย่างไรกันแน่" ขงจื๊อหัวเราะฮึฮึฮึ แล้วตอบว่า"เรื่องตอนมีชีวิตยังไม้รู้เลย จะไปรู้เรื่องตายได้อย่างไร" สิ่งที่ขงจื๊อใส่ใจ ไม่ใช่เรื่องชีวิตหลังความตาย ไม่ใช่เรื่องชาติก่อนชาติหน้า แต่ท่านมุ่งเสนอมรรควิถีการดำรงชีวิตที่เป็นจริงในปัจจุบัน มุ่งเสนอวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของผู้คนในสังคม  หลักมนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งหนึ่งที่ขงจื๊อเน้นสั่งสอนศิษย์ หลักพื้นฐานของข้อที่หนึ่ง ซึ่งขงจื๊อเน้นเสมอคือ สัจจะ
       สัจจะ คือ ความซื่อสัตย์ ไม่พูดโกหก ไม่ผิดคำสัญญา ในคัมภีร์หลุนอวี่ ขงจื๊อสอนว่า "หากไร้สัจจะ ก็ไม่อาจนับเป็นมนุษย์ แต่ขงจื๊อมีทัศนะเพิ่มเติมว่า "สัจจะ" แบ่งเป็นสัจจะใหญ่  และ สัจจะเล็ก ท่านขงจื๊อว่า"วิญญูชนคิดถึงสัจจะใหญ่ ไม่ถูกผูกมัดอยู่กับสัจจะเล็ก และท่านยังสอนอีกว่า "คำสัญญาถ้าหากสอดคล้องกับคุณธรรม คำพูดนั้นก็จะปรากฏเป็นจริงได้ จุดเหล่านี้เองที่เมิ่งจื๊อ นำมาขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ถ้าเป็นการทำเพื่อรักษาคุณธรรมแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องผูกมัดอยู่กับสัจจะคำสัญญาเล็ก ๆน้อย ๆ เพื่อทำความดีอแล้ว เราอาจยอมเสียคำพูด ยอมเสียสัจจะได้ นี่เป็นมาตรฐานจริยธรรมแบบโบราณ อย่าด่วนสรุปว่าอะไรผิดอะไรถูก โลกนี้ดำรงอยู่ด้วยความเป็นจริง เราอาศัยอยู่ท่ามกลางคนดีและคนเลว สิ่งอุดมคตินั้นมีแต่ในฝัน ปรัชญาจีนแนวขงจื๊อนั้นตั้งมั่นอยู่กับโลกที่เป็นความจริง ไม่ต้องไปคิดถึงชาติหน้าชาติก่อน แต่สอนให้ทำตัวให้อยู่รอดและเป็นคนดีที่ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อสังคม
      เย่กง บอกขงจื๊อทำนองคุยเขื่องว่า "ที่เมืองของข้าฯ มีคนซื่อตรงคนหนึ่ง พ่อของเขาขโมยแพะมา เขาเลยไปฟ้องร้อง" ขงจื๊อจึงว่า ที่เมืองข้าฯก็มีคนซื่อตรง แต่ว่าไม่เหมือนกับเมืองท่าน คือพ่อช่วยปิดบังให้ลูก ลูกช่วยปิดบังให้พ่อ ความหมายของสัจจะความซื่อตรง ก็อยู่ในเรื่องนี้แหละ" แนวความคิดของขงจื๊อ สัจจะความซื่อตรงมีลำดับความสำคัญมากน้อยต่างกัน ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องดีงามระหว่างเจ้านายกับขุนนาง และราษฏร ระหว่างพ่อกับลูก ระหว่างพี่กับน้อง ระหว่างสามีกับภรรยาการทรยศต่อพ่อ โดยการไปฟ้องร้องว่าพ่อขโมยแพะเป็นสิ่งไม่ควร มองลึกเข้าไปก็คือ สอนให้ราษฏร ขุนนางไม่ควรทรยศต่อประมุขนั่นเอง ในสมัยชุนชิว เจ้าแคว้นฉุ่ ยกทัพไปล้อมแคว้นซ่ง เจ้าแคว้นซ่งขอร้องให้เจ้าแคว้นจิ้นช่วย เจ้าแคว้นจิ้นสั่งให้เจี่ยหยางเดินทางไปแจ้งต่อแคว้นซ่งว่า อย่ายอมแพ้แคว้นฉู่ กองทัพแคว้นจิ้น ออกเดินทางแล้วไม่นานก็จะมาถึง แต่เมื่อเจี่ยหยางเดินทางผ่านแคว้นเจิ้ง ถูกคนแคว้นเจิ้งจับตัวส่งไปให้กองทัพแคว้นฉู่ เจ้าแคว้นฉู่คิดจะซ้อนกลหลอกแคว้นซ่งให้ยอมจำนน จึงให้ของกำนัลติดสินบนเจี่ยหยาง ให้บอกแคว้าซ่งว่าแคว้นจิ้นจะไม่ช่วยแคว้นซ่ง เจี่ยหยางรับปาก แม่ทัพฉู่จึงนำตังเจี่ยหยางขึ้นไปที่หอพักรบ ให้เจี่ยหยางตะโกนคุยกับแม่ทัพแคว้นซ่ง แทนที่เจี่ยหยางจะหลอกลวงแคว้นซ่ง กลับตะโกนบอกความจริงตามที่เจ้าแคว้นจิ้นสั่งมา เจ้าแคว้นฉู่โกรธมาก จับตัวเจี่ยหยางตะคอกถามว่า "เจ้าสัญญารับปากข้าแล้ว แต่ยังกล้ากลอกไม่รักษาสัญญา มิใช่เพราะข้าผิดคำพูด แต่เพราะเจ้าผิดสัญญาเอง เจ้าจึงต้องตาย" เจี่ยหยางว่า "เมื่อประมุขออกคำสั่งนั้นมา คือ อี้ - ความถูกต้องทำนองคลองธรรม เมื่อขุนนางปฏิบัติตามคำสั่งนั้น จนบรรลุนั้นคือ "ซี่น -สัจจะ" สัจจะผนวกเข้ากับการปฏิบัติที่เป็นจริงนั้นคือผลให้ (ประโยชน์) จึงบรรลุเป้าหมายในการพิทักษ์ปกป้องแว่นแคว้น เมื่อตกปากรับคำแล้วก็ไม่ควรจะเสียสัจจะ แต่ถ้าไม่เสียสัจจะก็ไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งสองคำสั่งที่ตรงกันข้ามได้ ท่านติดสินบนข้าเพราะไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ ข้าได้รับคำสั่งจากประมุขของข้า ถึงจะตายก็ไม่ยอมขัดละเมิดคำสั่ง แล้วข้าจะละโมบต้องการสินบนของท่านได้อย่างไร ที่ข้ารับปากท่าน ก็เพื่อใช้โอกาสนั้นปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ แม้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพื่อให้ประมุขของข้ามีขุนนางที่รักษาสัจจะ ข้าพร้อมยอมตาย ไม่เรียกร้องสิ่งใดอีก" เจ้าแคว้นฉู่พลาดท่าเสียค่าโง่ไป เพราะความไม่รอบคอบของตนเอง ฟังเจี่ยหยางแล้วก็ยังมีน้ำใจปล่อยเจี่ยหยางกลับแคว้นจิ้น
        เรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการรักษาสัจจะใหญ่ หรือ สัจจะเล็ก ทุกเรื่องในโลกนี้เป็นสัมพัทธ์  Relative  ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์  Absalute ความดี ความเลว ก็เช่นกัน เปิดแนวคิดให้กว้าง ใจกว้างสักหน่อย โลกนี้ก็จะไม่ดูอุบาทว์นัก ในอีกแง่มุมหนึ่ง เราอาจมองเรื่องสัจจะใหญ่ สัจจะเล็กว่าคือเรื่องประโยชน์ใหญ่ และ ประโยชน์เล็ก  ปราชญ์จีนสองเรื่องผลประโยชน์ว่ามีประโยชน์ใหญ่ ประโยชน์เล็ก  ประโยชน์ใหญ่คือประโยชน์ต่อบ้านเมือง ประโยชน์ต่อมวลมหาประชาชน  ประโยชน์เล็กคือประโยชน์ส่วนตัว และการจะได้รับประโยชน์ ก็มีแต่ให้ออกไปก่อน  ก่วนจ้ง นักปกครองผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นฉี ก่อนยุคของขงจื๊อสอนว่า เข้าใจว่าการให้ คือการได้รับ นี่คือหลักการปกครองที่มีค่าที่สุด คัมภีร์ "โจวซู" สอนว่า ปรารถนาได้รับสิ่งใด ก็ต้องให้สิ่งนั้นออกไปก่อน  หวงสือกง ปราชญ์เต๋าสอนว่า ได้รับสิ่งใด จงไม่ยึดถือเป็นกรรสสิทธิ์ของตน ได้แว่นแคว้นใด จงตั้งคนแคว้นนั้นเป็นประมุข อย่าตั้งตนเป็นประมุขเสียเอง แผนการเกิดจากตัวเอง แต่ความดีความชอง ต้องมอบให้เหล่าขุนพลและนักรบ สูจงเข้าในทำเช่นนี้จึงจะเกิดประโยชน์ใหญ่ที่สุด จงให้คนอื่นเขาเป็นพญาสามนตราช ตัวเราเป็นโอรสสวรรค์ให้พวกเขารักษาพิทักษ์บ้านเมืองของพวกเขา ให้พวกเขาเก็บรักษาจังกอบอากรกันเอง นี่คือขัตติยะมรรค (หวางต้าว) ปราชญ์ หลูจื่อ สอนว่า พระเจ้าหญาวเลี้ยงดูคนชราผู้ไร้ที่พึ่ง พระเจ้าอวี้ดูแลผู้เคยทำความผิด นี่แลคือสาเหตุที่ขัตตยมรรคในอดีตสามารถเปลี่ยนความอันตรายให้เป็นความสงบสุข คือ สาเหตุที่ท่านได้รับการรำลึกถึงมายาวนาน มีแต่อริยะบุคคลเท่านั้นที่ละเลิกความเห็นแก่ตัวเพื่อรักษาประโยชน์ใหญ่ (ความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาราษฏร์) ปราชญ์จีนมิได้ปฏิเสธความเห็นแก่ประโยชน์ ประมุขหรือผู้นำก็ยังมีความเห็นแก่ประโยชน์อยู่ แต่ความเห็นแก่ประโยชน์ของผู้นำนั้น ต้องเป็นการเห็นแก่ประโยชน์ใหญ่ไม่ใช่เห็นแก่ประโยชน์เล็ก (ประโยชน์ส่วนตัว) พระเจ้าซางทาง บอกว่า หากข้ามีความผิดพลาด โปรดอย่าลงโทษทัณฑ์ไปที่ราษฏร แต่หากราษฏรมีความผิดพลาด ข้ายินยอมรับโทษทัณฑ์แทน พระเจ้าซางทางเห็นแก่ประโยชน์ใหญ่คือความสุขของราษฏร จึงยินยอมขอรับโทษจากสวรรค์เสียเอง
         การเมืองควรจะเป็นเรื่องของการจัดสรรค์อำนาจ เพื่อประโยชน์สุขของมวลราษฏร แต่การเมืองไทยมักกลับกลายเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจ เพื่อประโยชน์ของตนและพรรคพวก เช่นนี้แล้ว ชาวเราจะหาความผาสุกรุ่งเรืองได้อย่างไร ผู้นำทางการเมืองของบ้านเมืองไทย มีอุดมคติที่พลิกกลับด้านอย่างนี้เป็นเรื่องน่าเศร้านัก เมื่อใดเราจึงจะได้นักการเมืองผู้เห็นแก่ประโยชน์ใหญ่ ไม่เห็นแก่ประโยชน์เล็กกันสักที จากตัวอย่างเหล่านี้ ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจหลักการ "วิญญูชนคิดถึงสัจจะใหญ่ ไม่ถูกผูกมัดอยู่กับสัจจะเล็ก" ได้บ้างแล้ว
       
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : หลักสมานฉันท์ที่ถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/01/2554, 02:49

      หลักการพื้นฐานของมนุษยสัมพันะ์ที่สมานฉันท์คือ สัจจะ หลักการพื้นฐานของการเมืองที่สมานฉันท์คือ ราษฏรมีความเชื่อมั่นต่อรัฐ ท่านขงจื๊อสอนเรื่องหลักการพื้นฐานของการเมืองไว้ตั้งแต่สองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว หลักการนี้เริ่มมาจากคำถามของจื่อก้ง จื่อก้งถามอาจารย์ว่า "หลักการสำคัญที่สุดของการเมืองการปกครองคืออะไร" ขงจื๊อตอบว่ามีอยู่สามประการได้แก่ "เสบียงอาหารเพียงพอ  กองทัพแข้มแข็งพร้อมเพียง  ราษฏรมีความเชื่อมั่นต่อรัฐ" จื่อก้งถามต่อว่า "หากจำเป็นต้องสละทิ้งไปประการหนึ่ง จะสละข้อใดได้ " ขงจื๊อบอกว่า "ควรสละเรื่องการอุดหนุนกองทัพ" จื่อก้งรุกถามถึงที่สุดว่า "หากจำเป็นต้องสละสองประการเลือกจุดสำคัญที่สุดไว้เพียงประการเดียว เราควรเลือกตัดอะไรอีก" ขงจื๊อไม่ลังเลที่จะตอบ "ถ้าเช่นนั้นก็ต้องตัดเรื่องเสบียงอาหาร เหตุด้วยมนุษย์เรานั้นต้องถึงวันตายกันทุกคนไม่มีใครจะหนีพ้น แต่ถ้าราษฏรไม่มีความเชื่อมั่นต่อ "รัฐ" เสียแล้ว เขามีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายอะไร" เทียบกับความเป็นจริงในเมืองไทยเอาก็แล้วกันว่า เมื่อชนชั้นปกครองไร้ความสัตย์ซื่อ ชาวบ้านหมดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลแล้วผลมันเป็นอย่างไร หลักการอยู่ร่วมกันที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ "เหอ" หรือ ความสมานฉันท์ ความปรองดอง ขงจื๊อสอนไว่ว่า "วิญญูชนสมัครสมานปรองดอง แต่ไม่ประสมประเส พวกหยาบช้าประสมประเสแต่ไม่สมัครสมานปรองดอง วิญญูชนนั้นรักษาอุดมคติ มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็สามารถประสามปรองดอง รังสรรค์พัฒนาสังคมและบ้านเมืองร่วมกับคนอื่น ๆ ได้
     พวกหยาบช้านั้น ไร้อุดมคติของตน ประสมประเสเฮละโลสาระพาตามก้นกันไป แต่ไม่อาจสมัครสมานร่วมมือร่วมใจกันได้อย่างแท้จริง ปัญหาในวงการเมืองไทยรุนแรงซ้ำซาก ก็เพราะหานักการเมืองที่เป็นวิญญูชนได้น้อยนัก มนุษย์สัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกคบเพื่อน ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่สำคัญ ขงจื๊อสอนว่า "อย่าคบคนที่ (คุณธรรม ความรู้) ต่ำกว่าเป็นมิตร และแยกประเภทของเพื่อนไว้สองอย่าง หนึ่งคือเพื่อนที่มีประโยชน์ ได้แก้ผู้ซื่อตรงเที่ยงธรรม สัตย์ซื่อ และมีความรอบรู้กว้างขวาง สองคือเพื่อนที่ไร้ประโยชน์ ได้แก่ผู้ที่หาแต่ความสุขสบาย หลบเลื่องความยากลำบาก ฉกฉวยโอกาส เลือกได้หลีกเสีย ประจบสอพลอ
      เชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านที่ผ่านพ้นวัยรุ่นมาแล้ว คงมีบทเรียนเกี่ยวกับเพื่อนด้วยตนเองมาแล้วทุกคน ควรจะสรุปบทเรียน และมองคนให้ออก จัดแบ่งลำดับความสำคัญของเพื่อนแต่ละกลุ่มได้ ที่น่าเป็นห่วง ก็คือวัยรุ่นที่ยังไม่รู้จักคัดเลือกเพื่อน ตรงนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยเหลือแนะนำพวกเขา หลักมนุษยสัมพันธ์ การปฏิบัติตัวต่อผู้มีวัยอาวุโสกว่าตน ขงจื๊อสอนว่า "ต่อเรื่องที่ผู้อาวุโสมิได้เอ่ยปากถาม อย่าเอ่ยปากพูด เมื่อผู้อาวุโสสอบถาม ต้องตอบคำถาม ยามสนทนากับผู้อาวุโสนั้นต้องคอยสังเกตุสีหน้าท่าทีของท่านด้วย"  ผู้บังคับบัญชาก็พอจะเทียบเป็นผู้อาวุโสวัยกว่าเราได้ เพราะฉะนั้น ต่อผู้บังคับบัญชา ก็พึงปฏิบัติตามหลักข้างต้น
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : มนุษย์ในอุดมคติ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/01/2554, 06:10

        แนวคิดของขงจื๊อนั้นเคร่งครัดเข้มงวดต่อตนเองมาก จนบางทีก็เหมือนเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ฝ่านเต๋าจึงวิพากษ์ว่า การทำความดีอย่างจงใจ ตั้งใจบังคับตนเองอย่างพวกลัทธิขงจื๊อนั้น ยังไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องแท้จริง ต้องบรรลุอย่างเต๋า ทำไปตามธรรมชาติ (ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติด้านดี ไม่ต้องไปตั้งอกตั้งใจบังคับตนเอง) จีงเป็นทางออกที่ถูกต้องแท้จริง มองทางสายกลางอย่างพุทธศาสนา ก็ให้ทางออกไว้ทั้งสองส่วน คือ ต่างก็ดีทั้งนั้น แนวคิดขงจื๊อเป็นเรื่องระดับจริยธรรม ที่จะจรรโลงความสงบร่มเย็น ความเจริญรุ่งเรืองของสังคม บ้านเมือง
      ขงจื๊อนั้นสอนให้มนุษย์ปฏิบัติตาม "เหญิน" หรือ มนุสสธรรม เป็นอุดมคติสูงสุดที่มนุษย์ควรยึดถือ ศิษย์ผู้หนึ่งถามขงจื๊อถึงสามครั้งว่า เหญินหมายถึงอะไร ขงจื๊อตอบสามครั้งไม่เหมือนกัน ถามครั้งแรก ขงจื๊อตอบว่า""เหญินคือการรักผู้อื่น"" ถามครั้งที่สอง ขงจื๊อตอบว่า ""เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หากเรื่องใดเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม รู้ทั้งรู้ว่าต้องเหนื่อยยากหนักแต่ผลงานผลได้น้อยก็กล้าที่จะไปปฏิบัติ นี่เรียกว่ามีเหญิน"" ถามครั้งที่สาม ขงจื๊อตอบเป็นรูปธรรมมากขึ้นว่า ""ในการครองชีวิตประจำวันต้องให้ความสำคัญกับการงาน ตั้งอกตั้งใจทำงาน ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสัตย์ซื่อ นี่คือมีเหญิน""
     ไม่ทราบว่า อ่านแล้วจะซาบซึ้งกับคำตอบใดกันมากที่สุด สำหรับผู้เขียนเองนั้น คำว่าเหญินก็คือความรักนั่นเอง เป็นความรักต่อมวลมนุษยชาติอย่างเป็นสากล คือรักทุก ๆ คนหากเรามีความรักให้แก่กันทุกคนแล้ว สังคมมนุษย์ย่อมจะมีสันติสุข ธรรมที่เชื่อมโยงคนให้อยู่ร่วมกันได้ก็คือ "ความรัก" แต่ถึงแม้จะมี ""ความรักต่อมนุษยชาติ"" หรือ เหญิน สูงเพียงใด ขงจื๊อก็ยังรังเกียจ รำคาญ ผู้คนบางประเภทอยู่เหมือนกัน
      จื่อก้ง เคยถามขงจื๊อว่าท่านรังเกียจคนแบบไหน ขงจื๊ออธิบายว่าคนที่น่ารังเกียจมีอยู่สี่ประเภท ดังนี้
๑. ชอบพูดข้อด้อยของผู้อื่น
๒. ผู้น้อยล่วงละเมิดต่อผู้ใหญ่
๓. กล้าหาญแต่ไร้จรรยามารยาท
๔. เด็ดเดี่ยวแต่ไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น ทำตามอำเภอใจของตนเอง
      คนที่ผิดศีลอย่างชัดเจน ขงจื๊อไม่รำคาญ รังเกียจ แต่กลับรำคาญ รังเกียจคนที่ดูเหมือนเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่เป็นแบบลวงโลก ทั้งนี้ก็เพราะเป็นคนเลวชัด ๆ นั้นมีโอกาสสร้างความเสียหายได้ไม่ใหญ่หลวง แต่คนเลวที่สวมคราบนักบุญต่างหาก สามารถสร้างความเลวได้ใหญ่หลวงมาก ขงจื๊อสอนว่า คนเราถึงแม้จะแสดงน้ำใจ แสดงความกระตือรือร้น แต่ถ้าการปฏิบัติจริงกับท่าทีภายนอกไม่ตรงกัน แม้ดูจะซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา แต่ทว่ากะล่อนปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์ คนสามประเภทนี้ ไม่มีทางจะเยียวยารักษาได้ ขงจื๊อยังวิจารณ์ท่วงทำนองของผู้นำไว้อีกว่า ""เป็นผู้นำของคน แต่ขาดความมีใจกว้าง เมื่อประกอบพิธีกรรมก็ขาดความจริงใจ เมื่อร่วมพิธีศพก็ไร้ความโศกเศร้าสร้อยแม้สักนิด ผู้นำแบบนี้ มิควรค่าต่อการกล่าวถึงเลย เมื่อรักผู้อื่น เราก็ย่อมมีความจริงใจ ซื่อตรงต่อผู้อื่น การไร้สัจจะ ไร้ความสัตย์ซื่อต่อผู้อื่น ก็คือไม่มีความรักให้คนอื่นเลย ฉะนั้นสองด้านที่ขงจื๊อสอนคือ เชิดชูกับรังเกียจ แท้จริงก็คือ ด้านสองด้านของเหรียญเดียวกัน คนที่น่ารังเกียจสรุปแล้วก็คือคนที่ไม่มีความสัตย์ซื่อต่อผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่มีความรักให้ผู้อื่นเลย ควรที่ควรสดุดี อุดมคติที่ควรส่งเสิมคือ "ความรัก - เหญิน" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความซื่อตรงนั่นเอง
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : วิญญูชน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/01/2554, 06:47

        คำว่า ""จวิ้นจื่อ"" ในปรัชญาขงจื๊อเป็นอีกคำหนึ่งที่แปลยาก ในสมัยโราณนั้นหมายถึงคนระดับประมุข แต่ต่อ ๆ มาก็ค่อย ๆ ลดความสูงศักดิ์ลงมาจนหมายถึง "ผู้ดี" หรือ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ" ซึ่งมีผู้รู้แปลไว้ว่า นรชน หรือ วิญญูชน กล่าวในแง่การบริหาร หรือ ผู้นำ หรือ บอส" การที่จะเป็นผู้นำของคน ขององค์กร เป็นผู้แบกรับความผิดชอบสูงกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงต้องมีความรู้ความสามารถ มีบุคคลิกภาพ มีคุณธรรมเพียงพอ อีกทั้งยังต้องพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้ก้าวหน้าดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ใครที่เกียจคร้าน ไม่มีวันที่จะได้นั่งตำแหน่งบริหาร
       ท่านขงจื๊อสนใจให้ความสำคัญต่อการอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ลูกหา สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมารับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านเลิกใส่ใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะบริหารบ้านเมือง ท่านก็หันมาทุ่มเทให้กับการสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเดียว ขงจื๊อสอนคนให้รู้จักหน้าที่ของคน สอนคนให้สร้างสังคมที่อยู่ดีมีสุข สงบ รุ่งเรือง ท่านเรียกร้องว่าคนที่ดีต้องเป็นจวิ้นจื่อ หรือ วิญญูชน อย่างไรจึงเรียกว่า วิญญูชน
       ขงจื๊อสอนไว้ในคัมภีร์หลุนอวี่ว่า "วิญญูชน ควรจะรับผิดชอบ ทำงานในส่วนรับผิดชอบของตนให้เสร็จโดยเร็ว ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตน อีกทั้งรับฟังคำแนะนำจากผู้ดำรงธรรม ดัดแปลงแก้ไขความผิดพลาดบกพร่องของตน วิญญูชนยึดมั่นสัจจะวาจาของตน และปฏิบัติงานด้วยความคล่องแคล่ว ท่านชงจื๊อไม่ชอบพวกดีแต่พูดแล้วไม่ยอมปฏิบัติ ท่านไม่สนับสนุนพวกเล่นวาทะศิลป์ ใช้ฝีปากเอาตัวรอด หรือไต่เต้าสร้างความดีความชอบ ขงจื๊อสอนว่า วิญญูชน เอ่ยปากพูดสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว วิญญูชนมีศักดิ์ศรีแต่ไม่แก่งแย่งแข่งขัน วิญญูชนมีกลุ่ม แต่ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก วิญญูชนถือเกียรติถือศักดิ์ศรี แต่ไม่เย่อหยิ่ง  วิญญูชนสงบเสงี่ยม วิญญูชนย่อมไม่เอะอะมะเทิ่ง ไม่แสดงความตื่นเต้นออกอาการเกินสมควร ทุกขณะมีสติตั้งมั่น สงบพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว พิจารณาปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา ใช้ปัญญาไตร่ตรองรอบคอบก่อนจึงแสดงท่าที
       สิ่งที่ท่านขงจื๊อสอนวิญญูชน ยังเป็นคุณสมบัติสำหรับผู้นำในยุคปัจจุบันเสมอ แม้กาลเวลาจะผันผ่านมาถึงสองพันกว่าปีแล้วก็ตาม สมัยนี้มีความเชื่อผิด ๆ ฮิตกันเหมือนแฟชั่นว่า ทำชั่วจะได้ดี ผู้บริหารธุรกิจส่วนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จนั้น ทำงานอย่างไม่สุจริต แต่ก็ยังรุ่งเรืองมีหน้ามีตาในสังคม คนไม่สุจริต เจ้าเล่ห์แสนกล จะเป็นผู้นำ เป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จได้จริงหรือ ? บางทีภาพระยะสั้น อาจทำให้ผู้คนหลงไปว่ามันเป็นไปได้ แต่ถ้ามองภาพระยะยาว มองคน ๆ หนึ่งกันทั้งชีวิตก็คงจะเชื่อขงจื๊อว่า...ไม่มีทางหรอก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะในวงการณ์ธุรกิจและวงการเมือง มีตัวอย่างบุคคลที่ได้สวมหัวโขนบทบาทเป็นผู้นำของชาติ เป็นผู้บริหารบ้านเมืองมากมายหลายคน มีธาตุแท้เป็นคนเลว ขาดคุณสมบัติของวิญญูชน ถ้าปล่อยให้สภาพอย่างนี้ ดำรงอยู่ต่อเนื่องยาวนานต่อไป วิญญูชนย่อมหมดเมืองไทยแน่นอน...
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : คุณสมบัติของผู้นำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/01/2554, 06:21

     คัมภีร์บันทึกคำสอนของขงจื๊อที่เป็นเนื้อหาแท้ ๆ เป็นคำกล่าวของขงจื๊อเอง ไม่ใช่การแปลความของศิษย์รุ่นหลัง ๆ คือคัมภีร์หลุนอวี่  เนื้อหาในหลุนอวี่มีหลากหลาย ถ้าศึกษาดูดี ๆ จะเห็นว่าศิษย์ของขงจื๊อได้จัดเนื้อหาไว้เป็นระบบเหมือนกัน เพียงแต่ระบบในทัศนะของคนโบราณอาจแตกต่างกับระบบที่นักวิชาการสมัยใหม่คุ้นเคย จึงมีบางเสียงวิจารณ์ว่า คัมภีร์หลุนอวี่ จัดรวบรวมคำสอนของขงจื๊อไว้อย่างไม่มีระเบียบ
     ในคัมภีร์หลุนอวี่ มีเนื้อหาตอนหนึ่งอธิบายถึงคุณลักษณะของ "สื้อ" ว่าควรเป็นเช่นไร  "สื้อ" ในยุคโน้น หมายถึงชนชั้นนำในสังคม รวมความไปถึงผู้นำ ปราชญ์และบัณฑิตทั่วไป  จื่อก้งศิษย์ของขงจื๊อถามอาจารย์ว่า "คนที่เป็น สื้อ เป็นคนเช่นไร" ขงจื๊อตอบว่า คนที่รู้จักละอายในคำพูดและการกระทำของตน (มีหิริอัปปะนั่นเอง) คนที่เมื่อถูกส่งไปสร้างสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นอื่น ก็สามารถทำสำเร็จอย่างสมบูรณ์ คนเช่นนี้คือสื้อ  จื่อก้งถามต่อว่า สื้อระดับต่ำลงมาชั้นหนึ่ง เป็นคนประเภทใด  ขงจื๊อตอบว่า ภายในวงศ์ตระกูลเรียกเขาว่า บุตรกตัญญู ในหมู่เพื่อนบ้านว่าเขาเป็นคนน่ารักน่าคบ" ฟังดูแล้วก็จะแสนธรรมดา แต่ก้เนื่องจากเป็นความปกติธรรมดานี่เอง เวลาปฏิบัติจริง ๆ จึงลำบากมากทีเดียว  จื่อก้งอาจจะคิดว่ายังปฏิบัติตามยากไปก็ได้ จึงถามอีกว่า "แล้วสื้อที่ต่ำลงไปอีกชั้นหนึ่งละ เป็นคนประเภทใด ทีนี้ขงจื๊ออธิบายว่า คนที่พูดจามีสัจจะ การปฏิบัติต้องมีหัวมีท้าย บุคคลแบบฉบับอย่างนี้ แม้จะไม่มีความสามารถดีเด่นอะไร แต่ก้พอจะกล้อมแกล้มจัดเป็นพวกสื้อได้อยู่ ใช้คำง่าย ๆ ก็คือ คุณสมบัติพื้นฐานของคนชั้นนำในสังคมคือ "คำพูดต้องเป็นสัตย์ การกระทำเห็นผล" จื้อก้งพูดต่อว่า "พวกไม่มีความรู้อะไร จะนับเป็นสื้อได้หรือ..." ฟังน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับอาจารย์ ที่ยกให้คุณสมบัติพื้นฐานสองข้อนั้น อยู้สูงกว่ามาตรฐานทางความรู้ความสามารถ แต่ผู้เขียนกับเห็นว่า ขงจื๊อพูดถูก ไม่เชื่อลองเทียบดูกับชนชั้นนำในสังคมไทยสิ เอาคุณสมบัติสองข้อนี้มาเป็นมาตรวัดนักการเมืองไทยแล้วสอบตกเกินครึ่งสภา
       ในยุคโบราณ ""คัมภีร์หลุนอวี่"" เป็นตำราพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคนต้องศึกษาค้นคว้าให้แตกฉาน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ตำราเล่มนี้เลยถูกมองว่าเชยล้าสมัย แต่บัดนี้ ความคิดทำนองนั้นน่าจะต้องแก้ไข นักบริหารถ้าไม่เคยอ่านคัมภีร์หลุนอวี่ของขงจื๊อ ผู้เขียนเห็นว่าเชย และขี้เท่อด้วย แก่นของคำสอนในคัมภีร์หลุนอวี่คือ ""เหญิน"" หรือมนุสสธรรม ในหลุนอวี่มีเนื้อหาที่กล่าวถึงมนุสสธรรมถึงหนึ่งส่วนในสิบส่วน มนุสสธรรมในคำสอนนี้โยงไปถึงปัญหาชีวทัศน์ ปัญหาการเมือง ปัญหาการนำ ปัญหามนุษยสัมพันธ์ ซึ่งก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในชีวิตประจำวันของเราทุกคนในยุคปัจจุบัน
       อ่านหลุนอวี่แล้วเลือกใช้ให้เหมาะสม จะช่วยพัฒนาตนเอง สร้างเสริมความก้าวหน้าให้เราด้วย ความรู้ทางวิชาเฉพาะ ความรู้ทางเทคโนโลยีจำเป็นแน่นอน แต่จริยศาสตร์ในหลาย ๆ ด้านเช่น มนุษยสัมพันธ์ ชีวทัศน์ปรัชญาของตะวันออก ก้เป็นส่วนที่จำเป็นด้วยเช่นกัน คำสอนของท่านขงจื๊อในคัมภีร์หลุนอวี่ เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองมีอยู่ไม่น้อย เช่น "ท่านขงจื๊อว่า วิถีแห่งการปกครองก๊กระดับที่มีรถม้าศึกพันเล่มคือ ทำงานอย่างเข้มงวดจริงจังและรักษาสัจจะ ประหยัดมัธยัสถ์ และ รักราษฏร เกณฑ์แรงงานราษฏรเหมาะสมตามกาลเวลา" ก๊กที่สามารถมีรถม้าศึกได้ถึงพันเล่มในยุคพุทธกาล นับได้ว่าเป็นก๊กใหญ่ การปกครองประเทศหรือก๊ก ที่สำคัญก็คือ ผุ้นำต้องรักษาสัจจะ
       ในประเทศไทย การไม่รักษาสัจจะของผู้กุมอำนาจรัฐ เคยก่อให้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้ว การประหยัดมัธยัสถ์เป็นการแสดงออกถึงความรักราษฏรเพราะถ้าผู้นำฟุ่มเฟือย ก้จะต้องเก็บส่วนจากราษฏรมากทำให้ราษฏรเดือดร้อน ท่านขงจื๊อว่า หากปกครองโดยธรรม ท่านก้เป็นเหมือนดาวเหนือ อยู่ในตำแหน่งมีดวงดาวทั้งปวงแวดล้อม" ท่านขงจื๊อว่า การปกครองโดยระบบการเมือง ระบบกฏหมาย รักษากฏเกณฑ์ด้วยอาญา ราษฏรย่อมหลีกเลี่ยงการกระทำผิด แต่มิได้มีหิริโอตัปปะ และภัคดีด้วยความเต็มใจ "หลู่อายกง ถามว่า ทำอย่างไร ราษฏรจึงจะจงรักภัคดี" ขงจื๊อว่า หากแต่งตั้งบุคคลสัตย์ซื่อให้เป็นใหญ่เหนือกว่าคนชั่ว ราษฏรจะจงรักภัคดี หากแต่งตั้งคนชั่วให้เป็นใหญ่เหนือกว่าคนสัตย์ซื่อ ราษฏรจะไม่จงรักภัคดี" เรื่องอย่างนี้เห็นได้ง่าย รัฐบาลใดมีรัฐบาลคดโกง ที่ประชาชนร้องยี้ ด้วยความรังเกียจละก็ จะได้พลังสนับสนุนจากประชาชนไม่มาก ถ้าเป็นรัฐบาลผสมว่าต้องทนยอมเพราะเข้าใจในเรื่องข้อจำกัดทางการเมืองก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าหากเป็นรัฐบาลที่แข้งแข็งมาก ๆ  มีเสียงในสภาเต็มสภา แล้วยังเลือกคนที่ประชาชนที่เคลือบแคลงในความซื่อสัตย์มาเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องรับเสียงโจมตีไม่จบสิ้น ท่านขงจื๊อว่า  ศรัทธามั่นในคุณธรรมจึงปรากฏกาย  หากใต้ฟ้านี้ไม่ดำรงธรรม จงเร้นกายในรัฐที่ดำรงธรรม หากจนและต่ำต้อยเป็นเรื่องน่าอาย ในรัฐที่ไม่ดำรงธรรม หากร่ำรวยและสูงศักดิ์ เป็นเรื่องน่าอาย
      แดนที่มีอันตรายหมายถึง ประเทศที่ดำเนินนโยบายผิด ๆ อันจะนำพาให้เกิดความยุ่งยากอันตราย เช่น นโยบายรุกรานเพื่อนบ้านเป็นต้น แดนที่จลาจลหมายถึง ประเทศที่ปกครองไม่ดี ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านเป็นจลาจลเป็นต้น "จื่อลู่  เจิงเตี่ยน  หญานอิ๋ว  กงชีหัว  นั่งอยู่กัยท่านขงจื๊อ... (ท่านขงจื๊อให้แต่ละคนพูดถึงความใฝ่ฝันของตน) เจิงเตี่ยนว่า ในเดือนสามปลายฤดูวสันต์ เครื่องนุ่งห่ม สำหรับฤดูวสันต์ตัดเย็บเสร็จได้สวมใส่ ข้าไปกับคนห้าหกคนและเด็กอีกหกเจ็ดคน ไปอาบน้ำที่แม่น้ำอี๋ (ทางใต้ของเมืองหลู่) แล้วไปตากลมที่หอขอฝน แล้วเดินร้องเพลงกลับบ้าน ท่านขงจื๊อถอนใจยาวแล้วว่า "เราเห็นด้วยกับเจิงเตี่ยน" ท่านผู้อ่านอย่างงเลย ภาพความใฝ่ฝันนั้น แม้จะแสนธรรมดา แต่ถ้าเมืองใดปกครองไม่ดี บ้านเมืองมีความวุ่นวายยุ่งเหยิง ภาพชีวิตที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ มีความสงบสุขเช่นนั้น ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น คติพจน์บทนี้จึงเกี่ยวพันกับเรื่องการปกครองด้วย  "จื่อก้ง ถามถึงเรื่องการปกครอง ท่านขงจื๊อว่า มีเสบียงอาหารเพียงพอ มีกองทหารเพียงพอ และราษฏรมีความเชื่อมั่นศรัทธา" ท่านขงจื๊อว่า ในการสอบสวนคดีความ เราไม่ต่างจากผู้อื่นดอก แต่ที่ดีที่สุดคือไม่มีคดีความเกิดขึ้นเลย"  ""จี้คังจื่อ ถามขงจื๊อเรื่องการปกครอง ขงจื๊อตอบว่า การปกครองก็คือการซื่อตรง เมื่อท่านซื่อตรงแล้วใครอื่นฤาจะกล้าไม่ซื่อตรง" จี้คังจื่อ กังวลเรื่องโจรขโมย จึงถามไถ่ขงจื๊อ ขงจื๊อว่า หากท่านไม่ละโมบโลภมากแล้วละก็ต่อให้มีรางวัลให้คนเป็นโจรขโมย ก็ไม่มีใครทำ" ท่านขงจื๊อสั่งสอนชนชั้นปกครองได้ตรงไปตรงมาเหลือเกินเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น ถ้าหัวไม่สั่น หางก็ไม่กล้ากระดิก เกี่ยวกับเรื่องโจรขโมยที่เกิดจากปัญหาความยากจน ถ้าชนชั้นปกครองไม่ขูดรีดจนทำให้ราษฏรยากจน ใครเล่าอยากจะไปเป็นโจรเป็นขโมย  "จื่อลู่ ถามถึงเรื่องการปกครอง ท่านขงจื๊อว่า สิ่งใดที่ต้องการให้ผู้อื่นกระทำ ท่านจงกระทำสิ่งนั้นก่อน อภัยแก่ความผิดเล็กน้อย เลือกใช้บุคคลผู้มีความปรีชาสามารถ" จงกง ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนปรีชาสามารถ ท่านขงจื๊อว่า ก็แต่งตั้งคนที่เจ้าเข้าใจรู้จักเขาดีก่อน แล้วเขาจะปกปิดผู้ปรีัชาที่เจ้าไม่รู้จักไว้ทำไม" ผู้เขียนชอบคำที่ท่านขงจื๊อตอกหน้าชนชั้นปกครองที่ว่าการปกครองคือการซื่อตรง หากท่านซื่อตรง แล้วใครจะกล้าไม่ซื่อ
   
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ลัทธิขงจื๊อมองปัญหาความรุนแรงอย่างไร ?.
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/01/2554, 07:55

       วิญญูชนย่อมไม่นิยมชมชอบความรุนแรง และวิญญูชนส่วนไม่น้อยต่อต้านความรุนแรงทั้งมวล โดยเฉพาะความรุนแรงระดับสูงที่มีการต่อสู้การสงคราม แต่อย่างไรก็ตาม การตีขลุมเหมาเอาว่าความรุนแรงเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะต้องทำลายล้างให้หมดไปนั้น เป็นทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ เราต่อต้านใช้ความรุนแรงก็จริง แต่เราก็ต้องเข้าใจธาตุแท้ของความรุนแรงด้วย มิฉะนั้นการต่อต้านจะเป็นไปอย่างมือบอดสุดโต่ง ไม่บังเกิดผลสำเร็จ ความรุนแรงหรือที่ปราชญ์จีนโบราณใช้ศัพท์ว่า "การทหาร" ในบางครั้งนั้นยังเป็นภาพมายาที่มนุษย์มองจำแนกไม่ชัดเจน
     คัมภีร์ "หลี่สื้อชุนชิว" ซึ่งหลี่ปู้เหว่ย เป็นผู้อำนวยการให้เรียบเรียงขึ้น  เป็นตำราที่เชิดชูลัทธิหญู หรือ ลัทธิขงจื๊อ เนื้อหาในบรรพที่สิบสาม "หยิวสื่อ" เขียนถึงความรุนแรง ๘ ประการ ตรงนี้ช่วยเตือนสติเราให้ระมัดระวังเรื่องความรุนแรงให้มากขึ้น ดังนี้""การทหารความรุนแรงดำรงคงอยู่มาช้านานแลัว จะหยุดเลิกกันภายในระยะสั้น ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้  ไพร่ ผู้ดี เด็ก แก่ หรือแม้ผู้ที่ปรีชา ต่างล้วนมีการทหารรุนแรงอยู่เหมือน ๆ กัน จะต่างกันอยู่เพียงระดับมากน้อยของความรุนแรงเท่านั้น เงื่อนงำของการทหารความรุนแรงเป็นไฉนฤา
๑. ความโกรธแม้อยู่ภายในใจ มิได้แสดงออกมา  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๒. ถลึงตาเขม้นมอง   ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๓. โกรธจนแสดงออกทางสีหน้า   ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๔. กล่าววาจาสามหาว    ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๕. ยื้อยุดดึงดัน   ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๖. พลิกพลิ้วกลับดำเป็นขาว  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๗. แก่งแย่งแข่งขัน  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๘. รบทัพจับสึก  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
        ทั้งแปดประการล้วนคือการทหารความรุนแรง ต่างกันแต่การะดับชิงชัยว่าใหญ่หรือน้อยกว่าเท่านั้น เหล่าพวกที่โพนทะนาให้หยุดการทหารความรุนแรงอยู่ขณะนี้นั้น พวกเขาก็ใช้การทหารความรุนแรงมาชั่วชีวิต โดยมิได้สำนึกรู้ตัวเลย ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร เช่นนี้เอง แม้ถ้อยคำพวกเขาจะดูเข้มแข็ง แม้วาทะที่เอ่ยจะคมคาย แม้อักษรศิลป์จะลุ่มลึกเพียงใด ก็ยังไม่อาจนำพาคนให้เห็นตาม มองสถานการณ์ความขัดแย้งในการเมืองในสังคมไทยช่วง พ.ศ.2548 - 2551 หากมองตามปราชญ์จีนที่เสนอให้ไว้ใน "หลี่สื้อชุนชิว" ก็ต้องยอมรับว่าสังคมไทยเป็นสังคมแห่งความรุนแรงไปแล้ว แล้วทีนี้จะทำกันอย่างไร  ปราชญ์จีนโบราณสอนว่า ต้องยอมรับว่าความรุนแรงเป็นธรรมชาติหนึ่งของสังคมมนุษย์ และรู้จักควบคุมความรุนแรงที่เป็นอธรรม ด้วยความรุนแรงที่เป็นธรรม ลองพิจารณาดูเนื้อหารายละเอียดทั้งหมดต่อไปนี้ ตัดเฉพาะส่วนที่อธิบายถึงความรุนแรงแปดประการข้างต้นออกเท่านั้น
       "ธรรมมิกราชแต่เบื้องโบราณทรงมีกองทัพที่เป็นธรรม จะไม่ละเลิกกองทัพนั้นเป็นอันขาด เรื่องการทหารความรุนแรงนั้นมีสืบเนื่องมาแต่เบื้องบรรพกาล พร้อม ๆ กับกำเนิดของมนุษย์้นั้นแล การทหารความรุนแรงแสดงถึงเดชศักดา เดชศักดาแสดงถึงอำนาจ อันธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ทุกผู้ ย่อมมีเหตุศักดาความกำแหง ฟ้ากำหนดธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ไว้เช่นนี้ มิใช่มนุษยืมาคิดสร้างกันเอง และถึงแม้จะใช้อาวุธมาบังคับใช้หัตถศิลปินมาสลักเสลา ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ การทหารความรุนแรงมีมานมนานนักหนาแล้ว ยุคประมุขหวงตี้  เหยียนตี้  ก็รู้จักใช้ไฟใช้น้ำมาต่อสู้กัน ยุคก้งกงสื้อ เริ่มใช้การทหารความรุนแรงเพื่อช่วงชิงตำแหน่งปนะมุขกันแล้ว ถึงยุคห้าจักรพรรดิ (อู่ตี้) พวกเขาก็ใช้การทหารความรุนแรงเพื่อช่วงชิง เพื่อครองพิภพกัน บ้างรุ่งเรือง ได้ครองแผ่นดินบ้างถูกถอดถูกอัปเปหิ ใครชนะย่อมได้เป็นผู้ครองพิภพ...ผู้ชนะจะได้เป็นหัวหน้าเผ่า ครั้นเมื่อหัวหน้าเผ่ามิอาจปกครองควบคุมมวลหมู่มนุษย์ได้อีกต่อไป จึงก่อตั้งตำแหน่งขุน (จวิ้น) ขึ้น ครั้นเมื่อขุนมิอาจปกครองควบคุมมนุษย์ได้อีกต่อไปจึงก่อตั้งตำแหน่งโอรสสวรรค์ (เทียนจื่อ)ขึ้น การก่อตั้งตำแหน่งโอรสสวรรค์เริ่มมาจากขุน การก่อตั้งตำแหน่งขุนเริ่มมาจากหัวหน้าเผ่า การก่อตั้งตำแหน่งหัวหน้าเผ่าแท้จริงแล้วเริ่มจากการต่อสู้ชิงชัยนั่นเองหากในครอบครัวขาดเสียซึ่งพระเดชของบิดามารดา ความผิดพลาดบกพร่องของบุตรจะปรากฏให้เห็นทันที หากภายในแคว้นขาดเสียซึ่งทัณฑ์อาญาอันเข้มงวดการข่มแหงรังแกรุกรานกันระหว่างชาวบ้านจะปรากฏให้เห็นทันที หากในพิภพขาดเสียซึ่งการปราบปรามฆ่าของกองทัพธรรมภาวะใหญ่ขม้ำเล็ก เข้มแข็งรุกรานอ่อนแอ ระหว่างพระยาสามนตราชจะปรากฏให้เห้นทันที เช่นนี้เองภายในครอบครัวก็มิอาจสร้างเสียถึงพระเดช ภายในแคว้นมิอาจร้างเสียซึ่งทัณฑ์อาญา ในพิภพมิอาจร้างเสียถึงการฆ่าฟันจะต่างกันไปก็เพียงแค่นำมาใช้อย่างเหมาะควรหรืออย่างหยาบกระด้างเท่านั้น ดังนั้นอริยกษัตริย์แต่เบื้องโบราณ จึงต้องมีกองทัพธรรมมิอาจจะเลิกกองทัพเป็นอันขาด
มีคนกินอาหารติดคอจุกตาย เลยคิดจะห้ามใช้อาหารทั่วทั้งพิภพ ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร
มีคนโดยสารเรือแล้วจมน้ำตาย เลยคิดจะห้ามใช้เรือทั่วพิภพ ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร
มีคนใช้การทหารความรุนแรงแล้วแคว้นล่มจม เลยคิดจะห้ามใช้การทหารความรุนแรงทั่วพิภพ ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร
      มีทหารความรุนแรงนั้น มิอาจหยุด มิอาจเลิก เปรียบได้ดั่งน้ำและไฟ หากสันทัดการใช้จะเป็นมงคล แต่หากใช้ไม่เป็นย่องอัปมงคล เช่นเดียวกับการใช้ยา ใช้ยาดีจะช่วยชีวิตคนได้ แต่หากใช้ยาไม่เป็น คนก้เสียชีวิต บทบาทของกองทัพธรรมในการรักษาพิภพนั้นยิ่งใหญ่นัก อริยะกษัตริย์แต่โบราณจึงมีกองทัพธรรมมิอาจละเลิกครองธรรม ใช้กำจัดทรราชย์ ปลดเปลื้องทุกขเวทนาของเหล่ารษฏรแล้วไซร์ ปวงราษฏรย่อมมอบใจเชื่อฟัง เช่นเดียวกับลูกกตัญญูปฏิบัติต่อผู้บังเกิดเกล้า (ปวงราษฏร) จะเบิกบานประหนึ่งคนกำลังโหยหิวได้พบอาหารเลิศรส กระแสธารมวลชนที่พรูออกเรียกร้องหนุนเนื่องกันเป็นกลุ่มก้อน มีมหิทธานุภาพประหนึ่งเกาทัณฑ์ทรงพลังยิงลงสู่ธารลึกประหนึ่งทำนบเขื่อนกั้นน้ำพังทลาย มิอาจที่จะต่อต้านได้เลย หากปล่อยถึงภาวะเช่นนั้น แม้แต่ประมุขทั่ว ๆ ไป ยังไม่อาจครองใจราษฏรไว้ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นทรราชย์เล่าจะหนักปานใด ผู้เขียนจะไม่สรุปปัญหาเรื่องความรุนแรง ขอฝากแต่เพียงว่าท่านผู้อ่าน อ่านแล้วใคร่ครวญกันมาก ๆ ว่าเราจะหาทางยุติปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยได้อย่างไร ?. เราจะปลูกฝังมนุสสธรรม - สอนคนให้เป็นคนได้อย่างไร?. เราจะปลูกฝังจิตสำนึกสมานฉันท์ได้อย่างไร ?.
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ศิลาจารึกประวัติขงจื๊อในตำหนักขงจื๊อ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/01/2554, 06:38

        ท่านขงจื๊อเป็นชาวแคว้นหลู่ อันมีพื้นที่ดินแดนอยู่ในเขตมณฑลซานตง (ซานตุง) ในปัจจุบัน หลังจากท่านมรณกรรมไปนานแล้ว และลัทธิหญูหรือลัทธิขงจื๊อได้รับการยกย่องให้เป็นลัทธิคำสอนประจำราชสำนัก (คือประจำชาตินั่นเอง) ก็ได้มีการสร้างตำหนักขงจื้อสำหรับเคารพบูชาท่านขงจื๊อ ขึ้นที่เมืองชุวีอา ท้องที่ซานตงในปัจจุบัน
       ตำหนัก หรือ วัด หรือ ศาลเจ้า "ขงจื๊อ" แห่งนี้ใหญ่โตและสืบเนื่องยาวนานมาประมาณสองพันปี มีโบราณสถาน โบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ มากมาย ในวิหารกลางนั้นมีศิลาจารึกสลักภาพและอักษรบอกเล่าประวัติตอนสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคำสอนของท่านอยู่ ๑๑๐ หลัก เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านขงจื๊อ ศิลาจารึกแม้จะคงทน แต่ก็ย่อมมีวันลบเลือนได้ในปีที่ ๑๓ ของศกถงจื๊อ (ค.ศ. ๑๘๗๔) ปลายราชวงศ์ชิง ท่านข่งเซียนหลาน ทายาทรุ่นที่ ๗๒ ของท่านขงจื๊อ ได้ร่วมกับบัณฑิตอีกหลายท่านลอกลายศิลาจารึกเหล่านั้นออกมาทำแม่พิมพ์เป็นหนังสือเพื่อสืบทอดรักษาและเผยแพร่
      ภาพศิลาจารึกและบันทึกชีวประวัติชุดนี้ยังไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักอ่านชาวไทย จึงขอแปลนำเสนอส่วนที่เป็นชีวประวัติและภาพบางภาพที่สอนหลักธรรมะการครองชีวิตที่เข้าใจง่าย ๆ บางภาพเป็นตัวอย่าง เพราะถ้าจะแปลทั้งหมดก็คงต้องคิดจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มหนาอีกเล่มหนึ่ง

                                            ประวัติท่านขงจื๊อ

         ภาคประวัติบุคคลสำคัญในหนังสือ "สื่อจี้" (จดหมายเหตุประวัติศาสตร์ - เป็นหนังสือประวัติศาสตร์เล่มแรกของโลก) กล่าวว่า ขงจื๊อนามว่า "ซิว" (ปัจจุบันอ่าน -ชิว  แต่โบราณอ่าน - มู่) ฉายา "จงหนี" บิดาเป็นชาวแคว้นซ่ง ชื่อ ซูเหลียงเหอ มารดาแซ่ "เหยียน" คลอดขงจื๊อในวัน "คังจื่อ" เดือนสิบเอ็ด ปีที่ยี่สิบสองของหลู่เซียงกง (ประมุขแคว้นหลู่) ที่ตำบลช่างผิง เมืองชุวี  เมื่อยามเด็ก ชอบเล่นแต่สิ่งของที่เป็นภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ  เมื่อโตขึ้นได้เริ่มเป็นพนักงานในแผนกชั่งตวงวัด ท่านทำงานชั่งตวงวัดอย่างเที่ยงตรง  ต่อมาได้เป็นพนักงานดูแลปศุสัตว์ ฝูงสัตว์เพิ่มจำนวนและสมบูรณ์อ้วนท้วนดี ต่อมาได้เดินทางไปราชสำนักราชวงศ์โจว ได้สอบถามความรู้เกี่ยวกับ "จารีต" (หลี่) ต่าง ๆ จากท่านเหลาจื่อ (เล่าจื๊อ - ปรมาจารย์ลัทธิเต๋า) เมื่อท่านขงจื๊อกลับมา (แคว้นหลู่) มีคนมาขอเป็นศิษย์มากมาย
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๒ ศิลาจารึกประวัติขงจื๊อในตำหนักขงจื๊อ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/01/2554, 04:19

     ครั้นถึงปีที่ยี่สิบห้า รัชกาลหลู่จาวกง ขงจื๊ออายุสามสิบห้า หลู่จาวกงหนีไปที่แคว้นฉี ในแคว้นหลู่เกิดจลาจลร้ายแรง ท่านขงจื๊อเดินทางไปที่แคว้นฉี และได้เป็นขุนนางบ้านในจวนของเกาจาวจื่อ (เชื้อพระวงศ์ของแคว้นฉี) ท่านจึงได้พบกับฉีจิ่งกง (ประมุขแคว้นฉี) ฉีจิ่งกงอยากจะสถาปนาให้ขงจื๊อไปครอบครองดินแดนนีซือ แต่เถียนเอี้ยนอิง (ขุนนางใหญ่ของแคว้นฉี) คัดค้านความเห็นของฉีจิ่งกง ขงจื๊อจึงเดินทางกลับไปแคว้นหลู่
     ปีืั้หนึ่งในรัชการหลู่ติ้งกง ขงจื๊ออายุสี่สิบสาม สกุลจี้เผด็จอำนาจ หยางหู่ขุนนางบ้านสกุลจี้ กุมอำนาจบริหารเกิดความวุ่นวาย ขงจื๊อจึงลาออกจากราชสำนัก ไปทำการชำระแก้ไขคัมภีร์ "ซือ" (กวี) "ซู" (ประวัติศาสตร์) "หลี่" (จารีต) และ "เยวี่ย" (ดนตรี) ในช่วงที่ท่านมีลูกศิษย์มากมาย
     ปีที่เก้า (รัชกาลหลู่ติ้งกง) ขงจื๊ออายุห้าสิบเอ็ด กงซาน ปู้หนิว ก่อกบฏขึ้นในดินแดนมี่ สกุลจี้คิดแต่งตั้งขงจื๊อมาช่วย ขงจื๊อก็ต้องการไป แต่แล้วเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ต่อมาหลู่ติ้งกงแต่งตั้งขงจื๊อเป็นขุนนางตำแหน่งจงตู หนึ่งปีผ่านไปผู้คนทั้งสี่ทิศเริ่มปฏิบัติตนตามแบบอย่างของขงจื๊อ ต่อมาท่านได้เป็นขุนนางตำแหน่งซือคง (โยธาธิการ) ต่อมาได้เป็นต้าซือโขว้ (กระทรวงยุติธรรม)
     ปีที่สิบ (รัชกาลหลู่ติ้งกง) ท่านติดตามหลู่ติ้งกงไปพบกับประมุขแคว้นฉี ที่เจี๋ยกู่ ชาวฉีได้มอบคืนพื้นที่ ที่แคว้นฉีรุกรานแย่งไป  ปีที่สิบสอง ท่านส่งจงหยิวไปเป็นขุนนางบ้านของสกุลจี้ (สามสกุลใหญ่ทำผิดกฏมณเฑียรบาล) จึงให้เผาเมืองที่สามสกุลใหญ่ตั้งขึ้นใหม่นั้น พร้อมทั้งยึดกองทหารชุดเสื้อเกราะ สกุลเหมิ่งไม่ยินยอม จึงถูกล้อมเมืองไว้ แต่ (ฝ่ายจงหยิว) ก็ตีไม่สำเร็จปีที่สิบสี่ ขงจื๊ออายุห้าสิบหก ได้เป็นมหาเสนาบดี ประหารเส้าเจิ้งเม้า และได้บริหารแคว้นหลู่ ภายในสามเดือนแคว้นหลู่ก็มีการปกครองที่ดีงาม ชาวแคว้นฉีจึงส่งคณะนักแสดงหญิงสาวให้แคว้นหลู่เพื่อบ่อนทำลาย จี้หวนจื่อยอมรับสินบน (คณะหญิงนักแสดง) จึงแกล้งไม่ส่งเนื้อในพิธีบวงสรวงแบ่งให้กับเหล่าเสนาบดี ด้วยเหตุนี้ขงจื๊อจึงเดินทางออกจากแคว้นหลู่ เมื่อขงจื๊อผ่านแคว้นเหวย ได้พักอาศัยที่บ้านของเหยียนโชโส่ว ซึ่งเป็นพี่ชายของภริยา "จื่อลู่" (ศิษย์เอกของขงจื๊อ) เมื่อขงจื๊อผ่านแคว้นเฉิน ผ่านเมืองข้วง ชาวข้วงเข้าใจผิดว่าขงจื๊อคือหยาวหู่ จึงล้อมจับตัวไว้ เมื่อถูกปล่อยตัว ท่านเดินทางกลับไปแคว้นเหวย พำนักที่บ้านของฉูผออวี้ และได้พบกับท่านหนานจื่อด้วย เมื่อขงจื๊อผ่านแคว้นซ่ง หวนเถี่ย ขุนนางตำแหน่งซือหม่าอยากจะฆ่าขงจื๊อ ท่านจึงออกจากแคว้นซ่งกลับไปแคว้นเฉิน พำนักที่บ้านของเซินเฉิงเจินจื่อ พำนักอยู่สามปี จึงเดินทางกลับไปที่แคว้นเหวย เหวยหลิงกงไม่ปรารถนาจะใช้ขงจื๊อเป็นขุนนาง  ฝอสื่อ ขุนนางบ้านของสกุลจ้าว แห่งแคว้นจิ้นก่อกบฏขึ้นในดินแดนแคว้นจงโหม่ว เชิญขงจื๊อไปร่วมงาน ขงจื๊อเองก็ปรารนาจะไปร่วม แต่ไม่อาจไปถึง
      ขงจื๊อเดินทางไปทางตะวันตกเพื่อพบกับจ้าวเจี๋ยนจื่อ เมื่อเดินทางไปถึงฝั่งแม่น้ำเหลือง (ฮวงโห) ก็กลับ แล้วไปพำนักที่บ้านของฉูผออวี้ เหวยหลิงกงถามท่านขงจื๊อเรื่องการทหาร แต่ขงจื๊อไม่ตอบ จากนั้นจึงเดินทางไปแคว้นเฉิน
      เมื่อจื่อหวนจื่อจะตาย ได้สั่งเสียคังจื่อให้เชิญขงจื๊อกลับมาแคว้นหลู่ แต่พวกขุนนางของคังจื่อห้ามปรามไว้ คังจื่อจึงให้เชิญหญ่านฉิว (ศิษย์ของขงจื๊อ) มาแทน  ขงจื๊อเดินทางไปที่แคว้นไช่ และแคว้นเซอ ต่อมาฉู่จาวหวาง (ประมุขแคว้นฉู่) ปรารถนาจะสถาปนาให้ขงจื๊อครองพื้นที่แดนซูเส้อ แต่ทว่าลิ่งอิ๋นจือชีต่อต้าน ต้องยุติเรื่องไว้ จากนั้นขงจื๊อเดินทางกลับไปแคว้นเหวยอีก ขณะนั้นเหวยหลิงกงมรณกรรมแล้ว ประมุขแคว้นคนใหม่ต้องการได้ขงจื๊อเป็นผู้บริหารแว่นแคว้น  หญ่านฉิว เป็นขุนพลกองทัพสกุลจี้ ทำศึกชนะแคว้นฉีมีความดีความชอบมาก คังจือจึงให้เชิญขงจื๊อกลับแคว้นหลู่ ขงจื๊อกลับแคว้นหลู่ในปีที่สิบเอ็ด รัชกาลหลู่อายกง ขงจื๊ออายุหกสิบแปดปี  แต่แคว้นหลู่ไม่ได้คิดใช้ขงจื๊อ (บริหารแคว้น) ขงจื๊อก็ไม่ปรารนาจะเป็นขุนนางอีก
       ท่านตรวจชำระแก้ไขคัมภีร์ต่าง ๆ ได้แก่ "ซู" และ "จ้วน" (ประวัติศาสตร์) "หลี่จี้" (จารีต) "ซือ" (กวี) "เยวี่ย" (ดนตรี) "อี้" (คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง - อี้จิง)
       ขงจื๊อมีลูกศิษย์มากถึงสามพันคน มีศิษย์ผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ทั้งหกแขนงถึง ๗๒ คน  ปีที่สิบสี่ ชาวแคว้นหลู่จับกิเลนได้ตัวหนึ่ง ขงจื๊อเขียนเรื่องชุนชิว  ปีต่อมา จื่อลู่ตายที่แคว้นเหวย  ปีที่สิบหก เดือนสี่ ขงจื๊อตายในวัยเจ็ดสิบสามปี ฝังศพไว้ที่ริมแม่น้ำซือ ทางเหนือของเมืองหลู่ ศิษยยานุศิษย์ไว้ทุกข์สามปี ส่วนจื่อก้งสร้างกระท่อมอยู่ใกล้หลุมฝังศพ เฝ้าไว้ทุกข์อยู่หกปี ขงจื๊อมีบุตรชายชื่อหลี่ ฉายาป๋ออวี๋  ป๋ออวี๋ตายก่อนบิดา  ป๋ออวี๋มีบุตรชายชื่อฉี ฉายาจื่อซือ จื่อซือเป้นผู้เขียนคัมภีร์จงยง
หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : ๓ ศิลาจารึกประวัติขงจื๊อในตำหนักขงจื๊อ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/01/2554, 09:50
                   ต่อจากนี้ จะแปลตัวอย่างภาพศิลาจารึกตำหนักขงจื๊อ บางภาพ

ภาพที่ ๑๔  เข้าเรียนที่สำนักผิงจง  :  เล่าขานกันว่าขงจื๊อเจ็ดขวบเข้าศึกษาที่สำนักของเยี่ยนผิงจง (ตามประวัติว่า) เยี่ยนผิงจงปกครองพื้นที่ตงอา ขงจื๊อเมื่อเริ่มต้นเข้าศึกษาเล่าเรียนจึงน่าจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาซึ่งเยี่ยนผิงจงตั้งขึ้น

ภาพที่ ๑๙  สอบถามเรื่องจารีตพิธีกรรมในราชสำนัก :  ขงจื๊อเคยช่วยงานพิธีกรรมในราชสำนัก ขงจื๊อสอบถามทุกสิ่งทุกเรื่อง บางคนจึงว่า ใครว่าบุตรของชาวโซวรู้เรื่องพิธีกรรม เข้ามาในราชสำนักกลับต้องถามไถ่คนอื่นทุกเรื่อง ขงจื๊อได้รับฟังจึงว่านี่แลจารีตพิธีกรรม

ภาพที่ ๒๑  คารวะเล่าตาน (เล่าจื๊อ) :  เมื่อขงจื๊อ กับ หนานกงจิ้งซือ ไปราชสำนักโจวได้ไปสอบถามเรื่องจารีตพิธีกรรมจากท่านเล่าจื๊อ จูจื่อกล่าวไว้ว่า ท่านเล่าจื๊อเป็นเลขาราชสำนักโจว จึงรอบรู้เรื่องพิธีกรรมและจารีตต่าง ๆ เป็นอย่างดี ขงจื๊อจึงตามไปไถ่ถาม

ภาพที่ ๒๓  ชมสายน้ำ :  ขงจื๊อยืนอยู่ริมแม่น้ำชมสายน้ำอยู่ จื่อก้ง (ศิษย์เอกคนนหนึ่ง) ถามว่า เมื่อวิญญูชนพบแม่น้ำท่านจะชมดูเสมอ เป็นเพราะเหตุใด  ขงจื๊อตอบว่า เนื่องจากสายน้ำไหลไปไม่เคยอยู่นิ่ง เสมือนกับธรรมะ (เต๋า) ที่ไหลไปตลอดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คุณธรรมแห่งสายน้ำเป็นดังนี้ วิญญูชนจึงต้องแลชม

ภาพที่ ๓๑  ชมชาวบ้านยิงธนู :  ขงจื๊อชมดูชาวบ้านแข่งขันยิงธนู ท่านกล่าวว่า ผู้ที่ฝึกตนจนยิงมิพลาดกลางเป้าต้องปรีชาสามารถ ถ้าไม่ปรีชาสามารถและมีวินัยแล้ว จะยิงถูกกลางเป้าได้อย่างไร คัมภีร์ซือจิง (กวี) เขียนไว้ว่า"ต้องมีเป้าหมายที่แจ่มชัด จึงจะบรรลุความประสงค์ได้"

ภาพที่ ๓๒  ถามถึงการปกครองที่เขาไท่ซาน :  ขงจื๊อเดินทางไปแคว้นฉี เมื่อผ่านภูเขาเขตไท่ซาน ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญ จึงกล่าวว่า ดูเหมือนนางจะมีทุกข์ใหญ่หลวง แล้วให้จื่อลู่ (ศิษย์เอกคนหนึ่ง) ไปไถ่ถามดู นางตอบว่าน้าชายเิ่พิ่งถูกเสือกัดตาย สามีและลูกของนางก็ถูกเสือกัดตายไปก่อนหน้านี้แล้ว จื่อลู่ถามต่อว่า เหตุใดไม่หลบไปอยู่ที่อื่น นางตอบว่าที่นี่ไม่มีขุนนางเลว จื่อลู่มารายงานขงจื๊อ ขงจื๊อกล่าวว่า การปกครองที่เลวนั้นดุร้ายกว่าเสีย

ภาพที่ ๓๗  แบ่งปันเอื้ออาทร :  จี้หวนจื่อมอบข้าวพันถังให้ขงจื๊อ ขงจื๊อยอมรับไว้ แล้วแบ่งข้าวนั้นให้คนที่ขาดแคลน จื่อก้งถามว่า จี้ซุนเห็นว่าท่านยากจนจึงมอบข้าวให้ท่าน แต่ท่านรับมาแล้วกลับแบ่งให้คนอื่นอีก เรื่องนี้ไม่ตรงกับความประสงค์ของจี้ซุนเป็นแน่  ขงจื๊อตอบว่า ข้ารับข้าวพันถังของจี้ซุนไว้ แสดงความยอมรับการเอื้ออาทรของจี้ซุน แต่ทว่าการเอื้ออาทรต่อคนเพียงคนเดียว จะสู้การเอื้ออาทรต่อคนเป็นจำนวนร้อยได้หรือ

ภาพที่ ๔๕  ศิษย์เอกทั้งสี่ :  จื่อลู่  เจิงสือ  หญานอวี้  กงชีหัว  นั่งอยู่ข้างขงจื๊อ ขงจื๊อกล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกความใฝ่ฝันของพวกเจ้าออกมา ศิษย์ทั้งสามตอบว่า อยากทำให้ประเทศเจริญมั่นคง อยากทำให้ประเทศเจริญเข้มแข็งมั่นคง อยากเป็นอัครมหาเสนาบดี  มีแต่เตี่ยนเจิงสือ ผู้เดียว ตอบว่า อยากอยู่ริมน้ำยามมีสายลมฤดูใบไม้ผลิโชยพลิ้ว ขงจื๊อตอบว่าเห็นด้วยกับเตี่ยน

ภาพที่ ๕๗  อาภรณ์แบบหญู ปฏิบัติตนแบบหญู :  หลู่อายกงถามขงจื๊อว่า อาภรณ์ของท่านเป็นอาภรณ์แบบบัณฑิตหญูหรือไม่ขงจื๊อตอบว่า ชุดผ้าเฝิงเย่ และผ้าจังผู่ เป็นชุดที่ชาวบ้านสวมใส่ ข้าไม่รู้ว่านี่คืออาภรณ์ของบัณฑิตหญูหรือไม่  หลู่อายกงถามต่อว่า ขอถามเรื่องการปฏิบัติตนของบัณฑิตหญู  ขงจื๊อตอบว่า ถ้าจะกล่าวอย่างสั้น ๆ ก็ไม่อาจจะอธิบายได้ครบถ้วน ถ้าจะอธิบายให้ครบถ้วน แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนผู้รับใช้แล้ว (หมายความว่าเวลายาวนาน) ก็ยังอธิบายไม่หมด ขงจื๊อจึงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติตนของบัณฑิตหญูเพียงบางข้อ เช่น พึ่งพาตนเอง มีความกล้าหาญ มีวินัยต่อตนเอง ใจคอกว้างขวาง สนับสนุนผู้ปรีชาสามารถ เลือกใช้คนดีมีความสามารถบรรลุภารกิจได้ด้วยตนเอง เป็นต้น

ภาพที่ ๗๓  ผ่านแดนผู  ชมเชยการปกครอง :  จื่อลู่ ได้ไปบริหารการปกครองที่ "ผู" ขงจื๊อผ่านแดนเข้าไปสามหน ล้วนแต่ชมเชยการปกครองของแดนผู จื่อก้งถามว่า ท่านยังไม่เคยเข้าไปดูการบริหารปกครองในทำเนียบเลย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่บริหารปกครองได้ดี ขงจื๊อตอบว่า เมื่อเราเข้าสู่เขตท้องที่ผู นาข้าวปลูกเป็นระเบียบเรียบร้อยงอกงามดี หญ้าวัชพืชถูกตัด ชาวบ้านมีความสุภาพเรียบร้อยและเชื่อมั่นศรัทธาในภาระหน้าที่ของตน เมื่อเราเข้าไปในเขตเมือง กำแพงเมืองมั่นคงแข็งแรง ต้นไม้ใหญ่งอกงาม ผู้คนมีความซื่อสัตย์และภักดี ปราศจากโจรขโมย เมื่อเข้าไปในอาคารสำนักงาน สะอาดสะอ้าน เหล่าพนักงานระดับล่างมีระเบียบเรียบร้อย แสดงว่าไม่มีปัญหาในการบริหารปกครอง เช่นนี้แล้วชมเชยสามครั้งก็ยังน้อยไป