นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => คัมภีร์ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/10/2553, 03:13

หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/10/2553, 03:13
(http://www.beihaichanyuan.org/d/file/chan/wuyetang/dade/2010-01-08/85dcc09526d328cc47b8c176a5985f11.jpg)

พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก  "ลิ่วจู่"

กล่าวเกริ่น

         ลำดับยุคต้นในพุทธศาสนาสายฌาน (เซ็น) หรือนิกายธยานะ  รู้แจ้งฉับพลัน  เริ่มจากปฐมธรรมาจารย์สมเด็จพระโพธิธรรมจากชมพูทวีปจาริกสู่ประเทศจีน ถ่ายทอดวิถีจิตแด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเข่อ...เรื่อยมาจนถึงลำดับที่หกคือ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแต่หากจะลำดับจากพระมหากัสสปะ นับตั้งแต่ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงชูดอกไม้ตรงพระพักตร์ แสดงปริศนาธรรม พระมหากัสสปะเข้าใจโดยฌาณ คือภาวะจิตปราณีตลุ่มลึก
         พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน นับจากพระมหากัสสปะเป็นลำดับที่หนึ่งของสายฌาณ หากลำดับจากนี้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็จะต้องเป็นลำดับที่สามสิบสาม ซึ่งจะต้องเรียกว่า "พงศาธรรมาจารย์สมัยที่สามสิบสาม"
       "พระสูตรเว่ยหล่าง" มีชื่อเต็มเป็นทางการอย่างถูกต้องตามต้นฉบับเดิมว่า ""ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตรธรรมราชาพงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก (ลิ่วจู่ต้าซือฝ่าเป่าถันจิง)  
       "ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร พระสูตรธรรมบัลลังก์พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก" (ฝ่าเป่าถันจิง หรือ ลิ่วจู่ถันจิง) เป็นพระสูตรที่พระอภิธรรมาจารย์ชาวจีน ใช้ภาษาจีน อักษรจีน แจกแจงแสดงหลักพุทธธรรมอันเป็นวิถีจิตที่ให้เข้าถึงรู้แจ้งฉับพลันด้วยอรรถบทชัดเจน ไม่อ้อมค้อมเยิ่ยเย้อ
       พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง แม้จะไม่รู้หนังสือ แต่สัจธรรมคำสอนทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ล้วนชี้ตรงให้เข้าถึงจิตญาณได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ประจักษ์ว่า พระธรรมมิใช่ตายตัวอยู่ที่อักษร แต่ล้วนเกิดด้วยปัญญาญาณล้ำลึกของผู้เข้าถึง  ปัญญาณบริสุทธิ์สำแดงสัจธรรมคำสอนได้ โดยมิต้องไตร่ตรองเรียนรู้จากภายนอก เป็นปัญญาโดยธรรมชาติ  ธรรมะอันได้โปรดฉุดนำสาธุชนนั้น เป็นวิถีจิตรู้จิตฉับพลัน ที่พลิกผันคนโง่หลงให้รู้ตื่นได้ ณ บัดใจ
       เราทั้งหลายได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน ได้รับวิถีอนุตตรธรรม อันเป็นวิถีปลุกใจให้รู้ตื่นฉับพลัน เช่นเดียวกันกับที่พระธรรมาจารย์ได้โปรดถ่ายทอดแก่สาธุชนในสมัยก่อนนั้น จึงจำเป็นจะต้องศึกษาพระสูตรนี้ เพื่อความเข้าใจให้ถูกต้องลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นคุณประโยชน์ยิ่งต่อการเจริญธรรม
      พระธรรมาจารย์ได้รับการยกย่องว่า "พระธรรมราชาสายฌาน"เป็นเอก เป็นราชาแห่งธรรมของจีน พระธรรมคำสอนที่ท่านแสดงมา เบิกทางปัญญากระจ่างแจ้งแก่เทวดา มนุษย์ ทุกเพศวัย ทั้งในทางโลกทางธรรม จึงได้เรียกว่า "ธรรมรัตนะ" (ฝ่าเป่า) ที่เรียกว่า "บัลลังก์สูตร" (ถันจิง) นั้น ปรากฏหลักฐานบนศิลาจารึกโบราณ ในยุคหนันเฉาหลิวซ่ง ที่วัด "กตัญญูรังสี" (กวงเซี่ยวซื่อ) ศิราจารึกแผ่นนั้นสร้างโดย "สมเด็จพระคุณเจ้าพระคุณาภัทรปิฏก" ท่านได้เดินทางโดยเรือข้ามมหาสมุทรอินเดีย จาริกมาประกาศพุทธธรรมที่ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง
      ""สมเด็จพระคุณเจ้าพระคุณาภัทรปิฏก"" สูงส่งด้วยปรีชาญาณ ปัญญาล้ำเลิศ  สามารถแปลพระคัมภีร์ พระปิฏกจากภาษาบาลีสันสกฤตเป็นภาษาจีนได้อย่างวิเศษแยบยล พระคัมภีร์ที่ท่านแปลเป็นภาษาจีนไว้ มากมายถึงเจ็ดสิบแปดเล่ม ท่านหยั่งรู้เหตุการณ์หลายร้อยปีว่า วันข้างหน้า พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกลิ่วจู่ ก็คือพระมหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง จะมาโปรดสัตว์แสดงธรรม ณ ปริมณฑลนี้ ท่านจึงได้สร้างธรรมศาลาไว้ ได้จารึกหลักฐานคำพยากรณ์ไว้บนแผ่นหินใหญ่มีความว่า"" ภายภาคหน้า จะมีพระโพธิสัตวที่ยังดำรงกายเนื้ออยู่อันได้เจริญศีลบริบูรณ์แล้ว มาเจริญธรรมปรกโปรด ณ ที่แห่งนี้"""
       ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ ปีต้นศักราชเทียนเจี้ยน (ค.ศ.502)  เหลียงอู่ตี้เทียนเจี้ยนเอวี๋ยนเหนียน  ""สมเด็จพระคุณเจ้าพระไภสัชปัญญปิฏก"" จากประเทศอินเดีย ก็ได้ฝ่าฟันอันตรายเดินทางโดยเรือข้ามมหาสมุทรอินเดีย จาริกโปรดธรรมยังประเทศจีนอีกองค์หนึ่ง ""สมเด็จพระคุณเจ้าพระไภสัชปัญญปิฏก"" ได้เห็นศิลาจารึกพยากรณ์ ซึ่งตรงกับญาณหยั่งรู้ของท่าน จึงได้ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ที่นำมาจากอินเดียลงข้าง ๆ ศิลาจารึกแผ่นนั้น อีกทั้งได้โปรดสร้างศิลาจารึกพยากรณ์อีกแผ่นหนึ่ง ประดิษฐานลงใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ มีใจความว่า ""อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีในภายหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ ที่ยังดำรงกายเนื้ออยู่ มาโปรดแสดงสุทธรรมแห่งมหายาน ณ ที่นี้ จะกอบกู้อุ้มชูเวไนยฯได้ไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธธรรม ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธะโดยแท้""" เป็นธรรมพยากรณ์อันแยบยลยิ่ง ด้วยถูกต้องเป็นจริงทุกประการ
       ""พงศาธรรมาจารย์ลิ่วจู่  พระโพธิสัตว์เดินดิน"" โปรดถ่ายทอดธรรมวิถีจิตอยู่นานถึงสามสิบเจ็ดปี  มิใช่ ณ ธรรมศาลาก่อนเก่าแห่งนี้เท่านั้น แต่เพื่อแสดงความเคารพรำลึกถึงสมเด็จพระคุณเจ้าทั้งสองที่โปรดสร้างธรรมศาลา สร้างศิลาจารึกพยาการณ์ไว้ พุทธธรรมที่ ""พงศาธรรมาจารย์ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง""โปรดแสดงมา และศิษย์รุ่นหลังได้จารึกไว้ จึงได้ชื่อว่า ""บัลลังก์สูตร""พระสูตร""ภาษาจีนให้คำนิยามว่า ""การแสดงธรรมอันสอดคล้องกับสัจธรรม ที่เหล่าพุทธะเบื้องบนได้โปรดแสดงไว้ เป็นสัทธรรมอันเป็นบุญปัจจัยในการกอบกู้มวลเวไนยฯ
       ""ธรรมรัตนะบัลลังก์สุตร"" เป็นบัญญัติสั่งความจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เองก่อนละกายสังขาร ท่านกล่าวแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ""เริ่มจากวัดมหาพรหมจนถึงกาลปัจจุบัน อันนี้อาตมาได้แสดงธรรมทั้งหมด จงคัดลอกบันทึกแพร่หลาย ให้ชื่อว่า""ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ฝ่าเป่าถันจิง"" เล่มนี้ใช้เล่ม ""ต้นฉบับโดยตรง"" ดั้งเดิมจาก ""เฉาซี""      


       พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก " ลิ่วจู่ "  มีนามว่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง (เว่ยหล่าง) ฮุ่ยเหนิงได้รับวิถีธรรมบวชจิต เมื่ออายุ 24 ปี  เมื่ออายุ 39 ปี ได้อุปสมบท ณ วัดธรรมญาณ พระอภิธรรมาจารย์"อิ้นจง" อุปสมบทให้ตามพิธี
       บิดาของฮุ่ยเหนิงเป็นคนชาวเมือง "ฟั่นหยาง" แต่เดิมที ( ซึ่งปัจจุบันนี้คือมณฑลเหอเป่ย ) แต่ได้ถูกถอดจากตำแหน่งราชการ และเนรเทศสู่ หลิงหนัน เป็นถิ่นทุรกันดาร เป็นรกรากอาศัยของชนเผ่าน้อย ที่อยู่รอบนอกใจกลางบ้านเมือง ซึ่งห่างไกลอารยธรรม   ฮุ่ยเหนิง ถือกำเนิดในดินแดนที่ด้อยความเจริญแห่งนั้น จึงได้รับคำเหยียดหยันจากชาวเมืองว่า""ลูกชาวใต้ป่าเถื่อน "" กายนี้ก็อาภัพ ท่านเกิดมาในสภาพแร้นแค้น ท่านกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เล็ก อาศัยมารดาอุ้มชู มารดาท่านก็สูงอายุ และ อ้างว้างเดียวดาย จึงได้ย้ายมาอยู่ที่ หนันไห่ (ซึ่งปัจจุบันคือ อำเภอหนันไห่ มณฑลกว่างตง)  
       ความเป็นอยู่อัตคัดยากจนข้นแค้นยิ่งนัก  ฮุ่ยเหนิงไม่ได้เรียนหนังสือ จึงได้ประกอบอาชีพตัดฟืนขายที่ตลาดมาประทังชีวิต ท่านโปรดสาธุชนอยู่ 37 ปี  และดับขันธปรินิพพานเมื่ออายุ 76 พรรษา เป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หก ของจีน ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่สุด กายสังขารยังไม่เน่าเปื่อย อยู่ในท่านั่งสมาธิ จนบัดนี้นับเป็นเวลาพันปีเศษ โดยเก็บรักษาไว้ที่เจดีย์ ณ เมืองเฉาซี

            สรุป

       ท่านฮุ่ยเหนิง  บิดาท่านแซ่หลู  มารดาท่านแซ่หลี่  ถือกำเนิดในสมัยราชวงศ์ถาง  ศักราชเจินกวน ที่ 12 (ค.ศ.638) เดือน 2 วันที่  8  เวลาเที่ยงคืน  ในเวลานั้น ได้มีแสงอ่อน ๆ พวยพุ่งไปสู่ฟ้า อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมประหลาดคลุ้งไปเต็มห้อง  เมื่อถึงเวลารุ่งเช้าก็ได้มีภิกษุสองรูปมาเยือน  และปรารภแก่บิดาของท่านว่า ""ทราบว่าท่านได้มีบุตรเมื่อคืนนี้ จึงมาเยือนคำนับเพื่อตั้งชื่อให้โดยเฉพาะ เด็กคนนี้ควรมีชื่อว่า "" ฮุ่ยเหนิง "" จะดีนักแล  อันว่า ""ฮุ่ย""นั้นหมายถึงนำธรรมโปรดแก่เวไนยฯ ส่วนคำว่า ""เหนิง""นั้นหมายถึงสามารถประกอบกิจแห่งพุทธะได้ """ เมื่อกล่าวจบแล้วก็เดินจากไป และก็ไม่ได้เห็นร่องรอยของพระสองรูปนี้เลย
หัวข้อ: Re: 4 : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/10/2553, 11:23
บทที่ ๑  รู้แจ้งธรรม  มอบหมายจีวร (行由第一)


       ลิ่วจู่ 六祖 แปลว่า พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก มีนามว่า "ฮุ่ยเหนิง" (เว่ยหล่าง)  ได้รับวิถีธรรมบวชจิตเมื่ออายุได้ 24 ปี หลังจากนั้น ก็ต้องใช้วิธีหลบภัยอยู่ในกลุ่มนายพรานถึง 15 ปี  จนถึงอายุ 39 ปี จึงเดินทางมาถึง ""วัดธรรมญาณ"" เมืองกว่างโจว
     ณ วัดธรรมญาณ ได้พบพระอภิธรรมาจารย์ "อิ้นจง" (อิ้นจงฝ่าซือ)  อุปสมบทให้ตามพิธี ขณะนั้น ท่านฮุ่ยเหนิงมีฐานะเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หกแล้ว ก่อนหน้านั้นท่านบวชจิตมานานถึง 15 ปี  ภายหลังจึงได้ถือบวชในศาสนาพุทธอย่างเป็นทางการ
     ปีถัดมา ลิ่วจู่ ลาจากวัดธรรมญาณ มาเจริญธรรมที่ ""วัดป่ารัตนาราม""(เป่าหลินซื่อ) นั่นคือปี ค.ศ 677 วัดป่ารัตนาราม ตั้งอยู่ในเมืองกว่างโจว ห่างจากอำเภอฉวี่เจียง ค่อนไปทางใต้ประมาณหกสิบลี้ ซึ่งบัดนี้คือ ""วัดอารามรังสีทักษิณ""(หนันฮว๋าซื่อ) ปัจจุบันยังเป็นที่ประดิษฐานพระสรีระกายเนื้อของพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ซึ่งยังคงสภาพไว้ด้วยพระลักษณะประทับนั่งเจริญธรรมอยู่อย่างนั้น
     ณ เมืองเสาโจว ซึ่งปัจจุบันคือ อำเภอฉวี่เจียง มณฑลกว่างตง ครั้งนั้น เมื่อพระมหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิงมาถึงวัดป่ารัตนาราม มีผู้ว่าการ ฯ เมืองเสาโจว  แซ่เอว๋ย นามฉวี พร้อมด้วยขัาราชการผู้ติดตามคณะใหญ่เดินทางมาถึง ""หุบเขารังสีทักษิณ"" (หนันฮว๋าซัน)ได้กราบอาราธนาพระคุณเจ้าขึ้นธรรมาสน์เทศน์ที่วัดมหาพรหม (ต้าฟั่นซื่อ) อำเภอฉวี่เจียง เพื่อเปิดทางปัญญาแก่สาธุชนด้วยเหตุปัจจัยแห่งพุทธธรรม กัณฑ์เทศน์สำคัญคือ ""มหาปัญญาปารมิตา""
      จุดหมายหลักของ ""มหาปัญญาปารมิตา"" ชี้ให้เห็นรู้จักเข้าถึงความ "เป็น อยู่" แห่งปัญญาของจิตเดิมแท้ เพื่อใช้ปัญญาอันเป็นอยู่นี้ นำจิตให้ล่วงพ้นโอฆะสงสาร ก้าวขึ้นฝากฝั่งอันเกษม จนถึงที่สุดคือ เข้าสู่ภาวะไม่เกิดไม่ดับอีกต่อไป นั่นก็คือภาวะที่เรียกว่า ""นิพพาน""
      พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ประทับนั่งบนบัลลังก์ธรรมาสน์  เบื้องล่างล้นหลามด้วยสาธุชน มีผู้วาการฯ พร้อมด้วยเหล่าข้าราชการผู้ติดตามรวมสามสิบกว่าคน มีปรัชญาจารย์แห่งศาสนาปราชญ์ กับปัญญาชนผู้คงแก่เรียนอีกสามสิบกว่า มีอุบาสก อุบาสิกา ผู้ถือบวชบำเพ็ญในศาสนาพุทธ ในศาสนาเต๋า อีกทั้งผู้บำเพ็ญทั่วไปรวมหนึ่งพันกว่าคน
      ทั้งหมดพร้อมกันอาราธนา ปรารถนาใคร่จะสดับพระธรรมเทศนา อันเป็นหลักธรรมสำคัญ ในสมัยที่อภิธรรมาจารย์ลิ่วจู่ โปรดเทศนาสั่งสอนสาธุชน สาธุชนทั้งสามศาสนาจะพร้อมกันมาสดับพระธรรม มิได้รังเกียจเดียดฉันท์ซึ่งกัน ทำให้เห็นได้ว่า สามศาสนานั้นอันที่จริงมาจากรากเหง้าเดียวกัน อันที่จริงมิอาจแบ่งแยกออกจากกัน อีกทั้งภายในสามศาสนาเอง ก็มิได้แบ่งแยกนิกายว่าพวกใครสู่งต่ำล้ำเลิศกว่ากัน "ความสูงต่ำล้ำเลิศกว่ากัน กำหนดหมายด้วยใจคน"
     ""พระสมาธยานจารย์มหามณีปัญญาสมุทร พระอาจารย์เซ็น (ต้าจูฮุ่ยไห่ฉันซือ) ""ได้จารึกการนี้ไว้ใน""ธรรมพิจารณ์ว่าด้วยประตูสำคัญสู่ธรรมวิถีฉับพลัน (ตุ้นอู้ยู่เต้าเอี้ยวเหมินลุ่น) "" ว่า มีผู้ถามอาตมาว่า "ธรรมศาสนา เต๋า  ศาสนาปราชญ์ ขงจื่อ และศาสนาพุทธ ทั้งสามศาสนาเป็นเช่นกันหรือแตกต่างกันอย่างไร" อาตมาตอบว่า "ผู้มีใจกว้างจะใช้เป็นเช่นเดียวกัน  ผู้มีใจกีดกั้นจะยึดมั่นแตกต่าง สามศาสน์เกิดจากเอกะญาณ จิตกีดกั้นจึงแบ่งแยกเป็นสาม ลุ่มหลง - กระจ่าง ต่างกันที่คน มิอยู่ที่สามศาสน์เป็นเช่นกันหรือแตกต่าง"  จะเห็นได้ว่า ผู้รู้กระจ่างด้วยปัญญาญาณคมชัด จะเห็นเอกะญาณอันเป็นบ่อเกิดของสามศาสนา มิได้แบ่งแยกสูงต่ำแต่เดิมที
       ส่วนคนด้อยปัญญาณที่หลงยึดหมาย จึงบังเกิดใจแบ่งแยก คิดว่าศาสนาที่ตนเคารพศรัทธาอยู่นั้นวิเศษกว่า จึงเกิดการวิจารณ์นินทา รังเกียจเดียดฉันท์ ใคร่ชี้แจงตรงนี้เป็นพิเศษคือ ""พุทธธรรม"" มิใช่เอกสิทธิ์เฉพาะของ"พุทธศาสนิก" หรือหมู่คณะใด
       องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้ตรัสสัจธรรมเพียงเพื่อโปรดแก่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะเท่านั้นอย่างแน่นอน หลายปีมานี้ มีชาวพุทธบางคนกล่าวว่า"ชาวอนุตตรธรรมไม่มีคัมภีร์ธรรมของตนเอง ต้องขโมยใช้คัมภีร์ธรรมของศาสนาพุทธ" เป็นคำพูดที่ควรพิจารณากันว่า ขัดต่อมหาปณิธานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ในพระมหาปณิธานของพระองค์ที่ว่า "เวไนยสัตว์มิอาจประมาณ ปณิธานจะฉุดช่วย" พระมหาปณิธานของพระพุทธองค์ในข้อนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า"พุทธธรรมแห่งพระองค์ จะปรกโปรดฉุดช่วยเวไนยไม่ประมาณ" ฉะนั้น พุทธธรรมจึงมิใช่เอกสิทธิ์ที่ปรกโปรดเฉพาะชาวพุทธเท่านั้นชาวคริสต์ ชาวอิสลามและอื่น ๆ ล้วนอาศัยพุทธธรรมบารมีเพื่อเจริญธรรมได้ด้วยกันทั้งนั้น
      คัมภีร์คุณธรรม (เต้าเต๋อจิง) ในศาสนาเต๋า ก็มิใช่เอกสิทธิ์ของชาวเต๋า (ธรรมศาสนา)  สี่ปรัชญาคัมภีร์ (ซื่อซู) ในศาสนาปราชญ์ ก็เป็นที่ชื่นชอบของสาธุชนชาวประเทศทั้งหลายได้โดยไม่มีใครหวงห้าม
      พระคริสตธรรมคัมภีร์ในศาสนาคริสต์ เป็นที่เคารพเลื่อมใส แพร่หลายไปทั่วโลกด้วยภาษาต่าง ๆ  ใครเลยจะคัดค้านกีดกั้น เพราะนั่นเป็นมรดกจากปัญญาญาณแห่งบรรพชนของมนุษยชาติ จึงมิอาจจำกัดกุศลประโยชน์แก่มนุษย์เฉพาะกลุ่ม
      น้ำพระทัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว้างใหญ่ดุจอากาศธาตุ ทรงเห็นความเสมอภาคทั่วไป  หากกล่าวว่าชาวอนุตตรธรรมขโมยพระธรรมคำสอนในศาสนาพุทธ พระองค์คงมิทรงเห็นชอบด้วยเป็นแน่  ชาวอนุตตรธรรมเองจะต้องมั่นใจ จงใฝ่ศึกษาพุทธธรรมให้ถึงแก่นแท้ด้วยความเคารพต่อไป
      ซึ่งอันที่จริง "ไตรรัตน์" ที่เราหมั่นเพียรกันนั้นก็รวมอยู่ในหมื่นพันคัมภีร์พระสูตรของห้าศาสนาใหญ่อยู่แล้ว หมื่นพันคัมภีร์พระสูตรล้วนไม่ห่าง ""จุดศูนย์กลางชี้ชัดจากพระวิสุทธิอาจารย์ "" ณ บัดใจนั้น คือ ความสมบูรณ์พร้อมของภาวะรู้แจ้ง ในคัมภีร์สามศาสนาล้วนบอกกล่าวไว้เป็นนัย
     
     อภิธรรมาจารย์ลิ่วจู่ กล่าวแก่สาธุชนว่า "ท่านผู้เจริญ  พึงชำระจิตตนให้หมดจด สวดท่อง มหาปัญญาปารมิตา" ผู้เจริญ คือ ผู้ที่สามารถสั่งสอนกล่อมเกลาเหล่าเวไนย ให้ละบาปบำเพ็ญตนได้ ชำระจิตให้หมดจด คือจะต้องขจัด "นิวรณ์" อันขัดขวางการเจริญธรรมของจิตเสียให้สิ้น ( นิวรณ์ - ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี สิ่งที่ขัดขวางจิตมิให้ก้าวหน้าในคุณธรรม มี กามฉันท์ คิดร้ายต่อผู้อื่น หดหู่ ฟุ้งซ่านรำคาญ ลังเลสงสัย ) "สวดท่องมหาปัญญาปารมิตา " ก็คือกำหนดรู้ - เป็น ในมหาปัญญา อันจะพาจิตแห่งตนก้าวขึ้นฟากฝั่งอันเกษมได้ มิใช่ให้ท่องด้วยปากเท่านั้น  " ปัญญาก้าวขึ้นฟากฝั่งอันเกษม" เป็นภาวะแห่งปัญญาธรรมงามกลมสมบูรณ์พร้อมในตัวเอง ซึ่งเมื่อเข้าถึงภาวะนี้ได้ ก็คือเข้าถึงภาวะธรรมญาณเดิมทีอันบริสุทธิ์ผุดผ่องในตน ภาวะอันบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็น"มหาปัญญาปารมิตา" เมื่ออภิธรรมลิ่วจู่ กล่าวประโยคนี้จบลง ก็สงบนิ่งไว้ มิได้กล่าวคำใดต่อไป คือความเป็นจริงให้ทุกคนชำระจิตตนให้หมดจด ณ บัดนั้น ที่กล่าวต่อเนื่องโดยมิพึงใช้วาจา
      อภิธรรมาจารย์ลิ่วจู่ สงบนิ่งอยูนาน จึงกล่าวอีกว่า "" ท่านผู้เจริญ โพธิญาณตนหมดจดแต่เดิมที เพียงใช้จิต อันหมดจดมิแปดเปื้อนนี้ก็อาจรู้แจ้งบรรลุพุทธภาวะได้โดยตรง

       ความหมาย  พิจารณา
       โพธิจิตตน ก็คือ พุทธญาณ ญาณรู้แจ้งดั้งเดิม พระอัศวโฆษ พระธรรมาจารย์สมัยที่สิบสอง ตามลำดับพงศาธรรม จารึกคำว่า ""รู้แจ้งดั้งเดิม"" ไว้ใน ""ธรรมพิจารณ์ศรัทธามหายาน"" (ต้าเฉิงฉี่ซิ่นลุ่น) ว่า รู้แจ้งดั้งเดิม เป็นภาวะสัจธรรมอันมีอยู่แต่ดั้งเดิมที่สมบูรณ์พร้อมอยู่อย่างนั้นเอง มิใช่ได้จากภายนอกกายหรือภายหลังเกิดตาย ตรงกันข้าม " มิรู้แจ้ง"ก็คือ ภาวะหลง ไร้แก่นสาร ไม่อาจเป็นฐานที่มั่นคงแก่ตนได้ เช่น จิตใจที่ยึดหมายภายหน้า บัดนี้ หรือที่ผ่านมา  กิเลส  ตัณหา  อารมณ์  ทุกข์สุข  ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้จาก ภายนอก  ภายหลัง  จึงมิใช่แก่นสารยั้งยืน
        ฉะนั้น จึงกล่าวว่า ""โพธิญาณตน  หมดจดแต่เดิมที"" นั่นก็คือ การมิได้ยึดหมายในภายนอก ภายหลัง  "จงใช้จิตนี้"ก็คือ"จงบังเกิดจิตนั้นอันหมดจด"
        ในคัมภีร์ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (จินกังจิง) บทที่สิบสี่ รวมประโยคทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันว่า ""บังเกิดจิตมิได้ยึดหมาย""ก็คือ ในขณะที่จิตมิได้ยึดหมาย จงใช้จิตนั้นอันหมดจด ทุกสภาวะ ทุกขณะ ทุกแห่งหน บัดดลนั้นก็คือพุทธะ  พุทธะก็คือ โฉมหน้าเดิมทีของตน  ในคัมภีร์ "ญาณทัสสนะสัมโพธิ" จารึกคำว่า ""เวไนยฯทั้งหลายบรรลุพุทธะดั้งเดิมมา""นี่พูดถึงในแง่รู้แจ้งดั้งเดิม
        จึงกล่าวว่า อย่าได้ใส่ใจอยากรู้อยากเห็นชะตากรรม แม้หาทางรู้ได้ ก็ยังคงต้องชดใช้หนี้กรรมนั้น เพราะนั่นไม่ถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์ แต่จง...เบิกทางสัมมาปัญญา สู่ฐาฯจิตญาณมั่นคงในตน
     ...เผชิญกับทุกอย่างที่เข้ามาโดยดุษฏี...จึงอาจจบสิ้นและบรรลุธรรมได้โดยตรง   ( ผู้ขาดสติปัญญามักไม่กล้าเผชิญปัญหาปรากฏการณ์ ส่วนผู้มีสติปัญญาจะเตรียมฐานจิตญาณให้มั่นคง แม้ปัญหาใหญ่จะกระแทกก็ไม่หวั่นไหว )        
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/10/2553, 04:51

       ท่านผู้เจริญ  จงสดับเหตุแห่งความเป็นมาที่ฮุ่ยเหนิงแสวงธรรม และได้รับวิถีธรรม เสียก่อนดังต่อไปนี้  บิดาของฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) เป้นชาวเมืองฟั่นหยัง แต่เดิมที (ซึ่งบัดนี้คือมณฑลเหอเป่ย) มีเหตุถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ส่งไปอยู่หลิ่งหนัน ให้เป็นชาวเมืองซินโจว ในสมัยราชวงศ์ถัง หลิ่งหนันเป็นถิ่นทุรกันดาร เป็นรกรากอาศัยของชนเผ่าน้อย ที่อยู่รอบนอกใจกลางบ้านเมืองซึ่งห่างไกลอารยธรรม  ฮุ่ยเหนิง ถือกำเนิดในดินแดนที่ด้อยความเจริญแห่งนั้น จึงต้องได้รับคำเหยียดหยันจากชาวเมืองว่า"ลูกชาวใต้ป่าเถื่อน (หนันหมันจื่อ) "
       กายนี้อาภัพ (ฮุ่ยเหนิงเกิดมาในสภาพแร้นแค้น) บิดาวายชนม์ตั้งแต่ฮุ่ยเหนิงยังเยาว์วัย อาศัยมารดาอุ้มชู ภายหลังจึงติดตามมารดาผู้สูงอายุ โยกย้ายภูมิลำเนามายังหนันไห่ (ซึ่งปัจจุบันคืออำเภอหนันไห่ มณฑลกว่างตง)
       ความเป็นอยู่ของมารดาและบุตรยากจนข้นแค้นยิ่งนัก ทุกวันได้แต่อาศัยฮุ่ยเหนิงไปขายฟืนในเมืองมาประทังชีวิต  วันหนึ่งลูกค้าคนหนึ่งขอซื้อฟืนจากฮุ่ยเหนิง กำชับให้ช่วยส่งฟืนไปที่ร้าน  อุ่ยเหนิงส่งฟืนไปตามสั่ง ลูกค้ารับฟืนไว้แล้วจ่าบค่าฟืน ขณะที่ฮุ่ยเหนิงจะก้าวออกจากประตูร้าน ก็แลเห็นแขกที่มาพักแรมคนหนึ่ง กำลังสวดท่องพระคัมภีร์ความว่า ""พึงบังเกิดจิตนั้น (อันหมดจด)"" อันมิได้ยึดหมาย  ทันทีที่ได้ฟัง ฮุ่ยเหนิงกระจ่างใจ รู้แจ้งในบัดดล
       ความหมาย...พิจารณา... อย่างไรเรียกว่า ""อันมิได้ยึดหมาย"" ยึดหมายอยู่ก็คือ ถือมั่นไว้ คนถือมั่นกับอายตนะภายในตนหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  อีกทั้งอายตนะภายนอกหกคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์
      เมื่อเกิดการถือมั่น จึงเกิดการปรุงแต่งเปรียบเทียบแบ่งแยก  ในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จารึกคำว่า""อันมิได้ยึดหมายก็คือ อายตนะภายในอย่าได้แปดเปื้อนด้วยอายตนะภายนอก
      ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าได้ปรุงแต่งเปรียบเทียบแบ่งแยกต่อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์  ""พึงบังเกิดจิต""นั้น นั่นก็คือ บังเกิดจิตอันหมดจดมิได้แปดเปื้อนนั้น
      ฮุ่ยเหนิงสดับพลัน กายใจผ่อนว่างวางลงทันที เข้าสู่โลกวิมุตติ รู้แจ้ง ณ ตรงนั้น คำว่า ""พึงบังเกิดจิตอันมิได้ยึดหมาย"" ต่อมาจึงกลายเป็นคำขวัญสัญลักษณ์สำหรับธรรมปฏิบัติเข้าถึงโดยฉับพลัน  ตลอดพระธรรมาชีพของท่านลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ล้วนมอบหมายถ่ายทอดวิถีจิตอันรู้แจ้งโดยฉับพลันนี้เป็นสำคัญ
      ดังนั้น จึงถามแขกผู้มาพักแรมว่า "ท่านท่องพระคัมภีร์ใดหรือ" ผู้พักแรมตอบว่า "วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร"
      ความหมาย...พิจารณา... วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (จินกังจิง) เป็นพระคัมภีร์ที่ชาวจีนรู้จักกันเกือบทุกบ้านเรือน เหตุที่โด่งดังยิ่งใหญ่ปานนี้ ก็ด้วยพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้ากับที่หก หยิบยกผลักดันเต็มที่  แท้จริงแล้ว เมื่อพระโพธิธรรมโปรดจาริกสู่ประเทศจีนนั้น ท่านนำ ""ลังกาวตารสูตร"" มาเพียงเล่มเดียวเท่านั้น แต่เนื่องด้วยลังกาวตารสูตรยากแก่การเรียนรู้ แม้จะมีผู้พยายามศึกษา แต่ก็ไม่อาจแพร่หลายได้ จนกระทั่งถึงพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้า จึงมุ่งหมายต่อวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แทน ลังกาวตารสูตร  ดังนั้น  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จึงเป็นพระคัมภีร์สำคัญของศาสนาพุทธมหายานพงศาฌานธยานะ  ซึ่งแน่นอน ก็เป็นพระคัมภีร์ที่ศิษย์อนุตตรธรรมพึงศึกษา ด้วยเหตุที่เป็นพระคัมภีร์ซึ่งพระธรรมาจารย์ที่ถ่ายทอดวิถีจิตฉับพลันโปรดเผยแผ่  คัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร อรรถาวิถีแห่งการบรรลุพุทธะซึ่งแจกแจงถี่ถ้วน อย่างที่กล่าวว่า ""ธรรมะแห่งเหล่าพุทธะและธรรมะแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิ์ ล้วนจุดประกายจากคัมภีร์ (สัจธรรม) นี้ จึงเป็นพระคัมภีร์ที่มรค่ายิ่งต่อการศึกษา""
      อุ่ยเหนิงถามอีกว่า "ท่านมาจากที่ใด เหตุใดจึงได้สวดท่องพระคัมภีร์นี้" ผู้พักแรมตอบว่า "เรามาจากวัดบูรพาฌาน เมืองฉีโจว อำเภอหวงเหมยเซี่ยน (ปัจจุบันคือ มณฑลเหอเป่ย ทิศตะวันออกของอำเภอฉีสุ่ย) ที่วัดนั้น พระอภิธรรมาจารย์หงเหยิ่นเจ้าอาวาสแสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ที่นั่น มีศิษย์อยู่หนึ่งพันกว่าคน ข้าพเจ้าไปกราบนมัสการที่นั่น ได้สดับและรัยเอาพระคัมภีร์นี้มาปฏิบัติ  พระธรรมาจารย์ สมัยที่ห้า พระอภิธรรมาจารย์หงเหยิ่น มักจะเตือนผู้ถือบวช กับ ชาวบ้านผู้บำเพ็ญอยู่เสมอว่า ""ขอเพียงปฏิบัติตามพระคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เท่านั้น ก็อาจเห็นจิตตนทันที บรรลุพุทธะได้โดยตรง""
      ความหมาย...พิจารณา...ที่กล่าวนั้น มิใช่หมายถึงท่องบ่นคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรที่เป็นอักษร เรารู้ดีว่า ผู้ที่สวดท่องอักษรพระคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรนั้นมีมากมาย  แต่นอกจากลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) แล้ว ยังมีใครอีกหรือที่สดับเพียงหนึ่งประโยคธรรม พลันรู้แจ้งได้ในบัดดล จะศึกษาบำเพ็ญพุทธธรรม การอ่านพระคัมภีร์นั้นสำคัญมาก  จงเลือกสรรค์พระคัมภีร์ที่ถูกกับจริตของตน ท่องบ่นเรื่อยไป เป็นวิธีบำเพ็ญอันสำเร็จได้ครบถ้วน ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน จุดมุ่งหมายสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์ก็เพื่อสยบอารมณ์ สยบความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวาย  ขณะอ่านท่อง ไม่ว่าจะเข้าใจความหมายนั้นก่อนหรือไม่ ยังไม่เป็นไรแต่จะต้องอ่านให้ชัดเจนทุกตัวอักษร นั่นคือ ความปราณีต จริงใจ นานวันไปก็อาจเห็นจิตญาณตน  แต่ในที่นี้ จะขอย้ำข้อความในพระคัมภีร์เป็นพิเศษประโยคหนึ่งที่ว่า ""ปฏิบัติคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ก็อาจเห็นจิตญาณตนได้ใน""บัดดล"" บรรลุพุทธะได้โดยตรง"" คำว่า "บัดดล" หมายถึง ณ ขณะนั้น มิใช่ค่อยเป็นค่อยไป ฉะนั้น จึงต้องเข้าใจความในว่าเป็นการ "ปฏิบัติคัมภีร์จิต" มิใช่คัมภีร์อักษร  ทันทีที่เข้าถึงวัชรจิตตนอันแกร่งกล้าวาววับ สะท้อนแสงแห่งญาณตนได้ในบัดดล  เรียกว่า"ย้อนมองส่องตนได้" ก็อาจบรรลุพุทธได้ในบัดดล  พระวิสุทธิอาจารย์ของเราในยุคนี้ โปรดถ่ายทอดวิถีธรรมทางตรง""หนึ่งจุดศูนย์กลางรู้ได้"" (รู้ความนัย รู้ความเป็นอยู่ - มีอยู่) อี้จื่อจงเอียงฮุ่ย ก็คือ ""บัดดล"" จึงเห็นจิตญาณตนได้ในบัดดล บรรลุพุทธะได้โดยตรงนี่คือความวิเศษสุดจาก ""หนึ่งนิ้วจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์""
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๖ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/10/2553, 15:08
       ฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) ได้ฟังความดังนี้แล้ว ด้วยผลบุญที่สร้างไว้ในอดีต ทำให้ได้รับความอนุเคราะห์ด้วยเงินสิบตำลึงจากผู้พักแรมสำหรับมอบแก่มารดาไว้เป็นค่าใช้จ่าย เพื่อให้ฮุ่ยเหนิงเดินทางไปกราบพระธรรมาจารย์ที่อำเภอหวงเหมย ได้ด้วยความวางใจ
      ความหมาย...พิจารณา...
      เหตุการณ์ในขณะนั้นคือ ขณะที่ฮุ่ยเหนิงซักถามสนทนาธรรมอยู่กับผู้พักแรมคนที่ท่องคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรนั้น พื้นฐานปัญญาญาณอันมิใช่ธรรมดาของฮุ่ยเหนิงย่อมทำให้ผู้พบเห็นตื่นใจเมื่อได้ฟัง  
     ผู้พักแรมอีกคนหนึ่งปลาบปลื้มจนถึงกับมอบเงินสิบตำลึงซึ่งเป็นจำนวนมากทีเดียว ส่งเสริมให้ฮุ่ยเหนิงเดินทางไปเจริญธรรมที่วัดบูรพาฌานตงฉันซื่อ
     ฮุ่ยเหนิงจัดการความเป็นอยู่ของมารดาเรียบร้อยแล้ว กราบลามารดาแล้วออกเดินทาง (หนทางจากบ้านซินโจว ไปถึงอำเภอหวงเหมย ยาวไกลมาก ต้องเดินด้วยเท้าเปล่า ขึ้นเขาลงห้วย) แต่ไม่คิดว่าชั่วเวลาเพียงสามสิบกว่าวัน ก็ไปถึงหวงเหมย ได้กราบนมัสการพระธรรมาจารย์
     ความหมาย... พิจารณา...
     การเดินทางฝ่าป่าเขาอันตรายเพื่อไปแสวงธรรม ที่ท่านฮุ่ยเหนิงกล่าวเองว่า ""ชั่วเวลาเพียงสามสิบกว่าวัน"" จุดนี้เราน่าจะคิดได้ถึงความมุ่งมั่นฝ่าฟัน แกร่งกล้า อดทน ศรัทธาทะยานตน เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของท่านฮุ่ยเหนิงในครั้งนั้น
     สามสิบกว่าวันอันยาวนานที่ต้องบากบั่น แต่ท่านกลับเห็นว่า ""เพียงเท่านั้นเอง"" เพราะสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า สูงค่าเกินกว่าเส้นทางคดเคี้ยวพันกว่าลี้ที่ต้องดั้นด้นเดินทาง ฉะนั้น คำโบราณที่กล่าวไว้ว่า ""การที่จะแสวงหาพระวิสุทธิอาจารย์ เพื่อขอหนทางหลุดพ้นนั้น จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ ต้องสืบเสาะเดินทางนับพันลี้..."" จึงมิใช่เพียงคำกล่าวอ้าง
    ฮุ่ยเหนิง เป็นอีกท่านหนึ่งที่พิชิตทางไกลไปถึงเป้าหมายได้ เรา ศิษย์อนุตตรธรรมทั้งหลาย...วันนี้ที่ได้กราบพระวิสุทธิอาจารย์ ได้ตราประทับพุทธะ ได้รหัสคาถา  ได้หนทางหลุดพ้นโดยตรง  มีใครแสวงได้จากการเดินทางพันลี้หรือ
    พอพระธรรมาจารย์ได้เห็นฮุ่ยเหนิง ก็ถามเป็นคำแรกว่า ""เจ้าเป็นคนที่ไหน ต้องการสิ่งใด""  ฮุ่ยเหนิงกราบเรียนว่า ""ศิษย์เป็นชาวเมืองซินโจว หลิ่งหนัน เดินทางไกลมากราบพระเถระเจ้า ต้องการเพียงบรรลุพุทธะ มิต้องการสิ่งอื่นใดเกินกว่านี้""
    ความหมาย...พิจารณา...
    ในพระคัมภีร์ "ญาณทัสสนะสัมโพธิ (เอวี๋ยนเจวี๋ย) กับ พระคัมภีร์ "บุษปบัณฑิต หรือ อวตฺสก (ฮว๋าเอี๋ยน)" มีคำกล่าวว่า ""มวลเวไนยล้วนบรรลุพุทธะได้เป็นเดิมที"" จึงกล่าวว่า ""การบรรลุพุทธะเป็นหน้าที่แห่งตน"" มีผู้ถามว่า ""พวกท่านบำเพ็ญธรรมเพื่ออะไรตอบว่า ""ก็เพื่อบรรลุพุทธะ สำเร็จญาณภาวะรู้แจ้ง สมบูรณ์ผลแห่งตน"" ถามอีกว่า ""บรรลุพุทธะ มันไม่โลภมากอาจเอื้อมไปหน่อยหรือ"" ท่านทั้งหลาย ความมุ่งหมายจะบรรลุพุทธะ มิได้เป็นความอยาก มิได้โลภมาก มิได้อาจเอื้อม แต่เป็นหน้าที่อันพึงพยายามทำให้สำเร็จ ไม่บรรลุพุทธะเสียอีก ที่ผิดต่อพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนปรกโปรดฯ ผิดต่อผู้มีพระคุณ ผิดต่อตนเอง
     สู้อุตส่าห์สร้างสมกุศลผลบุญมาถึงชาตินี้ ได้รับวิถีธรรมทางตรง แต่ไม่บรรลุพุทธะ จะเกิดมาทำไม  ท่านฮุ่ยเหนิงตอบพระอาจารย์ว่า ""ต้องการเพียงบรรลุพุทธะ มิต้องการสิ่งอื่นใด"" ตั้งแต่กำเนิดมนุษยชาติมา จะมีสักกี่คนที่คิดจะกลับคืน ฟื้นฟูภาวะเดิมทีที่มาของตนอย่างนี้ คนมากมาย กราบไหว้บูชาพระ สร้างบุญทานโดยต้องการอยู่เย็นเป็นสุขสมปรารถนา นั่นคือ สิ่งอืนที่ท่านฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า มิต้องการสิ่งอื่นใด
     ผู้ไม่รู้ตื่น จึงวนเวียนอยู่กับความต้องการสิ่งอื่นจนชั่วชีวิต  ชั่วชีวิตจนตายแล้วเกิดใหม่  สิ่งอื่นยังคงเป็นสิ่งอื่นอยู่เรื่อยไป มิอาจให้ความอิ่ม ประหนึ่งหุงทรายเอาไว้กิน นานเท่าไรทรายก็ยังคงเป็นทราย ไม่อาจเป็นข้าวได้
     ศิษย์อนุตตรธรรม หากเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ""โตรรัตน์วิถีจิต"" จะไม่เพียงเจริญธรรมเพื่อกายเนื้อได้อยู่ดีมีสุขเท่านั้น แต่จะเพียรพยายามเพื่อการบรรลุพุทธะจนถึงที่สุด
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๗ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/10/2553, 16:59

      พระธรรมาจารย์จึงกล่าวแก่ฮุ่ยเหนิงอีกว่า ""เจ้าเป็นชาวหลิ่งหนัน อีกทั้งเป็นชาวป่าชาวเยิง จะเป็นพุทธะได้อย่างไร""
      ความหมาย...พิจารณา...
      บ้านเมืองทางแถบใต้ของเทือกเขาหลิ่ง เรียกว่าหลิ่งนัน ในสมัยนั้นยังมิได้พัฒนา  ผู้คนที่เป็นชาวหลิ่งหนัน จึงถูกมองว่าเป็นคนป่าเถื่อน ""พุทธะ"" ตามความเข้าใจที่ได้เห็นได้ยินมา ล้วนสูงส่งสมบูรณ์ด้วยบุญวาสนาปัญญาญาณ เป็นบุคคลพิเศษ เป็นอริยะเหนืออริยะ  หากแม้ไร้ซึ่งปัญญาระดับสูง จะบำเพ็ญคุณธรรมบารมีได้อย่างไร คนป่าคนเยิงจึงไม่น่าจะบรรลุพุทธะได้หรือมิใช่  แต่หามิได้ นั่นคือ พระธรรมาจารย์แสร้งตอบกลับเพื่อทดสอบปัญญาของฮุ่ยเหนิง เมื่อได้ยินคำว่า ""ต้องการเพียงบรรลุพุทธะ มิต้องการสิ่งอื่นใด"" เท่านั้น พระธรรมาจารย์ก็ปลื้มปิติยิ่งนักแล้ว เช่นเดียวกับที่ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวว่า ""ความชื่นสุขของกัลยาณชนหนึ่งในสามประการคือ ได้ปรีชาชนเข้ามารับการอบรม (ได้คนดีมาเป็นศิษย์)"" จึงมิต้องสงสัยเลยว่า พระธรรมาจารยา์หงเหยิ่นจะแอบชื่นชมยินดีเพียงไร  เราจะเห็นว่าฮุ่ยเหนิงมาจากทางใต้มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) แต่พระธรรมาจารย์อยู่ที่หวงเหมย มณฑลหูเป่ย ซึ่งเป็นภาคกลางของประเทศจีนจึงเท่ากับห่างกันคนละโยชน์  ฮุ่ยเหนิงตอบพระธรรมาจารย์ว่า ""คนแม้จะแบ่งแยกภาคพื้นเหนือใต้ แต่โดยความเป็นจริง พุทธญาณไม่แบ่งเหนือใต้ คนป่าคนเยิงต่างกับพระเถระแต่เพียงรูปกาย แต่พุทธญาณจะต่างกันอย่างไร""
      ความหมาย...พิจารณา...
      สังขารเป็นสัมโภคกายที่ได้จากแรงกรรมทั้งสามและธาตุทั้งสี่มาชุมนุมกัน สร้างกรรมดีอะไรไว้ หรืออธิษฐานจิตอย่างไรไว้ในบางกรณี ก็ก่อเกิดลักษณะดีงามตามกรรมและกรณีนั้น  พระธรรมาจารย์ อยากจะกล่าวอะไรแก่ฮุ่ยเหนิงอีก แต่เห็นศิษย์ทั้งหลายยังคงอยู่ซ้ายขวามากมาย เกรงจะเป็นเหตุริษยาต่อฮุ่ยเหนิง จึงบัญชาฮุ่ยเหนิงให้ไปทำกิจกับเขาเหล่านั้น  พระธรรมาจารย์สั่งให้ไปทำกิจ ความหมายเป็นอันรู้กันกับศิษย์ฮุ่ยเหนิง คือ ให้ไปบำเพ็ญบารมี  เพราะพระอาจารย์ได้สัมผัสรู้ในภาวะจิตแจ่มชัดของฮุ่ยเหนิงแล้ว ก่อนที่ฮุ่ยเหนิงจะตามศิษย์รุ่นพี่ออกไป  ฮุ่ยเหนิง ได้กราบเรียนพระอาจารย์อีกว่า ""ศิษย์มักจะเกิดวิปัสสนาปัญญา (คือเห็นแจ้งตรงต่อสภาวะธรรมควมเป็นจริง)จากใจตนอยู่เสมอ ปัญญานั้นมิพ้นจากจิตญาณตน นั่นคือเนื้อนาบุญ มิทราบว่าพระอาจารย์จะโปรดให้ทำกิจใดต่อไป""
       ความหมาย...พิจารณา...
       ปัญญาอันเกิดจากจิตญาณตน เป็นปัญญาแท้อันปราศจากอาสวะการปรุงแต่ง (เรียกว่า วิปัสสนาปัญญา) เป็นปัญญาแท้อันสมบูรณ์พร้อมอยู่ในตัว โดยมิพึงเรียนรู้ หรือกำหนดหมายจากอื่นใด เหตุที่คนทั่วไปมิอาจเกิดปัญญาดั่งนี้ได้ ด้วยกเลส ตัณหา  อวิชชา  ความยึดมั่นถือมั่นบดบัง  คนทั่วไปถือลาภสักการะวาสนาเป็นเนื้อนาบุญ  วาสนาจากเนื้อนาบุญเช่นนั้นเป็น "อาสวะวาสนา"คือกิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน จึงเป็นวาสนาที่ให้ทั้งความสุขและความทุกข์ ผู้บำเพ็ญถือปัญญาบริสุทธิ์เป็นเนื้อนาบุญวาสนาจากเนื้อนาบุญนี้เป็น ""บริสุทธิ์วาสนา"" จึงเป็นวาสนาอันสุขเกษมที่ปราศจากความทุกข์  ชาวพุทธเราถือเอาพระเถระเป็นเนื้อนาบุญ  ชาวจีนตั้งแต่สมัยพระเจ้าฮั่นหมิงตี้ ยิ่งให้ความเคารพต่อพระเถระเป็นที่สุด  พระเจ้าฮั่นหมิงตี้ถึงกับโปรดให้ขุนนางใหญ่สิบแปดคนเดินทางไกลไปนิมนต์พระเถระจากอินเดียมาสองรูป เพื่ออบรมเผยแผ่พุทธธรรมแก่สาธุชน และเรียกพระเถระว่า ""เหอชั่ง""คำว่าพระเถระ อักษรจีนเขียนว่า ""เหอชั่ง"" (แต่ปัจจุบัน พระสงฆ์ทั่วไปที่ถือบวชเกินกว่าสิบปี ก็เรียกว่า เหอชั่งเช่นกัน) "เหอ" แปลว่า  ราบเรียบสำรวม  อ่อนโยน  เยือกเย็น  สุขุม  ช่วยสมานชีวิตจิตใจ สมานบุญทานศรัทธา..."ชั่ง" แปลว่าสูงส่ง งดงามด้วยคุณธรรม  เลิศล้ำด้วยบุญบารมี
       การจะบวชเรียน และยกระดับเป็นเหอชั่งได้ในสมัยนั้น เป็นเรื่องยากลำบากมาก จะต้องผ่านการสอบพิจารณาอย่างแข้มงวดคุณสมบัติครบถ้วนตามกำหนดกฏเกณฑ์ จึงจะเป็นเนื้อนาบุญบริสุทธิ์ของสาธุชนได้  ศิษย์ทั้งหมดของพระธรรมาจารย์ล้วนถวายความเคารพโดยเรียกพระธรรมาจารย์ว่า ""เหอชั่ง""
       เมื่อพระธรรมาจารย์สั่งฮุ่ยเหนิงให้ติดตามรุ่นพี่ไปทำกิจ ฮุ่ยเหนิงจึงกราบเรียนถามท่าน ""เหอชั่ง""ในความหมายว่า...ศิษย์บังเกิดวิปัสสนาปัญญาจากจิตญาณตน อันเป็นเนื้อนาบุญแล้ว จะให้ศิษย์ไปทำกิจใดอีก คือหมายถึงให้เจริญธรรมในด้านใดอีก ซึ่งมิได้มีความหมายในเชิงแสดงตนโอ้อวดถือดีแต่ประการใด (เพื่อป้องกันศิษย์ใหม่ฮุ่ยเหนิงไว้มิให้ถูกใครริษยากลั่นแกล้ง พระธรรมาจารย์หงเหยิ่นจึงมิได้ชี้แนะขั้นตอนการบำเพ็ญเพียรต่อไป  ณ  ที่นั้น) แต่พระธรรมาจารย์กลับเอ็ดเอาว่า""เจ้าชาวป่าชาวเยิงนี้อินทรีย์แก่กล้านัก เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกเลย รีบไปโรงตำข้าว""
       ความหมาย...พิจารณา...
       อินทรีมีสามระดับต่างกัน  อินทรีอ่อนคือ ผู้สำแดงปัญญาได้น้อย  (เซื่อซื่อ)  อินทรีปานกลางคือ ผู้สำแดงปัญญาได้ธรรมดา (จงซื่อ) อินทรีแก่กล้าคือ ผู้สำแดงปัญญาได้เฉียบแหลม (ซั่งซื่อ)
       ในคัมภีร์วิสุทธิสูตร (ชิงจิ้งจิง) อริยปราชญ์ท่านเหลาจื่อก็ได้จำแนกบุคคลไว้เป็นสามระดับ เรียกว่า ซั่งซื่อ  จงซื่อ  เซี่ยซื่อมีความหมายเช่นเดียวกัน  ฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) เป็น ซั่งซื่อ บุคคลระดับสูง อินทรีแก่กล้าปัญญาเฉียบแหลม

     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๘ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/10/2553, 05:01

       ฮุ่ยเหนิงไม่ตอบว่ากระไร ถอยกลับออกไปยังด้านหลังธรรมศาลา  ที่นั่น  มีนักบวชผู้หนึ่งใช้ให้ฮุ่ยเหนิงไปผ่าฟืนเหยียบกระเดื่องตำข้าว
       ความหมาย...พิจารณา...
       นักบวชมิใช่พระสงฆ์ที่อุปสมบท  แต่เป็นคนมาทดลองอยู่วัดว่า ตนจะสละทางโลกได้หรือไม่ เพราะการอุปสมบทในสมัยนั้นมิใช่บวชหรือสึกกันง่าย ๆ จึงมิใช่บวชพรรษา มิใช่บวชอายุ หรือบวชด้วยเหตุอื่น ๆ ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
       ฮุ่ยเหนิงทำงานหนักทุกวัน ผ่านไปแปดเดือนกว่า  วันหนึ่งพระธรรมาจารย์เห็นฮุ่ยเหนิงอยู่ตามลำพัง จึงกล่าวด้วยว่า ""เราพิจารณาภาวะจิตของท่านใช้ได้ เกรงจะมีคนร้ายเป็นภัยแก่ท่าน จึงไม่พูดด้วยกับท่านเข้าใจไหม""
       ความหมาย...พิจารณา...
       ...ต่อหน้าใคร ๆ พระอาจารย์ (น่าจะ)ใช้สรรพนามว่า "เจ้า"กับฮุ่ยเหนิง  แต่เมื่ออยู่ตามลำพังใช้คำว่า "ท่าน" ภาวะจิตใ้ช้ได้หมายถึง อาจบรรลุโพธิมรรค แบกรับอริยกิจแห่งพุทธะได้  ความรู้สึกอิจฉาริษยา เป็นสันดานที่สั่งสมติดตามมากับชีวิตจิตใจของสัตว์โลกทุกรูปกาย แม้แต่มาในรูปของมด ปลวก  แมลงตัวกระจิดริด เห็นฝ่ายตรงข้ามจะเทียบเท่า จะเหนือกว่า หรือแม้ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้อิจฉาริษยา ก็ยังสำแดงสันดานนั้นออกมาข่ม มากีดกัน พระธรรมาจารย์หยั่งรู้ล่วงหน้า จึงได้เตือนว่า ""เกรงจะมีคนร้ายเป็นภัยแก่ท่าน..."" ฮุ่ยเหนิงตอบว่า ""ศิษย์ก็รู้เจตนาของพระเถระเจ้า มิกล้าเดินไปยังข้างหน้าธรรมศาลา เพื่อใคร ๆ จะได้ไม่สังเกตุรู้"" วันหนึ่ง  พระธรรมาจารย์เรียกศิษย์ทั้งหมดมาชุมนุมกันเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า ""เราจะกล่าวแก่ท่านทั้งหลาย ความเป็นความตายของชาวโลกนั้นเรื่องใหญ่ ท่านทั้งหลายได้แต่หวังเนื้อนาบุญกันทั้งวัน มิหวังพ้นจากทะเลทุกข์ของการเกิดตาย จิตญาณตนหากหลง วาสนาใดหรือจะช่วยได้""
       ความหมาย...พิจารณา..
       ในคัมภีร์ "ศูรางคมสูตร (เหลิงเอี๋ยนจิง)" จารึกไว้ว่า เวไนยสัตว์ทั้งปวง นับแต่บรรพกาลมา เกิดตายไม่สิ้นสุด ล้วนเกิดจากมิรู้กำหนดจิตแท้ตนจริง มิรู้ชำระจิตญาณตนโปร่งใส ฟุ้งซ่านเรื่อยไป ความคิดนี้มิเที่ยงแท้ จึงก่อเกิดวัฏจักร พุทธพจน์ว่า ""หนึ่งความคิดคือหนึ่งเวียนว่าย"" ในคัมภีร์ "ศูรางคมสูตร" จารึกไว้อีกว่า "ตถาคตแห่งสิบทิศร่วมอยู่ในธรรมเดียวกันจึงพ้นจากเกิดตายล้วนด้วยใจตรงเช่นนี้" ใจตรง ก็คือ มุ่งใจใฝ่ตรง เป็นจิตเที่ยงแท้ที่ออกมาจากจิตญาณตนอันหมดจด  ฉะนั้น  ในทุกสภาวะ หากไม่ดำริคิดหวั่นไหว ไม่เปรียบเทียบ ไม่ยึดหมาย เที่ยงตรงอยู่ทุกขณะจิต ความเที่ยงตรงนั้น ล่วงพ้นจากการแบ่งแยกตีความเที่ยงตรงอยู่ในภาวะที่ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว ไม่ยึดหมายข้างใดเลยแม้แต่ทางสายกลาง ก็มิได้ยึดหมายอยู่  ขณะนั้นเองก็จะเป็นทางสายกลาง เป็นภาวะรู้ชอบ เห็นชอบโดยธรรม  ดั่งนี้ จึงจะออกหากจากวัฏจักรของภูมิวิถีหกได้ ในการถ่ายทอดวิถีธรรม ธรรมประกาศิตในพิธีการมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ปราศจากการเกิด -- ตาย (อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ)" ก็คือภาวะจิตเที่ยงแท้ตรงทางนี้
       ที่พระธรรมาจารย์กล่าวเตือนศิษย์ทั้งหลายว่า "...หวังเนื้อนาบุญกันทั้งวัน" นั้น ความหมายของเนื้อนาบุญ  ต่างจากเนื้อนาบุญของท่านฮุ่ยเหนิง แต่เป็นเนื้อนาบุญที่มีอาสวะของการเสวยบุญเป็นเจตนา
       พระธรรมาจารย์กล่าวแก่ศิษย์ทั้งหลายต่อไปว่า "พวกท่านต้องไปย้อนมองส่องหาปัญญาตน นำเอาปัญญาจากจิตญาณตน ต่างเขียนโศลกหนึ่งบทมาถวายแก่เรา  หากรู้แจ้งหลักใหญ่ในพุทธธรรม จะมอบบาตรกับจีวร ให้เป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หก รีบเร่งด่วนไป มิให้ชักช้า หากต้องค่อยพิจารณา จะไร้ประโยชน์"
       ความหมาย...พิจารณา...
       ค่อยพิจารณา เข้าข่ายยึดหมายเป็นมโนวิญญาณที่เจ็ด ดุจเดียวกับการเขียนบทความ ไตร่ตรองพิจารณาหาคำเหมาะสม ซึ่งแม้จะเขียนได้ไพเราะเพียงไร ก็ล้วนเป็นแค่ความคิดพิจารณา
        ผู้เห็นเข้าถึงจิตญาณตน จะต้องรู้แจ้งฉับพลันทันทีที่ฟังว่า เข้าถึงภาวะนี้ไซร์ แม้อยู่ท่านกลางคมหอกคมดาบ ก็ยังเข้าถึงภาวะรู้แจ้งนี้ได้
        ความหมาย...พิจารณา...
        เนื่องด้วยผู้เห็นจิตญาณตนนั้น ปราศจากยึดหมาย ในตน ในธรรม  ในทุกประการทั้งปวง จึงปราศจากดำริคิดต่อความเป็นความตาย แม้ถูกบั่นคอก็รับรู้แต่เพียงว่า "จบสิ้นเวรกรรม กลับคืนบ้านเดิม" เหมือนประโยคหนึ่งในหนังสือ"ข้อแกร่งแรงมุ่ง"ที่ว่า"ตัดหัวยิงเป้า เกษียณแล้วกลับบ้าน" เป็นภาวะจิตที่หมดเรื่องหมดราว สิ้นสุด หมดจดเสียจริง ๆ  ฉะนั้น เราทั้งหลายจึงมิพึงต้องหวั่นไหวต่อการทวงถามของเจ้ากรรมนายเวร แต่จงหยุดก่อกรรมทำเวรใหม่  การฆ่าฟันทำร้ายทำได้เพียงกายสังขาร  จิตญาณคงเดิม 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/10/2553, 06:12

        ศิษย์ทั้งหมดฟังกำชับจากพระธรรมาจารย์ ถอยกลับออกมาแล้ว ต่างพูดกันต่อ ๆ ไปว่า "พวกเราไม่ต้องทำใจ มุ่งหมายว่าจะเขียนโศลกถวายแด่พระเถระเจ้าหรอก จะมีประโยชน์อันใดในเมื่อ (ธรรมาสน์) ธรรมวุติสูงกว่าพวกเรา คือท่านเสินซิ่ว เป็นครูอาจารย์ซึ่งสอนเรา ท่านจะต้องได้อย่างแน่นอน เราไม่เจียมตัวเขียนโศลกไป จะเหนื่อยใจเปลืองแรงเสียเปล่า
        ความหมาย...พิจารณา...
        ในที่นี้ จะขอแนะนำพระเสินซิ่ว สักเล็กน้อย ก่อนอุปสมบท ท่านเสินซิ่วได้ศึกษาพระธรรมคัมภีร์มาจนถ้วนทั่วแล้ว วิชาความรู้ทุกอย่างทางโลกก็ศึกษามาจนปรุโปร่ง เมื่อได้พบพระธรรมาจารย์หงเหยิ่น รู้สึกเคารพเลื่อมใสจึงถวายตัวเป็นศิษย์ เริ่มแรกทีเดียวก็ต้องทำงานหนัก ผ่าฟืน เหยียบกระเดื่องตำข้าว เช่นเดียวกับฮุ่ยเหนิง ทำงานจิปาถะบริการใคร ๆ เนื่องด้วยความรู้ดีมีวาทศิลป์ เป็นที่เคารพยกย่องของหมู่เหล่า ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงยกย่องขึ้นเป็นพระเถระ ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อยู่เสมอ ในภายหลัง หลังจากที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น บรรลุธรรมแล้ว ท่านเสินซิ่วได้เดินทางไปแพร่ธรรมที่ "ตังหยางซัน เมืองเจียงหลิง"
        เวลานั้น ผู้มาศึกษาพุทธธรรมกับพระเถระเสินซิ่ว มีมากมาย แม้แต่พระจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) ก็ยังนิมนต์ท่านเข้าวัง ยกย่องพระเถระเสินซิ่ว ไว้ในฐานะพระอภิธรรมาจารย์แห่งราชสำนัก อีกทั้งคุกเข่ากราบกราน ถวายภัตตาหารเองด้วยศรัทธาจุดนี้ทำให้รู้ได้ว่า พระเถระเสินซิ่วเป็นสมาธยานะจารย์ที่มีสถานภาพสูงส่งและโด่งดังเพียงไร
        สงฆ์ทุกรูปเมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว ต่างก็วางใจลง ต่างกล่าวกันว่า "พวกเราตามรอยพระเถระเจ้าเสินซิ่วก็แล้วกัน ทำไมจะต้องเขียนโศลกให้ยุ่งยาก
        ความหมาย...พิจารณา...
        แต่ที่พระธรรมาจารย์บัญชานั่นคือ "ท่านทั้งหลาย" อันหมายถึงสงฆ์ทุกรูปล้วนมีคุณสมบัติ มีโอกาสบรรลุพุทธะด้วยกันทั้งนั้นฉะนั้น  การนี้ สงฆ์ทุกรูปที่ไม่เขียนโศลก ล้วนคิดผิดพลาดเสียโอกาสตน นักกีฬาที่วิ่งแข่งขัน แม้จะวิ่งไม่ทัน คนข้างหน้าคว้ารางวัลไปหมดแล้วคนที่อยู่ข้างหลังยังจะต้องวิ่งต่อไปให้ถึงหลักชัย ให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แต่ต้น พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "ศึกษาบำเพ็ญ เห็นด้วยธรรมมิเห็นด้วยคน" "เห็นด้วยธรรม" อย่างไร เห็นด้วยพุทธธรรม เห็นด้วยสัทธรรม เช่นที่เราพูดกันอยู่เสมอในอาณาจักรธรรมว่า ""บำเพ็ญแท้จริงตามหลักธรรม (เยิ่นหลี่ซึซิว)"" ตามหลักธรรมอะไร ตามหลักสัจธรรม หลักสัจธรรมแห่งจิตญาณตน พุทธธรรม ล้วนเป็นเครื่องนำทางให้จิตญาณของทุกคนรู้แจ้ง อีกทั้งให้เราได้พากเพียรศึกษาจากพระคัมภีร์ บำเพ็ญแท้จริงตามหลักธรรม  ในอาณาจักรธรรมแม้จะมีธรรมวุติต่างกัน ธรรมวุติสูงกว่านำพาคนข้างหลัง แต่จะนำพาไปผิดหรือถูกนั้น ยังจะต้องพิจารณาตามหลักสัจธรรมมิใช่ทำตามคน
        พระอาจารย์เสินซิ่วตรึกตรองว่า "สงฆ์ทุกรูปไม่ถวายโศลก เนื่องจากเราเป็นพระอาจารย์แห่งเขา เราจะต้องเขียนโศลก เพื่อถวายแด่พระธรรมาจารย์ แม้ไม่ถวาย ไฉนพระธรรมาจารย์จะรู้ว่า ความเข้าใจของเราตื้นลึกเพียงไร ความมุ่งหมายในการถวายโศลกหากเป็นด้วยใฝ่ธรรม นั่นคือกุศล แต่หากเป็นไปเพื่อหวังสืบต่อฐานะพระธรรมาจารย์ นั่นคืออกุศล  ถ้าเช่นนั้น จะต่างอะไรกับจิตใจของปุถุชนที่ทำเพื่อแย่งชิงตำแหน่งพระธรรมาจารย์ แต่ถ้าหากไม่ถวายโศลก ก็จะไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม มันช่างยากแท้ มันช่างยากแท้
        ความหมาย...พิจารณา...
        จากข้อความนี้ เราจะเห็นได้ว่าท่านเสินซิ่วต้องตรึกตรองอย่างหนักมากมาย ลังเลตัดสินใจไม่ได้ ก็เพราะใช้มโนวิญญาณเป็นเครื่องวัดประมาณการ สุดท้ายจึงต้องตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๐ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/10/2553, 08:33

       ข้างหน้าธรรมศาลาของพระธรรมาจารย์ มีระเบียงยาวสามห้อง เป็นผนังสามด้าน ท่านตั้งใจจะเชิญช่างศิลป์หลวงมาวาดเรื่องราวจากพระคัมภีร์ ""ลังกาวตารสูตรแปรรูป"" กับภาพแสดง ""ชีพจรธรรมนำเนื่องมา"" ของพระธรรมาจารย์เอง ตั้งแต่พระโพธิธรรม แต่ละสมัยเพื่อสืบทอดต่อไปให้สักการะสึกษากัน
       เสินซิ่ว เขียนโศลกจบแล้ว ใคร่ถวายพระธรรมาจารย์หลายครั้ง แต่พอเดินไปถึงเบื้องหน้าธรมศาลา ก็เกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้จนเหงื่อท่ามตัว (คิดถึงแต่ปัญหาที่ตรึกตรองพิจารณาผ่านมา) ตั้งใจจะไม่ถวาย (เพราะหากถวาย พระธรรมาจารย์จะเข้าใจว่าเพื่อต้องการยกฐานะแก่ตนหรือ แต่หากไม่ถวาย ก็จะเสียโอกาสเจริญธรรมจากโอวาทของพระธรรมาจารย์) เสินซิ่ว คิดกลับไปกลับมาอย่างนี้ถึงสี่วัน จะถวาย ไม่ถวายถึงสามสิบครั้ง (สุดท้ายก็มิได้ถวาย)
      เสินซิ่ว จึงคิดว่า "อย่ากระนั้นเลย ใช้วิธีเขียนลงบนผนังระเบียงให้พระธรรมาจารย์ได้เห็นเอง หากท่านชมว่าดี ก็จะแสดงตัวออกมากราบท่านว่าศิษย์เสินซิ่วเขียนเอง หากท่านตำหนิว่าไม่ดี ก็เสียทีที่มาบำเพ็ญอยู่ในป่าเขานี่เสียหลายปี เสียทีที่ได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คน ยังจะบำเพ็ญธรรมอะไรกันอีก" 
      เที่ยงคืนคืนนั้น โดยมิให้ใครรู้เห็น เสินซิ่วถือตะเกียงมาเอง เขียนโศลกลงบนข้างฝาทางด้านใต้ของระเบียง ถวายความเข้าใจของตนไว้  โศลกมีความว่า ""กายคือต้นโพธิ์ ใจดั่งบานกระจกใส หมั่นเช็ดถูทุกเวลาไป อย่าให้จับด้วยฝุ่นละออง""
      ความหมาย...พิจารณา...
      สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ณ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ เสินซิ่วจึงอุปมาเนื่องนำว่า กายอันได้บำเพ็ญเพียรนี้สูงส่งด้่งต้นโพธิ์  ใจของผู้บำเพ็ญเพียรดุจบานกระจกใส รับภาพที่ผ่านเข้ามาได้ อีกทั้งละภาพจากที่ผ่านเลยไปได้ เท่ากับมิได้ยึดหมาย ดังคำที่ว่า"อริยะใช้ใจดั่งกระจกใส  เซิ่งเหยินอย้งซินหยูจิ้ง" "มา รับไว้  ไป สงบนิ่ง" ในคัมภีร์วิสุทธิสูตร ชิงจิ้งจิง  มีคำว่า "รับอย่างปกติ สงบนิ่งอย่างปกติ  ฉังอิ้งฉังจิ้ง" ความเป็นปกติคือภาวะแห่งธรรม บรรพเมธามีคำว่า "ลมผ่านริ้วไผ่ไม่เหลือเสียง นกห่านผ่านบึงหนาวเงาเลยหาย...ฟงกั้วชูจู๋ปู้หลิวเซิง  เอี้ยนกั้วหันถันปู้หลิวอิ่ง" นั่นก็คือ ไม่ยึดมั่นไว้เช่นกัน  ประโยคต่อไปของท่านเสินซิ่วที่ว่า "หมั่นเช็ดถู"หมายถึง การชำระกิเลสชำระใจ ค่อย ๆ บำเพ็ญไป  ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงภาวะ "จิตใสใจสว่าง"
      ขั้นแรกของการบำเพ็ญ หาก "ฐาน" ไม่ว่างจากอาสวะกิเลส ไม่ได้เช็ดถูให้หมดจด บุญกุศลที่ก่อเกิด ตั้งวางบน "ฐาน" นั้นจะบริสุทธิ์สูงส่งได้อย่างไร "กระจกใสแต่เดิมที" คือ โพธิญาณบริสุทธิ์แต่เดิมทีหากเกาะจับหนาเตอะด้วยฝุ่นโลกีย์ ยังจะส่องเห็นอะไรได้ชัดเจนอีก จึงกล่าวว่าการ"เช็ดถู"นั้นจำเป็นมาก
      พระธรรมาจารย์เห็นโศลกนี้แล้ว รู้ได้ว่า เสินซิ่ว ยังเข้าไม่ถึงภาวะ "จิตว่างสว่างใส" เพราะโศลกบทนี้ยังมิใช่ที่สุดแห่งการหลุดพ้น แต่พระธรรมาจารย์ก็โปรดชื่นชม และบอกแก่ศิษย์ทุกคนให้ "หมั่นเช็ดถู" จิตตนตามนั้น
     ความหมาย...พิจารณา...
     วันนี้  เราศิษย์อนุตตรธรรม ได้รับหนึ่งจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ แม้จะรู้ได้ในความ "เป็นที่สุด" ตรงจุดนั้น แต่ยังคงต้องอาศัยพุทธานุภาพจากเทียนมิ่ง (อนุตตรพระโองการ) จากพุทธะโพธิสัตว์ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกมากมายมาปรกโปรดอุ้มชูอยู่ จึงต้อง "หมั่นเช็ดถู" เพื่อเข้าสู่ภาวะ "รู้ - เป็น" นั้น ด้วยตนเองอย่างแท้จริง
      หมั่นเช็ดถู ด้วยการ รู้ - ละ ด้วยการทำความเพียร ด้วยการสวดท่องพระคัมภีร์ ด้วยการใช้ไตรรัตน์ "ทุกขณะจิตที่ทำได้" ขอขมากรรม ทุกขณะจิตที่ทำได้...นั่นคือขณะใด ใครก็มิอาจกำหนดให้ได้ ผู้มีความเพียรรู้ได้เองว่าขณะใด
     การกราบพระให้มาก ก็เป็นการหมั่นเช็ดถูที่ได้ผลเลิศ เพราะขณะกราบ จิตเป็นสมาธิอยู่กับการกราบ ขณะนั้นจึงเป็น "ทุกขณะจิตที่ทำได้" อีกอย่างหนึ่ง ที่สุดของการบำเพ็ญเพียร ก็เพื่อให้จิตคืนคงความหมดจดสว่างใส ในพุทธธรรมไม่ว่านิกายใด คำที่หมายถึงภาวะนี้มีมากมาย เช่นคำว่า พุทธจิต ธรรมญาณ โพธิญาณ สัทธรรม วิมุตติ วิสุทธิ  แม้แต่บงกชดอกบัว ล้วนแฝงความหมายว่าหมดจดสว่างใส ในพิธีถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรม ก็มีธรรมประกาสิตกำชับให้ ""จงหล่อหลอมแสงญาณไว้ทุกขณะ  จงยื่อเลี่ยนเสินกวง" นั่นก็คือหมั่นเช็ดถูทุกขณะจิต เพื่อคืนความหมดจดสว่างใส
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๑ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/10/2553, 09:37

 โศลกท่านเสินซิ่ว  ::  กาย คือ ต้นโพธิ์  ใจดั่งบานกระจกใส
                           หมั่นเช็ดถูทุกเวลาไป   อย่าให้จับด้วยฝุ่นธุลี   ( มีรูปลักษณ์ )

        เสินซิ่ว เขียนโศลกเสร็จแล้ว ก็กลับไปที่ห้องพัก คนทั้งวัดไม่มีใครรู้เห็นการนี้  เสินซิ่วกลับถึงห้องพักแล้ว ก็ยังคงคิดคำนึงวกวนไปมาอยู่ว่า "พรุ่งนี้หากพระเถระเจ้าเห็นโศลกนี้แล้วยินดี นั่นก็หมายความว่า เรามีบุญปัจจัยมากับพุทธธรรม  แต่หากเห็นว่าใช้ไม่ได้ ก็คือตัวเราเองยังหลงอยู่ในเวรกรรมเก่า อุปสรรคปิดกั้นปัญญาไว้หนาแน่นไม่ตรงต่อพุทธธรรม จิตใจของอริยะพระธรรมาจารย์ ยากจะหยั่งได้แท้เทียว  เสินซิ่ว คิดกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง นั่งนอนไม่สงบ จนถึงฟ้าสางยามห้า
       พระธรรมาจารย์ทราบแต่ต้นแล้วว่า เสินซิ่วยังมิได้เข้าสู่ประตูวิมุตติ ยังมิได้เห็นจิตญาณตนอย่างถึงที่สุด
       ความหมาย...พิจารณา...
       แต่ในเมื่อทราบแล้วตั้งแต่ต้น เหตุใดจึงยังให้เขียนโศลกอีกนั่นด้วยจิตปรารถนาจะเสริมสร้างให้ศิษย์ "รู้ตน-รู้คน  รู้เขา-รู้เราเพื่อเจริญความเพียรให้ยิ่งขึ้น
       ฟ้าสาง วันรุ่งขึ้น พระธรรมาจารย์เรียกช่างหลวงเข้าพบ เตรียมการเขียนจิตรกรรมลงบนฝาผนังด้านใต้ของระเบียงทางเดินพลันได้เห็นโศลกนั้น จึงกล่าวแก่ช่างหลวงว่า "ช่างหลวง มิต้องวาดภาพบูชาแล้ว เหนื่อยยากแก่ท่านที่ต้องเดินทางไกลมา พระคัมภีร์ว่า""รูปทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นมายา"" เพียงเก็บโศลกนี้ไว้ให้ได้สวดท่อง บำเพ็ญตามโศลกนี้ มีคุณประโยชน์ใหญ่หลวง  ดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ศิษย์จุดธูปบูชา สวดท่องโศลกนี้ ก็จะเห็นจิตญาณตนได้ ศิษย์ต่างสวดท่อง ต่างสาธุการว่าประเสริฐแท้
       ความหมาย...พิจารณา...
       ความสัตย์จริงมิได้เป็นเช่นนั้น พระธรรมาจารย์กำลังดำเนินกุศโลบายประคองอุ้มชูศิษย์ต่างหาก โศลกนี้แม้จะไม่ถึงที่สุดของการรู้แจ้ง แต่สำหรับศิษย์ผู้น้อยทั้งหลาย โศลกนี้เป็นบันไดเบื้องต้นที่จะเดินก้าวขึ้นไป
       พระธรรมาจารย์เรียกเสินซิ่วเข้าพบยามเที่ยงคืนถามว่า "โศลกนี้ท่านเป็นผู้เขียนหรือ" เสินซิ่วตอบว่า "ศิษย์เขียนเองจริงมิกล้าอาจเอื้อมหวังตำแหน่งพระธรรมาจารย์ ขอพระเถระเจ้าได้โปรดพิจารณาว่า ศิษย์นี้มีปัญญาน้อยนิดเพียงไรหรือไม่" พระธรรมาจารย์กล่าวว่า "โศลกของท่านนี้ ยังมิได้เห็นในจิตญาณตน อุปมาดั่งยืนอยู่นอกประตู ยังมิได้ก้าวเข้ามา ความคิดเห็นเช่นนี้ จะแสวงหาอนุตตรโพธิญาณไม่พบเลย" จากนั้น พระธรรมาจารย์ได้โปรดชี้แนะวิธีค้นพบอนุตตรโพธิญาณตนแก่เสินซิ่วต่อไป
       ความหมาย...พิจารณา...
       การนี้เราจะเห็นได้ว่า กลางวันต่อหน้าคนทั้งหลาย พระธรรมาจารย์โปรดชมเชยเสินซิ่ว เที่ยงคืนยามสงัดปลอดคน กลับเรียกเสินซิ่วเข้าพบ ชี้ให้เห็นทางที่เสินซิ่วเดินหลงไป  นี่คือมหาเมตตากรุณาคุณของพระธรรมาจารย์ หากชี้ทางหลงต่อหน้าใคร ๆ เสินซิ่วยังจะมีสถานภาพความน่าเชื่อถือที่จะอรรถาธรรมแก่ใครได้
      อนุตตรโพธิญาณ คือ ภาวะรู้อันสูงส่ง พระโพธิสัตวฺทรงรู้แจ้งว่า ทุกคนล้วนมีจิตญาณอันรู้แจ้งได้ จึงบังเกิดปณิธานกอบกู้เวไนยฯ  ในขณะที่กอบกู้เวไนยฯ ก็บำเพ็ญพุทธบารมีให้เข้าถึงภาวะอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไปด้วย นั่นคือภาระศักดิ์สิทธิ์ของ "พุทธโพธิสัตว์"ที่ปฏิบัติบำเพ็ญเป็นเช่นเดียวกันเรื่อยมา 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๒ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/10/2553, 13:04

       พระธรรมาจารย์โปรดว่า "จะบรรลุอนุตตรโพธิญาณ จะต้องรู้ชัดจิตญาณตนโดยฉับพลัน ณ บัดใจ เห็นจิตญาณตน ไม่เกิดไม่ดับทุกขณะเวลา ทุกขณะจิตเห็นได้ในธรรมทั้งปวง โดยไม่มีอุปสรรคขัดข้อง หนึ่งจิตญาณจริง เข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริง จะเห็นสรรพสิ่งล้วนเป็นสัจธรรมจริง จะอยู่ในภาวะใดจิตญาณก็เป็นภาวะตถตาไม่หวั่นไหว จิตใจที่ไม่หวั่นไหวนั่นคือ "ตัวแท้"ของจิตญาณหากรู้เห็นเช่นนี้ได้ นั่นคือ ภาวะอนุตตรโพธิญาณ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ผู้มีภาวะจิตบริสุทธิ์พ้นจากอาสวะกิเลส เมื่อได้สดับวิถีจิต หรือมีนิมิตหนึ่งสกิดใจให้รู้ จะตื่นใจทันที โดยมิต้องพิจารณาวนหาจะเข้าถึงจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ เข้าถึงปัญญาญาณแท้บริสุทธิ์แห่งตนทันที ดังพุทธพจน์ว่า ""หนึ่งจริงแท้ ทุกอย่างจริงแท้"" หรือที่ว่า ""เอาทองทำภาชนะ ทุกภาชนะล้วนเป็นทอง"" ในเมื่อจิตบริสุทธิ์อยู่แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดแต่จิต ก็ล้วนเป็นทองทั้งสิ้น จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร
       พระธรรมาจารย์โปรดนิเทศธรรมแก่เสินซิ่วแ้ล้วสั่งว่า "ท่านจงไปไตร่ตรองสักวันสองวัน แล้วเขียนโศลกมาใหม่หนึ่งบทให้เราดู หากโศลกของท่านเข้าถึงจิตภายใน จะมอบจีวรพงศาธรรมให้" เสินซิ่วกราบลาแล้วจากไป ผ่านไปอีกหลายวัน โศลกเขียนไม่สำเร็จ ในใจพะว้าพะวัง จิตประสาทไม่อาจสงบได้ เหมือนอยู่ในความฝัน นอนนิ่งไม่มีความสุข
       อีกสองวันต่อมา มีเด็กชายคนหนึ่งผ่านมาทางโรงตำข้าว พลางท่องโศลกนั้น ฮุ่ยเหนิงได้ฟังก็รู้ได้ว่าโศลกนั้น ยังเข้าไม่ถึงจิตญาณเดิมแท้  แม้ฮุ่ยเหนิงจะยังมิได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระธรรมาจารย์ แต่ก็รู้แจ้งแก่ใจก่อนอยู่แล้ว จึงเอ่ยถามเด็กชายว่า"ท่องโศลกใดหรือ" เด้กชายตอบว่า "เจ้าคนป่าคนเยิงนี้ ไม่รู้ที่พระเถระเจ้ากล่าวว่า "ความเป็นความตายของชาวโลกนั้นเป็นเรื่องใหญ"หากแม้ใคร่จะได้รับมอบหมายถ่ายทอดจีวรพงศาธรรม ศิษย์ทุกคนจะต้องเขียนโศลกมาให้ดู หากรู้แจ้งในจิตญาณตน ก็จะมอบหมายถ่ายทอดจีวรพงศาธรรมให้รับฐานะเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หกสืบไป  พระเถระเสินซิ่ว เขียนโศลกนิรรูปไว้บนฝาผนังด้านใต้หน้าระเบียงธรรมศาลา พระธรรมาจารย์โปรดให้ทุกคนท่องโศลกนี้ บำเพ็ญตามโศลกนี้ ก็จะพ้นจากอบายภูมิ
       ความหมาย...พิจารณา...
       คำเรียกขานเด็กชายต่อท่านฮุ่ยเหนิง ทำให้รู้ความแตกต่างระหว่างผู้เข้าถึงจิตญาณตนหรือไม่อย่างไร ผู้เข้าถึงจิตญาณตน จะเห็นทุกชีวิตเสมอภาคกัน มิแบ่งแยกเหลื่อมล้ำต่ำสูง
       ในมหาปณิธานสิบของพระโพธิสัตว์สมันตะภัทระ  ปณิธานข้อที่หนึ่งคือ "จะให้ความเคารพนมัสการเหล่าพุทธะ" นั่นคือการบำเพ็ญจิตเสมอภาค "เคารพนมัสการเหล่าพุทธะ" คือ เคารพนมัสการเวไนยฯทั้้งหลายอันอาจบรรลุพุมธะได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่เหล่าเวไนยฯ ล้วนมีภาวะ "พุทธญาณ"  เป็นชีวิตจาก  "ธรรมญาณ"  แต่เดิมที  ผู้รู้แจ้งจิตญาณตนจะรู้ว่า ""ฟ้าดินต้นรากเดียวกัน สรรพสิ่งกำเนิดเดียวกัน"" เด็กชายยังไม่รู้แจ้งในจิตญาณตน จึงเรียกขานอย่างหยามเหยียดว่า ""คนป่า คนเยิง""
       ฮุ่ยเหนิง ได้ฟังดังนั้นจึงเอ่ยว่า "เราก็ใคร่จะท่องโศลกนี้ด้วย เพื่อผูกบุญสัมพันธ์ไปชาติหน้า ร่วมเกิดในพุทธภูมิ "อาวุโสท่าน""เราเหยียบกระเดื่องตำข้าวอยู่ตรงนี้แปดเดือนกว่า ยังไม่เคยเดินไปที่หน้าธรรมศาลาเลย ขออาวุโสท่านช่วยนำเราไปนมัสการตรงหน้าโศลกด้วย""
       ความหมาย...พิจารณา...
       แม้ฮุ่ยเหนิงจะรู้ว่าโศลกนั้นยังเข้าไม่ถึงภาวะรู้แจ้งจิตญาณ แต่ก็ยังมีความเคารพจะไปนมัสการโศลกนั้น ยังให้เกียรติเด็กชายว่าอาวุโสสูงกว่า แม้เด็กชายจะดูแคลนฮุ่ยเหนิงว่าคนป่าคนเยิงก็ตาม
       จากจุดนี้ก็จะเห็นได้อีกว่า ผู้รู้แจ้งจิตญาณจะยกย่องให้เกียรติแก่ทุกชีวิต
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๓ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/10/2553, 11:35

        เด็กชายนำฮุ่ยเหนิงไปนมัสสการโศลกที่หน้าธรรมศาลา  ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ""เราไม่รู้จักหนังสือ อาวุโสได้โปรดอ่านให้ฟังด้วย"" ในเวลานั้นในที่นั้นมีเลขาธิการเมืองเจียงโจว แซ่จาง นาม ยื่ออย้ง  อยู่ด้วยอาสาท่องให้ฟังเสียงดัง ฮุ่ยเหนิงฟังจบ รำพึงว่า""เราก็มีโศลกบทหนึ่ง หวังให้ท่านเลขาช่วยเขียนให้"" เลขาว่า "คนป่าคนเยิง เจ้าจะเขียนโศลกกับเขาด้วยหรือ เรื่องนี้มันประหลาด ไม่น่าเป็นไปได้เลย" (คำพูดและน้ำเสียงขอเลขา ก็ปรามาสเหยียดหยามเช่นกัน) ฮุ่ยเหนิงกล่าวแก่เลขาว่า ""จะเรียนรู้อนุตตรโพธิญาณ จะดูแคลนผู้เริ่มเรียนมิได้ คนระดับล่าง ๆ มีสติปัญญาระดับสูง ๆ  คนระดับสูง ๆ อาจมีปัญญาดำริหรือไม่ หากดูแคลนเขา จะเป็นบาปมหันต์""
        ความหมาย...พิจารณา...
       ความคิดจิตใจที่ดูแคลนผู้อื่น เป็นผลเสียหายยิ่งต่อตนเอง บดบังจิตญาณตนหลงหายไปจากพุทธญาณ ดูแคลนผู้อื่นเป็นมโนวิญญาณ เป็นจิตคิดแบ่งแยก เป็นใจโอหัง  จึงเป็นเมล็ดพันธุ์ของการเวียนว่าย
       เลขาได้ฟังดังนั้น ก็สำนึกได้ในความผิดตนทันที
       ความหมาย...พิจารณา...
       นี่คือคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญ  ตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า ""ไม่กลัวความคิดเกิด กลัวแต่รู้ตัวช้า"" เราศึกษาพระสูตรพระคัมภีร์ จะต้องย้อนคิดถึงจิตตนว่า พุทธะอริยะเจ้าท่านถ่ายทอดธรรมะสาระอะไรไว้แก่เรา ทุกเรื่องราวความเป็นมาล้วนมีค่าต่อการปฏิบัติบำเพ็ญ เช่นนั้จึงจะเรียกว่าศึกษาพระสูตร พระคัมภีร์อย่างแท้จริง
      เลขากล่าวว่า "ท่านท่องโศลกมา ข้าพเจ้าจะเขียนให้ หากท่านเข้าถึงวิถีธรรม จะต้องช่วยข้าพเจ้าเป็นคนแรก อย่าลืมคำนี้""
     ความหมาย...พิจารณา...
     เลขาจะเป็นผู้ช่วยเขียนโศลกให้แก่ท่านฮุ่ยเหนิง แต่มีข้อเรียกร้องตอบแทนว่า หากเข้าถึงวิถีธรรม จะต้องโปรดเลขาเป็นคนแรกเรื่องนี้ในพระสูตรมิได้จารึกไว้ จึงไม่ทราบว่าในประวัติของการถ่ายทอดวิถีธรรม ท่านฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) ได้โปรดเลขาหรือไม่ แต่ที่เลขาได้เป็นผู้เขียนโศลกบทสำคัญบทแรกของท่านลิ่วจู่นั้น ได้แสดงให้เห็นเหตุปัจจัยแห่งบุญสัมพันธ์อันได้หยั่งรากลงแล้วแน่นอน
     ฮุ่ยเหนิงกล่าวโศลกว่า      ""โพธิเดิมทีไม่มีต้น        กระจกใสก็มิใช่บาน
                                        แต่เดิมทีหามีสิ่งใดไม่   ฝุ่นธุลีจะจับลงที่ตรงไหน""
     ความหมาย...พิจารณา...
     จิตญาณตน แท้จริงก็มิได้ตายตัวอยู่ ณ จุดนั้น  ก็ด้วยจิตญาณเป็นพลังงาน เป็นธรรมธาตุอิสระไร้รูปในธรรมจักรวาล พระวิสุทธิอาจารย์เบิกจุดญาณทวารให้ นั่นคือ ในขณะที่ชีวิตร่างกายยังดำรงประสิทธิภาพการใช้งานอยู่ โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการปฏิบัติบำเพ็ญ เพื่อการหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งหลาย  จึงมิได้ยึดหมายเหนียวแน่นอยู่  ณ  จุดนั้น อันจะเป็นการยึดหมายในนามรูป เช่นนี้แล้ว จิตญาณตนก็จะหลุดพ้นได้ยาก
     โศลกของท่านฮุ่ยเหนิง ได้สนองรับสนองตอบโสลกของท่านเสินซิ่วอย่างแยบคลาย ไม่เพียงเติมเต็มให้แก่โศลกของท่านเสินซิ่วในส่วนขาดพร่อง อีกทั้งยังเสริมสร้างความสำคัญแก่บันไดขั้นแรกสำหรับการเจริญธรรมตามโศลกของท่านเสินซิ่วอีกด้วย
     โศลกของท่านฮุ่ยเหนิง จึงมิได้เป็นการลบล้างโศลกของท่านเสินซิ่วแต่อย่างใด ตามความเข้าใจของคนบางคน  จิตญาณตนอิสระไร้รูป เมื่อไร้รูป ก็ไม่น่าจะเป็นที่จับเกาะของฝุ่นธุลีได้ เพราะมิใช่บานกระจก  แต่จิตญาณอิสระกลับต้องตกเป็นทาสของฝุ่นธุลีรับทุกข์รับภัยไม่จบสิ้นทุกชาติมา"จากการจับเกาะของฝุ่นธุลี"  หรืออีกนัยหนึ่งคือ จากการ "ยินดีให้ฝุ่นธุลีจับเกาะ"เสียมากกว่า
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๔ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/10/2553, 12:34

         โศลกท่านฮุ่ยเหนิง  ::    "" โพธิเดิมทีไม่มีต้น        กระจกใสก็มิใช่บาน
                                           แต่เดิมทีหามีสิ่งใดไม่   ฝุ่นธุลีจะจับลงที่ตรงไหน ""  ( ไร้รูปลักษณ์ )
       
  ( หมายเหตุ  :  เลขาธิการเมืองเจียงโจว  แซ่จาง  นามยื่ออย้ง   ได้เป็นผู้เขียนโศลกบทสำคัญบทแรกของท่านลิ่วจู่ )

      พอเลขาเขียนโศลกบนฝาผนังเสร็จ ศิษย์ทั้งหลายของพระธรรมาจารย์ต่างตื่นเต้นประหลาดใจ ต่างอุทานว่าไม่น่าเชื่อ ต่างวิเคราะห์วิจารณ์กันว่า  ""มหัศจรรย์แท้ จะตัดสินคุณสมบัติของคนจากรูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้เชียว ชั่วระยะเวลาไม่นาน เขาได้บรรลุความเป็นพระโพธิสัตว์เดินดินไปแล้ว""
      พระธรรมาจารย์  เห็นทุกคนต่างตื่นเต้นแปลกใจแกรงจะมีผู้ให้ร้าย จึงใช้รองเท้าลบโศลกของฮุ่ยเหนิงแล้วกล่าวว่า ""ก็ยังไม่เห็นจิตญาณ"" ทุกคนจึงหยุดอุทานประหลาดใจ
      วันรุ่งขึ้น พระธรรมาจารย์แอบเข้าไปในโรงตำข้าว เห็นฮุ่ยเหนิงคาดก้อนหินใหญ่ไว้กับเอว กำลังตำข้าวอยู่ จึงกล่าวด้วยว่า ""ผู้แสวงธรรม ลืมกายสังขารเพื่อธรรม พึงเป็นเช่นนี้หนอ ""
      ความหมาย...พิจารณา...
      ท่านฮุ่ยเหนิงร่างเล็ก  ซึ่งอาจเป็นเหตุจากที่เกิดมาในถิ่นทุรกันดารและมีฐานะยากจนข้นแค้น  อีกทั้งต้องทำงานหนักเกินตัวตลอดมาก็เป็นได้  การเหยียบกระเดื่องตำข้าว จะต้องมีน้ำหนักตัวเพียงพอ มิฉะนั้น จะไม่อาจเหยียบคันกระเดื่องให้ขึ้นลงตำข้าวได้ท่านฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย แก้ปัณหาให้ได้ ทำให้สำเร็จจนได้ จึงใช้ก้อนหินใหญ่คาดไว้กับเอวเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัว  แน่นอน  เมื่อทำเช่นนี้  สายคาดเอวเชื่อมจากคันกระเดื่องมีน้ำหนักมาก ย่อมกดรัดมาก  นานวัน นานวัน ไหล่ทั้งสองข้างนั้นของท่านฮุ่ยเหนิงเนื้อแตกเฟะ แต่ท่านมิได้ใส่ใจ  เพราะความคิดจิตใจของท่าน มิได้ยึดหมายอยู่กับกายสังขาร
      ที่พระธรรมาจารย์กล่าวว่า ผู้แสวงธรรม ลืมกายสังขารเพื่อธรรม  มีความหมายของการชื่นชม เชื่อมั่นต่อฮุ่ยเหนิง  และประโยคสุดท้ายที่ว่า พึงเป็นเช่นนี้หนอ มีความหมายของการฝากฝัง หวังว่าฮุ่ยเหนิงจะจริงจังรับหมอบหมายงานใหญ่ของเบื้องบนได้ตลอดไป ด้วยคุณสมบัติดังนี้ ซึ่งฮุ่ยเหนิงก็น้อมรับไว้ด้วยความเข้าใจ
      พระธรรมาจารย์จึงถามต่อไปอีกว่า ""ข้าวได้ที่แล้วหรือยัง"" (เผิน ๆ เป็นคำสั่ง หมายความว่า ข้าวตำเสร็จแล้วหรือยัง) ฮุ่ยเหนิงตอบว่า ""ข้าวได้ที่นานแล้ว ขาดแต่ร่อนตะแกรงเท่านั้น"" พระธรรมาจารย์มิตอบว่ากระไร ใช้ไม้เท้าเคาะที่ครกตำข้าวนั้นสามทีแล้วเดินจากไป  ฮุ่ยเหนิงเข้าใจเจตนาปริศนาของพระธรรมาจารย์   คืนนั้น ยามสาม  จึงเข้าไปกราบพระธรรมาจารย์ยังในห้อง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ปุถุชนนั้น  ในแต่ละวันจะพูดคุยสื่อความกันด้วยคำพูดหลากหลาย เสียเวลาไปมากมายแต่ได้สาระไม่สมบูรณ์ ซ้ำบางคนยังพูดกันไม่รู้เรื่อง นั่นเพราะเหตุใด ? เพราะเหตุที่เป็นปุถุชน
      แต่สำหรับผู้เข้าถึงจิตญาณตน คำพูดเพียงสามคำ ห้าคำ  ก็เข้าถึงความหมายลึกซึ้งกว้างไกลได้ บางท่านวิเศษแยบยล จนแม้มิต้องเอ่ยขานก็เข้าใจกัน นั่นคือจิตญาณสื่อถึงจิตญาณกัน จึงมีคำกล่าวว่า ""ขณะนี้ คำพูดภาษาหาต้องการใช้ไม่...  ฉื่อเค่อเอี๋ยนอวี่เหอชวีอย้ง"" จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ท่านฮุ่ยเหนิงจะเข้าใจในทันที เมื่อพระธรรมาจารย์เคาะที่ครกกระเดื่องสามที
      คนดีมักมีผู้อิจฉา  เป็นเรื่องปกติ ที่ ผิดปกติ  ผู้บำเพ็ญจะต้องช่วยกันปรับเปลี่ยน โดยเริ่มจากจิตใจของตน จนถึงช่วยกันปรับเปลี่ยนจิตใจของใคร ๆ ให้กลายเป็นคำขวัญว่า "" คนดีมักมีผู้ติดตาม "" จะดีกว่า
      พระธรรมาจารย์เกรงว่า ศิษย์ฮุ่ยเหนิงจะถูกอิจฉาทำร้าย จึงสื่อความด้วยวาจาปริศนา  ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันระหว่างพระธรรมาจารย์กับฮุ่ยเหนิง แต่ผู้อื่นที่ได้ยินในที่นั้นกลับเข้าใจว่า พระธรรมาจารย์กวดขันเร่งรัดให้ฮุ่ยเหนิงรีบตำข้าว
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๕ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/10/2553, 15:59

       คืนนั้น !!!  พระธรรมาจารย์เอาจีวรล้อมบังฮุ่ยเหนิงไว้มิให้ใครเห็น (เบิกจุดญาณทวาร  ถ่ายทอดวิถีจิตฉับพลัน) นี่คือร่อนตะแกรงคัดสรรค์เมล็ดพันธุ์  พร้อมกับแสดงธรรมจากคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จนถึงประโยคที่ว่า ""พึงบังเกิดจิตอันมิได้ยึดหมาย"" ฮุ่ยเหนิงแจ้งใจในบัดดลว่า ""ธรรมทั้งปวงมิพ้นจากจิตญาณตน""
       ความหมาย...พิจารณา...
      การกราบขอรับวิถีธรรม  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมประกอบพิธีอาราธนาแทนอมะพุทธะจี้กง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธะโพธิสัตว์ทั่วทุกสากล ทรงโปรดปกป้องรักษาตำหนักธรรม
      ขณะนั้น  มองดูผู้คนมากมายอยู่ในพิธี อย่างกับเป็นที่เปิดเผยทั่วไปได้ แต่หารู้ไม่ เบื้องหลังล้วนผ่านการเลือกสรรจำกัดเฉพาะผู้สมควรได้รับ ไม่อนุญาตให้ส่งแปลกปลอมอื่นใดเข้าใกล้ หรือมิให้ใครเห็น เช่นเดียวกับในขณะอยู่ภายใต้จีวรล้อมบัง
      ในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จารึกว่า ""อันว่าพุทธธรรมนั้น หาใช่พุทธธรรมไม่"" ที่พระธรรมาจารย์กล่าวแก่ฮุ่ยเหนิงในขณะถ่ายทอดวิถีธรรมนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญมิใช่อยู่ที่ข้อความตามตัวอักษรที่ได้มาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เพียงแต่อาศัยข้อความตามอักษรนั้น ยืนยันให้เห็น ""วัชรญาณปัญญา"" แห่งตน ประจักษ์ชัดในความมีอยู่เป็นอยู่จริงนั้น  เรามักจะพูดถึง ""ธรรมะแท้จริง (เต้าเจิน)  หลักธรรมแท้จริง (หลี่เจิน)  อนุตตรพระโองการแท้จริง  (เทียนมิ่งเจิน) จริงอย่างไร  อย่างไรจึงเรียกว่าจริง
      หากเราได้ศึกษาประวัติการรับวิถีธรรมของพระพุทธะอริยเจ้า หรือผู้บรรลุธรรมวิเศษทั้งหลายในอดีตกาลมา จะเห็นได้ว่าล้วนเป็นวิถีธรรมที่เป็น""วิถีจิต"" เข้าถึงวิถีจิตจึงเข้าถึงโพธิญาณตน โพธิยาณก็คือภาวะของพุทธะ ภาวะของพุทธะ ก็คือภาวะของการบรรลุธรรม ได้ภาวะนั้นจริง จึงจะเรียกได้ว่า ธรรมะแท้จริง  หลักธรรมแท้จริง  ล้วนสอนให้ย้อนมองส่องตน ค้นหาโพธิญาณตน
      ข้อธรรมต่าง ๆ ที่ศึกษา ล้วนเปรียบเสมือนแรงลม หรืออากาศธาตุที่เคลื่อนไหว  พัดพาก้อนเมฆที่น้อยใหญ่ ให้พ้นไปจากการเป็นอุปสรรคบดบังที่มิให้สุริยา (โพธิญาณ) ได้ฉายแสงทอง จึงเรียกได้ว่าเป็น หลักธรรมแท้จริง
      อนุตตรพระโองการจริง  การถ่ายทอดการมอบหมาย การสืบสายพาศาธรรม ล้วนเป็นแนวตรงหนึ่งเดียวชัดเจนเรื่อยมา ผู้ขัดขวางเหยียดหยาม ล่วงละเมิด บิดเบียน อุปโลกน์แหวกแนว ไม่เป็นไปตามความถูกต้องยุติธรรม แม้จะพยายามจัดลำดับตนเข้าไว้ในประวัติการพงศาธรรมอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้
      ในที่นี้  ใคร่ขอพิจารณาจากท่านลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงเป็นตัวอย่าง ในสยตาของคนทางโลก คนป่าคนเยิง ผิวคล้ำ ร่างเล็กแกร็น ไม่รู้จักหนังสือ ไม่มีธรรมวุติ...มีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม ทำงานหยาบเป็นกิจวัตร ไร้ผู้สนับสนุน  กับ เสินซิ่วพระเถระผู้ใหญ่ ลักษณะสวยสง่า ผิวผ่องงดงามสดใส อรรถาธรรมล้ำเลิศ มีผู้กราบไหว้สรรเสริญไปทั่วบ้านทั่วเมือง
      ระหว่างสองรูปนี้  ในสายตาของคนทางโลก รูปใดน่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมาจารย์มากกว่ากัน  หลังจากได้รับถ่ายทอดวิถีจิตจากพระธรรมาจารย์ ฮุ่ยเหนิงแจ้งใจในบัดดลว่า ""ธรรมทั้งปวงมิพ้นจากจิตญาณตน""
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๖ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/10/2553, 19:07

      พลันบังเกิดปิติ  จึงอุทานกราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า โดยแท้จริงจิตญาณตนแต่เดิมทีหมดจดสดใสได้ถึงเพียงนี้เชียวหนอโดยแท้จริง จิตญาณตนแต่เดิมทีไม่มีการแตกดับได้เช่นนี้เองหนอ โดยแท้จริงจิตญาณตนแต่เดิมทีสมบูรณ์พร้อมอยู่ในตัวดังนี้ได้เชียวหนอ  โดยแท้จริง จิตญาณตนแต่เดิมทีหาได้หวั่นไหวส่ายคลอนไม่เช่นนี้หนอ โดยแท้จริง จิตญาณตนแต่เดิมทีก่อเกิดหมื่นข้อธรรม ธรรมทั้งปวง ได้ถึงเพียงนี้เชียวหนอ
     ความหมาย...พิจารณา...
     ทั้งห้าประโยค นอกจากจะแสดงความไม่น่าเป็นไปได้ แล้ว ยังกล่าวได้ว่าเป็นการกราบถวายราบงานภาวะจิตหลังจากได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมแล้วของฮุ่ยเหนิงต่อพระธรรมาจารย์ คำสำคัญในแต่ละประโยค ที่น่าจะเอามาพิจารณากันอีกทีคือคำว่าโยแท้จริง แต่เดิมที ที่ได้รับวิถีธรรมกันก็คือได้รับรู้ภาวะโดยแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ที่ปฏิบัติบำเพ็ญจริง ก็เพื่อฟื้นฟูภาวะโดแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ที่บรรลุธรรมกัน ก็คือกลับคืนสู่ภาวะโดยแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ จึงสรุปเป็นสูตรง่าย ๆ ว่ารับรู้ ฟื้นฟู กลับสู่โดยแท้จริงแต่เดิมที เช่นนี้แล้วยังจะต้องแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ให้วกวนหลงทางต่อไปอีกทำไม
     พระธรรมาจารย์ได้ฟัง พลันรู้ว่าฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่)รู้แจ้งจิตญาณตนโดยตลอดแล้ว  ณ  บัดนี้ได้ชื่อว่่าสามี ""มหาบุรุษ"" ได้ชื่อว่าครูอาจารย์ชองเทวดาและมนุษย์ ได้ชื่อว่าพุทธะ  พระธรรมาจารย์ได้ถ่ายทอดวิถีธรรมให้ในยามสาม ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย จึงมอบหมายถ่ายทอดวิถีจิตฉับพลัน (จักษุครรภนิพพาน อนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค) พร้อมด้วยบาตรกับจีวรพงศาธรรม แล้วกล่าวว่า ""ท่านจงดำรงฐานะพระธรรมาจารย์สมัยที่หก (ลิ่วจู่) จงรักษาจิตดำริไว้ให้ดี ปรกโปรดฉุดช่วยสัตว์โลกผู้มีลสปราณ ผู้มีเยื่อใยสัมพันธ์แพร่หลายต่อไปภายหน้า อย่าได้ขาดสาย
     ความหมาย...พิจารณา...
     ที่พระธรรมาจารย์กล่าวว่า ณ  บัดนี้ท่านได้ชื่อว่าสามี  หมายถึงมหาบุรุษผู้มีความเพียรชอบ มีความแกร่งกล้ามิถดถอย  ได้ชื่อว่าครูอาจารย์ของเทวดาและมนุษย์ หมายถึง ผู้ประพฤติการอันเกื้อกูล เอื้อคุณ อบรมสั่งสอน  ปลุกจิต นำศิษย์เข้าสู่วิถีจิตเพื่อการหลุดพ้น ได้ชื่อว่าพุทธะ ในที่นี้ มิได้หมายถึงพุทธะในระดับอมิตาภะ พระพุทธเจ้า หรือสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นที่สุดแห่งพุทธะ แต่หมายถึง พุทธะผู้เข้าถึงจิตญาณตนโดยแท้จริงแต่เดิมที
    ในพงศาธรรมาจารย์แห่งยุค โปรดมอบหมายถ่ายทอดตำแหน่งพระธรรมาจารย์แก่ผู้สืบสายต่อไป ย่อมจะต้องกำชับความสำคัญในการดำรงฐานะนั้น พระองค์โปรดกำชับลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ว่า จงรักษาจิตดำริไว้ให้ดี หมายถึง การรักษาพุทธภาวะแห่งตนไว้ให้มั่นคง
    วันนี้เรากราบรับวิถีธรรมกัน ก็ได้รับโปรดกำชับจากอมตะพุทธะพระอาจารย์ เช่นกันว่า ""เจ้าได้รับหนึ่งจุดเบิกบัดนี้ ปลอดโปร่ง ณ เบื้องบน ปราศจากการเกิดตาย (จิตญาณปราศจากการเกิดตาย จงหล่อหลอมแสงญาณ ไว้ทุกขณะจิต...หนี่จินเต๋ออี้จื่อ  เพียวเพียวไจ้เทียนถัง  อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ   จงยื่อเลี่ยนเสินกวง)   ธรรมะประกาศิตจากอมตะพุทธะพระอาจารย์ ได้ยืนยันให้รู้ชัดว่า จุดนี้คือความปลอดโปร่งของจิตบริสุทธิ์อันสูงส่งจากเบื้องบนแต่เดิมที
     พึงทำความเพียรเพื่อกลับคืนเบื้องบน แต่เดิมทีเช่นนี้ จิตญาณจึงจะ"ปราศจากการเกิดตาย"อีกต่อไป ในขณะมีชีวิต ให้หล่อหลอมประคองรักษาแสงญาณของจิตพุทธะไว้ทุกขณะเวลา มิให้มืดมัวผิดเพี้ยน...ประโยคต่อไปที่พระธรรมาจารย์โปรดกำชับแก่ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ที่ว่า "จงปรกโปรดฉุดช่วยสัตว์โลกผู้มีลมปราณเยื่อใยสัมพันธ์" นั้น หมายความว่า ให้แพร่ธรรมนำพาสาธุชนผู้มีกุศลเจตนา อันมิได้ขาดจากรากมูลแห่งพุทธะ ผู้ขาดจากรากมูลของพุทธะ คือผู้มีบาปล้นพ้นตัว  ผู้ทำลายศาสนา  ทำร้ายผู้บำเพ็ญ ฯ และที่พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่กล่าวไว้ในภายหลังว่า "ผู้ไม่ร่วมรู้ ไม่ร่วมบำเพ็ญ...มิให้มอบหมายถ่ายทอด เพราะจะเสียหายแก่บรรพจารย์เรา ซึ่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง"
     ...ยังเกรงคนโง่เขลาไม่เข้าใจ ใส่ไคล้วิถีธรรมนี้ ร้อยกัปพันชาติที่เกิดตาย เขาจะขาดไปจากเผ่าพันธ์จิตญาณแห่งพุทธะ นั่นก็คืิอขาดจากรากมูลแห่งพุทธะ  ฉะนั้น  พระธรรมาจารย์จึงกำชับลิ่วจู่ว่า "จงปรกโปรดฉุดช่วยสัตว์โลก ผู้มีลมปราณเยื่อใยสัมพันธ์"
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๗ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/10/2553, 03:18

       พระธรรมาจารย์ยังโปรดเป็นโศลกแก่ลิ่วจู่อีก ณ บัดนั้นว่า จงฟังโศลกจากอาตมา  :::::

                                  ปรกโปรดสู่ ผู้มี                เยื่อใย
                                  เนื้อนาให้   เป็นเหตุ          เกิดผล
                                  ปราศจากชีพ คือปราศจาก   พันธุ์เพาะ
                                  ปราศจาก เนื้อนา  บุญไซร์   ไม่อาจ  เกิดมี

       ความหมาย...พิจารณา...
       ประโยคสุดท้ายสองบาทของโศลก แฝงความหมายไว้สองประการ  ประการที่หนึ่ง  "ปราศจากชีพ" หมายถึง ปราศจากรากมูลแห่งพุทธะ  คนระดับจิตนี้ แม้มีเหตุปัจจัยให้ได้รับวิถีธรรม แต่ก็ยากที่จะเจริญธรรมได้
       ประการที่สอง  หมายถึงจงปรกโปรดฉุดช่วย เพิ่มพาบุญปัจจัยแก่เขาเหล่านั้น มิให้ยึดหมายเฉพาะคุณสมบัติและหรือนามรูปนั้น ๆ ...ปราศจากเนื้อนาบุญไซร์...จิตญาณที่เกิดปัญญาบริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะ เป็นเนื้อนาบุญของผู้นั้น
      ในเชิงปฏิเสธ ผู้ปราศจากเนื้อนาบุญด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ไม่อาจปลูกกุศลมูลให้งอกงามได้ จึงไม่อาจมีการเกิด ไม่อาจเจริญธรรมได้ต่อไป
      ในเชิงรับ   หากปราศจากเยื่อใยสัมพันธ์ในการปรกโปรด ไม่พยายามฉุดช่วยปรับสภาพเนื้อนาแห้งแล้ง ยากจะเสาะหาเนื้อนาอุดมได้ เมื่อปราศจากเนื้อนาบุญ ก็ไม่อาจเกิดมีเผ่าพันธ์แห่งพุทธะ จึงดูเหมือนเป็นสองทางเลือกในการปรกโปรด
       พระธรรมาจารย์โปรดอีกต่อไปว่า "ในครั้งกระนั้น เมื่อสมเด็จพระโพธิธรรมเพิ่งจาริกมาสู่ดินแดนแห่งนี้ ผู้คนยังไม่ศรัทธาเชื่อถือ จึงต้องมอบหมายจีวรพงศาธรรมาจารย์นี้ไว้เป็นหลักฐานสัญญา สืบต่อกันมาทุกสมัย"
      ส่วนสัทธรรมวิถีแห่งจิตนั้นถ่ายทอดด้วยจิตสู่จิต ล้วนให้ประจักษ์รู้แจ้งได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น "ตั้งแต่โบราณกาลมา พระพุทธะสู่พระพุทธะ ทุกพระองค์ ล้วนถ่ายทอดแต่ "ตัวจริง ตัวแท้แห่งจิต" แต่ละพระอาจารย์ มอบหมายกำชับลับเฉพาะตัวแท้ของจิตนั้น"
      ความหมาย...พิจารณา...
      ...ถ่ายทอดแต่ตัวจริงตัวแท้... ก็คือ ถ่ายทอดให้เข้าถึงจิตญาณตนตัวแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ เช่นเดียวกับที่พระวิสุทธิอาจารย์โปรดถ่ายทอดวิถีธรรมแก่เราในยุคนี้ ...กำชับลับเฉพาะจิตนั้น...มอบให้โดยตรงคือผู้สมควรได้รับตามเหตุปัจจัยแห่งบุญ เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยุคกาลนี้ แม้เบื้องบนจะปรกโปรดกว้างใหญ่ แต่เหตุใดจิตของคนมากมาย จึงรับไม่ได้ ไม่ได้รับ หรือยังรับไม่ได้ ยังไม่ได้รับ เพราะการจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ เป็นพิธรถ่ายทอด ""จิตสู่จิต"" ""จิตประทับรู้ในจิต"" ""กำซาบซึ้งถึงโพธิจิตพุทธญาณ ตัวจริง ตัวแท้ของจิต"" เป็นการเบิกทางให้จิตรู้แจ้งเข้าใจในจิตตนโดยฉับพลัน  ภาวะนี้ ไม่มีใครเกิดเป็นแทนใครได้ ไม่อาจฝากให้ช่วยรับ เหมือนฝากไปทำบุญ หรือฝากให้ไปดูแล้วกลับมาบอกเล่าให้ฟังได้
      พระธรรมาจารย์กล่าวกำชับต่อไปอีกว่า ""บาตรกับจีวรเป็นสาเหตุของการแย่งชิงกัน จึงให้หยุดการถ่ายทอดมอบหมายลงตรงท่านเป็นองค์สุดท้าย หากมอบหมายสืบต่อบาตรกับจีวรนี้ ชีวิตจะเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย อันตรายนัก ท่านจะต้องรีบไป เกรงจะมีผู้ทำร้ายท่าน !!!
      ความหมาย...พิจารณา...
      เป็นคำนิยมเคยชินอย่างหนึ่งของคนที่ยึดหมายเอาวัตถุเป็นสัญลักษณ์สัญญาที่แสดงถึงความสำคัญ หลายคนจึงยึดติดว่า ผู้ได้ตราประทับ (วัตถุ) ได้สิ่งของประจำตัวอริยบุคคล เท่ากับเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้เป็นใหญ่ในการดำเนินการ มีสถานภาพได้รับความศักดิ์สิทธิ์ปรกแผ่แก่ตน ค่านิยมความเคยชินนี้ ทำให้พระธรรมาจารย์ พระธรรมจาริณีของเรา ต้องพลอยได้รับความลำบากไปด้วยเช่นกัน จวบจนบัดนี้ พระอริยะร่างของพระองค์ บรรจุฝังอยู่ที่ใด จะรู้กันอยู่เฉพาะนักธรรมสำคัญเพียงไม่กี่ท่าน ซึ่งแทนที่จะเปิดเผยอย่างสง่างามให้ได้กราบไหว้โดยทั่วกัน กลับต้องกลายเป็น พระอริยเจ้าที่ถูกแอบแฝงไว้  บางพระองค์ นับร้อยพันปีผ่านไป ยังต้องเก็บเป็นความลับมิกล้าเปิดเผย ด้วยเกรงว่าจะถูกโจรกรรมแย่งชิง
       
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๘ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/10/2553, 04:55

        โศลกพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นสมัยที่ห้า  :::  ปรกโปรดสู่  ผู้มี               เยื่อใย
                                                             เนื้อนาให้   เป็นเหตุ          เกิดผล 
                                                             ปราศจากชีพ คือปราศจาก   พันธ์เพาะ
                                                             ปราศจาก  เนื้อนา บุญไซร์   ไม่อาจ เกิดมี
                                                             โหย่ว ฉิง ไหล เซื่ย จ่ง       อิน ตี้ กว่อ หวน เซิง
                                                              อู๋ ฉิง จี้ อู๋ จ่ง                  อู๋ ซิ่ง อี้ อู๋ เซิง
  (หมายเหตุ !!!  บาตรกับจีวร หยุดการมอบหมายลงตรงท่านพระธรรมาจารย์สมัยที่หกลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ในเวลายามสาม )

       ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง กราบเรียนถามว่า ""ศิษย์ควรไปที่ใด"" พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""พบ ไฮว๋ ให้หยุด (ไฮว๋ เป็นชื่ออำเภอ ปัจจุบันคือ อำเภอไฮว๋จี๋ มณฑลกว่างซี  พบ ฮุ่ย (ฮุ่ย คือ อำเภอซื่อฮุ่ย มณฑลกว่างตง  ภายหลังแผนที่ประเทศปรับเปลี่ยนใหม่ ทั้งสองอำเภอรวมอยู่ในมณฑลกว่างตง ) ให้ซ่อนตัว""
       ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ได้รับมอบบาตรกับจีวรในเวลายามสามแล้ว กราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า ""ศิษย์เป็นชาวใต้ส่วนกลาง นานมาไม่เคยรู้จักเส้นทางป่าเขานี้ มิรู้ที่จะออกไปสู่ริมแม่น้ำเพื่อข้ามฝั่งได้อย่างไร"" พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""มิพึงกังวลห่วงใย เราจะส่งท่านออกไปด้วยตนเอง""
      พระธรรมาจารย์โปรดส่งศิษย์ฮุ่ยเหนิงจนมาถึงแม่น้ำจิ่วเจียง ข้างศาลาที่พักคนเดินทางมีเรือลำหนึ่ง  พระธรรมาจารย์ให้ศิษย์ฮุ่ยเหนิงขึ้นเรือ (ลงเรือ) พระธรรมาจารย์จับคันแจว ลงมือแจวข้ามฝั่งด้วยพระองค์เอง ศิษย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ""ขอพระเถระเจ้าโปรดนั่งศิษย์ควรเป็นผู้แจว"" พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""ควรเป็นเราส่งท่านข้ามฝั่ง""
      ความหมาย...พิจารณา...
      พระธรรมาจารย์ให้ศิษย์ฮุ่ยเหนิงขึ้นเรือ แฝงความหมายอวยชัยว่า ศิษย์จะต้องข้ามจากห้วงโอฆะไปสู่ฟากฝั่งอันเกษมให้ได้ต่อแต่นี้ไป ศิษย์จะต้องเป็นต้นหนธรรมนาวา ขนถ่ายเวไนยไม่ประมาณ (ฝากฝังมอบหมาย) ""ควรเป็นเราส่งท่านข้ามฟาก"" มีคำกล่าวว่า "แม้ไม่มีครูอาจารย์ มิกล้ากล่าวอ้างว่าล่วงรู้โพธิญาณ ไม่มีผู้นำทางมิกล้าบุ่มบ่ามข้ามป่าเขา โดยความเป็นครูอาจารย์ ล้วนมีหน้าที่ทุ่มเทนำทาง พระธรรมาจารย์จึงลงมือแจวเรือข้ามฝั่งเอง
      ผู้ทรงธรรมย่อมอยู่ในธรรมทุกสภาวะ จะคิด พูด ทำ  ล้วนเป็นธรรมไปทุกสิ่ง มีคำกล่าวว่า "ศึกษาพระธรรมคัมภีร์ ให้ถึงที่ซึมรู้สู่แก่นแท้" เข้าสู่ความหมายแก่นแท้ของคัมภีร์ก็คือ เข้าที่ซึมรู้สู่แก่นแท้จิตญาณตน รอบตัวทุกอย่างล้วนเป็นพระธรรมคัมภีร์ หากจิตปราณีต รู้การพิจารณาให้ดี ทุกขณะ ก็จะได้ศึกษาพระธรรมคัมภีร์ทุกกรณีตลอดเวลา
      ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) กราบเรียนว่า ""ขณะหลง อาจารย์ฉุดนำ รู้แจ้งพลัน ฉุดนำตนเอง""  ""ฉุดนำ"" คำเดียวกัน ใช้ในความหมายต่างกัน ฮุ่ยเหนิงเกิดที่ชายแดน สำเนียงพูดไม่ชัดเจน ยังได้รับกรุณาคุณจากพระเถระเจ้า ถ่ายทอดสัทธรรม  บัดนี้ศิษย์รู้แจ้งแล้ว จึงสมควรฉุดนำจิตญาณตนด้วยตนเอง
    ความหมาย...พิจารณา...
    ""ฉุดนำ ฉุดพา หรือ ฉุดช่วย"" ที่ใช้กันอยู่ในอาณาจักรธรรมนั้น ให้ความหมายทั้งฉุดเวไนยให้ขึ้นจากทะเลทุกข์ ฉุดเวไนย์ให้ดำเนินธรรม ""นำพา"" หรือช่วยส่งเสริมให้เขาเจริญธรรม อักษรจีนใช้คำว่า ""ตู้"" แปลว่าพายเรือ หรือส่งให้ข้ามฝั่ง
      พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้"" วันข้างหน้าสัทธรรมวิถีฉับพลัน อาศัยท่านถ่ายทอดแพร่หลายเต็มที่ ท่าจากไปแล้วสามปี เราจึงจะละสังขาร ท่านจงเดินทางให้ดี พยายามมุ่งสู่ทิศใต้ มิควรด่วนเทศนาแสดงธรรม ด้วเหตุว่าวาระนี้พุทธรรมมิใช่ง่ายที่จะริเริ่มจำเริญกาล"" พระธรรมาจารย์กล่าวจบก็ให้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่พระองค์มิได้แสดงอาการแต่อย่างใด
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""ท่านจากไปแล้วสามปี เรา "จึงจะละ" กายสังขาร..."" พระอริยเจ้าเห็นความตายเหมือนมิได้เห็น รู้วันตายเหมือนรู้วันทั่วไป และอาจกำหนดรู้ว่าจะอยู่จะไป ""สามปีเราจึงจะละกายสังขาร"" เป็นกำหนดหมายที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก ศิษย์กำลังจะดั้นด้นเดินทางไปสู่หนทางข้างหน้าที่มีผู้ปองร้ายติดตาม แต่สามปีนี้ยังมีพระธรรมาจารย์คุ้มอยู่ หากพระองค์กล่าวว่าสามปีเราจะละกายสังขารก็คือกำหนดด้วยจิตปรารถนาจะอยู่เพื่อศิษย์อีกสักระยะหนึ่ง
      เมตตากรุณาธรรมอันลึกซึ้งของพระอริยเจ้า ใครเลยจะเข้าถึงได้ถี่ถ้วน ""มิควรด่วนเทศนาแสดงธรรม"" ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) เป็นชาวป่า ยังมิเคยเข้าสู่โลกภายนอกอันซับซ้อนสับสน แม้จะรู้แจ้งในจิตตน แต่ประสบการณ์ต่อคนทางโลกก็จำเป็น อีกทั้งคนนับร้อยที่ตามล่าบาตรกับจีวร ก็เป็นปัญหาสำคัญที่พระธรรมาจารย์รู้ล่วงหน้าทุกอย่าง จึงต้องเป็นไปให้เหมาะแก่วาระบุญ
      การนำพาส่งเสริมญาติธรรมใหม่ก็เช่นกัน หากเร่งด่วน ดึงดัน เขารับไม่ได้ ละไปจากทางธรรมเราจะกลับมีผิดบาปที่ดึงให้เขาขาดจากปัญญาญาณ 
   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๙ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/10/2553, 09:34

     เมื่อลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) กราบลาพระธรรมาจารย์แล้ว ก็ออกเดินทางด้วยเท้ามุ่งไปทางใต้ ประมาณสองเดือนก็มาถึงเทือกเขา""ต้าอวี่หลิ่ง""  พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น กลับสู่""วัดบูรพาฌานตงฉันซื่อ"" แล้วหลายวันแต่ก็มิได้ออกบัลลังก์ธรรมศาลา ศิษย์ทั้งหลายพากันแปลกใจ จึงส่งตัวแทนเข้ากราบเรียนถามว่า ""พระเถระเจ้าท่านสบายดีอยู่ หรือวิตกด้วยเรื่องอันใด"" พระธรมาจารย์โปรดว่า ""มิได้อาพาธแต่อย่างใด แต่จีวรธรรมได้ไปทางใต้แล้ว"" ศิษย์รีบถาม "ผู้ใดได้รับมอบ" โปรดว่า ""ผู้มีความสามารถ""ศิษย์ทั้งหมดจึงได้รู้
      ความหมาย...พิจารณา...
      พระธรรมาจารย์มิได้ปิดบังลวงหลอก แต่กล่าวด้วยปริศนาธรรมว่า ผู้ที่ได้รับบาตรกับจีวร คือ""ผู้มีความสามารถ"" ลิ่วจู่ ฮุ่ยเหนิง""เหนิง"" แปลว่าสามารถ  ที่มาของนามว่า""ฮุ่ยเหนิง"" คือ ในวันที่สองหลังจากที่ฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) อุบัติมา  วันนั้น อยู่ ๆ ก็มีพระสงฆ์สองรูปมาแสดงความยินดีสาธุการต่อบิดามารดาของฮุ่ยเหนิง แล้วกล่าวว่า ""บุตรชายคนนี้ของท่านมีฐานะแห่งความเป็นพุทธะอาตมาจึงใคร่ของตั้งชื่อให้ว่า ""ฮุ่ยเหนิง  หมายถึง ผู้มีปัญญา ความสามารถ มีปัญญาธรรมล้ำเลิศ จนอาจประสิทธิ์ประสาทธรรมคุณอันสูงยิ่งแก่สาธุชน อีกทั้งเกินกว่าจะประมาณได้ จะเป็นผู้จรรโลงพุทธศาสนาด้วยปัญญาธรรม""" กล่าวจบ พระสงฆ์ทั้งสองรูปก็หายไปจากที่นั่นอย่างน่าอัศจรรย์
      เมื่อสงฆ์ทั้งหลายได้รู้ว่า ""บาตรกับจีวร"" อันเป็นวัตถุสัญญา เป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งพระธรรมาจารย์"" ถูกท่านฮุ่ยเหนิงรับไป ซึ่งขณะนี้กำลังเดินทางไปทางทิศใต้เท่านั้นเอง โดยมิต้องนัดหมาย..."""ความโลภอยากเป็นสิ่งซึ่งมิพึงต้องนัดหมายแกัน""   
     สงฆ์หลายร้อยรูปพากันออกติดตาม เพื่อจะแย่งชิงบาตรกับจีวร ไว้เป็นของตนหรือกลับคืนมา  ในจำนวนนั้นมีสงฆ์รูปหนึ่ง สามัญนามว่า ""เฉินฮุ่ยหมิง"" เคยเป็นนายพันทหารมาก่อน นิสัยจิตใจ การกระทำบุ่มบ่าม ห่ามและหยาบ แม้จะตั้งใจฝึกฌานเพื่อให้เข้าถึงจิตญาณตน แต่ก็ยังบำเพ็ญไปได้ไม่ถึงไหน จึงหวังเต็มที่จะติดตามลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงไป เพื่อขอวิถีธรรม อาศัยความสามารถจากการเคยเป็นทหารและสังขารแกร่งกล้าจึงตามมาทันลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงก่อนใคร ๆ
     ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงวางบาตรกับจีวรไว้บนก้อนหินใหญ่กล่าวว่า ""บาตรกับจีวรเป็นสัญลักษณ์สูงส่ง เป็นสิ่งซึ่งใช้กำลังแย่งชิงได้หรือ"ลิ่วจู่แฝงกายอยู่ในพงหญ้า เฉินฮุ่ยหมิงตามมาถึง เห็นบาตรกับจีวรบนก้อนหิน ก็ตรงเข้าไปหยิบยก แต่บาตรกับจีวรมิได้ขยับเขยื้อนเลยจึงร้องเรียกว่า ""ท่านผู้จาริก ท่านผู้จาริก ข้าพเจ้ามาเพื่อแสวงธรรม มิได้มาเพื่อบาตรกับจีวร"" ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง จึงออกจากที่ซ่อน ขึ้นนั่งสมาธิบัลลังก์บนก้อนหินใหญ่
     ความหมาย...พิจารณา...
     ...เป็นสัญลักษณ์สูงส่ง เป็นสิ่งซึ่งใช้กำลังแย่งชิงได้หรือ มีความหมายสองประการ  สัญลักษณ์สูงส่ง พึงบำเพ็ญเพียรกอปรด้วยบารมี จึงสมควรรับไว้ หาใช่ ใช้กำลังแย่งชิงกันเช่นนี้  ความหมายอีกประการหนึ่งคือ สัญลักษณ์สูงส่ง แม้แย่งชิงไปได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงวัตถุ จะเกิดประโยชน์อันใดที่ใช้กำลังแย่งชิงไป
      เฉินฮุ่ยหมิง กราบแล้วกล่าวว่า ""ขอท่านผู้จาริกได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย"" พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่จึงได้โปรดว่า""ในเมื่อท่านมาเพื่อแสวงธรรม ก็จงระงับอารมณ์ความเกี่ยวพันทุกอย่าง อย่าได้เกิดความคิดใดเลย เราจะกล่าวแก่ท่าน...""
     ความหมาย...พิจารณา...
     ในอาณาจักรธรรม ขณะถ่ายทอดวิถีธรรม พิธีกรเอกกล่าวว่า ""...ทำใจให้เป็นสมาธิ (สงบ) มองดูพุทธประทีป..."""นั่นก็คือความหมายในภาวะเดียวกันกับที่ท่านลิ่วจู่ โปรดแก่ฮุ่ยหมิงเป็นเบื้องต้นว่า ระงับความเกี่ยวพันทุกอย่าง อย่าได้เกิดความคิดใดเลย  ในคัมภีร์วัชรญาณสูตร จินกังจิง จารึกความตอนหนึ่งที่พระสุภูติ กราบทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า""กุลบุตร กุลธิดาบังเกิดจิตอนุตตรสัมมาสัมโพธิ พึงกำหนดจิตลง ณ ฐานใด พึงสงบจิตนั้นประการใด...""" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบว่า""ณ บัดนั้น ท่านจงสดับ"" หมายถึง จงระงับอารมณ์เกี่ยวพันทุกอย่าง อย่าได้เกิดความคิดใดเลย เช่นนี้จึงเข้าถึงการสดับสัทธรรมได้
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๐ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/10/2553, 10:48

       เวลานั้น สงฆ์ฮุ่ยหมิงต้องใช้เวลานานโขกว่าจะสงบลงได้ พักใหญ่ ลิ่วจู่จึงแสดงธรรมแก่สงฆ์ฮุ่ยหมิงว่า ""ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว(ไม่มีความคิดใด ๆ เลย) ขณะนั้นเอง นั่นก็คือโฉมหน้าแท้จริง(คือภาวะจิตหมดจดแต่เดิมที) ของเถระฮุ่ยหมิงท่านเองแล้ว สงฆ์ฮุ่ยหมิงรู้แจ้งจิตญาณตนทันที เมื่อฟังจบลง  สงฆ์ฮุ่ยหมิงเรียนถามอีกว่า ""ตั้งแต่ก่อนมา นอกเหนือจากพระรหัสวาจา ความลับเฉพาะดังกล่าวแล้ว ยังมีความลับยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่""
      ความหมาย...พิจารณา...
     ความลับที่ถ่ายทอดเฉพาะบุคคล ซึ่งพระอริยเจ้าเก็บรักษาไว้ แท้จริงแล้วก็มิใช่ความลับ แต่เนื่องจาก ""คน"" หลงติดอยู่ในอารมณ์ความคิดรูปแบบใหม่ ไม่รู้จักคาวมคิดจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ของตนแต่เดิมที จึงกลับเห็นรูปแบบเดิมทีเป็นความลับ
     ไตรรัตน์ในวิถีอนุตตรธรรมที่ว่าเป็นความลับเฉพาะแท้จริงแล้วก็มิใช่ความลับ แต่ที่มิให้แพร่งพรายก็เพราะคนหลงไม่อาจเข้าถึงภาวะนั้นได้ ทุกอย่างจึงเป็นความลับสำหรับเขา  พระพุทธะพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ต่างเข้าถึงความลับนั้นได้เอง โดยมิพึงแสวงหาจากที่ใด จึงมิใช่ความลับสำหรับพระองค์
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงโปรดว่า ""ที่กล่าวแก่ท่านแล้วนั้นมิใช่ความลับสำหรับท่านต่อไป หากย้อนมองส่องตนได้ความลับที่ยิ่งกว่านั้น ก็อยู่ที่ตัวของท่านเอง   สงฆ์ฮุ่ยหมิงกล่าวว่า ""ฮุ่ยหมิง แม้จะอยู่ที่หวงเหมย (สถานที่และพระธรรมาจารย์เดียวกัน) แต่แท้จริงมิได้รู้ตื่นพิจารณาโฉมหน้าแห่งตนเลย  จากบัดนี้ท่านผู้จาริกก็คืออาจารย์ของฮุ่ยหมิง""
     พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่กล่าวว่า ""เมื่อท่านเป็นเช่นนี้ คิดได้ดังนี้ เราต่างก็เป็นศิษย์พระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น)ด้วยกันจงประคองรักษา""ตน จิตญาณตน"" ให้ดีเถิด""" ฮุ่ยหมิงกราบเรียนถามอีกว่า ""หลังจากนี้ศิษย์ควรจะมุ่งสู่ที่ใด"" พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ตอบว่า ""เมื่อพบเอวี๋ยน (คือเมืองเอวี๋ยนโจว ในมณฑลเจียงซี) ให้หยุด  พบเหมิง (มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่าเหมิงซัน ลิ่วจู่ให้ฮุ่ยหมิงไปอยู่บำเพ็ญที่นั่น) ให้พำนัก""
      ลิ่วจู่เป็นชาวป่าเมืองใต้ ล่วงรู้ด้วยญาณวิเศษของท่านเองว่า สถานที่ใดอย่างไร เช่นเดียวกับที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่นชี้แนะลิ่วจู่ก่อนจะจากมา  ฮุ่ยหมิง กราบลาพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่กลับทางเดิมไปถึงชายเขา บอกกล่าวแก่ผู้ไม่ประสงค์ดีนับร้อยที่ตามรอยท่านลิ่วจู่มา เมื่อได้พบเขาเหล่านั้นก็บอกกล่าวว่า ""เราปีนป่ายขึ้นไปหา แม้แต่เขาสูงก็ไม่พบร่องรอยของท่านฮุ่ยเหนิงทางแถบนี้ เราจงพากันไปค้นหาทางทิศอื่นเถิด""ทั้งหมดเชื่อว่าเป็นความจริง
     ความหมาย...พิจารณา...
     ด้วยความเคารพในพระคุณล้นพ้นจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงที่ได้โปรดธรรม  ภายหลัง ฮุ่ยหมิงได้เปลี่ยนชื่อเป็น""เต้าหมิง""
มิกล้าใช้ ""ฮุ่ย""ซึ่งตรงกับพระธรรมาจารย์
     ภายหลังฮุ่ยเหนิงหลบลี้มาถึงตำบลเฉาซี ยังถูกคนร้ายไล่ตามค้นหาติดตามมาจนได้พบเวลาผ่านไปเก้าเดือนกว่า ผู้มุ่งหมายบาตรกับจีวร ยังคงไม่ละความพยายาม ลิ่วจู่จึงต้องหลบซ่อนหลี้ภัยอยู่กับกลุ่มนายพรานที่ ""อำเภอซี่ฮุ่ญ"" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นเวลานานถึงสิบห้าปี  (สิบห้าปีที่ใช้ชีวิตร่วมอยู่กับเหล่านายพราน) ลิ่วจู่จะแสดงธรรมกับเขาเหล่านั้นตามควรแก่โอกาสเสมอ
     นายพรานมักจะให้ลิ่วจู่ทำหน้าที่เฝ้าสัตว์ที่จับมาซึ่งได้กักขังไว้ ลิ่วจู่จะแอบปล่อยสัตว์ทุกตัวที่แข็งแรง ซึ่งจะมีชีวิตรอดต่อไปได้อยู่เสมอ โดยที่เหล่านายพรานไม่ได้เอะใจเลย เพื่อมิให้เป็นที่รำคาญใจแก่เหล่านายพราน ลิ่วจู่จะฉันอาหารพืชผักที่อาศัยต้มลวกในหม้อน้ำแกงเนื้อสัตว์ของนายพราน แต่มิได้แตะต้องชิ้นเนื้อใด ๆ เลย บางครั้งถูกถามก็จะตอบว่า""ฉันกินแต่ผักข้างเนื้อ
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""ฉันพืชผัก ต้ม ลวก ในหม้อน้ำแกงของนายพราน อย่างนี้อยู่ทุกมื้อ ทุกวัน นานถึงสิบห้าปี  เป็นภาวะอึดอัดกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง แต่เพื่อรักษาชีวิตร่างกายที่แบกรับภาระศักดิ์ศิทธิ์ ในฐานะพาศาธรรมาจารย์สมัยที่หกแห่งยุค มิให้ชีพจรพงศาธรรมต้องขาดช่วงไป จึงต้องจำใจลี้ภัยอยู่ในสภาพนั้นเรื่ิอยมา
       อาจมีชาวเราผู้บำเพ็ญเห็นว่า ถ้าเช่นนั้น เรากินเจก็น่าจะกินพืชผักในหม้อน้ำแกงเนื้อได้ด้วย โดยไม่แตะต้องชิ้นเนื้อได้ไหม??? จงมองดูเจตนาเป็นที่ตั้ง มองดูภาวะ ""จำใจ""ของท่านลิ่วจู่  กับภาวะ ""ตามใจ ย่ามใจ""ของตนเอง เพื่อสรุปคำตอบที่ถูกต้องได้     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๑ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/10/2553, 14:12

       วันหนึ่ง ลิ่วจู่ใคร่ครวญดูว่า บัดนี้สมควรแก่วาระที่จะแพร่ธรรมได้แล้ว จะหลบลี้ต่อไปอีกไม่ได้  จึงละจากกลุ่มนายพรานเดินทางตรงไปที่""วัดธรรมญาณ ฝ่าซิ่งซื่อ ในเมืองกว่างโจว (รัสมัยเซ่าชิง ราชวงศ์ซ่ง ปีที่สิบเอ็ด เปลี่ยนชื่อวัดเป็น""รังสีกตัญญุตารามกวงเซี่ยวซื่อ"") พอดีเป็นเวลาที่เจ้าประคุณพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงฝ่าซือ มาโปรดอรรถาพระคัมภีร์ "มหาปริวาณสูตร เนี่ยผันจิง""
      ขณะนั้น ธงทิวประดับต้อนรับพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง ต้องลมโบกสบัดอยู่รอบวัด สงฆ์รูปหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ลมไหว"  สงฆ์อีกรูปหนึ่งขัดขึ้นว่า "ธงไหว" ต่างแสดงเหตุผลกันไปไม่จบสิ้น ท่านลิ้วจู่จึงเดินเข้าไปหากล่าวแก่สงฆ์ทั้งสองรูปว่ามิใช่""ลมไหว""มิใช่""ธงไหว""แต่ท่านเอง ""ใจไหว"" ผู้ได้ฟังตื่นใจกับสัจธรรมคำนี้
      ความหมาย...พิจารณา...
      ผู้เห็นว่าลมไหว คือติดอยู่ในนามรูปของลม หากไม่เคยรู้จักลม ไม่เคยเห็นนามรูปของลม อันเป็นภาวะจิตภายนอกเดิมแท้ ก็จะไม่กล่าวว่าลมไหว  ผู้ที่เห็นว่าธงไหว ก็เช่นกัน ติดอยู่ในนามรูปของธงอันเป็นวัตถุ เป็นภาวะจิตภายนอกเดิมแท้
     แม้ธงและลมจะเป็นนามรูปแต่หากใจไม่ปรุงแต่งกำหนดหมายไปตามนามรูปนั้น ใจก็จะว่างจากลมไหว หรือธงไหว ท่านลิ่วจู่จึงกล่าวว่า ""ท่านเองใจไหว""
     ยุคโลกาภิวัตน์สับสนวุ่นวายในปัจจุบัน มีเสียงบ่นกันมากมายว่าใคร่หาความสงบได้จากที่ใด ก็คงจะหาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเดินทางไกล ณ ที่ใจของท่านนั่นเอง    ::: ใจหยุด  ทุกอย่างหยุด     ::: ใจไหว      ทุกอย่างไหว
                                          :::  ใจสงบ  ทุกอย่างสงบ     :::  ใจวุ่นวาย   ทุกอย่างวุ่นวาย
     พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง  รับทราบดังนั้นแล้ว จึงเชิญลิ่วจู่ขึ้นนั่งบนอาสนะระดับสูง เรียนถามข้อธรรมลึกซึ้งจากท่านลิ่วจู่  ได้เห็นท่านลิ่วจู่ อรรถาธิบายด้วยคำพูดธรรมดา ๆ  สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ชัดเจนถ้วนถี่ ตรงต่อหลักสัจธรรมทุกถ้อยคำ โดยมิต้องมีสำนวนโวหารพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง  ทราบได้ทันทีว่าท่านผู้นี้มิใช่บุคคลธรรมดา จึงเอ่ยถามว่า ""ท่านผู้จาริกจะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ...ได้ยินมาช้านานแล้วว่า จีวรพงศาธรรมแห่งหวงเหมยโปรดสู่ทางใต้ คงจะเป็นท่านผู้จาริกกระมัง"" ท่านลิ่วจู่ตอบสั้น ๆ อย่างถ่อมตนว่า ""มิกล้า""
      ความหมาย...พิจารณา...
      ถ่อมองค์ว่า ""มิกล้า"" ซึ่งเป็นการแสดงสถานภาพของพงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกแห่งยุคแล้วอย่างชักเจน  ในที่นี้  ใคร่ขอให้ผู้บำเพ็ญโปรดพิจารณายกย่องผู้อื่นของพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงด้วยว่า ปราศจากอัตตา ปราศจากทิฐิวิสัยได้อย่างสูงส่งเพียงไร
      เมื่อชัดเจนเช่นนี้แล้ว พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง จึงนำศิษย์น้อมกราบพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ทันที อีกทั้งขอให้พระธรรมาจารย์เปิดเผยบาตรกับจีวรพงศาธรรมให้สาธุชนได้กราบนมัสการกัน
      ความหมาย...พิจารณา...
      พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง ก็มิใช่บุคคลธรรมดาท่านเป็นศิษย์พงศาธรรมาจารย์สมัยที่ห้า มหาเถระหวงเหมย (หงเหยิ่น)เช่นกันหลังจากที่พระธรรมาจารย์ดับขันธ์กลับคืนไปแล้ว  ก็จาริกมาที่วัดธรรมญาณที่กว่างโจว...ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่ผ่านมา  หลังจากที่พระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น) ส่งศิษย์ฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) ข้ามฟากแล้ว ต่อมาภายหลังพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นได้เจริญธรรมวิเศษ จาริกโปรดสัตว์เรื่อยไป จนถึงอำเภอเจิ้งฝู่ฝัง และได้ดับขันธ์ละกายสังขารไปอย่างเงียบ ๆ ในถ้ำหินบนภูเขาฝังซัน
     ก่อนละสังขารบรรลุธรรม ชาวบ้านแถบนั้นต่างแลเห็นแสงสีรุ้งพวยพุ่งออกจากถ้ำ สว่างเหนือถ้ำนับพันหมื่นสายอยู่หลายวัน เป็นที่อัศจรรย์นัก  สิบห้าค่ำเดือนห้า ตรงตามกำหนดที่กล่าวแก่ลิ่วจู่ ฮุ่ยเหนิงไว้ว่า""อีกสามปีเราจึงจะละกายสังขาร""
     ปัจจุบัน พระเจดีย์ที่บรรจุพระสรีระร่างของพระองค์เป็นปูชนียสถานสำคัญที่สานุชนยังมากราบนมัสการกันไม่ขาดสาย ณ อำเภอหวงเหมย ที่พระองค์อุบัติมา
     กลับมากล่าวถึงพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง เผยแผ่พุทธธรรมอยู่ในเมืองกว่างโจวอยู่สิบสองปี  เป็นที่เคารพเลื่อมใสของสาธุชนทุกวงการ ลูกศิษย์ลูกหามากมาย นับเป็นพระมหาเถระเจ้าสำคัญยิ่งในสมัยนั้น
     เรื่องราวการมอบหมายบาตรกับจีวรแก่ลิ่วจู่ ท่านก็ได้ฟังมาจากคนรุ่นก่อนซึ่งมีความคิดเห็นต่างกัน ...บ้างคิดว่าลิ่วจู่ได้รับมอบ...บ้างก็คิดว่าลิ่วจู่ลักโขมยไป  ฝ่ายหลังจึงออกติดตามเพื่อจะช่วงชิงเอากลับคืน
     พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง อยู่ในฝ่ายคิดเห็นว่า ""ได้รับมอบ""" จึงมีความเคารพนบนอบ อีกทั้งขอความกระจ่างในข้อธรรมจากลิ่วจู่   พระอภิธรรมาจารย์กราบเรียนถามอีกว่า ""พระธรรมาจารย์หวงเหมยได้โปรดกำชับมอบหมายชี้แนะแนวทางไว้อย่างไรลิ่วจู่ตอบว่า ""ชี้แนะแนวทางหามิได้ ได้แต่พิจารณาการรู้แจ้งจิตญาณตน ไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น""
      ความหมาย...พิจารณา...
      ที่ว่า ไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น  นั้นด้วยเหตุจะทำให้ตกไปสู่ธรรมปฏิบัติยึดหมายในมโนวิญญาณ ยากจะเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งจิตญาณตน ซึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับวิถีจิตโดยตรงแล้ว น่าจะเพียรพยายามในทางตรงที่ได้รับรู้นั้น  นี่คือความหมายประการหนึ่ง  ประการที่สอง คือวิถีจิตที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่นถ่ายทอด หนึ่งจุดเบิกนั้นคือจุดกำหนดสูญตา ความว่าง นำจิตเข้าสู่ภาวะว่าง  ณ  จุดนั้น  ก็จะรู้แจ้งจิตญาณตน รู้ได้เช่นนี้แล้ว ยังจะวกกลับไปพิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้นอีกทำไม
 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๒ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/10/2553, 06:11
           
         หมายเหตุ !!!   พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงได้ถ่ายทอดวิถีธรรมโปรดแสดงธรรมแก่ศิษย์ สงฆ์ฮุ่ยหมิง (เฉินฮุ่ยหมิง  บวชอยู่ที่หวงเหมยสถานที่และพระธรรมาจารย์เดียวกันทั้งสองต่างก็เป็นศิษย์พระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น) ภายหลัง ฮุ่ยหมิงได้เปลี่ยนชื่อเป็น"เต้าหมิง" มิกล้าใช้ ""ฮุ่ย"" ตรงกับพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง) ""ไม่คิดดี  ไม่คิดชั่ว  ไม่มีความคิดใด ๆ เลย""

         พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง (ท่านเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์หงเหยิ่น (พระมหาเถระเจ้าหวงเหมย ) สมัยที่ห้า ท่านดับขันธ์ละกายสังขารไปเงียบ ๆในถ้ำหินบนภูเขา"ฝังซัน"อำเภอเจิ้งฝู่ฝัง สิบห้าค่ำเดือนห้า ปัจจุบัน พระเจดีย์ที่บรรจุพระสรีระร่างของพระองค์เป็นปูชนียสถานสำคัญ  ณ  อำเภอหวงเหมย)  เช่นกัน ท่านลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง

         พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงยังกังขา จึงกราบเรียนถามซ้ำว่า ""เหตุใดจึงไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น"" ตอบว่า""เหตุด้วยธรรมะปฏิบัติอันแยกเป็นสองกรณี มิใช่พุทธธรรม  พุทธธรรมเป็นเอกะหนึ่งเดียวไม่เป็นสอง""
        ความหมาย...พิจารณา...
  .....ไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น ด้วยเป็นสองกรณี  เหตุใด ! จึงต้องหลุดพ้น?? เพราะเหตุที่มีสิ่งผูกมัด เพื่อแก้ปมผูกมัด จึงต้องเอาหลุดพ้นเป็นข้อกำหนด  เหตุใด ! จึงต้องเอาฌานสมาธิเป็นธรรมปฏิบัติ ??  เพราะเหตุที่มิอาจเข้าถึงภาวะรู้แจ้งจิตตนฉับพลัน มิอาจดับลงโดยตรงทันที จึงต้องเอาฌานสมาธิเป็นข้อกำหนด  เช่นนี้  พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น จึงมิได้โปรดกำชับหมอบหมายชี้แนะแนวทางให้พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น แต่โปรดให้พิจารณารู้แจ้งจิตญาณตนเป็นสำคัญ เคยมีคนถามว่า""วิถีอนุตตรธรรมคือพุทธศาสนาหรือมิใช่"" วิถีอนุตตรธรรมมิใช่พุทธศาสนาโดยตรง แต่เผยแผ่หลักพุทธธรรมอันเป็นสัจจะ เป็นทางรู้แจ้งจิตเดิมตนเข้าถึงภาวะหลุดพ้นได้ เผยแผ่วิถีจิต สืบต่อเรื่อยมาจากพระบรรพจารย์ครั้งก่อนเก่า  ในพิธี มีธรรมประกาศิตจากเบื้องบนว่า"" หนึ่งจุดศูนย์กลางรู้ได้ในจิตตน อี้จื่อจงเอียงฮุ่ย""" นั่นคือ การพิจารณารู้แจ้งจิตตนเป็นหลักสัจธรรมที่ให้เข้าถึงจิตพลัน
   """ปรกโปรดกาลสุดท้าย จากโบราณกาลมา มิเคยเอ่ยให้  """  "" ณ ที่นี่ วิสุทธิอาจารย์จะขานไข "" ให้รู้แจ้งจริง  """คนโง่หลง ได้รู้หนทางกลับบ้านเดิม """ ให้ก้าวสู่วิถีจิตมิพึงวกวน ให้แจ่มแจ้งสัจธรรม กำหนดกาลนี้จึงเรียกว่า ""ธรรมกาลยุคขาว"" ""ขาวใสด้วยใจรู้แจ้ง""  เข้าถึงภาวะเอกะธรรม
        พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง จึงเรียนถามอีกว่า ""เช่นไรจึงเป็นเอกะพุทธรรม"" 
        ความหมาย...พิจารณา...
        สิบห้าปีก่อน เมื่อลิ่วจู่เดินทางมาถึงเฉาซี พบแม่ชีอู๋จิ้นจั้ง  แปลว่าคลังมหาสมบัติมิอาจประมาณ (พุทธญาณขุมคลังปัญญา) สวดท่องพระคัมภีร์ ""มหาปรินิรวาณสูตร"" โดยไม่เข้าใจความหมาย ลิ่วจู่จึงอรรถาธิบายให้ฟัง
        เมื่อพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง มีคำถามมา จึงตอบว่า ""ที่อภิธรรมาจารย์เทศนาคัมภีร์มหาปรินิรวาณสูตร ไปเมื่อสักครู่นั่นแหละเป็นความหมายให้แจ้งใจในพุทธญาณตน คือพุทธธรรมอันไม่เป็นสอง
       ความหมาย...พิจารณา...
       แจ้งใจในพุทธญาณตน คือแจ้งใจในพุทธธรรม  จึงเข้าถึงเอกะธรรม  เราได้รับวิถีธรรม พระวิสุทธิอาจารย์ถ่ายทอดหนึ่งจุดศูนย์กลางรู้ได้ในจิตตน ณ บัดใจ ให้เข้าถึงพุทธธรรม
       เช่นในคัมภีร์มหาปรินิรวาณสูตร  พระเจ้าปเสนทิโกศล ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ""ผู้ล่วงผิดต่อศีลข้อห้ามสี่ กระทำอนันตริยกรรมห้า และไม่ศรัทธาเลื่อมใสต่อพุทธรรมเหล่านี้ จะต้องขาดจากกุศลมูลแห่งพุทธญาณหรือไม่"""
       ความหมาย...พิจารณา...
       ศีลสี่ คือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย ล่วงผิดในกาม มุสาเพ้อเจ้อ   อนันตริยกรรมห้า คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้สงฆ์แตกแยก ทำให้พระพุทธองค์ห้อโลหิต  ซึ่งเจตนาร้ายทำลายพุทธสาทิสลักษณ์ หรือพระพุทธรูปบูชา ก็จัดอยู่ในข้อนี้

         
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๓ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/10/2553, 07:05

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "" กุศลมูลมีสอง  หนึ่งเที่ยง  สองไม่เที่ยง  พุทธญาณนั้นมิใช่เที่ยงและมิใช่ไม่เที่ยง ฉะนั้นจึงมิขาด อันได้ชื่อว่า ไม่เป็นสอง ""
    ความหมาย...พิจารณา...
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้เป็นสองกรณี ทั้งขาดและไม่ขาด ก็เพื่อมิให้ละเมิดผิดต่อศีล มิให้เป็นโอฆะเวร และมิให้ขาดศรัทธาวึ่งจะทำให้ยากแก่การบรรลุธรรม  ภายหลังก่อนกาลอันใกล้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสจารึกไว้ในสัทธรรมปุณฆลฑริกสูตรกับมหาปรินิรวาณสูตร ว่า ""เวไนยสัตว์ล้วนมีพุทธญาณ อันอาจบรรลุพุทธะได้ในที่สุด""" ประการหลังนี้ประกาศสัจธรรม ความเป็นจริงอันเที่ยงแท้  ฉะนั้น ผู้ละเมิดผิดต่อศีล บาปเวรและสรัทธา ลัวนอาจบรรลุธรรมได้ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับเวลา เหตุปัจจัยที่จะส่งผลให้ต่อไป  มีคำกล่าวว่า ""โทษบาปมากมาย คลายลงได้ด้วยสำนึก"" ตัวอย่างเช่นองคุลีมาร กลับตัวกลับใจสำนึก เลื่อมใสในพุทธธรรมทันที ก็บรรลุธรรมได้ในที่สุด ด้วยทุกคนล้วนมีพุทธญาณแต่เดิมที ผิดชอบชั่วดีย่อมรู้ได้ด้วยตน จะต่างกันที่บ้างรู้เร็วรู้ช้า รู้แท้รู้ไม่แท้  กาลเวลาที่จะอำนวยผลให้ได้ฟื้นฟูพุทธญาณจึงต่างกัน หากจะเอาการโคจรของดวงอาทิตย์กับโลก มาเป็นข้อเปรียบเทียบก็ได้ว่า โลกหมุนรอบตัวเอง จึงมีกลางวันกลางคืน ตรงข้ามกัน เปรียบเช่นกุศลมูลกับอกุศลมูล
      ดวงอาทิตย์เปรียบเช่นธรรมญาณ เป็นอยู่อย่างนั้นเอง โดยไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่แตกต่างด้วยความมืดสว่าง จึงอยู่เหนือกฏการณ์อันเป็นกลางวันกลางคืน พุทธญาณเป็นเช่นนี้ อยู่เหนือความเที่ยงและไม่เที่ยงอย่างแท้จริง จึงกล่าวได้ว่า ไม่ขาดจากกุศลมูลแห่งพุทธะ
      หนึ่งคือ กุศล  สองคือ อกุศล พุทธญาณมิได้เป็นทั้งกุศล และอกุศล  จึงได้ชื่อว่าไม่เป็นสอง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ด้วยพุทธญาณอยู่เหนือภาวะตอบโต้แปรเปลี่ยน การนำพาสาธุชนเข้าขอรับวิถีธรรม บางคนมาได้ง่ายบ้างมาได้ยาก เราจะระลึกว่าเขาเคยสร้างสมกุศลมูลมาอย่างไร แต่มิอาจคิดว่า เขามีภาวะพุทธญาณหรือไม่ แม้คนที่ไม่อาจมา เรายังเพียรนำพาครั้งแล้วครั้งเล่า   ปราชญ์เมิ่งจื่อประกาศทฤษฏีธรรมว่า ""ธรรมญาณมีภาวะเดิมทีที่ดีงาม เที่่ยงธรรมดั่งฟ้าดินแผ่มหาพลานุภาพไพศาล คงอยู่ในมหาจักรวาล"" ความหมายคือ เป็นเอกะหนึ่งเดียว ไม่เป็นสองเช่นกัน
      ในโลกของขันธ์ห้า ปุถุชนเห็นพุทธญาณเป็นสอง ผู้มีปัญญาจบสิ้นภาวะจิตญาณอันเป็นสองของตน เมื่อจิตญาณไม่เป็นสองก็คือพุทธญาณ
      ความหมาย...พิจารณา...
      ปุถุชนยังตกอยู่ในขันธ์ห้า เวียนวนอยู่กับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงคุ้นเคยและหมายว่า พุทธญาณมีภาวะแปรไปเป็นสองเช่นนี้
      พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง  สดับดังนั้นแล้ว ปลื้มปิติสาธุการกล่าวว่า ""อาตมาอรรถาธรรมเปรียบได้ดังเศษกระเบื้อง ท่านสาธยายธรรมเปรียบได้ดั่งทองคำแท้""  ดังนั้นแล้ว จึงปลงพระเกศาแด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ถวายความเคารพเป็นพระอาจารย์
     ความหมาย...พิจารณา...
     พระธรรมาจารย์ได้รับถ่ายทอดวิถีจิตจากพงศาธรรมาจารย์หงเหยิ่น บวชจิตรู้แจ้งฉับพลัน รับฐานะพงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกสืบต่อทันทีตั้งแต่สิบห้าปีก่อน  แต่เนื่องด้วยกาลเวลานั้น ความกระทันหัน อีกทั้งต้องระหกระเหิน จึงยังมิได้บวชกายตามพิธีภายหลังพระเกศาของพงศาธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้รับการเก็บรักษาไว้ในพระเจดีย์ที่วัดธรรมญาณ ฝ่าซิ่งซื่อ เป็นที่สักการำลึกมาจนถึงทุกวันนี้
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๔ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/10/2553, 09:24
 
        ณ  บัดนั้น พงศาธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงเข้าประทับนั่งยังใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ เปิดปฐมกาลประกาศสัทธรรมวิถี ""บูรพาบรรพต"" ตงซัน   เกี่่ยวกับศรีมหาโพธิ์  คือในรัชสมัยเหลียงอู่ตี้ ปีต้นศักราชเทียนเจี้ยน (ค.ศ.502) สมเด็จพระคุณเจ้าไภษัชย์ปัญญาปิฏก ข้ามทะเลมาถึงที่แห่งนี้ ได็โปรดปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ ที่นำมาจากอินเดียลงตรงนี้ อีกทั้งได้สลักศิลาจารึกไว้อีกแผ่นหนึ่ง
        แผ่นแรกสร้างโดยสมเด็จพระคุณเจ้าคุณาภัทรปิฏก ซึ่งล่องเรือจากอินเดียมาประกาศพุทธธรรมในประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง  สมเด็จพระคุณเจ้าไภษัชย์ปัญญาปิฏก ได้สลักศิลาจารึกแผ่นที่สองไว้ ณ ที่นั้น มีใจความว่า ""อีกร้อยเจ็ดสิบปีภายหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ที่ยังดำรงกายเนื้อยู่ จาริกมาแสดงสัทธรรมแห่งมหายาน ณ ที่นี่ จะกอบกู้อุ้มชูเวไนยฯไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธรรม เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธโดยแท้"" มีคำกล่าวว่า ""พระอริยะย่อมรู้ได้ในพระอริยะ""  ฮุ่ยเหนิงที่ปุถุชนเห็นเป็นชาวป่าชาวเยิง แท้จริงคือพระภาคจาก ""พระบรรพพุทธะกษิติครรภ์"" ตี้จั้งอ๋วงกู่ฝอ
        เมื่อพงศาธรรมาจารย์ประทับนั่งยังใต้ต้นศรีมหาโพธิ์แล้ว ประกาศสัทธรรมวิถี ""บูรพาบรรพต  ตงซัน"" นั้นว่า...
        ความหมาย...พิจารณา...
        เนื่องด้วยภูเขาหวงเหมย ถิ่นกำเนิดของพงศาธรรมาจารย์สมัยที่ห้า อยุ่ทางแถบตะวันออกของเมืองฉีโจว เรียกว่า ตงซันหมายถึงบูรพาบรรพต  พงศาธรรมาจารย์สมัยที่สี่ และพระองค์เองก็เจริญธรรมที่ ""ตงซัน""
       สัทธรรมวิถีจิตฉับพลัน ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากตงซัน ด้วยรำลึกพระคุณหลายประการนี้ พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่จึงได้ประกาศสัทธรรม โดยให้ชื่อว่า ""วิถีธรรมแห่งตงซัน"" บูรพาบรรพต
      พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ได้โปรดเล่าประวัติการเจริญธรรมของพระองค์ให้ทุกคนฟัง  พระธรรมาจารย์อิ้นจงเป็นบุคคลสำคัญมากสำหรับประวัติการช่วงนี้
     เมื่อพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงกราบถวายตัวเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่แล้ว ท่านก็ได้ยกอาณาจักรธรรมทั้งหมดที่ดำเนินงานแพร่ธรรมมานานถึงสิบสองปีให้แก่พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ปกครองทั้งหมด  ฉะนั้น  ทันทีที่ประกาศวิถีสัทธรรมที่ตงซัน พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ก็จึงพรั่งพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา สาธุชนผู้ศรัทธา และทุกสิ่งอย่างอันพึงมี  จากจุดนี้ เราจะเห็นได้ว่า พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงนั้นมิใช่ธรรมดา เราชาวอนุตตรธรรมก็เช่นกัน ""บำเพ็ญเพื่อให้  แต่มิใช่เพื่อแย่งชิง""
     หากเป็นเช่นนี้ มหาเอกภาพของโลกจึงจะเกิดขึ้นได้จากอาณาจักรธรรม
  ...อาตมาฮุ่ยเหนิง  ได้รับวิถีธรรมจากตงซัน เจริญธรรมด้วยความลำบากยากยิ่งทุกสิ่งอย่าง  (ผู้แย่งชิงบาตรกับจีวรไม่ลดละทุกขณะเวลา) ชีวิตดั่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย
     บำเพ็ญธรรมควรอยู่ที่รู้แจ้งฉับพลัน มิใช่อยู่ที่หาวิธีหาหนทางไปเคี่ยวกรำ  การเคี่ยวกรำยังอาจเป็นเหตุบั่นทอนการเจริญอีกด้วยซ้ำไป หากไม่รู้เท่าทันต่อการเคี่ยวกรรมนั้น แต่หากมีเหตุจะต้องถูกเคี่ยวกรรมอย่างไร ก็ให้น้อมรับสภาพนั้น เป็นประสบการณ์ไว้เพื่อใช้ในการเจริญธรรม
     พระธรรมาจารย์กล่าวว่า ""วันนี้ได้ประชุมธรรมที่นี่พร้อมกันกับขุนนาง ข้าราชการ สงฆ์ ชี ผู้ถือศีล และสาะุชน ชะรอยจะเป็นเหตุปัจจัยแห่งบุญแต่ครั้งอดีตชาติอีกทั้งยังเคยได้ร่วมกันสักการะอุปัฏฐากเหล่าพุทธะ เคยร่วมปลูกเหตุกุศลมูลมาก่อน จึงเป็นเหตุให้ได้สดับพุทธธรรมวิถีฉับพลัน
     การจะร่วมปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรมเดียวกัน มิใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นบุญสัมพันธ์วิเศษยิ่งเหนือกว่าบุญสัมพันธ์อื่นใดในทางโลก  ฉะนั้น  จะไม่ดำรงคุณค่าไว้จะได้หรือ
     ศาสนาเป็นสิ่งซึ่งอดีตอริยเจ้าถ่ายทอดให้ มิใช่ปัญญาจากฮุ่ยเหนิงเอง  ท่านผู้ยินดีสดับคำสอนจากอริยะ จึงต่างชำระใจตน ได้ฟังแล้วต่างจะขจัดข้อสงสัยได้เอง ก็จะไม่ต่างจากอดีตอริยะ
     ซือจุน พระวิสุทธิอาจารย์ของเราโปรดไว้ ""บำเพ็ญธรรมไม่มีอื่นใด ล้วนอยู่ที่สงสัยต้องถาม"" บำเพ็ญเพื่อเข้าถึงแก่นธรรมให้กระจ่างแจ้ง  ผู้เก็บเอาความคลุมเครือลังเลสงสัยไว้โดยไม่ใฝ่รู้ มิใช่วิสัยของผู้บำเพ็ญจริง 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๕ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/10/2553, 11:23

       พระธรรมาจารย์โปรดแก่สาธุชนต่อไปว่า ""ท่านผู้เจริญปัญญาแห่งโพธิญาณ ชาวโลกต่างมีอยู่เองเดิมที ด้วยเหตุที่ใจหลงไม่อาจสำนึกรู้ได้ จึงต้องอาศัยมหาบุรุษผู้เจริญธรรมชี้นำให้เห็นจิตญาณ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ท่านผู้เจริญ หมายถึง ผู้สามารถชี้นำสาธุชนให้ละเลิกต่ออกุศลกรรม และเจริญกุศลกรรมได้  ผู้สามารถชี้นำสาธุชนให้รู้เห็นปัญญาแห่งโพธิญาณได้  ในอาณาจักรธรรมมากไปด้วยผู้ที่เป็นปากเสียงแทนฟ้าเบื้องบน ท่านเหล่านั้นก็เป็นท่านผู้เจริญในระดับหนึ่งเช่นกัน
     ...พึงรู้ว่าคนโง่คนฉลาด พุทธญาณมิแตกต่างกันแต่เดิมที ด้วยเหตุที่จิตหลงต่างกัน ดังนั้นจึงมีโง่มีฉลาด  หลงมาก -- โง่มาก  หลงนาน -- โง่นาน  หลงลึก - โง่ลึก
        บัดนี้จะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายในข้อธรรม  ""มหาปัญญาปารมิตา""  เพื่อท่านทั้งหลายต่างเกิดปัญญา  ขอจงใฝ่ใจสดับฟังอาตมาจะกล่าวแก่ท่าน
        ความหมาย...พิจารณา...
        ""ใฝ่ใจ""มิให้ใจแวะเวียนฟุ้งซ่าน   ""ตั้งใจ"" ให้มีสมาธิคงที่ไว้ มิให้เลื่อยลอย
        ท่านผู้เจริญ...ชาวโลกต่างท่องบ่น ""ปัญญาปารมิตา""กันทั้งวันแต่ไม่รู้จักปัญญาญาณแห่งตน ท่องบ่นเสียเปล่า ดั่งกินข้าวซึ่งมิอิ่มได้ กล่าวอ้างเสียเปล่า หมื่นกัปมิอาจเห็นได้ในจิตญาณ ที่สุดคือไร้ประโยชน์  ข้อความท่อนหนึ่งกล่าวไว้ว่า.""..อ่านคัมถีร์เพื่อสยบอารมณ์...ไม่เข้าใจความหมายไม่เป็นไร...นานวันไปก็อาจเห็นจิตญาณตน...""  กับข้อความที่ว่า ...ท่องบ่นเสียเปล่า...มิอาจเห็นได้ในจิตญาณตน...""  ข้อความทั้งสองมิได้ขัดกันในการปฏิบัติและข้อสรุป พึงรู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระอริยเจ้า ล้วนให้ธรรมะที่ตรงต่อจริต ตรงต่อสภาพความเป็นจริงของผู้รับ ดั่งให้โอสถที่มีสรรพคุณและขนาดรับประทานที่เหมาะแก่โรคของผู้นั้น
       นัยเดียวกันที่ตถาคตเจ้าได้แสดงธรรมกรณีเดียวกัน แต่ด้วยคำตอบต่างกัน ในวาระในบุคคลต่างกัน เช่นที่กล่าวไว้ข้างหน้าอันว่าด้วย ""การขาดจากกุศลมูลแห่งพุทธะหรือไม่ อย่างไร??? นั้น ท่านผู้ศึกษาจงโปรดพิจารณา
       พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  ""ท่านผู้เจริญ "" มหาปัญญาปารมิตา""  เป็นภาษาสันสกฤต คำนี้หมายถึง""มหาปัญญาบรรลุฟากฝั่ง"" ...การนี้พึงดำเนินไปด้วยจิต มิอยู่ที่ปากสวดท่อง  ปากสวดท่องแต่จิตมิได้ดำเนินตาม จะเป็นเช่นภาพมายา อากาศธาตุ จะเป็นเช่นน้ำค้าง สายฟ้า หามีแก่นแท้ไม่  ปากท่องบ่นไป จิตใจดำเนินตาม ปากกับใจจะสอดคล้องกัน  จิตญาณตนคือพุทธะ พ้นจากจิตเดิมไป อื่นใดหามีพุทธะไม่  อย่างไรได้ชื่อว่า ""มหา""  มหาคือใหญ่  ปริมาตรใจกว้างใหญ่ ดุจดั่งอวกาศ ปราศจากขอบเขตปราศจากกรอบ เหลี่ยมกลมใหญ่เล็ก ปราศจากเขียวเหลืองแดงขาว ปราศจากบนล่างยาวสั้น ปราศจากโทสะ ปราศจากยินดี ปราศจากผิด  ปราศจากดี  ปราสจากชั่ว  ปราศจากเบื้องต้นและปราศจากเบื้องปลาย...
       ความหมาย...พิจารณา...
       ปริมาตรใจกว้างใหญ่  ชาวโลกมีคำชื่นชมกันว่า คนนี้ใจกว้างดั่งแม่น้ำ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ได้ไม่อั้นทั้งหมดเท่าที่มี   พระเยซูคริสต์มีพระหฤทัยรักกว้างใหญ่ไพศาล  จนมีคำนิยามสรรเสริญว่า""พระผู้เป็นเจ้าทรงรักโลก""เป็นความรักยิ่งใหญ่ไม่อาจประมาณจำกัดโดยแท้ ปริมาตรใจในพระคัมภีร์จึงเป็นใจที่มิอาจประมาณความเวิ้งว้างของอวกาศมิอาจคำนวนวัดขอบเขต
      ซุนอู้คง (ซุนหงอคง) ในไซอิ๋ว ตีลังกาทีเดียวไปไกลถึงหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ แต่ยังมิอาจพันไปจากใจกลางฝ่าพระหัตถ์ของพระเยซูไลพุทธเจ้าได้  ครั้งหนึ่งซุนอู้คง วิ่งไปจนถึงขอบฟ้า มองเห็นภูเขาห้านิ้ว อู่ซื่อซัน   หมายว่าจุดนี้ถึงที่สุดแล้วของโลกกว้าง จึงปัสสาวะรดไว้ตรงนั้นเพื่อเป็นหลักฐานที่ระลึก  อีกทั้งเขียนหนังสือประกาศความยิ่งใหญ่ที่ได้มาถึงที่สุดขอบฟ้าว่า "เรา"มหาอริยะเทียมฟ้า ฉีเทียนต้าเซิ่ง  ได้มาเที่ยวถึงที่นี่  กลับมาจากขอบฟ้า ซุนอู้คงกราบทูลพระยูไลพุทธเจ้าด้วยความกระหยิ่มใจว่า ""ข้าพเจ้ากลับจากขอบฟ้ามาแล้ว"" พระยูไลพุทธเจ้าแบพระหัตถ์ออก ซุนอู้คงเห็นข้อความตัวหนังสือลายมีอของตนที่เขียนไว้บนภูเขาห้านิ้ว ชัดเจนอยู่บนนิ้วพระหัตถ์ของพระยูไลพุทธเจ้า...
       ยูไล หมายถึง ตถตา พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเสด็จมาจากภาวะ "อันเป็นเช่นนั้นเอง" หมายถึงโพธิญาณอันปราศจากรูปลักษณ์ ความกว้างใหญ่แห่งโพธิญาณนั้นเพียงไร  ดุจมหาอวกาศ หมื่นโลกธาตุ
       ซุนอู้คง ยังมิอาจไปถึงความกว้างไกลปานนั้น มิเกินกว่าใจกลางฝ่าพระหัตถ์พระยูไลพุทะเจ้าได้เลย  นี่คือ !!! ยกตัวอย่างให้เห็นความแตกต่างระหว่างใจกว้างดั่งแม่น้ำของคน กับปริมาตรใจไร้ขอบเขตของโพธิญาณ
       พุทธเกษตรแห่งพุทธทั้งหลาย กว้างใหญ่ดุจอวกาศ พุทธเกษตรจึงมิได้กำจัดอยู่ ณ ทิศตะวันตก ตามที่เคยเข้าใจกันมาดินแดนแห่งพุทธะ ดุจเดียวกับมหาอวกาศ  ชาวโลกมีจิตญาณเดิมอันว่างเปล่าแต่เดิมทีจึงปราศจากธรรมอันใดอันได้รับไว้ สุญตาแห่งจิตญาณตนก้เป็นเช่นนี้ เมื่อจิตเข้าสู่ภาวะสุญตาแล้ว ยังจะมีธรรมะใดกำหนดหมายอยู่ในจิตนั้น
       ท่านผู้เจริญ จงอย่ายึดหมาย เมื่อได้ยินอาตมากล่าวว่า ""ว่าง"" ก็ไปยึดหมายในความว่างกัน  ข้อหนึ่ง อย่าได้ยึดหมายในความว่าง หากทำสมาธิโดยยึดหมายความว่าง จะเข้าสู่การยึดหมายในความว่างอันมิพึงยึดหมายไว้
       พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่โปรดว่า ""ไม่ยึดหมายในความดี ความชั่ว แต่ชัดเจนรู้ได้ในความดีความชั่วนั้น
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๖ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 02:24

      ท่านผู้เจริญ  ความว่างของมหาจักรวาล โอบรับสรรพสิ่งทั้งวัตถุรูปลักษณ์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขา แม่น้ำ ผืนแผ่นดิน สายน้ำลำธารคูคลองน้อยใหญ่ ต้นหญ้า ต้นไม้ ไพรพฤกษ์ คนชั่วคนดี อกุศลธรรมกุศลธรรม สวรรค์นรก มหาสมุทรทั้งหมด เขาพระสุเมรุ ล้วนอยู่ท่ามกลางของอวกาศนั้น จิตญาณว่างของชาวโลกก็เป็นเช่นนั้น
      ความหมาย...พิจารณา...
      โลก ในพระคัมภีร์ หมายถึง ชาติภพ กาลเวลา เช่น สามโลกคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต   จิตญาณว่างของชาวโลก หมายถึงว่างจากสามโลก ว่างจากสรรพสิ่ง  "" จิตญาณว่างอยู่ท่ามกลางความมีอยู่ของสรรพสิ่ง"""
                                    ""  สรรพสิ่งมีอยู่ท่ามกลางความว่างของจิตญาณ""
                                    ""  สรรพสิ่งมีอยู่ท่ามกลางความว่างของมหาจักรวาล""
      พระเยซูเจ้ากล่าวว่า "เราคือสัจธรรม คือชีวิต คือหนทาง"" ภาษาที่นิยามต่างกัน แต่ความหมายอย่างเดียวกัน  อริยปราชญ์เหลาจื่อ จารึกไว้ในคัมภีร์วิสุทธิสูตร ชิงจิ้งจิง  ว่า "คน บริสุทธิ์ สงบ เที่ยงแท้ไซร์ ฟ้าดินสรรพสิ่งล้วนเป็นของตนคือสภาวะใหญ่ท่ามกลางมิใช่สังขาร  ฟ้าดินสรรพสิ่งล้วนเป็นของตน ซึ่งแท้จริงตนก็คือส่วนหนึ่งของฟ้าดิน สรรพสิ่งเมื่อไม่มีตนเฉพาะตน ไม่ยึดหมายเฉพาะส่วน ทุกขณะจะเป็นอิสระ เสมือนยืนอยู่บนที่สูงอันเวิ้งว้าง  พุทธญาณตนสงบบริสุทธิ์แต่เดิมที เมื่อใดที่กลับคืนไปสู่พุทธญาณแต่เดิมทีนั้น ได้มหาจักวารก็คือฉัน ฉันก็คือมหาจักรวาล ล่วงพ้นจากการถูกควบคุมกำหนดจากการเวลาที่เรียกว่า"ภาวะอมตะนิรันดร์กาล
     ท่านผู้เจริญ จิตญาณที่เรียกว่าใหญ่ คือครอบคลุมหมื่นธรรมอยู่ภายใน ฉะนั้นหากพบเห็นคนทั้งปวงในความชั่วในความดี ล้วนโดยมิได้ยึดหมาย มิได้สลัดละทิ้งด้วยเหตุแห่งดีชั่วนั้น มิถูดแปดเปื้อนด้วยความดีชั่วนั้น จิตใจก็จะว่างดุจอวกาศว่าง จึงเรียกได้ว่าใหญ่ (สันสกฤตเรียกว่า มหา)
     ท่านผู้เจริญ คนหลงพูดแต่ปาก ผู้มีปัญญาดำเนินจริงด้วยใจ ยังมีคนหลงที่ใจว่างนั่งนิ่ง ไม่เกิดความคิดใด ๆ ยกตนว่ายิ่งใหญ่ คนประเภทนี้ จะมิอาจอรรถาธรรมด้วยได้ เนื่องจากมีความเห็นผิด  ตถาคตเจ้าเข้าถึงภาวะอันหาขอบเขตมิได้ รายรอบธรรมธาตุมิอาจประมาณ หากเข้าถึงจะรู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอย่าง หากใช้ประโยชน์จะรู้การทั้งปวง ไปมาอิสระ ปราศจากขัดข้องด้วยกายใจ นั่นคือปัญญา  มีผู้กราบเรียนถามมหาเถระเจ้า "เจ้าโจวเหอซั่ง ถามว่า อย่างไรเรียกว่า หมื่นธรรมขันธ์รวมอยู่ในหนึ่งเดียว"พระมหาเถระเจ้าตอบว่า "อาตมากลับมาจากเมืองชิงโจว ซื้อสังฆพัสตรา (เครื่องนุ่งห่มของสงฆ์) มาผืนหนึ่ง หนักเจ็ดชั่ง" คำตอบของมหาเถระช่างแยบยลแท้ "หมื่นพันธรรมขันธ์รวมอยู่ในจิตญาณหนึ่งเดียว" อุปมา หนึ่ง สังฆพัสตรา แต่เนื้อผ้าประกอบด้วยเส้นด้ายทอตรง - ขวางผ่านการตัดเย็บประกอบกันเป็นส่วนต่าง ๆ รวมอยู่เป็นหนึ่งเดียวในสังฆพัสตราผืนนั้น
     ท่านผู้เจริญ ปริมาตรใจกว้างใหญ่ รายรอบธรรมธาตุเมื่อนำออกใช้ จะกระจ่างแจ้งจริง เสร็จสิ้นทุกสิ่งได้ไม่คลุมเครือ เมื่อนำออกมาใช้ สนองรับ สนองตอบ ก็จะรู้ได้ในทุกสิ่ง ทุกสิ่งคือหนึ่ง หนึ่งคือทุกสิ่ง เป็นไป เป็นมาอิสระ กายใจมิได้สดุดอุปสรรค นั่นคือปัญญา   ท่านผู้เจริญ  ปัญญาทั้งปวงล้วนเกิดแต่จิตญาณตน มิใช่ได้มาจากภายนอก โปรดอย่าได้เข้าใจผิด ได้ชื่อว่าการสำแดงคุณของจิตญาณตน  หนึ่งจริงทุกอย่างจริง ปริมาตรใจเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เดินทางเล็ก พร่ำพูดแต่จิตว่าง แต่ใจมิได้ดำเนินจริงตามนี้ อุปมาดั่งสามัญชนตั้งตนเป็นพระราชา ถึงอย่างไรก็มิอาจเป็นจริงได้  หากปฏิบัติเช่นนี้ไซร์ มิใช่แห่งศิษย์อาตมา
     ความหมาย...พิจารณา...
     หนึ่งจริง คือเข้าถึงจิตญาณ อันเป็นหนึ่งของตนได้จริง เมื่อนั้น ก็จะรู้ในความเป็นสัจธรรมจริงของทุกสิ่งอย่าง มิฉะนั้นจะยังยึดหมายไปทั่ว โดยอาจไม่รู้ตัว "ปริมาตรใจ" ใจพระพุทธะมิอาจประมาณเป็นเรื่องใหญ่ จะเข้าถึงภาวะไร้ขอบเขตเช่นนั้นได้ จะต้องไม่เดินทางเล็ก คือทางเฉพาะตัว เหมือนอยู่ในห้องทิบแคบเล็ก หลับตาภาวนาเพื่อตน  มิอาจช่วยใครได้ ยังจะหลงตนว่าเป็นใหญ่
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๗ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 03:30

       ท่านผู้เจริญ  อย่างไรได้ชื่อว่ามีปัญญา อันปัญญานั้นจีนเรียกว่า ""จื้อฮุ่ย"" ในทุกสภาวะสถาน ทุกขณะจิต ใช้ความคิดแจ้งแห่งจิตอันมิโง่หลง สำแดงปัญญาเป็นปกติวิสัย ก็คือปัญญาปฏิบัติ  หนึ่งความคิดโง่หลงไป คือปัญญาขาด หนึ่งความคิดรู้แจ้งคือปัญญาเกิด  ชาวโลกโง่หลงมิเห็นปัญญา ปากพูดปัญญา ในใจโง่หลงเสมอ มักพูดเองว่า ฉันบำเพ็ญเพียรปัญญา พร่ำบ่นแต่ความว่าง  มิรู้จักความว่างแท้  ปัญญาไร้รูปลักษณ์  จิตรู้แจ้งนั่นแหละใช่ หากเข้าใจได้ดั่งนี้ จึงชื่อว่าปัญญารู้แจ้ง
      อย่างไรได้ชื่อว่า "ปารมิตา" นี่คือภาษาตะวันตก (ชมพูทวีป) จีนเรียกว่าถึงฟากฝั่ง แปลความว่าพ้นจากเกิดตาย ยึดหมายอารมณ์อินทรีย์มีเกิด - ดับ ดั่งพื้นน้ำมีระลอกคลื่น เรียกว่าฝั่งนี้ (ฝั่ง หมายถึง ความเป็นอนิจจัง) พ้นจากยึดหมายในอารมณ์อินทรีย์ไม่มีเกิดดับดั่งสายน้ำไหลราบเรียบ ได้ชื่อว่า ฟากฝั่งอันเกษม ดังนั้ยจึงเรียกว่า ""ปารมิตา""
      ความหมาย...พิจารณา...
       ปารมิตา บางท่านแปลว่า ออกหากจากอารมณ์อินทรีย์  มิให้อินทรีย์หกรบกวนได้  จิตใจเยือกเย็นราบเรียบ เรียกว่าถึงซึ่งปารมิตา   ท่านผู้เจริญ  คนหลงท่องแต่ปาก ขณะท่อง ฟุ้งซ่าน ถูกผิดคิดไป แต่หากปากท่องใจเป็นไปตาม ได้ชื่อว่าจิตแท้ตนจริง ผู้รู้แจ้งในธรรมนี้คือ รู้ปัญญาธรรม ผู้บำเพ็ญดังนี้คือ ผู้บำเพ็ญปัญญา ไม่บำเพ็ญคือ ปุถุชน หนึ่งจิตคิดบำเพ็ญ จะเสมอด้วยพุทธะ
      ท่านผู้เจริญ ปุถุชนคือ พุทธะ  กิเลสคือโพธิ ความคิดในเบื้องต้น หลงคือปุถุชน  ภายหลังคิดได้คือพุทธะ ความคิดเบื้องต้นยึดหมายในอินทรีย์ คือกิเลส  ภายหลังความคิดพ้นจากยึดหมายในอารมณ์อินทรีย์ คือโพธิ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ปุถุชนกับพุทธะ แท้จริงเป็นเช่นกัน เหตุด้วยล้วนมีพุทธะภาวะแต่เดิมที  พระอริยเจ้าผู้รู้แจ้งจริงจึงโปรดไว้ว่า ปุถุชนผู้รู้แจ้งคือพุทธะ  พุทธะที่หลงคือปุถุชน   ปุถุชนคนหลงทั่วไปในโลก ล้วนเป็นพุทธะมาก่อนในเบื้องต้น  ความหลงในบัดนี้เป็นเพียงภาพสมมุติ ที่ปรากฏชั่วขณะ (ขณะสั้น ขณะยาว) ตามเหตุปัจจัย ในคัมภีรวัชรญาณฯสูตร  จารึกสัจธรรมว่า ""ปุถุชนนั้น...หาใช่ปุถุชนไม่เพียงได้ชื่อว่าปุถุชน"" กิเลสคือโพธิ กิเลสกับโพธิเป็นจิตใจในกายเดียวกัน อุปมาด้วยรูปกายภายนอกว่าคนจมโคลน โคลนตรมจับเกาะบดบังเนื้อแท้ ภายหลังชำระล้างหมดจด ก็กลับเห็นเป็นเนื้อแท้คนเดิม
       ท่านผู้เจริญ  มหาปัญญาปารมิตา สูงส่งสูงสุด เป็นที่หนึ่ง ไม่มาไม่ไป อันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง  พระพุทธะทั้งหลายในภายหน้าปัจจุบัน อดีตกาล ล้วนบังเกิดจากมหาปัญญาปารมิตานี้ พึงใช้มหาปัญญาทลายขันธ์ห้า ทะลายกิเลสตัณหาเสียให้สิ้น บำเพ็ญเช่นนี้ย่อมบรรลุพุทธะ เปลี่ยนอกุศลมูลเป็นกุศลมูล โลภ โกรธ หลง ให้เป็นศีล สมาธิ ปัญญา
      ความหมาย...พิจารณา...
      พุทธพจน์ว่า เหล่าพุทธะเอาธรรมะเป็นครูอาจารย์ ธรรมะคือปัญญาปารมิตา ใช้มหาปัญญาทะลายขันธ์ห้า ทะลายกิเลสตัณหาดังเช่นที่พระคัมภีร์ ""ปัญญาปารมิตาหฤทัยสูตร""จารึกว่า พาจิตเข้าสู่ความปราณีตแห่งปัญญาปารมิตา ณ บัดนั้น ส่องเห็นขันธ์ห้าล้วนว่างเปล่า ล่วงพ้นทุกข์ภัยทั้งปวง  ขันธ์ห้า กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นอกุศลมูล  เหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงเหมือนความมืดที่ครอบครองห้องกระจกใส ทันใดที่ปัญญาเกิด เหมือนเปิดสวิทช์ไฟ ความืดพลันหายไป  แสงไฟสว่างยังอาจสาดส่องกระจาย ให้ความสว่างแก่อาณาบริเวณรอบข้างภายนอกได้
      ท่านผู้เจริญ  วิถีธรรมแห่งอาตมานี้ จากหนึ่งปัญญาไปสู่แปดหมื่นสี่พันปัญญา  ด้วยเหตุใดหรือ ก็ด้วยคนมีแปดหมื่นสี่พันตัณหา ดิ้นรนทะยานอยาก ปรารถนาแส่หาต่าง ๆ หากปราศจากตัณหา ปัญญาจะปรากฏเสมอ ไม่พ้นจากจิตญาณตน
       ความหมาย...พิจารณา...
       จากหนึ่งปัญญา จุดเริ่นต้นที่ รู้ผิดรู้หยุด จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง จะรู้ผิดรู้หยุดได้ต่อ ๆ ไป  ผู้บำเพ็ญจะใช้วิธีจดบันทึก จะพิจารณาสิ่งที่รู้ผิดรู้หยุดนั้น  ไม่นานจะเข้าถึงสัจธรรม ที่ท่านลิ่วจู่สอนไว้นี้ จะโสมนัสต่อปัญญาที่เกิดเนื่องมามิขาดสายในตน 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๘ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 04:28

       ผู้สำนึกรู้แจ้งในวิถีธรรมนี้ จะปราศจากตรึกคิดหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของภายหน้าที่เอาแน่ไม่ได้ ปราศจากหวนหาอดีตที่ผ่านมาปราศจากยึดหมาย ปัจจุบันที่กำลังจบลงทุกขณะ จะมิเกิดจิตระเริงฟุ้งซ่าน จะใช้จิตตถตาในตน ส่องเห็นด้วยปัญญา โดยไม่ยึดหมาย ไม่สลัดละ จะไม่ยึดหมายต่อธรรมทั้งปวง นั่นคือ การได้เห็นจิตญาณตน บรรลุวิถีแห่งพุทธะ
       ท่านผู้เจริญ  แม้หากปรารถนาเข้าถึงธรรมธาตุ สัมมาปัญญาอันลุ่มลึกประณีตกับปัญญาสมาธิ พึงทำความเพียรด้วยการเจริญปัญญา สวดท่องพระคัมภีร์วัชรปัญญาปารมิตาสูตร ก็จะเห็นจิตญาณตน พึงรู้บารมีแห่งพระคัมภีร์นี้ อันปราศจากขอบเขต มิอาจประมาณการ ในพระคัมภีร์สรรเสริญแจ่มแจ้ง มิอาจกล่าวได้ทั่วถ้วน
       ความหมาย...พิจารณา...
       บทที่สิบห้าในคัมภีร์วัชรญาณฯ ตถาคตเจ้าตรัสไว้ว่า  พระคัมภีร์นี้มิอาจคำนึงได้ มิอาจประมาณได้บุญกุศลเกินกว่าคณานับตถาคตโปรดแก่พุทธชนแห่งมหายาน โปรดแก่พุทธชนแห่งยานระดับสูงสุด หากมีผู้รักษาปฏิบัติสวดท่อง แพร่หลายต่อไป ตถาคตเรารู้ได้ในผู้นั้น เห็นได้ในผู้นั้น ล้วนอาจบรรลุกุศลผลบุญอันมิอาจประมาณ มิอาจกล่าวอ้าง ปราศจากขอบเขต  มิอาจวัดได้ในผลบุญบารมีนั้น  บุคคลเหล่านี้ คือผู้สืบอนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค  ในบทที่แปดก็จารึกไว้ว่า วิถีธรรมแห่งเหล่าพุทธะทั้งปวง อีกทั้งเหล่าอนุตตรสัมมาสัมพุทธะ ล้วนบังเกิดจากพระคัมภีร์นี้
      วิถีธรรมนี้เป็นญาณระดับสูงสุด กล่าวแก่บุคคลผู้มีมหาปัญญา กล่าวแก่ผู้มีกุศลมูลระดับสูง ผู้มีกุศลมูลน้อย ปัญญาน้อย เมื่อได้สดับ จะบังเกิดใจไม่เชื่อ  พระคัมภีร์ในบทที่สิบหกว่า ""สุภูติ หากกุลบุตร กุลธิดา ในชาติภายหน้า รักษาปฏิบัติสวดท่องพระคัมภีร์นี้ บุญกุศลที่จะได้รับจากการปฏิบัติสวดท่องนั้น หากตถาคตกล่าวจบ หรือมีผู้ได้สดับ ใจเขาจะวิปลาสสงสัยไม่เชื่อในมหากุศลที่ได้รับนั้น สุภูติ พึงรู้ว่าความหมายแห่งพระคัมภีร์นี้ มิอาจคิดคำนึง ผลบุญตอบสนองก็มิอาจคิดคำนึง
     ด้วยเหตุอันใด เปรียบเช่นพญานาคให้ฝนตกลงมายังชมพูทวีป บ้านเรือนในเมือง ในชนบท ล้วนลอยน้ำไป เช่นใบลูกพรุนไหลไปตามน้ำ แต่หากแม้นฝนตกลงในมหาสมุทร จะไม่เห็นการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
     ความหมาย...พิจารณา...
     พญานาคให้ฝนหมายถึงฝนตกหนัก น้ำหลากไหลท่วมท้น  บ้านเรือนสมัยนั้น ก่อสร้างอย่างง่าย ๆ ไม่มั่นคงแข็งแรงเช่นปัจจุบันมิใช่สร้างด้วยอิฐ หิน ปูน ทราย  แต่เป็นกิ่งไม้ใบไม้ และพอกด้วยโคลนดินให้อยู่ตัว ฉะนั้น เมื่อฝนตกหนัก จึงแตกกระจายละลายหายเหมือนใบลูกพรุนที่ถูกกระแสน้ำพัดพาไป มหาสมุทรเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่  ปริมาตรจุน้ำได้เกินกว่าปริมาณ เหมือนปริมาตรใจของพุทธะ หรือผู้มีปัญญาสูง กุศลมูลลุ่มลึก ฝนจะตกมากสักเท่าไร ก็ไม่เห็นได้ในความมากน้อยกว่ากัน ฉะนั้น  เมื่อคนระดับนี้สดับพุทธธรรม จิตใจจึงเต็มอิ่มสมบูรณ์อยู่อย่างยิ่ง
     หากผู้มีกุศลมูลมหายาน อีกทั้งผู้มีกุศลมูลมหายานสูงสุด ได้สดับคัมภีร์วัชรญาณสูตร จิตใจก็จะเบิกบานรู้แจ้ง รู้ในจิตญาณตน ว่ามีปัญญานั้นอยู่เอง จะรู้จักใช้ปัญญาแห่งตน สอดส่องพิจารณาอยู่เสมอ ดั่งนี้จึงมิต้องอาศัยอักษรตำรา
      ความหมาย...พิจารณา...
                                   ปัญญาบริสุทธิจากจิตญาณ            มิอาจประมาณประเมินขอบข่าย
                                   ความวิเศษลุ่มลึกหลากหลาย         ยาวไกลอยู่เหนือกาลเวลา 
                                   
                                   พระเครื่องเรืองโรจน์อันศักดิ์สิทธิ์      เกิดด้วยจิตปัญญาประภัสสร
                                   ประจุพลังพุทธาอันถาวร                จากอมรชั้นฟ้ามาสู่ดิน
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๒๙ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 10:32

    กล่าวเช่นน้ำฝน หาใช่ฟ้ามีอยู่ไม่ เริ่มจากเมฆฟ้าแปรปรวนด้วยมังกรผาดเผ่นเริงร่าย ให้มวลเวไนยฯ ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายสรรพสิ่งสรรพสัตว์ ทั้งที่มีจิตรับรู้เยื่อใยสัมพันธ์หรือไม่อย่างไรล้วนได้รับความชุ่มชื่้น ทางน้ำร้อยสายพากันรี่ไหลลงสู่มหาสมุทร รวมไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน จิตญาณปัญญาเดิมทีของเหล่าเวไนยฯก็เป็นเช่นนี้
    ความหมาย...พิจารณา...
    เหล่าเวไนยฯทั้งปวง ล้วนมีพร้อมด้วยพุทธญาณ แต่มิอาจสมานเข้าสู่พุทธะภาวะได้ ด้วยต่างมีทิฐิยึดหมาย พลันเมื่อรู้แจ้งเห็นจริง ประจักษ์ชัดต่อพุทธญาณอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะรู้ได้ว่า เหล่าพุทธะมากมาย ดุจเม็ดทรายในคงคามหาสมุทร ล้วนเป็นองค์ธรรมอย่างเดียวกัน องค์ธรรมเล็ก องค์ธรรมใหญ่ ร่วมอยู่ในหนึ่งองค์ธรรม  อุปมาทางน้ำใหญ่น้อยร้อยพันสาย ไหลรวมอยู่ในมหาสมุทรเดียวกันนั้น
     ท่านผู้เจริญ ผู้มีกุศลมูลน้อย ได้สดับคำสอนวิถีฉับพลันนี้ ประหนึ่งต้นหญ้าต้นไม้รากเล็กไม่หยั่งลึกหากถูกฝนตกหนัก ล้วนล้มระเนนระนาดไปเอง ไม่อาจเติบโตได้ ผู้มีกุศลมูลน้อยก็เป็นเช่นนี้
     ความหมาย...พิจารณา...
     พุทธพจน์ที่ว่า "" แม้ฝนจะหลั่งหลากจากฟ้า     
                         แต่ต้นหญ้าขาดรากไม่หยั่งพื้น   
                         ประตูพุทธะไม่อาจฝืน
                         ฉุดชูขึ้น ผู้ขาดบุญสัมพันธ์ """
      พระพุทธองค์จึงโปรดไว้ว่า ""ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน""  "ตน" จิตญาณบริสุทธิ์ นำ ""ตนสังขาร"" ก่อกรรมดี ตนสังขารเคยชินกับการก่อกรรมดี หนุนจิตญาณเดิมทียิ่งทวีปัญญา  ปัญญาที่มีอยู่เดิมที มิต่างจากผู้มีมหาปัญญา (ผู้มีกุศลมูลน้อย ก็มีปัญญาอยู่เป็นเดิมที มิต่างจากผู็มีกุศลมูลมาก) แต่เหตุใดสดับธรรมแล้ว จึงมิรู้แจ้งได้ด้วยตน ด้วยเหตุแห่งความเห็นผิดเป็นอุปสรรคขวางกั้น กิเลสฝังรากลึก อุปมาเมฆผืนใหญ่บดบังสุริยาให้มืดมิดไป  มิได้รับลมพัดกระจาย แสงสุริยาจึงมิอาจปรากฏได้
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""กิเลสหนา ตัณหาแรง ทิฐิเหนียวแน่น"" เป็นกำแพงหนาผืนใหญ่ขวางกั้นปัญญาญาณมิให้แสงปรากฏยิ่งเสียกว่าเมฆผืนใหญ่ที่บดบังดวงอาทิตย์ไว้ เมฆบังไม่นาน ผ่านพ้นไป แต่กำแพงหนาใหญ่ ทะลายยาก ความชาญฉลาดแห่งปัญญาก็มิได้มีเล็กใหญ่ แต่ที่ต่างกันไป เพราะจิตใจเวไนยฯแห่งตนลุ่มหลงต่างกัน จิตหลงยังหลงหานอกกาย บำเพ็ญไปเสาะหาพุทธะ ยังมิได้รู้แจ้งจิตญาณตน นั่นคือกุศลมูลน้อย  หากสดับคำสอนวิถีฉับพลัน พลันรู้แจ้ง ไม่ยึดหมาย ไม่เพียรไปภายนอก แต่เห็นชอบได้ในจิตตนอยู่เสมอเช่นนี้ กิเลสตัณหาก็มิอาจแปดเปื้อนได้ นั่นคือ เห็นจิตญาณตน
     ท่านผู้เจริญ ไม่ยึดหมายทั้งในนอก อิสระทั้งมาไป ขจัดใจยึดมั่น จะบรรลุผ่านเป็นอิสระ บำเพ็ญวิถีนี้ มิต่างจากคัมภีร์มหาปัญญาปารมิตา  ท่านผู้เจริญ  พระสูตรอีกทั้งอักษรทั้งปวงที่จารึกไว้ ทั้งยานใหญ่ยานเล็ก พุทธพจน์สิบสองพระสูตร ล้วนจัดวางด้วยคน ด้วยเหตุแห่งปัญญาจากจิตญาณ จึงอาจสร้างคัมภีร์ต่าง ๆ ได้ หากปราศจากชาวโลก หมื่นธรรมคัมภีร์มิอาจเกิดมี
     ความหมาย...พิจารณา...
     หมื่นธรรมคัมภีร์ล้วนเกิดมีจากพุทธะโพธิสัตว์ ลึกล้ำต่างกันไป เพื่อให้เหมาะกับจริต ความพอดีแก่ผู้พึงได้สดับรับรู้ ดังนั้นจึงรู้ว่า หมื่นธรรมคัมภีร์ เดิมทีล้วนระบือจากคน  คัมภีร์พระสูตรทั้งปวง ด้วยคนกล่าวพูดถึงจึงเกิดมี โดยอาศัยเหตุปัจจัยมนท่ามกลางอันมีคนโง่หลงกับปัญาชน โง่หลงเป็นจัณฑชน มีปัญญษเป็นกัลยาณชน คนโง่หลงขอถามปัญญาชน ปัญญาชนแสดงธรรมแก่คนโง่หลง คนโง่หลงพลันรู้ใจรู้แจ้งจิตเบิกบาน ณ บัดนั้น ก็มิต่างจากปัญญาชน คนโง่หลงคือ งมงายอยู่ในโลกีย์วิสัย ปัญญาชนคือ คนที่มิได้ยึดหมายมืดบอด ก็จะกระจ่างชัดได้เช่นเดียวกับปัญญาชน จึงเท่าเทียมกัน
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๓๐ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 11:31

       ท่านผู้เจริญ  หากไม่รู้แจ้ง แม้พุทธะก็เป็นเวไนยฯ หนึ่งจิตพลันรู้แจ้ง เวไนย์ก็คือพุทธะ จึงรู้ว่า หมื่นธรรมล้วนอยู่ในใจตน ไฉนไม่ส่องเห็นตถตาจิตญาณตนฉับพลันด้วยจิตแห่งตนเล่า ในพระสูตรศีล ""พระโพธิสัตว์  ผูซ่าเจียจิง"" จารึกว่า  จิตเดิมแท้แต่เบื้องต้นแห่งเรานั้นใสสะอาด หากรู้เห็นจิตญาณตนด้วยจิตตน ล้วนบรรลุได้ในวิถีพุทธะ  ในพระสูตร ""ปาริสุทธิ์นามสูตร"" หรือพระสูตรวิมลเกียรติ (วิมลกีรติสูตร จิ้งหมิงจิง) จารึกว่า "ฉับพลันโล่งแจ้ง ได้จิตเดิมทีแห่งตนกลับคืนมา"
       ความหมาย...พิจารณา...
       ในอาณาจักรธรรม ท่านธรรมอธิการจะเตือนพวกเราอยู่เสมอว่า "แม้เธอจะแบ่งพระภาคมาจากพระโพธิสัตว์พระองค์ใด หากไม่รู้แจ้งจิตเดิมแท้แห่งตน ก็มิอาจกลับคืนเบื้องบนได้ สุดท้ายที่ว่า "ฉับพลันโล่งแจ้ง คือภาวะ ณ บัดนั้น"
       ความยึดมั่นพันผูก ภาวะจิตที่อึดอัดขัดข้อง แรงบีบเค้นที่กดดันหนักหนามาเนิ่นนาน พลันเป็นอิสระเสรี ข้อความนี้เพียงแค่คิดก็โล่งแจ้งแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ไฉนไม่ส่องเห็นจิตแห่งตนเล่า" ความหมายของการแพร่ธรรมที่ว่า ""ตั้งตนตั้งคน บรรลุตนบรรลุท่าน  จี่ลี่ลี่เหยิน  จี่ต๋าต๋าเหยิน""  อุปมา  แสงเทียนเปล่งประกายรายรอบรัศมี 
                                                 สำแดงคุณเต็มที่ได้สาดส่อง
                                                 ด้วยเห็นตนเห็นคนด้วยจิตโล่ง
                                                 พุทธะหลงปรับเปลี่ยนด้วยเทียนเรา
       พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงสูงส่งด้วยกุศลมล เพียงแค่ฟังคำจบ...ผู้รับวิถีจิตในยุคนี้ เข้าพิธีรับการเบิกจุดชี้ชัดทั้งสัมผัส ทั้งฟัง ทั้งพูดตาม อธิบายความทั้งก่อนหน้าและภายหลังชี้ชัดให้เห็นจิตญาณตน แต่น้อยคนที่เห็นได้ บางคนไม่เข้าใจ เข้าพิธีรับการเบิกจุดชี้ชัดซ้ำซ้อนหลายครั้งก็ยังเข้าไม่ถึง จะต้องใช้ความเพียรให้มากกว่าผู้มีกุศลมูลมาดีแล้วให้ยิ่งขึ้น จะละเลยมิได้
      ท่านผู้เจริญ  อาตมาได้สดับจากจากมหาเถระหงเหยิ่น จบคำพลันรู้แจ้ง เห็นจิตญาณตถาคตตนทันใด จึงแพร่นำวิถีธรรมนี้ เพื่อให้ผู้ศึกษาธรรมรู้โพธิญาณตนทันที ต่างสอดส่องจิตตน เห็นจิตญาณตนด้วยตน
     หากไม่สำนึกรู้แจ้งในตนด้วยตนได้ พึงแสวงหาผู้เจริญธรม พระวิสุทธิอาจารย์ วิสัชนาธรรมมหายาน ชี้สัมมาวิถีฉับพลันให้โดยตรง  เนื่องด้วยผู้เจริญธรรมมีเหตุปัจจัยใหญ่ อันพึงกล่อมเกลาชี้นำเพื่อการให้เห็นจิตญาณได้ ด้วยเหตุว่ากุศลธรรมทั้งปวงนั้น ท่านผู้เจริญธรรมอาจสำแดงได้
     พระพุทธะทั้งปัจจุบัน ภายหน้า และอดีตชาติ พุทธพจน์วิบสองพระสูตร ล้วนมีอยู่พร้อมมูลในจิตญาณของคน แต่มิอาจรู้แจ้งด้วยตน จะต้องขอให้ผู้เจริญธรรมชี้แนะ จึงจะเห็นได้
     ความหมาย...พิจารณา...
     ในจิตญาณของตนมีภาวะของพระพุทธะทั้งปัจจุบัน ภายหน้า และอดีตชาติ เป็นธาตุแท้อยู่ เพราะภาวะของพุทธะคือ ภาวะของพุทธญาณที่เป็นอยู่อย่างนั้นแต่เดิมที  พุทธพจน์สิบสองพระสูตร มีอยู่ครบถ้วนในมหาปัญญาบริสุทธิ์ของทุกคน ตนมีอยู่ แต่ตนเข้าไม่ถึง จึงแสดงไม่ออก ที่ว่าคัมภีร์พระสูตร ด้วยคนกล่าวพูดจึงเกิดมี คนที่กล่าวพูดคัมภีร์พระสูตร ท่านได้ความรู้มาจากที่ใด "ได้จากปัญญาบริสุทธิ์ในตน"ปัญญาบริสุทธิ์ได้มาแต่ใด ได้มาจาก ""พุทธญาณ"" พุทธญาณได้มาแต่ใด ได้มาจากมหาพลานุภาพสัจธรรมที่มีอยู่คงอยู่ในมหาจักรวาล ที่เราถวายพระนามว่า มหามารดาแห่งหมื่นโลกธาตุ พระอนุตตรพระแม่องค์ธรรม ฯลฯ  ฉะนั้น จึงกล่าวว่าพระพุทธะทั้งปัจจุับัน ภายหน้า และอดีตชาติ พุทธพจน์ พระสูตร พระอภิธรรมปิฏก ล้วนมีอยู่พร้อมมูลในจิตญาณตน ผู้รู้แจ้งในจิตญาณตน จึงล่วงรู้ความนัยของคัมภีร์ปิฏกอย่างง่ายดายเป็นธรรมดา
      หากรู้แจ้งด้วยตน ก็จะมิพึงแสวงหาจากภายนอก หากเอาแต่ยึดหมายใคร่ขอผู้เจริญชี้แนะ เพื่อหวังการหลุดพ้นก็จะเป็นไปไม่ได้  พึงรู้ว่าธรรมะอยู่กับตน ขณะหลง จำเป็นจะต้องมีอาจารย์ผู้รู้ชี้แนะ เมื่อสำนึกรู้แล้ว จะต้องฉุดนำตนเอง หลังจากสำนึกรู้ นั่นแหละ จึงจะเรียกว่าเริ่มบำเพ็ญ จุดเบิกชี้ชัดจากพระวิสุทธิอาจารย์นั่นแหละ เรียกว่า ""จุดเบิกชี้ชัดจิตสำนึกรู้"" นับแต่วินาทีนั้นจึงต้องเริ่มบำเพ็ญ ฉุดนำตนเอง
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๓๑ : บทที่ ๑ รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 12:48
 
         เหตุอันใดหรือ ด้วยภายในใจตนมีความรู้อันสำนึกเองได้ แต่หากแม้หลงผิดฟุ้งซ่าน ผกผันสับสน ความรู้จากผู้เจริญภายนอก แม้จะสั่งสอนให้ ก็มิอาจช่วยได้
        ความหมาย...พิจารณา...
        ความรู้ภายในใจตนคือปัญญา เป็นพุทธภาวะที่มีอยู่ในตนแต่เดิมที มีสติ สำนึกรู้ได้เท่านั้น ก็จะเหมือนมีครูผู้เจริญธรรมชี้นำแนวทาง จึงกล่าวว่า ใครก็สอนได้ไม่ดีเท่าตัวเราสอนตัวเราเอง  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ""ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"" หากบังเกิดปัญญาอันแท้จริง สอดส่องสว่างเห็นบัดนั้นเพียงคู่เดียว ฟุ้งซ่านพลันดับสูญ หากรู้จิตญาณตน สำนึกรู้พลันทันที ก็ถึงซึ่งพุทธภูมิ
       ปัญญาแท้จริงสอดส่องสว่างเห็น เหมือนแสงอาทิตย์เจิดจ้าหามีเมฆบังไม่ ณ บัดนั้นยังจะเหลือความมืดอะไรให้แอบแฝงได้อีก แม้แต่อกุศลวิสัยก็พลันหาย ""ญาณทวารประตูวิเศษที่สถิตจิตญาณ"" ผ่านพิธีจุดเบิกชี้ชัดจากพระวิสุทธิ์อาจารย์ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนที่มีต่อคนโง่หลงมือบอดเช่นชาวเราในกลียุคนี้ ยังได้รับการประคองรักษาอุ้มชูรอวันที่เราจะกระจ่างแจ้งด้วยตน ชาวเราทุกคนจึงต้องทำความเข้าใจให้เป็นได้
      ท่านผู้เจริญ  การสอดส่องสว่างเห็นของปัญญาสว่างใสทั้งภายในภายนอก รู้ได้จากจิตตนภายใน หากจิตภายในตนรู้ได้ นั่นคือ ภายในตนหลุดพ้น  หากได้หลุดพ้นนั่นก็คือ ปัญญา สมาธิ  ปัญญาสมาธิก็คือปัญญาอันมิได้ดำริคิด อย่างไรคือมิได้ดำริคิด ""ธรรมะอันรู้ - เห็น ได้ทั้งปวง จิตใจมิได้ถูกย้อมนั่นคือมิได้ดำริคิด""  เมื่อใช้ปัญญาสมาธิอันมิได้ดำริคิดนี้ ปัญญาสมาธิจะครอบคลุมปรกแผ่ทุกสภาวะ แต่มิจับเกาะกับสภาวะนั้น ๆ
      พึงหมดจดด้วยจิตตน ให้วิญญาณทั้งหกออกไปทางทวารทั้งหก ภายในจิตตนอายตนะหกมิได้คลุกเคล้าแปดเปื้อน มาไปเป็นอิสระ ปลอดโปร่งเรื่อยไปไม่ขัดข้อง นั่นคือปัญญาสมาธิ หลุดพ้นอยู่อย่างนั้นเองชื่อว่าเจริญธรรมโยปราศจากดำริคิด
      ความหมาย...พิจารณา...
      วิญญาณทั้งหก  คือ อารมณ์ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้ม ได้สัมผัส ได้รู้สู่ใจ  ท่านว่า ""ให้อารมณ์ทั้งหกออกไปทาง ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ ช่องทางทั้งหกลำเลียงขยะเข้าบ้าน ด้วยความเคยชินเรารับมันเข้ามาทุกขณะ"" ท่านว่า "มาทางไหน ให้มันออกไปทางนั้น" แท้จริงแล้ว "ให้มันออกไป" คือ อย่าให้มันเข้ามาใหม่ ส่วนขยะที่ตกค้างหมักหมมอยู่ กำจัดสลายให้สิ้นซากได้ในบัดใจด้วยปัญยาบริสุทธิ์ในตน แต่หากไม่คิดสิ่งใดเลย เพื่อให้ตัดความคิดทั้งหมดขาดสิ้น เช่นนี้เป็นธรรมะผูกมัด เป็นความเห็นสุดโต่ง
      ตัดความคิดทั้งหมดขาดสิ้น เป็นอสัญญีภาพ คือยึดหมายในอสัญญี ความไม่มีโดยสิ้น พุทธธรรม มิได้ยึดหมายทั้งมี ไม่มี ขั้วใดขั้วหนึ่ง  ท่านผู้เจริญ ผู้รู้แจ้งในธรรมอันมิได้ดำริคิด จะเห็นภาวะธาตุแห่งพุทธะทั้งปวง  ผู้รู้แจ้งในธรรมอันมิได้ดำริคิด จะบรรลุถึงฐานะแห่งพุทธะ  ท่านผู้เจริญ สาธุชนรุ่นหลังผู้ได้รับวิถีธรรมแห่งเรานำเอาวิถี ""รุ้รับฉับพลัน"" นี้ไปสู่ในหมู่ผู้ร่วมเห็น ร่วมบำเพ็ญ ตั้งปณิธาน รักษาปฏิบัติ ดั่งปฏิการะพระพุทธะ ฉะนี้แล้วไซร์ จวบสิ้นอายุขัยไม่ถดถอย จะเข้าสู้อริยฐานะแน่แท้  แต่ทว่า พึงถ่ายทอดความเป็นมาจากเบื้องสูง ถ่ายทอดเงียบ ๆ กำชับเป็นการจำเพาะ แต่จะปิดบังสัจวิถีนี้ไม่ได้
      ความหมาย...พิจารณา...
      วันนี้ที่เราได้รับวิถีธรรมกันก็คือได้รับสัจวิถีจากเบื้องสูงเป็นการจำเพาะคือได้รับอนุตตรพระโองการจากเบื้องบน โปรดอนุญาตให้ถ่ายทอด ได้รับจากพงศาธรรมโดยตรง พระพุทธองค์โปรดชูดอกไม้ให้เป็นสัญญลักษณ์ เป็นปริศนาธรรมแก่สงฆ์สาวกที่มาประชุมกัน พระมหากัสสปะยิ้มรับไว้ด้วยเข้าใจความหมายนั้น คำว่า "จำเพาะ" มีคำถามจากผู้เพิ่งได้รับวิถีจิตว่า "วิถีวิเศษนี้ ไฉนมิให้แพร่หลายโจ่งแจ้ง"" โปรดพิจารณา... ไฉนพระพุทธองค์ทรงชูดอกไม้ให้ปริศนาธรรม เหตุใดไม่ทรงประกาศบอกกล่าว เกณฑ์เข้ามาพิธีเบิกจุดชี้ชัดกันไปเสียเลย
     เพราะเหตุปัจจัยแห่งบุญและบุญวาระของเวไนยต่างกัน พระพุทธอริยเจ้าทรงเห็นกาลไกลลึกล้ำแยบยลมิใช่คนระดับเราที่เอาแต่จะถามว่าทำไม ทำไม โดยมิได้ศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญจริง จะเข้าใจได้  หากไม่ร่วมรู้เห็นไม่ร่วมบำเพ็ญไป ซึ่งอยู่ในวิถีธรรมอื่นจะมอบหมายถ่ายทอดให้มิได้ จะเสียหายแก่บรรพจารย์เรา ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง  ยังเกรงคนโง่เขลาไม่เข้าใจใส่ไคล้วิถีธรรมนี้ ร้อยกัปพันชาติที่เกิดกาย เขาจะขาดไปจากเผ่าพันธุ์จิตญาณแห่งพุทธะ
    ความหมาย...พิจารณา...
    มีผู้เข้าใจผิดว่า พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ทรงแบ่งแยกจำกัดการถ่ายทอด... หากมองดูความเป็นจริง ทุกวงการศาสนาล้วนมีผู้ศรัทธา มีผู้ต่อต้าน เหตุวุ่นวายใหญ่โตเกิดจาก ""ของข้าถูก ของเจ้าผิด"" แทบทั้งนั้น ต่างเดินทางของตนไป ไม่ก้าวก่ายกันจะดีกว่า  พระธรรมาจารย์จึงโปรดว่า "ไม่ร่วมรู้เห็น ไม่ร่วมบำเพ็ญ มิพึงถ่ายทอดให้..."" ประโยคสุดท้ายที่ว่า""เขาจะขาดไปจากเผ่าพันธุ์จิตญาณแห่งพุทธะ..."" มีผู้คิอได้อย่างไรหนอว่าเป็นคำสาปแช่ง บุคคลก่อกรรมเอง รับกรรมเอง  พระธรรมาจารย์มิให้เขาก่อกรรม ไม่อยากให้รับกรรม จึงตักเตือนไว้ให้สังวรระวัง ความคิดของผู้มีจิตบริสุทธิ์พึงเป็นเช่นนี้
    ท่านผู้เจริญธรรม อาตมามีข้อธรรม ""นิรรูปสรรเสริญ"" ต่างพึงท่องไว้  คนบวช คนบ้าน บำเพ็ญตามนี้ หากไม่บำเพ็ญด้วยตน จงจำคำอาตมาไว้ ก็มิใช่จะไร้ประโยชน์  ""นิรรูปสรรเสริญ"" เป็นโศลกว่าด้วยใจว่างปราศจากรูป เป็นธรรมทั้งปวง พันจากรูปลักษณ์ทั้งปวง
หัวข้อ: ๔ : คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๓๒ : บทที่ ๑ นิรรูปสรรเสริญ โศลกไร้รูปลักษณ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 14:27
        ๔  :  คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๑  รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร  นิรรูปสรรเสริญ โศลกไร้รูปลักษณ์
                
                                              นิรรูปสรรเสริญ  (ฮู๋เซี่ยงซ่ง)
  
                พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ฮุ่ยเหนิง  โปรดมีข้อธรรม ""นิรรูปสรรเสริญ"" เป็นโศลกไร้รูปลักษณ์

        จงฟังอาตมาสรรเสริญ ณ บัดนี้   กล่าวถึง.....
                                                      ""ปรุโปร่ง""         ใจจงเข้าถึง       ซึ่งภาวะนั้น
                                                        ดุจแสงตะวัน      อันแจ่มกระจ่าง   ท่ามกลางเวหน
                                                        ถ่ายทอดวิถี       แสงสุรีย์เห็น      เป็นญาณแห่งตน
                                                        ออกห่างจากพ้น  โลกโลกียะ        มิจฉานิกาย
        ความหมาย...พิจารณา...
        คำสอนในวิถีนี้ มุ่งให้เข้าถึงจิตปรุโปร่งฉับพลัน ดุจแสงตะวันเจิดจ้าบนท้องฟ้า ด้วยถ่ายทอดให้รู้แจ้งจิตญาณตน ความคิดจิตใจจึงมิหลงไปกับทางโลกและมิจฉานิกาย
                                                    ปราศจากฉับพลัน    อีกทั้งนานเนื่อง    ในวิถีธรรม
                                                    มีแต่ความรู้           กระจ่างหลงวน      คนเร็วหรือสาย
                                                    วิถีธรรมนี้             ชี้ให้เห็นจิต          ชีวิตเหนือกาย
                                                    คนโง่หลงไซร์        ไม่อาจเข้าถึง        ซึ่งเหนือคำนึง
        ความหมาย...พิจารณา...
        องค์ธรรมะพุทธญาณในตัวเรา เป็นอยู่อย่างนั้นเอง จึงไม่แตกต่างด้วยความฉับพลันและนานเนื่อง แต่ความหลงหรือรู้แจ้งนั้น เปลี่ยนแปรได้ทั้งเร็วไวหรือเนิ่นนาน วิถีธรรมนี้ชี้ให้เห็นจิตทันที มิใช่ทุกคนจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ในระดับเดียวกัน  
                                                    
                                                  พระธรรมคำสอน     ว่าวอนมากมาย      หลายหลากนักหนา
                                                  บรรจบรวมมา         ต้นฐานธรรมา        สู่ความเป็นหนึ่ง
                                                  หากกิเลสครอง       ห้องขังมืดมิด        จิตกิเลสตรึง
                                                  หมั่นนำจิตถึง          ซึ่งปัญญาญาณ      จักรวาลตะวัน
        ความหมาย...พิจารณา...
        พุทธธรรมคำสอนทุกสัมมาศาสนา ล้วนมีจัดหมายให้สาธุชนเข้าถึงจิตญาณรู้แจ้งแห่งตน เป็นหนึ่งเดียวกัน จิตมีภาวะปัญญาบริสุทธิ์สว่าง แต่หากปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ ก็จะเหมือนถูกขังในห้องมืด จึงต้องหมั่นเจริญปัญญาญาณอยู่เสมอ

                                                  ดำริมิจฉา             มาถึงจิตใจ           กิเลสวุ่นวาย
                                                  สัมมาครองไซร์      กิเลสห่างหาย       ไม่ก่อกวนนั่น
                                                  สิ้นสองภาวะ         มิจฉา - สัมมา        ไม่พาใจหวั่น
                                                  หมดจดทุกด้าน      ถึงขั้นสุดท้าย        คือได้นิพพาน
        ความหมาย...พิจารณา...
       มิจฉาดำริเกิดขึ้นเมื่อไร กิเลสตัณหาเกิดตามมาทันที มีแต่สัมมาธรรมะแห่งจิตที่จะขจัดกิเลสได้ ให้จิตว่างวางลง สุดท้ายไม่ยึดหมายทั้งดีและชั่ว  จิตหมดจดถึงที่สุดนั่นคือภาวะนิพพาน      
หัวข้อ: 4 : คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๓๓ : บทที่ ๑ นิรรูปสรรเสริญ โศลกไร้รูปลักษณ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 20:00

                                      อันโพธิญาณ    รากฐานตัวแท้       แต่เริ่มเดิมมา
                                      ใจจิตคิดพา     อารมณ์คล้อยตาม   เกิดความฟุ้งซ่าน
                                      จงชำระใจ       ในภาวะวุ่น           หยุดขุ่นโดยพลัน
                                      เพิกสามเครื่องกั้น  ทั้งโลภโกรธหลง  ปลงปละละวาง

      ความหมาย...พิจารณา...
      สามเครื่องกั้น คือ โลภ โกรธ หลง  "หยุดคิดทันที โพธิเกิด" ทุกความคิดมักเกี่ยวกรรมเกี่ยววิบาก เกี่ยวกิเลส มักตกอยู่ในความโลภ โกรธ หลง อันเป็นสามเครื่องกั้นต่อการเจริญธรรม  จงล้างใจให้หมดจดสงบท่ามกลางความฟุ้งซ่าน ให้จิตใจเที่ยงตรงอยู่ในเอกะธรรมภายในตน ด้วยภาวะที่เป็นเช่นนั้นเอง
 
                                     หากชาวโลกไซร์     ตั้งใจบำเพ็ญ     เป็นผู้มีธรรม
                                     ทุกสิ่งย่อมงาม        มิพึงห่วงใย     ไม่ต้องเห็นต่าง 
                                     ความผิดตนเห็น       เป็นที่รู้อยู่        รู้ตนรู้วาง
                                     ก็จะสล้าง   เหมาะหมายในความ   เป็นธรรมแท้จริง

       ความหมาย...พิจารณา...
       พุทธพจน์ว่า "ไม่กลัวความคิดเกิด กลัวแต่รู้ตัวช้า  ไม่กลัวแต่รู้ตัวช้า กลัวแต่คิดซ้ำย้ำย้อน ถอนใจไม่สิ้น"  ในพระคัมภีร์ "สี่สิบสองบท" จารึกความว่า ระวังอย่าเชื่อ "มโนวิญญาณตน" ความคิดจิตใจตนวกวนเปลี่ยนแปลง เข้าข้างตน อภัยตน ปรนเปรอตน..เป็นทางนำจิตตนไปสู่อบายภูมิ  ""บำเพ็ญ"" ต้องไม่เอาใจตน แต่จงกำราบตนค้นหาสิ่งพึงแก้ไขในตนให้ได้ด้วยตน

                                       ทุก "รูป" ชีวิต      ทุกจิตกายร่าง      ต่างดำรงธรรม
                                       ต่างไม่ก่อนำ        ความวุ่นวายให้    ในรูปทุกสิ่ง     
                                       ห่างร่างห่างธรรม   อย่าต้องหาธรรม   ไร้ซึ่งธรรมจริง
                                       จบสิ้นชีวิน   จะมิพบพาน   ประสบ  "องค์ธรรม"
       
       ความหมาย...พิจารณา...
       จิตเดิมแท้ของทุกคน ปลอดโล่ง ปรุโปร่ง บริสุทธิ์ สะอาด ประภัสสร เรียกว่าองค์ธรรมประจำตน  เช่นโศลกที่ว่า
                                        "องค์ธรรม" ประจำกายในชีวิต
                                         ส่องสถิตจิตสว่างมิว่างได้
                                        ทั้งทิวาราตรีกาลเลยผ่านไป
                                        มิห่างหายจากเธออย่าเผลอตาม     
                                       
                                     
หัวข้อ: 4 : คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร๓๔ :บทที่ ๑ : นิรรูปสรรเสริญโศลกไร้รูปลักษณ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 20:50

                                           ระหกระเหิน         เดินด้นค้นหา      ชั่วชีวาวาตม์
                                           สุดท้ายยังพลาด   มิอาจสมหวัง       ยังอาจถลำ
                                           แม้หากใคร่พบ     ประสบจริงแท้      แน่ "สัทธรรม"
                                          "เที่ยงตรง"   จิตนำ    "สัมมาวิถี"     นี่แหละธรรมา   
         ความหมาย...พิจารณา...
         ประโยคแรกที่ว่า "ระหกระเหิน เดินด้นค้นหา ชั่วชีวาวาตม์"  ภาวะนี้เป็นสัญชาตญาณของคน  คนพอเริ่มรู้ความ ก็เริ่มปรารถนา เริ่มไขว่คว้าพยายาม เพื่อให้ได้ในสิ่งพึงปรารถนา ผู้มีกุศลมูลระดับสูง  จะปรารถนาบุญวาสนาเพื่อการสงเคราะห์ ซึ่งต่างจากคนทางโลกทั่วไป ปรารถนาอายุวัฒนะ เพื่อการสร้างคุณประโยชน์ยาวนาน  ปรารถนาปกติสุข เพื่อการเป็นผู้ให้อย่างราบรื่น ปรารถนาปัญญา เพื่อพาตนและคนทั้งหลายให้พ้นผิดบาป
         ที่สุดคือปรารถนาวิถีธรรม เพื่อการหลุดพ้นวัฏสงสาร ตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้ปรารถนาวิถีธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากวัฏสงสารนั้นมีไม่น้อย แต่น้อยคนนักจักได้พบ บ้างต้องระหกระเหินเดินป่า เพื่อค้นหาท่านผู้รู้ เพื่อขอรับการถ่ายทอด มีไม่น้อยที่ต้องตายเสียเปล่า ระหว่างดั้นด้นค้นหา  บัดนี้ถึงการปรกโปรด ผู้มีกุศลมูลต่างได้รับวิถีธรรมกันโดยง่าย อีกทั้งร่วมกันบำเพ็ญได้ในครัวเรือน จึงพึงพิจารณาเห็นคุณค่าและโอกาส ที่คนแต่ก่อนต้องเหนื่อยยากนัก

                                           ถ้าหากแม้ใจ      ไร้ซึ่งธรรมา        คู่กายาตน
                                           ดำเนินเดินค้น     เยื่องคนบอดใส   ไม่เห็นธรรมหนา
                                           แม้เป็นผู้เพียร     เรียนรู้ธรรมแท้     แน่วแน่แก่กล้า
                                           ท่ามกลางโลกา   อย่าเห็นผู้ใด       ใช่ร้ายเลวนา

       ความหมาย...พิจารณา...
       ในอาณาจักรธรรมคำว่า "ย้อนมองส่องตน"" เป็นวจนะประทับใจผู้ปฏิบัตบำเพ็ญจริงยิ่งนัก เพราะนั่นหมายถึง การใช้พุทธญาณ ธรรมะอันงดงามของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในตน ย้อนส่องมองหาข้อตำหนิ จุดบอดในจิตของตน อีกทั้งยังกล่าวว่าเวลาที่จะค้นหาความผิดของตนก็ไม่พออยู่แล้ว ยังจะมัวไปแคะไค้หาความผิดของใครได้อีกหรือ

                                         หากใคร่กล่อมเกลา     เขาใดใครนั่น     ให้ผันเปลี่ยนจิต
                                         ตนเองต้องคิด         พิจารณา     หากุศโลบาย
                                         อย่าให้เขาคิด      วิจิกิจฉา      ระแวงเผลอไผล       
                                         เขาเข้าถึงใน       ภาวะจิตเดิม     เริ่มจากจิตตน   

       ความหมาย...พิจารณา...
                                         พรหมวิหาร        อันสถิต       ในจิตตน
                                         จงขุดค้น           ขนมาใช้      ให้คุ้มค่า
                                         ฉุดช่วยคน         ขนขึ้นฝั่ง      ทางสุทธา
                                          ด้วยสัจจา         ปัญญายิ่ง     มิ่งขวํญธรรม 
หัวข้อ: 4 : คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๓๕ : บทที่ ๑ : นิรรูปสรรเสริญโศลกไร้รูปลักษณ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2553, 21:31

                                         อันพุทธธรรม   เนื่องนำปรกโปรด   ในโลกเรื่อยมา
                                         ไม่ห่างมรรคา   โลกาสำนึก          ตรึกทางหลุดพ้น
                                         แม้ห่างโลกา     หา "โพธิจิต"       คิดหากจากตน 
                                         จะเหมือนดั้นด้น  ค้นเขากระต่าย     ได้อย่างไรมี

       ความหมาย...พิจารณา...
       พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ พร่ำสอนชาวโลกไว้มากมาย ด้วยพุทธธรรมอมฤตหลากหลาย ล้วนโปรดว่า "จงมองหาตนเอง จงมองหาตนเอง" แต่เป็นไฉนใจจึงลุกลน ชอบเที่ยวดั้นด้นค้นหาธรรมะ ที่โน้น ที่นั่น วัดโน้นดี วัดนี้ก็ดี วัดที่ไม่ไป เพราะไม่คิดว่าจะดีมีอยู่วัดเดียวคือ "วัดไม่ถึงธรรม" ที่ตนเองเป็นเจ้าอาวาส

                                        เมื่อ "เห็นชอบ" "ไซร์"   จึงได้ชื่อว่า    สัมมาพ้นโลก
                                        มิจฉาครองปรก   คือโลกวิสัย        ไม่ได้วิถี
                                        แต่หากตัดสิ้น     สัมมา - มิจฉา     ทั้งดีไม่ดี   
                                        จิตญาณรังษี       จะดุษณีย์          โพธิพุทธา

        ความหมาย...พิจารณา...
        การบำเพ็ญทั้งยุคเขียว ยุคแดง และยุคขาว  บัดนี้พุทธธรรมล้วนสอนให้พาใจออกหากจากกิเลสตัณหาออกจากโลกีย์วิสัยโดยเฉพาะการบำเพ็ญในยุคขาวให้พาตนเข้าไปสู่ชาวโลก เพื่อการปรกโปรดฉุดช่วยเขาให้ได้รับวิถีธรรม จงเอาภาระหน้าที่พร้อมพรหมวิหารสี่ เข้าไปสู่ชาวโลก แต่เรื่องอารมณ์ความคิดจิตใจ ยังจะต้องออกหากจากชาวโลก

                                       ""สรรเสริญ"" บทนี้    วิถีฉับพลัน     อันรู้แจ้งใจ
                                         อีกชื่อหนึ่งไซร์    ว่าเรือธรรมใหญ่   มหานาวา
                                         ผู้หลับหลงใหล    ได้สดับธรรม      ย้ำกัปกัลป์หนา
                                         ผู้ตื่นศรัทธา         กระจ่างแจ้งวาบ  ฉับพลันนั่นเอง

       ความหมาย...พิจารณา...
       โศลกบทนี้ที่เรียกว่า ""บทสรรเสริญ"" ด้วยพระธรรมาจารย์โปรดปรารถนาให้สาธุชนพร้อมกันขึ้นฝั่งธรรมด้วยจิตอันรู้เห็นจริงต่อฟากฝั่งอันเกษม จึงนอกจากจะสรรเสริญต่อพุทธธรรมแล้ว ยังสรรเสริญผู้มีกุศลมูล ณ  ที่นั้นด้วย
        พระธรรมาจารย์ดปรดอีกว่า ""วันนี้ ณ วัดมหาพรหมได้เทศนาวิถีฉับพลัน ปรารถนาให้สาธุชนแห่งธรรมอาณาจักรเห็นจิตญาณ รู้ความเป็นพุทธะแห่งตนได้ในฉับพลัน"" ณ บัดนั้น ผู้ว่าราชการเอว๋ย กับ ข้าราชการผู้ติดตาม ศาสนิกชน ปราชญ์ และเต๋าได้สดับธรรมจากพระมหาเถระเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดไม่รู้ตื่นกันทั่วหน้า พร้อมกราบนมัสการอุทานด้วยความปีติว่า ""สาธุ คิดไม่ถึงเลยว่า พระพุทธะได้อุบัติมา ณ เมืองหลิ่งหนันนี้""

                                                           
                                                              จบบทที่ ๑
                                                             
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕ : บทที่ ๒ : อรรถาสุขคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/11/2553, 07:21

                คำนำ  ::   
         
          โลกาภิวัตน์ในยุคปัจจุบัน  ""คน""ต่างพยายามก้าวเดินเพื่อให้ทันกับการพัฒนาของสรรพสิ่ง สรรพภาษา สรรพประโยชน์กันเต็มที่ ""ธรรมะรัตนะบัลลังก์สูตร"" เล่มนี้ ชื่อที่แปลกันไว้ ส่วนใหญ่คือ ""สูตรของท่านเว่ยหล่าง""  โลกปัจจุบันผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนภาษาจีนกลาง หรือ แมนดาริน เป็นภาษาทางราชการ มิใช่ภาษาท้องถิ่น จึงได้รับความนิยมมาก
        คำว่า """เว่ยหล่าง"" เป็นภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นภาษาท้องถิ่นที่เป็นหลักของชาวมณฑลกวางตุ้ง สรรพนามต่าง ๆ ในพระสูตรเล่มนี้ออกเสียงเป็นกวางตุ้งแทบทั้งนั้น
       บัดนี้ ชาวกวางตุ้งเองที่มีการพัฒนาการทางภาษา ต่างก็สะท้อนความคิดเห็นว่า น่าจะเปลี่ยนเป็นแมนดารินอันเป็นสากล  พระสูตรเล่มนี้ ต้นฉบับเดิมแท้อักษรจีนโดยตรงของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงที่เก็บรักษาไว้ ณ ถิ่นกำเนิดของพระองค์ท่านในประเทศจีนซึ่งแปลมาจากภาษาอังกฤษ


                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕  บทที่ ๒  อรรถาสุคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี ( ซึ กง เต๋อ จิ้ง ถู่ )   

        วันรุ่งขึ้น ผู้ว่าฯเอว๋ย จัดงานเลี้ยงใหญ่ ถวายภัตตาหารเจ แด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง หลังจากนั้นผู้ว่าฯกราบอาราธนาพระมหาเถระเจ้า โปรดขึ้นธรรมาสน์  ผู้ว่าฯกับข้าราชการและสาธุชนเหล่านั้นพร้อมก้มกราบนมัสสการอีกครั้งหนึ่งด้วยความเคารพสำรวม ผู้ว่าฯ กล่าวปุจฉาว่า "ศิษย์ได้ยินพระมหาเถระเจ้าเทศนา เป็นสิ่งมิอาจคิดคำนึงได้เลย วันนี้มีข้อสงสัยเล็กน้อย ขอมหาเมตตากรุณาโปรดแสดงวัสัชนาจำเพาะด้วย""  พระมหาเถระเจ้าโปรดว่า ""กังขาสิ่งใดให้ถาม อาตมาจะกล่าวแจงให้""
        ความหมาย...พิจารณา...
        จะเห็นได้ว่าพระมหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง โปรดให้จัดประชุมธรรมสองวันที่วัดมหาพรหม  วันที่หนึ่ง ท่านโปรดแสดงธรรมเอง  วันที่สอง คือปุจฉาวิสัชนาธรรม สาธุชนถาม ท่านตอบความเข้าใจอย่างถ่องแท้เป็นหนทางไปสู่การเจริญธรรม บรรลุธรรม
        อมตะพุทธะจี้กงพระอาจารย์ของชาวเราก็ได้โปรดไว้ใน ""ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม (ซิ่งหลี่ซึอี๋) ว่า ""จะบำเพ็ญธรรม ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจหลักธรรม วิธีเข้าใจหลักธรรมไม่มีอื่นใด ล้วนอยู่ที่มีข้อสงสัยให้ถามเท่านั้น""
        บำเพ็ญธรรมหากไม่เข้าใจหลักธรรม ก็จะเหมือนหลับหูหลับตาตามกันไป ไม่นานก็จะพลัดหลง ฉะนั้นกังขาข้อใดให้ถาม ผู้่ว่าจัดงานเลี้ยงใหญ่ ถวายภัตตาหารเจแด่มหาเถระเจ้า รวมทั้งจัดสักการะบูชาสี่พระอริยะ มีพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต็เจ้าทั้งหลาย  จักเครื่องสักการะบูชาทั้งหกคติ ทั้งสุคติ และทุคติ อันมี สวรรคติ มนุษย์คติ อสูรกายคติ เดรัจฉานคติ เปรตคติ และนรกคติ อย่างถ้วนทั่วสมบูรณ์
        ผู้ว่าฯ กราบเรียนถามว่า " ที่มหาเถระเจ้าโปรดมานี้ เป็นจุดมุ่งหมายของสมเด็จพระโพธิธรรมหรือมิใช่" มหาเถระเจ้าตอบว่า ""ใช่""  ผู้ว่าฯกล่าวว่า "ศิษย์ได้ยินมาว่า เริ่มแรกที่พระโพธิธรรมโปรดพระเจ้าเหลียงอู๋ตี้นั้น เหลียงอู่ตี้ย้อนถามว่า"ชั่วชีวิตของเรา สร้างวัดวาอาราม อุปัฏฐากสงฆ์ ทำบุญให้ทานถวายภัตตาหารเจมากมาย จะได้ผลบุญบารมีอย่างไร"  สมเด็จพระโพธิธรรมได้ตอบว่า""แท้จริงแล้วไม่มีผลบุญบารมีอันใดเลย""  ""ศิษย์ไม่เข้าใจถึงหลักธรรมข้อนี้ ขอมหาเถระเจ้าได้โปรดชี้แจง""
       ความหมาย...พิจารณา...
       ประวัติการณ์ทางพุทธศาสนาในประเทศจีน รัชสมัยที่สร้างวัดวาอารามมากที่สุด คือรัชสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ ราชวงศ์หนันเฉามากมายถึงสี่ร้อยแปดสิบแห่ง แต่ละแห่งใหญ่โตอลังการยากจะบรรยาย  ""บรรพตพุทธรังษี ฝอกวงซัน"" ที่ไต้หวันที่เห็นยิ่งใหญ่อลังการแล้ว ยังมิอาจเทียบได้ คนที่เพียงได้ร่วมปิดทองฝังลูกนิมิตสักลูกมีส่วนได้สร้างวัดหนึ่งวัด ก็หวังว่าจะได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว
       มหาเถระเจ้าโปรดว่า ""แท้จริงแล้ว ไม่มีผลบุญบารมีอันใดเลย  อย่าเพิ่งสงสัยคำของอดีตอริยะ"" (ที่กล่าวว่าไม่มีผลบุญบารมีนั้น  เนื่องด้วยจิตของเหลีบงอู่ตี้ มีอกุศลเจตนา มิรู้สัทธรรม  สร้างวัดอุปัฏฐากสงฆ์ สร้างบุญทานถวายภัตตาหารเจ ได้ชื่อว่าขอวาสนา วาสนามิอาจกลายมาเป็นผลบุญบารมีได้ ผลบุญบารมีอยู่ในภาวะกายธรรม มิได้อยู่ในภาวะวาสนา )
       ความหมาย...พิจารณา...
       ผลบุญบารมีเกิดได้มากมายหลายทาง เช่นจากการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา เจริญพรหมวิหารธรรม   ฉะนั้นที่กล่าวว่าได้รับวิถีธรรมแล้ว ผลบุญบารมีจะมิอาจประมาณนั้น หมายถึง การรับวิถีธรรมคือ เข้าถึงวิถีจิตแห่งตนแห่งพุทธะ เขาผู้นั้นจะดำเนินชีวิตด้วยศีล สมาธิ ปัญญาต่อไป จึงกล่าวได้ว่า ""ผลบุญบารมี จะมิอาจประมาณ"" 

                         
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕ .๑ : บทที่ ๒ : อรรถาสุคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/11/2553, 08:25

       พระมหาเถระเจ้าโปรดต่อไปว่า "เห็นจิตเดิมแท้คือผลบุญ เห็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันคือคุณธรรมบารมี" ทุกขณะจิตไม่ขัดข้อง เห็นจิตเดิมแท้ตน เกิดคุณวิเศษนั้นเสมอ ได้ชื่อว่า"ผลบุญบารมี" ประการที่หนึ่ง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""ผลบุญ กง เป็นกุศลกรรม""เป็นผลอันเกิดจากความดีที่ทำเพื่อผู้อื่นและตนเองโดยธรรม มิใช่ความดีตามวิสัยโลก เช่นการนำพาเวไนยให้ขึ้นฝั่งธรรมด้วยจิตปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ได้สุข ในขณะที่ทำ งดงามทั้งจิตเมตตา กระทำโดยกรุณา อนุโมทนามุทิตายินดี มิได้ยึดหมายในความดีความสำเร็จของตน เป็นอุเบกขา
     ""บารมี เต๋อ  เป็นคุณธรรมบารมี"" เห็นความเสมอภาคเท่าเทียมกันของสรรพชีวิต ไม่เบียดบังรังแก ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ล่วงเกินทั้งกาย วาจา ใจ จริงใจด้วยธาตุแท้ มิใช่ให้เฉพาะนามรูปนั้นหรือกรณีนั้น ภาวะจิตของตนเองขณะนั้นเป็นคุณธรรมบารมีที่ก่อเกิดความอบอุ่นร่มเย็นแก่ชีวิตจิตใจตน และสรรพชีวิตได้ เปรียบง่ายๆ เช่น เราถือร่มร่วมกางไปกับคนที่เราเกื้อกูลยินดี ขณะฝนตกหนักหรือแดดร้อนแรง เราค่อนร่มไปทางเขาให้มาก ...ความรู้สึกในการเป็นผู้ให้นั้น ก่อเกิดบารมี...กุศลธรรม+คุณธรรม ผลบุญ+บารมี จึงเป็นความดีบริสุทธิ์ที่ให้แก่ตนเองและผู้อื่น โดยไม่ได้ยึดหมาย มิได้แบ่งแยกเจาะจง ไใ่ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะเล็กจะใหญ่เพียงไร เช่นคนที่เราเพียรพยายามนำพาเขาให้ได้รับวิถีธรรม จะเป็ยเศรษฐีหรือยาจก จะมาได้หรือยังมาไม่ได้อย่างไร ""ผลบุญบารมี "นั้นก็ได้เกิดแก่ผู้เพียรพยายามนำพาแล้ว
      มหาเถระเจ้ายังโปรดต่อไปอีกว่า ""ภายในใจอ่อนน้อมคือผลบุญ กง""  ""จริยาที่ปฏิบัติอยู่ภายนอกคือบารมี เต๋อ"" ประการที่สอง 
      ความหมาย...พิจารณา...
      มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิงโปรดแสดงธรรมอยู่บนพื้นดินเป็นธรรมะที่ใช้ได้กับชีวิตประจำวันจริง ๆ มิได้แสดงธรรมอยู่บนยอดไม้ที่ให้สาธุชนแหงนหน้าคอตั้งบ่าขึ้นฟังอย่างรู้บ้างมิรู้บ้าง  ผลบุญ ยังเกิดจากภายในใจที่อ่อนน้อม  อ่อน = ไม่แข็งกระด้าง  น้อม =ยินดีรับ ยินดีให้  ทุกขณะจิตจนเป็นนิสัยธาตุแท้ มิใช่อ่อนน้อมต่อกรณีเฉพาะหน้า ภายในใจอ่อนน้อมจะปราศจากโทสะ โมหะ โลภะ สามพิษร้าย  ภายในใจอ่อนน้อมจะมีควมสุขุมสมาน เยือกเย็น ราบเรียบ  เป็นภาวะปกติอยู่ลึกๆในความรู้สึก
      บารมี เกิดจาก จริยาที่ปฏิบัติอยู่ภายนอก  มีคำกล่าวว่า "ให้อะไรแก่ใคร ก็จะได้สิ่งนั้นตอบสนอง"" เมื่อภายในใจอ่อนน้อม จริยาอาการที่ปฏิบัติอยู่ภายนอกก็จะงดงามจริงแท้ การตอบสนองที่ได้รับอย่างงดงามจริงแท้ เป็นการแสดงให้เห็นบารมีของผู้ที่ได้รับและนั่นคือ คุณลักษณะแท้ของผู้ศึกษาธรรม  รวมความว่า กุศลธรรม + คุณธรรม  อ่อนน้อม + จริยา = ผลบุญบารมี กงเต๋อ
     มหาเถระเจ้าโปรดต่อไปว่า ""จิตญาณตนก่อเกิดหมื่นข้อธรรมคือผลบุญ กายใจออกห่างจากดำริคิดคือบารมี""ประการที่สาม
    ความหมาย...พิจารณา...
    ครั้งนั้น ท่านฮุ่ยเหนิงได้ยินพระคัมภีร์เพียงประโยคเดียวว่า "พึงบังเกิดจิตโดยมิได้ยึดหมาย" ท่านรู้ได้ต่อไปโดยฉับพลันอีกว่า"ข้อธรรมทั้งปวงล้วนเกิดแต่จิตเดิมแท้แห่งตน""  อาจมีผู้แย้งว่า ข้อธรรมทั้งปวงเกิดจากการพิจารณาปรากฏการณ์ของสัจธรรม..แต่หากจิตเดิมแท้หรือปัญญาเดิมแท้มิอาจพิจารณาได้เล่า จะเอาอะไรไปเข้าใจในปรากฏการณ์ของสัจธรรม เมื่อจิตญาณตน ปัญญาญาณตน ก่อเกิดหมื่นข้อธรรมได้ จิตญาณและปัญญาจิตญาณนั้นต้องอยู่ในสภาวะธรรมอันละเอียดปราณีตลุ่มลึก ดุษณีย์เป็นแน่แท้ เช่นนั้นจึงเป็นผลบุญ  สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญูหยั่งรู้สิ่งทั้งปวงได้ด้วยจิตญาณปัญญาแห่งพระองค์มิใช่เรียนรู้ได้มา "กายใจออกห่างจากดำริคิดคือบารมี" ดำริคิดเป็นบ่วงพันธนาการอันปราศจากรูปลักษณ์นับเป็นดาบสองคม ดำริคิด ยึดหมาย ทำให้ปัญญาบริสุทธิ์ยากจะเกิดขึ้นได้ ช่วยตนยังไม่ได้จะช่วยใครได้  บารมี จึงเกิดจากความเป็นอิสระเสรีทั้งกายใจ รวมความว่า " กุศลธรรม+คุณธรรม+อ่อนน้อม+จริยา+จิตญาณ+กายใจ = ก่อเกิดผลบุญบารมี กงเต๋อ
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕.๒ : บทที่ ๒ :อรรถาสุคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/11/2553, 13:42

      มหาเถระเจ้าโปรดต่อว่า " ไม่พ้นหากจากจิตญาณตน(ภาวะบริสุทธิ์)เป็นผลบุญใช้คุณประโยชน์ (จิตญาณบริสุทธิ์) โดยมิแปดเปื้อน คือ บารมี "  (ประการที่สี่)
     หากปรารถนาค้นหา "ผลบุญบารมีในภาวะกายธรรม" จงปฏิบัติเช่นกล่าวมาจะเป็น "ผลบุญบารมีที่แท้จริง" หากผู้บำเพ็ญเพียรในผลบุญบารมี ใจจะไม่ดูแคลน จะให้ความเคารพต่อทุกคนและสรรพสิ่งเสมอ หากใจมักดูแคลนเขา ไม่ละ อัตตาเขา - เรา ย่อมปราศจากผลบุญ จิตญาณตนฟุ้งเฟื้อเผลอไผลไม่เที่ยงแท้ ย่อมปราศจากบารมี   ด้วยเหตุจากตัวกูของกูเป็นใหญ่ จึงดูแคลนทุกอย่างไป
     ท่านผู้เจริญ    ทุกขณะจิตมิเว้นด้วยช่องว่าง (ไม่มีสิ่งแทรกแซง)เป็นผลบุญ ดำเนินใจตรงราบเรียบเสมอภาค เป็นบารมี  บำเพ็ญใจตน เป็นผลบุญ   บำเพ็ญกายตน เป็นบารมี  (ประการที่ห้าและหก)
     ความหมาย...พิจารณา...
     ทุกขณะจิตมิเว้นด้วยช่องว่าง... หมายถึงภาวะแห่งจิตเดิมแท้นั้น สมบูรณ์ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ว่างจากอาสวะกิเลสสิ่งแปลกปลอมทั้งหลายจากภายนอก
     มิเว้นด้วยช่องว่าง...คือ ไม่เปิดช่องทางให้สิ่งแปลกปลอมทั้งหลายภายนอกเข้าแทรกแซงได้ จิตที่สมบูรณ์ด้วยปัญญาเดิมแท้จึงเป็นผลบุญ  รวมความว่า บุญทาน คุณธรรมความดีทุกอย่างที่สร้าง ที่สำแดง ที่ให้ออกไปจากจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้ได้รับโดยธรรมอย่างเสมอภาคแท้จริงเป็นผลบุญบารมี
     ท่านผู้เจริญ  ผลบุญบารมีจะเห็นได้จากจิตเดิมแท้ภายในแห่งตน มิใช่เรียกร้องขอได้จากการทำบุญ ให้ทานอุปัฏฐาก ถวายภัตตาหาร ดังนี้ เป็นข้อแตกต่างระหว่าง ""วาสนาบารมี"" กับ ""ผลบุญบารมี""
     เหลียงอู่ตี้ไม่เข้าใจในหลักสัจธรรม มิใช่ความเห็นผิดของสมเด็จพระโพธิธรรม พระอาจารย์แห่งเรา ที่กล่าวตอบเช่นนั้น
    ความหมาย...พิจารณา...
    ในอาณาจักรธรรม การให้ทรัพย์ วิทยาธรรมเป็นทาน แรงกายเป็นทาน นับเป็นผลบุญบารมี หรือ วาสนาบารมี  คำตอบและผลอยู่ที่ตัวของผู้สร้างสมเองว่า  ก่อนกระทำ มุ่งหมายอย่างไร  ขณะทำด้วยภาวะจิตเช่นไร  หลังจากทำแล้ว ภาวะจิตเป็นเช่นไร
     กราบเรียนถามอีกว่า  "ศิษย์มักเห็นสงฆ์ กับ ฆราวาส ต่างสวดท่องพระนามอมิตตาภะพุทธเจ้า อธิษฐานจิตไปเกิดยังสุขาวดี ของมหาเถระเจ้าได้โปรดว่า จะได้ไปเกิดที่นั่นจริงหรือไม่ โปรดได้คลายข้อกังขาแก่ศิษย์ด้วย"
    ความหมาย...พิจารณา...
    ในพระสูตร "อมิตาภะ" จารึกไว้ว่า  "หากสาธุชนหญิงชายผู้ใดได้สดับพระนามอมิตาภะพระพุทธเจ้า ปฏิบัติสวดท่องพระนามนี้ เป็นเวลา หนึ่งวัน สองวัน สามวัน สี่วัน ห้าวัน หกวัน เจ็ดวัน ด้วยในสงบไม่วุ่นวาย ผู้นั้นเมื่อถึงแก่อายุขัย ใกล้จะละสังขาร ขณะนั้นเอง อมิตาภะพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอริยเจ้าทั้งหลาย จะโปรดเสด็จมาปรากฏตรงหน้า เมื่อละสังขารแล้วจิตใจไม่สับสนผิดผัน จะได้ไปเกิดยังสุขาวดีแดนแห่งอมิตาภะพุทธเจ้า"
    ในพระสูตร "อมิตาภะ อู๋เลี่ยงโซ่วจิง" บทภาวนาที่สิบแปด ก็จารึกไว้ว่า "ขณะละสังขารนั้น หากจิตหนึ่งใจเดียวแน่วแน่มิผิดผัน ท่องพระนามพระพุทธะสิบครั้ง จะไปเกิดในสุขาวดีสวรรค์ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า" สุขาวดีอยู่ ณ ที่ใด ในพระสูตรพระอมิตาภะ จารึกไว้ว่า "จากสหาโลก (โลกเรา) ไปทางทิศตะวันตกผ่านหนึ่งร้อยล้านพุทธภุมิ (หนึ่งพุทธภูมิ คือ สามพันมหาสัพพโลก
 ซันเซียนต้าเซียนซื่อเจี้ย)  หนึ่งพันโลกเล็ก เป็นหนึ่งหน่วยพันโลกเล็ก  หนึ่งพันหน่วยโลกเล็ก เป็นหนึ่งหน่วยพันโลกกลาง หนึ่งหน่วยพันโลกกลาง จึงเป็นมหาพันสัพพโลก หรือโลกใหญ่
     ที่ว่า "สามพันมหาสัพพโลก ซันเซียนต้าเซียนซื่อเจี้ย" ก็คือหนึ่งพันมหาโลก เพราะมีหลักพันอยู่สามหลักจึงเรียกว่าสามพันมหาพันสัพพโลก  ฉะนั้น การจะไปสู่สุขาวดีได้นั้น จะต้องผ่านแสนร้อยล้านสัพพโลก"
     ผู้ว่าฯ เอว๋ย ปุจฉาปัญหานี้ เป็นเรื่องไกลเกินคิดเหลือเกิน ถ้าเช่นนั้น การที่กล่าวกันว่า เพียงท่องพระนามอมิตาภะพุทธเจ้าเพียงสิบครั้งก่อนละกายสังขาร ก็จะไปถึงสุขาวดีได้นั้น เป็นไปได้เพียงไร
     มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิงโปรดว่า "ท่านผู้ว่าฯ จงสดับฟังให้ดี อาตมาฮุ่ยเหนิงจะบอกแก่ท่าน" ครั้งนั้นเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี โปรดอีตถาธรรมชัดเจนเรื่องการไปเกิดยังสุขาวดีว่า "จากนี้ไปไม่ไกล" หากกล่าวโดยลักษณะการระยะทางสิบหมื่นแปดพันลี้ก็คือ อกุศลกรรมบทสิบ กับ มิจฉาทิฐิแปด ในตน จึงกล่าวว่า ""อยู่ไกล""
     ความหมาย...พิจารณา...
     สมเด็จพระผู้มีพระภ่คเจ้าตรัสในเบื้องต้นว่า "สุขาวดี ไปจากนี้ไม่ไกล" หมายถึง "รู้แจ้งฉับพลัน จิตบรรลุสู่สุขาวดีพลัน" ในเบื้องปลายตรัสว่า "อยู่ไกล" หมายถึง การชำระอกุศลกรรมบทสิบ กับ มิจฉาทิฐิแปดในตนของคนเป็นเรื่องยากยิ่ง จึงกล่าวว่าอยู่ไกล     หมายเหตุ ::   อกุศลกรรมบทสิบ คือ  1.ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  2.ลักขโมย  3.ประพฤติผิดในกาม  4.วาจามิชอบ  5. พูดคำหยาบ  6.พูดส่อเสียด  7. พูดเพ้อเจ้อ  8.โลภมาก อยากได้  9.พยาบาทมาดร้าย  10.เห็นผิด
         มิจฉาทิฐิแปด คือ 1. เห็นผิด   2.ดำริผิด  3. วาจาผิด  4.การงานผิด  5.เลี้ยงชีพผิด  6. ความเพียรผิด  7.ระลึกผิด  8.ตั้งใจผิด
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕.๓ : บทที่ ๒ : อรรถาสุคติผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/11/2553, 09:33

      โปรดต่อไปว่า "ที่กล่าวว่า ""ไกล"" นั่นหมายถึงผู้อยู่ในอกุศลมูล มากด้วย โลภ โกรธ หลง ที่กล่าวว่า ""ใกล้"" นั่นหมายถึงผู้สูงด้วยชยานะ สติปัญญา คนมีสองประเภท แต่ธรรมะไม่มีสองจำพวก  ""หลง"" กับ ""รู้แจ้ง"" มีความแตกต่าง เห็นจิตเดิมแท้มีช้ากับเร็ว  ""คนหลง""ภาวนาระลึกถึงพระพุทธะเพื่อไปเกิด ณ  ที่นั้น   ""คนรู้แจ้ง""ชำระจิตตนให้หมดจดเอง
      พุทธพจน์จึงมีว่า ""สิ่งอันตามติดจิตตนหมดจด""คือพุทธเกษตรสุขาวดี ดินแดนหมดจดแห่งพุทธะ
      ความหมาย...พิจารณา...
      ทางโลกกับทางธรรมต่างกัน ทางโลก "ขอ"อาจได้  ทางธรรม "ปฏิบัติเอง"จึงได้ ปุถุชนขอทางโลกจนเคยชิน น้อยคนนักที่จะปฏิบัติเพื่อให้ได้มาจากความเพียรของตนเอง จึงยังคงหลงขอต่อไป
      ท่านผู้ว่าฯ คนทางบูรพาทิศ (ชาวโลก)แต่หากจิตใจหมดจด ก็จะปราศจากผิดบาป ถึงแม้จะเป็นคนทางประจิมทิศ(สวรรค์สุขาวดีแดน) แต่หากจิตใจไม่หมดจด ก็มีผิดบาปได้ คนบูรพาทิศสร้างผิดบาป ภาวนาพระพุทธะ จะระลึกยังไปเกิดขอที่ใดหรือ ปุถุชนโง่หลง มิรู้แจ้วแห่งจิตญาณตน ไม่รู้จักสุขาวดี แดนบริสุทธิ์ในตน จึงปรารถนาบูรพาทิศ ประจิมทิศ ผู้รู้แจ้งไม่ว่าไปสู่แห่งใด ก็เป็นเช่นที่เดียวกัน ฉะนั้น พุทธพจน์จึงว่า "จะเป็นแห่งหนใด ล้วนได้สุขเกษมนิรันดร์กาล"
      ท่านผู้ว่าฯ จิตใจหากปราศจากอกุศล จากจุดนี้ไปสู่ประจิมทิศสุขาวดีได้ไม่ไกล แต่หากใจแฝงไว้ด้วยอกุศลภาวนาระลึกถึงพุทธะก็ยากจะไปเกิดยังที่นั้นได้
      ความหมาย...พิจารณา...
      คำอวยพรส่งวิญญาณผู้ตาย เช่น"ขอจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด"  "ขอจงไปสู่สัมปรายภพหน้า หรือ ขอจงไปสู่สุขคติภพ" หากจิตวิญญาณของเขา มิได้ชำระให้หมดจดก่อนจะเดินทางไปคือมิได้เตรียมตัวเตรียมใจไปแม้เราจะกล่าวอวยพรชี้ชวนเท่าใด เขาก็ไปไม่ได้ ไปไม่ถึง  ฉะนั้น การถ่ายทอดวิถีธรรมในยุคนี้ ไม่เพียงทำให้เขาได้รู้จักคุ้นเคยต่อเสันทางไปสุขาวดี ยังจัดประชุมอบรมกล่อมเกลาให้เขาเตรียมการชำระกายใจเพื่อการเดินทางไกลครั้งสำคัญของชีวิตอีกด้วย
     บัดนี้ จึงขอเตือนท่านผู้เจริญว่า ""จงเริมจากกำจัดอกุศลกรรมทั้งสิบเสียเป็นเบื้องต้น นั่นเท่ากับเดินทางใกล้เข้าไปถึงสิบหมื่นลี้แล้ว  จากนั้นกำจัดมิจฉาทิฐิแปด เช่นนี้ก็เท่ากับได้เดินทางผ่านพ้นไปอีกแปดพันลี้ ระลึกรู้แจ้งในจิตเดิมแท้ตนทุกขณะ รักษาเส้นทางเดิมให้ตรงเรียบไว้เป็นประจำ จะส่องเห็นอมิตาภะพุทธเจ้าได้ในลัดนิ้วมือเดียว""
      ความหมาย...พิจารณา...
     ลัดนิ้วมือเดียว    ผู้ได้รับวิถีธรรม หนทางสิบหมื่นแปดพันลี้ เราไปถึงได้ ชั่วลัดนิ้วมือเดียว  ลัดนิ้วมือจากพุทธะจี้กงพระอาจารย์ที่นำทางผ่าน โดยนิ้วของอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม ในพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม มีธรรมประกาศิตประโยคหนึ่งที่ว่า ""สุขาวดีแดนแม้แสนไกล บัดใจไปถึง ซือ เทียน ซุย เอวี่ยน ฉิ่ง เค่อ เต้า..."" ฉะนั้น ผู้เบิกญาณทวรเห็นทางแล้วก็จะหยุดอยู่กับที่ ยังจะรีรอต่อไปทำไมเล่า
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕.๔ : บทที่ ๒ : อรรถาสุคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/11/2553, 11:32

       ท่านผู้ว่าฯ จงปฏิบัติกุศลกรรมบถทั้งสิบให้ถึงพร้อมเถิด ไฉนยังจะต้องตั้งความปรารถนาไปเกิด ณ สุขาวดีแดนอีก จิตใจที่ไม่ตัดขาดจากอกุศลกรรมบถทั้งสิบ ถึงเวลาละสังขาร จะให้พระพุทะะพระองค์ใดมาเชื้อเชิญนำพาไปล่ะหรือ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ในอาณาจักรธรรม เราจะเห็นความเป็นจริงมากมายว่า อาวุโสท่านใดปฏิบัตบำเพ็ญเพียรเพียงไร เมื่อละกายสังขาร พระอง์ใดโปรดแสดงมานำพารับไป ประจักษ์หลักฐานเหล่านี้มิใช่เท็จแน่แท้
      แม้หากสำนึกรู้แจ้งวิถีธรรมอันมิเกิดมิดับฉับพลัน ประจิมทิศสุขาวดีแดนก็เห็นอยู่ ณ ที่นั้นทันใด แต่หากไม่สำนึกรู้แจ้ง ภาวนาระลึกถึงพระพุทธะเพื่อขอไปเกิด หนทางไกลนั้นอย่างไรจึงจะไปถึงได้  ""อาตมาฮุ่ยเหนิง จะย้ายประจิมทิศสุขาวดีแดนมา ณ บัดนี้ ให้เห็นได้ตรงหน้าทันที ทุกท่านปรารถนาจะได้เห็นหรือไม่"""ทุกคนในที่นั้น ต่างอนุโมทนาสาธุท่วมหัว พร้อมกับกล่าวว่า ""หากเห็นได้ในที่นี้ ยังจะจำเป็นปรารถนายิ่งอย่างไรที่จะไปเกิดยังที่นั้น ขอพระมหาเถระเจ้า ได้โปรดให้สุขาวดีแดนปรากฏแก่สิษย์ทั้งหลายได้เห็นโดยทั่วกันด้วยเถิด""
     พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""ชนทั้งหลาย      กายร่างของชาวโลกเปรียบเช่นเมือง   
                                                       มีนัยน์ตา หู จมูก ปากเป็นประตูเมือง
                                                              ชั้นนอกมีห้าประตู
                                                           ภายในมีประตูมโนทวาร
                                                               ใจเป็นแผ่นดิน 
                                                      จิตญาณ คือ จอมประมุขผู้เป็นใหญ่
                                                 จอมประมุขประทับ ณ ใจกลางของแผ่นดิน
                                                           จิตญาณอยู่   ประมุขยังอยู่ 
                                                           จิตญาณไป   ไม่มีประมุข
                                                           จิตญาณอยู่   กายใจยังคงอยู่
                                                           จิตญาณไป   กายใจเสียหาย
                                                             พุทธะเป็นได้ด้วยจิตญาณ   
                                                             อย่าเรียกหาจากนอกกาย
                                                        จิตญาณตนหากหลงก็คือเวไนยฯ
                                                       จิตญาณตนหากสำนึกรู้ตื่นก็คือพุทธะ
                                                      เมตตากรุณาคือ พระโพธิสัตว์กวนอิม
                                         มุทิตาอุเบกขาคือ พระโพธิสัตว์มหาสถามปราปต์  (ต้าซื่อจื้อผูซ่า)
                                                      บริสุทธิ์ผุดผ่องได้ คือ  ศากยพุทธเจ้า
                                               ราบเรียบเที่ยงตรงสม่ำเสมอ คือ อมิตาภะพุทธเจ้า
       ความหมาย...พิจารณา...
       บำเพ็ญจิตเมตตากรุณา ปรกแผ่โอบอุ้มสรรพชีวิต คือ เจริญรอยตามพระบาทพระโพธิสัตว์กวนอิม บำเพ็ญจิตให้เจริญมุทิตาธรรมอุเบกขาธรรม ปรกโปรดเสมอภาคราบเรียบ คือ เจริญรอยตามพระบาทพระโพธิสัตว์มหาสถามปราปต์ ทั้งสองพระองค์สำแดงองค์ในฐานะพรหมวิหารสี่ เป็นปัญญาเครื่องตรัสรู้ อยู่เบื้องซ้ายขวาของพระอมิตาภะพุทธเจ้าพระพุทธองค์พระนามว่าโคดม เจริญในศากยสกุล ชาวจีจนิยมถวายพระนามว่า ""ศากยมุนีพุทธเจ้า   อมิตาภะพุทธเจ้าบำเพ็ญมหาบารมีราบเรียบ เที่ยงตรง สม่ำเสมอ เจริญสี่สิบแปดมหาปณิธาน บรรลุสู่สุขาวดี ณ แดนพุทธะอันบริสุทธิ์
       พระนามของพุทธะพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย   ล้วนให้ความหมายเป็นอุทาหรณ์ต่อการบำเพ็ญของเหล่าเวไนยฯ ความหมายของการให้ท่องพระนาม ก็เพื่อเตือนใจให้รำลึก ให้เจริญธรรมตามรอยพระบาทของพระองค์ด้วยประการหนึ่ง  การท่องรหัสคาถาห้าคำ ก็มีความหมายในนัยเดียวกัน
       
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕.๕ : บทที่ ๒ : อรรถาสุคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/11/2553, 12:30

                                        การยึดหมายในอัตตาตัวตน
                              อัตตาตัวตนเขา - เรา ประหนึ่งเขาพระสุเมรุ
                                        จิตอกุศลประหนึ่งน้ำทะเล
                                    กิเลสเศร้าหมอง คือ ระลอกคลื่น
                                        อำมหิต คือ พิษมังกรร้าย
                                   เพ้อพกมุสามายา คือ ปีศาจอสูร
                               ตัณหาความอยาก คือเต่าปลาตะพาบน้ำ
                                       โลภะโทสะ คือ นรกภูมิ
                                      โมหะโง่หลง คือเดรัจฉาน

        ความหมาย...พิจารณา...
       ความยึดมั่นต่อทุกอย่างเหนียวแน่นหนักหนา พันธนาไม่ปล่อยวาง ดั่งภูเขาพระสุเมรุ เป็นอุปสรคต่อการเจริญธรรม จิตอกุศลปั่นป่วนสู้รบ ไม่สงบได้  ความขุ่นมัวเศร้าหมองเกาะกินใจ ให้ห่วงใยทุกข์กังวล อุปมาระลอกคลื่นน้อยใหญ่สาดซัดอยู่ซ้ำซาก  ใจดำอำมหิตคิดชั่วคิดร้ายต่อใคร ๆ เป็นมังกรพ่นพิษ ทำร้ายตนและคนอื่น ๆ ความไม่จริงใจฉ้อฉลหลอกลวงของตัวเองเป็นปีศาจ  ตัณหา เป็นความอยากที่ถมไม่เต็ม เหมือนเต่าปลาตะพาบที่แช่อยู่ในน้ำ วนเวียนอยู่ไม่รู้จบ  ความโลภ ความโกรธ  อิจฉาริษยา ทำให้จิตใจร้อนรุ่มเหมือนอยู่ในขุมนรกไฟ ความโกรธ ความโง่หลง เหมือนเดรัจฉานที่ไม่มีวิจารณยาณความคิด
      ท่านผู้เจริญ...ปฏิบัติกุศลกรรมบถทั้งสิบอยู่เสมอเป็นประจำ สวรรค์ก็มาถึงตัว  ขจัดอัตตตาตัวตนลง ภูเขาพระสุเมรุย่อมล้มทะลาย ไม่ขวางทาง ปราศจากจิตอกุศล น้ำทะเลที่บ้าคลั่ง เหือดหาย ปราศจากกิเลสเศร้าหมองขุ่นมัว คลื่นลมสงบสลาย ตัวการพิษร้ายถูกกำจัดไป ปลาและมังกรร้าย (ตัณหา) หายสาบสูญ บนแผ่นดินจิต (ผืนนาใจ) อันสำนึกตื่นในตถตาแห่งตน จะเปล่งรัศมีสว่างจ้า ภายนอกจะสาดส่องประตูเมืองทั้งหกให้สะอาดหมดจด (อินทรีย์ทั้งหกไม่มืดมิด) ทำลายโลกแห่งกามาวจรทั้งหกลงได้ จิตญาณตนส่องสว่างภายใน โลภ โกระ หลง สามพิษร้ายกำจัดหมดสิ้น โทษผิดบาปทั้งหลายแห่งนรก มลายหายสูญไปในทันที ภายในภายนอกปรุโปร่งสว่างแจ้ง มิต่างจากประจิมทิศ สุขาวดีแดน ไม่บำเพ็ญเช่นนี้ จะไปถึงฟากฝั่งได้อย่างไร
       ความหมาย...พิจารณา...
       สมเด็จพระโพธิธรรมจาริกประเทศจีน เผยแผ่พุทธธรรม โดยมิได้ใช้ภาษาอินเดียสื่อกับชาวจีน แม้หากจะสื่อก็ไม่เข้าใจภาษาซึ่งกัน จึงเป็นข้อยืนยันชัดเจนว่า ""ธรรมะ   สื่อถึงกันด้วยธรรมะ""
                                      ""จิตญาณ  สื่อรู้กันด้วยจิตญาณ"""
                          เมื่อภาวะตถตาเปล่งรัศมี จึงปรุโปร่งสว่างแจ้ง ส่องถึงกันและกัน
       ทุกคนในที่นั้น ได้สดับพระธรรมคำสอนจากพระมหาเถระเจ้าจบลง ต่างเห็นจิตญาณตนหมดสิ้น จึงต่างพร้อมกันก้มกราบถวายพระพร พร้อมกับอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า ""สาธุ วิเศษแท้""  อีกทั้งถวายสัจวาจาว่า ""ปรารถนาให้มวลเวไนยฯในธรรมธาตุผู้ได้สดับพระธรรมนี้ จงมีความเข้าใจรู้แจ้งโดยพลันด้วยเถิด"""
       ความหมาย...พิจารณา...
      หลังการถ่ายทอดวิถีธรรมแล้ว อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมพร้อมด้วยนักธรรมทุกท่านในที่นั้น ต่างเปล่งเสียงแสดงความปลื้อปิติต่อผู้ได้รับวิถีธรรมว่า ""กงสี่ กงสี่  น้อมแสดงความยินดี "" เป็นความหมายว่า ""ขอจงมีความเข้าใจรู้แจ้งต่อวิถีธรรมต่อวิถีจิตแห่งท่านโดยพลันด้วยเถิด "" เช่นเดียวกัน
     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๕.๖ : บทที่ ๒ : อรรถาสุคติของผลบุญกับคุณธรรมบารมี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/11/2553, 19:41

      พระมหาเถระเจ้าโปรดต่อไปว่า
      ท่านผู้เจริญ...หากปรารถนาจะบำเพ็ญเพียร อยู่กับบ้านก็บำเพ็ญได้ มิจำกัดจะต้องอยู่วัด อยู่บ้านหากบำเพ็ญได้ ก็มิต่างจากคนบูรพาทิศที่มีจิตเป็นกุศล แต่หากผู้อยู่วัดมิได้บำเพ็ญ ก็เป็นเช่นคนทางประจิมทิศที่จิตเป็นอกุศล จิตใจใสสะอาดหมดจด คือจิตเดิมแท้แห่งตน ณ ประจิมทิศ
      ความหมาย...พิจารณา...
      การจะรู้ได้ว่าอย่างไรเป็นสัมมาศาสนา ให้ิพิจารณาหลักใหญ่ในคำสอน คำสอนที่เป็นจุดประสงค์หลัก จะต้องให้ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ทำจิตใจให้ใสสะอาดหมดจด เมื่อจิตใจใสสะอาดหมดจด กิเลสตัณหา อกุศลชั่วร้ายไม่มี เป็นสัมมาวิถี มุ่งสู่ความหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง จึงปราศจากพิษภัยโดยแท้ พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกกล่าววาจาประกาศิตว่า""วิถีธรรมอันรู้แจ้งเข้าถึงจิตตนโดยฉับพลันนี้อยุ่กับบ้านก็บำเพ็ญได้...บำเพ็ญได้ก็บรรลุได้...แน่นอน
       ฉะนั้นยุคนี้วิถีธรรมจึงโปรดสู่ครัวเรือน มิต้องทอดทิ้งภาระหน้าที่อันพึงรับผิดชอบ มีผู้บำเพ็ญสำเร็จไปมากมายในฐานะกึ่งอริยะกึ่งสามัญชนที่มิได้ขาดพร่องส่วนใด
       ผู้ว่าฯ เอ๋ยกราบเรียนถามอีกว่า ""อยู่กับบ้านจะบำเพ็ญอย่างไร ขอมหาเถระเจ้าโปรดได้สอนสั่ง""
       พระมหาเถระเจ้าโปรดว่า ""อาตมาจะได้กล่าวสรรเสริญวิถีธรรมนิรรูปแก่ทุกท่าน จงบำเพ็ญตามนั้น จะไม่แตกต่างจากร่วมอยู่กับอาตมาเสมอเหมือนบวชเรียนอยู่วัดกับพระอาจารย์ หากไม่บำเพ็ญตามเช่นนี้ แม้จะปลงผมออกบวขจะมีประโยชน์อันใดต่อธรรมะ
       ความหมาย...พิจารณา...
       อมตะพุทธะพระอาจารย์ของชาวเรา เคยโปรดเสมอว่า ""หากเจ้าตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญจริง เจ้าคิดถึงอาจารย์อาจารย์ก็อยู่กับเจ้าอาจารย์ไม่เคยห่างหายไปจากเจ้า""
       พระอาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็กล่าวเช่นกันในความหมายนี้ คุณพระคุณเจ้าที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ อุตสาห์ดั้นด้นค้นหาเดินทางทุลักทุเล มิสู้อาราธนาความศักดิ์สิทธิ์จากพระองค์ท่านมา ด้วยจิตศรัทธาบำเพ็ญเพียรจะดีกว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมาถึงเราได้ในอึดใจ อีกทั้งอยู่กับเราได้ทุกขณะจิต  ผู้ปลงผมออกบวชในศาสนาลัทธินิกายใด หรือถือบวชบำเพ็ญเช่นชาวอนุตตรธรรม ล้วนมีหน้าที่จรรโลงหลักธรรม คุณความดีที่บรรพจารย์สร้างสมมา อย่าให้ถูกกล่าวได้ว่า""มีประโยชน์อะไรต่อธรรมะ  ต่อธรรมะในตัวตน จนถึงธรรมะทุกตัวตน""
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๖ : บทที่ ๑ : บทสรรเสริญ ""นิรรูป""
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/11/2553, 20:03

                     ซินผิงเหอเหลาฉือเจี้ย      สิงจื๋อเหออย้งซิวฉัน
                     เอินเจ๋อเซี่ยวหย่างฟู่หมู่    อี้เจ๋อซั่งเซี่ยเซียงเหลียง

                   มิพึงถือศีลให้เหนื่อยยาก หากใจราบเรียบสมาน
                   มิพึงบำเพ็ญฌานเหนื่อยเปล่า หากเจ้าเดินตรงวิถี
                        พึงกตัญญูเลี้ยงดูรับใช้พ่อแม่บุพการี
                        พึงสำนึกมโนธรรมดีน้องพี่สงสารกัน

         ความหมาย...พิจารณา...
         มิพึงถือศีล... มิพึงบำเพ็ญฌาน...เป็นคำกำราบจิตผู้ถือศีลผิด บำเพ็ญฌานผิด ถือก็ผิดไม่ถือก็ผิด
         จะถือไปทำไม บำเพ็ญไปทำไมให้เหนื่อยยาก
        คนที่ใจราบเรียบสมาน คือ ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์อยู่ในตัวคือถือศีลอย่างแท้จริง
       ผู้เข้าถึง รู้แจ้งจิตญาณตน คือผู้เข้าถึงธรรม เข้าถึงฌาน เข้าถึงด้วยวิถีตรง จึงต้องให้เดินตรงต่อวิถี
       อย่าทิ้งหน้าที่ที่พึงมีต่อพ่อแม่บุพการี น้องพี่ สามี ภรรยา ลูกๆและบริวาร ที่พึงกตัญญูดูแลโอบอุ้ม
       ปลีกตัวเป็นความเห็นแก่ตัว ปลีกตัวบำเพ็ญไม่สำเร็จ ยิ่งเป็นหนี้บุญคุณใคร ๆ มากมาย ชดใช้ไม่หมด
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๖.๑ : บทที่ ๒ : บทสรรเสริญ ""นิรรูป""
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/11/2553, 20:15

         ยั่งเจ๋อจุนเปยเหอมู่     เหยิ่นเจ๋อจ้งเอ้ออู๋เซวียน

         ยั่วเหนิงจ่วนมู่ชูหั่ว      อวีหนีติ้งเซิงหงเหลียน

         สละละเลี่ยงได้ ทุกคนน้อยใหญ่ สมัครใจประสาน
        อดทนมิตอบพาล ผุ้มาระราน หยุดว่าขานโวยวาย
        แม้อาจวิริยะ  ชนะใจตน  ฝนไม้ให้เกิดไฟ
        บัวแดงดอกใหญ่  จะเกิดเป็นได้  ในปลักโคลนตม
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๖.๒ : บทที่ ๓ : บทสรรเสริญ""นิรรูป""
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/11/2553, 20:24

            ขูโข่วเตอซื่อเหลียงเอี้ยว   นี่เอ่อปี้ซื่อจงเอี๋ยน

             ไก่กั้วปี้เซิงจื้อฮุ่ย           ฮู้ต่วนซินเน่ยเฟยเสียน


             สรรพคุณยาดี  ย่อมมีรสขม  ข่มใจดื่มกิน
             ขัดหูที่ได้ยิน  คำจากใจจริง   ใช่สิ่งพริ้งเพราะ
             กลับตัวแก้ไข  ปัญญาภายใน  เกิดได้หมายเหมาะ
             สร้างกำบังเกาะ  เพราะซ่อนผิดไว้  มิใช่เมธี     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๖.๓ : บทที่ ๔ : บทสรรเสริญ""นิรรูป""
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/11/2553, 21:28

                  ยื่ออย้งฉังสิงเหยาอี้       เฉิงเต้าเฟยอิ๋วซือเฉียน
                  ผูถีจื่อเซี่ยงซินมี่           เหอเหลาเซี่ยงไอว้ฉิวเสวียน

                  ใช้วันเวลา มีค่าหลากหลาย  ให้อภัยให้คุณ
                  เงินไม่อาจหนุน  เป็นบุญพาผัน  บรรลุธรรมได้
                  พุทธะโพธิ  มีเพียงทางหนึ่ง  พึงหาที่ใจ
                  ดั้นด้นค้นไป  ภายนอกตนมี  ไม่มีวิเศษญาณ

        ความหมาย...พิจารณา...
        วันเวลาของฉัน  มันเกินกว่าค่า  ประมาณมิได้
         มิเพื่อมุ่งหมาย  ได้เงินทองมา  พากินพาเที่ยว
         แต่เพื่อนำพา  เวไนย์มิให้  วนในคลื่นเกลียว       
         กึ่งนาทีเดียว  เกี่ยวบุญเกี่ยวบาป  นับไม่ถ้วนเลย

         พระธรรมาจารย์โปรดว่า
         ""ให้คุณแก่คน"" หมายถึง คุณอันยั่งยืนจากการฉุดช่วยขนถ่ายเวไนย์ มิให้ต้องวนเวียนจมลึกลงไปในกลียวคลื่นของโลกีย์  การให้ทรัพย์เป็นทานแก่งานธรรมแม้จะสำคัญ แต่ต้องไม่ลืมบำเพ็ญจิตตนพร้อมกันไป
        ""ได้ยินมาว่าบำเพ็ญดั่งนี้  สวรรคือยู่ใกล้ตรงแค่นัยน์ตา"""
        ความหมาย...พิจารณา...
        ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว จะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคที่ว่า ""สวรรค์อยู่ใกล้ตรงแค่นัยน์ตา"" ธรรมะประกาศิตขณะถ่ายทอดวิถีจิตที่ว่า ""ตรงนัยน์ตา ข้างหน้าหมาย  นั่นคือใช่"" เอี่ยนเฉียนกวนจี๋ซื่อ
        ท่านพุทธทาส ได้วาดภาพคนมีนัยน์ตาที่สามไว้ที่สวนโมกข์ ฯ สุราษฏร์ธานี  เหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาธรรม เป็นหัวใจของการเข้าถึงจิตเดิมแท้ธรรมญาณตน จึงเป็นวิถีจิต  วิถีตรง  ได้รับตรง  บำเพ็ญตรง  บรรลุตรง
       พระมหาเถระเจ้าโปรดต่อไปว่า
       ท่านผู้เจริญ...จะต้องบำเพ็ญตามข้อความในโศลก รู้เห็นนำพาจิตญาณตน บรรลุวิถีพุทธะโดยตรง ธรรมะเป็นเอกะมิเป็นสองต่อรองกัน ทุกท่านจงต่างแยกย้ายไป อาตมาจะกลับเฉาซี ทุกท่านหากมีข้อสงสัย ให้มาถามกัน
       ณ  บัดนั้น  ผู้ว่าฯ พร้อมด้วยเหล่าข้าราชการ สาธุชนชายหญิงในที่ประชุม ต่างรู้แจ้งตื่นตัว  ปณิธานรับไว้ น้อมใจปฏิบัติบำเพ็ญ

                                                          จบบทที่ ๒
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๗ : บทที่ ๓ : สมาธิปัญญาองค์เดียวกัน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/11/2553, 04:22

       สมาธิปัญญาองค์เดียวกัน ( ติ้ง ฮุ่ย อี้ ถี่ )  พระธรรมาจารย์โปรดแก่สาธุชนว่า ""ท่านผู้เจริญ วิถีธรรมแห่งอาตมานี้ เอาสมาธิปัญญาเป็นหลัก""
       ความหมาย...พิจารณา...
       สมาธินี้ มิใช่ธรรมปฏิบัติ ที่นั่งหลับตาเจริญภาวนา ระงับใจกำหนดนำ ทำให้เป็นสมาธิ แต่เป็นสมาธิในจิตเดิมแท้ที่มีอยู่แต่เดิมที โดยแท้จริงแล้ว ธรรมญาณหรือจิตเดิมแท้มีภาวะสุขุม คงที่ เรียกว่าสมาธิอยู่แล้ว ความวุ่นวายส่ายคลอนของสภาพชีวิต มีอิทธิพลทำให้คนพ้นจากภาวะสุขุม คงที่ ที่มีอยู่อย่างนั้นเองแล้วกลับเข้าไม่ถึงจิตเดิมแท้แห่งตน จึงต้องนั่งนิ่งกำหนดหาสมาธิกันใหม่   ปัญญาที่ท่านกล่าวถึงก็เช่นกัน เป็นปัญญาญาณที่มีอยู่แต่เดิมที มิใช่ปัญาที่เสริมสร้างเรียนรู้ได้ในภายหลัง
       สาธุชนอย่าได้หลงผิดว่า "สมาธิปัญญาต่างกัน" สมาธิปัญญาเป็นองค์หนึ่งเดียวกัน มิใช่สอง
                                           สมาธิเป็น ""องค์"" ของปัญญา
                                           ปัญญาเป็น""คุณ"" ของสมาธิ
                                        ขณะใช้ปัญญา  สมาธิอยู่ที่ปัญญา   
                                        ขณะใช้สมาธิ    ปัญาอยู่ที่สมาธิ
      หากเข้าใจความหมายนี้ ก็คือการเรียนรู้สมาธิเสมอด้วยปัญญา  ผู้ศึกษาธรรมทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่า "มีสมาธิก่อนแล้วจึงเกิดปัญญา หรือ มีปัญญาก่อยแล้วจึงเกิดสมาธิ" อันเป็นความแตกต่างกัน หากกล่าวดังนี้ จะหมายว่า ธรรมะมีสองลักษณะการ..
(อุปมา) ปากกล่าววาจาดี  ในใจไม่ดี  (เฉกเช่น) มีสติปัญญา (อยู่คู่กัน) เสียเปล่า  (แต่) สมาธิปัญญาไม่เสมอ (สมานไว้) ด้วยกัน
แต่หากปากกับใจดีพร้อม ในนอกเป็นเช่นเดียวกัน ก็คือ สมาธิปัญญาเสมอ (สมานไว้) ด้วยกัน
      บำเพ็ญโดยสำนึกรู้เอง มิอยู่ที่ถกเถียงก่อนหลัง หากถกเถียงก่อนหลัง มิต่างจากคนหลง มิได้ตัดขาดจากแพ้ชนะ กลับเพิ่ม""ธรรมะของกู"" เข้าไปอีกอย่าง ไม่พ้นจากสี่รูปลักษณ์อัตตา
       ความหมาย...พิจารณา...
       ไม่พ้นจากอัตตา ยังคงยึดหมายในสี่รูปงาม คือ นามรูป ของเขา ของเรา ของเหล่าอื่น ๆ ของสิ่งศักดิ์สฺทธิ์  ยึดหมายดังนี้ไซร้ มิใช่วิสัยผู้บำเพ็ญ มิใช่วิสัยโพธิสัตว์
       ท่านผู้เจริญ ผู้ปฏิบัติสัมมาสมาธิ จะเดิน ยืน นั่ง นอน ณ แห่งใด ล้วนเป็นไปด้วยใจตรงหนึ่งเดียวแน่วแน่เช่นนั้น  เช่นใน""พระสูตรปาริสุทธิ์นาม จิ้งหมิงจิง "" จารึกไว้ว่า ""ใจตรงแน่วแน่ คืออาณาจักรธรรม   ใจตรงแน่วแน่ คือ วิสุทธิคาม พุทธเกษตร"" ใจอย่าได้คดงอสอพลอ ปากเอาแต่กล่าวว่า ตรงแท้แน่วแน่ ปากกล่าวว่า ปฏิบัติสัมมาสมาธิมั่นคง แต่ใจมิได้ตรงแท้แน่วแน่ แม้หากปฏิบัติตรงแท้แน่วแน่ต่อธรรมทั้งปวง จะไม่มีการยึดหมาย
      คนหลงจะยึดหมายในรูปธรรม ยึดหมายในสัมมาสมาธิ กล่าวตลอดด้วยว่า ""นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่เกิดความคิด จิตไม่ฟุ้งซ่าน คือสัมมาสมาธิ"" เข้าใจเช่นนี้ เหมือนปราศจากเยื่อใยสัมพันธ์ กลับเป็นเครื่องกีดขวางเหตุปัจจัยแห่งธรรม
       ท่านผู้เจริญ... ธรรมะควรจะราบรื่นเรื่อยไป ไฉนจึงขัดขืนตื้นตัน ใจไม่ยึดมั่นต่อธรรมะ (นามรูป) ธรรมะจะราบรื่นเรื่อยไป หากใจยึดหมายในนามรูปธรรมะ เรียกว่าผูกมัดตนเอง
       ท่านผู้เจริญ... ยังมีคนสอนให้นั่ง ดูใจพิจารณาสมาธิ ไม่ขยับ ไม่ลุกขึ้น สร้างบุญบารมีจากการปฏิบัตินี้ คนหลงไม่เข้าใจความเป็นจริงยึดหมายจนวิปลาสไป อย่างนี้มีมากมาย การสอนเช่นี้ จึงรู้ได้ว่าเป็นความผิดยิ่งนัก   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๗ : บทที่ ๓.๑ : สมาธิปัญญาองค์เดียวกัน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/11/2553, 05:48

      ท่านผู้เจริญ... สมาธิปัญญาเปรียบเป็นเช่นไร เปรียบเช่นแสงตะเกียง มีตะเกียงจึงมีแสงสว่าง ไม่มีตะเกียงจะมืด ...
                                              ตะเกียงเป็น ""องค์"" ของแสงสว่าง
                                              แสงสว่างเป็น ""คุณ"" ของตะเกียง
แม้มีชื่อเรียกเป็นสอง ที่มาหนึ่งเดียวกัน สมาธิที่กล่าวก็เป็นเช่นนี้ 
     ท่านผู้เจริญ...อันที่จริงนั้นสัมมาศาสนาหามี ฉับพลัน กับ นามเนื่อง ไม่ แต่เนื่องด้วยคนมี  เฉียบแหลม กับ ทื่อทึบ คนหลงค่อยเรียนรู้ไป คนตื่นใจบำเพ็ญฉับพลัน รู้จักใจตนเห็นจิตญาณตน สุดท้ายการเข้าถึงวภาวะนี้มิได้ต่างกัน ดังนั้นจึงตั้งชื่อสมมุติว่า ฉับพลันกับ นานเนื่อง   ท่านผู้เจริญ...วิถีธรรมแห่งอาตมานี้ นับจากเบื้องบน (พระบรมศาสดา) เรื่อยมา กำหนดการ "ปราศจากรำลึก" เป็นพงศาธรรมาวิสัย (วิสัยแห่งธรรมอันเนื่องอยู่เช่นนั้น) "ปราศจากรูป"  เป็นองค์หลัก
                                                            "ปราศจากยึดหมาย"  เป็นธาตุฐาน
                                                           "ปราศจากรูป"    อยู่กับรูปแต่พ้นรูป
                                                          "ปราศจากรำลึก" อยู่กับรำลึกแต่ปราศจากรำลึก
                                                         "ปราศจากยึดหมาย" เป็นธาตุแท้จิตญาณของคน
     ต่อความเป็นกุศล อกุศล ดี เลวในโลก จนถึงปรปักษ์ หรือญาติมิตร ขณะที่มีคำพูดเสียดแทงแย่งชิง หลอกลวงรังแกกันนั้น ให้เห็นเป็นความว่าง ไม่คิดทำร้ายตอบโต้ ทุกขณะจิต ไม่รำลึกถึงสภาพการณ์ผ่านมา หากรำลึกก่อนหน้า ขณะนี้ ภายหลัง จิตรำลึกต่อเนื่องเรื่อยไปไม่ขาดสาย เรียกว่าผูกโยงเกี่ยวเนื่อง นี่คือ การเอาปราศจากยึดหมายเป็นธาตุฐาน
     ความหมาย...พิจารณา...
                                   ไตรรัตน์วิถีจิต
     1.ให้เริ่มจากเห็นพุทธะของตนอันเป็นความว่าง
     2. ใช้รหัสคาถาห้าคำอันเป็นเบื้องต้น สุดท้าย ใช้เหมือนมิได้ใช้ จนเป็นสูญตา - ความว่าง
     3. อุ้มมือเป็นลัญจกร กำหนดรู้แล้วปล่อยวาง อุ้มเหมือนมิได้อุ้ม กลับคืนสู่ความว่าง นั่นคือ เอาปราศจากยึดหมายเป็นธาตุฐาน
     พระธรรมาจารย์สมัยที่สี่ เริ่มแรกกราบขอให้พระธรรมาจารย์สมัยที่สามช่วยให้ได้จิตหลุดพ้นด้วย  พระธรรมาจารย์ซึ่งเป็นพระอาจารย์ย้อนถามศิษย์ว่า ""ใครเขาผูกท่านไว้หรือ"" ศิษย์ตอบว่า " ไม่มีผู้ใดผูก" พระอาจารย์จึงกล่าวว่า""ไม่มีใครผูก ถ้าเช่นนั้นท่านก็หลุดพ้นแล้วมิใช่หรือ""
    ท่านผู้เจริญ... ภานนอกพ้นจากนามรูปทั้งปวง ได้ชื่อว่า "นิรรูป"  (ปราศรูป มิได้ยึดหมายในรูป) พ้นจากรูปได้ ธาตุธรรมจะหมดจดบริสุทธิ์ เช่นนี้คือ การเอา "ปราศจากรูป" เป็นธาตุแท้  ท่านผู้เจริญ... ท่ามกลางสภาวะทั้งปวง ใจมิได้ถูกย้อมแปดเปื้อน เรียกว่า ปราศจากรำลึก จิตรำลึกแห่งตน ออกหากจากสภาวะทั้งปวง มิบังเกิดจิตต่อสภาวะนั้น แต่หากเอาแต่ปราศจากรำลึกต่อสรรพสิ่ง ตัดความคิดทุกอย่างหมดสิ้น เมื่อขาดสิ้นจิตรำลึกคือ ตาย จะต้องไปเกิดในภพ อสัญา เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง
    ความหมาย...พิจารณา..
    อสัญญา หมายถึง ปราศจากความเคยจำ แม้กระทั่งความจำที่เคยฟังธรรม ความจำต่อพระพุทธะพระโพธิสัตว์ อันเป็นองค์เหตุปัจจัยที่ได้ฉุกคิด ฟื้นฟุภาวะธรรมแก่ตน หากเป็นเช่นนี้ ก็จะต้องเป็นเทวดาคงที่เคยตาย อยู่ไปเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ  ไม่มีโอกาสกราบพระพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสสดับธรรมอีก การบำเพ็ญของเขา เป็นเช่นพระอิฐพระปูน ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ปราศจากความคิดจิตใจ เหมือนคนขาดสติที่เดินไปเรื่อย ๆ ตามท้องถนน
    ในคัมภีร์ทางสายกลาง "จงอยง" จารึกไว้ว่า ขณะเมื่ออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ยังไม่เกิด จิตมีภาวะเป็นกลาง แต่หากเมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึกนั้น ให้กำหนดรู้ต่อความ ""พอ"" "เหมาะ"" จึงจะเรียกได้ว่าเป็น ""กลาง"" ""สมาน""
      ""กลาง""  ปราศจากปรุงแต่ง
    ""สมาน""   ปราศจากยึดหมาย จึงไม่สุดโต่ง
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๗ : บทที่ ๓.๒ : สมาธิปัญญาองค์เดียวกัน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/11/2553, 01:45

        สมาธิปัญญาองค์เดียวกัน ( ติ้ง ฮุ่ย อี้ ถี่ )  ผู้ศึกษาธรรมพึงใคร่ครวญ หากเข้าไม่ถึงมติแห่งธรรม ( ภาวะรู้เห็นเป็นจริงต่อธรรมะ ) ผิดเฉพาะตนยังพอว่า ยังสอนเตือนผู้อื่นหลงหายไปจากตนเอง อีกทั้งยังป้ายร้ายให้พุทธธรรม ดังนั้นจึงให้ตั้ง"ปราศจากรำลึก" เป็นพงศาธรรมาวิสัย (ให้เป็นแนวทางสืบต่กกันมา) ท่านผู้เจริญ...เหตุใดจึงกำหนด ""ปราศจากรำลึก"" เป็นพงศาธรรมาวิสัย(ให้เป็นแนวทางสืบต่อ) เหตุด้วยพูดแต่ปากว่า ""เห็นจิตญาณตน"" คนหลงเกิดมีจิตรำลึกขึ้นในสภาวะนั้น (กับเขาบ้าง) ในจิตรำลึกนั้น ก้จะเกิดความเห็นผิดตาม ๆ กัน ความคิดฟุ้งซ่าน ตัณหาทั้งหลายทั้งปวง ก็จะเกิดขึ้นจากความเห็นผิดนั้น
      จิตเดิมแท้แห่งตน แท้จริงปราศจากธรรมหนึ่งใดอันได้รับ (ด้วยเป็นธรรมอันสมบูรณ์พร้อมแล้วในตัว) หากกล่าวว่าเป็นสิ่งอันได้รับ (เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน) มุสากล่าวอ้างเคราะห์ภัยวาสนา ก็คือ ตัณหาเห็นผิด  ดังนั้น วิถีธรรมนี้จึงกำหนดเอา ""ปราศจากรำลึก""เป็นพงศาธรรมาวิสัย (ให้เป็นแนวทางสืบต่อ)
      ความหมาย...พิจารณา...
      คนยึดหมายพอใจกับสิ่งที่ได้ สิ่งที่เป็น เช่นได้เห็นจิตญาณตนก็จะพอใจในบุญวาสนา หากปฏิบัตินานไปยังไม่รู้เห็น ก็จะขัดเคืองมีเวรมีกรรมบังตา เมื่อจิตยึดหมายในเห็นไม่เห็น  เป็นไม่เป็น  ได้ไม่ได้  เท่ากับจิตนั้นเวียนวนอยู่กับตัณหา
     ท่านผู้เจริญ...ที่ปราศจากนั้น  ปราศจากเรื่องใด  ที่รำลึกนั้น  รำลึกสิ่งใด  ที่ปราศจากนั้นคือ ปราศจากสองรูปลักษณ์ (มีไม่มี ใช่ไม่ใช่  เป็นไม่เป็น  เหล่านั้น) ปราศจากตัณหาความอยาก (มีไม่มี  เอาไม่เอา)  ปราศจากรำลึก (ทุกสิ่งอย่าง ทั้งผ่านมา ก่อนหน้า ขณะนี้) แต่จงรำลึกจิตญาณตถตาในตน (ภาวะว่างอันมิได้ยึดหมาย เป็นอยู่อย่างนั้นเอง) ญาณตถตา (ความรู้แท้อันเป็นอยู่อย่างนั้นเองแต่เดิมที) เป็นธาตุแท้ เป็นองค์ของตัวรำลึก รำลึกเป็นตัวสำแดงคุณของญาณตถตา เมื่อญาณตถตาเกิดการรำลึก มิใช่เกิดจากนัยน์ตา หู จมูก ลิ้น จะรำลึกได้ ตถตามีญาณตัวรู้ ฉะนั้นจึงเกิดการรำลึก หากไร้ซึ่งญาณตถตา นัยน์ตาหู รูปเสียง เสียหายสิ้นทันที (ไม่รับรู้ ไม่อาจสำแดงคุณอะไรได้เลย)
      ท่านผู้เจริญ... เมื่อญาณตถตาเกิดการรำลึก แม้อินทรีย์หกจะยินยลสัมผัสรับรู้ได้ แต่จะมิได้แปดเปื้อนยึดหมายในทุกสภาวะนั้น อีกทั้งญาณตถตา ยังคงเป็นอิสระอยู่อย่างนั้นเอง  ดังนั้นจึงกล่าวว่า ""หากสามารถจำแนกแยกรู้ต่อรูปแห่งธรรมทั้งปวงได้ ก็จะไม่เกิดการแกว่งไหวของตถตาธาตุแท้ อันเป็นความหมายในข้อที่หนึ่ง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""ในข้อที่หนึ่ง"" คือประโยคข้างบนที่ว่า ""ปราศจากสองรูปลักษณ์"" เช่นนี้ แม้ญาณตถตาจะเกิดการรำลึก แต่มิใช่เกิดจากนัยน์ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจพาไป  ญาณตถตายังคงสงบนิ่งบริสุทธิ์ มิแปดเปื้อนใด ๆ จากการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสภาวะทั้งหลายนั้น ๆ


                                                                 จบบทที่ ๓
                                                               
       
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๘ : บทที่ ๔ : ถ่ายทอดการนั่งฌาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/11/2553, 03:24

        ถ่ายทอดการนั่งฌาน  ( เจียว โซ่ว จั้ว ฉัน )  พระธรรมาจารย์โปรดแสดงธรรมแก่สาธุชนว่า ""ท่านผู้เจริญ อะไรเรียกว่า ""นั่งฌาน""  ในวิถีธรรมนี้ ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง  ไม่มีอุปสรรค  อยู่นอกเหนือกุศล - อกุศลสภาวะ เมื่อจิตรำลึกไม่เกิด (นั่งอยู่เป็นปกติ) ได้ชื่อว่า ""นั่ง""  (จิตคงที่ มิใช่ตัวตนนั่งอยู่คงที่) ภายในจิตญาณตนไม่เคลื่อนไหว (เป็นสมาธิคงที่อยู่เอง มิใช่กำหนดควบคุมความคิดไว้ ) เรียกว่า ""ฌาน""
        ความหมาย...พิจารณา...
       นั่งฌาน คือ ฌานนั่ง  จิตญาณอันคงที่ อยู่ในอาการสงบของกายธาตุ  หรือหากแม้นกายธาตุไม่อยู่ในอาการสงบ  จิตญาณอันคงที่ก็ยังนั่งฌานได้ การได้รับวิถีจิต ในยุคที่รอบตัวมีแต่อาการลุกลน อลหม่าน พลุกพล่านขวักไขว่ หาความสงบไม่ได้เลยนี้ เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นจากเบื้องบนอย่างแยบยล ผู้ใฝ่ธรรม จะปลีกตัวไปหาวิเวกนั่งฌานที่ไหนก็ยากอีก ยังติดปัญหาภาวะรับผิดชอบ หลังจากได้รับวิถีจิตแล้ว ผู้ใดศึกษาเข้าใจจะ ""นั่งฌาน"" กันอยู่ได้เกือบตลอดเวลา ขณะทำงาน กินข้าว ทำอะไร ฌานก็นั่งของเขาไป อิริยาบทของเรา  ก็ทำเรื่องของเราไป ไม่รบกวนกัน
      ท่านผู้เจริญ...อะไรเรียกว่าฌานสมาธิ  ภายนอกพ้นหากจากรูป คือ ฌาน
                                                   ภายในไม่สับสนวุ่นวาย  คือ สมาธิ
      ภายนอกหากติดรูป ภายในจะวุ่นวาย  ภายนอกหากพ้นรูป ( รูป คิด เห็น รู้ได้ ปรุงแต่ง...) ใจจะไม่สับสนวุ่นวาย 
      ความหมาย...พิจารณา...
      พ้นหรือออกหากจากรูป มิใช่พาตัวทิ้งไปจากรูป แต่มิได้ยึดหมายในรำลึกตรึกคิด อันเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายนั้น คนทั่วไปมักจะพูดว่า ""ทำเป็นมองไม่เห็นเสีย"" ทั้ง ๆ ที่เห็นก็ให้ ""ทำเป็นไม่เห็น"" ทำเป็นไม่เห็น ใจยังรับรู้ว่า..."ทำเป็น"...จึงเป็นการยึดหมาย เจาะจงตอบโต้กับรู้เห็น  ส่วนฌานสมาธิ อันเป็นภาวะธาตุแท้ธรรมชาติของจิตญาณนั้นจะราบรื่น จะเป็นอยู่อย่างนั้นเองโดยมิต้องรำลึกตรึกคิด ควบคุมจิต กำหนดสมาธิ
      จิตญาณตนจะหมดจดเองในตัว จะเป็นสมาธิเองโดยธาตุแท้ แต่เนื่องด้วยสัมผัสเห็นสภาพ พิจารณาปรุงแต่งสภาพ ใจจึงวุ่น หากเห็นสภาพโดยใจไม่วุ่นได้ จึงเรียกว่าสมาธิแท้  ท่านผู้เจริญ...ภายนอกออกหากจากรูป คือ ฌาน   ภายในไม่วุ่นคือ สมาธิ  ภายนอกฌาน ภายในสมาธิ  เรียกว่า ฌานสมาธิ   ในพระสูตรปาริสุทธิ์นาม (จิ้งหมิงจิง) จารึกว่า "โล่งแจ้งฉับพลัน ใจเดิมแท้ของฉันกลับคืนมา"
     ความหมาย...พิจารณา...
     โล่งแจ้งคือกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขต เวิ้งว่างสว่างใสไปหมด ใจเดิมแท้ของฉันกลับคืนมา คือ ภาวะจิตเดิมแท้ของฉันที่เป็นอยู่อย่างนั้นเอง ปรากฏแก่ฉันที่อึดอัดคับข้องกับภาวะทางโลก
     ในคัมภีร์ ""ศีลโพธิสัตว์  ผูซ่าเจียจิง "" จารึกประโยคว่า "" จิตญาณของฉัน ใสสะอาดหมดจดแต่ต้นมา "" ท่านผู้เจริญ...ในทุกขณะจิต เห็นจิตญาณตนใสสะอาดหมดจด บำเพ็ญเอง ( ประคองรักษาจิตญาณตนเอง ) ดำเนินเอง (จิตอยู่ในสภาวะสงบใสได้เรื่อยไป ) ย่อมบรรลุพุทธวิถีได้เอง แต่ในวิถีธรรมนั่งฌานนี้ โดยต้นเดิมจะไม่ยึดหมายที่ใจ อีกทั้งไม่ยึดหมายความหมดจด อีกทั้งมิได้ยึดหมายความไม่เคลื่อนไหว
     ความหมาย...พิจารณา...
     โดยต้นเดิม คือ  ภาวะจิตที่เป็นอยู่เองนั้น ซึ่ง ฌานนั่งนิ่ง  อยู่แล้วจึงไม่ต้องเฝ้าดูใจว่าเป็นอย่างไร มาอย่างไร ที่เราต้องเฝ้าดู เพราะฌานของเรากระสับกระส่าย ดูฌานที่ไม่นั่งนิ่งยังไม่พอ ยังต้องดูความไม่หมดจดของฌานที่แปดเปื้อนในภายหลัง ยังจะต้องใช้การนั่งนิ่งของกายสังขารมาช่วยควบคุมฌานที่วุ่นวายได้อีก  ที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงท่านสอนนั้น เป็นฌานระดับผู้มีกุศลมูลสูง กายใจยังไม่เสียหายมาก จึงไม่ต้องยึดหมายการปฏิบัตินั้น ๆ ส่วนระดับเราแม้อาจมีส่วนยึดหมายการปฏิบัตินั้น ๆ ในเบื้องต้น สุดท้ายเมื่อเป็นได้แล้ว ก็ให้ปล่อยวางไม่ยึดหมายเช่นกัน หากกล่าวว่า ""เฝ้าดูใจ"" ใจแท้จริงคือสิ่งว่างเปล่า มื่อรู้ว่าใจดั่งความว่าง  ก็จะไม่มีอะไรให้ต้องเฝ้าดู หากกล่าวว่า ""เฝ้าดูความหมดจด""จิตญาณของคนหมดจดแต่เดิมทีด้วยรำลึกฟุ้งซ่าน ตถตาจึงถูกปกคลุม แต่หากปราศจากฟุ้งซ่าน จิตญาณย่อมหมดจดใสสะอาดอยู่เอง บังเกิดจิตเฝ้าดูความหมดจด กลับจะเกิดความฟุ้งซ่านในความหมดจด ฟุ้งซ่านปราศจากหลักแหล่ง ผู้ยึดหมายเฝ้าดูคือ ผู้ฟุ้งซ่าน "หมดจด" ปราศจากรูปลักษณ์ กลับกำหนดความมี ""รูปลักษณ์"" ให้แก่ตัวหมดจด ยังกล่าวว่าเป็นความปราณีตเสียอีก ผู้ทำความเห็นเช่นนี้ให้เกิดขึ้น ขวางกั้นจิตญาณตน กลับถูกการเฝ้าดู "หมดจด" ผูกมัดไว้
       ความหมาย...พิจารณา...
      หลายสิ่งในโลกนี้ เกิดมีเพราะคนกำหนดเป็นกฏเกณฑ์ จากนั้นก็ตกอยู่ในกฏเกณฑ์ที่ตนกำหนดไว้ ภาพลวงตา ประสาทหลอน จิตผิดปกติหลายประเภท เหตุก็เพราะทึกทักปรุงแต่ง กำหนดความี ความเป็นของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ภาวะเรียบง่าย จึงต้องกลายเป็นยุ่งยากอย่างที่เห็น
      ท่านผู้เจริญ...หากจะบำเพ็ญความ ""สงบนิ่ง"" ไม่เคลื่อนไหว จงทำด้วยการขณะเห้นคนทั้งหลาย โดยมิได้เห็นความผิดชอบชั่วดีในคนเหล่านั้น นั่นคือความ ""สงบนิ่ง"" ไม่เคลื่อนไหว ในจิตญาณตน ท่านผู้เจริญ...คนหลงแม้กายจะไม่เคลื่อนไหว (นั่งนิ่ง) อ้าปากก็กล่าวหานินทา ว่าความยาวสาวความสั้นดีร้ายของใคร ๆ ผิดต่อธรรมะเช่นนี้ หากยังยึดหมาย ""เฝ้าดูใจ"" ""เฝ้าดูความหมดจด"" ก็คือกีดขวางทางธรรมนั่นเอง

                                                               จบบทที่ ๔
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๕ : สืบทอดคันธสาระขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/11/2553, 01:19

       สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก ( ฉวน เซียง ชั่น หุ่ย )  ครั้งนั้น มหาเถระเจ้าเห็นชาวเมืองกว่างโจว เสาโจว และที่อื่น ๆ มากมาย ทั้งข้าราชการและประชาชน มารวมตัวกันฟังธรรมในป่าเขา จึงได้ขึ้นธรรมาสน์กล่าวแก่สาธุชนทั้งหลายว่า " มาเถิดท่านผู้เจริญ เรื่องนี้จะต้องเริ่มต้นจากจิตญาณตน ในทุกขณะเวลาระลึกชำระใจตนด้วยตน บำเพ็ญจิตตนด้วยตน ปฏิบัติธรรมด้วยตน เห็นกายธรรมแห่งตน เห็นจิตพุทธะแห่งตน ฉุดช่วยชีวิตตนด้วยตน รักษาศีลด้วยตน จึงจะมิใช่เท็จ
      ความหมาย...พิจารณา...
      เรื่องนี้จะต้องเริ่มต้นจากจิตญาณตน ฟังธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ล้วนจะต้องเริ่มต้นจากจิตญาณตน จึงจะมิใช่เท็จ ความเท็จมีจุดกำเนิดจากใจ  ใจเท็จ วาจาเท็จ พฤติกรรมเท็จ เท็จต่อใคร ๆ เท็จต่อใจตนเอง แม้จะบำเพ็ญธรรมเพื่อจิตญาณตนให้พ้นจากอบายภูมิ ยังจะถือศีลเท็จกันเสียอีก อย่าลืมหนอ ความเท็จใช้ได้เฉพาะโลกมนุษย์นี้เท่านั้น
     พระธรรมาจารย์โปรดว่า บัดนี้ในเมื่อจากที่ไกลมาบรรจบกันที่นี่ ล้วนมีบุญสัมพันธ์ต่อกันมา วันนี้จงต่าง "คุกเข่าขวา" ลง จะเริ่มถ่ายทอด "คันธสาระองค์ห้า หรือ ธูปกายธรรมห้า ประการแห่งจิตญาณตน ( จื้อ ซิ่ง อู่ เฟิน ฝ่า เซิน เซียง ) ให้ก่อน จากนั้นจึงจะถ่ายทอด "นิรรูปขมากรรมสำนึก" ให้ ทุกคนต่างพร้อมกันคุกเข่าขวาลง
     ความหมาย...พิจารณา...
     คันธสาระ หรือ ธูปกายธรรมห้าประการแห่งจิตญาณตน  ( จื่อ ชิ่ง อู่ เซียง )  ธูปที่ใช้ไฟจุดบูชาพระเป็นธูปวัตถุ ไม่จริงจังยั่งยืนเพราะจะไหม้สลายหมดไป ความหมายของการจุดธูป เพื่อให้ควันหอมเป็นสัญลักษณ์แทนจิตเคารพศรัทธา แสดงจิตภาวะโปร่งเบาอันมิได้หน้กหนาด้วยกิเลสตัณหาของเรา อีกทั้งให้ควันธูปเป็นเช่นคุณธรรมบารมีปรกแผ่กระจายไปสู่โลกกว้าง
     คำว่า "คุกเข่าขวาลง" จะอธิบายต่อไปภายหลัง
     นิรรูปขอขมากรรม หมายถึง สำนึกขอขมาต่อความผิดบาปทั้ง ปัจจุบัน อดีต อนาคต อันจะได้หรือได้กระทำมา โดยมิต้องรู้เห็นการกระทำผิดนั้น ๆ เป็นรูปลักษณ์ เรื่องราว กิริยาอาการ จึงเรียกว่า "นิรรูป" คือปราศจากรู้เห็นในรูป
     พระธรรมาจารย์โปรดว่า ( ธูปกายธรรมห้าประการ ) 
      หนึ่งคือ ""ธูปศีล"" คือใจตนบริสุทธิ์ ปราศจากอกุศล ปราศจากริษยา ปราศจากชั่วร้าย ปราศจากโลภอยาก ปราศจากประทุษร้ายเภทภัย ได้ชื่อว่า ""ธูปศีล""
      สองคือ  ""ธูปสมาธิ"" แม้จะพบเห็น สัมผัสรับรู้สภาวะรูปนามความชั่วดี แต่จิตใจมิได้วุ่นวายตามไป เรียกว่า ""ธูปสมาธิ""
      สามคือ ""ธูปปัญญา"" จิตตนปราศจากขัดข้องมีปัญญาสอดส่องมองเห็นจิตญาณตน ไม่ก่อทำความผิดทั้งปวง แม้ทำความดีมากมาย ใจไม่ยึดหมายไว้ เคารพเบื้องสูง คำนึงถึงเบื้องล่าง เห็นใจสงสารกำพร้ายากเข็ญ เช่นนี้ได้ชื่อว่า ""ธูปปัญญา""
      สี่คือ ""ธูปวิมุตติหลุดพ้น"" คือใจตนปราศจากเครื่องร้อยรัด ปราศจากเกาะเกี่ยว ดิ้นรนปีนป่าย ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งกีดขวาง ได้ชื่อว่า ""ธูปวิมุตติหลุดพ้น""
      ห้าคือ ""ธูปวิมุตติญาณ"" ล่วงพ้นจากการอันรู้เห็น ในเมื่อใจตนปราศจากเครื่องร้อยรัด ดิ้นรน เกาะเกี่ยวปีนป่าย ในความดี ในความชั่ว แต่ก็จะดิ่งลงจมอยู่กับภาวะว่างอันครองวิเวกอยู่มิได้ (มิให้ดิ่งจมอยู่กับวิเวก) พึงเป็นพหูสูตเรียนรู้กว้าง ฟังมาก ทรงจำ คล่องปาก เจนใจ ขบคิดได้ เข้าถึงจิตใจตน เข้าถึงหลักพุทธธรรม สมานฉันท์โดยรวม ไม่แบ่งเขา ไม่แบ่งเรา จนจิตเข้าสู่โพธิภาวะ จิตเที่ยงแท้สัจธรรมไม่เปลี่ยนแปร เรียกว่า ""ธูปวิมุตติญาณ""
      ท่านผู้เจริญ ธูปหอมนี้จงต่างรมกรุ่นไว้ภายในจิตตน มิพึงต้องแสวงไปยังภายนอก
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๕.๑ : สืบทอดคันธสาระขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/11/2553, 02:56
       
           ความหมาย...พิจารณา...
           ""คุกเข่าขวา"" ในพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม คนถวายผลไม้ตำแหน่งกลาง จะคุกเข่าขวา เข่าซ้ายตั้งฉากไว้ การคุกเ่ข่าถวายผลไม้ หรือการขอขมากรรมของชาวอินเดียก่อนเก่าก็เช่นกัน จีนเรียกการคุกเข่านี้ว่า หูกุ้ย แต่หากคุกเข่าเพื่อก้มกราบ ให้คุกเข่าทั้งสองข้างพร้อมกัน
         พระธรรมาจารย์เรียกให้ทุกคนในที่นั้น ""หูกุ้ย"" (คุกเข่าขวา)  เพราะจะทำพิธีขอขมากรรม
หนึ่ง  ธูปศีล       ห้ามตน เตือนตน  มิให้ละเมิดศีล มิให้ทำความผิดบาปทั้งปวง ทั้ง กาย วาจา ใจ ที่เหลือไว้คือ กุศลบุญ คุณธรรม
สอง  ธูปสมาธิ    ห้ามตน เตือนตน  กำราบจิต กำหนดใจ สำรวมไว้ มิให้ผกผัน มิให้ฟุ้งซ่านวุ่นวาย มิให้เสียหายไปตามเพลง
สาม  ธูปปัญญา   ห้ามตน เตือนตน ให้ชำระอาสวะกิเลส กำจัดอวิชชา ละกิเลสตัณหา ความเคยชิน แก้ไขจิตโลกีย์วิสัย มิให้เป็นอุปสรรคต่อการเจริญธรรม เป็นนัยเดียวกับธรรมะประกาศิต ขณะดำเนินพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม ประโยคที่ว่า ""สองตาสะท้อนย้อนรังษี ส่องสลายมืดบอดแอบแฝง
สี่    ธูปวิมุตติหลุดพ้น  ไม่ยึดหมายในสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดในยึดหมาย ภาวะนี้เป็นนิรวาณ เป็นนิพพาน ว่างอย่างอิสระ
ห้า  ธูปวิมุตติญาณ  วิมุตติญาณทัสสนะ  จิตญาณหลุดพ้นจากการยึดหมายในสิ่งอันรู้เป็น เหล่านี้เป็นความว่างอย่างอิสระที่มิใช่ฝืนว่าง มิใช่เลื่อยลอยว่าง มิใช่ตัดใจว่าง มิใช่ว่างจม มิใช่ว่างลึก มิใช่ว่างหาย มิใช่ว่างเบื่อหน่าย มิใช่ว่างหนักหน่วง แต่เป็นว่างกว้าง ว่างเบิกบาน ว่างสว่างสดใส ในขณะได้ยินได้ฟัง ขณะทรงจำ ขณะท่องบ่น ขณะเจนใจ ขณะขบได้ด้วยทฤษฏีอันเป็นพหุสัจจะหลากหลาย
        ทั้งหมดเป็นไปด้วยปัญญาแท้จากความหมายของ ""คันธสาระองค์ห้า  หรือ  ธูปกายธรรมห้าประการ"" แห่งจิตญาณตน พึงบูชาศีล สมาธิ ปัญญา ภาวะวิมุตติ กับวิมุตติญาณ  ญาณภาวะว่างแห่งตน อย่าให้ต้องเสื่อมความเคารพศรัทธาลงได้
        จากนั้น พระธรรมาจารย์ได้โปรดต่อไปว่า บัดนี้อาตมาจะถ่ายทอด นิรรูปขมากรรมสำนึก แก่ท่านทั้งหลายให้ได้ลบล้างโทษบาปสามชาติชำระเวรกรรมจากโลภ โกรธ หลง ให้ได้กาย วาจา ใจ หมดจดกัน
       ความหมาย...พิจารณา...
       เหตุใดจึงกล่าวว่า นิรรูปขมากรรมสำนึก จะลบล้างโทษบาปสามชาติได้ ก็ด้วยเหตุที่มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิงจะให้ขอขมากรรมสำนึกนั้นเป็น ""ขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม (หลี่ชั่น)  มิใช่ ""ขมากรรมสำนึกกรณี (ซื่อซั่น)  ขมากรรมสำนึกกรณี คือ ผิดด้วยเรื่องใด สารภาพต่อคู่กรณี ต่อเบื้องบนตามกรณีที่ผิด ส่วน ""ขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม"" นั้น กล่าวโดยตรงต่อจิตที่รู้แจ้งแห่งตน เข้าถึง ภาวะว่าง ของ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เมื่อเข้าถึงภาวะว่างทั้งหมดแล้ว ยังจะเหลือโทษบาปอะไรติดอยู่ในชาติภพนั้น ๆ อีก ดังคำที่ว่า ""หลังรู้แจ้ง ทุกอย่างว่างเปล่าแม้สัพโลก
       ขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม จึงเป็นขมากรรมสำนึกภาวะลึก ว่าง กว้าง ไกล ที่ไม่เหลืออะไรค้างไว้ในจิตญาณเลย แต่ผู้ที่จะเข้าถึงการขมากรรมสำนึกเช่นนี้ได้ จะต้องเข้าถึงการรู้แจ้งจิตญาณตนเป็นเบื้องต้น จึงจะมิใช่เท็จ มิฉะนั้น ทั่วไปยังจะต้องใช้วิธี ขมากรรมสำนึกกรณี เป็นเรื่อง ๆ เป็นครั้ง ๆ เป็นประจำเสมอไป         
         
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๕.๒ : สืบทอดคันธสาระขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/11/2553, 09:14

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  ท่านผู้เจริญ ต่างท่องตามพร้อมกัน ณ บัดนี้ว่า "ข้าพเจ้าศิษย์ทั้งหลาย ความรำลึกตรึกคิดแต่ก่อน ปัจจุบัน วันข้างหน้า ทุกขณะจิต จะมิแปดเปื้อนด้วยโง่หลง โทษบาปจากกรรมชั่วทั้งหมดอันเกิดแต่ความโง่หลงที่ผ่านมาเป็นต้น ขอขมากรรมสำนึกทั่วถ้วน ขอจงลบล้างมลายสิ้น ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป"
       ความหมาย...พิจารณา...
       ลบล้างมลายสิ้นตลอดไป ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป  เป็นข้อความหลักชัดเจนยิ่งของการขอขมากรรมสำนึก อดีต ปัจจุบัน มลายสิ้น ไม่มีเกิดขึ้นอีกต่อไป จึงเป็น "ขอขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม" ลบล้างโทษบาปสามชาติได้จริง ...ข้าพเจ้าศิษย์ทั้งหลาย ความรำลึกตรึกคิดแต่ก่อน ปัจจุบัน วันข้างหน้า ทุกขณะจิต จะไม่แปดเปื้อนด้วยระเริงหลง โทษบาปที่เกิดแต่ความระเริงหลงเป็นต้นที่ผ่านมา ขอขมากรรมสำนึกทั้งหมด ขอจงลบล้างมลายสิ้น ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกต่อไป  ...ข้าพเจ้าศิษย์ทั้งหลาย ความรำลึกตรึกคิดแต่ก่อน ปัจจุบัน วันข้างหน้า ทุกขณะจิต จะมิแปดเปื้อนด้วยอิจฉาริษยา โทษบาปที่เกิดแต่ความอิจฉาริษยาเป็นต้นที่ผ่านมาขอขมากรรมสำนึกทั้งหมด ขอจงลบล้างมลายสิ้น ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป
     ท่านผู้เจริญ ดังกล่าวมาคือ "นิรรูปขมากรรมสำนึก" อย่างไรเรียกว่า ขมากรรม อย่างไรเรียกว่า สำนึก  ขมากรรมคือ เสียใจ ขออภัยในความผิดบาปที่ผ่านมา กรรมชั่วแต่ก่อนทั้งโง่หลง ยโส โอ้อวด หลอกลวง อิจฉาริษยาระเริงหลง ผิดบาป เหล่านี้เป็นต้น ขอขมากรรมหมดสิ้นไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป เช่นนี้ได้ชื่อว่า "ขอขมากรรม"
    สำนึก คือ สำนึกเกรงความผิดที่จะเกิดขึ้นใหม่จากนี้เป็นต้นไป โทษผิดบาปทั้งปวงจากความอกตัญญู โง่หลง ยโส โอ้อวด หลอกลวง อิจฉา ริษยา ระเริงหลง เหล่านี้เป็นต้น บัดนี้ได้สำนึกรู้แจ้ง จะต้องกำจัดเด็ดขาดทั้งหมดโดยสิ้นตลอดไป ยิ่งกว่านั้นจะไม่กระทำอีกเลย ได้ชื่อว่า "สำนึก"จึงได้ชื่อว่า "ขมากรรมสำนึก"
     ความหมาย...พิจารณา...
     ขอขมากรรม กับ สำนึก จึงเป็นเรื่องคู่กัน เท่ากับ "ผิดแล้วจะไม่ผิดอีกเลย" ไม่ผิดอีกเลย เป็นอานุภาพของ "ขอขมากรรม" ผิดซ้ำซากต่อไปจะมีประโยชน์อันใดที่จะขอขมากรรม
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๕.๓ สืบทอดคันธสาระขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/11/2553, 08:51

      ปุถุชนโง่หลง รู้จักแต่จะขอขมากรรมต่อโทษผิดบาปที่ผ่านมา มิรู้สำนึกเสียใจเกรงความผิดใหม่ในภายหลัง ด้วยเหตุมิรู้สำนึกเกรงความผิดใหม่ โทษผิดบาปที่ทำไว้ไม่ลบล้าง โทษผิดบาปภายหลังยังเกิดใหม่อีก เมื่อที่ทำไว้ไม่ลบล้าง ภายหลังยังเกิดใหม่อีก เช่นนี้จะเรียกว่า "ขอขมากรรมสำนึก"ได้อย่างไร
      ความหมาย...พิจารณา...
     พ่อแม่ลงโทษลูกที่ทำผิด ลูกร้องไห้สัญญาว่า "จะไม่ทำอีกแล้ว" พ่อแม่ใจอ่อน หยุดลงโทษ แต่หากลูกสัญญาแล้วยังทำผิดซ้ำย้ำผิด ครั้งนี้แม้ลูกจะสัญญาว่า "ไม่ทำอีกแล้ว" คำสัญญากลับจะทำให้พ่อแม่เดือดดาลหนักขึ้น
    เมื่อคนร้ายถูกตำรวจจับได้ข้อหาโจรกรรม ครั้งที่สอง ที่สาม เขาถูกซ้อมหนัก โทษฐานท้าทายไม่หลาบจำ ครั้งที่สี่คนร้ายถูกซ้อมปางตาย เขาร้องว่า"เข็ดแล้ว ! ผมจะไม่โจรกรรมท้องที่นี้อีกแล้ว" คนร้ายเข็ดจากที่นี่ ย้ายไปโจรกรรมเขตท้องที่สถานีตำรวจแห่งอื่น นี่คือสันดานอันยากที่จะ"ขอขมากรรสำนึก"ได้ พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "ท่านผู้เจริญ ในเมื่อได้ขอขมากรรมสำนึกแล้ว ก็จะให้ท่านผู้เจริญ "ตั้งมหาปณิธานสี่ (ปฏิญาณ) ต่างจะต้องตั้งใจฟังให้ดี จิตญาณเวไนยฯ แห่งตนมิอาจประมาณขอบข่าย ปณิธาน ปรารถนาจะฉุดนำ กิเลสในจิตญาณตนมิอาจประมาณ ปณิธานปรารถนาจะตัดขาด วิถีธรรมในจิตญาณตนมิจบสิ้น ปณิธานปรารถนาจะเรียนรู้อนุตตรพุทธธรรมจิตญาณตน ปณิธานปรารถนาจะบรรลุ
    ความหมาย...พิจารณา...
    การตั้งปณิธานปรารถนาสำคัญมากสำหรับผู้ปรารถนาจะบรรลุธรรมจริง มีปณิธานปรารถนาจึงจะมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายได้รับความสำเร็จลุล่วง จิตญาณตนก็คือจิตญาณทุกตัวตน ซึ่งรวมอยู่ในเหล่าเวไนยฯ จึงกล่าวว่า "เวไนยฯคือเรา เราคือเวไนยฯ" วิถีธรรมจิตญาณตนมิจบสิ้น ปณิธานปรารถนาจะเรียนรู้หมายถึงปัญญาที่ก่อเกิดความเข้าใจในธรรมยิ่งขึ้นไปไม่รู้จบนั้น เราพร้อมจะเข้าถึงให้เป็นจริง "อนุตตรพุทธธรรมแห่งจิตญาณตน ปณิธานปรารถนาจะบรรลุนั่นคือ ถึงที่สุดแห่งปัญญารู้แจ้งภาวะอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม เราพร้อมจะบรรลุจุดสุดยอดแห่งภาวะธรรมนั้น ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจะต้องฉุดนำตน ฉุดนำท่าน ฉุดนำมวลเวไนยฯ จะต้องบรรลุไปด้วยกัน จึงจะสมบูรณ์
    ท่านผู้เจริญ ทุกท่านมิใช่กล่าวเช่นนี้หรือว่า "เวไนยฯมิอาจประมาณ ปณิธานปรารถนาจะฉุดนำ" กล่าวเช่นนี้คือ มิใช่อาตมาฮุ่ยเหนิงฉุดนำ ทุกคนต่างจะต้องฉุดนำจิตญาณตน มิใช่ให้ใครมาฉุดนำ
    ความหมาย...พิจารณา...
    ปณิธานปรารถนาจะฉุดช่วยเวไนยฯ ผลตอบสนองก็คือฉุดช่วยตนเอง เช่น สละทรัพย์สงเคราะห์ ผลตอบสนองคือ ช่วยให้เวไนยฯเจ้าตัวโลภในตนหายไป สละเวลาแรงกายบรรยายธรรม ผลตอบสนองคือช่วยให้เวไนยฯเจ้าตัวโง่หลงในตนหายไป เหล่านี้เป็นต้น
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๕.๔ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/11/2553, 09:34

       ท่านผู้เจริญ เวไนยฯในใจ คือ ที่กล่วว่า "ใจที่หลงผิด ใจที่ผกผันฟุ้งซ่านหลอกลวง ใจที่เป็นอกุศลเจตนา ใจที่อิจฉาริษยา ใจอำมหิตคิดร้าย จิตใจเหล่านี้ ล้วนเป็นจิตใจของเวไนยฯ ต่างจำเป็นจะต้องฉุดนำตนด้วยจิตญาณแห่งตนเอง จึงจะเรียกว่าฉุดนำอย่างแท้จริง
     ความหมาย...พิจารณา...
     ในบทต้นกล่าวถึงเหตุการณ์ขณะที่พระอาจารย์จะพายเรือส่งฮุ่ยเหนิงข้ามฟาก ฮุ่ยเหนิงขณะนั้นกล่าวแก่พระอาจารย์ว่า "ขณะหลงอยู่ อาจารย์ฉุดนำ รู้แจ้งพลัน ฉุดนำตนเอง ( หมีสือซือตู้  อู้เหลี่ยวจื้อตู้ ) ตรงกับธรรมประกาศิต ขณะถ่ายทอดวิถีธรรมประโยคที่ว่า "เรา ณ บัดนี้จะชี้วิถีหนึ่งแก่เจ้า" ( อวี๋จินจื๋อหนี่อี้เถียวลู่ ) การได้รับการชี้นำ ฉุดนำ ล้วนเป็นปัจจัยเพิ่มพูน นั่นคือ มีส่วนช่วยให้ แต่ส่วนที่เป็นจริงจะต้องเกิดจากตนเอง จึงมีธรรมประกาศิตประโยคต่อไปว่า"หากเจ้ามิอาจจบถ้วนปณิธาน ยากแก่การกลับบ้านเดิม" ( หนี่ยั่วเอวี้ยนปู้เหนิงเหลี่ยว  หนันป่าเซียงหวน ) ในคัมภีร์วัชรญาณสูตรบทที่สาม กล่าวถึง"จิตญาณตนฉุดนำตน" มีข้อความตอนหนึ่งว่า "แม้เกิดจากครรภ์ เกิดจากไข่ เกิดจากที่อับชื้น เกิดจากแปรสภาพ เกิดโดยมีรูปไร้รูป มีความคิด ไม่มีความคิด หรือมิใช่ทั้งมีและไม่มีความคิด "เรา" ล้วนจะให้เข้าสู่นิพพาน นิรวาณจากกองทุกข์ทั้งปวง
     ที่พระตถาคตเจ้าตรัสเช่นนี้ หมายความว่า พระตถาคตเจ้าจะทรงดลบันดาลให้ชีวิตทุกเหล่าดังกล่าวพ้นทุกข์ทั้งปวงกระนั้นหรือ หามิได้ ที่พระองค์ตรัสว่า "เรา" หมายถึงเราตัวจริงจิตญาณตนของทุกคนที่มีภาวะของชีวิตทุกเหล่าดังกล่าวแฝงเร้นอยู่ในใจ เรามีภาวะจิตเหมือนงู เหมือนแมลงเจาะไชเหมือนเสือดุร้าย เหมือนอะไรหลายอย่าง...เราต้องขจัดใจเหล่านั้นออกไปให้หมดสิ้น นำจิตตนกลับคืนสู่ภาวะนิพพานโดยพร้อมกันเถิด
    ที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสนั้นเป็นปัจจัยเพิ่มพูนแก่เหล่าเวไนยฯ ด้วยการชี้ทางฉุดนำ ยุคนี้เบื้องบนประทานโอกาสพิเศษยิ่ง ให้ผู้ได้รับวิถีอนุตตรธรรมได้ทำหน้าที่ฉุดนำเหล่าเวไนยฯ ให้ได้โอกาสเจริญพรหมวิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แก่ตน ให้ได้โอกาสเจริญทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี (ปลอดโปร่งใจ) เจริญปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เจริญเมตตา อุเบกขาบารมี ให้ได้ทำหน้าที่ฉุดนำเหล่าเวไนยฯที่แอบแฝงอยู่ในจิตตน ฉุดนำเวไนยฯภายนอกจะต้องด้วยจิตปรารถนาให้เขาได้ขึ้นสู่ฝั่งธรรมอันเกษม มิใช่วางตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เป็นผู้ครอบครองเวไนยฯได้อีกหนึ่งชีวิต หากคิดเช่นนี้ การได้ฉุดนำคนให้ได้รับวิถีธรรม จะมิเป็นการเพิ่มมวยเวไนยฯในจิตตนให้มากยิ่งขึ้นอีกหนึ่งชีวิตหรือ จึงมิให้ยึดหมายเหนียวแน่น แต่จงเป็นผู้ส่งเสริมดูแล เป็นผู้ให้ ""ปัจจัยเพิ่มพูน"" แก่เขาเหล่านั้น เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่า ""ฉุดนำเหล่าเวไนยฯ"" อย่างแท้จริง
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๙ : บทที่ ๕.๕ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/11/2553, 06:58

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า อย่างไรได้ชื่อว่า "จิตญาณตนฉุดนำตนเอง" นั่นคือจงใช้ความเห็นชอบคือสุคติดำริ ฉุดนำเหล่าเวไนยฯในใจตนที่เป็นผู้มีความเห็นผิดเป็นผู้มากด้วยกิเลสโง่หลง เมื่อมีความเห็นชอบแล้วจงนำเอาปัญญาจากจิตญาณบริสุทธิ์พิชิตเหล่าเวไนยฯที่โง่หลงผกผันฟุ้งซ่านในจิตตนเสียจึงเรียกว่า "จิตญาณตน ต่างฉุดนำตนเอง"
       ความหมาย...พิจารณา...
       พิชิตเหล่าเวไนยฯที่โง่หลง ผกผัน ฟุ้งซ่านในจิตตนได้หมดสิ้นแล้ว การฉุดช่วยเหล่าเวไนยฯภายนอกคือคนอื่น ๆ ก็จะเป็นได้โดยง่าย ด้วยรู้อุบาย รู้วิธี มีประสบการณ์จากตนเองมาก่อน แต่แม้จะกล่าวว่าฉุดช่วยเหล่าเวไนยฯภายนอก แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเพิ่มพูนปัจจัย ให้เขามีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น เวไนยฯที่โง่หลงดื้อรั้น ทั้งของตนและของท่านมิใช่จะฉุดช่วยได้โดยง่ายเลย มิฉะนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าคงไม่จำแนกไว้หรอกว่า...
                                                              1.ไม่มีเหตุปัจจัยแห่งบุญมาก่อนไม่ฉุดช่วย
                                                              2.ไม่มีจิตศรัทธาความเชื่อไม่ฉุดช่วย
                                                              3.ไม่มีปณิธานเจริญธรรมไม่ฉุดช่วย
       แต่ที่ว่าไม่ฉุดช่วยนั้น แท้จริงคือฉุดช่วยจนถึงที่สุดแล้ว เมื่อสุดวิสัย สุดกำลัง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แต่ขออย่าให้ต้องกัดฟันบอกแก่ตนเองว่า"จิตญาณตนฉุดนำตนเองยังไม่ได้เลย จะไปฉุดนำใครได้" ขณะพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม มีธรรมประกาศิตอีกประโยคหนึ่งที่ว่า"นัยน์ตามองดูพุทธประทีป สงบใจรอจุดเบิกทวารวิเศษ ( เอี่ยนคั่นฝอเติง  จิ้งไต้เตี่ยนเสวียน)" 
       มองดูพุทธประทีป คือ มองดูจิตญาณสว่างแห่งตน เพื่อเตรียมการประหานกำจัดสิ่งแปลกปลอมในจิตบริสุทธิ์เดิมของตน ณ บัดนี้ 
      สงบใจรอจุดเบิกทวารวิเศษ คือ จงมีสมาธิตั้งใจแน่วแน่ ให้เข้าถึงจิตญาณตนในทวารวิเศษ  นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการฉุดนำตนเอง
      พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  มิจฉามา สัมมาฉุดนำ   ลุ่มหลงมา สำนึกรู้ฉุดนำ   โง่เขลามา ปัญญาฉุดนำ   ชั่วร้ายมา ดีงามฉุดนำ   ฉุดนำดั่งนี้ได้ชื่อว่าฉุดนำแท้จริงอีกที่ว่า  กิเลสมิอาจประมาณ ปณิธานจะตัดขาด หมายถึงให้ใช้ปัญญาบริสุทธิ์ในจิตญาณตนขจัดความคิดฟุ้งซ่านขุ่นมัวเสียนั่นเอง อีกที่ว่าวิถีธรรมมิจบสิ้น ปณิธานปรารถนาจะเรียนรู้ จำต้องส่องเห็นจิตญาณตน ดำเนินสัมมาวิถีธรรมจึงได้ชื่อว่าเรียนรู้จริง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ในอาณาจักรธรรม ท่านเฉียนเหยินได้โปรดส่งเสริม"สามมากสี่ดี" (ซันตัวซื่อห่าว) หนึ่งในสี่ดีคือ ศึกษา เรียนรู้ธรรมเรียนรู้ได้ดี (เสวียเต้าเสวียเต๋าห่าว)
ส่องเห็นจิตญาณตน ดำเนินสัมมาวิถี จึงจะเรียกว่าเรียนรู้ได้ดี  เราได้เรียน ได้รู้ข้อธรรมมากมาย แต่สิ่งที่ได้เรียนมายังคงเป็นสิ่งที่เรียน สิ่งที่ได้รู้มายังคงเป็นสิ่งที่เรียน สิ่งที่ได้รู้มายังคงเป็นสิ่งที่รู้ อยู่เท่านั้น เช่นขณะนี้ ที่เรากำลังศึกษาพระสูตรเล่มนี้ ความรู้สึกยังคงเป็นเพียงพระสูตรที่ศึกษา  หากเมื่อใดที่ส่องเห็นจิตญาณตน จะรู้สึกทันทีว่า พระสูตรเล่มนี้มิใช่เป็นเพียงพระสูตร แต่เป็นภาวะจิตของเรา เป็นพุทธธรรมจากใจของเรา จะอ่านพระสูตรคัมภีร์กี่เล่มก็เป็นเช่นนี้
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร๑๐ : บทที่ ๕.๖ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/11/2553, 13:07

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปอีกว่า "อนุตตรพุทธธรรม ปณิธานปรารถนาจะบรรลุ" หากน้อมจิตลงได้เสมอ ดำเนินธรรมจริงแท้เที่ยงตรง พ้นจากลุ่มหลงอีกทั้งไม่ยึดหมายในความรู้ตื่น เกิดปัญญาอยู่เสมอ จริงเท็จกำจัดพ้นจากใจจะเห็นได้ในพุทธญาณตน ณ บัดนั้น พุทธธรรมสำเร็จได้ รำลึกปฏิบัติบำเพ็ญเป็นประจำ เป็นแรงธรรมปณิธาน
       ความหมาย...พิจารณา...
      เริ่มตั้งปณิธานดำเนินธรรมใหม่ ๆ อุปมาเช่นคนเดินไปบนทางเท้าคลุมเคลือที่ไม่คุ้นเคย จึงชิดขวาไว้เพราะทางซ้ายเป็นขวากหนามเดินจนคุ้นทางเดินตรงกลางดีกว่า เดินตรงกลางเห็นชัดไปไกล ไม่ชิดขวา ไม่ชิดซ้าย แม้มิได้ยึดหมายทางสายกลางก็เดินไปได้ ดั่งคำที่ว่า "ใจว่าง ทางตรง"
     ท่านผู้เจริญ บัดนี้ได้ตั้งมหาปณิธานสี่กันแล้ว ยิ่งจะเพิ่มการถ่ายทอด "ศีลไตรสรณะนิรรูป" แก่ท่านผู้เจริญต่อไป
     ความหมาย...พิจารณา...
     ไตรสรณะ ก็คือไตรรัตน์อันเป็นที่พึ่งที่กำหนดหมายการบำเพ็ญ ที่พึ่งในการบำเพ็ญของพุทธศาสนิกชนคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ที่พึ่งในการบำเพ็ญจิตญาณของชาวธรรมคือ ความเป็นผู้รู้ตื่น ความเป็นผู้เที่ยงธรรมตรงกลาง ความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด (เจวี๋ย เจิ้ง จิ้ง) แม้จะดูอย่างกับต่างกันแต่แท้จริงเป็นจุดร่วมเดียวกัน ชาวพุทธพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  เพื่อการเจริญธรรมบรรลุพุทธะ
     ชาวธรรมพึ่งพาความรู้ตื่น เที่ยงธรรม หมดจด เพื่อบรรลุพุทธะ ซึ่งไม่ต่างกับการพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการเจริญธรรมและอาจบรรลุพุทธะเช่นกัน จะต่างกันที่ชาวพุทธจะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนชาวธรรมให้รู้ตื่นฉับพลัน
      ท่านผู้เจริญ เอาความ "รู้ตื่น" เป็นสรณะจะเป็น ""ผู้สูงส่งอันพร้อมด้วยวาสนาปัญญา"" เอาความ "เที่ยงธรรม" เป็นสรณะจะเป็น ""ผู้สูงส่งอันออกหากจากอยากใคร่ ""  เอาความ "บริสุทธิ์หมดจด" เป็นสรณะจะเป็น ""ผู้สูงส่งท่ามกลางมวลเวไนยฯ""  จากวันนี้ไปจงเคารพความรู้ตื่นเป็นครู ไม่พึ่งพามิจฉาศาสตร์ อาถรรพ์มารวิถีเป็นสำคัญ จงใช้ไตรรัตน์จิตญาณตน ประจักษ์จริงด้วยตนเองอยู่เสมอ
     ความหมาย...พิจารณา...
     ผู้เข้าใจไตรรัตน์รูปลักษณ์ คือเข้าใจขั้นพื้นฐานบำเพ็ญนานไปจะเข้าใจไตรรัตน์จิตญาณอันสูงส่งแห่งตน
     พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  ขอเตือนท่านผู้เจริญ...จงพึ่งพาไตรรัตน์จิตญาณตน  พระพุทธคือรู้ตื่น  พระธรรมคือเที่ยงตรง  พระสงฆ์คือหมดจด
     ความหมาย...พิจารณา...
     ปรารถนารู้ตื่นพึงออกหากจากรูป พ้นรูปทั้งปวง ได้ชื่อว่าเหล่าพุทธะ (หลีอี๋เซี่ยเซี่ยง  เจ๋อหมิงจูฝอ) ในขณะกราบรับวิถีธรรม อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช้ธูปจุดนำจิตสว่างจากพุทธประทีปองค์กลาง กลับลงมาตรงกลางกระถางธูปสัญลักษณ์โลกธุลี ย้อนกลับขึ้นไปสู่พุทธประทีปองค์กลางข้างบน อันเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของอนุตตรภาวะ พร้อมกับกล่าวธรรมประกาศิตว่า ""นี่คือหนทางสว่าง จบสิ้นกลับคืนบ้านเดิม (เจ้อซื่อเจินหมิงลู่ เหลี่ยวเจี๋ยหวนกู้เซียง ) ""ไม่มีเกิดกับตาย"" (อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ) ปราศจากการเกิดดับของกิเลสวิสัย (ไม่เกิดอีกจึงไม่ต้องดับ) "หล่อหลอมแสงญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งวัน" (จงยื่อเลี่ยนเสินกวง) หมายถึง หล่อหลอมให้จิตญาณตนบรรลุความเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทุกขณะ ขอเพียงแต่มิใช่บัวใต้น้ำลึกจนเกินไป ในขณะนั้นไม่ว่าชนชาติ ศาสนาใด ทันทีที่เห็นพระพุทธะ ได้รับรู้พระธรรม ได้ใกล้ชิดพระสงฆ์ (ผู้ปฏิบัติดี) ความสงบสุข จะเกิดขึ้นในใจทันทีเรายิ่งจะได้รับความรู้สึกสุขสงบ หากจิตญาณตนจะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ในตนอย่างพร้อมมูล
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๑ : บทที่ ๕.๗ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/11/2553, 13:54

      พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปอีกว่า เอาจิตตนพึ่งพารู้ตื่นเป็นสรณะความหลงผิดมิจฉาอบายไม่เกิด ความอยากมีน้อย รู้ความพอเพียงออกห่างจากรูป รส กลิ่น เสียง ลาภสักการะ ก็คือผู้สูงส่งพร้อมด้วยวาสนาปัญญา  เอาจิตตนพึ่งพาเที่ยงธรรมเป็นสรณะทุกขณะจิตไม่เห็นผิด ด้วยจิตที่ไม่เห็นผิดนี้ จึงไม่ยึดหมายในเขา-เรา ไมายโส ไม่โลภอยาก จึงได้ชื่อว่าผู้สูงส่งอันได้พ้นจากความใคร่  เอาจิตตนพึ่งพาหมดจดเป็นสรณะจิตญาณตนล้วนไม่แปดเปื้อนสภาวะอารมณ์ตัณหาอยากใคร่ทั้งปวง จึงได้ชื่อว่าผู้สูงส่งท่ามกลางมวลเวไนย์  หากบำเพ็ญเช่นนี้คือจิตตนพึ่งพาไตรรัตน์จิตตนปุถุชนไม่เข้าใจ จากกลางวันถึงกลางคืนกล่าวติคปากว่า"รับศีลไตรสรณะ" หากถามว่าพุทธะสรณะนั้น พุทธะอยู่หนใด หากไม่เห็นพุทธะจะพึ่งพาอะไร พูดไปจึงเพ้อเจ้อ
     ท่านผู้เจริญ ต่างจงพิจารณาอย่าตั้งใจผิดไปในคัมภีร์กล่าวไว้ชัดเจนว่า ""พุทธะสรณะตน""  มิได้กล่าวว่า พุทธะสรณะเขาอื่น ไม่พึ่งพาพุทธะในตนไม่มีอื่นใดให้พึ่งพา ในเมื่อรู้ตื่นตนบัดนี้ ต่างจงพึ่งพาไตรรัตน์จิตตน ภายในปรับอารมณ์  ภายนอกเคารพใคร ๆ คือการพึ่งพาตนนั่นเอง
    ความหมาย...พิจารณา...
    ภายในปรับอารมณ์ ปรับอารมณ์ตนได้คือเริ่มกำหนดความเป็นพุทธะในตน รู้ความเป็นพุทธะในตนจนปราศจากข้อกังขาจะเห็นความเป็นพุทธะในใคร ๆ ยิ่งเคารพตนเองมากเท่าใด ก็ยิ่งจะเคารพใคร ๆ มากเท่านั้น เพราะทุกพุทธะเท่าเทียมกัน
   ท่านผู้เจริญ เมื่อพึ่งพาไตรรัตน์จิตตนถึงที่สุดแล้วต่างจงมุ่งมั่นตั้งใจ อาตมาจะกล่าว ""หนึ่งร่างสามกายพุทธญาณตน"" ให้พวกท่านเห็นสามกายเป็นเช่นนี้สำนึกรู้ในจิตญาณตน ทั้งหมดพูดตามอาตมา
 ""โดยรูปกายแห่งตน พึ่งพากายธรรมอันบริสุทธิ์แห่งพุทธะเป็นสรณะ
 ""โดยรูปกายแห่งตน พึ่งพานิรมาณกายร้อยพันล้านแห่งพุทธะเป็นสรณะ
 ""โดยรูปกายแห่งตน พึ่งพาสัมโภคกายบริบูรณ์แห้งพุทธะเป็นสรณะ
    ท่านผู้เจริญ "กายรูปคือเคหา" มิอาจกล่าวว่าพึ่งพาได้ แต่ที่หมายถึงคือ กายทั้งสามอันเป็นพุทธภาวะในจิตญาณตน ซึ่งชาวโลกล้วนมี
    ความหมาย...พิจารณา...
    กายรูปคือเคหา ร่างกายเหมือนบ้านที่ให้จิตญาณอาศัยอยู่ชั่วระยะ เพราะประกอบขึ้นด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ย่อมเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จึงมิใช่สรณะที่พึ่งพาได้ ชาวโลกล้วนมี สาธุชนกราบไหว้บูชาพระ แต่ไม่กราบไหว้ตนเองอีกทั้งยังดูถูกตนเองด้วยไม่เชื่อนักว่าล้วนมีธาตุปห่งพุทธะ เราอาจบรรลุคืนสู่พุทธภาวะได้ในชาตินี้ เมื่อไม่เชื่อจึงไม่เคารพอุ้มชูพุทธะแห่งตน อีกทั้งปล่อยให้ตกต่ำเสียหาย คนเช่นนี้ยากจะฟื้นฟูพุทธะแท้ในตนได้เพราะไม่มั่นใจ
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๑๒ : บทที่ ๕.๘ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/11/2553, 10:31

      หลงด้วยใจตน ไม่เห็นจิตญาณภายใน เสาะหาตถตาสามองค์ภายนอก ไม่เห็นสามพุทธาที่มีในกายตน ท่านทั้งหลายจงฟังว่า ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นจิตญาณตนอันมีสามพุทธา ร่วมอยู่ในกายตน สามพุทธานี้เกิดในจิตญาณตน มิใช่ได้จากภายนอก เหตุใดจึงได้ชื่อว่า "กายธรรมบริสุทธิ์หมดจด" ก็ด้วยจิตญาณของชาวโลกบริสุทธิ์ หมดจดแต่เดิมที ธรรมทั้งปวงเกิดจากจิตญาณตน ดำริคิดชั่วทั้งปวงจึงเกิดการกระทำชั่ว  ดำริคิดความดีทั้งปวงจึงเกิดการกระทำดี
     ดังนั้นจึงกล่าวว่า ธรรมทั้งปวงอยู่ในจิตญาณตนดุจฟ้าใสอยู่อย่างนั้น ตะวันเดือนสว่างอยู่เช่นนั้น ถูกเมฆลอยมาบดบัง บนสว่างล่างมืด พอถูกลมพัดพาเมฆฝนกระจาย บนล่างสว่างด้วยกัน ปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนให้ได้เห็น
    จิตของชาวโลกมักเคว้งคว้างเลื่อยลอย เหมือนเมฆบนท้องฟ้าปกคลุม  ท่านผู้เจริญ จิตปัญญาดุจตะวัน ญาณปัญญาดุจจันทรา จิตปัญญาญาณสว่างอยู่เป็นนิจ แต่หากยึดหมายภายนอก ถูกเมฆแห่งความคิดผกผันฟุ้งซ่านครอบคลุม จิตญาณตนมิอาจกระจ่างใส  หากได้พบผู้เจริญธรรม ให้ได้สดับสัทธรรม กำจัดความหลงผกผันฟุ้งซ่านในตนเอง จะสว่างปลอดโปร่งทั้งนอกใน หมื่นธรรมล้วนปรากฏได้ในจิตญาณตน
   ความหมาย...พิจารณา...
   ผู้เจริญธรรมในวิถีอนุตตรธรรมยุคนี้ พระวิสุทธิอาจารย์แห่งยุค คือ อมตะพุทธจี้กง กับ พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา จากการปกโปรดของทั้งสองพระองค์ ประทานปัจจัยเพิ่มพูน สาธุชนมากมายได้สำนึกรู้ตื่น เจริญธรรม "หมื่นธรรมปรากฏได้ในจิตญาณตน" โดยแท้จริง หมื่นธรรมหรือธรรมทั้งปวงมิพ้นจากจิตญาณตน ท่านที่อรรถาธรรมได้เช่นพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ซึ่งมิต้องการคัมภีร์ มิต้องศึกษาเรียนรู้ท่องจำมา พอขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ข้อธรรมก็พรั่งพรูมิขาดสายเป็นสัจธรรมทุกถ้อยคำโดยมิต้องตระเตรียมเรียบเรียง ท่านผู้เข้าถึงภาวะนี้ ท่านเรียกว่า"พุทธกายธรรมบริสุทธิ์หมดจด"
    ท่านผู้เจริญ ใจตนพึ่งพาจิตญาณตนเป็นสรณะจึงเท่ากับพึ่งพาพุทธะแท้ ผู้ถือจิตญาณตนเป็นสรณะนั้น จะกำจัดอกุศลในจิตญาณตน กำจัดอิจฉาริษยา ใจที่ยโสโอหัง ใจตนยึดมั่นในตน ใจหลอกลวงฟุ้งซ่านผกผัน ใจดูแคลนคน ใจจองหองเฉยเมย ใจเห็นผิด ใจผยองลำพองตน กับการกระทำไม่งามทุกยามทุกอย่าง มีคำกล่าวว่า "ทันทีที่เกิดอัตตา โทษผิดบาปตามมาไม่ห่าง" ความไม่ดีงามที่กล่าวมาล้วนเริ่มจากมีอัตตาเป็นเหตุ
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๕.๙ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/11/2553, 11:06

        ตนเห็นความผิดตนเสมอ ไม่พูดความดีร้ายของใครเขา คือเอาจิตญาณตนเป็นสรณะ พึงถ่อมใจลงเสมอ เคารพนอบน้อมทั่วไป คือเห็นจิตญาณตนปรุโปร่งราบรื่น ไม่มีอุปสรรคสิ่งกีดกั้นเรียกว่า "เอาจิตญาณตนเป็นสรณะ"
      ความหมาย...พิจารณา...
      ไม่เคารพใด ๆ เท่ากับไม่เคารพตนเอง ทำร้ายใด ๆ ก็เท่ากับทำร้ายตนเอง จะต่างกันเพียงแต่ผลที่ตอบสนองสะท้อนกลับ จะมาช้าหรือเร็ว มาหนักมาเบา หรือมาในรูปแบบใด
      อย่างไรเรียกว่า "นิรมาณกายร้อยพันล้าน" หากไม่ตริตรึกนึกคิด ก่อเกิดหมื่นธรรมารมณ์ จิตญาณแท้จริงว่างจากหมื่นธรรม เมื่อเกิดหนึ่งความคิดดำริได้ชื่อว่า "แปรเปลี่ยนนิรมาณ" เมื่อคิดดำริเรื่องร้ายจิตญาณแปเป็นนรก  เมื่อคิดดำริเรื่องดีจิตญาณแปรเป็นสวรรค์   เมื่อเกิดอำมหิตพิษร้ายจิตญาณแปรเป็นมังกรงูเมื่อเกิดเมตตากรุณาจิตญาณแปรเป็นพระโพธิสัตว์  เมื่อเกิดปัญญาจิตญาณแปรเป็นชาวฟ้า  เมื่อเกิดความโง่หลงจิตญาณแปรเป็นผู้อยู่เบื้องล่าง
     จิตญาณแปรเปลี่ยนมากมาย คนหลงไม่อาจรู้ตัวตื่นใจ ทุกขณะจิตคิดชั่ว มักเดินลงอบายภูมิ พอกลับใจคิดดี ปัญญาก็เกิด ดั่งนี้ได้ชื่อว่า" จิตญาณตนแปรกายเป็นพุทธะ" (จื้อซิ่งฮว่าเซินฝอ)  พุทธะนิรมาณกายอันได้จากจิตญาณตน
    อย่างไรเรียกว่า "สัมโภคกายกลมสมบูรณ์" ตัวอย่างเช่น หนึ่งโคมไฟขจัดความมืดพันปีได้ หนึ่งปัญญาดับความโง่เขลาหมื่นพันปีได้
    ความหมาย...พิจารณา...
    นั่นคือ มหาปัญญาแห่งจิตญาณตนสำแดงพุทธานุภาพเหมือนโคมไฟสำแดงแสงสว่าง แผ่รัศมีไปโดยรอบ ปัญญาแห่งจิตญาณแผ่รัศมีไปกว้างไกลไร้ขอบเขต พระพุทธชินราช มีพระลักษณะรัศมีแปล่งประกายออกโดยรอบ แสดงให้เห็นพระปัญญาบารมีแห่งจิตญาณ เมื่อบรรลุโพธิญาณแล้ว จิตญาณเปล่งรัศมีของมหาปัญญาบริสุทธิ์ไปทั่วสิบทิศ ในท่อนนี้ พระธรรมาจารย์บอกให้เรารู้ว่า เวไนย์สมบูรณ์อยู่ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ บรรลุพุทธะคือ การสำแดงมหาปัญญาอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ให้ปรากฏออกมาได้ ฉะนั้น แม้ความมืดจะครอบคลุมอยู่พันปี ความโง่หลงจะมาบดบังนานนับหมื่นปี แต่ทันทีที่โคมไฟสว่างขึ้น ทันทีที่ปัญญาปรากฏความมืด ความโง่หลง ก็พลันปลาสนาการไป
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๕.๑๐ สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2553, 02:09

        อย่ามุ่งคิดคำนึงถึงข้างหน้า อดีตที่ผ่านอันล่วงเลย มิอาจคว้าไว้ หมั่นรำลึก(พิจารณา) ตามไป ให้ทุกขณะจิต (ความรำลึกคิด) กลมใส เห็นในจิตญาณตน ดี ชั่ว แม้จะต่างกัน แต่จิตญาณไม่เป็นสอง จิตญาณไม่เป็นสองได้ชื่อว่าจิตญาณตัวแท้ ในความเป็นจิตญาณตัวแท้นั้น มิแปดเปื้อนด้วย ดี ชั่ว เช่นนี้จึงได้ชื่อว่า "พุทธะสัมโภคกายกลมสมบูรณ์" จิตญาณตนเกิดหนึ่งความคิดชั่ว จะลบล้างบุญปัจจัยที่สั่งสมมาหมื่นกัปให้หมดไป  จิตญาณตนเกิดหนึ่งความคิดดี ความชั่วมากมีเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหมดสิ้นได้ จนถึงก้าวขึ้นฟากฝั่งสัมมาสัมโพธิ
       ทุกขณะจิตส่องเห็นตน ไม่ผิดจากรำลึกนี้ (รำลึกบริสุทธิ์แห่งจิตญาณ มิใช่มโนวิญญาณ) ได้ชื่อว่า "พุทธะสัมโภคกายกลมสมบูรณ์" ท่านผู้เจริญ จากกายธรรมดำริคิด มาเป็น พุทธะนิรมาณกาย จากทุกขณะจิต จิตญาณตนส่องเห็นตน มาเป็น พุทธะสัมโภคกาย
      บุญบารมีแห่งจิตญาณอันได้จากรู้แจ้งด้วยตน รู้บำเพ็ญด้วยตน เป็นสรณะอันจริงแท้แห่งตน เนื้อหนังคือรูปกาย รูปกายคือเคหา มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นสรณะที่พึ่งพาได้ หากรู้แจ้งสามกายในจิตญาณตน คือรู้จักพุทธะจิตญาณตน  อาตมามี ""สรรเสริญนิรรูป"" หนึ่งบท หากสวดท่องทำตามได้ จบคำก็ทำให้ท่านลบล้างความหลงผิดที่สั่งสมเนิ่นนาน อันตรธานได้ในบัดดล

       บทสรรเสริญนิรรูป...สรรเสริญว่า...

คนหลงบำเพ็ญ        หวังเป็นวาสนา       หาใช่เพียรธรรม
ได้แต่พูดพร่ำ         บำเพ็ญวาสนา         ว่าเป็นเพียรธรรม
แจกทานอุปฐาก      มากมีวาสนา           คิดว่าเหลือล้ำ         
แต่ใจสิทำ       ความโลภโกรธหลง         คงไว้เหมือนเดิม
บำเพ็ญเพื่อเอา         วาสนามาลบ         กลบโทษบาปไป     
ชาติหน้าแม้นได้        วาสนามาส่ง          ยังคงบาปหนา
พึงกำจ้ดเหตุ            บาปร้ายให้ผล        ด้วยใจตนนา
ต่างขอขมา              ด้วยตนจิตญาณ      อันสำนึกจริง
พลันสำนึกแจ้ง          แห่งมหายาน         จิตญาณขอขมา
กำจัดมิจฉา              มรรคาตรงธรรม       ไม่ซ้ำผิดบาป
ศึกษาพระธรรม          ย้ำที่จิตตน            ยินยลรู้รับ
บรรลุเนื่องนับ            เช่นกับพุทธา         วงศาเดียวกัน
อาจารย์ของอาตมา     ถ่ายทอดฉับพลัน     หนึ่งธรรมนี้ว่า
ปรกโปรดปรารถนา      ร่วมญาณกายา        เห็นจิตญาณตน
หากใคร่ภายหน้า        พบกายาธรรม         สำเร็จมรรคผล
จงออกหากพ้น          รูปธรรมชำระ           กระจ่างกลางใจ
จงเพียรฝึกฝน           เห็นตนจิตญาณ        อย่านานเนิ่นช้า
ความคิดข้างหน้า        พลันหยุดไม่มา        ชีวานี้สิ้น
หากสำนึกใส             มหายานได้            ภายในจิตจริง
ศรัทธาถวิล               นบนอบประนม        ก้มขอต่อใจ   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๕ .๑๑ บทสรรเสริญนิรรูป
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2553, 03:09

           ความหมาย...พิจารณา...บทสรรเสริญนิรรูป
       ย้อนอ่านบทข้างหน้าที่กล่าวว่า กุศลวาสนา กับ บุญบารมี  ต่างกัน  กุศลวาสนา ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคารบริวารยศศักดิ์ฐานะ แต่ยังมีอาสวะกิเลส เรียกว่า อาสวะวาสนา เป็นวาสนาในกองกิเลส วุ่นวาย จึงเห็นเศรษฐีมากมายฆ่าตัวตาย ตกต่ำเสียหาย วาสนาฐานะ ยังพาให้ก่อเกิดโทษผิดบาปเพิ่มขึ้นกว่าอดีตชาติเสมอ ทั้งคิดผิด พูดผิด ทำผิด ด้วยจริตกำเริบเสิบสานจากยศศักดิ์ฐานะนั้น หากไม่รู้แจ้งจิต ไม่ชำระจิตให้บริสุทธิ์ดังว่าโทษผิดบาปมิอาจลบล้างได้ ยังคงติดตามไปทุกชาติภพ
      สัจธรรมบอกเราว่า "จะเอาวาสนาลาภยศอุดช่องบาปนั้น ยากนัก ทำดีได้ดีตอบ ทำชั่วได้ชั่วสนอง" หนีไม่พ้นแน่นอน เพียงแต่จะมาช้า มาเร็วในรูปแบบไหนเท่านั้น ทางเดียวที่ทำได้คือ "ชำระใจให้หมดจดบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใจมิใช่บานกระจกใส" กระจกแม้จะใส หากเป็นฐาน เป็นบาน ฝุ่นธุลีย่อมจับเกาะได้ใหม่
     ชำระใจจึงหมายถึง ชำระหมดสิ้น แม้แต่ความเป็น "ใจ" ก็ไม่มี เมื่อใจไม่มี ฝุ่นธุลีใหม่ย่อมไม่มีที่จะจับเกาะได้ ภาวะจิตเป็นสูญตาว่างเปล่า แม้มิได้กำหนดหมายว่า จะลบล้างโทษผิดบาป โทษผิดบาปก็ว่างเปล่าไปโดยปริยาย เพราะขาดสิ้นแล้วด้วยเหตุปัจจัยที่ให้ก่อเกิด
    จุดนี้โปรดอย่าได้เข้าใจผิดว่า "ฉันผิดมากมาย แสร้งทำลืมไป ไม่จำไม่ผิด" ในคัมภีร์บุษปบัณทิต หรือ อวตสกสูตร ฮว๋าเอี๋ยนจิง จารึกประโยคว่า
แม้นหากร้อยพันกัป     บาปเวรไม่สิ้นไป
บรรจบพบปัจจัย          ผลภัยยังต้องรับ
     จึงต้องสิ้นจากเหตุปัจจัยโดยเด็ดขาด เราชาวธรรมน้ำตาพรากทุกครั้งที่อมตะพุทธะจี้กงพระอาจารย์ของเราประทับทิพย์ญาณมา เราสำนึก เราขอตั้งต้นใหม่ แต่พอเวลาผ่านไป ไม่มีอะไรจริงจังเหมือนอย่างเดิม มิใช่เสแสร้งน้ำตาพราก แต่ด้วยเหตุไม่เห็นจิตญาณตน ไม่เข้าซึ้งถึงแก่นแท้ หรือกล่าวว่าเมล็ดพันธุ์ป่ายังมิได้ถอนรากถอนโคนจึงแตกกิ่งใบใหม่ เป็นพันธุ์ป่าที่มิได้พัฒนาคุณภาพพันธุ์ต่อไปอีก
     พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า ท่านผู้เจริญ จำเป็นจะต้องท่องจำนำไปปฏิบัติบำเพ็ญตามนี้ จบคำทันทีเห็นจิตญาณ แม้อยู่ห่างจากอาตมาพันลี้ ดุจดั่งอยู่ข้างอาตมา แต่หากจบคำนี้มิรู้แจ้งได้ จะมีประโยชน์อันใดที่อยู่ห่างไกลกันพันลี้ อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่ ถนอมรักษาไว้ให้จงดี กลับไปบำเพ็ญ
    สาธุชนทั้งหมดสดับธรรมดังนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้แจ้ง ต่างปิติยินดีเทิดทูนปฏิบัติตาม
    ความหมาย...พิจารณา...
   รู้สำนึก รู้ตื่น รู้แจ้ง รู้เห็นจิตญาณตน รู้เห็นจิตญาณเดิมแท้ ล้วนเป็นภาวะรู้ที่อยู่เหนือสามัญชน แต่ภาวะรู้นั้น ยังมีตื้นลึกต่างกัน แล้วแต่ความปราณีตของจิตใจในแต่ละคน การจะรู้เห็น เป็นเรื่องเฉพาะตน ใครก็ช่วยไม่ได้ มีแต่เสริมส่งเพิ่มพูนเหตุปัจจัยแก่กัน ผู้ร่วมบำเพ็ญ พึงช่วยเพิ่มพูนปัจจัยแก่กัน อย่าตัดทอน กีดกัน กลั่นแกล้งซึ่งกัน เพราะนั่นคือ โทษในนรกอเวจี ไม่ช่วย ซ้ำยังทำลาย (ด้วยความคิด วาจา กระทำทางอ้อม ทางตรง ฯ) โทษมหันต์เพราะเป็นการตัดสายปัญญาญาณในการบรรลุธรรมของเขา เบื้องบนไม่มีคนประเภทนี้ คนประเภทนี้จึงไปสู่เบื้องบนไม่ได้ จำไว้ว่า "ภาวะจิตขณะนี้ คือที่หมายสำหรับเราที่จะต้องไป จะไปสู่สภาพใดให้มีจิตในสภาวะนั้น"
                                                                             --จบบทที่ ๕ -- เล่ม ๒
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/02/2554, 07:28

                  คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   บทที่ ๖   :  กราบนิมตน์บุญวาระ (ซัน ฉิ่ง จี เอวี๋ยน)

       ตั้งแต่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้รับวิถีธรรม จากพระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น) จนกลับมายังหมู่บ้านเฉาโหวที่เมืองเสาโจว  ยังไม่มีใครที่นี่รู้ความเป็นมาเลย ในหมู่บ้านนี้มีผู้คงแก่เรียนนามว่า หลิวจื้อเลวี่ย ให้ความเคารพต่อพระบรรพจารย์เป็นอันมาก  จื้อเเลวี่ยมีป้าบวชเป็นชี ฉายาว่า อู๋จิ้นจั้ง (ขุมทรัพย์เหนือคณา) สวดท่อง มหาปรินิวาณสูตร อยู่เป็นประจำ ทันทีที่พระธรรมาจารย์ได้ยินก้เข้าใจความหมายแยบยลทันที จึงอรรถธิบายให้

     พิจารณา...
 จากบทที่หนึ่งคงจำได้ว่า พระธรรมาจารย์ต้องข้ามเทือกเขาใหญ่ต้าอวี่หลิง (ทางเหนือของมณฑลกว่างตง) กว่าจะลี้ภัยมาถึงหมู่บ้านเฉาโหวนี้ได้เป็นเช่นไร  แม่ชีถือพระคัมภีร์ขอถามความหมายในแต่ละอักษร พระธรรมาจารย์ว่า "อักษรยังไม่รู้จัก จะเข้าใจความหมายกระไรได้" พระธรรมาจารย์ว่า "สัจธรรมวิเศษแห่งเหล่าพุทธะ หาได้เกี่ยวด้วยอักษรไม่" แม่ชีตื่นใจ เที่ยวประกาศไปแก่ผู้สูงส่งคงแก่เรียนทั้งหลายในหมู่บ้านว่า "บุคคลท่านนี้คือผู้ทรงธรรม พึงอุฎฐากท่านนัก" หลานของเจ้าเมืองจิ้นอู่ (โจโฉ) นามว่า เฉาสูเหลียง กับชาวบ้านชิงกันมากราบนมัสการ ในเวลานั้น "วัดป่ารัตนาราม" ก่อนเก่าโบราณมา ตั้งแต่ปลายราชวงศ์สุย ถูกกองทัพเผาผลาญทำลายไปจึงได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ในสถานที่เดิมนั้น ทุกคนพร้อมกันนิมนต์พระมหาเภระเจ้าฮุ่ยเหนิงเข้าจำพรรษา วัดร้างจึงกลายเป็น "รัตนาราม" อย่างแท้จริงไปทันที
       พิจารณา...
 ครั้งนั้น ขณะที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น บวชจิตให้แก่ศิษย์ฮุ่ยเหนิงนั้น เป็นยามรัตติกาลเร่งรีบผลีผลาม ด้วยเกรงว่าจะมีผู้ช่วงชิงบาตรกับจีวร  พระอาจารย์จึงมิได้ปลงผมให้แก่ศิษย์ แต่ศิษย์ฮุ่ยเหนิงก็ได้ถือบวชวิถีจิตฉับพลันแล้ว จึงมิได้ผิดแปลกแต่อย่างใด ในครั้งพระโพธิธรรมเสด็จจากชมพูทวีปมาโปรดที่ประเทศจีน พระองค์ก็ทรงพระเกศาประบ่า พระองค์ยังกล่าวด้วยว่า "รู้แจ้งเห็นใสในจิตญาณ จึงเรียกได้ว่า ผู้ออกบวชบำเพ็ญ"  หากมีแต่ลักษณะ รูปแบบ มิได้บวชจิต จะพึงได้รับความเคารพยกย่องว่า "พระเถระ" อย่างไรได้ ผู้บวชจิตในวิถีอนุตตรธรรมที่ขาดการสำรวมเรียนรู้ คงจะได้เห็นความสำคัญของตัวเองมากขึ้น  พระธรรมาจารย์จำพรรษาอยู่เก้าเดือนกว่า ถูกพวกคิดร้ายค้นพบติดตามอีก จึงหลบออกไปซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาหน้าพระอาราม คนร้ายค้นหาไม่พบ จุดไฟเผาป่า พระธรรมาจารย์แทรกตัวเข้าไปซ่อนอยู่ในซอกหิน จึงได้พ้นภัย ปัจจุบันยังคงมีรอยประทับนั่งฌาน กับรอยเส้นด้ายของผ้าที่พระธรรมาจารย์นุ่งห่มปรากฏให้เห็นอยู่ หินก้อนนั้นจึงได้ชื่อว่า "หินหลบภัย" พระธรรมาจารย์คิดถึงคำกำชับต่อเหตุการณ์ล่วงหน้าที่พระอาจารย์ของท่านกล่าวว่า "พบไฮวให้หยุด พบฮุ่ยให้ซ่อน" จากนั้นจึงแฝงองค์ไว้ที่สองอำเภอนี้
      พิจารณา...
ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่วัดป่ารัตนารามเก้าเดือนกว่านั้น แม่ชีอู๋จิ้นจั้ง อาราธนามหาเถระเจ้าแจกแจง "มหาปรินิรวาณสูตร" เรื่อยมาเป็นเวลาถึงสิบห้าปี ภายหลังเมื่อมาถึงวัดธรรมญาณ ได้พบกับพระมหาเถระเจ้าอิ้นจงฝ่าซืออภิธรรมาจารย์ศิษย์รุ่นน้องที่มีสมณศักดิ์และบารมีคุณเป็นที่เคารพยิ่งของสาธุชนมากมายซึ่งท่านกำลังอรรถามหาปรินิรวาณสูตรอยู่พอดี พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้แจกแจงพระสูตรโดยนัยอันลึกซึ้งแก่พระธรรมาจารย์อิ้นจงฝ่าซือ นับเป็นบุญปัจจัยอันวิเศษยิ่งในการบรรจบพบกันครั้งนั้น  สงฆ์รูปหนึ่งธรรมฉายาว่า "ธรรมสมุทร ฝ่าไห่" เป็นชาวอำเภอเสาโจว ฉวี่เจียง ได้กราบพระธรรมาจารย์เป็นครั้งแรก ขอคำอธิบายประโยคที่ว่า "เข้าถึงใจ เข้าถึงพุทธะ" ขอได้โปรดชี้นำแจกแจง พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ความคิดคำนึงข้างหน้า (ผ่านไป) ไม่เกิดคือเข้าถึงใจ (ไม่อาลัยอาวรณ์ย้อนคิดอดีตผ่าน) ความคิดคำนึงในภายหลังไม่ดับ คือ เข้าถึงพุทธะ (สิ้นเชื้อสิ้นไฟ จึงไม่พึงดับอีก)  ปลงเห็นจริงต่อรูปทั้งปวง คือ เข้าถึงใจ พ้นจากรูปทั้งปวง คือ เข้าถึงพุทธะ ( "ใจคน" รู้หยุดได้ ไม่ก่อเหตุ "พุทธะ" ปราศจากเหตุอันพึงระงับหยุด)
     พิจารณา...
 อมตะพุทธะจี้กงเคยโปรดว่า
อารมณ์        สงบ            ใจนิ่งราบ
หนึ่งนิ้ว        จุดสดับ        วิเศษใส   
ตรงหน้า        เจิดจ้า         ประตูใจ
ร่วมสาย        พุทธะ         อมตะเซียน
ดำริพลัน       ผันใจ          ให้ผิด
พาจิต          ชิดโลก         วิสัย
กลับหวน       เวียนเกิด       เวียนตาย
เสียดาย        ที่ได้ทาง       กระจ่างพลัน
     ภาวะเดิมแท้ของใจ ไม่มีอะไรอยู่ภายในภายนอก บริสุทธิ์ว่างเปล่าดั่งทารกน้อย ไม่รำลึกตรึกคิดย้อนย้ำ ไม่อาลัยปรุงแต่ง ภาวะของความเป็นพุทธะบริสุทธิ์หมดจด ไม่ยึดหมายพัวพันในรูปทั้งปวง
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/03/2554, 13:22

          โปรดต่อไปว่า
        หากอาตมาจะแจกแจงให้พร้อมมูล เกรงว่าสิ้นกลับเวลายังแจงได้ไม่สิ้น" จงฟังโฉลกจากอาตมาว่า "เข้าถึงใจ" ได้ชื่อว่าปัญญา ( "รู้หยุด" ด้วยปลงเห็นความเป็นจริง)  "เข้าถึงพุทธา" คือ สมาาธิมั่น ( "คงอยู่" กับสัจธรรมปัญญาสมาธิ) สมาธิฺปัญญาเสมอกัน (เมื่อสมาธิกับปัญญามิแยกห่างต่างกัน) คือดำริอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแท้ (ดำริคิดทุกอย่างล้วนเหมาะควร)
          พิจารณา
       ดังกล่าวแล้วข้างต้นบทว่า สมาธิกับปัญญาคือหนึ่งเดียวกัน สมานกันไป สำนึกรู้แจ้งในวิถีธรรมนี้ อาศัยอนุสติในจิตญาณของท่าน อันเป็นมา (แต่ก่อนเก่า) ใช้จิตอันมิเกิดดับแต่เดิมทีนั้น บำเพ็ญใจบำเพ็ญพุทธะพร้อมกันไป อันเรียกได้ว่า "สัมมาวิถี" (ทางตรง)
          พิจารณา
        อนุสติ คือ ความระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (ทั้งภายนอกกับภายในตนเอง)  ระลึกถึงศีล ทาน และสุดท้ายคือนิพพาน เหล่านี้ เป็นความระลึกดีที่ควรมีอยู่เสมอ เมื่อเป็นความระลึกดี กาย วาจา ใจ ย่อมดำรงความเคยชินดีที่เคยสั่งสมเป็นมา เมื่อได้เห็นสิ่งดีอันเคยเป็นมา ก็จะระลึกได้ จะคุ้นเคยเจริญอยู่ในสิ่งดีนั้น จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า บางคนพอได้รับวิถีธรรมก็เข้าใจเกิดศรัทธา และปฏิบัติตามบำเพ็ญเพียรทันที ส่วนคนไม่มีอนุสติเดิมมาก่อน เพียรพยายามปลูกฝังตั้งแต่บัดนี้ ก็จะมีได้เป็นได้เช่นเดียวกัน  สงฆ์ฝ่าไห่ได้ฟังพลันรู้แจ้ง ถวายโศลกสรรเสริญมหาเถระเจ้าว่า
                                 "เข้าถึงใจ        เดิมทีนี้        คือพุทธะ
                                มิแจ้งกระจะ         ละตน          คู่ไว้
                                ฉันรู้ปัญญา          สมาธิ           เป็นไป
                                เพียรสองอย่างได้  ละไร้           รูปนาม"
          พิจารณา
        สงฆ๋ฝ่าไห่ เป็นหนึ่งตัวอย่างของผู้มีอนุสติความเคยชินดีที่เคยสั่งสมเป็นมา จึงเข้าใจวิสัชนาธรรมที่ได้ฟังทันที ดังนี้       
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/03/2554, 14:06

        สงฆ์อีกรูปหนึ่งฉายา "เจริญธรรม ฝ่าต๋า" เป็นชาวเมืองหงโจว ออกบวชตั้งแต่อายุเจ็ดปี สวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นประจำเสมอมา ได้มากราบพระธรรมาจารย์ แต่ศรีษะมิได้จรดพื้น พระธรรมาจารย์จึงตำหนิว่า "อายุเจ็ดปีเช่นนี้ ดูแลความเป็นอยู่ของตนโดยไม่เป็นภาระต่อใคร ไม่กระทบต่อการปฏิบัติบำเพ็ญของผู้ใดได้หรือไม่" เมื่อไม่มีปัญหา พระบรมศาสดาก็โปรดอนุญาตให้บวชเป็นเณรน้อยได้ (สงฆ์ฝ่าต๋าต้องพูดความจริง เพราะพระธรรมาจารย์ทรงหยั่งรู้) จึงได้ตอบว่า "ศิษย์สวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตรมาแล้วสามพันเล่มครั้ง"
          พิจารณา
        ในพระคัมภีร์ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" มีอักษรทั้งหมดหกหมื่นกว่าตัว หากสวดท่องเร็วขึ้น วันหนึ่งจะสวดท่องได้เพียงหนึ่งเล่มครั้ง หากสวดเป็นประจำทุกวันวันละหนึ่งเล่มครั้ง จะต้องใ้เวลาสวดนานถึงแปดปี  ฉะนั้น สงฆ์ฝ่าต๋าน่าจะสวดมาแล้วกว่าสิบปี คือสวดก่อนบวชเณร นับว่าเป็นผู้มีกุศลมูลสูงมากทีเดียว
        พระธรรมาจารย์โปรดว่า  :   หากท่านสวดได้ถึงหนึ่งหมื่นเล่มครั้ง เข้าใจความหมายในพระคัมภีร์โดยไม่ถือดี ก็จะเสมอด้วยอาตมา แต่วันนี้ท่านทำผิดต่อกิจนี้ (การสวดท่อง) ยังมิรู้ผิดเลย
          พิจารณา
        "...เสมอด้วยอาตมา...มิใช่พระธรรมาจารย์จะยกตนข่มท่าน มิใช่เสมอด้วยสถานภาพ มิใช่เสมอด้วยปัญญาความสามารถ แต่หมายถึงเสมอด้วยความเป็นผู้รู้แจ้งต่อสัจธรรม ดำเนินไปด้วยกัน ผู้รู้แจ้งต่อสัจธรรม จะปราศจากความถือดีเช่นนี้ "...ทำผิดต่อกิจนี้..." กิจอย่างหนึ่งของผู้บวชเรียนและผู้ศึกษาธรรม จะต้องสวดท่อง เรียนรู้ กระจ่างแจ้งต่อพุทธโอวาท พุทธวจนะ กระจ่างแจ้งต่อพุทธธรรม อันถือเป็นภาระอย่างหนึ่ง  ฉะนั้น หากสวดท่องโดยมิกระจ่างแจ้ง หรือหากอวดตัว ถือเป็นความเขื่องเหนือใคร ๆ เท่ากับตีขลุมผ่านไปวัน ๆ นับว่่าผิดต่อภาระหน้าที่ผิดต่อกิจของผู้บวชเรียน
                                                จงฟังโฉลกจากอาตมา
                                     "จริยะวินัย        ให้สยบ        ลบยโส
                                      แต่ไฉน            ยกหัวโง      ไม่จรดพื้น
                                      มีอัตตา            จึงได้พา       ผิดเกิดขึ้น
                                     ทำลายฝืน          วาสนา         เกินกว่านัก"
          พิจารณา
        รัฐมนตรีท่านหนึ่งได้มารับวิถีธรรม ได้เข้ารับการอบรมประชุมธรรม หลังจากก้มกราบพระพุทธะ พระโพธิสัตว์คารวะนักธรรมอาวุโสทั้งหลายตามจริยะระเบียบแล้ว ท่านกล่าวว่า "ก้มกราบมาก ๆ อย่างนี้ผมชอบ อัตตาจะได้ไม่เกิด" อีกท่านหนึ่งคืออดีตรองนายกรัฐมนตรี กรุณามาให้โอวาท เป็นกำลังใจแก่นักศึกษาที่เข้ารับการอบรมธรรม เมื่อท่านกล่าวสุนทรพจน์จบลง อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมให้นักศึกษาทุกคนก้มกราบขอบพระคุณ ท่านรีบปฏิเสธการกราบ กล่าวว่า "ไม่ต้องก้มกราบ อย่าทำให้ผมลืมตัว"
          หมายเหตุ
        ท่านแรกคือ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม พณฯ ท่านพลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์
        ท่านที่สองคือ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พณฯท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง
        (จึงขออนุญาตจารึกคติพจน์ของท่านไว้ในที่นั้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป)
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/03/2554, 05:47

        พระธรรมาจารย์ถามต่อไปว่า "ท่านมีฉายาว่าอย่างไร" ตอบว่า "ฝ่าต๋า (ธรรมะเจริญ)"  พระธรรมาจารย์ว่า "ท่านได้ชื่อว่าธรรมะเจริญ เคยเจริญธรรมแล้วหรือ" โปรดกล่าวเป็นโฉลกต่อไปอีกว่า "
 "ท่านวันนี้        มีนามว่า        "ธรรมะเจริญ"
หมั่นสรรเสริญ    สวดประจำ      มิหยุดหย่อน
ท่องเสียเปล่า    หากตามเสียง  เพียงทำนอง
แจ้งใจส่อง       จึงครองชื่อ      คือโพธิสัตว์"
        ชาตินี้ท่านมีเหตุปัจจัยแห่งบุญ  วันนี้อาตมาจะกล่าวแก่ท่าน 
 "เชื่อเถิดว่า       พุทธะหา        ได้กล่าวไม่
ปุณฑริกไซร์       ได้เกิดมี         ที่ปากเอ่ย"
พิจารณา
พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสว่า..."หากผู้ใดกล่าวว่า ตถาคตได้แสดงธรรม ผู้นั้นกล่าวเท็จ"  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมไว้มากมาย แต่พระองค์กลับปฏิเสธว่า "ตถาคตไม่ได้กล่าวอันใดเลย"  หมายถึงธรรมอันได้แสดงแล้วนั้น เป็นสัจธรรมที่มีอยู่คู่ฟ้าดิน มิใช่เกิดจากพระองค์ ในที่นี้ก็โดยความนัยเดียวกัน "...เชื่อเถิดว่า พุทธะหา ได้กล่าวไม่ ปุณฑริกฯไซร์ได้เกิดมีที่ปากเอย" ปุณฑริกสูตรที่ผ่านมา ฝ่าต๋าท่องบ่นก็เป็นสัจธรรมของฟ้าดิน เพียงแต่ได้ออกจากปากท่านฝ่าต๋า จึงควรจะออกจากปากด้วยจิตสำนึกรู้แจ้งจริง ในคัมภีร์คุณธรรมเต้าเต๋อจิงท่านอริยปราชย์เหลาจื่อโปรดว่า "ผู้สูงส่งด้วยมหาบารมี  ปฏิเสธบารมี" (ชั่งเต๋อปู้เต๋อ) นั่นคือผู้เข้าถึงสัจธรรมที่มีอยู่คู่ฟ้าดิน หาใช่สัจธรรมที่ผู้ใดกำหนดให้ไม่  ผู้มีบารมีแท้จริงจึงปฏิเสธว่า "ข้าพเจ้าหามีบารมีไม่..."ดังนี้
       สงฆ์ฝ่าต๋าสดับโฉลกจบลง สำนึกผิดขอบพระคุณว่า "ต่อแต่นี้ไป จะอ่อนน้อมถ่อมตนทุกอย่าง ศิษย์ท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตร ยังไม่เข้าใจความหมาย ในใจเคลียบแคลงสงสัยมิวาย  พระมหาเถระเจ้าปัญญกว้างไกล ได้โปรดอธิบายความหมายในพระสูตรบ้างเถิด" พระมหาเถระเจ้าโปรดว่า "ฝ่าต๋าธรรมะเจริญ ธรรมะนั้นเจริญยิ่ง แต่ใจท่านนั้นไม่เจริญ (เข้าไม่ถึงธรรมะ) พระสูตรนั้น แท้จริงไซร์ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังขา ใจของท่านเองที่กังขาไปเองท่านท่องบ่นพระสุตรนี้ ด้วยจุดหมายอันใดหรือ" ฝ่าต๋ากราบเรียนว่า "ศิษย์ผู้ศึกษานี้ ญาณอินทรีย์มืดมัวที่อทึบ ตั้งแต่ต้นมา ได้แต่สวดท่องตามอักษร ไหนเลยจะเข้าใจว่าสวดท่องเพื่อจุดหมายอันใด" พระมหาเถระเจ้าจึงโปรดว่า "อาตมาไม่รู้หนังสือ ท่านลองเอาพระสูตรมาท่องให้ฟังสักรอบหนึ่ง อาตมาจะอรรถาธิบายให้ท่านฟัง" ฝ่าต๋าจึงท่องเสียงดัง ท่องจนถึงบท "กุศโลบาย" พระมหาเถระเจ้าก็กล่าวว่า " หยุดเถิด พระสูตรนี้ แท้จริงแล้วมีจุดหมายใน "เหตุปัจจัยเพื่อการหลุดพ้น" แม้จะยกตัวอย่างมากมาย แต่ก็มิได้พ้นไปจากขอบข่ายความหมายนี้" อย่างไรเรียกว่า เหตุปัจจัย  ที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์นั้นว่า "เหล่าพุทธะพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเหตุปัจจัยหนึ่งประการใหญ่ จึงปรากฏพระองค์มายังโลกมนุษย์นี้ หนึ่งประการใหญ่คือ การรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ
พิจารณา
 "เหตุปัจจัยเพื่อการรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ" เหล่าพุทธะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พ้นโลกโลกีย์วิสัยไปแล้ว ยังแต่ชาวโลกที่เวียนลึกดิ่งลงมากมายไม่พ้นโลกนรกานต์ไปได้..."ความรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ"ด้วยเหล่าพุทธะรู้แจ้งเห็นจริงต่อสัจธรรมของการเวียนว่ายเกิดตาย เห็นจริงในชาติ ชรา มรณะ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค  (เหตุผลทางพ้นทุกข์) เหล่านี้คือเหตุปัจจัยหนึ่งประการใหญ่ (เรื่องใหญ่)  ด้วยเมตตามหากรุณาคุณเป็นที่ตั้ง ทำให้พระองค์ต้องเพียรอุบัติกาย หรือปรากฏพระองค์ในธรรมลักษณะต่าง ๆ ในบุฐวาระต่าง ๆ ในสภาพการณ์ต่าง ๆ  เพื่อจูงใจเหล่าเวไนยฯให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงต่อสัจธรรม เพื่อนำพาตนให้พ้นทุกข์ด้วยเช่นกัน ในพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม ธรรมประกาศิตประโยคหนึ่งว่า "ทุกคนล้วนได้กลับคืนบ้านเดิม คุ้มครองเจ้าปลอดภัยหมื่นแปดร้อยปี" ธรรมประกาศิตนี้ คิดให้ดี สัมผัสรับรู้ด้วยใจให้ดี...  มหากรุณาฯในธรรมประกาศิตนี้ ล้ำค่าหามีสิ่งใดเปรียบปานได้ บ้านเดิมคือ ภาวะโพธิคือภาวะโพธิญาณอันใสสงบ  เราหนีหายมารับทุกข์ภัยในโลกโลกีย์วิสัยนี้นานแล้ว อมตะพุทธะจี้กง จะชี้ทางให้เราได้กลับคืนบ้านเดิมนั้น และหากเราเดินตามวิถีแห่งพุทธะนี้ อมตะพุทธะพระอาจารย์จี้กงรับรองแก่เราว่า " เจ้าจะปลอดภัยต่อการรับทุกข์ในวัฏสงสารได้ยั้งยืนยาวนานถึงหนึ่งหมื่นแปดร้อยปีทีเดียว"
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2554, 05:04

       (โปรดอีกว่า) "ชาวโลกหลงติดอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก"  "(ชาวธรรม) หลงอยู่กับความว่างภายใน" หากแม้นอยู่ท่ามกลางรูปลักษณ์ แต่พ้นหากจากรูปลักษณ์ได้ อยู่ท่ามกลางความว่าง แต่พ้นหากจากยึดหมายในความว่างได้ นั่นคือ มิหลงไปทั้งภายในภายนอก  หากรู้แจ้งแห่งธรรมนี้ เกิดหนึ่งรำลึกพลัน จิตเบิกบานกว้างไกล นั่นคือ เปิดโลกใหญ่แห่งการรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ "พุทธะ คือ ผู้ตื่น ผู้รู้แจ้งเห็นจริง"
พิจารณา
        "รู้แจ้งเห็นจริง" เห็นสัจธรรมความเป็นจริงของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลายสิ้นไป วนเวียนไม่จบสิ้น อันเป็นวัฏจักรซ้ำซากอย่างนี้  รู้แจ้งต่อวิธีการเปลี่ยนแปลงมิให้เวียนไปในวัฏจักรนั้น  "การรู้แจ้งเห็นจริง" แบ่งออกเป็น สี่ช่องทางคือ เปิดทาง "รู้แจ้งเห็นจริง"  แสดงความ "รู้แจ้งเห็นจริง"  สำนึก "รู้แจ้งเห็นจริง"  เข้าถึง "รู้แจ้งเห็นจริง"  หากได้สัดบการแสดงความ ก็อาจสำนึก เข้าถึง "รู้แจ้งเห็นจริง" จิตญาณเดิมแท้ก็จะปราฏกได้ ท่านจงระวัง อย่าได้เข้าใจความหมายของพระสูตรผิดไป  ได้ยินใครเขากล่าวว่า "เปิดทาง แสดงความสำนึกกับเข้าถึง" คิดเสียเองว่า เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะที่พวกเราไม่มีส่วน หากเข้าใจดังนี้คือ กล่าวเท็จต่อพระสูตรคัมภีร์ใส่ไคล้พุทธธรรม ในเมื่อพระองค์คือพระพุทธะแล้ว รู้แจ้งเห็นจริงเต็มบริบูรณ์แล้ว ไฉนยังจะต้องเปิดทางให้รู้แจ้งเห็นจริงอีก  ณ บัดนี้ ท่านจงเชื่อเถิดว่า ความเป็นพุทธะอันได้รู้แจ้งเห็นจริงนั้น อยู่ที่ใจของท่านเองเท่านั้น ไม่มีพุทธะอื่นใด
พิจารณา
        "ท่านเองเท่านั้น" หมายถึงทุกคนต่างรู้ได้ในจิตตน จะไปรู้ภาวะจิตความเป็นพุทธะของผู้อื่นได้อย่างไร พุทธพจน์ว่า "ตนหากปราศจากจิตพุทธะ จะเสาะหาพุทธะแท้จริงจากที่ใด" ด้วยมวลเวไนยฯ บดบังแสงสว่างของตนเอง รักโลกอยู่ในสภาพโลกีย์ ปัจจัยภายนอกเข้ารบกวนจิตภายใน จึงต่างยินดีถูกขับต้อนให้โลดเต้นอยู่ในสภาพนั้น เป็นเหตุอันทำให้ต้องเหนื่อยยากแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า เริ่มจากให้รู้ในสัมมาสมาธิ (อีกทั้งต้องทรง) เหนื่อยยากแจกแจงแสดงธรรม เตือนใจให้หยุดหลงใหล ดับกิเลสไฟให้มอดไป
พิจารณา
       พุทธพจน์ว่า " หยุด คือ โพธิ  (เซียจี๋ผูถี)" "หยุดเติมเชื้อไฟ  เพลิงหยุดโหมไหม้  เชื้อเก่าหมดไป ไฟมอดดับลง     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2554, 05:53

        จิตใจอย่าได้ฝักใฝ่โลภอยากจากภายนอก ก็จะมิต่างจากพุทธะ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ" อาตมาก็จะเตือนคนทั้งหลายให้เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะในจิตของตนเป็นประจำ
พิจารณา
        ในศูรางคมสูตร (เหลิงเอี๋ยนจิง) พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์กวนอิม ได้สาธยายความเป็นมาหลังจากที่พระองค์ได้ "แก้ปมทั้งหก" คือ ผ่านพ้นการทดสอบเคี่ยวกรำแล้วว่า "ฉับพลันล่วงพ้นโลก ออกไปจากโลก อากาศธาตุทั่วทั้งสิบทิศสว่างกลมใส" ได้รับความวิเศษยิ่งสองประการ "ประการที่หนึ่ง ทิศเบื้องหน้าบรรจบเหล่าพุทธะทั่วสิบทิศ จิตเข้าถึงความรู้แจ้งอันวิเศษแยบยลแห่งตน ร่วมกระแสพลังมหาเมตตากับพระยูไลพุทธเจ้า  ประการที่สอง ทิศเบื้องล่างสิบทิศบรรจบเหล่าเวไนยฯมวลชีวิตทั้งหกวิถีปฏิสนธิ ได้ร่วมกระแสหวังวอนกรุณาธรรมกับเหล่าเวไนยฯ" นี่คือภาวะของการหลุดพ้น จากพระกระแสดำรัสของพระโพธิสัตว์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จะเห็นได้ว่า พุทธะในจิตตนนั้นเป็นภาวะบริสุทธิ์ยิ่งเพียงไร  ชาวโลกจิตใจทุคติ โง่หลงสร้างบาปเวร ปากดี ใจร้าย โลภ โกรธ ริษยา สอพลอจองหอง  ล่วงเกินเอาเปรียบผู้อื่น ทำลายสรรพสิ่ง "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีชีวิตเวไนยฯให้แก่ตนเอง" (เป็นผลให้พอใจหลงใหลเกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วร้าย) แม้อาจใจตรงด้วยสัมมาคติ ก่อเกิดปัญญาอยู่เสมอ สอดส่ายส่องมองใจตน หยุดชั่ว ทำดี ก็จะเป็น "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะให้แก่ตนเอง"
พิจารณา
        เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมาถึงวัดตงฉันซื่อ ได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นว่า "ในใจศิษย์มักเกิดปัญญาอยู่เสมอ"  ก็คือจิตนั้นกำลัง "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ"  ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นแก่จิตใจของใครได้นั้น ก่อนอื่นจะต้องปราศจาก "ยึดมั่น"  "ภาชนะจิตเืมื่อว่างจากอาสวะ ไม่มีกิเลสวิสัยใส่ไว้เต็ม จึงจะเติมเต็มได้ด้วยธรรมะ"  ปัญญาที่เกิดขึ้นเองนั้นเรียกว่า "ปัญญาที่ปราศจากอาจารย์โน้มนำ เป็นปัญญาจากความเป็นธรรมชาติ สรุปว่า "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีเวไนยฯ ไปสู่การเวียนว่าย"  "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ ไปสู่การหลุดพ้น" ท่านจึงพึง "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะอยู่ทุกขณะจิต อย่าได้เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีชีวิตเวไนยฯ"
พิจารณา
        การกราบขอรับวิถีธรรม นั่นคือก้าวแรกของการเข้าสู่วิถีพุทธะ พิธีศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้น หลังจากเผา "ใบคำขอ" ถอนชื่อจากบัญชีเบื้องล่างถวายขึ้นจารึกยังเบื้องบน นั่นคือ จุดเบื้องต้นของการ "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ"ให้แก่ผู้ขอกราบรับวิถีธรรม ด้วยพิธีการอย่างเป็นทางการโดยนิตินัย หลังจากนั้น ทุกคนจะต้องไปเปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ "ให้แก่ตนเองด้วยจิตของตัวเองจริง ๆ อันเป็นพฤตินัย เช่นนี้ไซร์ ความเป็นไปได้จึงจะสมบูรณ์" เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ คือ พ้นโลก "  "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีเวไนยฯ คือเห็นโลก"
พิจารณา
        เห็นโลกก็คือ ชีวิตที่คลุกคลีรู้เห็นอยู่กับทางโลก
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2554, 02:31

        หากท่านต้องเหนื่อยยากอยู่กับการยึดหมายสวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตร โดยคิดว่าเป็น "ทำการบ้าน" เช่นนี้ก็จะต่างอะไรกับ "จามรีรักหาง" หรือ
พิจารณา
        พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงไม่รู้หนังสือ ไม่เคยเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ไม่เคยเสวนาเรื่องราวทางโลกกับใคร จิตใจมีแต่ความบริสุทธิ์สงบ แต่ท่านสามารถเปรียบเทียบอ้างอิงถึงสิ่งที่อยู่แดนไกลโพ้น เช่น ตัว "จามรี" ที่อยู่ในแถบทิเบต ฉะนั้น  จึงไม่แปลกใจเลยว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู รู้ไปหมดได้  "จามรี" สัตว์เคี้ยวเอื้อง ขนละเอียดอ่อนยาวมากเกือบถึงพื้น มีสีน้ำตาล เวลาเดิน จามรีจะมีทีท่ายักย้ายส่ายสะโพก ขนก็จะพริ้วสยาย จนเจ้าตังเองอดที่จะเหลียวไปดูลีลาความงามนั้นไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายสตรีผมยาวสลวย ชอบสบัดผมจนเป็นนิสัย เหมือนภูมิใจในความงามนั้น พระธรรมาจารย์เปรียบเทีบยว่า สงฆ์ฝ่าต๋าสะสมสถิติท่องพระสูตรมานานสามพันเล่มครั้ง หลงภูมิใจตนเหมือนจามรีชื่นชมขนงามของตน สงฆ์ฝ่าต๋ากล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น เพียงแต่เข้าใจความหมายของพระคัมภีร์พระสูตร ไม่ต้องเหนื่อยยากสวดท่องกระนั้นหรือขอรับ" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "พระธรรมคัมภีร์มีโทษผิดอย่างไรหรือเป็นอุปสรรคขวางกั้นจิตรู้แจ้งของท่านกระนั้นหรือ  ความหลง ความรู้แจ้ง อยู่ที่บุคคล โทษและคุณประโยชน์เกิดจากตน ปากท่องใจดำเนินตามคือ การเคลื่อนเวียนพระคัมภีร์ (เวียนคัมภีร์) ปากท่องใจไม่ดำเนิน คือ ถูกพระคัมภีร์เคลื่อนเวียนไป"
พิจารณา
        "เคลื่อนเวียนพระคัมภีร์" ให้พระคัมภีร์เหมือนสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ เพื่อเพิ่มพูนสรรค์สร้างปัญญาของเราให้แตกฉาน ยิ่งอ่าน ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งรู้จัก ยิ่งสนิทชิดใกล้ เหมือนกายใจเดียวกัน ดังนี้ คัมภีร์ยิ่งจะมีคุณค่า มิฉะนั้นจะเป็นคัมภีร์ตายตัว เป็นเพียงอักษรที่ชืดแข็งไม่เคลื่อนไหว ผู้สวดท่องจะกลายเป็นคนหลงเฉื่อย เรื่อยเปื่อยท่องไปไม่รู้ตัว
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2554, 03:16

        พระธรรมาจารย์โปรดอีกว่า "จงฟังโฉลกจากอาตมา"
ใจหลงอยู่        ดูปุณฑริก ฯ        เวียนคนท่อง
ตื่นใจตรอง       คนสวดท่อง        เวียนปุณฑริกฯ
ท่องนานไป      ไม่สว่าง             กระจ่างจิต
เป็นอมิตร         กับความหมาย     ในคัมภีร์
ไม่ตริตรึก         รำลึกไป             ใจจะเที่ยง
จิตส่ายเอียง      เบี่ยงเบนเห็น       เป็นมิจฉา
ไม่ยึดมั่น          ทั้งที่มี               ไม่มีนา
ทุกเวลา           กระบือขาว          เราควบคุม
หมายเหตุ  "กระบือขาว" อุปมาใจบริสุทธิ์ที่ดื้อรั้น
        สงฆ์ฝ่าต๋าสดับโศลกจบลง สะอื้นไห้เสียใจไม่รู้ตัว เกิดจิตสำนึกรู้ครั้งใหญ่ทันทีที่ฟังความ  จึงกราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ว่า  "ฝ่าต๋าตั้งแต่ก่อนนานมา ยังไม่เคยเวียนปุณฑริกสูตรเลยจริง ๆ ได้แต่ปุณฑริกสูตรเวียนไป" กราบเรียนอีกว่า ในพระสูตรจารึกว่า "เหล่ามหาสาวกยานจนถึงโพธิสัตว์ ต่างได้ร่วมกันพยายามพิจารณาคำนวนการ แต่ก็มิอาจคาดคำนวนพระปัญญาของพระพุทะเจ้าได้"
พิจารณา
        "เหล่าสาวกยาน" จนถึง "โพธิสัตว์" นั่นหมายถึงปัจเจกพุทธยานด้วย หลังจากสดับธรรม ฝ่าต๋ารู้แจ้้งกระจ่าง เกิดปัญญารู้ความหมายในพระสูตรที่เคยท่องอ่านมา แต่เหตุที่แสดงปุจฉา (คำถาม) ก็เพื่อให้ได้วิสัชนาธรรม (คำตอบ) จากมหาเถระเจ้าอย่างชัดเจน อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาธรรมท่านอื่น ๆ ต่อไป จึงได้กราบเรียนถามข้อสงสัยสามประการดังกล่าว (ที่มหาเถระเจ้าโปรดกล่าวมานั้น) วันนี้ก็เพื่อให้สามัญชนได้สำนึกรู้แจ้งในจิตตน จึงได้ชื่อว่า ความรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ  ศิษย์ (ฝ่าต๋า) เองมิใช่อินทรีย์ระดับสูง จึงมิพ้นที่จะสงสัยกล่าวค้าน (ศิษย์ฝ่าต๋ากราบเรียนถามอีกว่า) ในพระคัมภีร์จารึกอีกว่า รถสามประเภทคือ รถเทียมแพะ  รถเทียมกวาง  กับรถเทียมวัวขาว  แตกต่างกันอย่างไรหรือ ขอพระมหาเถระเจ้าโปรดแจกแจง
พิจารณา
        มีคำกล่าวว่า "สามรถเป็นหนึ่งรถ" มีตำนานความเป็นมาดังนี้  ""เศรษฐีคนหนึ่งมีคฤหาสน์ บริเวณที่อยู่อาศัยกว้างใหญ่ไพศาลมาก วันหนึ่งกลับมาจากนอกบ้าน เห็นไฟกำลังไหม้บ้านด้านนอกอยู่ แต่ลูก ๆ ของเศรษฐีที่กำลังเล่นสนุกสนานอยู่ด้านในไม่รู้เลย ด้วยเหตุที่บ้านใหญ่นัก ถ้าจะเข้าไปบอกให้หนีไฟ เด็ก ๆ คงไม่เชื่อ จะไม่ไปพ้นจากที่สนุกสนานนั้น เศรษฐีจึงออกอุบายบอกแก่เด็ก ๆ ว่า ได้ซื้อรถมาให้เล่นกันสามคัน  มีรถเทียมแพะ  เทียมกวาง  เทียมวัวขาว  ให้รีบออกมาดู เด็ก ๆ ดีใจพากันวิ่งออกมา เศรษฐีมิได้ให้รถทั้งสามแก่เด็ก ๆ แต่กลับให้รถเทียมวัวขาวที่พิเศษกว่า...นี่คือธรรมอุปมา   รถเทียมแพะ คือสาวกยาน (เซิงเอวิ๋นเฉิง)  รถเทียมกวาง คือปัจเจกพุทธยาน (เอวี๋ยนเจวี๋ยเฉิง)   รถเทียมวัวขาว คือโพธิสัตว์ยาน (ผูซ่าเฉิง) บ้านกำลังถูกไฟไหม้คือ สามโลกตกอยู่ในเพลิงผลาญ พระพุทธะจึงใช้กุศโลบายให้สาวก ปัจเจก โพธิสัตว์ ใช้วิธีการอันชอบด้วยอุบายมาฉุดนำสาธุชนให้พ้นจากเพลิงไฟ  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ความหมายในพระสูตรนั้นชัดเจนกระจ่าง แต่ท่านเองต่างหากที่หลงทางหันหลังให้ ผู้บรรลุอยู่ในสามระดับยาน มิอาจร่วมกันคำนวน การปัญญาของพระพุทธะได้นั้น ก็ด้วยใช้มโนวิญญาณมาคำนวนการ"
พิจารณา
        ศึกษาพุทธธรรมหากใช้มโนวิญญาณ  มโนวิญญาณเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะธรรมารมณ์เกิดกับใจจึงคิดไปตามธรรมารมณ์ ก็คือด้วยใจนึกคิดนั้น แต่ปัญญาแห่งพุทธะ เป็นความรู้ที่อยู่เหนือการคาดคิด
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2554, 06:48

        พระธรรมาจารย์โปรดอีกว่า "ปล่อยให้เขาไปร่วมกันคาดคิดคำนวนการกันเถิด ยิ่งคิดก็ยิ่งห่างไกล  อันที่จริงนั้น พุทธะโปรดแก่ (เพื่อ) สามัญชน มิใช่โปรดแก่ หลักธรรมนี้หากมีผู้ไม่ยอมเชื่อ ก็ปล่อยให้เขาถอนตัวออกไป ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่า ได้นั่งอยู่แล้วบนรถเทียมวัวขาว แต่ละไปจากรถเทียมวัวขาว อีกทั้งยังออกไปหารถสามคันภายนอกประตู
พิจารณา
        ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่ มีภิกษุห้าพันรูปถอนตัวไปจากที่ประชุม พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ถอนไปก็ดี"  ทั้งห้าพันรูปที่ถอนตัวไปนั้นไม่มีกิ่งใบอะไรไปแสดงหนทางแห่งการบรรลุธรรมได้อีกเลย บุคคลเหล่านี้มิรู้ตัวว่า กำลังนั่งอยู่บนรถเทียมวัวสีขาว นั่นก็คือมิรู้ว่า จิตญาณตนมีภาวะรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ ซึ่งสมบูรณ์พร้อมเป็นอย่างนั้นเองอยู่แล้ว  เมื่อได้รับฟังสัจธรรมดังนี้ กลับไม่ยอมรับความเป็นจริงนี้  แต่กลับพอใจที่จะไปหารถเทียมแพะ เทียมกวาง เทียมวัวอื่น ๆ
        ยิ่งกว่านั้น ข้อความตามอักษรในพระสูตรก็ได้บอกแก่ท่านไว้ชัดเจนแล้วว่า "พุทธยานมีหนึ่งเดียว หามียานอื่นใดไม่ หากมีพุทธยานเป็นสองเป็นสาม จนถึงนับไม่ถ้วนยานอันชอบด้วยอุบาย มีเหตุปัจจัย มีถ้อนคำอุปมาต่าง ๆ นานา พุทธธรรมนั้น ก็ล้วนเป็นไปเพื่อเอกะพุทธยาน คือ  "พุทธยานหนึ่งเดียว"  เป็นสำคัญ
พิจารณา
        พุทธยาน  ยานแห่งพุทธะ  ยานเพื่อการขนถ่ายมวลเวไนยฯ ให้คืนสู่พุทธภูมิ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระธรรมคำสอนจากพระตถาคตเจ้าซึ่งทรงแสดงมาดีแล้วนั้น เป็นพุทธธรรมล้ำเลิศประเสริฐสุด เพื่อการฉุดนำเวไนยฯให้พ้นจากทะเลทุกข์ และบรรลุความเป็นพุทธะในที่สุดดุจเดิมที่เคยเป็นมา จึงไม่ว่าจะเป็นวิธีการ ด้วยกุศโลบายต่างกัน จะเป็นรูปแบบแจกแจงอรรถาธิบายขยายควมอย่างไร  ด้วยจุดหมายเพื่อการขนถ่ายเวไนยฯให้บรรลุพุทธะ ก็ล้วนเป็นพุทธยานเดียวกัน  พระธรรมาจารย์จึงโปรดว่า "ล้วนเป็นไปเพื่อพุทธยานหนึ่งเดียว"  เป็นสำคัญ  พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "เหตุใดท่านจึงไม่ตรึกคิดพิจารณาเล่า รถทั้งสามคันอันได้อุปมานั้นเป็นสมมุติ เป็นอดีตกาลที่ผ่านเลยไป แต่อีกหนึ่งคันรถ ด้วยความเป็นไปในปัจจุบันกาล (ขณะนี้) "
พิจารณา
        บันไดกี่ขั้น        ที่ต้องเหยียบย่าง   ถ่อร่างขึ้นไป
        ล้วนเป็นฐานให้   ถึงจุดหยุดหมาย    ในขั้นสูงสุด
        (อุปมาอุปมัย) เพียงเพื่อสอนให้ท่าน ละทิ้งสิ่งสมมุติ คืนสู่ความเป็นจริง  เมื่อคืนสู่ความเป็นจริงได้แล้ว (เข้าถึงความเป็นจริงแล้ว) แม้ "ความเป็นจริง" ก็ปราศจากชื่อว่า "ความเป็นจริง" อีกต่อไป ( สิ้นสุดการยึดหมายในนามรูปนั้น)
พิจารณา
        ภาษาพูดสื่อความระหว่างคน จะแยกสูงต่ำดำขาว แยกพุทธะกับเวไนยฯ แต่ทันทีที่เข้าถึงพุทธะแห่งตน พุทธะจะเห็นทุกคนเสมอภาค หามีพุทธะกับเวไนยฯไม่
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2554, 07:45

        พึงรู้ว่าสิ่งล้ำค่่ามหาศาลบรรดามี (พุทธญาณแห่งตน) ล้วนเป็นของท่าน (อยู่กับตน) โดยท่านจะเป็นผู้รับประโยชน์ใช้การเอง โดยมิต้องคิดเลยว่า ฐานะตนคือพ่อ หรือโดยมิต้องคิดเลยว่าฐานะตนคือลูก อีกทั้งมิต้อง (กำหนด)คิดว่าจะต้องใช้มหาสมบัติล้ำค่าบรรดามีนั้น ภาวะเช่นนี้จึงจะได้ชื่อว่า ปฏิบัติ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร"
พิจารณา
        มีเรื่องอุปมาไว้ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรว่า "กาลครั้งหนึ่งนาน ยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกชายที่หายไปจากบ้านหลายปี บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว เขาเร่ร่อนขอทานอยู่นอกบ้าน วันหนึ่งเขาได้ขอทานจนมาถึงบ้านพ่อ โดยไม่รู้ว่าพ่อจำต้องมาพักอยู่ ณ บ้านนี้เพื่อการตามหาลูก เพื่อให้ได้ลูกกลับคืนบ้านเดิมไป ลูกได้แต่เตร็ดเตร่ชะเง้อดูภายในกำแพงบ้านนั้น โชคดีที่พ่อจำลูกได้ จึงให้คนใช้ออกไปพาให้ลูกเข้ามารื้อฟื้นความทรงจำต่อกันในบ้าน แต่ลูกกลับตกใจวิ่งหนี เศรษฐีจึงใช้กุศโลบาย ส่งคนรับใช้สองนายไปตีสนิทชิดใกล้กับลูกชาย จากนั้น จึงค่อย ๆ โน้มนำใกล้ชิดกับทางบ้าน เศรษฐีให้งานแก่เขา เป็นตำแหน่งหน้าที่ต่ำสุด ภายหลังจึงค่อย ๆ ยกตำแหน่งให้สูงขึ้น สุดท้ายเขาได้เป็นผู้จัดการดูแลทรัพย์สินทั้งหมด  วันหนึ่งเมื่อเห็นเป็นโอกาสเหมาะ เศรษฐีจัดงานเลี้ยงเชิญญาติพี่น้องเพื่อนพ้องมางานสำคัญ ระหว่างงาน เศรษฐีประกาศแนะนำตัวลูกชายที่หลงหายไปหลายปีให้ทุกคนรู้จัก พร้อมทั้งประกาศยกทรัพย์สินจำนวนมหาศาลทั้งหมดให้แก่ลูกชายคนนี้ ขณะนั้น ฉับพลันทันที ลูกชายเศรษฐีที่เร่ร่อนขอทานกลับกลายเป็นเจ้าของมหาสมบัติล้ำค่าบรรดามีของพ่อไปทันที...
        ธรรมคติเรืองนี้ชี้ให้เห็นว่า มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์มหาศาล คือ "พระพุทธองค์" ลูกชาย คือ พุทธบุตรที่หลงหายไปจากมหาสมบัติมิอาจประมาณ (พุทธยานตน)  หากเศรษฐีมิใช้อุบายค่อยเป็นค่อยไป แต่เปิดเผยความจริงยกสมบัติให้ทันที ขอทานยากที่จะยอมทำใจให้รับได้ อาจมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหัวใจวาย
        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระปรีชาญาณยอดยิ่ง ทรงทราบว่าขอทานทั้งหลายที่เร่ร่อนเตร็ดเตร่ขอทานไปตามบ้านต่าง ๆ คทอ เวไนยฯที่เที่ยวแสวงธรรมไป แต่มิได้ธรรมอันบริบูรณ์ จึงโปรดใช้กุศโลบายอันแยบยลให้ชาวเราค่อย ๆ เข้าถึงธรรม ในที่สุดเข้าถึงพุทธญาณคลังมหาสมบัติแห่งตน จากนั้นเป็นต้นไป จะใช้เท่าไหร่ก็ใช้ได้ไม่หมดสิ้น  ดั่งที่พระธรรมาจารย์โปรดว่า "เมื่อถึงสภาวะนั้น...โดยมิต้องคิดเลยว่าฐานะตนคือพ่อ (พระพุทธองค์) หรือ ฐานะตนคือลูก (พุทธบุตรสาวก) หากได้ครอบครองมหาสมบัติ (พุทธญาณ) ตนแล้ว ก็มิต้องคิดว่า มหาสมบัติจะยิ่งหย่อนกว่าเศรษฐีพ่ออย่างไร  มิต้องกำหนดคิดว่า จะต้องใช้สมบัตินั้นอย่างไร..." แต่มันจะเป็นไปเอง ถึงภาวะนั้นจิตจะอิ่มเอิบ ร่ำรวย เลิศล้นในตนเอง โดยมิต้องกำหนดรู้เป็นอย่างใด  ถึงภาวะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติตามสัทธรรมปุณฑริกสูตรอย่างแท้จริง จะมิใช่ธรรมที่ต้องเคร่งเครียดอีกต่อไป  ในบทต้น ๆ ได้กล่าวถึงแม่ชีที่มีฉายาว่า "คลังมหาสมบัติมิประมาณ (อู๋จิ้นจั้ง) " อันหมายถึงขุมคลังปัญญาของพุทธญาณอันมิอาจประมาณ ขุมคลังปัญญาของพุทธญาณอันมิอาจประมาณในตัวตนของเรา ใช้ได้ไม่หมดสิ้น ไม่เหมือนใช้จ่ายทรัพย์สิน  การใช้นั้นก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ โดยมิต้องกำหนดหมาย ทรัพย์สินแห่งปัญญาก็จะไหลหลากพรั่งพรูออกมาเองอย่างมิรู้จบ ขณะนั้นเองจึงเรียกได้ว่า "สวดท่องปฏิบัติสัทธรรมปูณฑริกสูตร"  อันเป็นดอกบัวขาวที่รองรับมรรคผล เป็นภาวะนิพพานที่เราเข้าถึงขุมคลังปัญญาแห่งตนโดยแท้
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๖ กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2554, 00:21
         สงฆ์ฝ่าต๋า  ได้รับโปรดเปิดทางปัญญาจากพระธรรมาจารย์  โลดเต้นยินดีสุดที่ประที่มาณ จึงถวายการสรรเสริญด้วยโศลกว่า

สวดท่องตาม        สามพันเล่ม        พระสูตรอ่าน
"เฉาซี" ท่าน        ขานตอบนำ        คำเดียวสิ้น
มิรู้หลัก                พ้นจากโลก        อันเคยชิน
ฤาหยุดลิ้น           สิ้นโอหัง             สั่งสมนาน

พิจารณา
        สงฆ์ฝ่าต๋ากล่าววาจาโอหังครั้งแรกที่กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์  เมื่อได้ฟังท่านที่มาจาก "เฉาซี" อรรถาธรรมเพียงคำเดียวเท่านั้น  ก็สิ้นทิฐิยึดหมายในฉับพลัน  ถ้าหากไม่เข้าใจพุทธวิสัยว่า เหตุใดอย่างไรจึงพ้นโลกฝ่าต๋าคงจะเริงโลดต่อไปอีกหลายกัปกัลป์

รถเทียมแพะ        เทียมกวางวัว        ล้วนอุปมา
เปรียบปราณว่า    เจริญธรรม            สามขั้นต่าง
ใครเลยรู้             คูหาเรือน              เป็นที่ตั้ง
ใจกลางนั่ง          องค์อร่าม              ธรรมราชา

พิจารณา
        รถเทียมแพะคือสาวกยาน  เทียมกวางคือปักเจกพุทธยาน  เทียมวััวคือโพธิสัตว์ยาน  ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นยานระดับไหน  ทุกยานล้วนร่วมอยู่บนหนทางพุทธะยานหนึ่งเดียวกันทั้งสิ้น  ประโยคหลังที่ว่า "...ใครเลยรู้..."  "ใคร" มิใช่หมายถึงผู้อื่น  แต่หมายถึงตนเองทุกตัวตน  แม้เราจะอยู่ในบ้านเรือน แต่หากรู้แจ้งพุทธยานตน สามัญชนก็คือพุทธะ  เป็นผู้ใหญ่ คือผู้เข้าใจถ่องแท้ ผู้อยู่ท่ามกลางความลุ่มลึกแยบยลแห่งพุทธธรรมอร่ามเรืองอันสูงส่ง

พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ต่อไปนี้ท่านจึงชื่อได้แล้วว่า พระสงฆ์ผู้สวดท่องคัมภีร์"  สงฆ์ฝ่าต๋าเข้าใจความนัยอันแยบยลของการสวดท่องพระคัมภีร์นับแต่นั้น และยังคงสวดท่องต่อไปมิได้ขาด  สงฆ์จื้อทง (ปัญญาปรุดปร่ง) เป็นชาวเมืองโซ่ว อำเภออันเฟิง เริ่มจากอ่าน "ลังกาวตารสูตร" มาพันกว่ารอบ แต่ยังไม่เข้าใจคำว่า "สามกายสี่ญาน" กราบขอพระธรรมาจารย์โปรดอธิบายความหมาย พระธรรมาจารย์โปรดอะิบายความหมาย "สามกายสี่ญาณ" ว่า "ธรรมกาย" บริสุทธิ์หมดจด คือจิตญาณของท่านเอง (อันมีอยู่ เป็นอยู่โดยแท้แต่เดิมที) "สัมโภคกาย" สมบูรณ์พร้อม คือปัญญาญาณของท่านเอง ร้อยพันล้าน "นิรมาณกาย" คือการกระทำของท่านเองหากพ้นจากจิตญาณตน อย่าได้กล่าวอ้างถึงสามกาย จะได้ชื่อว่า "มีกายแต่ไร้ญาณปัญญา"   แต่หากรู้แจ้งในสามกาย ว่ามิใช่ (ต่างกาย) ต่างมีจิตญาณ จะได้ชือว่า "จตุญาณโพธิ"

พิจารณา
       จิตญาณ คือ ตัวรู้  ตัวปัญญา  พ้นหากจากจิตญาณ จะเป็นผู้ไม่รู้ เท่ากับ  "มีกายแต่ไร้ญาณปัญญา" เมื่อเป็นผู้ไม่รู้ ก็จะมิอาจเข้าถึงกายธรรม  สัมโภคกายและนิรมาณกายแห่งตนได้  "รู้แจ้งในสามกาย ว่ามิใช่ (ต่างกาย) ต่างมีจิตญาณ" คือผู้เข้าถึงจิตญาณตน คือเข้าถึงจตุญาณโพธิ คือภาวะเบิกบานทั้งสี่ของญาณ อันเป็นญาณปัญญาหนึ่งเดียวกัน

จงฟังโศลกของอาตมา
จิตญาณตน       สมบูรณ์พร้อม        ด้วยสามกาย
แผ่ขยาย           ใจสมบูรณ์             พูนญาณสี่
มิห่างจาก          เหตุปัจจัย             ใต้ธรรมนี้
พ้นวิถี               คนทั่วไป               ได้พุทธภูมิ
        บัดนี้  อาตมาจะกล่าวแก่ท่านว่า จงเชื่อมั่นศรัทธา จะมิหลงตลอดไป อย่าเอาเยี่ยงอย่างผู้โลดเล่นใฝ่หาเอ่ยวาจาว่าโพธิกันทั้งวัน
พิจารณา
จงเชื่อมั่นในพุทธวจนะ พระพุทธองค์มิกล่าวเท็จเป็นแน่แท้ ผู้ใดรับวิถีธรรม จงเชื่อมั่นในพุทธวจนะ  อมตะพุทธจี้งกง มิกล่าวเท็จเป็นแน่แท้  ธรรมประกาศิตในพิธีที่พระองค์กล่าวว่า "ทุกคนล้วนได้กลับคืนหนทางบ้านเดิม (เบื้องบน)คุ้มครองเจ้าพ้นภัยไปหมื่นแปดร้อยปี (พ้นภัย พ้นหากจากเวียนว่าย (เก้อเก้อเจียเต๋อหวนเซียงเต้า  เป่าหนี่อู๋เอี้ยงอวั้นปาเหนียน) ในพระคัมภีร์ "เมตเตยยะสัมภวะสูตร" กล่าวไว้ว่า แม้หากได้สดับพระนาม "พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์" จากนั้นทันทีได้เกิดโสมนัสปิติเคารพยิ่ง เขาผู้นั้นขณะสิ้นอายุขัย จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตดินแดนแห่งพระองค์โดยมิต้องสงสัย ณ ฉับพลันทันใดในชั่วลัดนิ้วมือเดียว ด้วยจิตญาณอันโสมนัสปิตินั้น  วันที่เข้าพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม ทุกคนล้วนได้สดับพระนามพระองค์ แต่มีคนแย้งว่า "วิถีธรรมอันบรรลุได้โดยตรงในชาตินี้ จากการเอ่ยพระนามอมิตาภะพุทธเจ้า จากการโสมนัสปิติเคารพยิ่งต่อพระศรีอริยเมตไตรย เป็นเรื่องเหลือเชื่อ  วิถีอนุตตรธรรมหรือวิถีจิตที่เบื้องบนปรกโปรดในยุคนี้ ยิ่งเหลือเชื่อไปใหญ่ แต่เหตุไฉนจึงเป็นไปได้จริง ๆ  มีสาธุชนมาขอกราบรับวิถีธรรมและร่วมเข้ารับการอบรมยังสถานธรรมที่อยู่ ณ เชิงเขาที่เป็นสวนดอกไม้ สวนพฤกษชาติ ต่างอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจว่า "ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสถานที่วิเศษสวยงามอย่างนี้ที่นี่ ! "  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมจึงแสดงธรรมว่า "ไม่เคยคิดเพราะท่านไม่เคยมาไม่เคยรู้จัก วิถีธรรมที่ท่านได้รับและสงสัยก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงที่ท่านไม่เคยมาสัมผัส ไม่เคยมารู้จัก จึงแปลกใจ"
หัวข้อ: 3 คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/04/2554, 13:17
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3 

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        สงฆ์จี้ทงกราบเรียนถามต่อว่า "ความหมายของสี่ญาณ ศิษย์จะทราบได้หรือไม่"   สี่ญาน หรือ จตุญาณ คือ
1. ญาณปัญญาใสดุจกระจกกลมบานใหญ่                   (ต้าเอวี๋ยนจิ้งจื้อ)
2. ญาณอัยส่องเห็นความเสมอภาคปราศจากเครื่องกั้น  (ผิงเติ่งซิ่งจื้อ)
3. ญาณอันอาจพิจารณาเห็นสิ่งทั้งปวงได้อย่างวิเศษ    (เมี่ยวกวนฉาจื้อ)
4. ญาณอันมีความสมบูรณ์พร้อมต่อการกระทำ              (เฉิงสั่วจั้วจื้อ)

        พระธรรมาจารย์โปรดตอบว่า "เมื่อเข้าถึง รู้เป็น สามกายในตนแล้ว ก็จะกระจ่างใจในสี่ญาณได้เอง ไฉนยังจะต้องถามอีก
พิจารณา
ทบทวนสามกาย
1. กายธรรม หรือธรรมกาย คือธาตุธรรมในกาย ซึ่งเป็นอยู่อย่างนั้นเองโดยธาตุแท้เดิมที
2. สัมโภคกาย  คือภาวะกายธรรมอันสมบูรณ์อยู่กับจิตเดิมแท้ของตน อันเรียกว่าปรีชาญาณ ปัญญาญาณ
3. นิรมานกาย  คือภาวะกายธรรมอันเปลี่ยนแปรกระทำการนับหมื่นแสนไปตามเหตุปัจจัย
        กายทั้งสามเป็นคุณสมบัติ เป็นภาวะที่ร่วมอยู่ในจิตเดิมแท้   ญาณทั้งสี่ก็เป็นคุณสมบัติ เป็นภาวะที่อยู่ร่วมในจิตเดิมแท้ด้วยเช่นกัน  พระธรรมาจารย์จึงได้โปรดว่า  "รู้สามกายก็จะกระจ่างต่อสี่ญาณได้เอง"  แม้ออกหากจากสามกาย อย่าได้ถามถึงสี่ญาณ หากเป็นเช่นนั้นไซร์ จะชื่อว่ามีญาณ แต่หามีกายไม่ และแม้มีญาณ ก็ยังนับเป็นผู้ไร้ญาณอยู่นั่นเอง

พิจารณา

         สามกายกับสี่ญาณ ไม่มีตัวตนให้ยึดหมาย เป็นภาวะ  เป็นคุณสมบัติของจิตเดิมแท้ที่ประกอบประสานเสริมส่งกันอยู่ภายใน ช่วยให้จิตเดิมแท้เข้าถึงพุทธภาวะในตนได้   โปรดด้วยโศลกอีกว่า 

ญาณคันฉ่องใหญ่   กลมใสโสภิต   คือจิตแท้นั่น
ไม่กั้นแบ่งชั้น       คือปัญญาจิต    ไม่ผิดเจ็บป่วย
ไม่ยึดสิ่งมี    วิเศษพินิจ       คือจิตอำนวย
ส่งเสริมเติมช่วย    ด้วยจิตรู้กาล     ดุจคันฉ่องกลม
ห้าแปดหกเจ็ด   เหตุผลหมุนเวียน   เปลี่ยนแลแปรไป
ชื่ออันขานไว้     มิได้เป็นสิ่ง       ตามจริงแน่แท้
แม้หากไม่ยึด        หมายต่อเยื่อใย      ในขณะแปร
อลวนยังแน่      สงบนิ่งใน   นาค (นา-คะ)   สมาธิ
 
พิจารณา

 "ห้า"  คือ  ลำดับต้นของหมวดวิญญาณทั้งหก ได้แก่  จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานะวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
(การรับรู้อารมณ์จากนัยน์ตา หู จมูก ลิ้น กาย
 "แปด"  คือ อาลยวิญญาณ (อารมณ์ความอาลัย)
 "หก"    คือ มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางความคิด
 "เจ็ด"   คือ มนัสวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจิตใจในส่วนลึก  (ขยายความ)
          ญาณทั้งห้า  แปด  หก  เจ็ด  จะแปรรูปเป็นปัญญา   "ปัญญา" เป็นความรู้ต่อสิ่งทั้งปวง  เป็นเครื่องรู้ต่อสิ่งทั้งปวง   เป็นเครื่องกระทำสิ่งทั้งปวง และ ปัญญาย่อมส่องสะท้อนเห็นสิ่งทั้งปวง   การแปรรูปของญาณ เป็นการแปรรูปโดยกล่าวหมาย  ดังประโยคทั้งสองของโศลกที่กล่าวว่า "ชื่ออันขานไว้มิได้เป็นสิ่งตามจริงแน่แท้"  การแปรรูปของญาณคือ การแปรเปรื้องโลกียารมณ์ ให้หมดจดเป็นอิสระ  ในขณะแปรเปลี้ยง แม้จะต้องเผชิญสภาวะแวดล้อมอลวน แต่จิตเดิมแท้จะยังคงแน่นิ่ง สงบอยู่ใน"นาคสมาธิ"นาค (นา-คะ)สมาธิหมายถึง  มหาสมาธิ สมาธิแน่วแน่เช่น พญานาคราชที่ดำดิ่งนิ่งลึกอยู่ในพิภพใต้บาดาล แท้จริงแล้ว ธาตุแท้ของพุทธญาณ หรือจิตเดิมแท้ไม่มีการแปรรูป เพียงแต่เมื่อยังเป็นสามัญชน ภาวะ "รู้" ของจิตเดิมแท้ เรียกว่า "วิญญาณ"  เมื่อรู้แจ้งแล้ว ภาวะรู้ของจิตเดิมแท้เรียกว่า "ปัญญา"  คำว่า แปรรูป  จึงเป็นเพียงเปรียบหมายให้เข้าใจในภาวะนั้นเท่านั้น มิใช่รูปเกิดการแปรไป  เพราะสามกายมิใช่รูป  สี่ญาณก็มิใช่รูป  ไม่มีรูป จึงไม่มีที่จะแปรรูปได้
หัวข้อ: 3 คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/04/2554, 13:29
                   คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        สงฆ์จื้อทงรู้แจ้งฉับพลันต่อจิตญาณปัญญา จึงถวายโศลกความว่า

สามกายเดิมแท้            แน่ในกายฉัน
สี่ญาณแท้นั้น              ใจอันกระจ่าง
กายญาณร่วมตน          พ้นสิ่งกีดขวาง
ภาวะทุกอย่าง              ตอบรับปรับแปร
มั่นหมายบำเพ็ญ           เป็นจิตเคลื่อนไหว
ยึดถือมั่นไว้                  มิใช่ตถตา
หลักวิเศษเหตุ              เฉกเช่นท่านว่า
จนชั่วชีวาจะไม่ขอผิด    ไม่ติดเปื้อนนาม

พิจารณา   
        โศลกท่อนที่หนึ่งหมายถึง  สามกายสี่ญาณเป็นสิ่งที่มีพร้อมอยู่แล้ว อันนี้เป็นอยู่อย่างนั้นเอง  จงรู้ไว้ แต่ไม่ต้องมั่นหมายจงใจค้นหาความมีอยู่ หากค้นหาก๋จะเคลื่อนจิต ผิดทางบำเพ็ญจริง  แต่หากรู้อยู่ในความมีนั้นแล้วถือมั่นไว้ ก็จะมิใช่ความเป็นอยู่อย่างนั้นเองโดยธรรมชาติอีกเช่นกัน   ฉะนั้นจึงพึงละจากความ  "รู้มี"  "รู้เป็น"  เสีย  เมื่อพระธรรมาจารย์ได้โปรดแจกแจงให้เข้าใจแล้ว ศิษย์ก็จะไม่บำเพ็ญผิด ไม่ติดนามรูปกายสามญาณสี่อีกต่อไป

        สงฆ์จื้อฉัง เป็นชาวเมืองซิ่นโจว  อำเภอกุ้ยซี มณฑลเจียงซี  ออกบวชตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อเป้าหมายรู้แจ้งจิตญาณ  วันหนึ่งได้เข้ามากราบพระธรมาจารย์ (มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง)  พระธรรมาจารย์ถามว่า  "ท่านมาแต่ใด ใคร่ถามสิ่งใด "  สงฆ์จื้อฉังกราบเรียนถามว่า "พระเถระเจ้าต้าทง" บนบรรพตยอดขาว ที่เมืองหงโจวเมื่อไม่นานมานี้ ได้รับโปรดให้ความหมายแห่งกานเห็นจิต บรรลุพุทธะ แต่ยังกังขาอยู่มิรู้แจ้ง ใคร่กราบวอนมหาเถระเจ้าได้โปรดเมตตากรุณาชี้แจง"

พิจารณา
        มหาเถระเจ้าเสินซิ่ว  ผู้เป็นศิษย์พี่มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง มีธรรมฉายาว่า "ต้าทง"  แต่จากการตรวจสอบพระประวัติแล้ว ไม่ปรากฏว่าท่านเคยจาริกสู่ "บรรพตยอดขาวที่เมืองหงโจว"  ฉะนั้น  ที่สงฆ์จื้อฉังกล่าวถึงนั้น จึงน่าจะเป็นมหาเถระรูปอื่นที่มีฉายาธรรมพ้องกันกับมห่เถระเจ้าเสินซิ่ว

        พระธรรมาจารย์โปรดว่า  "ท่าน (ต้าทง)  กล่าวคำอันใดหรือ ท่าน (สงฆ์จื้อฉัง)  ลองยกตัวอย่างมาให้ดู"  สงฆ์จื้อฉังกราบเรียนว่า  "จื้อฉังไปอยู่ที่น่นประมาณสามเดือน  ยังไม่ได้รับการอบรมชี้นำ คืนวันหนึ่งจึงเข้าไปในห้องของพระอาจารย์ต้าทงตามลำพัง กราบเรียนถามท่านว่า "อย่างไรจึงจะป็นจิตแท้ญาณแท้ของจื้อฉังศิษย์เอง"  พระอาจารย์ต้าทงโปรดว่า " ท่านเห็นห้วงเวหาหรือไม่"ศิษย์ตอบว่า "เห็น"  ท่านโปรดว่า "ท่านเห็นห้วงเวหา  มีรูปร่างหน้าตาหรือไม่"  ศิษย์ตอบว่า  "ห้วงเวหาปราศจากรุปลักษณ์จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรได้"  ท่านโปรดว่า  "จิตญาณของศิษย์ ดุจดั่งห้วงเวหา ย้อนมองจิตญาณตน ปราศจากสิ่งหนึ่งใดให้เห็นได้ นั่นคือ "เห็นชอบ" แล้ว  ปราศจากหนึ่งสิ่งใดให้รู้ได้  ชื่อว่า "รู้ทัน"  แล้ว  ปราศจากเขียวเหลือง ยาวสั้น  เห็นแต่ต้นกำเนิดเดิมอันหมดจด เห็นแจ้งในความสว่างกลมใส  เรียกได้ว่า "เห็นจิตญาณบรรลุพุทธะ"  อีกได้ชื่อว่า  ""โลกสุขาวดี"  อีกได้ชื่อว่า "ความรู้ชอบ  เห็นชอบ  แห่งพุทธะ"  ศิษย์จื้อฉังผู้ศึกษา แม้สดับคำสอนนี้ แต่มิอาจแก้ข้อข้องใจได้  จึงกราบขอมหาเถระเจ้าได้โปรดวิสัชนา"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า  "ที่อาจารย์ท่านนั้นกล่าวมา  ยังตกค้างด้วยทิฐิของการรู้เห็น จึงทำให้ท่าน (จื้อฉัง) ไม่สิ้นกังขาอาตมาจะแสดงด้วยโศลกบทหนึ่งแก่ท่านบัดนี้ว่า

"ไม่เห็น"  หนึ่งธรรมใด   ใจยังค้างความ  "ไม่เห็น"
ประหนึ่งเมฆใหญ่เป็น      เช่นกางกั้นสุริยา
"ไม่รู้"     หนึ่งธรรมใด     ใจยึดหมายว่างเวหา
ดุจดั่งท้องนภา               เกิดสายฟ้าไม่แจ้งจริง

ทิฐิรู้เห็น            เช่นสายฟ้า             พ้นซึ่งผิดได้
ปัญญาแสงใส    ในตนเรืองโรจน์       จะปรากฏมิวาย
หัวข้อ: 3 คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/04/2554, 14:00
                   คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        สงฆ์จื้อฉังฟังโศลกจบพลัน จิตโล่งโปร่งใส  จึงสาธยายด้วยโศลกว่า

หาเหตุเจตน์จับ            รับเอาทิฐิ             มิบังเกิดคุณ
เอานามรูปหนุน            ดั่งวุ่นสรรหา         มรรคาโพธิ
ตริตรึกนึกแจ้ง              เป็นแรงปรารถนา  อารมณ์ดำริ
ขอพ้นทิฐิ                    อดีตที่เคย           เลยล่วงหลงทาง

ธาตุแท้จิตญาณ           แจ้งอยู่อย่างนั้น    อันเป็นเดิมที
ไหลตามโลกีย์             จึงมีทางไป          อบายหลายขุม
แม้มิเข้าสู่                    ประตูบรรพจารย์   ท่านโปรดธรรมอุ้ม
ยังคงหลงคลุม             สองขุมไม่รู้           สู่ทางใดดี   

พิจารณา
        สองขุม คือ ขุมของ  "รู้ - เห็น"  อันเป็นทิฐิคลาดเคลื่อนดื้อดึง

        วันหนึ่ง สงฆ์จื้อฉังกราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรมะ อันเป็น  "ไตรยาน"  อีกตรัสว่า "ยานระดับสูงสุด"  ศิษย์ยังไม่อาจเข้าใจ ขอได้โปรดสอนสั่ง"

พิจารณา
        ไตรยาน คือ  ยานสามระดับ อีกมีสาวกยาน  ปัจเจกพุทธยาน  และโพธิสัตว์ยาน

        พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ท่านจงมองดูจิตของตนเอง อย่าได้ยึดหมายธรรมลักษณะทั้งหลายภายนอก  ธรรมะไม่มีสี่ยาน  ใจคนนั่นเองที่มีระดับต่างกัน" 

พิจารณา
        ครั้งกระนั้น  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดง "อาคมคาถา"  ที่คนทั่วไปเห็นว่าเป็นยานระดับล่าง  แต่...พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทรงหมายว่าเป็นธรรมะของยานระดับล่าง ยังคงแสดงเพื่อการบรรลุพุทธะแก่สานุชน เพียงแต่ให้เหมาะแก่กุศลมูลของผู้สดับฟัง เพื่อให้ได้กุศลประโยชน์ยิ่งสำหรับชนหมู่นั้นเป็นสำคัญ  จึงกล่าวได้ว่า  ความแตกต่่างระหว่างสามยานสี่ยานนั้น มิได้เป็นที่ตัวธรรมะ แต่แตกต่างกันที่ความเหมาะสม  ความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้ปฏิบัติธรรมในระดับนั้น ๆ  เพราะ "ยาน" หมายถึง  ตัวที่ทำให้เคลื่อนไป นำไป " ความมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติเป็นเช่นไร ก็จะได้ชื่อว่าใช้  "ตัวที่ทำให้เคลื่อนไป นำไป" ระดับนั้น
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經 บทที่่ 6 : กราบนิมนต์บุญวาระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 10:04
                       คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        เพราะ "ยาน" หมายถึง ตัวที่ทำให้เคลื่อนไป นำไป ความมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติเป็นเช่นไร ก็จะได้ชื่อว่าใช้้ "ตัวที่ทำให้เคลื่อนไป นำไป" ระดับนั้น สาวกผู้สวดท่องตามไป เรียกว่าสาวกยาน เป็นยานระดับเล็กหรือระดับล่าง  เข้าใจรู้แจ้งต่อหลักธรรมเรียกว่า ยานระดับกลาง  ปฏิบัติบำเพ็ญตามหลักธรรมเรียกว่า ยานระดับสูง รู้แจ้งแทงตลอดต่อหมื่นข้อธรรม หรือต่อภาวะธรรมทั้งปวง แต่มิแปดเปื้อนด้วยภาวะใด และด้วยสรรพสิ่งใดเลย พ้นจากธรรมลักษณะทั้งปวง ปราศจากรู้หมาย เห็น ได้ต่อธรรมทั้งปวง เรียกได้ว่า ยานระดับสูงสุด   ยาน มีความหมายของการปฏิบัติบำเพ็ญให้เป็นไป มิใช่สักแต่ว่ากล่าวอ้างถกเถียง ท่านพึงบำเพ็ญให้เข้าถึงเป็นกันเอง มิพึงต้องถามอาตมาเลย  ในทุกขณะเวลา จิตญาณตนเป็นตถตา อิสรสงบ เป็นอยู่อย่างนั้นเอง จื้อฉังกราบขอบพระคุณ อีกทั้งทำหน้าที่อุปัฏฐากปรนนิบัติดูแลรับใช้พระธรรมาจารย์นับแต่นั้น จนกระทั่ง พระธรรมาจารย์มรณะละสังขาร จึงได้กราบลาจากไป  สงฆ์จื้อเต้า เป็นชาวทะเลใต้ มณฑลกว่างโจว กราบเรียนถามว่า"ศิษย์ผู้ศึกษาอยู่ ตั้งแต่ออกบวชเป็นต้นมา ได้อ่านพระคัมภีร์ "มหาปรินิรวาณสูตร" มาสิบกว่าปี ยังมิอาจกระจ่างได้ในหลักธรรม หวังวอนมหาเถระเจ้าได้โปรดสอนสั่ง"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ส่วนใดเล่าที่ท่านยังไม่เข้าใจ" กราบเรียนข้อกังขาที่ว่า "ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง เป็นสังขตธรรมอันเกิดดับ เมื่อจบสิ้นการเกิดดับนั้นแล้ว ย่อมถึงความเกษมแห่งการดับโดยสิ้นนั้น" ศิษย์ยังกังขาอยู่ในจุดนี้  พระธรรมาจารย์โปรดย้อนถามว่า "เหตุใดจึงเกิดข้อกังขานี้"กราบเรียนว่า "ก็ด้วยเวไนยฯ ล้วนมีสองกาย คือ กายรูป กับ กายธรรม กายรูปเป็นอนิจจังอันไม่เที่ยง มีเกิดมีดับ   กายธรรม มีความเที่ยงอันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง โดยไม่รู้ ไม่รับรู้ได้ ในพระสูตรจารึกว่า "เมื่อจบสิ้นการเกิดดับนั้นแล้ว ย่อมถึงความเกษมแห่งการดับโดยสิ้นนั้น" มิทราบว่า กายใดหรือที่ถึงความเกษมนั้น"(ความคิดเห็นของจื้อเต้ากล่าวต่อไปว่า) หากจะหมายว่า กายรูปถึงความเกษม กายรูปเมื่อดับสลาย ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟที่ประกอบกันเป็นรูปกายย่อมกระจายจากกันไป การแยกธาตุกระจายไป เป็นความทุกข์โดยสิ้น เมื่อเป็นความทุกข์ จึงมิอาจกล่าวได้ว่า "ถึงความเกษม"  แต่หากกล่าวว่ากายธรรมถึงความเกษม กายธรรมดำรงอยู่อย่างนั้นเองโดยไม่รู้ ไม่รับรู้ เช่นนี้แล้ว กายใดหรือที่ "ถึงความเกษม" นั้น  ยิ่งกว่านั้น สภาวะธรรม (ในกายรูป กายธรรม ) เป็นสิ่งอันเกิดดับ โดยมีขันธ์ห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นตัวสำแดงการเกิดดับ เท่ากับ " ตัว " ของสภาวะธรรมสำแดงอาการได้ห้าประการ และมีความเกิดดับเป็นธรรมดาเสมอ เมื่อเกิด อาการเกิดจากตัวของสภาวะธรรม  เมื่อดับ ความดับกลับคืนสู่ "ตัว" ของสภาวะธรรม (สงฆ์จื้อเต้า ยังคงกล่าวความคิดเห็นของตนเองต่อไป ซึ่งดูอย่างกับมีเหตุผลถูกต้องว่า) หากจิตยังคงคล้อยตาม ปล่อยให้มีการเกิดขึ้นใหม่อีก การถือกำเนิดใหม่ของชีวิตเลือดเนื้อก็จะไม่สิ้นสลายหรือดับสูญ แต่หากมิได้คล้อยตาม ไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นใหม่อีก  จิตก็จะกลับคืนไปสู่นิพพานชั่วกาลนาน ซึ่งเป็นภาวะอันปราศจากชีวิตจิตใจเช่นเดียวกับสรรพสิ่ง แต่หากเป็นไปตามนั้น (ตามมหาปรินิวราณสูตร) ข้อธรรมทั้งปวงล้วนถูกควบคุมจำกัดอยู่ในภาวะนิพพาน (ดับสูญโดยสิ้น) มิอาจกำเนิดขึ้นใหม่ได้ ดังนี้แล้ว ยังจะมีความเกษมได้อย่างไร
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 10:39
                        คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

พิจารณา  :   สงฆ์จื้อเต้า กล่าวโดยความนัยที่ว่า "เมื่อมีความเกษม ก็จะต้องมี "ตัว" ที่รองรับความเกษมนั้น" มิฉะนั้น จะเท่ากับกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ในเมื่อกายรูปก็แยกธาตุกระจายออกไป กายธรรมก็เข้าสู่ภาวะนิพพานอันไม่รู้ ไม่รับรู้ จึงน่าจะมีสภาวะที่เป็นอยู่เองของกายรูปหรือกายธรรม เป็น "ตัว" ที่รับหรือเข้าถึงความเกษมได้ พระธรรมาจารย์โปรดชี้แจงและแก้ไขให้ว่า "ท่านเป็นบุตรแห่งศากยพุทธเจ้า ไฉนจึงกลับศึกษาธรรมะนอกลู่นอกรอย ขาดสิ้นจากสัมมาทิฐิ ดำริผิด เป็นมิจฉาทิฐิ อีกทั้งวิจารณ์มหายาน ธรรมะระดับสูงสุดเช่นนี้ ตามที่ท่านได้กล่าวมาคือ นอกจากกายรูปแล้ว ยังมีกายธรรมอยู่ต่างหาก จะต้องพ้นจากกายรูปอันเกิดดับ เพื่อเข้าสู่กายธรรมอันดับสูญ แต่ยังได้ยกเอาการ "ถึงความเกษมแห่งนิพพาน" ว่า จะต้องมี "ตัว" รองรับความเกษมนั้น ดั่งนี้คือ ยังคงยึดหมายใคร่อยู่กับการเกิดตาย ยังคงห่วงหาความสุขเกษมเช่นชาวโลก ณ บัดนี้ ท่านจงพึงรู้เถิดว่า พระพุทธะนั้น เพื่อคนหลงทั้งหลาย ที่ยึดหมายว่า รูปกายที่มีขันธ์ห้าชุมนุมกันอยู่นั้น เป็นรูปกายของตน อีกทั้งยังแบ่งกั้นข้อธรรมทั้งหลายว่า เป็น "โลกียรูป" ภายนอก บุคคลเหล่านี้จึงรักการมีชีวิต เกลียดความตาย ทุกขณะจิต ความคิดจะแปรไหลเรื่อยไป ไม่รู้ว่าภาพมายาเป็นความฝัน ต้องรับทุกข์จากวัฏจักรเวียนว่ายที่ไม่น่าเลยนั้น เขายังกลับเอาความ "เกษม" แห่งนิพพาน ฝันคิดผิดทางว่า เป็น "ทุกขรูป" ที่ถูกจำกัดกรอบ จิตที่หลงผิดจึงแล่นไหลใฝ่หาความสุขเกษมที่ตนพอใจเรื่อยไปไม่จบสิ้น ก็ด้วยพระพุทธะเวทนาสงสารเหล่าเวไนยฯ ดังนั้น จึงได้โปรดชี้ชัดให้เห็นถึงความเกษมอันแท้จริงแห่งนิพพาน ณ บัดดลนั้น  ทันทีที่เข้าถึงภาวะนิพพาน จะปราศจากรูปกายของการดับ อีกทั้งปราศจากการดับของการเกิด - ดับ นั่นคือ การปรากฏขึ้นของภาวะดับสูญสงบนิ่งตรงหน้า ในขณะที่การดับสูญสงบนิ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า การปรากฏนั้นก็ปราศจากส่วนมาตรอันวัดได้ว่าเช่นไร เพียงใด จึงเรียกได้ว่า "ความเกษมอันเป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปไม่เปลี่ยนแปร"
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 11:10
                        คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

พิจารณา  :   ในขณะถ่ายทอดวิถีจิต ธรรมประกาศิตประโยคหนึ่งที่ว่า "ปราศจากการเกิด - ตาย  อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ" อันหมายถึง จิตที่มิได้ยึดหมายในการเกิดดับของเจ้า" นั่นคือจิตพร้อมที่จะเข้าสู่ภาวะนิพพานได้ แม้ขณะดำดงกายสังขาร รับธรรมะ คือ รับรู้สิ่งนี้ในที่สุด  ความสุขอันเกษมนี้ ปราศจากบุคคลผู้รับ อีกทั้งไม่ปราศจากบุคคลผู้รับ ยิ่งกว่านั้นท่านยังกล่าวอีกว่า "นิพพานเป็นกรอบจำกัดให้ดับสูญโดยไม่มีการเดิออีกตลอดไป เช่นนี้คือ การใส่ไคล้ทำลายพุทธธรรม"  จงฟังโศลกอาตมา.....
อนุตตร             มหาปริ             นิรวาณ
คงนิรันดร์          กลมนิ่งใส          ได้สาดส่อง
ปุถุชน             กล่าวว่า "ตาย"      ไม่ถูกต้อง    ( นอกธรมมอง ภาวะนิพพาน เป็นการ "ขาด" สิ้น )

พิจารณา  :   ความเป็นนิพพานที่พระตถาคตเจ้า เหล่าพุทธะได้เข้าถึงแล้วนั้น ล้วนแต่มีภาวะอันอุปมาได้ว่า "กลม" นั่นคือสมบูรณ์พร้อมทุกประการ มีภาวะอันอุปมาได้ว่า "ใส" นั่นคือ สว่างด้วยมหาปัญญายิ่ง มีภาวะอันอุปมาได้ว่า "คง" นั่นคือ เป็นนิรันดร์อันไม่สิ้นได้  มีภาวะอันอุปมาได้ว่า "นิ่ง" นั่นคือ เป็นที่สุดแห่งความสงบ  มีภาวะอันอุปมาได้ว่า "ส่อง" นั่นคือ มหาบารมีปรกแผ่แก่สัพโลก

โศลกต่อไปว่า.....
ผู้ใฝ่ใน             สาวกปัจเจก             พุทธยานนั้น
สายตาท่าน       เห็นนิพพาน              การแน่นิ่ง
เห็นดั่งว่า          มโนติด                   คิดเอนอิง
มิจฉาสิ่ง          หกสิบสอง                ของทิฐิ

พิจารณา   :   ผู้ใฝ่หานิพพานในระดับสาวกยานและปัจเจกพุทธยานนั้น ในสายตาของท่านยังเห็นผิดว่า มหาปรินิพพานก็คือภาวะแน่นิ่งขาดสูญ จึงมิพึงสร้างกุศลเพื่อให้เข้าถึงพระมหาปรินิพพานในระดับนี้ สายตาความคิดเช่นนี้ มีมโนวิญญาณเป็นตัวคิด เป็นตัวทำให้ก่อเกิดมิจฉาทิฐิถึงหกสิบสองประการ นั่นก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวตั้ง จากตัวตั้งทั้งห้า ก่อเกิดทิฐิยึดหมายในความเที่ยง ยึดหมายว่าไม่เที่ยง  ยึดหมายทั้งเที่ยงทั้งไม่เที่ยง  ยึดหมายมิใช่ทั้งเที่ยง   และมิใช่ไม่เที่ยง  มีขอบเขต และไม่มีขอบเขต  มิใช่ทั้งมีขอบเขต  และมิใช่ไม่มีขอบเขต  มีไปมา  ไม่มีไปมา  ทั้งไม่มีไปมา และมิใช่มีไปมา รวมสิบสองทิฐิ  รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ต่างก่อเกิดสิบสอง ทิฐิดังนี้ รวมกันเป็นหกสิบสองทิฐิ
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 14:17
                       คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

โศลกต่อไปว่า..
ตั้งชื่อสมมุติไป             เพื่อใช้เรียกขาน            เพื่อเป็นฐานนำ
ไหนเลยเป็นความ         จริงแท้แน่ใน                ความหมายนั้น ๆ     
คนมีใจกว้าง                ต่างจากทั่วไป              ไม่เข้าใจตาม
ปรุโปร่งรู้ความ              นิพพานภาวะ                สัจจะแท้จริง

พิจารณา  :  หกสิบสองทิฐิที่แปรรูปกระจายออกจากขันธ์ห้า ล้วนเป็นชื่อสมมุติ ต่อภาวะจิตอันเกิดอับเรื่อยไปนั้น เมื่อหลงเกิดขึ้น เหมือนว่ามีอยู่ ทันใด แจ้งใจ ดับไปไม่มีอยู่ ชื่อเหล่านี้จึงเป็นเพียงฐานนำ ให้เรียกขานรู้ว่ากระบวนการแปรรูปของจิตเป็นไปได้ดังนี้

โศลกต่อไปว่า..
เพื่อรับรู้ว่า            ขันธ์ห้าแห่งธรรม             ดำเนินเป็นไป
อีกทั้งภายใน         ใจกายตนนั้น                 ขันธ์ห้าพาวุ่น
นอกกายยังมี         รูปลักษณ์มากมาย           ในโลกค้ำจุน
ปรากฏเกื้อหนุน      พูนเพิ่มศัพท์เสียง            สำเนียงรูปลักษณ์

โศลกต่อไปว่า..
สรรพสิ่งเสมอกัน            อันเป็นมายา            พาเห็นเช่นฝัน
หากมิถือมั่น                 สามัญหรืออริยะ         จะไม่ยึดหมาย
ไม่ยึดนิพพาน               ไม่เทียบเปรียบกัน      นั่นขอบเขตใด
ทุกอย่างหาไม่              ปราศสิ้นจินตนา          ว่ามีไม่มี

พิจารณา  :  อริยะ สามัญชน  สรรพสิ่งบรรดาที่เกื้อหนุนการก่อเกิดมาทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ล้วนเสมอกัน หากไม่ยึดหมาย ไม่เปรียบเทียบ ไม่ปรุงแต่ง สรรพสิ่งจะเป็นเช่นภาพมายา ดั่งว่าความฝัน ผ่านมาผ่านไป ไม่ตกค้างให้เกิดการปรุงแต่ง ซ้ำซ้อน ไม่เกิดความสับสนวุ่นวายมากมายยิ่งขึ้นเรื่อยไปไม่จบสิ้น  จึงกล่าวว่า เพียงให้ตอบรับ ร่วมกับอินทรีย์ ที่ใช้การนั้น แต่ไม่ยึดมั่น ไม่คิดติดพัน วิญญาณยึดหมาย รู้การจำแนก แจกแจงธรรมถ้วน ล้วยจิตเดิมไซรื ก็จะมิใช่ มโนวิญญาณ การปรุงเปรียบไป

พิจารณา  :  โดยสรีระของมนุษย์ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ มีประสาทสัมผัสรับรู้โลดเล่นสื่อถึงอวัยวะทั่วตัว โดยมโนวิญญาณ มีจิตรับรู้ปรุงแต่งเป็นวิสัย แต่หากเข้าถึงจิตเดิมแท้แห่งตนได้ การโลดแล่นปรุงแต่งก็จะหยุดอยู่ที่.. "ตอบรับร่วมกับอินทรีย์ที่ใช้การนั้น" ตามประโยชน์อันสมควรเป็น ณ ตรงนั้นเท่านั้น   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 14:49
                       คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

โศลกต่อไปว่า..
แม้ไฟประลัย            เผาไหม้สมุทร             สุดท้องทะเล
ภูผาล้มเซ               หันเหกระแทก             ลมแทรกกระหน่ำ
ตถตาเปรม              เกษมวิมุตติ                หยุดอยู่โดยธรรม 
มหาปริ                  นิพพานคงความ           อันเป็นเช่นนี้

พิจารณา  :   ที่กล่าวกันผิด ๆ ว่านิพพานคือความขาดสิ้นนิ่งแน่นั้น น่าจะหมายถึงกรณีนี้คือ ไม่ว่าดินฟ้ามหาสมุทรถึงความที่สุดของความเดือดร้อนรุนแรง แต่ทุกอย่างไม่อาจกระทบกระทั่งภาวะมหาปรินิพพานได้ เพราะมหาปรินิพพานนั้น ลุ่มลึกเกินกว่าที่ความรุนแรงจะสะเทือนถึง ปี ค.ศ.1999 ทั้งทางโลกและทางธรรมต่างมีผู้คาดการณ์ด้วยความประหวั่นพรั่นใจว่าจะเป็นปีของการล้างโลกด้วยไฟประลัยกัลป์อันเกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ สถานการณ์ เหตุการณ์ และรูปการณ์ในปีนั้น ทำให้แน่ใจว่า มีส่วนเป็นไปได้มากน้อยทีเดียว การเตรียมการหลบภัยของคนทางโลกไร้ผลโดยสิ้นโลกาวินาศอาจเกิดขึ้นเป็นจริง เพราะอานุภาพของการทำลายของระเบิดนิวเคลียร์เกินกว่าจะประมาณได้ แต่ชาวธรรมผู้ปฏิบัติบำเพ็ญจริง ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "นิพพาน คือหลุมหลบภัยที่ไม่พลาดแน่นอน"

โศลกต่อไปว่า..
วันนี้อาตมา            ฝืนว่านิพพาน            อันยากพรรณนา
เพื่อเปลี่ยนมิจฉา     ท่านมาหลงผิด           ให้คิดเสียใหม่
ท่านจงอย่าพล่าม    อธิบายความ              ตามผิดเรื่อยไป
ที่ท่านรู้ได้            เพียงในส่วนนิด           กระจิริดเดียว

พิจารณา  :   มีคำกล่าวว่า "อรหันต์ย่อมรู้ได้ในอรหันต์"  "ผู้อยู่ในภาวะนั้น จึงจะรู้ภาวะนั้น"  "ผู้ดื่มน้ำนั้น จึงรู้รส รู้ความอุ่นเย็นของน้ำนั้น"  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงซึ่งได้ชื่อว่าธรรมราชา เป็นครูผู้ฝึกสอนเทวดาและมนุษย์ได้ แม้จะเข้าใจภาวะนิพพานได้มากกว่าใคร ยังต้องกล่าวโศลกว่า "...ฝืนว่านิพพาน อันยากพรรณา..." จึงเห็นได้อีกว่า ศิษย์จื้อเต้าผู้รู้น้อย สรุปความเข้าใจของตนเองต่อภาวะนิพพานอย่างอาจหาญเชื่อมั่น เกินกว่าภาวะธรรมที่รู้เป็นอย่างแท้จริงในตน แต่พระธรรมาจารย์ผู้รู้เป็นยิ่งกว่ากลับอ่อนน้อมถ่อมตน ฝืนว่า จำใจว่า เหมือนผู้รู้น้อยโดยแท้   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/08/2554, 17:58
                      คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        สงฆ์จื้อเต้าได้สดับความจากโศลกจบลง พลันรู้แจ้งปลาบปลื้มปิติในธรรมเกินประมาณ ก้มกราบพระธรรมาจารย์ด้วยความขอบคุณพระคุณยิ่งแล้วกลับออกไปพระมหาเถระเจ้าสายฌานรูปหนึ่ง ธรมฉายา สิงซือ แซ่หลิว เป็นชาวเมืองจี๋โจวอันเฉิง ได้ทราบว่าธรรมาสน์เทสน์ที่เฉาซีเฟื่องฟูมาก ฉุดนำกล่อมเกลาสาธุชนเป็นที่เจริญธรรมยิ่งมากมาย จึงมุ่งมานมัสการพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ณ บัดนั้น ได้กราบเรียนถามว่า "พึงกระทำการปฏิบัติบำเพ็ญเช่นไร จึงจะไม่ตกไปสู่การปฏิบัติบำเพ็ญอันเป็นระดับขั้น" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ท่านเคยปฏิบัติบำเพ็ญเช่นไรมาก่อนหรือ" ตอบว่า "ปราศจากยึดหมาย แม้อริยสัจก็ปล่อยวางลง" พระธรรมาจารย์โปรดว่า"ถ้าเช่นนั้น ท่านตกอยุ่ในระดับขั้นใดเล่า"

พิจารณา  :  ที่พระธรรมาจารย์ย้อนถามว่า "ท่านตกอยุ่ในระดับขั้นใดเล่า" ก็เพราะท่านสิงซือถามว่า "เช่นไรจึงจะไม่ตกไปสู่ความเป็นระดับขั้น" ระดับขั้นที่กล่าวนั้นหมายถึง การปฏิบัติบำเพ็ญค่อยเป็นไปให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล ที่เรียกว่ามรรคสี่ ผลสี่ นิพพานหนึ่ง  ที่ท่านสิงซือปรารถนานั้นคือ การรู้แจ้งฉับพลัน โดยมิต้องใช้เวลานานค่อย ๆปกิบัติบำเพ็ญไปเรียกว่า "รู้แจ้งบัดใจไปถึงพุทธภูมิ" (อู๋อู้จี้จื้อฝอตี้) สิงซือจึงตอบว่า "แม้อริยสัจยังไม่ยึดหมาย ยังจะมีระดับขั้นอันใดได้เล่า"  พิจารณา  :  อริยสัจ ความจริงอันประเสริฐยิ่งที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ นั่นคือ เข้าถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
1.  ทุกข์   สภาพทุกข์ที่สุดทนได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ จำทน จำพราก ผิดหวัง และขันธ์ห้า
2.  สมุทัย  เหตุให้เกิดทุกข์ได้แก่ ตัณหาสาม คือ กามตัณหา สิ่งสนองความอยากทางประสาท รู้สึก  ภวตัณหา ความทยานอยากในภพ อยากเป็นอยากคงอยู่วิภวตัณหา ความอยากที่จะพรากพ้นไปจากความเป็นอยู่อันไม่ปราณียินดี จนถึงอยากดับสูญ
3.  นิโรธ  ภาวะตัณหาดับสิ้นไป กำจัดอวิชชาความไม่รุ้ได้ ไม่ถูกย้อม ไม่ติดข้องอีกต่อไป
4.  มรรค  หนทางอันรู้แจ้ง เข้าถึงศีล สมาธิ ปัญญา ทางสายกลางอย่างแท้จริง

        ที่ท่านสิงซือกล่าวว่า "แม้อริยสัจยังไม่ยึดหมาย" แสดงให้เห็นว่า พ้นจากภาวะเปรียบเทียบต่อความเป็นไปในการกำหนดหมาย กำหนดรู้ กำหนดเป็น เช่นนี้แล้ว  พระธรรมาจารย์ให้ความสำคัญต่อภาวะจิตเช่นนี้ของท่านสิงซือยิ่งนัก จึงโปรดแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะสงฆ์  วันหนึ่ง พระธรรมาจารย์โปรดแก่ท่านสิงซือว่า"ท่านควรเผยแผ่กล่อมเกลาไปยังทิศหนึ่งมิให้ขาดสาย"
พิจารณา  :  ศาสนาต่าง ๆ แพร่หลายกระจายไปสู่ศาสนิกชนทุกหนแห่งทั่วโลกได้ ก็ด้วยอาวุโส (ธรรมภันเต) ผู้เป็นใหญ่ในศาสนานั้น ๆ มิได้กำจัดการปรกโปรดไว้เฉพาะส่วน เนื่องจากรู้ดีว่า ผู้มีบุญสัมพันธ์รออยู่มากมายในทุกมุมโลก จึงต้องดั้นด้นจาริกแพร่ธรรมไปโดยไม่ย่อท้อ
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/08/2554, 19:06
                       คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        ท่านสิงซือได้รับการถ่ายทอกวิถีจิตอันรู้แจ้งฉับพลันจากพระธรรมาจารย์แล้ว จึงกลับไปยังภูเขาชิงเอวี๋ยน เมืองจ๋โจว เผยแพร่พระธรรมคำสอน  ภายหลังเมื่อมรณภาพ ฮ่องเต้้ถวายราชสักการะนามตามไปว่า " พระอภิธยานะอุปการะจารย์ " พระมหาเถระเจ้าสายฌานอีกรูปหนึ่ง ธรรมฉายา ไฮว๋ยั่ง แซ่ตู้  เป็นชาวเมืองจินโจวเบื้องต้น ได้ศึกษาธรรมอยู่กับพระคุณเจ้าหลวง มหาเถระฮุ่ยอัน แห่งซงซันบรรพต  พระมหาเถระเจ้าฮุ่ยอัน โปรดส่งมอบให้มากราบนมัสการถวายตัวที่เฉาซี เมื่อท่านไฮว๋ยั่งมาถึง กราบพระธรรมาจารย์แล้ว พระธรรมาจารย์โปรดถามว่า "มาจากที่ใด" ตอบว่า "มาจากซงซันบรรพต" โปรดว่า "สิ่งใด ให้ท่านมา" ตอบว่า "กล่าวขานว่า สิ่งหนึ่งใด ดังนี้ จะไม่ถูกต้อง"

พิจารณา  :  คำถามขอพระธรรมาจารย์ หากเผิน ๆ เช่นคนทางโลก จะรู้สึกเหมือนเหยียดหยัน แต่แท้จริงพระะรรมาจารย์หยั่งรู้ญาณปัญญาของผู้มาฝากตัว จึงทำการทดสอบด้วยวาจา ซึ่งก็รับทราบได้ ณ บัดนั้นว่า ท่านโฮว๋ยั่งมิใช่ธรรมดา ผู้รู้แจ้งในอนุตตรภาวะอันสูงส่งแยบยลวิเศยิ่ง จะมิอาจกล่าวอ้างได้ในภาวะนั้น เพราะผู้รู้ได้ขาดแล้วซึ่งการยึดหมายในรูปของวาจา รูปแห่งอักษร รูปแห่งการคิดคำนึง จึงไม่อาจเปรียบเทียบอย่างไรเป็น "สิ่งหนึ่งใด" ได้ พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ยังจะบำเพ็ญบรรลุผลได้หรือไม่" 

พิจารณา  :   ในเมื่อรู้แจ้งถึงระดับนี้แล้ว ละจากการยึดหมายได้ทั้งหมดเช่นนี้แล้ว ยังจะ (ทำการ) บำเพ็ญให้บรรลุผลได้อีกหรือไม่ ทำการบำเพ็ญคือ ยังมีส่วนรู้หมาย  บรรลุผลก้ยังมีส่วนที่รู้หมาย
        ท่านไฮว๋ยั่งตอบว่า "บำเพ็ญบรรลุผลมิอาจกล่าวว่าไม่มี แต่จะแปดเปื้อนมิได้"

พิจารณา  :  ท่านไฮว๋ยั่งรับว่า ยังมีความรู้หมายต่อการบรรลุผลของการบำเพ็ญ บรรลุผลเหมือนมิได้บรรลุ  ซึ่งแท้จริงคือ "บำเพ็ญอยู่ทุกขณะ บรรลุผลอยู่ทุกขณะ"   พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ความมิแปดเปื้อนดังนี้เอง ที่เหล่าพุทธะประคองรักษา ท่านไฮว๋ยั่งเข้าถึงความเป็นเช่นนี้เอง  สิ่งที่อาตมาเข้าถึง ก็เป็นเช่นนี้เอง"ท่านปัญญาตาระ ณ พุทธเกษร (พระธรรมาจารย์สมัยที่ยี่สิบเจ็ดแห่งชมพูทวีป) ได้พยากรณ์ไว้ว่า "ท่าน (ไฮว๋ยั่ง) จะมีม้าอาชาไนยใต้เบื้องบาท เหยียบย่ำทำลายคนใต้ฟ้านี้ " คำพยากรณ์นี้ ท่านจงเก็บไว้ในใจ มิพึงเร่งกล่าวไป"

พิจารณา  :  พระธรรมาจารย์ผู้หยั่งรู้ด้วยญาณอันแก่กล้า ได้กล่าวแก่ท่านไฮว๋ยั่งว่า "จะมีม้าอาชาไนยใต้เบื้องบาท" ก็คือจะได้ศิษย์ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า รากฐานบุญสูงยิ่ง "เหยียบย่ำทำลายคนใต้ฟ้านี้" ก็คือปรกโปรดสาธุชนคนหลงมากมายให้ฆ่าทำลายกิเลสตัณหา ฆ่าจิตยึดมั่นถือมั่น ภายหลังพระมหาเถระเจ้าไฮว๋ยั่ง ได้ศิษย์ท่านหนึ่ง ธรรมฉายาว่า "หม่าเต้าอี"  หม่า คือ มัา  แปลว่า "ม้าตัวนี้จะเผ่นผงาดประกาศธรรมไปควบไวไม่ระย่อ ในยุคสมัยดังกล่าว พระพุทธศาสนาเรืองรุ่งเจริญไกล ตรงตามคำพยากรณ์ของท่านปัญญาตาระ พระธรรมาจารย์สมัยที่ยี่สิบเจ็ด ที่สื่อถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2554, 10:00
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        ย้อนกลับมาสู่เวลาขณะนี้ที่ท่านไฮว๋ยั่งมากราบพระธรรมจารย์  เมื่อพระธรรมาจารย์โปรดจบลง ท่านไฮว๋ยั่งประสานปัญญาญาณกับพระธรรมาจารย์ทันที จึงตั้งจิตปรารถนาปวารณาตัวรับใช้ปรนนิบัติวัฏฐากพระธรรมาจารย์อยู่เคียงข้างตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลายายนานถึงสิบห้าปี ระหว่างนี้ ปัญญาญาณของท่านยิ่งสูงส่งลึกล้ำ ภายหลัง ได้จาริกสู่ภูเขาหนันเอวี้ย เผยแผ่พุทธธรรมสายฌานที่รู้แจ้งฉับพลันเป็นการใหญ่  พระมหาเถระเจ้าสายฌาน ธรรมฉายา อย่งเจีย มณฑลเจ้อเจียง ศึกษาพระธรรมคัมภีร์มาแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะศึกษาลึกซึ้งต่อธรรมปฏิบัติ "สมาธิปัญญา" ในนิกายเทียนไถ ด้วยเหตุที่ได้อ่านคัมภีร์วิมลเกียรตินิเทศสูตร จึงบังเกิดภาวะจิตใสใจสว่าง และเป็นด้วยเหตุบังเอิญ ครั้งหนึ่ง ที่ศิษย์พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ซึ่งมีธรรมฉายาว่า เสวียนเช่อ ได้ไปเยี่ยมเยียนนมัสการ ทั้งสองสนทนาธรรมกันอย่างปลื้มปิติยินดี การสนทนากล่าวถึงนั้น ล้วนสอดคล้องต่อธรรมะ วิถีจิตที่พระบรรพจารย์ทั้งหลายได้ถ่ายทอดมา  เสวี๋ยนเช่อ จึงเอ่ยถามมหาเถระเสวี๋ยนเจวี๋ยว่า "ท่านผู้เจริญ ได้รับวิถีธรรมจากพระอาจารย์ท่านใดมา"  ตอบว่า  "อาตมาได้สดับธรรมจากพระอาจารย์หลายท่าน ศึกษาทั้งพระสูตร ทั้งปุจฉาวิสัชนาธรรมมากมาย ภายหลังได้รู้แจ้งวิถีจิตแห่งพุทธะจากการอ่านพระคัมภีร์ "วิมลเกียรตินิเทศสูตร" แต่ยังมิได้รับการยืนยันจากพระอาจารย์ใดในความเข้าใจนั้นว่า ถูกต้องหรือไม่ประการใด"

พิจารณา  :  มีคำกล่าวว่า "ปราศจากพระวิสุทธิอาจารย์ชี้ชัดยืนยันไซร์ ไม่กล้ากล่าวอ้างว่ารู้ทางแห่งจิต" มหาเถระเสวี๋ยนเจวี๋ย แม้จะเข้าถึงภาวะจิตใสใจสว่างแล้วก็ตาม ยังมิกล้าแน่ใจว่า ที่รู้แจ้งในถูกต้องแน่แท้  สงฆ์เสวียนเช่อกล่าวว่า "ในยุค พระภิสมครรชิตพระพุทธเจ้า พระองค์แรกนั้น ภาวะแห่งการรู้แจ้งเองเช่นนี้ยังพอมีได้ แต่หลังจากยุคพระภิสมครรชิต พระพุทธเจ้าแล้ว การรู้แจ้งเองโดยปราศจากอาจารย์นั้น ล้วนเป็นภาวะธรรมชาติที่อยู่ภายนอกวิถีแห่งพุทธะ"  ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยนได้ฟังจึงกล่าวแก่ท่านเสวียนเช่อว่า "ถ้าเช่นนั้น ขอท่านผู้เจริญได้โปรดยืนยันแก่อาตมาด้วย"  ท่านเสวียนเช่อว่า "วาจาอาตมา ยังน้ำหนักเบา ที่เมืองเฉาซีมีมหาเถระเจ้าลิ่วจู่ พุทธชนโดยรอบสี่ทิศพากันมาชุมนุมคับคั่งเพื่อขอรับวิถีธรรม หากท่านประสงค์จะไป อาตมาจะนำพาไปด้วยคน"  ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยจึงพร้อมกับท่านเสวี๋ยนเช่อมากราบนมัสการพระธรรมาจารย์  ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยเดินเวียนพระธรรมาจารย์สามรอบ (อันเป็นการแสดงความเคารพแล้ว) ยืนตั้งไม้เท้าอยู่เบื้องหน้า (มิได้น้อมกายลง)  พระธรรมาจารย์จึงเอ่ยขึ้นว่า "อันสมณะ นั้น พึงประกอบด้วยศีลสิกขบท งดงามสูงสง่าถึงสามพันประการ จริยะประณีตอีกแปดหมื่นประการ  ท่านผู้เจริญมาจากแห่งใดหรือ จึงบังเกิดอาการถือตัวถึงเพียงนี้" 

พิจารณา  :  ศีลสิกขาบทสามพันประการ กับ จริยะประณีตแปดหมื่นประการ มิใช่ข้อกำหนดจำนวนเลขตายตัว แต่หมายถึงความรอบครอบเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยสงฆ์ อันไม่ต่างจากศีลบริสุทธิ์ประณีตของมหาโพธิสัตว์

        ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยตอบว่า "การเกิดตายเป็นเรื่องใหญ่ อนิจจังความไม่เที่ยงแท้เร่งรุดจู่โจม"  (ไหนเลยจะมีเวลาหรือมัวเสียเวลาอยู่กับจริยะประณีตอีกทั้งจะกราบอาจารย์โดยมิรู้แท้ไม่ได้)  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ก็เหตุไฉนจึงไม่เลือกทางเข้าถึงชีวิตนิรันดร์ด้วยตน เพื่อสิ้นสุดความไม่เที่ยงแท้เร่งรุดจู่โจมนั้นเล่า" ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยตอบว่า "ตน (พุทธญาณ) คือชีวิตนิรันดร์ รู้สิ้น ฤาถวิลอนิจจังเร่งรุด" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "เป็นเช่นนี้เอง เป็นเช่นนี้เอง" (ถูกต้อง ! ภาวะนั้นเป็นเช่นนี้เอง)
พิจารณา  :  ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยสัมผัสรับรู้ได้ ณ บัดนั้นว่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงคือ พระวิสุทธิอาจารย์แห่งยุคโดยแท้ เป้นพระอาจารย์ผู้สมควรได้รับการน้อมกายลงถวายความเคารพโดยแท้ 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2554, 11:02
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยจึงน้อมกายก้มกราบด้วยความเคารพครู่หนึ่ง จึงนมัสการลา  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "กลับเร็วไปไหม"  ตอบว่า "โดยแท้นั้น "ตน" หาได้เคลื่อนไหวไม่ เช่นนี้แล้วจะมีความ "เร็ว" ได้อย่างไร"

พิจารณา  :  "ตน" ที่มหาเถระทั้งสองรูปแสดงปริศนาธรรมต่อกันหมายถึง "ตน" อันเป็นชีวิตจิตญาณที่มั่นคงอยู่ในพุทธภาวะที่เป็นอยู่อย่างนั้นเอง  "ตน" ปราศจากการกำหนดหมายในการเคลื่อนไหว จึงปราศจากการรับรู้ด้วยความ "เร็ว" ในการเคลื่อนไหวของกายสังขาร  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ถ้าเช่นนั้นใครเล่าที่รับรู้ว่า หาได้เคลื่อนไหวไม่" ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยตอบว่า "ท่านผู้เจริญเองนั่นแหละที่เกิดจิตแยกแยะว่าเป็นใคร"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ท่านได้ความ เข้้าใจ ต่อชีวิตนิรันดร์ (นิพพาน) ยิ่งนัก" ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยตอบว่า "ภาวะของนิพพาน (ชีวิตนิรันดร์) ยังจะมีความเข้าใจอีกหรือ" พระธรรมาจารย์ถกนำอีกว่า "ก็การปราศจาก ความเข้าใจนั้น ใครเล่าเป็นผู้แยกแยะ"  ท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยตอบว่า "แยกแยะโดยมิใช่มโนกรรมความคิดของจิตที่แยกแยะ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นเองโดยภาวะของจิตญาณที่สิ้นแล้วจากการแยกแยะ

พิจารณา  :  เมื่อเกิดความ "เข้าใจ" กับ "ปราศจากความเข้าใจ" ย่อมแสดงให้เห็นว่า มีผู้รับรองความ "เข้าใจ" และมีผู้รองรับ "ปราศจากความเข้าใจ" นั้น ในที่นี้ท่านหมายถึงการแยกแยะของข้อธรรมทั้งปวงโดย "ไม่บังเิกิดความคิดแยกแยะ" เท่ากับปราศจากผู้รองรับทุกกรณี  (เฟินเปี๋ยอี๋เซี่ยฝ่า  ปู้ฉี่เฟินเปี๋ยเสี่ยง) "ธรรมวากัจฉา" หรือการถกถามภาวะธรรมต่อกันระหว่างพระอริยเจ้านั้น มิพึงใช้ภาษาถ้อยคำเยิ่นเย้อมากมายใด ๆ เลย เพียงสองประโยคสามประโยค ก็ไปถึงนิพพานแล้วเช่นนั้น  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "สาธุ จงค้างอยู่สักคืนหนึ่งเถิด" การค้างอยู่หนึ่งคืนของท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยในครั้งนั้น กลายมาเป็นคำขวัญของหมู่สงฆ์และผู้เจริญธรรมทั้งหลายในประวัติศาสตร์ยุคนั้นและยุคต่อมาว่า "ค้างหนึ่งคืน ตื่นรู้ใจ อี๋ซู่เจวี๋ย"  ต่อมาท่านเสวี๋ยนเจวี๋ยยังได้ประพันโศลกชื่อ "เพลงประจักษ์ธรรม  เจิ้งเต้าเกอ" แพร่หลายไปทั่วโลก

พิจารณา  :   " เพลงประจักษ์ธรรม เจิ้งเต้าเกอ "  แม้จะเป็นรูปโศลก อีกทั้งความยาวไม่กี่สิบประโยค แต่สาธยายหลักพุทธธรรมมหายานไว้เป็นอย่างดี เป็นที่นิยมของทุกนิกาย ความหมายล้วนกล่าวถึงภาวะของการรู้แจ้งเห็นจริงต่อจิตเดิมแท้้ 

        พระอาจารย์จื้อหวง ผู้บำเพ็ญฌานสมาธิ เคยกราบถวายตัวศึกษากับพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้า และสำคัญตนว่าได้รับวิถีธรรมทางตรง เข้าถึงฌานสมาธิระดับสูงแล้ว จึงเก็บตัวอยู่ในกุฏิ นั่งเจริญภาวนาอยู่เป็นนิจนับแต่นั้นมา เป็นเวลานานถึงยี่สิบปี  สงฆ์เสวี๋ยนเช่อ ศิษย์ของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง จาริกขึ้นไปทางเหนือของแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห)  ได้ยินกิตติศัพท์ของพระอาจารย์จื้อหวง จึงไปกราบนมัสการเยี่ยมเยียน และเรียนถามว่า "พระอาจารย์ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่หรือ" พระอาจารย์จื้อหวงตอบว่า "เข้าฌาน"  สงฆ์เสวียนเช่อถามต่อไปว่า "ท่านว่าเข้าฌานนั้น เป็นฌานที่มีความรู้สึกนึกคิด หรือ ปราศจากความรู้สึกนึกคิด  หากปราศจากความรู้สึกนึกคิด พวกต้นไม่ใบหญ้า กระเบื้องหิน ก็เข้าฌานได้เช่นกัน หากมีความรู้สึกนึกคิด  พวกที่มีจิตใจความรู้สึกทั้งหลาย ก็ควรที่จะได้ฌานด้วยเช่นกัน"  พระอาจารย์จื้อหวงว่า "ขณะที่อาตมาเข้าฌานนั้น ไม่เห็นมีด้วยในความรู้สึกนึกคิดของความมี หรือ ไม่มี"  สงฆ์เสวี๋ยนเช่อกล่าวต่อไปว่า "ไม่เห็นมีด้วยในความรู้สึกนึกคิดของความมีหรือไม่มี ก็คือ "ฌานคงที่ตลอดเวลา" ถ้าเช่นนั้น ไฉนจึงมีการเข้าฌาน  ออกฌาน  หากยังมีการเข้าออกอยู่ ก็จะมิใช่ฌานระดับสูง"พระอาจารย์จื้อหวงอึ้งไปไม่ตอบ เป็นนานจึงว่า "ท่านเป็นศิษย์ของใคร" สงฆ์เสวี๋ยนเช่อตอบว่า " พระอาจารย์ของอาตมาคือ พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่่ แห่งเมืองเฉาซี "   พระอาจารย์จื้อหวงถามว่า " พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่เอาอะไรเป็นฌานสมาธิ (กำหนดการทำฌานสมาธิอย่างไร) สงฆ์เสวี๋ยนเช่อตอบว่า "พระอาจารย์ของอาตมากล่าวว่า "(ภาวะ) กายธรรมอันปราศจากรูปลักษณ์นั้น (เป็นภาวะ) กลมสมบูรณ์สงบนิ่งวิเศษแท้ "องค์" กายธรรมอันเป็นหลัก กับ "ศักยภาพ" อันเป็นคุณสมบัติของกายธรรมสงบคงที่  ขันธ์ห้านั้น อันที่จริงคือสิ่งว่าง  อายตนะหกก็มิใช่สิ่งมีจริงแท้  จึงไม่เข้าไม่ออก ไม่คงอยู่ในสมาธิ และไม่วุ่นวายกระเจิงไป ภาวะแห่งฌานปราศจากการยึดหมาย พ้นจากการยึดหมายในความสงบแห่งฌานได้ ภาวะแห่งฌานก็จะปราศจากการเกิด (ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เข้าออก) พ้นจากการคิดคำนึงต่อการเกิดของฌาน (ไม่ยึดหมายให้ได้ฌาน) จิตใจก็จะเวิ้งว้างดุจอากาศกว้าง อีกทั้งปราศจากขอบเขตจำกัดแห่งอวกาศว่างนั้น"
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2554, 14:12
                    คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        เมื่อพระอาจารย์จื้อหวงได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงเดินทางตรงมาเพื่อคารวะพระธรรมาจารย์  พระธรรมาจารย์ถามว่า "ท่านผู้เจริญมาด้วยเหตุอันได" พระอาจารย์จื้อหวงเล่าความเป็นมาที่มีบุญสัมพันธ์กับสงฆ์เสวียนเช่อโดยตลอดนั้น  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "เป็นเช่นที่สงฆ์เสวียนเช่อกล่าวแก่ท่านแล้วโดยแท้ ขอเพียงให้ใจของท่านประดุจห้วงอวกาศอันเวิ้งว่างปราศจากทิฐิยึดหมายอยู่ในความว่างนั้น การใช้ความว่างนั้นก็จะปราศจากอุปสรรคขัดข้อง จะเคลื่อนไหวทำการใดหรือจะสงบนิ่ง ก็ปราศจากใจวุ่นวายปรุงแต่ง ลืมสิ้นต่อภาวะผูกโยงทั้งทางโลก ทางอริยะ ลืมสิ้นทั้งสิ่งที่ให้ได้และได้ให้ จิตญาณกับรูปลักษณ์สงบคงที่ เช่นนี้ ไม่มีขณะใดที่ขาดจากสมาธิได้" ฟังดังนั้นแล้ว พระอาจารย์จื้อหวงพลันเกิดความรู้แจ้งถึงที่สุด สิ่งที่ได้รับ (ฌานสมาธิอันยึดหมายไว้) เมื่อยี่สิบปีก่อน พลันอันตรธานสูญสิ้น ไม่ตกค้างแต่อย่างใดเลย  ราตรีนั้นเอง ชาวบ้านผู้คนทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำหวงเหอ ต่างได้ยินเสียงดังจากเบื้องฟ้าเป็นข้อความว่า "พระอาจารย์จื้อหวงได้รับวิถ๊ธรมวันนี้" ภายหลัง  พระอาจารย์จื้อหวงกราบลาพระธรรมาจารย์ กลับคืนไปยังตอนเหนือลุ่มแม่น้ำหวงเหอถิ่นฐานตน แพร่ธรรมกล่อมเกลาสาธุชนไปทั่วทุกทิศ  สงฆ์รูปหนึ่งกราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ว่า "จุดหมายแห่งธรรมของหวงเหมย (พระธรรมาจารย์สมัยที่ห้า) ผู้ใดได้รับ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "ผู้เข้าถึงพุทธธรรมเป็นผู้ได้รับ" 

พิจารณา  :   หวงเหมยเป็นชื่อตำบลบ้านเกิดของพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้า

        สงฆ์รูปนั้นถามอีกว่า "พระมหาเถระเจ้า ท่านได้รับแล้วหรือมิได้" พระธรรมาจารย์ตอบว่า "อาตมามิได้รับ"  สงฆ์ถามอีกว่า "ไฉนพระมหาเถระเจ้า ท่านจึงมิได้รับ"  พระธรรมาจารย์ตอบว่า "อาตมาเข้าไม่ถึงพุทธธรรม"

พิจารณา  :  พระธรรมาจารย์ตอบว่า มิได้รับ กับ เข้าไม่ถึง  พุทธธรรม  เป็นคำตอบจากภาวะจิตของผู้ได้รับและเข้าถึงจริง แสดงถึงความสำรวมระวัง ไม่ยึดหมาย ไม่อวดอ้าง

        วันหนึ่ง  พระธรรมาจารย์ใคร่จะซักจีวรที่ได้รับสืบทอดจากพงศาธรรมาจารย์มา แต่หาลำธารสวยน้ำใสไม่ได้ จึงดำเนินไปทางหลังวัดไกลออกไปอีกห้าลี้กว่า  เห็นหมู่ไม้ไพรพฤกษ์เจริญร่มเย็น เห็นบรรยากาศมงคลวนอยู่โดยรอบเหนือบริเวณนั้น ท่านเขย่าลูกกระพรวนบนหัวคทาแล้วปักลงตรงนั้น น้ำพุ่งขึ้นจากแผ่นดินตรงนั้นทันที พูนเพิ่มเป็นสระใหญ่อย่างรวดเร็ว (ภายหลังได้ชื่อว่า ลำธารซักล้าง จั๋วสี่เฉวียน ) พระธรรมาจารย์ก้มลงซักจีวร ณ โขดหิน
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 6 กราบนิมนต์บุญฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2554, 14:46
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        ขณะนั้น อยู่ ๆ มีสงฆ์รูปหนึ่ง ปุปปับมากราบพระธรรมาจารย์ กราบเรียนว่า "ศิษย์มีฉายาว่า ฟังเปี้ยน เป็นชาวเมืองซื่อชวน (ซีสู่ หรือ เสฉวน) ฟังเปี้ยนเดินทางมาไกล ด้วยปรารถนาจะขอชมบาตรกับจีวรที่พระธรรมาจารย์ได้รับมอบหมายสืบต่อมา" พระธรรมาจารย์โปรดออกนำแสดง แล้วถามว่า "ท่านทำงานการใดหรือ" (สันทัดธรรมปฏิบัติอย่างไร) ฟังเปี้ยนตอบว่า "สันทัดการปั้น" พระธรมาจารย์แสดงอาการจริงจังโปรดว่า "(ถ้าเช่นนั้น) ท่านลองปั้นดู" ฟังเปี้ยนมิรู้จะทำประการใด วางท่าไม่ถูก  ไม่กี่วันต่อมา ปั้นเป็นพระธรรมสาทิสลักษณ์พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเสร็จเรียบร้อย องค์สูงเจ็ดนิ้ว สัดส่วนงดงามปราณีตมาก เมื่อถวายแด่พระธรรมาจารย์ พระธรรมาจารย์ยิ้มแล้วโปรดว่า "ท่านเข้าใจแต่การปั้นชีวิตชีวารูปลักษณ์ (ปั้นรูปให้มีชีวิตชีวา) ไม่เข้าใจการปั้นชีวิตชีวาของพุทธะ (ไม่เข้าใจการปั้นพุทธยานตน)"พระธรรมาจาย์เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบศรีษะของฟังเปี้ยน (เป็นการให้พร) แล้วโปรดว่า "เธอจงเป็นเนื้อนาบุญของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายเรื่อยไปตลอดกาลนานเถิด"  พระธรรมาจารย์มอบจีวรหนึ่งผืนเป็นค่าตอบแทน ฟังเปี้ยนแบ่งจีวรออกเป็นสามชิ้น  ชิ้นหนึ่งห่มเป็นกาสาวพัสตร์แด่พระธรรมสาทิสลักษณ์รูปปั้นนั้น ชิ้นหนึ่งเก็บรักษาไว้เป็นของตน  อีกชิ้นหนึ่งห่อด้วยใบลานแล้วฝังดิน  ขณะฝังได้อธิษฐานว่า ภายหน้าเมื่อได้ผ้าชิ้นนี้ (ถูกขุดขึ้นมา) นั่นคือ เมื่อข้าพเจ้าเกิดใหม่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ เพื่อทำการสร้างโบสถ์วิหารขึ้นใหม่  สงฆ์รูปหนึ่ง หยิบยกโศลกของอาจารย์เซ็น ฉายาอั้วหลุนขึ้นมาท่องบ่นว่า...

" อั้วหลุน" ฝีมือดีมีความสามารถ               อาจตัดขาดความคิดจิตนับร้อย   
 ต่อสภาพการใด ๆ ใจไม่พลอย               โพธิค่อยเติบใหญ่ทุกคืนวัน

        พระธรมาจารย์ได้ฟังโศลกที่ศิษย์นำมาท่อง จึงดปรดว่า "โศลกนี้ยังไม่กระจ่างต่อจิตเดิมแท้ หากปฏิบัติตามไป จะเพิ่มการผูกมัดให้แน่นเข้า"  จึงได้โปรดแสดงโศลกให้หนึ่งบทว่า.....

"ฮุ่ยเหนิง"  นี้ไม่มีความสามารถ             ไม่ตัดขาดความคิดจิตร้อยนั้น
สภาพใดใจเกิดไม่ยึดมั่น                      โพธินั้นวันคืนใดได้เติบโต

พิจารณา  : 

อันที่จริงทุกสิ่งอย่างล้วนว่างเปล่า             มิต้องเอาฝีมือใดไปตัดหนา
จิตเกิดดับกับสภาพลับหายนา                 โพธิหามีต้นไม้ใดเติบโต

                                                - จบบทที่ ๖ - 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2554, 19:04
                       คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

        วาระนั้น พระธรรมาจารย์เจริญธรรมอยู่ ณ วัดป่ารัตนารามเป่าหลิน อำเภอเฉาซี  ส่วนมหาเถระเจ้าเสินซิ่วนั้นเจริญธรรมอยู่ ณ วัดธารหยก อำเภอจิงหนัน ณ เวลานั้น ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงธรรมกล่อมเกลาสาธุชนกันเป็นที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู สาธุชนต่างขนานนามแก่อาณาจักรธรรมทั้งสองว่า " ใต้เหนิง  เหนือซิ่ว " (หนันเหนิงเป่ยซิ่ว) (ทางใต้ท่านฮุ่ยเหนิง  ทางเหนือท่านเสินซิ่ว)  ดังนั้น จึงเกิดการแบ่งแยกในหมู่ชนเป็นสองนิกาย คือ เหนือกับใต้ ฉับพลันกับนานเนื่อง" ซึ่งผู้ศึกษาเอง ก็ยังไม่เข้าใจในจุดหมายหลักในการปฏิขัติบำเพ็ญของทั้งสองนิกายนี้

พิจารณา  :  "ฉับพลัน" คือการเข้าถึงสัจธรรม ให้รู้ความเป็นจิตเดิมแท้แห่งตนทันที เป็นวิธีนิรนัย  ไม่ต้องใช้หลักธรรมคำสอนมากมายมาหล่อหลอมตะล่อมใจให้คล้อยตาม  "นานเนื่อง" คือค่อยเป็นค่อยไป เป็นวิธีอุปนัย ต้องใช้กุศโลบาย ใช้เวลานานต่อเนื่อง ศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญเรื่อยไป จนกว่าจะเข้าใจ จนกว่าจะบรรลุ  ทั้งสองนิกาย แท้จริงแล้วมิได้พิเศษกว่ากันโดยเหตุแห่งวิธีนิรนัยหรืออุปนัย มิได้เป็นกฏเกณฑ์ตายตัวว่า จะต้องใช้เวลามากน้อยกว่ากันในการเข้าถึงทั้งภาวะ "ฉับพลัน"  หรือภาวะ "นานเนื่อง"  แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอันได้สร้างสมมาแต่ก่อนกาล วิถี "ฉับพลัน" อุปมาผลไม้แก่จัดได้ที่ เมื่อปลิดลงมาก็พร้อมที่จะกินได้  วิถี "นานเนื่อง"  นั้น  อุปมาเหมือนผลไม้ที่ยังต้องรอเวลา เมื่อแก่จัดแล้วจึงค่อยปลิดลงมาซึ่งก็หอมหวานปานกัน ฉับพลันกับนานเนื่องจึงเท่ากับมองดูผลไม้นั้นคนละขั้นตอน ผลไม้ทั้งสองล้วนเกิดบนต้น จากเริ่มเป็นดอก เป็นผลอ่อน ผ่านเย็นร้อนลมฝนจนกว่าจะได้ที่  ผู้บำเพ็ญ "ฉับพลัน"  ท่านสร้างสม  "ภาวะได้ที่" มาแล้วตั้งแต่ชาติไหน ๆ  ซึ่งมิใช่ข้ามขั้นตอนจากผลอ่อนแล้วแก่จัดได้ที่ทันที ซึ่งอาจสรุปได้ว่า "ฉับพลัน"  ได้ผ่าน  "นานเนื่อง"  มาก่อนแล้วเช่นกันนั่นเอง

         พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงโปรดแก่สาธุชนว่า "ธรรมะนั้น โดยแท้ล้วนเป็นต้นตระกูลหนึ่งเดียวกัน คนต่างหากที่มีความเป็นเหนือใต้ (คนต่างเผ่าพันธุ์) แต่พุทธธรรมนั้นเผ่าพันธุ์เดียวกัน" ทิฐิ  รู้เห็น  มีช้ามีเร็ว  เหตุใดจึงได้ชื่อว่า " ฉับพลันกับนานเนื่อง "  พุทธธรรมไม่มีความเป็นฉับพลันและนานเนื่อง แต่คนต่างหากที่มีความเฉียบแหลมกับทู่ทือ (พื้นฐานที่บำพ็ญต่างกัน ทำให้ปัญญาเฉียบแหลมกับทู่ทื่อต่างกัน) จึงได้ชื่อว่า ฉับพลัน  กับ  นานเนื่อง

พิจารณา  :  อริยะกับสามัญชน  ต้นตระกูลหนึ่งเดียวกัน ล้วนมาจากศูนย์พลังงานใหญ่แห่งมหาจักรวาลหนึ่งเดียวกัน เมื่อมาสถิต ณ ตัวตน  เริ่มต้นเป็นจิตญาณครองสังขารนั้น หากรักษาความบริสุทธิ์ใสไว้ได้ ไม่เกลือกกลั้วมัวหมอง ปัญญาอันเพียบพร้อมอยู่อย่างนั้นเอง ในจิตญาณได้รับการประคองรักษา ด้วยการปฏิบัติบำเพ็ญเป็นอย่างดี จิตญาณนี้คือ อริยะ  แต่หากเป็นไปในทางตรงกันข้าม จิตญาณนั้นย่อมเป็นสามัญชน   จึงสรุปโดยประมาณว่า

จิตญาณคือธรรม             กำเนิดเดียวกัน
อริยะสามัญ                  ปัญญาแตกต่าง
ปล่อยใจปล่อยตัว           เกลือกกลั้วไม่วาง
จึงยิ่งทิ้งห่าง                 ทางกลับต้นเดิม
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2554, 10:13
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

       ( แม้พระธรรมาจารย์จะโปรดชี้แจงให้เห็นสัจธรรม ความเป็นหนึ่งเดียวของธรรมะที่ถูกหลงผิด แยกนิกาย ฝ่ายพวก เป็น "ฉับพลันกับนานเนื่อง" แล้วก็ตาม...)แต่ทว่าบรรดาศิษย์ของท่านเสินซิ่ว มักจะเหยียดหยันพระอาจารย์ฝ่ายใต้ว่า "ไม่รู้จักหนังสือแม้สักตัวเดียว จะมีปัญญาความสามารถอะไรเหนือกว่าได้"

พิจารณา  :  คนที่ชอบดูแคลนพระธรรมาจารย์เช่นนี้ นอกจากจะมีบาปมหันต์แล้ว ยังไมมีโอกาสใกล้ชิดพระอริยเจ้า ไม่อาจเข้าสู้ประตูพุทธะได้อย่างแท้จริง เิกิดความเสียหายแก่ตนมิอาจประมาณ

        เมื่อท่านเสินซิ่ว ได้ยินศิษย์กล่าวถึงท่านฮุ่ยเหนิงเช่นนี้ก็ปรามให้ว่า "ท่านฮุ่ยเหนิงเป็นผู้มีปัญญา โดยปราศจากอาจารย์สอนสั่ง รู้แจ้งลึกซึ้งต่อพุทธธรรมแห่งมหายาน อาตมามิอาจเสมอด้วยท่านได้ อีกทั้งพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้าของอาตมาเอง ก็ได้มอบหมายถ่ายทอดวิถีธรรม กับ จีวรพงศาธรรมาจารย์ให้โดยตรงสิ่งนี้จะไร้การอันควรไปได้อย่างไร เสียดายที่อาตมาไม่สามารถเดินทางไกลไปใกล้ชิดท่าน (ฮุ่ยเหนิง) ได้ ได้แต่อยู่รับพระคุณอุปัฏฐากจากบ้านเมือง (อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์) เสียเปล่า พวกท่านทั้งหลายมิควรยั้งอยู่ที่นี่ จงไปศึกษาให้สิ้นข้อกังขาที่เฉาซีได้"

พิจารณา  :  ช่วงเวลานั้น สถานภาพของท่านเสินซิ่ว กับ ท่านฮุ่ยเหนิงนับว่าเสมอกัน แต่ท่านเสินซิ่วกล่าวแก่ศิษย์อย่างจริงใจ เปิดกว้าง ด้วยปฏิปทาอันน่าเคารพยิ่งเช่นนี้ ทำให้เห็นความเป็น " ผู้ใหญ่ " ที่ให้โอกาส ทำให้เห็นความเป็นผู้น้อยที่เคารพพระอาจารย์ เทิดทูนธรรมะเป็นที่สุดของท่าน 

        จากนั้น มหาเถระเจ้าเสินซิ่ว ได้โปรดบัญชาศิษย์ ธรรมฉายาจื้อเฉิงว่า "ท่านฉลาดเฉลียวมีปัญญามาก ไปฟังธรรมแทนอาตมาได้ที่เฉาซี หากได้สดับสัทธรรม พึงจดจำไว้ให้ดี กลับมาถ่ายทอดให้อาตมา" สงฆ์จี้เฉิงรับบัญชา เดินทางมาถึงเฉาซี เข้ากราบนมัสการพร้อมกับใคร ๆ โดยมิได้กราบรายงานว่า"ตนเอง" มาแต่ใด  ขณะนั้นเอง พระธรรมาจารย์ได้กล่าวแก่ทุกคนในที่นั้นว่า " วันนี้มีคนมาจาบจ้วงล้วงธรรม แฝงตัวอยู่ในการประชุมที่นี่ "

พิจารณา  :  พระธรรมาจารย์มีญาณวิเศษ ไม่ดูไม่ฟังแต่รู้เห็น ไม่เขียนไม่อ่านแต่ปัญญาญาณกระจ่างแจ้ง ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่พระธรรมาจารย์ใช้ญาณวิเศษ ต่อหน้าคนทั้งหลายด้วยความจำเป็นเฉพาะการ ซึ่งท่านไม่พึงปรารถนาจะแสดง ตลอดเวลาที่ถ่ายทอดวิถีธรรม (วิถีจิต) ให้รู้จิตฉับพลัน  ผันจิตให้พบพุทธภาวะในตน ล้วนเพื่อนำเข้าทางตรงอันอาจบรรลุธรรม แต่หากหลงใหลในอภิญญา เพลิดเพลินอยู่กับญาณวิเศษ นานวันไป นอกจากจะฟุ้งซ่านยึดหมายแล้ว ยังจะกลับคืนมาบำเพ็ญวิถีจิตทางตรงได้ยาก

        ทันที ที่พระธรรมาจารย์กล่าวจบ สงฆ์จื้อเฉิงรีบออกมาแสดงตัว ตรงเข้าก้มกราบพระธรรมาจารย์ เล่าความเป็นมาทั้งหมด พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ท่านมาจากธารหยก (วัดอวี้เฉวียนที่ท่านเสินซิ่วเจริญธรรมอยู่) ที่มานี้ น่าจะเป็นผู้สอดแนม" สงฆ์จื้อเฉิงตอบว่า "หามิได้"   พระธรรมาจารย์ว่า "ไฉนจึงว่าหามิได้" สงฆ์จื้อเฉิงตอบว่า "ขณะยังมิได้แสดงตัวกราบเรียนความเป็นมานั้น ใช่อยู่ เมื่อแสดงตัวกราบเรียนแล้วจึงว่า หามิได้"

พิจารณา  :  สงฆ์จื้อเฉิงมีไหวพริบปฏิภานเฉียบแหลม สมกับที่ท่านเสินซิ่วได้มอบหมายหน้าที่ให้โดยแท้

        พระธรรมาจารย์ถามว่า "อาจารย์ของท่าน แสดงธรรมนำพาสาธุชนอย่างไรหรือ" กราบเรียนว่า "ท่านชี้นำอบรมสาธุชนให้กำหนดจิตอยู่กับที่ ให้เพ่งดูความสงบ นั่งทำสมาธิตลอดเวลา มิให้เอนกายลงนอน" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "กำหนดจิตเพ่งดูความสงบ มิใช่วิถีแห่งฌาน แต่เป็นอาการป่วยของฌาน (ฝึกทรมาน) การนั่งอยู่ตลอดเวลาบังคับสังขาร จะมีประโยชน์อันใดต่อหลักธรรม" จงฟังโศลกจากอาตมา...
       
        เกิดมานั่งไม่เอนกาย             ตายไปเอนกายไม่นั่ง                       
กระดูกเน่าเหม็นเป็นร่าง                 บุญสร้างฤายึดร่างปฏิบัติ

พิจารณา  :  ความสำคัญของการเจริญธรรมนำเนื่องด้วยจิตญาณ มิใช่ด้วยอาการของร่างกายว่าจะต้องนั่งทำความเพียรฝืนสังขาร มิใช่จะต้องให้อดทนจนถึงที่สุดแล้วจึงจะเข้าถึงจิตญาณบรรลุธรรม  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงความเพียรด้วยกายสังขารมาก่อนอย่างหนักหนาสาหัส สุดท้ายพระองค์ก็ทรงทราบว่า มันไม่ใช่  จิตญาณเป็นหลัก กายสังขารเป็นองค์ประกอบ ทุกอย่างสงบราบรื่นไม่ฝืนขัด ในคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ ประโยคหนึ่งที่ว่า "ใคร่บรรลุพุทธะพึงหมั่นกราบกราน" (เอี้ยนเสี่ยงเฉิงฝอฉินหลี่ไป้) กราบไป จิตญาณขอขมากรรมต่อความผิดความถูก (ความถูกที่อาจผิด) อาการเคลื่อนไหวกายสังขารขณะกราบ เป็นไปโดยดุษณีด้วยจิตสำนึก ร่างกายเป็นเพียงองค์ประกอบ ช่วยให้จิตเข้าสู่ภาวะรู้ผิด รู้ชอบ รู้ผิด รู้ชอบ คือจิตได้หมั่นกราบกรานแล้ว     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2554, 11:47
                    คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

        สงฆ์จื้อเฉิงกราบพระธรรมาจารย์เป็นคำรบที่สองแล้วกราบเรียนถามว่า "ศิษย์ศึกษาธรรมอยู่กับมหาเถระเจ้าสินซิ่วมาเก้าปีแล้ว มิได้เข้าถึงภาวะรู้แจ้ง บัดนี้ได้สดับคำกล่าวจากมหาเถระท่านเท่านั้น พลันสมานเข้าถึงจิตเดิมแท้ ศิษย์สำนึกรู้ว่าเรื่องเกิดตายเป็นเรื่องใหญ่ ขอมหาเถระท่านได้โปรดสั่งสอนชี้แนะอีกด้วยเถิด"

พิจารณา  :   สงฆ์จื้อเฉิงศึกษาธรรมอยู่กับท่านเสินซิ่วมาเก้าปี แม้จะยังมิรู้แจ้ง แต่เก้าปีที่่านมาก็ได้สร้างรากฐานของการบำเพ็ญมาพอสมควร ฉะนั้น พอสดับธรรมจากพระธรรมาจารย์เพียงเล็กน้อยก็เข้าถึงจิตเดิมแท้โดยฉับพลัน  หาไม่แล้วคงยังอีกห่างไกลนัก

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "อาตมาได้ยินว่า อาจารย์ของท่านสั่งสอนชี้แนะผู้มาศึกษาธรรมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ไม่แจ้งว่าอาจารย์ของท่านแสดงธรรมลักษณ์แห่งศีล สมาธิ ปัญญา ว่าอย่างไร พูดให้อาตมาฟังทีหรือ" สงฆ์จื้อเฉิงกราบเรียนว่า "พระอาจารย์เสินซิ่วท่านสอนว่า "ไม่ทำบาปทั้งปวง เรียกว่ารักษาศีล เทิดทูนปฏิบัติความดีทุกประการเรียกว่าเจริญปัญญา  ขำระดำริจิตใจให้ผ่องแผ้ว เรียกว่า ตั้งอยู่ในสมาธิ"  พระธรรมาจารย์เสินซิ่วโปรดไว้ดังนี้ มิทราบว่าพระเถระท่านโปรดธรรมต่อคนทั้งหลายอย่างไร"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "หากอาตมากล่าวว่า มีธรรมะโปรดแก่ผู้คน ก็คือหลอกลวงท่าน อาตมามีแต่ช่วยแก้ปมให้ตามเหตุปัจจัยอันสมควร โดยอาศัยชื่อแห่งสมาธิเท่านั้น (สมาธิมิอาจสอนได้) ที่อาจารย์ของท่านแสดงธรรมแห่งศีล สมาธ ปัญญานั้นวิเศษแท้ แต่ศีล สมาธิ ปัญญาในความเห็นของอาตมายังแตกต่างไปอีก"

พิจารณา  :   โปรดสังเกตุ และ พิจารณา คำถามคำตอบพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงผู้ทรงไว้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อันล้ำเลิศบริสุทธิ์งดงาม ชัดเจนแต่มิได้ระคายเคือง
         สงฆ์จื้อเฉิง (แย้ง ) ว่า "ศีล สมาธ ปัญญาแห่งอาจารย์ของท่านใช้เป็นเครื่องรองรับชาวมหายาน ส่วนศีล สมาธิ ปัญญาแห่งอาตมานั้น ใช้เป็นเครื่องรองรับชาวมหายานสูงยิ่ง (พุทธยาน) ความเข้าใจกับการรู้แจ้งต่างกัน การเห็นจิตเดิมแท้มีช้ามีเร็ว ท่านจงฟังอาตมาดูทีหรือว่าจะแตกต่างจากอาจารย์ของท่านหรือไม่ ธรรมะที่อาตมาแสดงให้ไม่พ้นจากจิตญาณตน แสดงธรรมพ้นจากภาวะหลักแห่งธรรม เรียกว่า แสดง "ธรรมลักษณะ" (พูดเปลือกนอก) จิตญาณจะยึดหมายไปเป็นความหลง พึงรู้ว่าข้อธรรมทั้งปวง ล้วนเกิดแต่จิตญาณเป็นหลักเนื่องนำ เช่นนี้ จึงจะเป็นหลักธรรมของศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแท้จริง

พิจารณา  :  ศีล สมาะิ ปัญญา ที่ท่านเสินซิ่วแสดงธรรม เป็นข้อห้ามกำหนดจากภายนอก แต่ศีล สมาธิ ปัญญา ที่พระธรรมาจารย์แสดงเป็นภาวะอันเกิดจากจิตเดิมแท้ จึงกล่าวว่าเป็น ศีล สมาธิ ปัญญาแห่งจิตภายใน

จงฟังโศลกจากอาตมา  :
พื้นฐานจิต        นิจศีลไซร์        ไม่ก่อผิด
พื้นฐาฯจิต        นิจปัญญา         หาหลงไม่
พื้นฐานนั้น       มั่นสมาธิ           ไม่วุ่นวาย
ไม่ลดหาย       ไม่เพิ่มมาก        จากเิดิมที
อันจิตญาณ      นั้นวัชระ            ประภัสสร
ไม่ตัดทอน      ก่อนหลังว่า        มาแต่ไหน
เป็นอริยะ        สามัญชน          คนชั้นใด
กายมาไป       ในตถตา           สมาธิเดิม

พิจารณา  :  พื้นฐานจิต หมายถึง  จิตญาณอันเป็นภาวะแท้ของชีวิต  กายมาไป หมายถึง กายตนจริงที่เป็นจิตญาณอิสระ เป็นตถตาภาวะที่เป็นอยู่อย่างนั้นเองด้วยศีล สมาธิ ปัญญา อันแท้จริง   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2554, 15:27
                    คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )
                   
        สงฆ์จื้อเฉิงสดับโศลกจบลง ขอบพระคุณด้วยจิตสำนึกที่ได้ผอดพลาดไป จึงถวายโศลกขอบพระคุณบทหนึ่งว่า

รูปกายนี้             มีขันธ์ห้า             มายาเห็น
ในเมื่อเป็น          เช่นมายา            หาใดแน่
มุ่งหมายใน         ตถตา                ว่าจริงแท้
หากยังแปร         แวะเวียนไป         ไม่ใสจริง

        พระธรรมาจารย์เห็นด้วยกับคติธรรมในโศลกนี้

พิจารณา  :  ธรรมะบริสุทธิ์ใส แต่หากมีความมุ่งหมาย แม้แต่มุ่งหมายในความเป็น " เช่นนั้นเอง " ของจิตญาณ ของธรรมะ ของตถตา ธรรมะบริสุทธิ์ใส ก็แปดเปื้อนไปไม่เอี่ยมอ่องหมดจดเสียแล้ว ด้วยเหตุจากความมุ่งหมายยึดมั่นนั้น

        พระธรรมาจารย์โปรดแก่สงฆ์จื้อเฉิงอีกว่า "ศีล สมาธิ ปัญญาตามคำสอนของอาตมา เหมาะสำหรับตักเตือนผู้มีรากฐานปัญญาระดับใหญ่ (สูง)  หากรู้แจ้งจิตญาณตน อีกทั้งไม่ตั้งญาณทัสสนะ ความรู้เห็นต่อความเป็นโพธิ และความถึงซึ่งนิพพาน อีกทั้งไม่ตั้งญาณทัสสนะความรู้เห็นต่อกานหลุดพ้น เข้าถึงความว่างเปล่าอันปราศจากหนึ่งธรรมใดที่ได้รับ ดังนี้จึงอาจก่อเกิดธรรมทั้งปวงได้ในจิตญาณ"

พิจารณา  :  "ความไม่มีทำให้เกิดมี"  "ความมี" จะด้วยการรู้เห็น การยึดหมายในความมี ล้วนทำให้ไม่อาจมีอย่างแท้จริงได้" มีโพธิก็ด้วยมีลุ่มหลง มีนิพพานก็ด้วยมีเวียนว่าย มีหลุดพ้นก็ด้วยมีผูกมัด ปราศจากผูกมัด จะปรารถนาจากการหลุดพ้นทำไม หากเข้าถึงจิตญาณตนอันบริสุทธิ์หมดจดได้ ก็ไม่จำเป็นอีกเลยที่จะตั้งญาณทัสสนะความรู้เห็นต่อโพธิ ต่อนิพพาน ต่อการหลุดพ้น เมื่อภาวะจิตหมดจด จนมิได้ยึดหมายในหนึ่งธรรมใด ธรรมทั้งปวงย่อมเกิดขึ้นได้เองท่ามกลางความหมดจดนั้น ในภาวะอิสระไร้ขอบเขต

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "หากเข้าใจความหมายนี้ ก็จะได้ชื่อว่า "กายแห่งพุทธะ" (พุทธะกายตน) ได้ชื่อว่าภาวะโพธิ นิพพาน ได้ชื่อว่าหลุดพ้นจากญาณทัสสนะรู้เห็น"

พิจารณา  :  หากเข้าใจความหมายนี้..หมายถึง หากเข้าใจความหมายในภาวะตถตา ที่ "เป็นอยู่อย่างนั้นเอง" นั้น โดยไม่ต้องเอามโนสัยยาความคิด ความจำ ความรู้ใด ๆ ไปเกาะเกี่ยวด้วย... ภาวะนั้นเองที่เรียกได้ว่าโพธิ นิพพาน" นิพพานในที่นี้หมายถึงจิตญาณบริสุทธิ์หมดจด ดับสิ้นจากความข้องทุกประการ

        โปรดต่อไปว่า ผู้เห็นจิตญาณตน จะกำหนด (นามรูป โพธิ นิพพาน) หรือไม่กำหนด ก็เป็นได้อยู่เอง มีอิสระจะมาจะไป (จะอยู่จะละสังขาร จะเกิดใหม่ตายไป) ล้วนปราศจากอุปสรรคขัดข้อง (ผู้เห็นจิตญาณตน) จะทำการใด ๆ ล้วนเป็นไปได้อย่างราบรื่นเหมาะสม จะสนทนาธรรม ตอบคำ ชี้นำ ได้ฉับพลันถูกต้อง (ผู้เห็นจิตญาณตน) จะสำแดงนิรมานกายไปทั่ว (อยู่กับชนหมู่ใด ก็สำแดงคุณสมบัติโปรดธรรมตามจริตของชนหมู่นั้น ๆ ) โดยไม่พ้นจากจิตญาณตน ดังนี้  คือการเข้าสู่ภาวะรู้ เห็น เป็น อยู่อย่างศักดิ์สิทธิ์อิสระ ท่องเที่ยวไปในสมาธิ ชื่อว่า " เห็นจิตญาณตน "

พิจารณา  :  อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของเราชาวอนุตตรธรรม โปรดประทับใช้ร่างพรหมจารีแสดงธรรมแก่ศิษย์นับไม่ถ้วนครั้ง พระองค์ไปมาอิสระ สำแดงนิรมาณกายหลายรูปแบบ เมื่อนั้น เมื่อนี้ ที่นี่ ที่นั่น ท่องเที่ยวไปในสมาธิ เป็นประจักษ์หลักฐานชัดเจนตามคำกล่าวข้างต้น พระองค์จึงได้พระนามว่า " อมตะพุทธะ" พุทธะที่ไม่มีวันตายจากพุทธชน
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/08/2554, 00:59
                    คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

        สงฆืจี้อเฉิงกราบเรียนถามอีกว่า "เช่นไรจึงเป็นความหมายว่าไม่กำหนด" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ในเมื่อจิตญาณ (ทรงศีลเป็นนิจ) ไม่ก่อผิด (ทรงปัญญ) หาหลงไม่ (มั่นสมาธิ) ไม่วุ่นวาย ทุกขณะจิตกระจ่างใสด้วยปัญญา ออกหากจากธรรมลักษณะเป็นนิจ  เป็นอิสระอยู่อย่างนั้นเอง จะเป็นเช่นไรก็ได้เช่นนั้น (ดังนี้แล้ว)ยังจะมีข้อธรรมใดให้กำหนดอีก จิตญาณตนรู้แจ้งด้วยตน รู้แจ้งฉับพลัน บำเพ็ญฉับพลัน ปราศจากลำดับขั้นตอน เช่นนี้จึงมิต้องกำหนด ด้วยข้อธรรมทั้งปวง

พิจารณา  :  จิตภาวะดังกล่าวข้างต้น เป็นเช่นโศลกของท่านฮุ่ยเหนิงที่ว่า "โพธิอันที่จริงนั้นไร้ตน..." ส่วนจิตภาวะของคนทั่วไป เป็นเช่นโศลลกของท่านเสินซิ่วที่ว่า"หมั่นเช็ดถูทุกขณะ" ฉะนั้น ก่อนจะรู้แจ้งเห็นจริงในจิตญาณตน ข้อกำหนดแห่งธรรมทั้งปวงยังคงมี่ความจำเป็นให้อิงอาศัย

        โปรดว่า "ธรรมทั้งปวง ล้วนอยู่ในภาวะนิพพานอันสงบ ประหนึ่งดับสูญ ดังนี้แล้วยังจะมีลำดับขั้นตอนใดอีก

พิจารณา  :  " ข้อธรรมทั้งปวงล้วนเกิดแต่จิต "  (อวั้นฝ่าอิ๋วซินเซิง) เมื่อจิตญาณอยู่ในภาวะนิพพานอันสงบประหนึ่งดับสูญ ธรรมแห่งจิตญาณนั้น ย่อมอยู่ในภาวะนิพพานอันสงบประหนึ่งดับสูญเช่นกัน จึงปราศจากลำดับขั้นตอน

        สงฆ์จื้อเฉิงกราบด้วยความเคารพ ถวายตัวเป็นศิษย์ปรนนิบัติรับใช้ไม่ว่างเว้นนับแต่นั้น สงฆ์จื้อเฉิงเป็นชาวเมืองจี๋โจวไท่เหอ (ปัจจุบันคืออำเภอไท่เหอ มณฑลเจียงซี)  สงฆ์จื้อเช่อ ชาวมณฑลเจียงซี แซ่สกุลจาง สามัญนามว่าสิงชัง เป็นผู้กล้าหาญทะยานตน ต่อสู้ช่วยคนมาตั้งแต่เยาว์วัย ตั้งแต่เกิดการแบ่งแยกเหนือใต้ (ฉับพลันกับนานเนื่อง)  พระอาจารย์เจ้าคณะสงฆ์ องค์ประมุขของทั้งสองฝ่าย แม้จะมิได้แบ่งแยกกัน แต่ศิษย์ทั้งสองฝ่ายนั้นกลับยกตนข่มท่าน เกลียดชังอิจฉากัน ครั้งนั้น สานุศิษย์ฝ่ายเหนือยกย่องพระอาจารย์เสินซิ่วของตนขึ้นเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หกกันเอง อีกทั้งไม่อยากให้ชาวโลกรู้ความจริงว่า พระธรรมาจารย์สมัยที่ห้า ได้โปรดแต่งตั้งมอบหมายจีวรพงศาธรรมาจารย์ให้แก่ท่านฮุ่ยเหนิงแล้ว ศิษย์ฝ่ายเหนือจึงสั่งให้สิงชังผู้กล้ามาฆ่าพระธรรมาจารย์ เพื่อกำจัดพระธรรมาจารย์องค์จริงเสีย  พระธรรมาจารย์มีญาณวิเศษรู้วาระจิตผู้อื่นได้ จึงทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น พระอาจารย์จึงเตรียมทองสิบตำลึงวางไว้ที่ข้างอาสนะ ในยามค่ำคืนนั้นเอง สิงชังผู้กล้าก็แฝงกายเข้ามาในห้องของพระธรรมาจารย์เพื่อจะฆ่าฟัน พระธรรมาจารย์ ยื่นคอรอรับคมดาบ สิงชังเงื้อดาบฟันลงที่ต้นคอพระธรรมาจารย์ถึงสามครั้ง แต่มิอาจทำลายพระธรรมาจารย์ได้เลยแม้แต่น้อย
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/08/2554, 01:51
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

        พระธรรมาจารย์จึงโปรดแก่สิงชังว่า

ดาบเที่ยงธรรมสุจริตไม่ผิดบาป             ดาบผิดบาปมิใช่ดาบอันเที่ยงธรรม
อาตมาเป็นหนี้ท่านแค่ทองคำ              มิเป็นหนี้ท่านกระทำให้วางวาย

        สิงชังผู้กล้าผงะหงายด้วยความตกใจ ล้มฟาดกับพื้นสิ้นสติไป พักใหญ่ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้น เขาวิงวอนสำนึกผิด ต่อพระธรรมาจารย์ ถวายปณิธานของอุปสมบททันที

พิจารณา  :   เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นเป็นตัวอย่าง เป็นธัมมานุสติให้ระลึกถึงพระธรรม การละเว้นกรรมชั่วกระทำความดี กฏแห่งกรรมยากนักจะหลีกเลี่ยงลบล้าง แม้พระธรรมาจารย์ผู้ประกอบกรรมดีมาชั่วชีวิต ยังมีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้ ดังคำกล่าวที่ว่า

เป็นหนี้ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต             เป็นหนี้เงืนทองต้องชดใช้ด้วยเงินทอง
เป็นหนี้อย่างไรต้องชดใช้อย่างนั้น         ไม่เป็นหนี้ย่อมไม่มีการชดใช้

        พระธรรมาจารย์จึงมอบทองคำให้แล้วโปรดว่า "ท่านจงกลับไปก่อน ด้วยเกรงว่าเหล่าศิษย์ของอาตมาจะกลับทำร้ายท่าน วันหน้าท่านจึงค่อยปลอมตัวกลับมาใหม่ อาตมาจะรับท่านไว้"

พิจารณา  :  พระธรรมาจารย์จัดการเรื่องราวได้อย่างปราณีตสุขุม กลมกลืนงดงาม แม้จะสูงส่งด้วยสถานภาพของพงศาธรรมาจารย์แห่งยุค แต่เมื่อพระองค์หยั่งรู้ว่าเคยเป็นหนี้เงินทองเขามาก่อน ก็ยินดีจ่ายหนี้คืนเขาไป ไม่เป็นหนี้เวไนยฯ ไม่เอาเปรียบเวไนยฯ ไม่กดขี่ ไม่คุมแค้น อีกทั้งยังแผ่เมตตา ยังให้โอกาสอีกต่อไป

        สิงชังผู้กล้ารับพระบัญชา แฝงกายหนีออกจากวัดในคืนนั้น ภายหลัง สิงชังได้ออกบวชที่สำนักสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง รักษาศีลบริสุทธิ์ทุกข้ออย่างเคร่งครัดพร้อมมูล  วันหนึ่ง สงฆ์สิงชังคิดถึงคำพูดของพระธรรมาจารย์ จึงเดินทางจากที่ไกลมากราบนมัสการ  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "อาตมาคิดถึงท่่านนานมา ไฉนท่านจึงมาล่าช้านัก" สิงชังกราบเรียนว่า "ครั้งนั้น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเถระเจ้ายกโทษให้ บัดนี้แม้จะออกบวชบำเพ็ญเพียรเคี่ยวกรำ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจตอบแทนพระกรุณาคุณท่านได้ มีทางเดียวก็คือ ถ่ายทอดเผยแผ่พุทธธรรมนำพาเหล่าเวไนยฯ เช่นนี้หรือมิใช่ ศิษย์มักจะอ่านพระคัมภีร์ "มหาปรินิรวาณสูตร" อญุ่เป็นประจำ ไม่ทราบความหมายของคำว่า "นิจจัง" กับ "อนิจจัง" ขอพระเถระเจ้าได้โปรดอธิบาย  พระธรรมาจารยฺโปรดว่า "อนิจจังความไม่เที่ยง คือ พุทธญาณ นิจจังความเที่ยง คือ จิตใจที่แบ่งแยกธรรมทั้งปวงด้วยบาปบุญดีร้าย

พิจารณา  :  คำตอบของพระธรรมาจารย์ ทำให้ผู้ที่ได้รับฟังชะงักงันได้เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ซึ่งสงฆ์สิงชังก็เป้นเช่นนั้น จึงย้อนแก่พระธรรมาจารย์ว่า

        "ที่พระเถระเจ้ากล่าวมานั้น ขัดต่อในหลักธรรมพระคัมภีร์ยิ่งนัก" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "อาตมาถ่ายทอดวิถีประทับจิตแห่งพุทธะ ไฉนเลยจะกล้าขัดต่อหลักธรรมในพุทธธรรมคัมภีร์" สงฆ์สิงชังว่า "ในพุทธธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า "พุทธญาณเป็นนิจจังเที่ยงแท้ พระเถระเจ้ากลับบอกว่าพุทธญาณเป็นอนิจจังความไม่เที่ยงแท้ จิตใจที่แบ่งแยกธรรมทั้งปวงด้วบาป บุญ ดี ร้าย ล้วนเป็นอนิจจังความไม่เที่ยงแท้ แต่พระเถระเจ้ากลับกล่าวว่าเป็นนิจจังความเที่ยงแท้ นี่คือขัดแย้งกันทำให้ศิษยืผู้ใคร่ศึกษาเพิ่มความกังขายิ่งขึ้น"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "คัมภีร์มหาปรินิวาณสูตรนั้น แต่ก่อนอาตมาได้ฟังจากแม่ชีอู๋จิ้นจั้ง อ่านท่องมารอบหนึ่ง ก็ได้อรรถาธิบายให้ฟัง (ไปแล้ว) ไม่มีหนึ่งอักษรใด ไม่มีหนึ่งความหมายใด (ที่อรรถาธิบายได้) ไม่ถูกต้องสอดคล้องต่อหลักธรรมในพระคัมภีร์ จนถึงวันนี้ ที่กล่าวแก่ท่านก็ยังคงเช่นกัน มิได้ผันเป็นสองความหมาย

พิจารณา  :  "...จนถึงวันนี้ที่กล่าวแก่ท่าน..." มิใช่ว่างเว้นจนถึงวันนี้ แต่ยังได้กล่าวต่อมาจากวัดธรรมญาณ กล่าวแก่อภิธรรมาจารย์ "อิ้นจงฝ่าซือ" และกล่าวแก่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายในโอกาสอันควรเสมอ
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/08/2554, 02:51
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

        สงฆ์สิงชังกราบเรียน (ยอมรับ) ว่า "ศิษย์ผู้ศึกษาปัญญาตื้นทึบ ขอพระเถระเจ้าได้โปรดอดทนอรรถาธิบายความนัยอันแยบยลนั้นด้วยเถิด" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ท่านรู้หรือไม่ พุทธญาณหากเป็นนิจจังความเที่ยงแท้...(หากเราทุกคนล้วนเป็นพุทธะอันคงอยู่เที่ยงแท้อย่างนั้นแล้ว โลกย่อมจะปราศจากเวไนยสัตว์) ยิ่งจะพูดได้อย่างไรต่อธรรมทั้งปวงว่าเป็นกุศล เป็นอกุศล จนถึงสิ้นกัปกัลป์ก็หามีใครบังคับโพธิจิตไม่ ฉะนั้น อาตมาจึงกล่าวว่า " พุทธญาณเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้ นั่นก็ตรงต่อสัจธรรมความเที่ยงแท้ที่พระพุทธองค์ทรงโปรดไว้"

พิจารณา  :  สำหรับผู้อยู่กับภาวะหลง "พุทธญาณเป็นอนิจจัง" พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "พุทธญาณเป็นิจจัง" สำหรับธาตุแท้แห่งจิตญาณ ฉะนั้นจึงถูกต้องทั้งสองประการ สงฆ์สิงชังอ่านพระคัมภีร์ แล้วยึดหมายกลายเป็นความ " หลง " ว่าพุทธญาณเป็นนิจจังความเที่ยงแท้ พระธรรมาจารย์ต้องการจะทำลายความหลงนั้นของสิงชัง จึงกล่าวว่า "พุทธญาณเป็นอนิจจัง" พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "เป็นนิจจังเที่ยงแท้" เพื่อทำลายความยึดหมายของเวไนยฯที่มีต่อทางโลก พระธรรมาจารย์กล่าวว่า "เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้" เพื่อทำลายความยึดหมายของสิงชังที่มีต่อทางธรรม การศึกษาพุทธวจนะ พระธรรมคัมภีร์ จึงต้องพิจารณาความเป็นมา ความประสงค์ที่แฝงอยู่ แท้จริงแล้ว พุทธญาณมิใช่ทั้งนิจจัง และมิใช่ทั้งอนิจจังยึดหมายอยู่ก็คือเวไนยฯ ก็คืออนิจจัง  วางยึดหมายลง บรรลุพุทธภาวะ ฉับพลัน อนิจจังก็กลับกลายเป็นเที่ยงแท้ สุดท้าย พระธรรมาจารย์จึงได้ยืนยันว่า "ที่กล่าวมานั้น ตรงต่อสัจธรรมความเที่ยงแท้ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้"

        โปรดต่อไปอีกว่า "ธรรมทั้งปวงหากเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้ (แสดงว่ายังมีการเกิดดับ) " สรรพชีวิตล้วนมีจิตญาณในตน ต่างต้องได้รับสภาพการเกิดตาย แต่จิตญาณตถตาเที่ยงแท้ไม่เกิดดับ ดูพร่องด้วยเหตุผล ฉะนั้น ที่อาตมากล่าวว่าเป็นนิจจังเที่ยงแท้นั้น คือ ตรงต่อความหมายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป้นอนิจจังไม่เที่ยงแท้นั่นเอง  องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุอันเนื่องด้วยปุถุชนกับมิจฉาชนยึดหมายในความเที่ยงแท้ผิด ๆ ส่วนหมู่ชนในยานระดับที่สอง มักจะเอาความเที่ยงประมาณความไม่เที่ยง ก่อเกิดความคิดเห็นสับสน กลับไปกลับมาแปดประการ...( ไม่เที่ยงประมาณความเที่ยง   ความทุกข์ประมาณความสุข
ปราศจากตัวตนประมาณตัวตน   ไม่หมดจดประมาณความหมดจด   เที่ยงประมาณความไม่เที่ยง   ความสุขประมาณความทุกข์   มีตัวตนประมาณปราศจากตัวตนหมดจดประมาณความไม่หมดจด ) ดังนั้น ในคัมภีร์ " มหาปรินิรวาณสูตร " ในบทแจงสอนจึงได้ทำลายความเห็นผิดแห่งชนเหล่านั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าในท่ามกลางจิตญาณมีภาวะตถตาแท้  มีภาวะสุขแท้   มีภาวะตัวตนแท้   มีภาวะหมดจดแท้  วันนี้ท่านอ่านพระคัมภีร์ตามตัวอักษร แต่หันหลังให้กับความหมายอันแท้จริงนั้น ยึดมั่นต่อการดับสูญขาดสิ้นว่าเป็นความไม่เที่ยง อีกทั้งปักใจต่อสิ่งตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงว่าเป็นความเที่ยง และกลับเข้าใจพุทธวจนะในมหาปรินิรวาณสูตรอันปราณีตแยบยลในตอนท้ายที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ผิดไป เช่นนี้ แม้จะอ่านพระสูตรนี้ต่อไปอีกพันครั้ง ยังจะมีประโยชน์อันใดหรือ  สงฆ์สิงชังตื่นใจรู้แจ้งครั้งใหญ่ฉับพลัน ถวายโศลกว่า

ด้วยใจอัน             ยึดมั่นใน        "ไม่เที่ยง"นั้น
พุทธองค์ท่าน        ว่านิพพาน       มีญาณ "เที่ยง"
แม้ไม่รู้                กุศโลบาย        ใจเอนเอียง
หลงผิดเพี้ยง         งมกรวดสระ      ว่าเพชรนา
ศิษย์วันนี้             มิทันชั่ง           สร้างคุณใด
พุทธญาณได้       สำแดงเห็น       เป็นตรงหน้า     
หากมิใช่            อาจารย์ท่าน      นั้นกรุณา
ศิษย์ศึกษา         จะมิได้             อะไรเลย

พิจารณา  :  โศลกสองบาทข้างท้ายมีความหมายอีกแง่หนึ่งว่า

ศิษย์วันนี้             มิทันได้             หมายสิ่งใด
รู้แจ้งได้              มิใช่ท่าน            อาจารย์ให้
พุทธญาณตน       ผลสมบูรณ์          พูนพร้อมใน
ซึ่งมิใช่               บรรลุได้             ด้วยกายตน
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/08/2554, 03:45
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

       พระธรรมาจารย์โปรดว่า "วันนี้ ท่านรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว ควรได้ฉายาธรรมว่า จื้อเช่อ มุ่งมั่นรู้แจ้ง" สงฆ์จื้อเช่อกราบขอบพระคุณแล้วถอยกลับออกมา  เด็กชายคนหนึ่ง นามเสินฮุ่ย เป็นบุตรชายของคนแซ่สกุลเกาแห่งอำเภอเซียงหยัง มณฑลหูเป่ย อายุสิบสามปี มาจากอาณาจักรธรรมของมหาเถระเสินซิ่วที่วัดธารหยก เมืองจิงหนัน เพื่อกราบนมัสการพระธรรมาจารย์  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ผู้คงแก่เรียนลำบากเดินทางไกลมา ยังจำโฉมหน้าเดิม (จิตเดิมแท้) อยู่ ก็จะรู้เป็นผู้ใหญ่ในชีวิตตน...ท่านลองว่าไป

พิจารณา  :  คำทักทายเพื่อหยั่งปัญญาเช่นนี้ เป็นทีู่้กันในหมู่ผู้บำเพ็ญสมัยนั้น คงจำได้ว่า สรรพนามที่พระธรรมาจารย์เรียกขานผู้ใด กล่าวถึงผู้ใด ล้วนให้ความเสมอภาค ยกย่องเช่นนี้เสมอมา นี่คือการแสดงออกของพุทธภาวะ ด้วยเหตุที่ " พุทธะคือความเสมอภาค "

        สามเณรเสินฮุ่ยตอบว่า "เอาจิตที่ไม่ยึดหมายเป็นรากฐาน เอาภาวะจิตที่ส่องเห็นใจจริงอันไม่ยึดหมายเป็นผู้เป็นใหญ่ของชีวิต"

พิจารณา  :  คำตอบของเสินฮุ่ย เป็นคำขวัญที่พูดกันเป็นสูตรในหมู่ผู้บำเพ็ญฌานธยานะ  เสินฮุ่ยไม่ได้พูดผิด แต่พระธรรมาจารย์มิได้ชื่นชมคำตอบนี้ กลับอบรมสั่งสอนยกใหญ่ เพราะเสินฮุ่ยจำเอามาพูด โดยยังมิได้เข้าถึงภาวะจิตเดิมแท้ของตนเองจริง ๆ เลย 

        พระธรรมาจารย์ว่า "สามเณรนี้พูดเรื่อยเจื้อยไม่ชั่งใจ" กล่าวจบก็ยกไม้เท้าตีสามเณรไปสามที  เสินฮุ่ยย้อนถามพระธรรมาจารย์ว่า "พระเถระเจ้านั่งฌานได้เห็นหรือไม่ได้เห็นล่ะ"  พระธรรมาจารย์ย้อนถามบ้างว่า "ที่อาตมาตีท่าน เจ็บหรือไม่เจ็บล่ะ"  ตอบว่า "ทั้งเจ็บและไม่เจ็บ" พระธรรมาจารย์ก็ตอบไปบ้างว่า "ทั้งเห็นและไม่เห็น"  เสินฮุ่ยถามอีกว่า "อย่างไรคือทั้งเห็นและไม่เห็น"พระธรรมาจารย์โปรดว่า "สิ่งที่เห็นของอาตมา คือมักเห็นความผิดแห่งจิตตน ไม่เห็นความถูกผิดดีร้ายในผู้อื่น คือทั้งเห็นและไม่เห็น"

พิจารณา  :  พระธรรมาจารย์หยั่งรู้นิสัยใจคอของสามเณรเสินฮุ่ยได้ จึงใช้คำพูดโต้ตอบอันชอบด้วยอุบายให้เป็นข้อคิดแก่เด็กชายอายุสิบสามที่มีความกล้าเกินตัวนี้

        "แล้วที่ท่านตอบว่าทั้งเจ็บและไม่เจ็บล่ะ เป็นเช่นไร หากท่านไม่เจ็บก็เป็นเช่นท่อนไม้ เป็นเช่นก้อนหิิน  หากว่าเจ็บ ก็จะเป็นเช่นปุถุชน ก็จะบังเกิดความเคืองแค้น  ที่ท่านถามก่อนหน้านี้ว่า "เห็นหรือไม่เห็น" นั้น เป็นการรับรู้สิ่งภายนอกสองฝั่งทาง  แต่ เจ็บและไม่เจ็บ" เป็นสภาวะรับรู้การเกิดดับภายใน ท่านยังมิได้เห็นจิตญาณตน กล้ามาหลอกล่อล้อเล่นเช่นนี้เชียวหรือ" เสินฮุ่ยสำนึกผิด กราบขอให้พระธรรมาจารย์ได้โปรดยกโทษ  พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "หากจิตของท่านหลงอยู่มิอาจรู้เห็น จงถามทาง (วิถีจิต) จากผู้เจริญ  หากจิตของท่านสำนึกรู้ ก็จะเห็นจิตญาณตนได้เอง เมื่อเห็นจิตญาณตนแล้ว จงปฏิบัติตามวิถีธรรมต่อไป ท่านเองหลงอยู่ไม่เห็นจิตตน แต่กลับถามอาตมาว่า "เห็นหรือไม่เห็น" อาตมารู้เห็นก็รู้เห็นกับตนเอง จะรู้เห็นแทนท่านที่หลงอยู่ได้อย่างไร  แต่หากท่านรู้เห็นในตนเอง ก็ไม่อาจรู้เห็นแทนความหลงของอาตมาได้ เช่นนี้แล้ว ไฉนไม่รู้เองเห็นเองเสียล่ะ จะถามอาตมาทำไมว่า "เห็นหรือไม่เห็น"

พิจารณา  : 
ฉันกินคือฉันอิ่ม             ฉันอิ่มด้วยฉันกิน
รับรสหมดทั้งสิ้น            ด้วยลิ้นของฉันเอง
ฉันถึงซึ่งมุ่งเดิน             ท่านเพลินด้วยเดินเคว้ง
ไม่ถึงเมืองเชวง             นอนเขลงตะเลงตุง
เพียงเท่านี้ ผู้บำเพ็ญก็รู้แล้วว่า จะต้องทำอย่างไรกับตนเอง
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) บทที่ 7 ใต้ฉับพลัน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/08/2554, 03:53
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3

                    บทที่ 7  :  ใต้ฉับพลัน  เหนือนานเนื่อง  ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )

        สามเณรเสินฮุ่ย กราบอีกร้อยกว่ากราบ ขอให้พระธรรมาจารย์โปรดยกโทษให้ จากนั้นก็อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระธรรมาจารย์ไม่ห่างเลย  วันหนึ่ง พระธรรมาจารย์โปรดแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า "อาตมามีอะไรสิ่งหนึ่ง ไม่มีหัวไม่มีหาง ปราศจากนาม ปราศจากฉายา ไม่มีด้านหลัง ไม่มีด้านหน้า ทุกท่านรู้จักไหม"  สามเณรเสินฮุ่ยทะยานตนออกมาตอบทันทีว่า "คือต้นกำเนิดของเหล่าพุทธะ พุทธญาณของเสินฮุ่ย"

พิจารณา  :  คำตอบของเสินฮุ่ย หากพิจารณาตัดสินคำพูดกับอักษร คำตอบนี้ถูกต้อง แต่หากพิจารณาจาก "ตัวแท้ของรูป"...ถูกตัดขาดจากการแสดงออกด้วยคำพูดด้วยอักษรโดยสิ้นเชิง เพราะ "ตัวแท้ของนามรูป" มิอาจกล่าวอ้างด้วยนามรูป พระธรรมาจารย์จึงบอกว่า ปราศจากนาม ปราศจากฉายา "ตัวแท้ของรูป" เป็นต้นกำเนิดของเหล่าพุทธะ แต่ "ตัวแท้ของรูป" อันเป็นพุทธญาณ หากไม่มีนามเรียกขานแล้ว "ต้นกำเนิดของพุทธญาณ" จะแสดงให้ณุ้ด้วยอาการใด จึงกล่าวว่า เสินฮุ่ยตอบถูกกับตอบไม่ถูก แต่พระธรรมาจารย์ต้องการจะลบคมของเสินฮุ่ยจึงแสร้งปรามให้

        พระธรรมาจารย์ดุให้ว่า "บอกท่านแล้วว่า ปราศจากนาม ปราศฉายา ท่านก็เรียกเสียว่า "ต้นกำเนิด"  "พุทธญาณ"  ภายหน้า  แม้ว่าท่านจะเอากระท่อมหลัง
คามุงหญ้ามาคุ้มหัวไว้ ก็จะเป็นได้แค่ศิษย์ผู้ใฝ่รู้ใฝ่หาความเข้าใจของสายฌานคนหนึ่งเท่านั้นเอง

พิจารณา  :  คำดุว่าของพระธรรมาจารย์ ฟังเผิน ๆ เหมือนอย่างปรามาส แต่แท้จริงแล้วคือกระตุ้นให้กำลังใจ "เอากระท่อมหลังคามุงหญ้าคุ้มหัว" ท่านหมายถึงมีอาณาจักรธรรมที่รับผิดชอบ  "ผู้ใฝ่รู้ใฝ่ความเข้าใจ" หมายถึง เป็นนักธรรมผู้ใหญ่ที่แตกฉานในสายฌานต่อไป

        ภายหลังต่อมา (หลังจากสิ้นพระธรรมาจารย์แล้ว) เสินฮุ่ยเข้าเมืองหลวง แพร่ธรรมนิกายฉับพลันจากเฉาซีเป็นการใหญ่ ประพันธ์หนังสือ " บทจารึกแสดงพงศาธรรม " ออกเผยแพร่ เป็นที่นิยมชมชอบอย่างกว้างขวาง

พิจารณา  :  ศึกษาพุทธธรรม คือศึกษาวิถีจิต เป็นความปราณีตภายในจิตสำนึก เพื่อกำราบความอยาบ สยบความสับสนวุ่นวายส่ายคลอนของจิตใจ ไม่ใช่เพื่อประดับหรือแสดงความรู้ความสามารถของตน เพื่อการ "ถก" หรือการ "ถม" ให้อีกฝ่ายต้องล้มหงายไม่เกิดได้ หากทำเช่นนั้นได้สำเร็จ ถามว่าใครหรือที่เป็นผุ้แพ้

        พระธรรมาจารย์เห็นศิษย์ในสายธรมต่าง ๆ พากันมาขอถามปัญหาพิศดารในพุทธธรรมกันมากมายเหลือเกิน ล้วนด้วยเจตนาไม่งดงามในธรรม เขาเหล่านั้นชุมนุมกันอยู่เบื้องล่างบัลลังก์อาสน์ ท่านจึงโปรดแก่เขาเหล่านั้นด้วยความสงสารว่า "ผู้ศึกษาธรรม ความคิดทุกอย่างทั้้งคิดดีคิดชั่ว ล้วนพึงขจัดเสียให้สิ้น ( ความคิดทั้งปวงล้วนเป็นอุปสรรคต่อความว่าง ) เมื่อขจัดสิ้นแล้วทั้งคิดดีคิดชั่ว ภาวะนั้นปราศจากนามเรียกขานได้อีก จึงสมมุติให้เรียกว่า " จิตญาณ "  จิตญาณอันปราศจากความเป็นสอง (ไม่คิดดีไม่คิดชั่ว) เรียกว่า "ญาณแท้ตถตา"  การก่อตั้งศาสนจักรทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งสิ้นบนพื้นฐานของ "ญาณแท้" นั้น เพียงแค่เอ่ยปากก็ควรรู้เห็น "ตน" ณ บัดใจ... ทุกคนในที่นั้น ได้ฟังคำของพระธรรมาจารย์แล้ว ต่างก้มกราบด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง อีกทั้งต่างถวายตัวขอเป็นศิษย์
 
                  ญาณคันฉ่องใหญ่             กลมใสโสภิต             คือจิตแท้นั่น   
                     ไม่กั้นแบ่งชั้น           คือปัญญาจิต             ไม่ผิดเจ็บป่วย
        ไ              ม่ยึดสิ่งมี             วิเศษพินิจ                 คือจิตอำนวย
                 ส่งเสริมเติมช่วย            ด้วยจิตรู้การ              ดุจคันฉ่องกลม

                                   - จบบทที่ 7 -  เล่มที่ 3
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔ คำนำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2554, 12:28
                        คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔

                                   คำนำ

        โลกาภิวัตน์ในยุคปัจจุบัน "คน" ต่างพยายามก้าวเดินเพื่อให้ทันกับการพัฒนาของสรรพสิ่ง สรรพภาษา  สรรพประโยชน์กันเต็มที่ "ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร" เล่มนี้ ชื่อที่แปลกันไว้ส่วนใหญ่ก็คือ "สูตรของท่านเว่ยหล่าง"  ซึ่งจะเป็นผลงานแปลของท่านผู้รู้ท่านใดก็ตาม ก็มักจะออกมาในทำนองเดียวกัน  โลกปัจจุบัน ผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนภาษาจีนกลางมีมากขึ้น ภาษาจีนกลางหรือแมนดารินเป็นภาษทางราชการ มิใช่ภาษาท้องถิ่น จึงได้รับความนิยมมาก คำว่า "เว่ยหล่าง" เป็นภาษาจีนกวางตุ้ง เป็นภาษาท้องถิ่น ที่เป็นหลักของชาวมณฑลกวางตุ้ง สรรพนามต่าง ๆ ในพระสูตรเล่มเดิม ๆ ที่แปลกันมา เห็นได้ว่าออกเสียงเป็นกวางตุ้งแทบทั้งนั้น บัดนี้ ชาวกวางตุ้งเองที่พัฒนาการทางภาษา ต่างก็สะท้อนความคิดว่า น่าจะเปลี่ยนเป็นแมนดารินอันเป็นสากล  ผู้แปลตัดสินใจไม่ได้อยู่หลายปีที่จะแปลพระสูตรนี้ขึ้นใหม่ แต่สุดท้ายเมื่อเป็นคำร้องขอจากผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในวิถีอนุตตรธรรมมากขึ้น จึงต้องเสาะหาต้นฉบับเดิมแท้อักษรจีนโดยตรงของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงที่เก็บรักษาไว้ ณ ถิ่นกำเนิดของพระองค์ท่านในประเทศจีนให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการผิดพลาดจากการแปลภาเป็นภาษาอังกฤษ หรือแจกแจงผู้เติมจากภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาอังกฤษอีกเช่นเคย 
 
        จึงเรียนชี้แจงมา และหวังว่าท่านผู้ตั้งใจใฝ่ธรรมจะได้รับประโยชน์สมความปรารถนา 

                                               ขอบพระคุณ

                                                 ศุภนิมิต   

๑ .  พระมหากัสสปะ        ๒.  พระอานนท์        ๓.  พระศาณกวาสะ        ๔.  พระอุปปคุปตะ        ๕.  พระธฤฏกะ        ๖.  พระมิจฉกะ       
๗.  พระวสุมิตร              ๘.  พระพุทธนันธิ      ๙.  พระพุทธมิตร          ๑๐. พระปารัศวิกะ         ๑๑. พระปุณยยะศะ    ๑๒. พระอัศวโฆษ
๑๓. พระกปิมละ            ๑๔. พระนาคารชุน      ๑๕. พระกาณเทพ         ๑๖. พระราหุลตา          ๑๗. พระสังฆนันทิ     ๑๘. พระคยาศตะ
๑๙. พระกุมารตะ           ๒๐. พระชยัต            ๒๑. พระวสุพันธุ            ๒๒. พระมโนรหิตะ        ๒๓. พระหกเลน        ๒๔. พระอารยะสิงหะ
๒๕. พระวสิอสิตะ          ๒๖. พระปุณยมิตร      ๒๗. พระปรัชญาตาระ      ๒๘. สมเด็จพระโพธิธรรม       ๒๙. พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเข่อ
๓๐. พระธรรมาจารย์เซิงชั่น        ๓๑. พระธรรมาจารย์เต้าซิ่น          ๓๒. พระธรรมาจารย์หงเหยิน     ๓๓. พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง     

                                                              สารบัญ
บทที่ ๘.  ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์  (ถังเฉาเจิงเจ้า)
บทที่ ๙.  วิถีธรรมแสดงความตรงข้าม (ฝ่าเหมินตุ้ยซื่อ)
บทที่ ๑๐. กำชับให้แพร่หลาย  (ฟู่จู่หลิวทง)   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)บทที่ ๘ ราชวงศ์ถังกราบฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2554, 10:06
                                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔   

                                          บทที่ ๘

                                   ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        รัชสมัยเสินหลง ปีที่สอง (ในสมัยพระเจ้าจงจงแห่งราชวงศ์ถัง) สิบห้าค่ำเดือนอ้าย (ค.ศ. 706) จักรพรรดิณีพระพันปีหลวงอู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) พร้อมด้วยพระเจ้าจงจงได้ส่งพระราชสาส์นนิมนต์มาว่า "น้อมนมัสการพระคุณเจ้า เนื่องด้วยพระอาจารย์เสินซิ่วกับพระอาจารย์ฮุ่นอัน ได้รับนิมนต์มารับการอุปัฏฐากอยู่ในพระราชวัง เพื่อทุกครั้งเมื่อยามว่างจากบริหารราชการบ้านเมือง ข้าพเจ้าจะได้ศึกษายานหนึ่งในพุทธธรรม" พระอาจารย์ทั้งสอง (ให้เีกียรติ) บ่ายเบี่ยงว่า "ทางใต้มีสมาธยานะจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้รับมอบหมายจีวรพงศาธรรม ได้รับถ่ายทอดประทับตราใจแห่งพุทธะจากมหาเถระเจ้าหงเหยิ่นไว้เป็นการมิดชิด ซึ่งข้าพเจ้า (จักรพรรดิกับจักรพรรดิณี) จะนิมนต์ (ท่านฮุ่ยเหนิง) เข้าวังมาเพื่อเรียนถามได้ บัดนี้ จึงได้ส่งขันที นามว่า เซวียเจี่ยน  เร่งด่วนทูนเชิญราชสาส์นมานิมนต์ หวังว่าพระอาจารย์จะโปรดเมตตากรุณา รีบมุ่งสู่มหานคร"  
        พิจารณา  :  
        สมเด็จพระนางเจ้าจักรพรรดิณี พระพันปีหลวงอู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) ที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้เป็นบุคคลสำคัญชั้นยอดนั้น ในทัศนะของการปกครองบ้านเมือง พระองค์ถูกมองถูกวิจารณ์ ทั้งแง่ดีแง่ร้าย แต่ในทัศนะของทางธรรม พระองค์เป็นอุปถัมภกที่สำคัญยิ่งของศาสนาพุทธในประเทศจีน คัมภีร์พระสูตรพุทธศาสตร์สำคัญ ๆ มากมาย ได้รับการแปลเป็นภาษาจีนเผยแผ่ไปสู่พุทธศาสนิกชนจีนในสมัยนั้น อีกทั้งเผยแผ่ไปสู่พุทธศาสนิกชนจีนทั่วโลกเรื่อยมาจนถึงยุค
ปัจจุบัน เช่น "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" และอื่น ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นศรัทธาปรารถนาจากพระนางเจ้าจักรพรรดิณี พระพันปีหลวงอู่เจ๋อเทียน
        พระธรรมาจารย์ (ได้รับพระราชศาส์นนิมนต์แล้ว) ได้ถวายศาส์นตอบปฏิเสธไปว่า เนื่องด้วยอาพาธและปรารถนาจะละสังขารในป่าเขา (จึงมิได้เข้าวัง)
        พิจารณา  :
        มหาเถระเจ้าเสินซิ่วนั้น คนที่อยู่นอกประตูพุทธะจะมองเห็นว่าท่านน่าจะเป็นคู่อริกับพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ทั้งสององค์เหมือนยืนประจัญหน้ากันคนละทัศนธรรม ฝ่ายหนึ่งถ่ายทอดวิถี "ฉับพลัน"   ฝ่ายหนึ่งถ่ายทอดวิถี "นานเนื่อง" แต่ผู้เจริญธรรมอย่างแท้จริงเสมอด้วยท่านทั้งสองนั้น หาได้ข้องใจต่อกันทั้งสองไม่ การนี้ ท่านเสินซิ่วยังได้เขียนจดหมายด้วยตัวของท่านเองไปถึงท่านฮุ่ยเหนิง นิมนต์ให้เข้าวัง เพื่อความเจริญธรรมแห่งเจ้าเหนือหัว อันจะเป็นปัจจัยใหญ่ส่งผลให้พุทธศาสนาเฟื่องฟูไปทั่วแผ่นดินจีน โดยท่านเสินซิ่วถ่อมตนว่า ปัญญาบารมีของท่านเองยังห่างไกลนัก  ท่านฮุ่ยเหนิงก็ได้ตอบจดหมายปฏิเสธไปด้วยความขอบคุณและเกรงใจว่า หนึ่ง บุคลิกลักษณะและหน้าตาของท่าน (ฮุ่ยเหนิง) ไม่ชวนให้เกิดศรัทธา เป็นจุดบอดเบื้องต้นแก่ผู้เลื่อมใส   สอง  พระธรรมาจารย์สมัยที่ห้าโปรดบัญชาชี้ชัดว่าฮุ่ยเหนิงจะต้องไปเจริญธรรมทางใต้  เหตุผลสองประการนี้ ทำให้ต้องอ้างแก่ทางพระราชวังว่า "อาพาทไม่อาจมาได้"
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)บทที่ ๘ ราชวงศ์ถังกราบฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2554, 12:18
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔   

                                           บทที่  ๘

                                   ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        ขันทีเซวียเจี่ยน (ผู้อันเชิญพระราชสาส์น) กราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า "ธยานะจารย์ในเมืองหลวงต่างกล่าวว่า "จะเข้าถึงวิถีธรรมแห่งธรรมญาณตถตาได้จำเป็นจะต้องนั่งฌานฝึกสมาธิ" "ผู้หลุดพ้นได้ โดยมิได้ปฏิบัติฌานสมาธินั้นหามีไม่" คำกล่าวนี้ มิทราบว่าหลักธรรมของพระมหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง กล่าวเช่นไร" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ธรรมะเข้าถึงรู้แจ้งได้ด้วยจิต จะเป็นได้ด้วยการนั่งกระนั้นหรือ"  ในพระคัมภีร์ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จินกังจิง จารึกว่า "หากผู้ใดกล่าวว่า ภาวะตถตา เกิดด้วยการนั่ง การนอน เพื่อเข้าถึงภาวะตถตา ผู้นั้นดำเนินมิจฉาวิถี" เหตุอันใดหรือ ก้ด้วยเหตุว่า ตถตาแห่งตถาคตนั้นปราศจากที่อันได้มา ปราศจากที่อันได้ไป ปราศจากการเกิดดับ เป็นภาวะตถตาฌานอันบริสุทธิ์ ด้วยธรรมทั้งปวงอยู่ในภาวะว่าง ภาวะว่าง เป็นภาวะอันได้ "นั่ง" อย่างบริสุทธิ์ของตถตา เมื่อถึงที่สุดแห่งความปราศจากโดยสิ้น ดั่งนี้แล้ว ยังจะติดอยู่กับลักษณะอาการนั่งหรือไม่นั่งอีกกระนั้นหรือ
        พิจารณา  
        เหตุใดจึงกล่าวว่า "ตถตา" ตัวแท้ของจิตญาณ หรือ ภาวะความเป็นอย่างนั้นเอง ของจิตญาณ ปราศจากที่มา ปราศจากที่ไป  ก้ด้วยเหตุที่ ตถตา เป็นภาวะที่มิอาจหยั่งรู้ "การไปมาแล้วอย่างนั้น" ได้ แต่เป็นสิ่งที่ประจุอยู่เต็มในความวว่างแห่งมหาจักรวาล ดุจอากาศธาตุ มิอาจประมาณ มิอาจประมาณได้ นั่นคือความเป็น "ฉันสภาวะใหญ่" ต้าหว่อ  ตัวอย่าง "ฉันสภาวะใหญ่" ของชาวโลกทั่วไปเช่น ภาวะจิตของคนที่ทำหน้าที่กู้ภัยใหญ่หลวงสุดฤทธิ์สุดใจสุดกำลังขณะนั้น "ฉันสภาวะใหญ่"  ของชาวโลกทั่วไป เช่น ภาวะจิตของคนที่อยู่กลางเวหา  กลางทะเลเวิ้งว้าง โดยปราศจากจิตยึดหมายต่อภาวะใด ๆ เฉพาะหน้าขณะนั้น "ฉันสภาวะเล็ก" ของชาวโลกเช่น ภาวะจิตของคนที่ทุบประตูจะเข้าห้องน้ำด่วน เพราะห้องน้ำไม่ว่างขณะนั้น  "ฉันสภาวะเล็ก" ของชาวโลก เช่น ภาวะจิตของคนที่อยู่ในห้องแคบขังตัวเองอยู่กับความทุกข์ขณะนั้น แต่ฉันสภาวะใหญ่ในความเป็นตถตานั้น เป็นภาวะว่างจากตนเองเกินกว่ากล่าวอ้างได้ จึงได้แต่อุทานว่า "มิอาจประมาณ มิอาจประมาณได้"  ขันทีข้าราชสำนักผู้อันเชิญพระราชสาส์นนิมนต์มา กราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า "เมื่อศิษย์กลับถึงพระนคร พระมหาจักรพรรดิทั้งสองพระองค์จะต้องถามว่า พระธรรมาจารย์ได้โปรดธรรมประการใด จึงขอพระธรรมาจารย์ได้โปรดเมตตากรุณา ชี้แนะหลักสำคัญอันเป็นหัวใจแห่งพุทธะ เพื่อศิษย์จะได้ถวายสู่พระราชฐานทั้งสอง อีกทั้งถ่ายทอดแก่ผู้ศึกษาพระธรรมทั้งหลายในพระนคร อุปมาดั่ง "หนึ่งโคมไฟกระจายจุดมิหยุดยั้ง ผู้มืดบอดล้วนได้ใสสว่าง ใสสว่าง  ใสสว่างต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ธรรมะปราศจากความสว่าง มืด  สว่าง มืด เป็นความหมายของการเกิด ดับ ปรับเปลี่ยน สว่างใสไม่สิ้นสุด ก็คือมีที่สิ้นสุด  มืด สว่าง เป็นเพียงชื่อเรียกขานประจัน อันเป็นความตรงกันข้ามเท่านั้น" ฉะนั้น ในคัมภีร์ "วิมลเกียรตินิเทศสูตร" จึงได้จารึกไว้ว่า "ธรรมะปราศจากสิ่งอันเปรียบเทียบกัน ปราศจากการประจันตรงข้าม"
        พิจารณา
        ปราศจากสิ่งอันเปรียบเทียบ  เช่นทางโลกว่า นั่นดีกว่า นั่นแย่กว่า  ปราศจากสิ่งอันตอบโต้ตรงข้าม เช่นทางโลกว่า รัก-ชัง  ให้-รับ  ในคัมภีร์คุณธรรมเต้าเต๋อจิงของท่านอริยปราชญ์เหลาจื่อ จึงกล่าวตั้งแต่เบื้องต้นว่า "ธรรมะอันอาจกล่าวขานได้ มิใช่ธรรมะอันเป็นธรรมะ เต้าเข่อเต้า เฟยฉังเต้า" และประโยคที่ว่า"คำพูดวาจาทำให้ธรรมะขาดความเป็นธรรมะไป" เอี๋ยนอวี่เต้าต่วน  พุทธธรรมว่า ปัญญาบริสุทธิ์พ้นหากรูปลักษณ์อักษร  พ้นหากจากรูปลักษณ์วาจา  พ้นหากจากรูปลักษณ์ปัจจัย (คิดคำนึง) พระพุทธองค์ทรงประกาศสัจธรรมอยู่สี่สิบเก้าปี กล่อมเกลานำพาเวไนยฯ ตามเหตุปัจจัยของแต่ละคนด้วยวิธีอันชอบด้วยอุบาย สัจคัมภีร์มิได้อยู่บนกระดาษ กล่าวอ้างด้วยวาจาได้ก็มิใช่ "ตัวแท้" ของธรรมะ เพื่อมิให้เวไนยฯเข้าใจผิด เอาวิธีอันชอบด้วยอุบายที่ให้ไปตามจริตของแต่ละคนยึดเป็นเป้าหมายไว้ ฉะนั้น ในคัมภี์วัชรญาณสูตรจึงจารึกไว้ว่า "หากผู้ใดกล่าวว่า ตถาคตได้แสดงธรรม เขาผู้นั้นกล่าวโทษพุทธะ" พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า "ตถาคตมิได้แสดงธรรมประการใดเลย เพราะธรรมะคือสิ่งที่มีอยู่แล้วในมหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุ"
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)บทที่ ๘ ราชวงศ์ถังกราบฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2554, 01:01
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔

                                         บทที่  ๘

                                  ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        เซวียเจี่ยนกล่าวว่า "สว่างใสเปรียบได้ดั่งปัญญา ความมืดประดุจดั่งกิเลส" ผู้บำเพ็ญธรรมแม้หากมิเอาแสงแห่งปัญญาส่องทำลายกิเลสให้สิ้นไป ความเกิดตายจากบูรพกาลมา จะอาศัยสิ่งใดเล่าเป็นตัวพาให้พ้นหาก" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "กิเลสก็คือโพธิ ทั้งสองนี้มิแตกต่างกัน"
        พิจารณา
        ดังที่เคยแจงไว้แต่ต้นแล้วว่า "ขณะหลงเรียกว่ากิเลส รู้แจ้งพลันเรียกว่าโพธิ" แท้จริงกิเลสกับโพธิอยู่ในจิตใจเดียวกัน อุปมาน้ำกับระลอกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หากกล่าวว่ากิเลสกับโพธิแตกต่างกันไป จะเท่ากับไม่เข้าใจพุทธธรรม จึงอาจกล่าวได้ว่า ขณะเกิด "ระลอก" โพธิก็อยู่ในระลอก (ระลอกอยู่ในน้ำ) ขณะเป็น"โพธิ" ระลอกอยู่ในโพธิ (น้ำอยู่ในระลอก) 
        หากจะต้องเอาปัญญาส่องทำลายกิเลส ดังนี้ก็จะเท่ากับเป็นผุ้บำเพ็ญในระดับสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน ซึ่งก็จะเป็นรถเทียมแพะเทียมกวาง (ที่ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" ได้เปรียบเทียบไว้)
        พิจารณา
        ด้วยเหตุที่เข้ายังไม่ถึง "ฉัน" สภาวะใหญ่ จึงไม่อาจบรรทุกได้มาก จึงเป็นรถเทียมแพะเทียมแกะเท่านั้น ขอทบทวนในบทที่สองสักเล็กน้อยว่า "พึงใช้มหาปัญญา (ปัญญาบริสุทธิ์) ทำลายกิเลสตัณหาขันธ์ห้าเสีย หากบำเพ็ญเช่นนี้ ย่อมบรรลุพุทธวิถีแน่แท้ ย่อมแปรเปลี่ยนสามพิษร้าย (โลภ โกรธ หลง) ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา" แต่ในที่นี้ พระธรรมาจารย์ปฏิเสธความคิดของเซวียเจี่ยนที่จะ "เอาปัญญาส่องทำลายกิเลส"  กรณีนี้เป็นการสอนที่ชอบด้วยกลอุบายอีกเช่นกัน เพราะผุ้พึงเจริญธรรมในครั้งก่อนนั้น คือ ข้าหลวงเอว๋ย ผู้ซึ่งห่างไกลโอกาสเจริญธรรม แต่สำหรับเซวียเจี่ยนข้าราชสำนัก ผู้แสดงธรรมด้วยตรงหน้าขณะนั้น อยู่กับบรรยายกาศในพระราชฐานที่พุทธธรรมเฟื่องฟูยิ่งนัก  หากบ่มเพาะอยู่กับภาวะเปรียบเทียบเช่นนี้ต่อไป ด้วยความคิดว่า "จะต้องเอาปัญญาส่องทำลายกิเลส" นานวันเข้า ก็จะยึดหมายอยู่กับวิธีการตอบโต้ เปรียบเทียบ ใช้สิ่งตรงข้ามทดแทนเรื่อยไป ทำให้ยากต่อการที่จะเข้าถึงสัจธรรมบริสุทธิ์ใสได้
        ผู้มีปัญญาระดับสูงกุศลมูลใหญ่ ล้วนมิใช่ความคิดเห็นเช่นนี้ เซวียเจี่ยนจึงกราบเรียนถามอีกว่า "อย่างไรเล่าจึงจะเป็นความเข้าใจสมบูรณ์ฉับพลันของมหายาน" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ปัญญากับอวิชชา" ปุถุชนจะแยกเห็นเป็นสอง ผู้ทรงปัญญาจะเข้าถึงรู้แจ้ง จิตญาณนั้นปราศจากความเป็นสอง จิตญาณที่ปราศจากความเป็นสอง จึงเป็น "จิตญาณตัวแท้"  จิตญาณตัวแท้ แม้อยู่กับปุถุชนคนโง่ จิตญาณนั้นมิได้ลดส่วนลง อยู่กับอริยเมธาก็มิใช่ว่าจะมีส่วนมากขึ้น อยู่กับกิเลส (เหมือนคนดีในสภาพแวดล้อมคนเลว) ก็มิได้วุ่นวายสับสน อยู่ในฌานสมาธิก็มิได้ดับสูญ 
        พิจารณา
        จากธรรมสาระท่อนนี้ จึงทำให้เราเข้าใจภาวะของสี่อริยะกับหกสามัญเป็นอย่างไร  สี่อริยะ คือ พระพุทะเจ้า   พระโพธิสัตว์   พระปัจเจกพุทะเจ้า   พระสาวกยานพุทธเจ้า   หกสามัญ คือ ผู้ยึดธรรมยึดรูป   ยึดเสียง กลิ่น รส สัมผัส  เป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอารมณ์จึงมีเกิดดับ แม้อริยะจะอยู่ในสภาวะใด ไปสวรรค์ ไปนรก นั่ง นอน เดิน ยืน จิตญาณเป็นอยู่ในฌาน ส่วนสามัญชนนั้นตรงกันข้ามอริยะโดยสิ้น
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)บทที่ ๘ ราชวงศ์ถังกราบฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2554, 02:18
                             คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔

                                         บทที่  ๘

                                  ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        จิตญาณตัวแท้นั้น ไม่ขาดสาย ไม่เนื่องนำ  ไม่มา ไม่ไป  ไม่อยู่ระหว่างกลางหรืออยู่ภายในภายนอก ไม่เกิดไม่ดับ  สภาพแห่งญาณเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ภาวะแห่งญาณคงอยู่อย่างนั้นโดยไม่แปรผัน อันเป็นภาวะที่เรียกได้ว่าเป็น "ธรรมะ" 
        พิจารณา
       พระธรรมาจารย์โปรดไว้ว่า "หนึ่งแท้จริง ทุกสิ่งล้วนแท้จริง ทุกสภาพสรรพสิ่งจะเป็นอยู่อย่างนั้นเอง จิตญาณอันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ก็คือสิ่งอัน "จริงแท้" ดังโศลกว่า :   เมื่อ "หนึ่ง" จริง     สรรพสิ่ง     ล้วนจริงแท้
ล้วนนิ่งแน่                          แท้เที่ยง    ณ ตถตา
จิตญาณตน             ไม่พ้น "เป็น"     เช่นนั้น "หนา"   
จึงชื่อว่า                 ตถตา              แท้เที่ยงจริง

อี้เจินอี๋เซี่ยเจิน                 อวั้นจิ้งจื้อหยูหยู
หยูหยูจือซิน                   จี๋ซื่อเจินซึ

        เซวี่ยเจี่ยนกราบเรียนถามอีกว่า "ที่พระอาจารย์โปรดว่า "ไม่เกิดไม่ดับ" นั้น ความหมายนิยามนั้น ต่างกับความหมายนิยามแห่งสายธรรมอื่นอย่างไร" พระธรรมาจารย์ตอบว่า "สายธรรมอื่นกล่าวถึงไม่เกิดไม่ดับนั้นคือเอาความดับระงับความเกิด เอาความเกิดแสดงให้เห็นถึงความดับ เช่นนี้เป็นความดับที่ยังมิดับ เป็นความเกิดแต่กลับกล่าวว่าไม่เกิด"  "ที่อาตมากล่าวว่าไม่เกิดไม่ดับนั้น คือแท้จริงมิได้มีการเกิดนั้นเลยแต่เดิมที บัดนี้ก็มิได้มีการดับ ฉะนั้น คำกล่าวนี้จึงต่างจากสายธรรมอื่น
        พิจารณา
        ได้รับวิถีธรรมแล้ว จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การพ้นเวียนว่ายตายเกิดของชีพกาย สำหรับผุ้ได้รับวิถีธรรม เป็นการพ้นเกิด-ตาย ใน "ช่วงแบ่ง" หนึ่งเท่านั้น  ช่วงแบ่งเป็นระดับหนึ่ง เป็นขั้นตอนหนึ่ง  ระยะหนึ่ง  ของการเกิด-ตายสำหรับกายชีพนั้นเท่านั้น อย่าสำคัญผิดคิดว่าจบสิ้น หากมุ่งหมายให้จบสิ้น จะต้องยกระดับปรับเปลี่ยน จิตที่ยึดหมายต่อไปจนกว่าจิตจะหลุดพ้นเป็นอิสระโดยสิ้น อย่างที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นให้ได้ จึงจะเป็นการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ 
        หากท่านต้องการจะรู้หัวใจของพุทธธรรม เพียงอย่าได้ประเมินหมาย หรือคำนึงการต่อความ ดี-ชั่ว  บาป-บุญ ทั้งปวงก็จะเข้าถึงได้เอง จะเข้าถึงแก่นใสบริสุทธิ์สงบสันติเป็นธรรมชาติ คุณประโยชน์วิเศษที่จะก่อเกิด จะมากมายดุจเม็ดทรายในคงคามหานทีนั่นทีเดียว
        พิจารณา
        บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรมคือบำเพ็ญเช่นนี้  ธรรมประกาศิตในพิธี อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมกล่าวแทนอมตะพุทธะจี้กงอย่างชัดเจนว่า "ปราศจากเกิด-ตาย ฝึกในแสงญาณทุกเวลา"  อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ     จงยื่อเลี่ยนเสินกวง  ปราศจากเกิดตายมิใช่เพียงกายชีพ แต่เป็นจิตญาณอันสมบูรณ์ ฝึกฝนแสงญาณคือ ให้เข้าสู่สูญญตา ภาวะว่างเปล่า
        ขันทีเซวียเจี่ยน ข้าราชสำนักได้สดับคำสอนนี้แล้วเกิดการรู้แจ้งฉับพลันครั้งใหญ่ในบัดนั้น  จากนั้น ขันทีเซวียเจี่ยนก็กราบลาพระธรรมาจารย์เดินทางกลับเข้ามหานคร กราบทู,ถวายพระธรรมวจนะอันได้สดับจากพระธรรมาจารย์ แต่องค์จักรพรรดิจงจงและจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน (เพื่อเป้นแนวทางในการปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป)
        พิจารณา
        การนี้หากเซวียเจี่ยน เป็นผู้ทำหน้าที่นำพระราชสาส์นมานิมนต์พระธรรมาจารย์เข้าวัง แม้หากจะจำเป็นต้องเก็บพุทธธรรมคำสอนจากพระธรรมาจารย์ไปฝากพระแม่เจ้าอู่เจ๋อเทียน โดยที่ตนเองไม่มีพื้นฐานจิตใจใฝ่ธรรม การนำไปฝากก็จะได้แต่ข้อความที่จดจำไป แต่เซวียเจี่ยนเกิดการรู้แจ้งเมื่อได้ฟัง ฉะนั้น แน่นอนผู้ฟังเองได้รับมหากุศล การกลับไปถ่ายทอดบอกกล่าวก็จะเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ และจะมิใช่สิ้นสุดอยู่เพียงการถ่ายทอดบอกกล่าวเพียงครั้งเดียวอีกทั้งมิได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะบุคคลเท่านั้น  การสดับสัจธรรมโดยเข้าถึงพุทธวจนะจึงเป็นสิ่งล้ำเลิศประเสริฐสุดเกินประมาณ จึงเป็นขอบเขตอันอาจแผ่ไพศาลเกินประมาณต่อไป 
        สามค่ำเดือนเก้าปีเดียวกันนั้น มีพระราชสาส์นสรรเสริญบารมีธรรมส่งมาถึงพระธรรมาจารย์อีกว่า "พระอาจารย์ท่านมีเหตุจำเป็นจากการอาพาธและชราภาพ (ปฏิเสธที่จะเข้าวังรับการอุปัฏฐาก ปรารถนาจะบรรลุธรรมท่ามกลางป่าเขา) ท่านบำเพ็ญธรรมเพื่อข้าพเจ้า (ก็เท่ากับ) เป็นเนื้อนาบุญของบ้านเมืองโดยแท้แล้ว" พระอาจารย์ขัดด้วยความอาพาธ เช่นเดียวกับพระมหาเถระเจ้าวิมลเกียรติในกาลก่อน ที่ต้องเก็บตัวอยู่ ณ เมืองไพศาลี  เผยแพร่พุทธธรรมมหายานถ่ายทอดวิถีจิตแห่งเหล่าพุทะะ ประกาศเอกะธรรมความเป็นหนึ่งเดียวแห่งสัจธรรม  เซวียเจี่ยน ได้ถ่ายทอดความรู้ชอบ เห็นชอบ ของพระตถตาเจ้าแก่ข้าพเจ้าตามที่พระอาจารย์ได้โปรดสั่งสอนมา ขัาพเจ้าคงได้สร้างสมบุญบารมีมา ได้ปลูกฝังรากฐานแห่งกุศลมูลไว้ ในชาตินี้จึงเกิดมาทันพระคุณเจ้า เข้าถึงวิถีฉับพลันแห่งมหายาน จึงสำนึกในบารมีคุณพระอาจารย์เป็นล้นพ้นเหนือเศียรเกล้าฯ
        พิจารณา
        วันนี้เราโชคดี ที่ได้เกิดมาในธรรมกาลที่พระวิสุทธิอาจารย์ปรกโปรด ชะรอยจะเป็นบุญบารมีเก่าที่ได้สร้างสมมา  ได้ปลูกฝังรากฐานแห่งกุศลมูลไว้เช่นกัน
เราจึงต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์ ขอเทิดพระคุณไว้เศียรเกล้า ตลอดไปชั่วกาลนานเช่นกัน
        (และพร้อมกันนี้ ข้าพเจ้าจักรพรรดิจงจงพร้อมด้วยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน) ขอถวายกาสาวพัสตร์ผ้าโมรี (ผ้าสีแสดแดง จีวรสงฆ์ของเกาหลี) อีกทั้งบาตรแก้วผลึก ให้ผู้ตรวจการเมืองเสาโจว (ศิษย์รุ่นแรกของพระธรรมาจารย์) นำมากราบพระคุณเจ้า  อีกทั้งมอบหมายให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระอาราม (ที่จำพรรษาปัจจุบัน ขยายการก่อสร้างทั่วปริมณฑล) พร้อมกับขอถวายชื่อแก่ถิ่นฐานบ้านกำเนิดของพระคุณเจ้า ซึ่งเดิมชื่อว่าซินโจว  ให้เป็นพระอารามหลวงทั้งหมดโดยรอบว่า "พระอารามหลวงคุณาปฏิการาม" กั๋วเอินซื่อ
                                                     
                                   - จบบทที่ ๘ -    
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔ บทที่ ๙วิถีธรรมแสดง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/09/2554, 22:08
                           คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                          บทที่ ๙

                         วิถีธรรมแสดงความแสดงความตรงข้าม

                                  (ฝา  เหมิน  ตุ้ย  ซื่อ)

        วันหนึ่ง  พระธรรมาจารย์เรียกศิษย์ฝ่าไห่ จื้อเฉิง  ฝ่าต๋า  เสินฮุ่ย  จื้อฉัง  จื่อทง  จื่อเช่อ  จื่อเต้า  ฝ่าเจิน  ฝ่าหยู เป็นต้น  เข้าพบโดยเฉพาะแล้วโปรดว่า"ท่านทั้งหลายแตกต่างจากศิษย์อื่นๆ (ศิษย์ที่ไม่ได้เรียกให้เข้าพบ) ภายหลังที่อาตมาดับขันธ์นิพพานแล้ว จงออกต่างแพร่ธรรม จงจ่างแยกย้ายไปเป็นผู้นำธยานะในแต่ละปริมณฑลทิศ"
        พิจารณา
     ศิษย์ผู้รู้แจ้งเห็นจริงต่อภาวะจิตใจใสสว่าง หรือจิตพุทธะแห่งตนนั้น มีอยู่สี่สิบสามรูป ซึ่งอยู่ในสถานภาพเหมาะสมกับความเป็นครูอาจารย์แห่งมนุษย์และเทวดาได้ การบรรยายธรรมในอาณาจักรธรรม นอกจากญาติธรรมหญิงชายร่วมสดับสัทธรรมพร้อมกันแล้ว ในอีกมิติหนึ่ง ปรากฏเทวดากับเหล่าวิญญาณก็มาร่วมฟังธรรมด้วย
        บัดนี้ อาตมาจะสอนให้ท่านประกาศสัทธรรมวิถีฉับพลัน มิให้ผิดเพี้ยนไปจากพงศาธรรมาจารย์ได้โปรดอบรมมา" เบื้องต้นจะต้องยกเอา "วถีธรรมสามกอง" มาชี้นำตามด้วยการใช้สามสิบหก "คู่ธรรมคำตรงข้าม" การ (แสดงธรรม) นำเข้าหรือออกหากให้พ้นจากคำสุดโต่งตรงข้าม แต่การพูดธรรมทั้งปวงมิให้ออกห่างจากจิตญาณตน เช่น ทันทีที่มีผู้ถามหลักพุทธธรรมต่อท่าน จะต้องใช้คำพูดสองความหมาย (พึงชี้แนะ นำทางให้เขารู้จักคิดพิจารณา ไม่ใช่ให้เขาเป็นผู้รับคำตอบสำเร็จรูปอย่างเดียว หากมิได้ใช้ปัญญา จะมิอาจรู้แจ้งฉับพลัน) ล้วนจะต้องใช้ "คู่ธรรมคำตรงข้าม" ให้เขาได้เห็นเหตุเนื่องนำแห่งรูปธรรมนั้น (เช่น มากับไป  มีกับไม่มี...) สุดท้ายเมื่อถึงที่สุดก็ให้เพิกถอนเสียจาก "คู่ธรรมคำตรงข้าม" นั้นให้หมด (ได้ผลแล้วหยุดเหตุ) เมื่อถึงแก่นแท้แห่งผลแล้ว มิพึงยกเหตุที่มาที่ไปอีก  วิถีธรรมสามกองคือ  กองขันธ์   กองอายตนะ   และกองธาตุ   กองข้นธ์มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ   กองอายตนะ มีอายตนะภายใน ได้แก่รูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์  มีอายตนะภายนอก ได้แก่นัยน์ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
      สิบแปดกองธาตู  ได้แก่ อายตนะภายในหก   อายตนะภายนอกหก   มโนวิญญาณหก  รวมเป็นสิบแปดกองธาตุ  ภายในจิตญาณแฝงไว้ด้วยธรรมทั้งปวง(ธรรมทั้งปวงเกิดจากจิตญาณ) จึงเรียกว่า ขุมคลังมโนวิญญาณ (อาลยะวิญญาณ) หากเิกิดความคิดคำนึงก็คือ เกิดการปรับแปรเคลื่อนไหวมโนวิญญาณ มโนวิญญาณทั้งหก (การรับรู้จากหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) สนองรับกับอายตนะภายในหก (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
        พิจารณา
     กลไกของการปรุงแต่งปรับแปรเหมือนฟันเฟือง ของเครื่องจักรกล ฟันเฟืองกลุ่มแรกขยับเคลื่อนตัว กลุ่มที่สองสนองรับขยับตาม ฟันเฟืองกลุ่มที่สามทำงานด้วยต่อเนื่องกันไป อายตนะจึงได้ชื่ออีกว่า "เครื่องต่อ" รวม (กระบวนการ) ทั้งหมดสิบแปดธาตุธรรม ล้วนเริมขึ้นจากจิตญาณ (อันมีตัวมโนวิญญาณสำแดงการ) หากจิตญาณเป็นอกุศล สิบแปดธาตุธรรมก็สำแดงอกุศลกรรม (กลไกสามกลุ่มสิบแปดฟันเฟืองเนื่องกัน จะสำแดงอาการ "รวน" ตามกันไป ) หากจิตญาณเที่ยงตรง สิบแปดธาตุธรรมก็สำแดงกุศลกรรม (กลไกปกติ)  จิตญาณแฝงความชั่วร้าย เมื่อสำแดงการใช้ ก็เป็นการใช้ด้วยลักษณะอาการหรือพฤติกรรมของปุถุชน หากจิตญาณแฝงความดีงาม ก็จะสำแดงการใช้ด้วยลักษณะอาการ หรือพฤติกรรมปราณีตสูงส่ง คือพุทธะ การใช้ดังนี้เกิดได้อย่างไร เกิดมีได้จากภายในจิตญาณ
        พิจารณา
     ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว พึงพิจารณา ลัญจกรที่ได้รับมา มิใช่เพียงสื่อถึงเบื้องบนคุ้มครองรักษา แต่เป็นปริศนาธรรมให้เห็นชัด ๆ ว่าให้ "เหอถง สมานจิตญาณกับพฤติกรรม
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔ บทที่ ๙วิถีธรรมแสดง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/09/2554, 22:51
                           คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                          บทที่ ๙

                         วิถีธรรมแสดงความแสดงความตรงข้าม

                                  (ฝา  เหมิน  ตุ้ย  ซื่อ)

        "คู่ธรรมคำตรงข้ามเกี่ยวกับสภาวะธรรมภายนอกห้าคู่อันปราศจากจิตญาณผูกพัน" เช่น ฟ้ากับดิน  ตะวันกับเดือน  สว่างกับมืด  อินกับหยาง  น้ำกับไฟ  นี่คือห้าคู่ตรงข้ามที่อยู่ภายนอก อันปราศจากจิตญาณผูกพัน   "คู่ธรรมตรงข้ามเกี่ยวกับภาษา  คำพูด  นิยามธรรม  หรือธรรมะลักษณะสิบสองคู่" เช่น คำพูดกับธรรมะ  มีกับไม่มี  รูปกับอรูป  สาระกับไร้สาระ  อาสวะกับสิ้นอาสวะ  มีอยู่กับว่างเปล่า  เคลื่อนไหวกับสงบนิ่ง  บริสุทธิ์กับมลทิน  ปุถุชนกับอริยชน   บรรพชิตกับฆราวาส  ชรากับเยาว์วัย  ใหญ่กับเล็ก  นี่คือธรรมลักษณะกับคำพูด สิบสองคู่ธรรมคำตรงข้าม "คู่ธรรมคำตรงข้าม ที่สำแดงสภาวะความ "เป็น" สำแดงการดำเนินใช้จิตญาณตนสิบเก้าคู่ธรรม" คือ ยาวกับสั้น  ผิดกับถูก  หลงกับปัญญา  โง่กับฉลาด  สับสนกับสมาธิ  เมตตากับพิษร้าย  ศีลกับทุจริต  ตรงกับคด  แน่นตันกับว่างกลวง  ผาดโผนกับราบเรียบ  กิเลสกับโพธิ  นิจจังกับอนิจจัง  กรุณากับทำร้าย  ปิติกับโมหะ  สละกับตระหนี่  ขึ้นหน้ากับถอยหลัง  เกิดกับดับ  กายธรรมกับกายเนื้อ  นิรมาณกายกับสัมโภคกาย  ทั้งหมดนี้คือคำตรงข้ามที่สำแดงสภาวะความเป็นสำแดงการดำเนินใช้จิตญาณตน สิบเก้าคู่ธรรม   พระธรรมาจารย์โปรดว่า "สามสิบหกคู่ธรรมคำตรงข้ามเหล่านี้ หากเข้าใจใช้ได้ถูกต้อง ธรรมะก็จะเป็นเอกะภาวะอันปรุโปร่ง ที่รู้แจ้งแทงตลอดพระธรรมคัมภีร์ทั้งปวง  การเข้าออกในธรรมนั้น ก็จะพ้นจากการ "ออกหาก" หรือ "เข้าสู่" อย่างสุดขั้ว  (ซึ่งมิใช่ทางสายกลาง) (เพราะแก่นแท้แห่งธรรม แม้แต่ทางสายกลาง...ถึงที่สุดก็จะปลาสนาการหายไปโดยสิ้น) จิตญาณสำแดงการใช้ จะกล่าวอันใดต่อใคร (อย่าต้องตกอยู่ในสุดขั้วสองข้าง) ภายนอกแม้อยู่กับรูปลักษณ์ก็ให้ออกห่าง (มิให้ยึดหมาย) ในรูปลักษณ์ ภายในแม้อยู่กับความว่าง ก็ให้ออกหาก (มิให้ยึดหมาย) ในความว่าง หากยึดหมายในรูปลักษณ์ทั้งหมดก็คือ "เห็นผิด" หากยึดหมายในความว่างทั้งหมดก็จะตกสู่อวิชชาความเป็นผู้ไม่รู้แท้อย่างยาวนาน  ผู้ยึดหมายในความว่าง จึงมักจะกล่าวโทษต่อพุทธธรรม เช่นว่า "ศึกษาธรรมไม่ต้องใช้อักษรภาษา"
        พิจารณา
     เหตุใดการกล่าวว่า "ศึกษาธรรมไม่ต้องใช้อักษรภาษา" นั้น เป็นการกล่าวโทษต่อพุทธธรรม ด้วยเหตุว่า เข้าใจผิดและทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดต่อความหมายในพุทธธรรม พงศาธยานะมักกล่าวว่า "ชี้ชัดจิตโดยตรง เห็นจิตญาณบรรลุพุทธะ" จื๋อจื่อเหยินซิน   เจี้ยนซิ่งเฉิงฝอ  กล่าวว่า "ไม่กำหนดอักษรไว้ ศาสน์อื่นใดมิให้ถ่ายทอด"  ปู๋ลี่เอวิ๋นจื้อ   เจี๋ยวไอว้เปี๋ยฉวน  ที่ว่า "ไมกำหนดอักษรไว้" นั้น มิใช่ไม่ต้องใช้อักษร พึงรู้ว่า "อักษร" คือเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่ง  ที่ว่า "ไมกำหนดอักษร" หมายถึง มิให้ยึดติดอยู่กับอักษรเครื่องบ่งชี้ เหมือนโดยสารเรือ เมื่อถึงฝั่งได้ ไม่ต้องอุ้มเรือไว้ ...ชี้ชัดจิตโดยตรง...  ก็มิได้หมายความว่า ไม่ต้องกำหนดอักษร เพราะการชี้ชัดก็เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งแทนการใช้อักษรบ่งชี้ ยังมีคำว่า "ชี้จันทร์เพ็ญเห็นญาณตถตา" อิ่นจื่อเจี้ยนเอวี้ย  อาการชี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกแทนการใช้อักษรเช่นกัน (แต่บางคนแทนที่จะมองดูดวงจันทร์ กลับลังเลอยู่กับมือที่ชี้นั้น)  ทุกหนแห่งทุกสภาวะ ล้วนมีปริศนาธรรมนำทางให้จิตญาณกำหนดรู้ และเข้าสู่ภาวะญาณตถตาได้ทั้งนั้น โดยมิต้องอาศัยอักษรภาษา การอ่านตำรา พระคัมภีร์  หากยึดหมายในอักษรภาษาไว้ไม่ปล่อย จะเหมือนอาหารที่คั่งค้างไม่ย่อย อัดอยู่ในกระเพาะลำใส้ ฉะนั้น "พงศาธยานะ" จึงไม่เนื่องนำให้หัวปักหัวปำ อ่านพระธรรมคัมภีร์ แต่ให้เข้าถึงจิตญาณตนโดยฉับพลัน     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔ บทที่ ๙วิถีธรรมแสดง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/09/2554, 23:25
                           คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                          บทที่ ๙

                         วิถีธรรมแสดงความแสดงความตรงข้าม

                                  (ฝา  เหมิน  ตุ้ย  ซื่อ)

        ในเมื่อกล่าวว่าไม่ต้องใช้อักษร คนก้ไม่ต้องพูดจากัน เพราะวาจาเป็นรูปลักษณ์ของอักษร อีกกล่าวว่า "ธรรมะตรงแท้ไม่ต้องกำหนดด้วยอักษร" คำว่า "ไม่ต้องกำหนด" นั้น ก็คืออักษร (อีกกรณีหนึ่งคือ) เมื่อได้ยินใครพูดธรรม ก็กล่าวโทษแก่เขาว่า "ที่พูดนั้นท่องจำมา"  หรือกล่าวว่าเขา "ยึดหมายในอักษร"  ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า ตนเองเป็นคนหลงยังพอว่า ยังกล่าวโทษพุทธธรรมคัมภีร์เสียอีก จงอย่ากล่าวโทษแก่พระธรรมคัมภีร์ โทษบาปนี้หนักหนายิ่งนัก มิอาจประมาณได้เลย หากยึดหมายในรูปลักษณ์ภายนอก สร้างธรรมลักษณะ สร้างวิธีการ  เพื่อขอสัจธรรม  หรือสร้างอาณาจักรธรรม (วัดวาอาราม) กว้างใหญ่ไพศาล แต่อรรถาธรรมแสดงความีและไม่มีแห่งธรรมนั้นผิด ๆ บุคคลเช่นนี้ อีกอนันตกัปก็มิอาจรู้แจ้งจิตญาณตน
        พิจารณา
     จากข้อความนี้ จะเห็นได้ว่า "ศีล" จะทำลายมิได้ความ "รู้ชอบเห็นชอบ" จะทำลายมิได้ ทำลายศีล ยังอาจสำนึกขอขมากลับตัวกลับใจ แต่หากทำลายความรู้ชอบเห็นชอบแห่งจิตญาณตน ซ้ำยังเห็นผิดเป็นถูก ดั่งนี้ จะต้องได้รับผลกรรมหนักหนา ผู้บำเพ็นไฉนจึงไม่เกิดความรู้ชอบเห็นชอบเล่า ฉะนั้น อมตะพุทธะจี้กงจึงโปรดว่า "ไม่เข้าใจหลักธรรม จะเรียกว่าบำเพ็ญเช่นไรได้"  จงอาศัยหลักธรรม ทำตามบำเพ็ญไป แต่ก็มิใช่ไม่คิดคำนึงถึงอะไรไปเสียหมด เพราะจัเป็นอุปสรรคขัดข้องต่อทางธรรม ต่อการบรรลุสัมมาสัมโพธิ แต่หากเอาแต่ฟัง ไม่บำเพ็ญจิตญาณตน กลับจะก่อเกิดความคิดผิดเป็นมิจฉาสติ ระลึกผิดไป  จงบำเพ็ญตนตามหลักธรรม  ให้วิทยาธรรมเป็นทาน ด้วยการไม่ยึดหมายในรูปลักษณ์  ท่านทั้งหลายหากรู้แจ้ง พูดตามหลักนี้ สำแดงการใช้ดังนี้  ดำเนินการตามดังนี้  ปฏิบัติตามนี้  ก็จะไม่ผิดเพี้ยนต่อพงศาธรรมาจารย์ท่านสอนสั่งมา  หากมีผู้ถามท่านถึงความหมายแห่งหลักธรรม ถามว่ามี จงตอบด้วยไม่มี  ถามว่าไม่มี จงตอบด้วยมี  ถามความแห่งสามัญ จงตอบด้วยความแห่งอริยะ  ถามแห่งความอริยะ จงตอบด้วยความแห่งสามัญ  ธรรมะ (คำถาม - คำตอบ) สองด้านอันตรงข้ามกัน เป็นเหตุปัจจัยเนื่องนำต่อกัน (ให้เกิดการพิจารณาความเป็นกลาง)  หากนำทางให้เกิดการพิจารณาด้วย "คู่ธรรมคำตรงข้าม" เพียงแต่อย่าให้สุดขั้ว เช่นนี้ ทางสายกลางย่อมเกืิดขึ้นท่านจงให้ "คู่ธรรมคำตรงข้าม" เมื่อเขาถาม คำถามอื่น ๆ ก็ทำตามนี้ ก้จะไม่ผิดต่อหลักธรรม  หากมีผู้ถามว่า "อย่างไรได้ชื่อว่ามืด" จงตอบว่า "ความสว่างเป็นตัวเหตุ ความมืดเป็นปัจจัยเนื่องนำ ความสว่างลับหายจึงมืด"  เอาความสว่างแสดงให้เห็นความมืด เอาความมืดแสดงให้เห็นความสว่าง มากับไปเป็นเหตุซึ่งกัน ก็จะได้ความหมายของธรรมะที่เป็นทางสายกลาง คำถามอื่น ๆ ก็ให้เป็นทำนองนี้เดียวกันทั้งหมด  ท่านทั้งหลายจะถ่ายทอดวิถีธรรมต่อไปในภายหน้าอาศัยหลักนี้ถ่ายทอดสอนสั่งแก่กัน อย่าให้ผิดต่อหลักของพงศาธนายะ"
                                                               - จบบทที่ ๙ -
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)๔บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/09/2554, 17:54
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐ 

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        ณ ปฐมรัชสมัยไท่จี๋ ราชวงศ์ถัง ใรัชกาลพระเจ้าถังยุ่ยจงฮ่องเต้ ตรงกับปีชวด เดือนเจ็ด (ค.ศ.712) พระธรรมาจารย์โปรดให้สานุศิษย์ไปจัดการสร้างมหาเจดีย์ในพื้นที่พระอารามหลวงคุณาปฏิการาม  "กั๋วเอินซื่อ" เมืองซินโจว อีกทั้งโปรดกำชับให้เร่งสร้างโดยด่วน พอถึงปีถัดมา ปลายฤดูร้อนก็สร้างเสร็จ
พิจารณา
        สถูปหรือมหาเจดีย์องค์นี้ ใช้ประโยชน์สำหรับเก็บอัฐิที่พระธรรมาจารย์ดปรดให้เร่งสร้างด่วนนั้น เท่ากับเป็นการเตือนศิษย์ว่า ท่านใกล้จะถึงกาลดับขันธ์แล้ว
        หนึ่งค่ำเดือนเจ็ด ได้เรียกประชุมมวลศิษย์และโปรดว่า "ถึงเดือนแปด อาตมาจะไปจากโลกนี้ พวกท่านมีข้อธรรมใดสงสัยอยู่ พึงรีมมาถามเสียแต่เนิ่น ๆ จะแก้ข้อกังขาแก่ท่าน ให้ท่านสิ้นความหลงผิดเสีย เมื่ออาตมาจากไปแล้ว จะไม่มีใครสอนท่าน" สงฆ์ฝ่าไห่พร้อมกับศิษย์ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้ ต่างสะอื้นไห้ด้วยความอาดูร มีแต่สงฆ์เสินฮุ่ย (แต่ก่อนคือสามเณรเจ้าปัญญา) เท่านั้นที่อยู่ในอาการปกติ และมิได้หลั่งน้ำตาสะอื้นไห้  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "พระอาจารย์น้อยเสินฮุ่ย พรรษาบวชยังไม่ถึงสิบปี กลับเป็นผุ้เข้าถึงภาวะจิตอันไม่ยินดียินร้าย ไมีสะเทือนต่อคำทำลายหรือให้เกียรติ ความโศกเศร้าและสุขสมก็ไม่เกิด ท่านอื่น ๆ
ยังใช้ไม่ได้ อยู่ในป่าเขา (วัดป่า) กันมาหลายปี บำเพ็ญธรรมอะไรกันหรือ"
พิจารณา
        แท้ที่จริง ศิษย์ท่านอื่นต่างก็บำเพ็ญถึงขั้นแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้อยู่ปรนนิบัติวัฏฐากใกล้ชิดพระอาจรย์ทุกค่ำเช้ามานานปี ปุปปับเมื่อได้ยินคำสั่งเสียเช่นนี้ ใครเลยจะอดใจได้  อีกทั้งพระธรรมาจารย์ ก็อาศัยโอกาสจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าให้ธรรมะ ให้ข้อคิดแก่ศิษย์ที่จะรับงานใหญ่ในอาณาจักรธรรมต่อไป
        วันนี้ที่ท่านโศกเศร้าสะอื้นไห้ ด้วยเหตุห่วงใยผู้ใดหรือ หากเป็นด้วยห่วงใยอาตมา ว่าไม่รู้จะต้องไปยังที่ใด อาตมารู้ที่ไปของตนเอง หากอาตมาไม่รู้ที่ไปคงจะบอกกล่าวพวกท่านล่วงหน้าอย่างนี้ไม่ได้เป็นแน่  ท่านทั้งหลายโศกเศร้าสะอื้นไห้  ล้วนด้วยเหตุไม่รู้ที่ไปของอาตมา หากรู้ที่ไปของอาตมา จะมิพึงโศกเศร้าสะอื้นไห้
พิจารณา
        ครั้งหนึ่ง อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์โปรดว่า "ผู้สูงอายุที่ป่วยหนักใกล้จะตาย ลูกหลานเสียดายไม่ยอม พากันถวายธูปกำใหญ่ วิงวอนเบื้องบน ขอได้โปรดรักษาชีวิตของพ่อไว้  ลูกหลานเข้าใจว่านี่เป็นความกตัญญู แต่เราได้คิดถึงตัวผู้ป่วยบ้างไหม  การไปจากกายสังขารตัวนี้คือการหลุดพ้น จบสิ้นจากความทุกข์ทรมาน เช่นนี้จะไม่ไดีกว่าหรือ" การไม่รู้ที่ไป ทำให้หวาดกลัวไม่อยากไป ไม่อยากให้คนที่เรารักเดินทางไกล ต้องจากพรากไป แต่หากเรารู้ชัดเจนว่า ที่ ๆ จะไปคือพุทธาลัยสวรรค์ชั้นดุสิต จะได้ไปใกล้ชิดพระอริยเมตไตรย  ซึ่งเป็นภาวะที่วิเศษยิ่ง หากรู้ชัดเจนดังนี้ เราจะวางทุกอย่างลง เรายินดีที่จะไป ยินดีให้ผู้เป็นที่รักเราไป กล่าวโดยหลักสัจธรรมคือ  "การเกิด - ดับ ของกายสังขาร เป็นเพียงภาพลวงตา ที่เคลื่อนโคจรเข้ามาบรรจบกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หรือชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จากนั้น ก็ต้องแยกหากออกจากันเหมือนอย่างเดิม" 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)๔บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/09/2554, 18:51
                                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        อันที่จริงธรรมญาณนั้นปราศจากการเกิดดับ ไปมา ท่านทั้งหลายจงนั่งไว้ อาตมาจะให้โศลกแก่ท่านทั้งหลายบทหนึ่ง ชื่อว่า "โศลกเคลื่อนไหว -สงบนิ่งจริงเท็จ"  ท่านทั้งหลายท่องโศลกนี้ไว้ ให้ความคิดเห็นเป็นเช่นเดียวกับอาตมา บำเพ็ญตามนี้ ก็จะไม่ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมแห่งพงศาธยานะ มวลศิษย์น้อมกราบอาราธนาพระคุณเจ้า พระธรรมาจารย์โปรดแสดงโศลกว่า :

ทุกสิ่งสรรพ              ปราศจาก             ความมีจริง
อย่าเอาสิ่ง               ที่เห็นจริง             ว่าจริงแท้
หากหมายว่า             ที่ข้าเห็น              เป็นจริงแน่
ที่เห็นแท้                 แต่แท้จริง            ไม่จริงเลย
หากเห็นญาณ           อันตนมี                ที่เป็นจริง
พ้นสรรพสิ่ง              ไม่จริงไป              ใจจริงแน่
ใจของตน                แม้ไม่พ้น              สิ่งปรวนแปร
ใจไม่แท้                 ที่ใดแล                ฤาแท้จริง       
สัตว์โลกนั้น              มันเคลื่อนไหว        ด้วยใจรู้
ปราศจากรู้               จะอยู่นิ่ง               ไม่ติงไหว
หากบำเพ็ญ             เช่นไม่รู้                อยู่นิ่งไว้
ไม่ต่างไป               คล้ายวัตถุ              อยู่นิ่งงัน
หากจะหา               สิ่งที่เป็น               ไม่วิ่งไหว
นั่นคือใจ                ไม่ไหววิ่ง               ตามสิ่งไหว 
ธาตุวัตถุ                 อยู่แน่นิ่ง               นิ่งเรื่อยไป
ไม่มีใจ                  ไม่อาจปลูก             พุทธญาณ
รู้จำแนก                 แยกธรรม -             ลักษณ์ไซร์
เบื้องต้นให้             สงบใน                  ไม่เคลื่อนหนา
จงรู้เห็น                 เป็นจิตญาณ             มั่นคงนา
คือตถตา               มรรคาธรรม               สำแดงคุณ
จงบอกกล่าว          เหล่าศึกษา               พระธรรมนั้น
ให้บากบั่น             หมั่นเพียรไป             ตั้งใจมั่น
มหายาน               ประตูทาง                 ไม่ผิดผัน
อย่ายึดมั่น             การเกิดตาย               ไร้ปัญญา
หากเขาสดับ          ยอมรับไว้                  ใจสอดคล้อง
ร่วมครรลอง           ของพุทธา                  มาสมาน
แต่หากไม่             เข้าใจเป็น                  เช่นเดียวกัน
จงสาธุการ             สมานมิตร                  จิตยินดี
พงศาฌาณ            มีหลักการ                  ไม่พาลแข่ง
หากขัดแย้ง            แข่งธรรมผิด               บิดธรรมส่าย
หากยึดมั่น             พาลขัดธรรม               ดำเนินไป
ญาณจิตใจ             เวียนเกิดตาย              ไม่พ้นทาง

พิจารณา  :  สรุปความหมายของโศลกดังนี้
        สรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนเที่ยงแท้ อย่าเห็นผิดคิดว่ามันเป็นจริง  หากหลงผิดคิดหมายว่าที่เห็นนั้นมันเป็นจริง ซึ่งแท้จริงทั้งหมดที่เห็นล้วนไม่เป็นจริงสักสิ่งเดียว แต่เราอาจรู้แจ้งว่า เจ้าตัวตนไม่เที่ยงแท้ของเรานี้มีสิ่งจริงอยู่ภายใน  สิ่งจริงนั้นจะรู้ได้เมื่อใจของเราออกหาก สลัดละไปจากสรรพสิ่งอันเป็นมายาสมมุติ เราก็จะเห็นได้ในใจจริงของตน  หากใจจริงของตนยังไม่พ้นไปจากสรรพมายาสมมุติ ก็จะไม่มีสิ่งจริงที่ไหนให้หาได้ สัตว์โลกที่มีชีวิตจิตใจ ย่อมเคลื่อนไหว และมีความเข้าใจได้ สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ก็จะไม่เคลื่อนไหว หากเราบำเพ็ญ แต่เป็นเหมือนสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่เคลื่อนไหว ได้แต่นั่งนิ่ง เราก็จะไม่ต่างจากสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่หากจะหาสิ่งจริงที่ไม่เคลื่อนไหว นั่นคือใจที่สงบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวแม้อยู่ในกายสังขารอันเคลื่อนไปก็ตาม ส่วนสรรพสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เคลื่อนไหว ก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว มันเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ จึงไม่อาจสืบต่อเผ่าพันธุ์แห่งพุทธะได้ หากเราจะจำแนกธรรมลักษณะได้ รู้ว่ามโนวิญญาณตัวรู้คิดของเรามันเป็นอย่างไร "จิตญาณตัวแท้" อันสงบนิ่ง ของเรามันเป็นอย่างไร เราก็จะรู้ว่าสิ่งสำคัญประการแรกคือ ความสงบนิ่งของมโนวิญญาณ จงทำความรู้เห็นเช่นนี้ สิ่งที่สำแดงคุณก็จะเป็นบทบาทของตถตา ความเป็นอย่างนั้นเองโดยดุษณี โดยสงบราบเรียบ เช่นนี้จึงจะเรียกว่าบำเพ็ญจริง จงบอกกล่าวแก่ผู้ศึกษาธรรมว่า จะต้องเพียรพยายามตั้งใจให้เข้าถึงจิตญาณแท้แห่งตน เข้าถึงภาวะรู้แจ้ง มิใช่เข้าสู่ประตูธรรมมหายานอันรู้แจ้งฉับพลันแล้ว ยังคงยึดหมายการเกิดตายอยู่อีก หากบอกกล่าวให้เขาเข้าใจ เขาสนองตอบความเข้าใจสอดคล้องกัน ก็ให้ร่วมศึกษาพิจารณาความหมายในพุทธธรรมต่อไป แต่ถ้าหากเขารับไม่ได้ ไม่เห็นพ้องต้องกันกับธยานะธรรมวิถีจิตอันรู้แจ้งฉับพลันนี้ ก็จงสาธุการ รักษาท่าทีให้เขามีความยินดี มิให้ร้าวฉานต่อกัน ธรรมะวิถีจิตหรือพงศาธยานะนี้ ไม่มีสิ่งขัดข้องต่อวิถีธรรมอื่นใด เป็นหลักสัจธรรม เป็นหลักสัทธรรม เป้าหมายคือ การหลุดพ้นด้วยจิตของตนเองโดยฉับพลัน หากจะยังต้องถกเถียง วิจารณ์ขัดแย้งกัน เหมือนบิดธรรมให้อยู่ในฝ่ายตน เมื่อถูกบิด ความหมายแห่ง "ธรรมอันบริสุทธิ์สงบ" ทุกวิถีทาง ก็จะสิ้นสูญไป ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น ขัดฝืน ถกเถียง ด้วยว่าธรรมวิถีอันผิดแผกแตกต่างกัน จิตญาณของผู้นั้นย่อมเข้าสู่กระแสแห่งการเกิดตายต่อไป             
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/10/2554, 18:16
                            คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        ขณะนั้น สงฆ์ทุกรูปเมื่อได้สดับโศลกจบลง ต่างพร้อมกันก้มกราบสาธุการ ด้วยความเข้าใจเจตนาของพระธรรมาจารย์ ต่างซึ้งซาบประทับใจ บำเพ็ญธรรมตามนั้น มิกล้าที่จะวิตกวิจารณ์กันต่อไป  เมื่อทราบว่าพระธรรมาจารย์จะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน ฝ่าไห่เจ้าคณะสงฆ์ จึงกราบเรียนถามอีกว่า "เมื่อพระเถระเจ้าเข้าสู่ปรินิพพานไป ในภายหลัง จีวรพงศาธรรมกับธรรมจักษุครรภนิพพาน (วิถีจิต) จะโปรดมอบหมายแก่ผู้ใดต่อไป"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "อาตมาอรรถาธรรมที่วัดมหาพรหมเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ จงบันทึกคักลอกเผยแผ่ และให้ชื่อว่า "ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร        ฝ่าเป่าถันจิง"  ท่านทั้งหลายจงปกป้องรักษาไว้ ฉุดนำเหล่าเวไนยฯ หากแสดงธรรมตามนัยนี้ ได้ชื่อว่าสัทธรรม วันนี้แสดงธรรมให้ไว้แก่พวกท่าน แต่ไม่มอบหมายจีวรพงศาธรรมนั้น  ด้วยเหตุอันท่านทั้งหลายรากฐานแห่งศรัทธามั่นคงได้ที่ ไม่มีข้อสงสัยใดเป็นแน่แท้ สามารถรับภาระใหญ่ได้ แต่ทว่าสมเด็จพระโพธิธรรมพระบรรพจารย์เคยมอบโศลกโปรดไว้ว่า " จีวรพงศาธรรมไม่เคยถ่ายทอดต่อไป" 
        โศลกที่สมเด็จพระโพธิธรรมโปรดไว้มีดังนี้ว่า
อาตมา             จาริกสู่             แดนนี้นา
เพื่อธรรมา          ถ่ายทอดสู่        ผู้หลงใหล
หนึ่งดอกไม้        บานปริศนา       ห้ากลีบใบ
ภายหน้าไป        ได้ผลงาม         ตามมาเอง
        พิจารณา
        สมเด็จพระโพธิธรรมพระบรรพจารย์ ปฐมธรรมาจารย์สายฌานธยานะ โปรดจาริกสู่ประเทศจีนปี พ.ศ.1063 เพื่อถ่ายทอดสัทธรรม ฉุดช่วยเวไนยฯ ให้รู้้ตื่นฉับพลันด้วยวิถีธรรมสู่จิต  ในสมัยนั้น ผู้คนที่เข้าใจยังมีไม่มาก พระองค์จึงฝากธรรมพยากรณ์เป็นโศลกไว้ดังกล่าว คำว่า "หนึ่งดอกไม้บานปริศนาห้ากลีบใบ" หมายถึง ภายหน้า คือ นับจากพระองค์ ดอกไม้จะเบ่งบาน หมายถึงธรรมะจะเบ่งบานขยายดอกออกเป็นห้ากลีบ กลีบที่สองต่อจากพระองค์คือ พระธรรมาจารย์เสินกวง  กลีบที่สาม คือ พระธรรมาจารย์เซิงชั่น   กลีบที่สี่ คือ พระธรรมาจารย์เต้าซิ่น   กลีบที่ห้า คือ พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น
        พอมาถึงสมัยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงลิ่วจู่สมัยที่หก ดอกทั้งห้ากลับใบได้ผลึกผล จึงมิพึงแคลงใจเลยว่า ในสมัยนี้ ธรรมะวิถีจิตรุ่งเรืองเฟื่องฟู ได้ผลงามตามมาเองเช่นนี้ โดยเฉพาะยุคสมัยนี้ต่อมา ธรรมะวิถีจิตถ่ายทอดสู่ครัวเรือน  ซึ่่งใครจะคาดคิดได้ว่า  บัดนี้ พุทธะวจนะของพระธรรมาจารย์ที่ว่า "ในบ้านเรือนครัวไฟ มีธรรมราชาผู้เป็นใหญ่ในท่ามกลาง" ได้ปรากฏเป็นจริงแล้ว  "ธรรมราชาผู้เป็นใหญ่ในธ่ามกลาง" ก็คือจิตญาณอันทรงศักยภาพของชาวธรรมผู้รู้แจ้งจิตญาณตนทุกคน ที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้โปรดอรรถาธิบาย ชี้ให้เห็น "จิตธรรมราชาแห่งตน"  มาตั้งแต่ต้นนั่นเอง
        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านจงต่างทำใจให้หมดจด (หยุดความคิดทั้งปวง) ฟังอาตมากล่าวธรรม  จิตของท่านทั้งหลายล้วนเป็นพุทธะ (มีพุทธภาวะ)  ยิ่งอย่าได้แคลงใจสงสัยเลย ภายนอกจิตญาณไม่มีแม้สักสิ่งเดียวอันอาจก่อเกิด ล้วนเป็นด้วยจิตแห่งตนเท่านั้นที่ก่อเกิดธรรมทั้งปวง  พุทธธรรมจึงมีคำว่า "ใจเกิด ธรรมทั้งปวงเกิด" (จิตปรุงแต่งรู้เห็นเป็นจริง จึงก่อเกิดยึดหมายว่ามีสิ่งนั้น)  "ใจดับ ธรรมทั้งปวงดับ) จิตไม่ปรุงแต่งยึดหมาย ทุกอย่างเงียบหายสงบนิ่ง) 
        พิจารณา
        เมื่อจิตมิได้สอดส่ายวุ่นวายไป อีกทั้งสงบนิ่งอยู่ ณ ฐาน "ตัวแท้" ของจิต สงบนิ่งอยู่ด้วยภาวะปกติเคยชินเป็นเนืองนิจ เมื่อนั้น ภาวะนั้นคือ "ดับ"  แม้หากปรารถนาทำความสำเร็จในพุทธปัญญา (มหาปัญญาบริสุทธิ์แห่งพุทธะ) พึงเข้าถึงต่อการบรรลุเห็น "เอกะลักษณ์สมาธิ" (สมาธิแน่วแน่สงบนิ่งด้วยธรรมลักษณะ เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปร)  พึงเข้าถึงภาวะ "เอกะสังขารสมาธิ" (สมาธิแน่วแน่สงบนิ่งด้วยกายสังขาร เป็นหนึ่งเดียวทุกสภาวะอาการโดยไม่เปลี่ยนแปร)   หากดำรงอยู่อย่างนั้นในทุกสภาวะโดยมิได้ยึดหมายต่อรูปลักษณ์ใด (ดำรงอยู่ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธิที่แน่วแน่ เป็นอย่างนั้นโดยตัวเอง) มิได้ก่อเกิดรักชิง (ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธิโดยตัวเองนั้น)  ปราศจากใฝ่ได้ ใฝ่ละวาง  (ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธินั้น)  มิได้ระลึกคุณโทษดีร้าย  (ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธิที่แน่วแน่อยู่อย่างนั้นโดยตัวเอง)  สมาธิเช่นนั้นเป็นความสงบนิ่งเบาสบาย ผ่อนคลาย ราบเรียบ  เวิ้งว่าง ได้ชื่อว่า "เอกะลักษณ์สมาธิ)     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/10/2554, 18:46
                                 คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        หาก ณ สถานใด เดิน  ยืน  นั่ง  นอน ใจสงบเที่ยงตรงอยู่อย่างนั้น อาณาจักรธรรมแห่งใจมิได้หวั่นไหว เป็นวิสุทธิสถานทุกขณะอย่างแท้จริง ได้ชื่อว่า "เอกะสังขารสมาธิ"  บุคคลใดหากถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่งสมาธิทั้งสองนี้ ประหนึ่งได้ฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ ไม่นานเมล็ดพันธุ์นั้นย่อมงอกเงยเจริญเติบโต ออกดอกตกผล  เอกะลักษณ์  เอกะสังขาร  ก็ย่อมออกดอกตกผลแห่งพุทธะได้เช่นเดียวกันนี้   อาตมากล่าวธรรมวันนี้ เปรียบได้ดั่งสายฝนอันตกต้องตามฤดูกาล  ให้ความชุ่มฉ่ำต่อผืนแผ่นดินใหญ่ พุทธจิตแห่งท่านทั้งหลาย สมมุติดั่งเช่นเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ได้รับหยาดฝนอมฤตฉ่ำชื่น ล้วนงอกเงยก่อเกิด ผู้น้อมรับหลักธรรมคำชี้นำนี้ของอาตมาไว้ได้ ย่อมได้ความเป็นจิตโพธิแน่แท้  ปฏิบัติบำเพ็ญจามที่อาตมาถ่ายทอดให้ ย่อมประจักษ์มรรคผลอันวิเศษแน่นอน
        จงฟังโศลกจากอาตมา
ผืนดินใจ             ได้หมกฝัง             พันธุ์พืชผล
ฤดูฝน                กล่นโกรกถ้วน        ล้วนเงยงอก
รู้ตนตื่น               ขึ้นฉับพลัน            ญาณชูดอก
เบ่งบานออก        ตกผลสวย             ด้วยโพธิ

        พระธรรมาจารย์กล่าวโศลกจบลงแล้วโปรดว่า  "พระพุทธแห่งพุทธะนั้น ปราศจากความเป็นสอง จิตแห่งพุทะะก็เช่นกัน  ภาวะของความเป็นธรรมะนั้นใสบริสุทธิ์หมดจด อีกทั้งปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง "  ท่านทั้งหลายพึงรอบคอบระวัง อย่าได้เพ่งดูความสงบ อีกทั้งอย่า "มุ่งหา"  ความว่างแห่งจิต (มิพึงเจาะจงทำสมาธิ กำหนดความว่างอย่างยึดหมาย)  ด้วยว่าจิตนั้นบริสุทธิ์ หทดจดอยู่เป็นเดิมที ปราศจากสิ่งใดอันพึงใฝ่ได้หรือใฝ่ละวาง  จงต่างทำความเพียรตามบุญปัจจัยอันสมควรเถิด"  จากนั้น ศิษย์ทั้งหลายน้อมกราบแล้วถอยกลับออกมาจากที่นั้น
        พิจารณา
        ...จงต่างทำความเพียร...
           เพียรบำเพ็ญตน 
           เพียรฉุดช่วยนำพาสาธุชน 
           เพียรเผยแผ่พุทธธรรม   
           เพียรจรรโลงธรรมวิถีธยานะ 
           เพียรเพื่อรู้แจ้งฉับพลัน...       

เพียรทำสมาธิ             มิใช่เพียรนั่ง
เพียรคล้ายเพียรว่าง      จิตกว้างเหมือนหาย
นั่งนอนเดินยืน            ไม่ฝืนไม่หน่าย
อยู่เหมือนอยู่ไม่          แต่มิใช่ตาย
จงอย่านั่งเฉย            เมินเลยใครใคร
นั่งอยู่ร่ำไป               ให้ญาณตนเพริศ
จงลุกขึ้นยืน              ยื่นมือฉุดเถิด
ช่วยบัวบานเกิด         เฉิดฉายไม่จม
ความเพียรแท้นั้น        มหายานชน
จิตสำคัญตน             หมั่นด้นคนใส
มรรคผลบารมี           เกิดที่ตนใน
ภายนอกออกไป        จ่ายธรรมนำคน
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/10/2554, 01:14
                              คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        ครั้นถึงวันแปดค่ำเดือนเจ็ด พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง โปรดเรียกประชุมศิษย์ทั้งหลาย เฉพาะกาลแล้วโปรดว่า "อาตมาจะกลับเมืองซินโจว ถิ่นกำเนิด ท่านทั้งหลายรีบจัดเรือพาย "  ศิษย์ทั้งหลายนั้นต่างคร่ำครวญวิงวอนอย่างเหนียวแน่น  ขอให้พระธรรมาจารย์ได้โปรดอยู่ยั้ง จงอย่าจากไป  พระธรรมาจารย์โปรดว่า " การปรากฏพระองค์ของเหล่าพุทธะซึ่งอุบัติมาในโลกนี้ ประหนึ่งแสดงให้เห็นถึงการดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานในวันข้างหน้า เมื่อมีการอุบัติมา ก็ย่อมต้องมีการกลับคืนไป หลักสัจธรรมเป็นเช่นนี้  รูปกายสังขารแห่งอาตมา ก็มีสถานอันพึงต้องกลับไปเช่นกัน" 
        พิจารณา
        รูปกายสังขาร กลับคืนไปสู่ความเป็นธาตุทั้งสี่ที่มาบรรจบกัน  ส่วนจิตญาณที่ดับขันธ์ปรินิพพานคือ กลับคืนไปสู่ภาวะ (ที่เป็นสุข ตามความรู้สึกของคน) สูงสุด เป็นอิสรภาพสมบูรณ์ด้วยปราศจากกิเลสทั้งปวง  สงบนิ่งด้วยมิได้เสวยอารมณ์แล้ว  เราอาจพิจารณาภาวะนิพพานของพระธรรมาจารย์จากคำสอนของพระองค์ได้ว่า น่าจะเป็นดับขันธ์ (ไม่เหลือขันธ์ห้า)  มิใช่นิพพานในระดับที่ยังเสวยอารมณ์ชอบและมิชอบได้อยู่  ศิษย์ทั้งหมดกราบเรียนถามว่า "การจากไปของพระธรรมาจารย์ครั้งนี้ ศิษย์ทุกคนหวังว่าพระธรรมาจารย์จะโปรดกลับคืนมาในเร็ววัน (ไม่เช้าก็เย็น) "  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ใบร่วงจากต้นลงสู่ราก  การจะกลับมานี้หามีปาก (ทาง) ไม่" 
        พิจารณา
        "การจะกลับมานี้หามีปากไม่"  ปากในที่นี้ของพระธรรมาจารย์ แฝงความหมายหลายประการ
1. ปากที่พูดจา      หารับปากได้ไม่  คือไม่รับปากว่าจะกลับมา
2. ปากทางประตู   หามีประตูหรือปากทางให้กลับคืนมาใหม่ได้ไม่  จิตญาณเมื่อออกจากกายสังขารทางญาณทวารไปสู่เบื้องสูง จะกลับเข้าญาณทวาร ก็ต่อเมื่อมีร่างใหม่ของตน
3. คำว่ากลับคืน     อักษรจีนเขียนว่า     หุย   คำว่า ปาก เขียนว่า     โข่ว   
        ...หามีปากไม่... ที่พระธรรมาจารย์โปรดแสดงความนัย คือจะไปสู่โลกกว้าง       ไม่มีปากทาง หรือจะไม่กลับมาอีก        ในช่องเล็กประโยคที่ว่า

        ...ใบร่วงจากต้นลงสู่ราก... มีสองความหมายคือ   
1. ชีวิตจิตญาณ   อันได้มาจากรพอนุตตรธรรมมารดาชคัตตรยาพดงศ์พระองค์ธรรมชาติ เมื่อละจากสังขาร (บรรลุธรรม) ย่อมจะต้องกลับคืนไปสู่พระองค์ธรรมชาติ
2. ชีวิตร่างกาย   ได้รับพระคุณชุบเลี้ยงเจริญเติบโตจากสิ่งแวดล้อมถิ่นกำเนิดและผู้คนในแวดวงนั้น เมื่อจะดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ย่อมจะต้องระลึกพระคุณจากที่มา เหมือนใบไม้ร่วงจากต้นหล่นสู่ราก ให้เป็นหลักเป็นศักดิ์ศรี เป็นที่ระลึก  เป็นคุณแก่ถิ่นกำเนิดนั้น  เช่น  ใบไม้ร่วงให้เป็นปุ๋ย  เป็นความชุ่มฉ่ำแก่ต้น (ต้นกำเนิด)  ฉะนั้น
        กราบเรียนถามอีกว่า "จักษุครรถนิพพานสัทธรรม จะโปรดมอบหมายถ่ายทอดแก่บุคคลใด" (ยุคนั้นยังมิได้ถ่ายทอดทั่วไป) พระธรรมาจารย์โปรดว่า "บุคคลผู้มีธรรมจะเป็นผู้ได้รับ บุคคลผู้ปราศจากใจ (จิตว่างแท้)  จะเข้าถึงปรุโปร่ง
        พิจารณา
        การได้รับวิถีอนุตตรสัทธรรม เป็นสิ่งวิเศษสุดที่มิให้มอบหมายถ่ายทอดโดยง่าย  เช่นที่เห็นได้จากครั้งกระนั้น จะต้องเป็นผู้มี "ธรรม"  เป็นผู้ "ปราศจากใจยึดหมาย"  สืบต่อจากพระธรรมาจารย์เฉพาะบุคคล แต่บัดนี้เราได้รับวิถีจิตกันง่ายดายไม่เห็นคุณค่า จึงน่าเสียดายนัก หากเราท่านได้สังเกตจะเห็นว่าศิษย์ต่างร้อนใจ กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์หลายครั้งว่า "...ธรรมจักษุครรภนิพพาน (วิถีจิต) จะโปรดมอบหมายแก่ผุ้ใดต่อไป"  กราบเรียนถามอีกว่า  "ต่อไปภายหน้า (หลังจากพระธรรมาจารย์ดับขันธ์จากไปแล้ว) จะมีเภทภัยอันใดหรือไม่"  พระธรรมาจารย์โปรดตอบว่า  "หลังจากอาตมาดับขันธ์แล้วประมาณห้าหกปี จะมีบุคคลหนึ่งมาตัดเอาศรีษะอาตมา 
        จงฟังพยากรณ์จากอาตมา
เขาต้องการ             สักการะ             ศรีษะอาตมา
ผู้นั้นหนา                ฐานะจน            ข้นแค้นนัก
ชื่อของเขา             สามพยางค์         "หมั่น" ประจักษ์
หยางหลิ่วศักดิ์         จักตรวจการ        งานบ้านเมือง
        พิจารณา
        ขอเรียนให้ทราบ ก่อนเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์ตามคำพยากรณ์บอกกล่าวของพระธรรมาจารย์ว่า  ภายหลังในปีไคเอวี๋ยนที่สิบ  เดือนแปด สามค่ำ ชายผู้หนึ่งนามว่า "จางจิ้งหมั่น"          (ปัจจุบันคือเกาหลี)  ให้มาขโมยตัดพระเศียรของพระธรรมาจารย์ไปสักการะบูชา เพื่อเพิ่มพูนมหามงคลชัยให้แก่บ้านเมืองตน  ขณะนั้น ข้าหลวงผู้รักษาการเมืองเสาโจวที่เก็บรักษาสรีระร่างของพระธรรมาจารย์ กับผู้ตรวจการอำเภอท่านหนึ่ง คือ "หลิ่วอู๋เถี่ยน"
อีกท่านหนึ่งคือ "หยางขั่น"        เหตุเกิดหลังจากที่พระธรรมาจารย์ดับขันธ์ไปแล้ว ประมาณสิบเอ็ดปี  (ห้าหกปีบวกกันเป็นสิบเอ็ดปี) 
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/10/2554, 11:18
                              คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        ครั้งนั้น พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "หลังจากอาตมากลับไปแล้วเจ็ดสิบปี จะมีพระโพธิสัตว์สองรูป มาจากทางทิศบูรพา รูปหนึ่งถือบวชในเพศบรรพชิต  อีกรูปหนึ่งถือบวชอยู่ในเพศฆราวาส  ทั้งสองรูปจะพร้อมกันมาก่อฐานพงศาธยานะแห่งเราให้มั่นคงสถาวรยิ่งขึ้น จะเสริมสร้างสังฆาราม บูรณะปฏิสังขรณ์ให้เจริญรุ่งเรือง  จะแพร่ธรรมคำสอน จรรโลงพุทธธรรมให้เฟื่องฟูต่อไป" 
        พิจารณา
        พระโพธิสัตว์ทั้งสองรูปในภายหลังต่อมานั้น วงการศาสนาพุทธกล่าวว่า  รูปที่อยู่ในเพศบรรพชิตคือ พงศาธรรมาจารย์หม่าเต้าอี         รูปที่อยู่ในเพศฆราวาสคือ ท่านนักพรต "ผังอวิ้น        "   และหรือท่านนักพรต "เผยซิว        "   ในพงศาอนุตตรธรรม (ยุคหลัง) เมื่อสืบต่อมาจนถึงพระธรรมาจารย์สมัยที่เจ็ด มีสองพระองค์คือ พระธรรมาจารย์ไป๋  กับ  พระธรรมาจารย์หม่า
        กราบเรียนถามว่า "มิทราบว่าเหนือจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไป ที่ได้ทรงอุบัติมาแล้วจวบจนบัดนี้ โปรดถ่ายทอดแล้วกี่สมัย ขอได้โปรดเปิดเผยชี้ให้ศิษย์ได้ทราบด้วยเถิด"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า  "บรรพพุทธาที่ทรงอุบัติมาสู่โลกนี้นั้น มากมายไม่อาจคณานับ มิอาจคำนวณได้ ณ จุดนี้ จะกล่าวโดยเริ่มจากเจ็ดพระพุทธาอันใกล้นี้เท่านั้น 
ในกัปอาลัมปกร            จวงเอี๋ยนเจี๋ย   มีพระวิปัสสี   พระสิขี   พระเวสสภู
ในภัทรกัปปัจจุบัน          จินเสียนเจี๋ย   มีพระกกุสันธะ   พระโกนาคมน์   พระกัสสปะ   และพระโคดม   รวมเป็นเจ็ดพระองค์
        พระศากยโคดมพระพุทะเจ้า โปรดถ่ายทอดต่อแก่พระมหากัสสปะ เป็นองค์แรก  เรื่อยไปเรียงตามลำดับดังนี้
๑.  พระมหากัสสปะ
๒.  พระอานนท์
๓.  พระศาณกวาสะ
๔.  พระอุปคุปตะ
๕.  พระธฤฏกะ
๖.  พระมิจฉกะ
๗.  พระวสุมิตร
๘.  พระพุทธนันธิ
๙.  พระพุทธมิตร
๑๐.  พระปารัศวิกะ
๑๑.  พระปุณยยะศะ
๑๒.  พระอัศวโฆษ
๑๓.  พระกปิมละ
๑๔.  พระนาคารชุน
๑๕.  พระกาณเทพ
๑๖.  พระราหุลตา
๑๗.  พระสังฆนันทิ
๑๘.  พระคยาศตะ
๑๙.  พระกุมารตะ
๒๐.  พระชยัต
๒๑.  พระวสุพันธุ
๒๒.  พระมโนรหิตะ
๒๓.  พระหกเลน
๒๔.  พระอารยะสิงหะ
๒๕.  พระวสิอสิตะ
๒๖.  พระปุณยมิตร
๒๗.  พระปรัชญาตาระ
๒๘.  พระโพธิธรรม
๒๙.  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเข่อ
๓๐.  พระธรรมาจารย์เซิงซั่น
๓๑.  พระธรรมาจารย์เต้าซิ่น
๓๒.  พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น
        อาตมาฮุ่ยเหนิง เป็นองค์ที่สามสิบสาม  (ตามลำดับพงศาธรรมชมพูทวีป)  ตั้งแต่พระบรรพจารย์ข้างต้นเรื่อยมา ต่างสนองรับหน้าที่ พวกท่านในภายหลัง (ก็ให้)  มอบหมายถ่ายทอดสืบต่อไป อย่าได้ผิดพลาด
        พิจารณา
        พระธรรมาจารย์ทุกพระองค์ ทำหน้าที่ถ่ายทอดสืบต่อแต่ละสมัยด้วยพระภาระศักดิ์สิทธิ์โดยมิให้ขาดสาย มิให้ผิดพลาดจนถึงยุคปัจจุบัน คือ พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยาน (ธรรมชาติ)  กับ  พระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ย (จันทรปัญญา)         
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/10/2554, 11:50
                                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        ปีเริ่มปฐมศักราชไคเอวี๋ยน ตรงกับปีฉลู เดือนแปด สามค่ำ ณ พระอารามหลวงคุณาปฏิการาม  กั๋วเอินซื่อ  ที่เมืองซินโจว (บ้านเกิดของพระธรรมาจารย์) ภายหลังร่วมฉันภัตตาหารเจกัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระธรรมาจารย์โปรดกล่าวแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า  "พวกท่านจงนั่งลงตามลำดับ อาตมาจะลาจากพวกท่านแล้ว  สงฆ์ฝ่าไห่ (เจ้าคณะ) กราบเรียนถามว่า "มหาเถระเจ้า จะโปรดมอบพุทธธรรมคำสอนใด ไว้ให้แก่คนหลงรุ่นหลังต่อไปได้เห็นพุทธญาณตนได้"  พระธรรมจารย์โปรดว่า  "ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟัง คนหลงรุ่นหลังหากรู้จักเวไนยฯ นั่นก็คือพุทธญาณ หากไม่รู้จักเวไนยฯ แม้จะผ่านกาลเวลานานนับหมื่นกัป เพื่อแสวงหาพุทธะ เขาก็จะมิอาจพานพบ" 
        พิจารณา
        ข้างต้นได้กล่าวไว้แล้วว่า  "เวไนยคือเรา  เราคือเวไนย"   "ขณะหลง   พุทธะคือเวไนย"   "รู้แจ้งทันใด  เวไนยคือพุทธะ"   เวไนยกับพุทธะคือหนึ่งเดียวกัน จะต่างกันแต่เป็นผู้รู้ตื่นหรือหลับหลงเท่านั้น   พระธรรมาจารย์จึงโปรดว่า  "...หากรู้จักเวไนยฯ  นั่นคือพุทธญาณ..."  ศุกษาพุทธธรรม อันดับแรกคือ จะต้องเข้าใจหลักธรรมข้อนี้
        " บัดนี้ อาตมาจะสอนให้ท่านรู้จักเวไนยฯแห่งจิตญาณตน ให้เห็นพุทธญาณแห่งจิตตน  ใคร่เห็นพุทธะแห่งตน  พึงรู้จักเวไนยฯ  เพียงด้วยเวไนยฯหลงหายไปจากความเป็นพุทธะ มิใช่พุทธะหลงหายไปจากความเป็นเวไนยฯ   (เวไนยฯ ไม่รู้ความเป็นพุทธะในตน จึงหลงอยู่กับความเป็นเวไนยฯเรื่อยไป ส่วนพุทธะรู้ความเป็นเวไนยฯในตน จึงตื่นอยู่ในความเป็นพุทธะ มิให้หลงกลับไปเป็นเวไนยฯอีกต่อไป)  จิตญาณตนหากรู้แจ้ง เวไนยฯก็คือพุทธะ  จิตญาณตนหากหลง พุทธะก็คือเวไนยฯ   จิตญาณเสมอภาคเท่าเทียมกัน เวไนยฯก็คือพุทธะ  จิตญาณหากผิดบาปมีเล่ห์ร้าย พุทธะก็คือเวไนยฯ  จิตใจท่านทั้งหลายหากเหลี่ยมร้านคดงอ ก็คือ พุทธะที่อยู่ท่ามกลางความเป็นเวไนยฯ  หากความคิดจิตใจตรงเรียบ ก็คือเวไนยฯได้สำเร็จความเป็นพุทธะ"
ใจฉันมี             พุทธะแท้             แต่เดิมที
พุทธะที่มี          เป็นพุทธะ             ปาริสุทธิ์
หากใจตน         ปราศจาก             องค์แห่งพุทธ
ที่ใดรุด            หาพุทธะ              จะได้จริง
        ใจท่านทั้งหลายเองเป็นพุทธะ ยิ่งอย่างได้สงสัยแคลงใจไปเลย
        พิจารณา
        พระธรรมาจารย์พยายามย้ำเตือนเรื่องจิตพุทธะแห่งตน แก่ศิษย์และสาธุชน จนถึงเวลาสุดท้ายของชีวิต  คนที่ไม่เข้าใจอาจคิดว่า ท่านเลอะเลือนซ้ำซาก  แต่หากเข้าใจ ได้อ่านซ้ำคำย้ำเตือนของท่านแล้วจะตื้นตัน   ใกล้เวลาจะละสังขาร จะดับขันธ์อยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติก็ปราศจากยึดหมายในรูป  เวทนา  สัญญา   สังขาร  วิญญาณ  ไฉนก่อนจะทิ้งไป ยังต้องรื้อขนเอาขันธ์ห้าขึ้นมาใช้เพื่อให้เวไนยฯได้รู้แจ้งจิตพุทธะแห่งตน  อะไรจะเมตตากรุณาถึงปานนี้
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2554, 10:02
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        โปรดต่อไปว่า "ภายนอกจิตญาณปราศจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันอาจก่อเกิดได้ ล้วนด้วยจิตตนก่อเกิดหมื่นธรรมทั้งปวง"  พระคัมภีร์จึงมีคำว่า "ใจเกิด ธรรมทั้งปวงเกิด  ใจดับ ธรรมทั้งปวงดับ"   วันนี้อาตมาจะให้โศลกหนึ่งบท เป็นการอำลาจากพวกท่าน ชื่อว่า "โศลกจิตญาณตนพุทธะแท้"  คนสมัยหน้า แม้เข้าใจในความหมายโศลกนี้ เห็นจิตญาณตน จะบรรลุพุทธญาณในตน
           
         " โศลกจิตญาณตนพุทธะแท้ " โศลกมีความว่า
ญาณแท้ตน             คือตถตา             พุทธจิต
คิดเห็นผิด               สามพิษนั้น           มารร้ายใหญ่
หลงผิดอยู่              ขณะนั้น               มารอยู่ใน
เห็นชองไซร์           ในสถาน              บ้านพุทธา

        พิจารณา
        สามพิษ คือ โลภ โกรธ หลง  ขณะหลงผิด จิตใจแฝงไว้ด้วยมาร เหมือนเอามารมาเชิดชูให้เป็นใหญ่ในบ้าน (จิตญาณตน) เมื่อคิดดีเห็นชอบ เหมือนห้องโถงใหญ่ใจกลางบ้าน (จิตญาณตน) ได้ประดิษฐานพระพุทธะไว้  บ้านหลังเดียวกันนี้ เจ้าของบ้านคนเดียวกันนี้ มีผู้อยู่อาศัยที่เป็นทั้งมารก็ได้ เป็นพุทธะก็ได้ เจ้าของบ้านชื่นชอบมาร มารก็เริงร่าขึ้นมาเป็นใหญ่ ชื่นชอบพุทธะ มารก็ถอยหากออกไปเป็นธรรมดา

ท่ามกลางจิต             เห็นผิดนำ             สามพิษเกิด
นั่นคือเชิด                 มารใหญ่ไว้           ให้ครองบ้าน
เห็นชอบนำ               สามพิษใจ             มลายพลัน
แปรเปลี่ยนมาร           เป็นพุทธา             หาใช่เท็จ

อันกายธรรม               สัมโภคะ              นิรมาณ
สามกายนั้น                อันจริงซึ่ง            หนึ่งกายรวม
เป็นกระบวน               บรรลุหมาย           ในพุทธา

        พิจารณา
        ขอย้ำทำความเข้าใจเรื่องสามกายอีกครั้งเผื่อลืม
1.  ธรรมกาย     (           ฝ่าเซิน)  คือจิตญาณอันบริสุทธิ์ กอปรด้วยกรุณาคุณ   ปัญญาคุณ   และบริสุทธิ์คุณอยู่ในตัว
2.  สัมโภคกาย  (           เป้าเซิน)  กายทิพย์ที่มีรัศมีรุ่งโรจน์ แผ่ซ่านสาดส่องด้วยมหากรุณาคุณ  ปัญญาคุณ  และพระวิสุทธิคุณอยู่ในตัว
3.  นิรมาณกาย  (           ฮว่าเซิน) กายอันแผ่พลานุภาพสร้างสรรค์เปลี่ยนแปร เช่น การโปรดสัตว์ในลักษณะต่างๆ ตามเหตุปัจจัยอันควรของพระโพธิสัตว์ 
        ผู้บำเพ็ญหากเห็นชัดได้ในจิตญาณสามกายรวม คือ หากเข้าถึงภาวะของจิตญาณตนที่มีสามกายดังกล่าวร่วมอยู่ ในจิตญาณตน
1.  ก็จะรู้ความบริสุทธิ์สูงส่งแต่เดิมที ที่ไม่ควรปล่อยตัวปล่อยใจให้แปดเปื้อนต่อไป
2.  ก็จะรู้ความเป็นทิพย์  ที่ตนอาจสร้างบารมีให้แสงสว่างนำทางสาธุชนให้พ้นมืดบอดได้
3.  ก็จะรู้หน้าที่  รู้ภาระศักดิ์สิทธิ์ รู้ปรับเปลี่ยนตนและใคร ๆ ในทุกสถาน ในทุกการเมื่อ
        สามกายให้คุณทั้งช่วยตน ช่วยท่าน  บรรลุตน   บรรลุท่าน   เมื่อใช้สามกายถูกต้องบริบูรณ์ บารมีคุณทุกประการ ย่อมส่งผลให้จิตญาณตน เข้าสู่ภาวะความเป็นพุทธะ                   
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔ บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2554, 13:28
                                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        โศลกต่อไปว่า..

จากนิรมาณ             อันสรรค์สร้าง             ญาณหมดจด
ญาณใสสด              งองามอยู่                 คู่นิรมาณ
ญาณนำกาย             นิรมานใน                 สัมมมาฐาน
สัมโภคานั้น              สมบูรณ์ใส                ไม่ประมาณ

ราคะญาณ               จำเดิมนั้น                  ญาณหมดจด
ราคะปลด                 หมดราคี                  ศรีญาณใส
จิตญาณตน               พ้นห้าอยาก              ออกหากไป
เห็นญาณใส              ในฉับพลัน                อันแท้จริง
        พิจารณา
        ห้าอยาก หรือ กิเลสห้า ในที่นี้หมายถึง ความอยากใคร่ในรูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส  อันเป็นราคำราคีที่เกาะจับจิตญาณ ยั่วย้อมธรรมารมณ์ให้รู้เห็นผิดตามมา

ณ ชาตินี้                  ที่ได้ธรรม               ทางฉับพลัน
รู้จิตญาณ                 พลันเห็นองค์           โลกนาถ
แต่หากใคร่               ได้พุทธะ                 โดยคิดคาด
ที่ใดอาจ                  คาดจริงได้              ไม่รู้เลย
        พิจารณา
        "องค์โลกนาถ"  หมายถึง พระพุทะเจ้าเป็นที่พึ่งของโลก องค์โลกนาถในตัวตน เป็นพระุพุทะเจ้าเป็นที่พึ่งของโลกแห่งชีวิตจิตใจ กายสังขารของตน

หากเห็นได้              ใจจริงนั้น                อันวิเศษ
จะเป็นเหตุ               สำเร็จถึง                ซึ่งพุทธะ
ไม่เห็นญาณ             ดั้นด้นถาม               ตามพุทธา
เกิดเจตนา               ว้าวุ่นวน                 คนโง่งม

ณ บัดนี้                  วิถีธรรม                "ฉับพลัน" ให้
สืบต่อไป                เวไนยฯเห็น            บำเพ็ญ "เจ้า"
ภายหน้าพบ             ผู้หาธรรม              ช่วยนำเขา
แม้ไม่เข้า                ลำเนานี้                เสียทีนัก
        พิจารณา
"หนทางนี้              จิตวิถี"                 ท่านชี้ให้
จะเดินไป               หรือไม่เล่า             ตัว "เจ้า" เอง
                       
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2554, 14:08
                             คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        พระธรรมาจารย์กล่าวโศลกจบลงแล้วโปรดว่า "พวกท่านจงอยู่ดีเถิด ภายหลังเมื่ออาตมาดับขันธ์แล้ว จงอย่าแสดงอาการอาลัยอาวรณ์โศกเสร้าเยี่ยงชาวโลก สะอื้นไห้้จนน้ำตาหลั่งไหลดั่งสายฝน อย่าเอิกเกริกบอกกล่าว มิพึงให้เขามากราบไหว้ปลอบในไถ่ถาม มิพึงต้องสวมใส่เครื่องไหว้ทุกข์ หาก (ไม่เชื่อฟัง) ทำเช่นนี้ มิใช่ศิษย์ของอาตมา  อีกทั้งยังมิใช่วิถีสัทธรรม   แต่จงเข้าถึงรู้เห็นเป็นจริงต่อจิตของตน เข้าถึงรู้เห็นเป็นจริงในญาณ "ตัวแท้"  แห่งตน ซึ่งปราศจากเคลื่อนไหว ปราศจากสงบนิ่ง
ปราศจากเกิดมี           ปราศจากดับสูญ
ปราศจากการไป         ปราศจากการมา
ปราศจากใช่ไม่ใช่       ถูกต้องไม่ถูกต้อง
ปราศจากคงอยู่          ปราศจากย้อนคืนไป
        เกรงว่าจิตของพวกท่านจะหลง ไม่อาจเข้าใจความหมายที่อาตมาอรรถาไว้ วันนี้ จึงขอย้ำแก่ท่าน ให้ท่านเห็นจิตญาณตน  หลังจากที่อาตมาดับขันธ์แล้ว ปฏิบัติบำเพ็ญตามนี้ เช่นเดียวกับที่อาตมายังมีชีวิตอยู่  หากฝ่าฝืนผิดต่อคำสอนของอาตมา แม้อาตมาจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ก็หามีประโยชน์อันใดไม่   จากนั้น โปรดเป็นโศลกอีกว่า

อยู่เงียบงำ             บำเพ็ญดี             ไม่มีจิต
มีชีวิต                   อิสระ                  ละบาปได้
สงบพัก                 หักห่างจาก          สิ่งวุ่นวาย
จิตกว้างใหญ่          ไม่ยึดหมาย          สิ่งใดเลย
        พิจารณา
        โศลกทั้งหมดแฝงความหมายว่า 
บำเพ็ญสงบเงียบงำ ไม่ยึดหมายกุศลธรรม  ไม่ยึดหมาย แม้จิตใจในตัวตน  ร่างกายเป็นสิ่งมีชีวิต มีอิสระ ไม่ใช่ท่อนไม้ เคลื่อนไหวได้ อีกทั้งไม่ทำผิดบาปจิตสงบพักนิ่ง ออกหากจากสิ่งรู้เห็นที่มากระทบให้เกิดการปรุงแต่ง จิตกว้างใหญ่ไพศาล สง่าผ่าเผยเป็นไท ไม่ยึดหมาย ไม่ถูกเกาะเกี่ยวด้วยสิ่งใด
        พระธรรมาจารย์กล่าวโศลกอำลาทิ้งท้ายจบลง  นั่งขัดสมาธิสงบนิ่งอยู่จนถึงยามสาม พลันเอ่ยแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า " อาตมาไปละ"  พระธรรมาจารย์ละกายสังขารไป  ณ  อึดใจนั้น   ทันใด  กลิ่นหอมหวนชวนสักการะกระจายไปทั่วห้อง แสงสีขาวราวรุ้งคร่อมจากฟากฟ้ามาสู้ดิน พฤกษาใบไม้ในไพรสณฑ์เปลี่ยนเป็นสีขาว ราตรีนั้น  จัตุบาท นก กา  พากันส่งเสียงร้องระงมไพร
        พิจารณา
        พระสรีระร่างของพระธรรมาจารย์ ยังคงเก็บรักษาในสถาพประทับนั่งอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องเคลื่อนย้าย นั่นคือ ตั้งแต่ยามสามของคืนวันสามค่ำเดือนแปด จนถึงเดือนสิบเอ็ด (ไม่แปรสภาพเน่าเปื่อย) 
        จนถึงเดือนสิบเอ็ดแล้ว การต่อรองถกเถียงยื้อแย่งกัน ระหว่างขุนนางเมืองกว่างโจว  เสาโจว  กับซินโจว  ก้ยังไม่อาจยุติลงได้  ศิษย์ทั้งหลายก้เช่นกัน ต่างถือศิษย์จะอันเชิญพระสรีระร่างไปประดิษฐาน  (กว่างโจว กล่าวถือสิทธิ์ว่า พระบรรพจารย์ทรงบรรพชาที่นั่น   เสาโจว กล่าวถือสิทธิ์ว่า พระธรรมาจารย์ทรงแสดงธรรม จำเริญธรรมที่นั่น   ซินโจว ถือสิทธิ์ว่า พระธรรมาจารย์ถืออุบัติมาที่นั่น )  เมื่อดึงดันกันและตัดสินกันไม่ได้ จึงพร้อมใจใช้วิธีถวายธูปอธิษฐาน  " หากควันธูปลอยไปทางทิศใด หมายถึงชี้ทางที่พระธรรมาจารย์ประสงค์จะไป "  ขณะนั้นเอง ควันธูปลอยเป็นเส้นตรงมุ่งสู่ทิศทางเฉาซี  สิบสามค่ำเดือนสิบเอ็ด ได้อันเชิญเคลื่อนย้ายฐาฯประทับนั่ง (มีหลังคาฝากั้นมิดชิด)  พร้อมด้วยบาตรกับจีวร ที่สืบทอดจากพงศาธรรมาจารย์ กลับคืนไปยังวัดป่ารัตนรามเป่าหลินซื่อ ที่อำเภอเฉาซี     
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทที่ ๑๐ กำชับให้แพร่หลาย : ความเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2554, 14:49
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

                                            ความเดิม

        คริสตศักราช 502 ก่อนที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจะอุบัติมาหนึ่งร้อยยี่สิบหกปี  พระคุณเจ้าไภษัชย์ปัญญปิฏก  พระมหาเถระเจ้าจากอินเดีย ได้ดปรดจาริกอำเภอเฉาซี  เมื่อมาถึงริมแม่น้ำเฉาซี ท่านได้ก้มลงดื่มน้ำในแม่น้ำ และแล้วก็ต้องอุทานด้วยความประหลาดใจว่า   "เหตุไฉน น้ำในแม่น้ำเฉาซี จึงได้หอมหวานดุจเดียวกับน้ำในป่าพุทธคยาที่อินเดีย  อีกทั้งทิวทัศน์ในปริมณฑลนี้ ก็ช่างสวยสงบร่มรื่น งดงามนัก"  จนต้องเปล่งวาจาว่า  "ช่างเหมือนป่าพุทธคยาเสียนี่กระไร ดั่งไม้กลับไปยังบ้านเมือง (อินเดีย)  แท้เทียว"  ท่านยังได้กล่าวแก่ชาวบ้านแถบนั้นว่า "จงสร้างวัดไว้ที่นี่สักวัดหนึ่งเถิด อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปี ภายหน้า  จะมีพระสัทธรรมรัตน์รูปหนึ่งมาแสดงพุทธธรรมที่นี่..... และเมื่อนั้น  ผู้ที่สดับธรรมจากท่าน จะมากมายดั่งต้นไม้ในป่าเขานี้ทีเดียว"  วัดที่สร้างขึ้นนั้น  ท่านได้ตั้งชื่อให้ว่า  " วัดป่ารัตนาราม        เป่าหลินซื่อ" 
        ปีถัดมา วันแรมยี่สิบห้าค่ำเดือนเจ็ด อันเชิญพระสรีระร่างออกจากห้องฐานที่ประทับนั่ง  สงฆ์ฟังเปี้ยน       ศิษย์ของพระธรรมาจารย์ ใช้ดินหอมพอกเนื้อกายอริยะของพระธรรมาจารย์ไว้ เพื่อรักษาพระมังสาไว้ให้คงสภาพเดิม  (บัดนี้  เกือบหนึ่งพันสามร้อยปีผ่านมายังคงสภาพเดิม และยังคงประดิษฐานอยู่ในสถูปมหาเจดีย์ในวัดป่ารัตนาราม)  ศิษย์ทั้งหลาย  นึกถึงคำพยากรณ์ของพระธรรมาจารย์ที่ว่า จะมีผู้มาตัดเอาพระเศียรไป จึงเอาแผ่นเหล็กบาง ๆ พันด้วยผ้าอาบยางนิ่ม ๆ แต่แข็งแรงมาก หุ้มพระศอของพระธรรมาจารย์ไว้  แล้วจึงอันเชิญเข้าประดิษฐานในสถูปต่อไป  และทันใดนั้น ก็ปรากฏแสงสว่างขาวเป็นลำยาวพยวพุ่งจากภายในสถูปขึ้นสู่ท้องฟ้า  แสงนั้นคงอยู่เป็นเวลานานติดต่อกันสามวัน จึงค่อยจางหายไป  ผู้ว่าราชการเมืองเฉาโจว ผู้ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์กับชาวเมือง กราบทูลรายงานถึงราชสำนัก มหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการรับสั่งให้สร้างศิลาจารึกอริยประวัติของพระธรรมาจารย์ แสดงไว้เบื้องหน้ามหาเจดีย์นั้น 
        พระธรรมาจารย์อุบัติมาในปี ค.ศ. 638  ละสังขารปีค.ศ. 713  รวมเจริฐพระธรรมายุได้เจ็ดสิบหกปี   
ได้รับสืบทอดบาตรกับจีวร  ลำดับที่หกแห่งพงศาธรรมาจารย์ยุคหลัง  ลำดับตามพงศาธรรมแห่งชมพูทวีปยุคต้น  สืบต่อมาเป็นองค์ที่สามสิบสาม  เมื่อพระธรรมายุได้ยี่สิบสี่ปี 
ได้ปลงพระเกศาบรรพชา เมื่อพระธรรมายุได้สามสิบเก้าปี  อรรถาพระธรรมนำพาเวไนยฯได้สามสิบเจ็ดปี 
ธรรมทายาทหลักคาน ผู้สืบทอดธยานะปฏิสัมภิทา อันรอบรู้แตกฉาน รวมสี่สิบสามรูป
ศิษย์ผู้รู้แจ้งต่อวิถีธรรม ล่วงพ้นโลกีย์วิสัย มีมากมายมิอาจคณานับ
บาตรกับจีวรอันเป็นสัญญลักษณ์ ของพงศาธรรมาจารย์ที่สมเด็จพระโพธิธรรม โปรดมอบหมายถ่ายทอดสืบต่อมาทุกสมัย
จีวรผ้าโมรี บาตรแก้วผลึก พร้อมด้วยพระธรรมสาทิสลักษณ์จากฝีมือปั้นของสงฆ์ฟังเปี้ยน รวมทั้งเครื่องอัฏฐบริขารของพระธรรมาจารย์ ล้วนประดิษฐานและเก็บรักษาไว้ที่อาณาจักรธรรมวัดป่ารัตนารามตลอดไป โดยมีผู้เฝ้ามหาเจดีย์ พิทักษ์รักษาไว้ใกล้ชิด
        ส่วน  "ธรรมรัตนบัลลังก์สูตร" นั้น ให้เผยแผ่แพร่หลายต่อไป เพื่อให้วิถีธรรมสายธยานะปรากฏเป็นเครื่องจรรโลงพระรัตนตรัยให้เฟื่องฟูสถาวร เป็นกุศลประโยชน์ยิ่งแก่ปวงชนสืบไป

                                                                   ~ จบบทที่ ๑๐ ~  ;)  ~ จบเล่มที่ 4 ~
หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) 4 บทผนวก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2554, 19:21
                                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

                                          บทผนวก

        สิบปีผ่านไป  ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอันใดเกิดขึ้นแก่พระสรีระร่างของพระธรรมาจารย์  จนถึงวันสามค่ำเดือนแปด  ปีไดเอวี๋ยนที่สิบ  กลางดึกคืนนั้น พลันได้ยินเสียงลากโซ่ในสถูปเจดีย์ พระสงฆ์ที่วัดต่างตกใจตื่นขึ้น ได้เห็นชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากเจดีย์ ทุกคนพากันไปตรวจดูพระสรีระร่างของพระธรรมาจารย์ ปรากฏมีรอยถูกบั่นที่พระศอ จึงรีบแจ้งความต่อผู้ว่าการอำเภอเมือง  ข้าหลวง "หลิ่วอู๋เถี่ยน"  กับนายอำเภอ "หยางขั่น"  ออกคำสั่งแก้เจ้าพนักงาน จะต้องให้คดีถึงที่สิ้นสุดให้ได้ ภายในวันที่กำหนด   ถึงวันห้าค่ำ (สองวันต่อมา)  ก็จับคนร้ายได้ ส่งตัวไปสอบสวนที่เมืองเสาโจว  ปรากฏว่าคนร้ายชื่อนาย "จางจิ้งหมั่น"  เป็นชาวเมือวหยู่โจว อำเภอเหลียง  ได้รับเงินค่าจ้างจากพระเถระจินต้าเปย  ชาวซินหลัว (เกาหลี)  ที่วัดไคเอวี๋ยน  เมืองหงโจว  เป็นจำนวนสองหมื่นตำลึง  ได้มาตัดพระเศียรของพระธรรมาจารย์ เพื่อนำกลับไปสักการะบูชาที่บ้านเมืองทางทะเลตะวันออก   ข้าหลวงหลิ่นสอบสวนคนร้ายเสร็จสิ้น  แต่ยังมิได้ลงอาญาทันที แต่กลับเดินทางมาที่เฉาซีด้วยตนเอง เพื่อถามความเห็นจากสงฆ์ลิ่งเทา  ศิษย์ของพระธรรมาจารย์ที่ดูแลสถูปนี้ว่า จะให้จัดการชำระโทษสถานใด
        พิจารณา
        กรณีนี้ นับเป็นประวัติศาสตร์ของราชการบ้านเมืองทีเดียว ทั้งนี้  ด้วยมหาบารมีคุณของพระธรรมาจารย์ ทำให้ข้าราชการบ้านเมือง เคารพยำเกรงคดีที่เกี่ยวกับบุคคลของศาสนาถึงเพีบงนี้   พระอาจารย์ลิ่งเทาให้ความเห็นว่า "หากเป็นไปตามกฏหมายบ้านเมือง โทษก็จะต้องถึงประหาร  แต่หากเป็นไปตามคำสอนของพระศาสนา ก็จะต้องให้ความเมตตากรุณา เห็นความเสมอภาคของทุกชีวิต ทั้งญาติสนิทหรืออมิตรหมู่มาร  อีกทั้งความอุกอาจนี้ มีเจตนาเพื่อนำพระเศียรไปสักการะบูชา โทษนี้จึงน่าจะอภัยให้ได้"  ข้าหลวงหลิ่วได้ฟัง พลันสะท้อนเสียงสรรเสริญว่า "ประตูแห่งพุทธะโอบอ้อมใหญ่แท้"  ในที่สุดก็ให้อภัยโทษแก่คนร้ายไป
        ครั้นมาถึง รัชสมัยของพระเจ้าถังเซี่ยนจงฮ่องเต่ ปีที่หนึ่ง ฮ่องเต่ส่งข้าหลวงมาอันเชิญบาตรกับจีวรพงศาธรรมเข้าไปสักการะในพระมหาราชวัง  จนถึงสมัยพระเจ้าถังไต้จงฮ่องเต้ เปิดศักราชอย่งไท่ปีที่หนึ่ง ห้าค่ำเดือนห้า พระเจ้าถังไต้จง ทรงพระสุบิน (ฝัน) จึงรับสั่งเรียกหยางเฉียน ผู้ว่าการเมืองเฉาโจวเข้าเฝ้าว่า "เราได้นิมิตว่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงขออันเชิญบาตรกับจีวรพงศาธรรมกลับคืนไปที่เฉาซี  บีดนี้ เราได้มอบหมายให้จอมทัพมิ่งเมือง "หลิวจงจิ่ง" ทำหน้าที่ทูลเกล้าบาตรกับจีวรพงศาธรรม นิวัติกลับเฉาซี  ส่วนท่าน (ข้าหลวงหยางเฉียน) จงเป็นผู้จัดการประดิษฐานบาตรกับจีวรไว้ที่วัดป่ารัตนารามด้วยศาสนาพิธีหลวง อย่าให้บกพร่อง อีกทั้งขอให้เหล่าสงฆ์กับพุทธบริษัททุกคน ช่วยกันดูแลรักษา อย่าให้ตกหล่นสูญหายเป็นอันขาด"  ภายหลังต่อมา ยังมีผู้พยายามจะขโมยอยู่ร่ำไป แต่คนร้ายหนีไปไม่ไกลนักก็ถูกจับได้ เป็นเช่นนี้ถึงสี่ครั้ง
        มาถึงรัชสมัยพระเจ้าถังเซี่ยนฮ่องเต้ ซึ่งทรงปลาบปลื้ม เคารพศรัทธาพระธรรมาจารย์ ตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ เมื่อได้ขึ้นครองราชย์จึงเถลิงราชด้วยการถวายพระกิตติคุณนามแด่พระธรรมาจารย์ว่า "มหาคันฉายสมาธยานจารย์                ต้าเจี้ยนฉันซือ" แปลว่า พระอาจารย์สายฌานธยานะ พระผู้ใสสว่างดั่งกระจกบานใหญ่ของเหล่าเวไนยฯ  ถวายนามแด่พระมหาเจดีย์ที่ประดิษฐานพระสรีระร่างของพระธรรมาจารย์ว่า  "รัตนะเจดีย์รัศมีศักดิ์สิทธิ์ส่องสันติธรรม               เอวี๋ยนเหอหลิงเจ้าเป่าถ่า" 
        มาถึงรัชสมัยซ่งไท่จู่มหาปิตุลาเถลิงราชปีที่หนึ่ง ขบถเดนตายของคนแซ่หลิว ก่อกวนเผาผลาญบ้านเมือง วัดและเจดีย์ของพระธรรมาจารย์ถูกทำลายไปด้วย แต่พระสรีระร่างของพระธรรมาจารย์ ได้รับการปกป้องรักษาจากสงฆ์ผู้พิทักษ์เป็นอย่างดี ไม่มีส่วนเสียหายใด ๆ เลย
        กาลเวลาล่วงเลยมา  จนถึงรัชสมัยพระเจ้าซ่งไท่จงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์  พระเจ้าซ่งไท่จงทรงใฝ่ธรรมวิถีธยานะ จึงโปรดรับสั่งให้ซ่อมมหาเจดีย์ที่เสียหายนั้นขึ้นใหม่  เพิ่มเป็นมหาเจดีย์เจ็ดชั้น  ถวายพระสักการะนามว่า  "บรมราชสันติสุขสูญตา มหาคันฉายสมาธยานะจารย์เจดีย์"  ต้าเจี้ยนเจินคงฉันซือไท่ผิงชิงกั๋วจือถ่า..
        กาลเวลาล่วงเลยมาอีก  จนถึงรัชสมัยพระเจ้าซ่งเหยินจงฮ่องเต้  ศักราชเทียนเซิ่งปีที่สิบ   พระเจ้าซ่งเหยินจง จึงได้กราบอันเชิญพระสรีระร่างของพระธรรมาจารย์ พร้อมด้วยบาตรกับจีวรพงศาธรรมาจารย์ด้วยพระราชพิธีออันศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง เข้าประดิษฐานในพระราชวังชั้นใน (ระยะหนึ่ง)  เพื่อถวายสักการะบูชาเป็นประจำอย่างใกล้ชิดด้วยความเคารพยิ่ง   อีกทั้งถวายพระราชสักการะนามเพิ่มขึ้นว่า ...
        " มหาคันฉายสูญตา  สมันตะปาริสุทธิ์สมบูรณ์ สมาธยานะจารย์ "   ต้าเจี้ยนเจิงคงผู่เจวี๋ยเอวี๋ยนหมิงฉันซือ

ทั้งความสูญและความมี
ล้วนเป็นสภาวะอันไม่มีอยู่

  ความรู้สึกที่ว่ามี - ไม่มี
เป็นความยินดีของบุคคล
เป็นจิตที่ยึดหมายในสภาวะ
   และปรากฏการณ์นั้น

สรรพสิ่งล้วนเกิดด้วยเหตุปัจจัย
    อันได้เสริมส่ง อิงอาศัย
    โยงใยสัมพันธ์เนื่องกัน

               สุดท้าย...
     ไม่มีทั้งความสูญและความมี     
แม้ผู้ยึดหมายในสภาวะปรากฏการณ์นั้น
         ก็หามีอยู่  คงอยู่ไม่

            ศุ  ภ  นิ  มิต