นักธรรม

ห้องครัว นักธรรม => เคล็ด(ไม่)ลับเพื่อสุขภาพ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2010, 14:03

หัวข้อ: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2010, 14:03
 :) การกินเจ เป็นเรื่องของคนที่เชื่อบาปเชื่อบุญมากกว่าจะเห็นว่า แท้จริงแล้วการกินเจเป็นเรื่องของเหตุและผล
ที่ถูกต้องดีงาม มีคำกล่าวว่า "คนเราจะยืนได้ ขาทั้งสองต้องแข็งแรงเสียก่อน"ความหมายก็คือก่อนที่เราจะลงมือ
ปฏิบัติงานใดๆ ก็ตามจำเป็นต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน สิ่งสำคัญที่จะช่วยเหลือค้ำจุนให้เรามีรากฐานที่มั่นคงคือ
ประการที่1. คือความรู้เราต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่จะปฏิบัติให้ดีเสียก่อน โดยอาศัยอาวุโสที่ปฏิบัติกินเจก่อนเรา
               ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน เมื่อรู้แล้วลงมือปฏิบัติทำทันที
ประการที่2. คือสติปัญญา เมื่อเราศึกษาเรียนรู้ในการปฏิบัติจนเข้าใจกระจ่างชัดถึงเหตุและผลอย่างรอบคอบ
              โดยถูกต้องจนเข้าใจดีแล้ว การกินเจเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน คนที่ได้ปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะประจักษ์แจ้ง
              ถึงคุณวิเศษอันล้ำเลิศได้ด้วยตนเอง
ผู้ที่มีรากบุญกุศลตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ควรศึกษา"การกินเจ"ให้เข้าใจกระจ่างแจ้ง เมื่อใดที่ศรัทธามั่นคงดีแล้ว
จิตย่อมบังเกิดมีพลังแกร่งกล้า สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย บนเส้นทางของการบำเพ็ญ และแล้วเมื่อนั้นเราก็จะ
สามารถบรรลุสู่เป้าหมายอันสูงสุดไปได้โดยไม่ยากเลย
 :) อาหารเจ  เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีีเนื้อสัตว์ปะปน และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุน
ทั้ง 5 ได้แก่ กระเทียม  หัวหอม  หลักเกียว  กุ้ยฉ่าย  ใบยาสูบ  อาหารเจมีรสชาดอร่อยกลมกล่อม ไม่มีกลิ่นเหม็นคาว
ทางการแพทย์ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน
 :) สาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารในคนทั้งสองกลุ่ม คือ การรับประทานอาหารไม่ถูกหลัก กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่
ได้แก่ คาร์โบไฮเดรท แป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ 
 :) สรุป โรคขาดอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจแต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารที่ตนชอบ
โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้จากการรับประทานอาหารนั้นๆ การรับประทานอาหารเจ ทำให้มีโอกาสได้กินพืชผัก
ที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหารเนื้อไม่เคยใส่ใจเลย
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2010, 15:38
ประจักษ์พยานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำค่าของอาหารเจก็คือ บรรดาครอบครัวของผู้ที่กินเจตั้งแต่ครั้ง
บรรพบุรุษสืบต่อกันมาหลายชั่วคนก็ยังคงมีให้เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อเนื่องกัน
หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องดีงามและทรงคุณค่าก็ยังอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ทุกๆคนทุกๆครอบครัวที่ทานอาหารเจ
ล้วนมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ปราศจากโรคร้ายแรงเบียดเบียน มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบาน ร่าเริงสดใส
เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี  หากกินไม่ถูกต้องก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน พึงตระหนัก
ไว้อยู่เสมอว่าทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของท่านเอง หัวใจของการมี
สุขภาพที่ดีคือ การกินที่ถูกต้อง เพราะอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไปแต่ละวันมีผลต่อร่างกายและจิตใจเป็นอย่างมาก
:( ผักฉุน ทั้ง 5 ประเภท ที่ให้โทษต่ออวัยวะหลักภายในร่างกายเรา ทำงานไม่ปกติ
           1.กระเทียม (GARLIC)           ให้โทษต่อ  หัวใจ    กระทบกระเทือนต่อ    ธาตูไฟ   
           2.หัวหอม   (onIon)              ให้โทษต่อ  ไต      กระทบกระเทือนต่อ     ธาตุน้ำ
           3.หลักเกียว                        ให้โทษต่อ   ม้าม    กระทบกระเทือนต่อ     ธาตุดิน
           4.ใบยาสูบ  (TOBACCO)        ให้โทษต่อ   ปอด   กระทบกระเทือนต่อ     ธาตุไม้
           5.กุ้ยฉ่าย  (CHINESE CHIVE)  ให้โทษต่อ   ตับ    กระทบกระเทือนต่อ      ธาตุโลหะ
 :) ถั่วทั้ง 5 สี ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเรา
    ถั่วแดง    ถั่วดำ   ถั่วเหลือง   ถั่วเขียว   ถั่วขาว
 :) อาหารมังสวิรัติ หมายถึง อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท แต่ยังใช้ผักฉุนทั้งห้าทุกประเภทมาปรุงอาหาร
 :) อาหารเจ        หมายถึง อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภทเช่นกัน แต่จะไม่ใช้ผักฉุนทั้งห้ามาปรุงลงใน
                                  อาหารโดยเด็ดขาด 
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง :คุณประโยชน์จากการรับประทานอาหารเจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2010, 18:10
 :)  คุณประโยชน์ของการรับประทานอาหารเจ
1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืช
    ผักสดผลไม้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
2. เมื่อรับประทานอาหารเจเป็นประจำ เลือดจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆเซลล์ต่างๆของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง
    ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี
3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน และอวัยวะประกอบทั้งห้าแข็งแรง ทำงานปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
    อวัยวะหลักทั้งห้า           ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    อวัยวะประกอบทั้งห้า       ได้แก่ ลำใสัใหญ่ ลำใส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร  ถุงน้ำดี
4. ร่างกายสามารถต้านทานพิษต่างๆได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา เช่น สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สารดี.ดี.ที
    มลภาวะและก๊าซพิษ กัมมันตภาพรังสี สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆในร่างกายสามารถทนต่อการทำลาย
    จากรังสีต่างๆ
5. ผู้ที่รับประทานอาหารเจ พืชผักผลไม้เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มี โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย
    ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร
 :) การรับประทานอาหารเจ ให้ผลดีต่อจิตใจ ดังนี้
1. จิตใจมีความสงบ สุขุม เยือกเย็น บังเกิดเมตตาจิตอย่างเต็มเปี่ยม ฟื้นฟูพุทธจิตธรรมญาณเดิมแท้
2. หยุดก่อหนี้บาป ตัดกรรมเวรที่ผูกพันซึ่งกันและกัน
3. ทำให้มีสติมั่นคง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
4. ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนถึงบริวารจะบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
5. บรรดาเหล่าเทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่างสรรเสริญชื่นชมอำนวยอวยพรอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา
6. ความสว่างสดใสจะปรากฏบนใบหน้า
7. ทำให้โลหิตในกายสะอาด ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆได้ง่าย
8. สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ ต้านทานกัมมันตรังสีที่ร้ายแรงได้
 :) หลักธรรมในการกินเจ สำคัญ 2 ประการ คือ
1.  ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือไม่เอาชีวิต เลือด เนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตตน
2.  ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง คือไม่ทำลายสุขภาพตนเองให้ทรุดโทรม
 :) ถือศีลกินเจที่แท้จริง คนบำเพ็ญธรรม ถือศีลกินเจนอกจากกินของที่สะอาดแล้ว จะต้องสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ
    ต้องฝึกฝน กาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา
1.  ไม่ล่วงละเมิดกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินของผู้อื่น
2.  ไม่แย่งของที่รักที่หวงแหนของผู้อื่น
3.  ไม่ทำผิดประเวณี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
4.  ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหลอกลวง ไม่พูดคำหยาบ
5.  ไม่พูดยุแหย่ให้คนทะเลาะกัน
6.  ใจต้องสะอาดบริสุทธิ์ ไม่คิดอาฆาตพยาบาท ไม่อิจฉาริษยาผู้อื่น
7.  มีความคิดเห็นแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม

    
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/08/2010, 04:21
สิ่งมีชีวิตบนโลกมี 3 ประเภท  คือ คน   สัตว์   พืช
 :) คน  ลำตัวตั้งตรง หัวยันฟ้า ขาเหยียบดิน เป็นสิ่งมีชีวิตประเสริฐสุดบนโลกมีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ทั้ง3ส่วน
         - จิตพุทธะ     เป็นดวงธรรมญาณ ประกอบด้วยปัญญา พรั่งพร้อมด้วยวิจารณญาณ มีเหตุมีผล และ
                           สามารถแยกแยะความดีความชั่วได้
         -จิตวิญญาณ    แห่งสัญชาตญาณ เป็นความสามารถในการเอาตัารอด รู้จักทำมาหากิน รู้รักรู้ชอบ
                             รู้จักระวังภัย
         -จิตวิญาณ       ในการเจริญเติบโต  เป็นพลังชีวิตหรือลมปารณ ซึ่งทำให้ร่างกายที่เจริญเติบโตแล้ว
                             ครบกระบวนการได้อย่างสมบูรณ์
 :) สัตว์ เรียกว่าเดรัจฉานลำตัวขวางหันหลังให้ฟ้าหน้าก้มดูดินต้องคว่ำอกขนานไปกับพื้นดินประกอบด้วย
          จิตวิญญาณ 2 ส่วน
          - มีสัญชาตญาณ   มีความยินดีในเหตุ 3 ประการคือ การเดิน การนอน การสืบพันธ์ สัตว์รู้ตัวว่าหิว
                                กลัวภัย มีความเจ็บปวด รู้จักบุญคุณและความแค้น
         -  มีจิตวิญาณ       แห่งการเจริญเติบโตตามธรรมชาติเท่านั้น จิตวิญญาณของสัตว์ไม่สมบูรณ์
                                ขาดวิจารณญาณ ไม่สามารถแบ่งแยกชั่ว - ดี ผิด - ถูก ไม่มีสติปัญญาในการคิด
                                หาเหตุผลมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมโดยไม่รู้เหตุผลโอกาสที่จะได้เกิดเป็นคนจึงยาก
 :) พืช  มีแต่วิญาณที่เป็นพลังชีวิต รู้จักแต่การเจริญเติบโตให้ร่มเงา ผลิดอกออกผล ไปตามธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึก
          เจ็บปวด ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เวทนา
         พืช ผัก ผลไม้ ที่คนยิ่งเด็ดยิ่งกินยิ่งแพร่พันธ์ พืชกินใบยิ่งเด็ดออก ยิ่งแตกยอดใบอ่อน
         ฟ้าดินได้สร้างพืชผักผลไม้เป็นอาหารธรรมชาติที่สะอาดและบริสุทธิ์ คนกินเจกินแต่พืช ผัก ผลไม้
         จึงเป็นการกินที่ถูกต้อง ชอบธรรมไม่เบียดเบียนทำลายล้างนับได้ว่าเป็นอาหารสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง

     
                             
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : คำอธิษฐาน สิ่งที่ต้องทำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 05:41
        ข้าวของข้าพเจ้า              ขาวดั่งดอกบัว
ยกขึ้นเหนือหัว                        ถวายแด่พระสงฆ์
จิตใจจำนง                             ตรงต่อพระนิพพาน
ขอให้พบดวงแก้ว                    ขอให้แคล้วบ่วงมาร
ขอให้พบพระศรีอารย์                ในอนาคตกาลเทอญ    
        อย่านอนตื่นสาย              อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย                     อย่าคอยวาสนา
ต้องรอบรู้ปัณหาสารพัด             ต้องรวดเร็วเร่งรัดงานทั้งหลาย
ต้องริเริ่มหลายแบบให้แยบคาย    ทุ่มใจกายสู้ชีวิตพิชิตงาน
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : การสร้างรอยยิ้มในครอบครัว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 05:58
 :) เกิดเป็นคนจึงต้องทำ     ทำไม่เป็นต้องหัดทำ
หัดเป็นแล้ว                    ต้องทำเอง
ทำไม่คล่อง                   หมั่นหัดทำ
คิดจะทำ                      ทำทันที
สมควรทำ                     รีบไปทำ
ยามจน                        ยิ่งต้องทำ
ยามรวยย้ำ                   ทำต่อไป
ทำไม่ดีรีบแก้ไข             ทำจนตายไม่ต้องทำ        

 :) การสร้างรอยยิ้มในครอบครัว
สัญญากับตัวเองไม่ทำผิดอีก
ขมกันหน่อย
ให้กำลังใจกันบ้าง
ฟังเขาพูดมากกว่าพูดให้เขาฟัง
ถามไถ่ทุกข์สุขกันบ้าง
รู้จักปฏิเสธงานสังคมบ้าง
ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวบ้าง
รู้จักกล่าวคำขอโทษ - ไม่เป็นไร
อดทน อดกลั้น ระงับโทษะ
ลดทิฐิ หมั่นกล่าวคำขอบคุณ  
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : กินเจไปทำไม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 06:13
     :) กินเจไปทำไม
กินเจนั้น          มีประโยชน์     อยู่มากมาย
ฟื้นฟูกาย         ฟื้นฟูจิต         ไร้พิษสง
สั่งให้จิต         สอนให้กาย     คลายพะวง
ไม่ลุ่มหลง       มายา             ล้อมรอบกาย
ผลพลอยได้    ทำให้กาย        นั้นผ่องใส
เหล่าโรคภัย     สารพิษ           ไม่คิดสู้
ปรับสมดุลย์     ร่างกาย            ทั้งฟื้นฟู
ใจกายอยู่       รับรู้กรรม           พร้อมทำดี
ที่สำคัญ         สอนให้จิต         นั้นคิดได้
ทำอย่างไร      ไม่ใฝ่ปอง          ของประสงค์
รู้จักให้           รู้สละ               รู้ปลดปลง
ไม่ประสงค์      ไม่ก่อเหตุ          สังเวชตน
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : ถือศีลกินเจที่แท้จริง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 10:00
       :)  จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้อย่างไร? มนุษย์ที่ถูกเรียกว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะมนุษย์รู้จักถือศีล มีจิตหิริโอตตัปปะ มีสติสัมปชัญญะ มีจิตเมตตา สิ่งที่กระทำออกมาจึงรู้แยกแยะในสิ่งที่ทำกุศลธรรม "" พระพุทธองค์ทรงสอนให้เมตตาอย่าเข่นฆ่าทำลายเขาให้เศร้าหมอง เกิดเป็นสัตว์ทุกข์ชอกช้ำกรรมจำจองคนยังจ้องซ้ำเติมเขาเฝ้ารังแก""ชีวิตเรา ๆ ก็รัก ชีวิตเขา ๆ ก็รัก
      :)  การมีเมตตา คือ ปรารถนาดีต่อกัน
      :)  การมีกรุณา  คือ ปรารถนาช่วยให้เวไนย์ให้พ้นทุกข์
      :)  การมีมุทิตา  คือ ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นมีความสุข
      :)  การมีอุเบกขา    ความใจเป็นกลางด้วยปัญญา ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
คุณธรรมทั้ง 4 ประการ นี้ ถ้ามีอยู่ในจิตใจเรา จะช่วยประสานประโยชน์แก่กันและกัน ทำให้ศีลมั่นคงไม่ขาดหาย
      :)  ถือศีลกินเจที่แท้จริง  คนที่ถือศีลกินเจบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่เพียงแต่กินของสะอาดเท่านั้นแต่คำพูดที่พูดออกมาจากปากก็ต้อง"สะอาด"ด้วย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไม่พูดจึงจะเรียกว่า"" ปากเจ""
     :)   ปากเจ คือปากสะอาดได้จริง ๆ ได้แก่ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหลอกลวง ไม่พูดยุแหย่ให้คนทะเลาะกันไม่พูดให้แตกสามัคคีกัน ไม่พูดคำที่ระคายหูผู้อื่น ไม่ใช้วาจาหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ ไม่พูดเรื่องที่ไม่จริง
    :)    กายเจ คือสิ่งไม่ดีทั้งหลายไม่ต้องทำ ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ล่วงละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นไม่แย่งของที่ผู้อื่นรักใคร่หวงแหน ไม่ทำผิดประเวณี และที่สำคัญที่สุดคนกินเจต้อง ใจเจด้วย
    :)    ใจเจ   คือใจสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใด ๆ ได้แก่ ไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่น ไม่คิดอาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยาปองร้ายผู้อื่น มีความคิดเห็นแต่ในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ถือศีลกินเจที่แท้จริง ต้องฝึกฝนกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง: ความหมายของการทานเจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 12:23
      1. เพื่อหยุดเจ้ากรรมนายเวรรายใหม่ ( ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ) สรรพสัตว์ล้วนมีชีวิตมีจิตญาณเช่นเดียวกับมนุษย์เป็นเพราะชาติก่อนได้สร้างบาปกรรมไว้ ชาตินี้จึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์เพื่อชดใช้กรรม แต่มิใช่เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ ดังนั้นหากเรากินเนื้อสัตว์ก็เท่าเราติดหนี้ชีวิตเขา แม้สัตว์ทั้งหลายจะต้านแรงมนุษย์ไม่ได้ ดังนั้นยิ่งเพิ่มแรงอาฆาตแค้น แล้วคอยหาโอกาศล้างแค้นอยู่เสมอ โดยทำให้เราเจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ หรือเจอภัยพิบัติต่าง ๆ นี่คือสัจธรรมของกฏแห่งกรรม ดังคำกล่าวว่า""ติดหนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต"" หากวันนี้เราเริ่มทานอาหารเจทุกมื้อตลอดไป เท่ากับเราไม่ผูกหนี้กรรมความแค้นกับสรรพสัตว์อีกต่อไป จึงเรียกได้ว่า""หยุดเจ้ากรรมนายเวรรายใหม่""แต่ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยกินเลือดเนื้อชีวิตสัตว์ เราก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรในอดีตอยู่ มีเพียงหนทางเดียวก็คือ สร้างบุญกุศลชดใช้เขา จะต้องบังเกิดจิตเมตตาเริ่มจากการทานเจ จึงสมารถอุทิศบุญกุศลนี้ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่อดีตเราเคยฆ่า และกินเขา ให้เขาอโหสิกรรมให้เรา ให้อภัยเรา
       2. ปลูกฝังเมตตาจิต ให้จิตญาณสว่างไสว การทานเจ เป็นการแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เห็นทุกชีวิตเหมือนลูก เหมือนญาติ เหมือนเพื่อน  จึงไม่กล้าเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ""สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ ชีวิต ชีวิตใครใครก็รัก มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐจึงต้องบ่มเพาะจิตแห่งเมตตาธรรม นำความรักยิ่งใหญ่นี้แผ่ออกไปสู่พี่น้องร่วมโลกของเรา ให้สรรพชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่หากเรายังฆ่ายังกินก็เท่ากับเราไม่มีเมตตา จิตญาณก็จะมัวมองไม่สว่างใส ดังนั้นเราจึงต้องมีเมตตากรุณาสัตว์ โดยการทานเจนั่นเอง
       3. เพื่อสุขภาพพลานามัยของร่างกาย (อายุยืนยาว) พืชผักเป็นด่างมีประโยชน์ต่อร่างกาย เนื้อสัตว์เป็นกรดจะทำลายร่างกาย กับข้าวที่เป็นอาหารเจทั้งหลาย ส่วนใหญ่ได้จากผักที่เจริญเติบโตจากดิน เช่น เผือก มัน ถั่วเหลือง ผลไม้ และสาหร่ายทะเล ฯลฯ ล้วนมีสารอาหารบำรุงร่างกาย อีกทั้งไม่มีพิษ  อาหารประเภทนี้สามารถทำให้กระแสเลือดคงสภาวะความเป็นด่าง (เลือดจะใส) ในทางการแพทย์เรียกว่าเป็นอาหารที่ให้ความเป็นด่าง อาหารประเภทเนื้อสัตว์ทานแล้วจะทำให้กระแสเลือดมีสภาวะเป็นกรด (เลือดจะข้นขุ่น) ดังนั้นเนื้อสัตว์จึงถูกเรียกว่า เป็นอาหารที่ให้ความเป็นกรด
        เนื้อสัตว์จะมีสารพิษตกค้างปนอยู่ เพราะตอนที่สัตว์ถูกฆ่าจะเกิดความกลัวสุดขีด จะหลั่ง""สารอะดรีนาลิน""พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเลือดของเนื้อทุกส่วน
        ดังนั้นคนที่ทานอาหารเจ มาจากอาหารธรรมชาติ เลือดจะใส จึงหมุนเวียนได้เร็วทำให้ร่างกายสดชื่นสบายพลังเต็มเปี่ยมความคิดอ่านรวดเร็วเฉียบไว และอายุยืนยาว
      :)  งดชีวิต เลือดเนื้อ ทั้งสัตว์บก สัตว์อากาศ สัตว์น้ำ งดพืชผักฉุนเป็นพิษตกค้างในร่างกาย 5 ชนิด
      :)  อาหารเจ  ก็คือ พืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่วต่าง ๆ งดพืชผักฉุน 5 ชนิด ละเว้นชีวิตสัตว์ เท่ากับเราไม่ผูกหนี้กรรมความแค้นกับสรรพสัตว์ จึงไม่มีหนี้ชีวิต และเป็นการให้ทานชีวิต ดังนั้นการทานอาหารเจจำต้องปฏิบัติทุกวัน""เพื่อตัดกรรมใหม่""ปลูกฝังให้เรามีเมตตาจิต และสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : ป้าช้าเดินได้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2010, 03:34
        คนทุกคนรู้ดีว่าคนตายต้องเอาไปเผาเอาไปฝังที่ป่าช้า แต่ไม่รู้ว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ถูกฆ่าตาย ทั้งเนื้อและกระดูกที่ถูกสับเป็นชิ้น ๆให้คนแย่งกันกินลงท้องก็ฝังอยู่ในตัวเรานี่เอง คนกินเนื้อสัตว์ก็เหมือนป่าช้าเคลื่อนที่ สมารถฝังซากศพของ""สัตว์ตายโหง""อย่างไม่รู้จักเต็ม
        คนส่วนใหญ่ถ้าให้ไปเดินในป่าช้าตอนเที่ยงคืนสักหนึ่งรอบ ถ้าก้าวขาไม่ออกก็มักจะวิ่งเสียจนสะดุดขาตัวเอง แต่คนกินเนื้อกินอยู่ทุกวัน ๆ ไม่ฉุกคิดเลยว่า""ท้องของตัวเองเป็นป่าช้า"" น่าแปลกเหลือเกิน ? คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ?
        คนมีวิญญาณ สัตว์ก็มีวิญญาณเหมือนกันจะแตกต่างกันก็แต่เฉพาะสังขาร รูปกายภายนอกเท่านั้น คนคิดว่ากลัวภูตผีปีศาจ กลัวซากศพ กลัวโน้นกลัวนี่ ก็แล้วทำไมไม่กลัวเนื้อสัตว์ ? ถ้าจะเรียกให้ถูก เนื้อสัตว์ที่ตายก็คือ ซากศพ เป็นศพหมู ศพวัว ศพควาย ศพไก่ ฯลฯ
        ตัวหนังสือ ""เนื้อ"" ในภาษาจีนแท้จริงมีอักษรคำว่า ""คน"" อยู่สองคน อยู่ในประตูหนึ่งคนอีกคนอยู่นอกประตูที่เปิดกว้่าง ในทางธรรม""ปาก"" ก็คือประตูหนึ่งของร่างกาย เป็นอวัยวะรับ - จ่าย ที่ใช้กินอาหารเข้าไป และพูดออกมา ฉะนั้นคำว่า""เนื้อ"" จึงมีความหมายว่าเป็นของที่คนหลงไม่รู้อ้าปากกินเข้าไป หารู้ไม่ว่าที่แท้คือ ""คนกินคน"" ชาตินี้กินเนื้อเขา ชาติหน้าก็ต้องถูกเขากิน
        พระพุทธวจนะในมหายานสูตรกล่าวว่า บุคคลใด งดเว้นจากการกินเลือด กินเนื้อสัตว์ทั้งปวง ย่อมกระทำมหาเมตตาบารมีให้เต็มบริบูรณ์ หากบุคคลใดยังหลง กลืนกินเนื้อสัตว์ทั้งหลายอยู่ เขาได้ชื่อว่าทำลาย""เมล็ดพันธ์แห่งพุทธะ"" ที่มีอยู่ในตนย่อมต้องได้รับ""บาปอย่างมหันต์""
        ผู้ที่บำเพ็ญธรรม หากยังไม่หยุดกินเนื้อ ก็ไม่สามารถบำเพ็ญไปได้ตลอดรอดฝั่ง
        หากไม่ศึกษาธรรมะ     
        เราจึงยังไม่ทราบความจริงแห่งชีวิต
        และก่อหนี้กรรมโดยไม่รู้ตัว
       งดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
       เลิกกินเนื้อสัตว์เถิด
  :)  ปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะกินเข้าไปเป็นมหากุศล
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : คนกินคน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2010, 04:30
        คำว่า"เนื้อ" คือ ""คนกินคน"" หมายถึงคนที่กลืนกินชีวิตตัวเอง เพราะยิ่งกินก็ยิ่งสะสมโรคภัย ทำให้อายุสั้น ตายเร็ว พระพุทธเจ้าตรัสเทศนา ถึงการเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิทั้ง 6 ทรงย้ำเตือนให้คนตระหนักถึง""กฏแห่งกรรม"" อันเป็นหลักของธรรมชาติที่ว่า ""ทำดีต้องได้รับผลดี ทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว"" แต่ทุกวันนี้จะมีสักกี่คนที่ยอมเชื่อและทำตาม คนเดี๋ยวนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ? ไหว้พระทุกวัน แต่สิ่งที่พระพุทธองค์สอนไม่เชื่อถือ พูดเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่ยอมรู้เรื่องเลย
        พระองค์ตรัสถึงความยากลำบาก ที่เราจะได้เกิดเป็นคนว่าล้วนต้องบำเพ็ญธรรมติดต่อกันมาอย่างน้อย 3 ชาติ กว่าจะได้รูปร่างเป็น""มนุษย์"" แต่คนทั้งหลายเมื่อได้เิกิดมาแล้ว กลับไม่พยายามถนอมรักษาร่างกายนี้ให้ดี คิดแต่อยากจะกิน ก็เอาปากไปกิน แล้วฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สร้างกรรมกันไม่รู้จักจบ คนกับสัตว์ รูปร่างต่างกัน แต่จิตวิญญาณภายในเหมือนกัน
        ตลอดชีวิตของคนเราทุกวันนี้ คนไหนเก่งก็กลืนกิน ผู้อื่นโกหกพกลม ใช้เงินทอง ใช้อำนาจข่มเหงคนที่ไม่มีทางสู้ แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ความไม่ดีทั้งหลายทำได้ทุกอย่าง คนอย่างนี้ชาติหน้าต้องเกิดเป็นสัตว์อย่างแน่นอน
        ชาตินี้ฆ่าฟันทำลายผู้อื่น ชาติหน้าต้องไปถูกเขาฆ่าสับเป็นชิ้น ๆ กินเข้าปาก ถึงเวลานั้นมีปากก็พูดไม่ได้ มันช่างสุดแสนลำบากยากแค้นเสียเหลือเกิน อยู่ในโลกมนุษย์ อยู่หรือตาย เอาเลือดเนื้อเขามากิน ก็ต้องชดใช้คืน กินเนื้อเขาไปครึ่งกิโล ต้องใช้คืน 5 ขีด ติดค้างไว้ก็ต้องเพิ่มดอกเบี้ยอีกเป็นเท่าตัว นับแล้วนับอีกไม่คุ้มเลย ไม่กินเสียเลยดีกว่าตัวเองไม่ต้องยุ่งเหยิงไม่ต้องเสียเวลาคิดมากอย่างนี้
        คนเรานับว่าเป็น""สัตว์ประเสริฐที่สุด คนสูงส่งที่สุด"" แต่น่าสงสาร น่าถอนใจ คนที่ว่าเก่ง ๆ ทั้งหลาย คนที่ทำอะไรได้ทุกอย่างกลับไม่รู้จัก""บำเพ็ญธรรม"" ทุก ๆ คนอยากฆ่าสัตว์ อยากกินเนื้ออยู่ตลอดเวลาพูดแต่ว่า""เอามากินบำรุงร่างกาย""อันนี้คือ ""โง่ที่สุด"" แทนที่จะแข็งแรงกลับต้องมาตายเพราะฌรคภัย ไม่น่าเลย? ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นบางคนเจ็บป่วยจนต้องนอนรอคอยความตายอยู่บนเตียงยังอยากจะกินเลือดกินเนื้อผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่แพทย์ขอร้องให้หันมารับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์บ้างคนไข้ก็มักจะตอบว่า""กินแต่พืชผักไม่อร่อย ให้หยุดกินเนื้อนั้นมันไม่ได้จริง ๆ "" อย่างนี้เรียกว่า"รักความอร่อยลิ้นมากกว่ารักชีวิต""ถึงกับยอมตายของเพียงได้กินเพื่อความอร่อย ถ้าตื้อจนถึงขั้นนี้ ก็จนปัญญาจริง ๆ
        ตัวเองไม่รู้ว่าได้สร้างกรรมเท่าไรต่อเท่าไร เพราะความอยากกิน อยากบำรุงจึงทำให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด คนที่มีเลือดเนื้อมีชีวิต ทำไมไม่มีจิตที่เมตตาสงสาร สัตว์ทุกตัวมีเลือดเนื้อ มีชีวิตเหมือนกัน ทำไมไม่คิดสงสารบ้าง
        ทุก ๆคนควรกลับมากินเจล้างร่างกายชำระจิตใจ ฝึกฝนตนเอง จนสามารถเอาพละกำลังทั้งหมดที่มีมาช่วยเวไนย์สัตว์ พ้นทุกข์ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้สัตว์ทั้งหลาย ไม่ต้องถูก""ฆ่า""
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : การให้ทานชีวิต เป็นมหาทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 16:54
         การกินอาหารเจ หมายถึง การให้ทานชีวิตเพราะเราไม่เอาชีวิตเขา ก็เท่ากับปลดปล่อยชีวิตให้เขาเหมือนกัน การที่เราไม่กินเนื้อเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เราก็ไม่ฆ่าสัตว์มาเป็นอาหาร หรือมีส่วนช่วยไม่ให้เกิดการฆ่าเรียกว่าเราอโหสิมีเมตตามีน้ำใจไม่ทำร้าย ทั้งๆที่เราไม่มีสิทธิ์ฆ่าชีวิตใคร โดยสัจจะ แต่คนก็ขี้โกงว่าตนมีสิทธิ์ทำได้เพราะคนอำมหิตกว่า หยาบคายกว่า เลวกว่า เก่งกว่า ก็ฆ่าสัตว์ได้เอามากินเลย แต่เราไม่ทำและยังเกื้อกูลอีกด้วย จึงพูดได้ว่าเป็นมหาทานหรือเป็นการทานชีวิตทีเดียว
          การให้ทานเราควรจะเกี่ยวถึงจิตวิญญาณด้วย ในขั้นลึกซึ้งแล้วควรจะให้ถึงจิตใจ การให้ทานต้องหมายถึง ทานทางจิตวิญญาณคือใจต้อง""ให้"" ด้วย
          หนึ่งมื้อกินเจหมื่นชีวิตรอดตาย  หนึ่งมื้อกินเจ คนที่กินเจวันละหนึ่งมื้อก็สามารถบรรเทาโรคภัย หลีกเลี่ยงบาปเคราะห์จะส่งผลให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพที่แข็งแรงพลานามัยดี อายุยืนยาว สามารถตัดหนี้สินเวรกรรมใหม่ไปได้
          หมื่นชีวิตรอดตาย  หากคนแต่ละคนคิดที่จะกินเจให้ได้เพียงวันละหนึ่งมื้อ คนจำนวนนับหมื่นนับล้านในโลก ก็จะรอดตาย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานล้มตายไปเพราะโรคภัยร้ายแรงอย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้
          หนึ่งมื้อกินเจ คนที่กินเจหนึ่งมื้อ ก็เท่ากับปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายได้อย่างน้อย ๆ ก็ 1 ชีวิต และถ้าหากกินเจทุกวันวันละหนึ่งมื้อไปตลอด สัตว์ก็จะรอดตายเป็นหมื่น ๆ ชีวิต
          หมื่นชีวิตรอดตาย ในชั่วชีวิตของคนที่กินเนื้อ เพียงคนเดียวสัตว์จำนวนมากมายนับหมื่นนับแสนชีิวต ต้องถูกฆ่าตายเพื่อเอามาเป็นอาหาร ฉะนั้นคนที่กินเจตลอดชีวิตเพียงคนเดียวก็จะสามารถช่วยให้ชีวิตสัตว์นับหมื่นนับแสนเหล่านั้นไม่ต้องตายเพราะถูกกินได้เช่นกัน หากมีคนกินเจตลอดชีวิตสักหมื่นคนสัตว์จำนวนเป็นล้าน ๆ ตัวก็จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป เป็นเช่นนี้ได้ ธรรมชาติก็จะคงความสมดุล โลกย่อมจะเกิดความร่มเย็น ทุกชีวิตก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบและสันติสุข
         เพียง ""หนึ่งมื้อ"" คนกินเจก็สามารถรอดตายจากโรคภัยและบาปเคราะห์ได้เป็น ""หมื่น ๆ คน""
         เพียง""หนึ่งมื้อ""  สัตว์ก็ไม่ต้องตายเพราะถูกกิน เป็น""หมื่น ๆ ชีวิต"" เช่นกัน
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : กี่ชีวิต ? เพื่่่ออิ่มอร่อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 17:43
         อาหารจานหนึ่ง ๆ ของคนไม่เคยพ้นจากการ " ฆ่า" เอาชีวิตไม่ว่ากุ้ง หอย ปู ปลา  ฯลฯ  ต้องใช้กี่ชีวิตจึงได้สักจานหนึ่ง บ้างก็กินกันสด ๆ เลือดแดง ๆ ถือว่าเป็นของพิสดารบางอย่าง ทำมาให้ช้าหน่อยก็พาลอารมณ์เสีย คนไม่เคยได้คิดว่าของในจานที่กินอย่างเอร็ดอร่อยล้วนมาจากความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส  ทุก ๆ วันเมื่อฟ้าเริ่มสางเพชฌฆาตนับจำนวนไม่ถ้วนถือมีดลงมือประหาร เพียงไม่กี่ชั่วโมงชีวิตของสัตว์ทั่วทุกหนทุกแห่งนับแสนนับล้านตัวต้องดับสิ้นลง ถ้าเอาซากศพและกระดูกมากองรวมกัน ก็จะสูงเท่าภูเขามหึมา ถ้าเอาเลือดที่ไหลหลั่งมารวมกัน ก็จะสามารถย้อมแม่น้ำได้ทั่วทุกสายในโลก มันเป็นอยู่เช่นนี้ทุกวัน ๆ ชั่วนาตาปี ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จะพบแต่คมมีดกรีดแหวะท้อง เชือดเฉือนทิ่มแทงหัวใจ แล้วถลกหนัง แยกเนื้อ ถอดกระดูก โยนลงในกระทะน้ำเดือด เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง ความทุกข์ทรมานที่ชีวิตสัตว์ทั้งหลายได้รับ
        ถ้าเป็นคนก็ไม่แตกต่างจากการถูกฆ่าฟันล้างผลาญทั้งเมืองหมดสิ้นทั้งลูกหลานอันเป็นที่รัก ผู้ที่มีเมตตาจิตเมื่อได้พบเห็นสภาพที่โรงฆ่าสัตว์ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า""นรกมันอยู่บนโลกเรานี่เอง"" ช่างน่าอเนจอนาถ เจ็บปวดใจยิ่งนักสุดจะบรรยายคนได้สร้างบาปอันมหันต์ขึ้นด้วยน้ำมือตน บาปเวรที่คนก่อไว้เพียงให้ได้"ความอร่อยลิ้น" แรงอาฆาตจองเวรเคียดแค้นนับหมื่นนับล้านชีวิตนับชาติไม่ถ้วน ทับถมให้คนต้องตกอยู่ในการเข่นฆ่าประหัตประหาร ล้างผลาญชีวิตกันไม่สิ้นสุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงตรัสว่า""ถ้าอยากรู้ว่า ทำไมโลกนี้จึงมีสงครามก็ให้ไปฟังเสียงที่โรงฆ่าสัตว์""
        ความสงบสุขที่แท้จริง จะเกิดได้จากการกินและอยู่อย่างไม่เบียดเบียนกันเท่านั้น ที่ใดไม่มีการเบียดเบียน ที่นั่นก็คือ""สวนสวรรค์บนแผ่นดิน"" ดังนั้นเราทุกคนก็สามารถที่จะสร้างสวนสวรรค์ขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีที่ดินแม้สักฝ่ามือเดียว จงสร้างมันขึ้นในใจของเราเองนั้นแหละ ใจที่ไม่คิดเบียดเบียน ใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา คือ สวนสวรรค์ของมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวง
       :)  โปรดเมตตารักสัตว์      อย่าได้กินเนื้อมันเลย

       :)  วันก่อนฆ่ากันและกัน  วันนี้รักกันและกัน  ไม่แยกสัตว์แยกเรา  ทั่วแผ่นดินครอบครัวเดียวกัน
   
       
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : กี่ชีวิต ? เพื่่่ออิ่มอร่อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 20:35
         
        พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ดินให้กำเนิดชีวิตได้
พืชพันธุ์ธัญญาหารขึ้นมาจากดินไหม (ขึ้น )
ก็คือข้าวและผักที่เรากิน
สิ่งนี้เรียกว่าฟ้าดินให้กำเนิด จึงสมควรที่จะกินได้
แต่ว่าเนื้อสัตว์นั้น มีพ่อแม่เป็นของตน
ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนที่ให้กำเินิดลูกออกมาให้คนอื่นกิน
เหมือนกับมนุษย์ให้กำเนิดลูกมาให้ใครกิน ( ไม่มี )
เพราะฉะนั้นสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ร้องได้เหมือนกัน
มีเลือดเหมือนกัน นัยน์ตาสามารถบ่งบอกความรู้สึกได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นคนที่คิดกิน อย่าบอกว่าเขาเกิดมาให้เรากิน
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : การงดทานเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2010, 04:28
          ใครเขาเกิดมาให้ศิษย์กิน  เมื่อสักครู่ศิษย์พี่บอกว่า ท่านไม่ชอบให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหงใช่ไหม (ใช่) อยู่ ๆถ้าเราเิกิดมาตีท่าน ท่านชอบหม (ไม่ชอบ)อย่างน้อยจะตีเราก็บอกสักหน่อยหนึ่งก็ยังดีใช่ไหม หรือไม่จะมาตีเราอย่างน้อยก็ต้องรู้จักกัน ไม่ใช่ยังไม่รู้จักกันเลยก็ตี ท่านก็ไม่ชอบใช่หรือเปล่า
          เหมือนเวลาท่านกินเนื้อสัตว์ ถ้าเราบอกว่าคนใหญ่มีหน้าที่ มีอำนาจ มีความยิ่งใหญ่สามารถที่จะสั่งคนเล็กได้ โลกนี้ก็ไม่ค่อยยุติธรรมใช่ไหม (ใช่)  แต้ว่าคนมีพละกำลังเหนือกว่าสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ โดยที่คนเล็กไม่มีโอกาสได้ปริปากพูด อย่างนั้นก็ไม่ใช่กฏของธรรมชาติ ที่ถูกต้องใช่ไหม (ใช่) ฉะนั้น เราจะบอกว่าสัตว์เล็กเกิดมาเพื่อสัตว์ใหญ่ได้หรือเปล่าก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ เราอยู่ร่วมกันเวลาจะทำอะไรก็ต้องเห็นอกเห็นใจกัน เข้าใจกันบ้างใช่หรือไม่ (ใช่) หรือไม่จะเอาของเราไปก็ต้องขอเราสักหน่อยหนึ่งใช่ไหม แล้วตอนนี้เราทำกับใครบ้าง ทำกับสัตว์ทั้งหลายที่เป็นอาหารใช่ไหม ยังไม่ทันขอเขาเลย ไม่ทันขอด้วยแถมยังสั่งฆ่าเลยทันที เด็ดขาดไหม มีเหตุผลหรือเปล่า (ไม่มี) มนุษย์ชอบเป็นคนที่มีเหตุผลใช่หรือเปล่า (ใช่) อย่างน้อยเธอต้องพูดมาก่อนสิ อยู่ ๆ เธอจะมาฆ่าฉันได้อย่างไร เธอยังไม่มีเหตุผล เธอยังไม่ชอบเลย ใช่หรือไม่(ใช่)
          ศิษย์น้องก็ไม่ชอบที่อยู่ ๆ จะมีใครมาสั่งลงโทษศิษย์น้องโดยไม่มีเหตุผล แล้วสัตว์ล่ะ หรือว่าศิษย์พี่กำลังพูดว่า สัตว์เป็นคนที่พูดได้ มีความรู้สึก มีเหตุผล เป็นอย่างนั้นไม่ หรือว่าไม่จำเป็นที่ต้องแคร์ความรู้สึก จำเป็นไหม (จำเป็น) ศิษย์น้องคิดไหมว่า ทำไมสัตว์ก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ทำไมศิษย์พี่ถึงพูดว่า สัตว์ก็มีความรู้สึก และอะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าสัตว์ก็มีความรู้สึก มีความผูกพันกัน นั่นก็คือเวลาสัตว์มีลูกขึ้นมาก็ปกป้องลูก หาอาหารให้ลูกกิน ใช่หรือเปล่า (ใช่) สิ่งนี้วัดได้ว่า สัตว์ก็มีความรู้สึกรักและหวงแหนลูกของตนเองใช่หรือไม่ (ใช่) เวลาใครมาทำร้ายพี่น้องของเรา เรายังรู้สึกโกรธใช่หรือไม่ (ใช่) เวลามาฆ่าพ่อแม่เราเรายังรู้สึกว่าแค้นนี้ต้องชำระ จำไว้นะว่ากินเข้าไปเท่าไรแล้ว
           ( หมายเหตุ !  พระโอวาทศิษย์พี่นาจาเมตตา ที่ฉงเต๋อฝอถัง จ.กาญจนบุรี ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๒ )
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : การงดทานเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2010, 05:32
       
                 พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

         ไม่ละการเบียดเบียนแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร  จะเรียกว่าเมตตาได้อย่างไร กินโรคเข้าไปกินอย่างไร เราไม่อยากจะเป็นพยาธิ แต่เรากินเนื้อสัตว์ที่มีพยาธิเข้าไป เป็นโรคพระยาธิไหม (เป็น) เราไม่อยากเจ็บป่วย แต่เอาตัวเราไปตากฝนตากแดดเป็นไหม (เป็น) เราไม่อยากที่จะปวดหลัง แต่ชอบนอนตามใจตนเอง ผิดท่าผิดทาง ถามว่าปวดหลังไหม (ปวด) เราไม่อยากเมื่อยขา ปวดเมื่อย แต่เราชอบกินสัตว์ปีกเมื่อยไหม (เมื่อย) นี่เป็นสิ่งที่วิทยาการสมัยใหม่ ได้ศึกษามาเรียบร้อย  อาจารย์นั้นไม่ได้พูดอะไรที่เกินเลย โรคภัยเกิดจากการสั่งสมของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกิน ไม่ว่า่่จะเป็นการอยู่  กินเจอย่าเบียดเบียนคนอื่นไม่เช่นนั้นอาจารย์จะเอาอะไรไปอ้างกับวิญญาณต่าง ๆ ให้เขาอภัยให้ ตอนนี้สบายแต่วันหน้าไม่รู้
          ถ้าหวกว่าเรากินเจ คนอื่นกินชอหมด แปลกไหม (ไม่แปลก) คนที่กินเจแล้วบอกแปลกเพราะว่าเขาเคยมาแล้วใช่หรือไม่ (ใช่) เคยไปอยู่ในหมู่คนจำนวนมากที่เขากินชอแล้วเรากินเจ สุดท้ายเขาบอกว่านี่ตัวประหลาด แต่ถามว่าตัวประหลาดตัวนี้เป็นอะไรเป็นคนที่มีความเมตตาใช่หรือไม่ (ใช่) ปลาก่อนตายเขาทำอย่างไร เขาทุบหัวใช่หรือเปล่า (ใช่ )ปลาดิ้นจนวาระสุดท้ายไหม ฆ่าไก่ทำอย่างไร (เชือด ) ฆ่าหมูทำอย่างไร (แทงคอ ) ฆ่าวัวทำอย่งไร เขาร้องไหมบางตัวเมื่อมีสำนึกมาก มีความเป็นคนสูงขนาดร้องไห้ก็ยังมีใช่หรือไม่ (ใช่ ) เพราะฉะนั้นถามว่าคนที่กินเจแปลกหรือคนที่กินชอแปลก (กินเจ ) อยากมาแปลกประหลาดด้วยกันไหม ถ้าศิษย์ไม่แปลกประหลาดในวันนี้ก็ต้องบอกว่าคนกินเจแปลกประหลาด
          แต่คนที่กินเจแล้วจิตญาณจะใสกว่าคนที่กินชอ เพราะคนที่กินชอนั้น กินเอาไออาฆาตของสัตว์ต่าง ๆ เข้าไปในที่สุด ยามที่เราต้องการจะบำเพ็ญจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมสว่าง ทำอย่างไรก็ไม่ใส เหมือนเราขัดพื้นแล้วไม่สะอาดสักที เพราะเรานั้นไม่ยอมใช้น้ำยาใช่หรือไม่ (ใช่ )
          เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงบอกว่า ศิษย์ของอาจารย์ต้องพยายามที่จะ ลด ละ เลิก ในการทานเนื้อสัตว์ ถ้าหากว่าทำได้แม้ว่าจะประหลาดในวงสังคม แต่ไม่ประหลาดในแดนฟ้า ไม่ประหลาดในการบำเพ็ญธรรม
                   
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : การงดทานเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2010, 06:22

                    พระโอวาทท่านมหาเทพหลันไฉ่เหอ เมตตา

          เมื่อสักครู่นี้ท่านได้ฟังหัวข้ออะไร ( ความหมายของการทานเจ ) ความหมายของการไม่ทานเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ (ใช่) หากเราถามทุก ๆท่านในที่นี้ คนทุกคนล้วนทนไม่ได้ที่เห็นคนตกทุกข์ ได้ยาก เมื่อเราเห็นเขามีชีวิต ท่านทนได้ไหมที่เห็นเขาตายไปต่อหน้า ( ทนไม่ได้ ) เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อน ท่านทนได้ไหมที่จะนิ่งเฉยไม่สนใจดูแล ( ไม่ได้ ) แปลว่าทุกคนล้วนมีจิตเมตตา มีจิตโอบอ้อมอารี เห็นใครตกทุกข์ได้ยากไม่อยากให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากให้เขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ว่าความเมตตาของเรานั้น กลับเป็นเมตตาแค่เพียงความคิดหรือต้องเป็นได้ทั้ง คิด พูด และกระทำ  และตอนนี้เวลาเราเห็นสัตว์ร้องในใจของเรารู้สึกเป็นอย่างไร ( สงสาร ) เมื่อตอนเห็นสัตว์มีชีวิตแล้วต้องตายไปต่อหน้าท่านรู้สึกเป็นอย่างไร นึกถึงหม้อแกง หรือว่านึกถึงกระทะร้อน ๆ มนุษย์เรานั้นเวลาเห็นคนอยู่ด้วยกัน เราก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ เวลาเราเห็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเราต้องตายเราก็ยังอดสงสารไม่ได้ใช่หรือไม่ (ใช่ ) หรือแม้สัตว์ตัวนั้นจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงก็ตาม แต่ทำไมกลายเป็นเรารู้สึกอยากกินเขา ทำไมเราไม่เกิดความสงสารให้ต่อเนื่องจนถึงที่สุด แสดงว่าความสงสารของเราเป็นแค่เพียงชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่ของจริงแท้หรือ ( ไม่ใช่ )
           เป็นเพราะความอยากของเราถึงกับฆ่าเขาได้ลงคอ ถึงกับกินเขาได้ลงคอ ความโลภของเราถึงกับประหัตประหารเขาได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ แปลว่าในใจของเราทุกคนก็ไม่อยากจะมีสิ่งนี้ แต่เพราะว่ากินมาจนติดแล้ว เบียดเบียนมาจนเคยชินแล้ว เมื่อใดที่มนุษย์กับมนุษย์ลงโทษกันไม่ได้ เมื่อนั้นฟ้าดินจะช่วยจัดการ เมื่อใดที่คนกับคนไม่สามารถตัดสินให้เที่ยงธรรมได้เมื่อนั้นฟ้าดินจะเที่ยงธรรม
           อย่าเห็นว่าการฆ่ากันเป็นเรื่องที่ไม่มีผลตอบแทน ย่อมมีผลตอบแทน ทำไมเราจึงอยู่กับบางคนเรารักเขา แต่บางคนเราถึงเกลียดเขา นั่นเป็นอำนาจที่เรามองไม่เห็นใช่หรือไม่ ( ใช่ )
           ทำไมคนเราปัจจุบันนี้จึงใช้การฆ่าสัตว์มาฆ่าคนได้ลงคอ นั่นเป็นเพราะว่าเกิดจากความชั่วที่ก่อตัวเล็ก ๆ ความชั่วที่ทนได้เมื่อเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ตาย แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ตัวใหญ่ ๆ ที่จะพอกพูนแล้วทำให้ฆ่าเขาลงคอได้จริงหรือไม่ (จริง )
           ฉะนั้นเวลาเราเกิดเคราะห์ร้ายเคราะห์กรรม ที่เราไม่รู้สาเหตุที่เกิดขึ้นกับเรา เราต้องถามตัวเองว่าเราได้สร้างกรรมดีมากแค่ไหน เราได้เคยเบียดเบียนกับคนอื่นบ้างหรือเปล่า หากตลอดมาเราได้ทำดีจะไปกลัวอะไรกับกรรมใช่หรือไม่ (ใช่ ) เราย่อมสามารถหลีกหนีได้ แต่ถ้าคนทำชั่วทำอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : วันสำคัญทั้ง ๗ ควรงดทานเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2010, 15:44
                             พระโอวาทพระโพธิสัตว์อนุศาสน์ เมตตา

                   การทานเจต้องกระทำให้รู้ซึ้งเมตตา  เห็นสัตว์ทุกชนิดเป็นเพื่อนของตนจึงไม่ทาน
                             เมื่อทานเจเกิดจิตเมตตาแล้ว   ย่อมมีปัญญาเพิ่มขึ้น
                                เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์จะช่วยส่งเสริม

            การปลดปล่อยชีิวิตสัตว์เป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งเป็นการต่ออายุตนเอง แต่การปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายอย่างนิรันทร์ คือ การปลดปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะกินเข้าไปทุกวัน เป็นมหากุศลและเมตตาธรรมสูงสุด ซึ่งช่วยให้สรรพสัตว์รอดตายมากมาย  วันสำคัญทั้ง ๗ อันควรงดเว้นเนื้อสัตว์  คือ
            ๑ . วันเกิดของตนเอง
            ๒ . วันเกิดของลูกหลาน
            ๓ . วันแต่งงาน
            ๔ . วันจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
            ๕ . วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
            ๖ .  วันทำบุญสร้างกุศล
            ๗ .  วันขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
           :)     ฆ่าสัตว์เลี้ยงงานมงคล ผลคือบาป        เขาก็จิตเราก็ใจจงไตร่ตรอง
           :)     โปรดรับทราบผิดศีลห้าพาใจหมอง       กรรมสนองต้องใช้เวรเป็นความจริง
คนกินเจได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท  กินเนื้อก็อิ่ม  กินเจก็อิ่มได้  กินเนื้อก็ต้องตาย  กินเจก็ต้องตายเหมือนกัน  แต่""กินเนื้อ""มีโรคภัยเบียดเบียน มีหนี้สินเวรกรรมติดตามให้ได้รับทุกข์ทรมานก่อนตาย  ""กินเจ"" ร่างกายแข็งแรงไร้โรคภัยเบียดเบียนจึงแก่ตายตามอายุขัย 
          :)  กินเนื้อ   ตายแล้ว   ยังมีหนี้สินเวรกรรม   ติดตัวต้องใช้หนี้
          :)  กินเจ     ตายแล้ว   ไม่มีหนี้สินเวรกรรม   เป็นอิสระ
หลงติดอยู่ใน""ความอร่อยลิ้น"" นำไปสู่ความวิบัติ
          อร่อยลิ้นยินดีเหลือเพื่อรสปาก
          ถึงกับพรากชีวิตเขาเศร้าใจไหม
          กว่าจะรู้ว่าบาปกรรมทำเท่าใด
          ต้องลงไปชดใช้กรรมให้จำทน
          จึงต้องเร่งบำเพ็ญเช่นพุทธะ
           อีกต้องละชีิวิตเขาเอากุศล
           เปิดเมตตาให้สว่างกลางกมล
           เพื่อหลุดพ้นการเวียนว่ายได้นิพพาน         
           

 
             
   
                                                                                                       

หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : กฏแห่งกรรมขึ้นหรือลงเลือกเอาเอง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/09/2010, 03:32
                         พระโอวาทพระนาจา เมตตา
                
                    เวลาเห็นสัตว์ร้องทนได้ไหม  ทนได้  เพราะอร่อยใช่หรือเปล่า
                    แล้วพอป่วยก็ว่าทำไม   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่รักษา ไม่คุ้มครอง
                    ตัวเราหาโรคมาเองทั้งนั้นเลย  ทำบุญแล้วจะบุญไม่รั่วก็คือไม่เบียดเบียน
                    ไม่ทำร้ายเขา พอเราไม่ทำร้ายสัตว์ ไม่ทำร้ายคน แล้วจะมีทุกข์อะไรมาทำร้ายเราอีกไหม
          งดกินเนื้อสัตว์ คือการแผ่เมตตาที่สูงสุดอยู่ทุกขณะจิต  ศาสนาทั้งหลาย แม้จะต่างกันด้วยขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและพิธีกรรม แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกศาสนาสอน ให้ยึดถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายกัน ให้มนุษย์และสรรพสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ คุณธรรมข้อนี้เป็นหลักใหญ่ที่สำคัญที่สุด อันจะค้ำจุนโลกให้บังเกิดสันติสุข ไม่ว่าชนชาติใด ภาษาใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ใหนในโลก จะนับถือศาสนาหรือไม่ก็ตาม ล้วนไม่ชอบให้ถูกเบียดเบียน ไม่ชอบให้ถูกฆ่า
          สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นจงเป็นสุข ๆ เถิดอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงมีความสุขกาย สุขใจ ปราศจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด เป็นคำที่เราแผ่ความรักความเมตตา เขาจะไม่มีเวรกับเราได้อย่างไร ? เขาจะมีความสุขอย่างไร ? เมื่อเรายังกินเนื้อเขา ย่อมจะผูกเวรมีหนี้กรรมที่ต้องชดใช้กันต่อไปไม่สิ้นสุด ผู้ที่ต้องการหมดหนี้กรรมเวรควรเลิกกินเนื้อสัตว์เถิด
                     สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้   เป็นเป็ด ไก่ กุ้ง ปู เป็นหมู หมา  
                     ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา       มิใช่ฟ้าประทานมาให้คนกิน
           ตามกฏแห่งกรรม ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบเสพเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องร่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง 3 ได้แก่ 1. นรกภูมิ  10 ขุม      2. เปรตภูมิ      3. เดรัจฉานภูมิ
           อีกไม่นานสากลโลก จะบังเกิดสันติสุข หลังจากที่ความสะอาดและความสกปรก แบ่งแยกออกจากกัน คนดีและคนชั่วถูกคัดออกจากกันแล้ว คนกินเจและคนกินเนื้อ จักรวาลฟ้าดินจะจัดให้เหมาะสม
           คนดีทำแต่ความดี ""ฟ้า"" จะใช้""พลังของฟ้า"" ดึงดูดขึ้นสู่เบื้องบน ใสสะอาด บริสุทธิ์ จะเบาวิวล่องลอยขึ้นเป็นพุทธะ เทพ เซียน อริยะทั้งหลาย
           คนที่กินเนื้อ ในจิตวิญญาณขุ่นมัว มีสิ่งไม่สะอาดย่อมต้องถูก""แรงของนรก"" ดึงลงสู่เบื้องล่าง กลายเป็นภูตผีและสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ในเรื่องนี้ ทุกคนควรคิดใคร่ครวญดูให้ดี  
       :)  การปลดปล่อยชีวิตสัตว์ ให้รอดตายอย่างนิรันดร์ คือการปลดปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะกินเข้าไปทุกวัน เป็นมหากุศลและเมตตาธรรมสูงสุด ซึ่งช่วยให้สรรพสัตว์รอดตายมากมาย 

                  พระโอวาทท่านมหาเทพหันเซียงจื่อ  เมตตา
   
         ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า เมื่อเราเห็นสรรพสัตว์ที่มีชีวิต เราทนไม่ได้ที่เห็นเขาต้องตาย เมื่อเขาร้อง เราทนเห็นเขาเจ็บปวดไม่ได้ แล้วเราทนไม่ได้ที่เราจะไปกินเนื้อเขา การกระทำเช่นนี้ ย่อมสื่อให้เห็นว่า โดยพื้นฐานแห่งจิตใจของมนุษย์เป็นจิตใจที่เมตตา ใช่หรือไม่ หรือเทียบกับคนใกล้ตัว เมื่อเราเห็นเขายังอยู่ เราก็ทนไม่ได้ที่จะพรัดพรากจากเขา เมื่อเห็นเขายังมีความสุข เดินทางไปในทางที่ถูก เราก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขาเดินผิดทาง หรือหลงทาง ใช่หรือเปล่า
         จิตเมตตานี้แม้จะมีแต่ก็ต้องกระทำให้ได้ อย่าเป็นคนที่พูดได้ แต่กระทำไม่ได้ เช่นนั้นก็เป็นเมตตาแค่เพียงวาจา ฉะนั้นหากโดยปกติเมื่อเราได้ยินเสียงสัตว์ร้องคร่ำครวญ  เราทนได้ไหม (ไม่ได้ ) ทนไม่ได้แล้วทำไมถึงกินเขาลงได้ แม้แต่เพื่อนเราหรือญาติเราเอง เวลาเราเห็นเขามีชีวิตเราก็มีความสุข แต่ถ้าเมื่อไรเราต้องพลัดพรากจากเขา เราก็ทนไม่ได้ ที่เห็นเขาต้องตายไปหรือเดินทางผิดไป
          ฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย ดีหรือไม่ ( ดี ) ไม่ใช่พูดว่า ไม่เห็นเขา ไม่ได้ยินเสียงเขา ก็กินเขา อย่างนั้นถูกไหม ( ไม่ถูก ) ให้คนอื่นได้ยินเสียง เห็นชีวิตเขาแทน เรียกว่ายืมมือเขาฆ่าถูกไหม ใจร้ายยิ่งกว่าใช่หรือไม่ (ใช่ )ท่านคงไม่เป็นคนยืมมีดฆ่าคนอื่น                 















        
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : กฏแห่งกรรมขึ้นหรือลงเลือกเอาเอง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/09/2010, 16:06

                       พระโพธิสัตว์กวนอิม เมตตาได้เคยตรัสไว้ว่า
 
             ผู้ใดกินเนื้อเขา 1 ชั่ง จะต้องไปเกิดเป็นเนื้อชดใช้ให้เขากินถึง 8 ชั่ง 
                      เหตุเพราะปุถุชนเวียนว่ายตายเกิด
                      ถือกำเนิดสัตว์เปลี่ยนเวียนหลากหลาย 
                      ทั้งคนสัตว์อุบัติแล้วไม่อยากตาย
                      สัตว์บางรายอดีตชาติเป็นญาติเรา
                      ชีวิตฉันฉันก็รักท่านก็รู้
                      ด้วยฉันกู่ก้องฟ้ายามถูกเฉือน
                      ชีวิตฉันใช่ยกให้ไยบิดเบือน
                  น้อมติงเตือนท่านตรึกตรองกฏของกรรม
ให้รักชีวิตอื่นเหมือนลูก  เหมือนญาติ  เหมือนเพื่อน   ความตายสัตว์ใดหนอพึงปรารถนา ก่อนตายมันคงจะเจ็บปวดรวดร้าวสุดขีดวอนฟ้าวอนแผ่นดิน ขอลมหายใจอีกสักนิดเพื่ออยู่ดูโลก ดิ้นรนไปตามอัตภาพ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง กับตัวเอง กับญาติมิตร หัวใจน้อย ๆของมันมิใช่ทมิฬหินชาติ หรือบ้าใบ้ไร้รู้สึก รักก็เป็น เกลียดก็ได้  เช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ ขอชีวิต !!! ขอชีวิตที่น่าสงสารเหล่านี้ ประดับโลกให้สุขสงบ อย่าได้แยกชิ้นส่วนสังขาร กัดเคี้ยวเมามัน สุดอร่อย กลบฝังไว้ในกระเพาะเลย ขอเถอะ ๆ !!!!!! ขอชีวิตเป็นทาน ปลดปล่อยอิสรภาพ อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อมัน ขอเถอะ ๆ !!!!! ขอมโนธรรมสำนึก ปลุกเมตตาปราณี ตื่นขึ้นจากความหลับใหล ให้รักชีวิตอื่นเหมือนลูก เหมือนญาติ เหมือนเพื่อน และวันนั้นจะได้ไม่มีการเบียดเบียนกันอีกต่อไป
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : ทัศนะของคนกินเจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2010, 01:21
                                                  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

                                                     ข่มเหงผู้อื่น คือ ทุกข์
                                                        รู้ให้อภัย คือ บุญ
                  ทัศนะของคนกินเจ
          1.  สัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์จริงหรือ ?  ปัจจุบันการแพทย์ และวิทยาการสมัยใหม่พบข้อพิสูจน์มากมายที่ยืนยันว่า"" เนื้อสัตว์ ไม่ใช่อาหารของมนุษย์ "" และ มนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อโดยธรรมชาติ ""
          ธรรมชาติไม่ได้สร้างสัตว์มาเพื่อสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์ เมื่อมนุษย์กินเนื้อสัตว์ จึงเป็นการผิดธรรมชาติ ธรรมชาติก็สะท้อนกลับมาเป็นผลร้าย เราจะเห็นคนที่ชอบกินเนื้อมาก ๆ ล้วนมีนิสัยชอบรุนแรงก้าวร้าว ชอบรบราฆ่าฟัน ดังนั้นเราก็ควรรู้จักกินในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดโทษทุกข์ทั้งแก่ตนเองและสัตว์ทั้งหลาย  
          สัตว์พูดไม่ได้แต่ก็รู้จักรักชีวิตกลัวตายเช่นเดียวกับมนุษย์ คนมักพูดเอาเองว่า สัตว์เป็นอาหารของตน สัตว์ที่จะถูกฆ่าต่างรักตัวกลัวตาย ก็ได้แต่หลั่งน้ำตาให้เห็น ผู้ประพฤติธรรมย่อมรู้ดีว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นจิตวิญญาณเช่นเดียวกับมนุษย์ หากแต่ด้วยบาปกรรมที่ตนเองก่อไว้ จึงต้องไปเกิดได้ร่างเป็นสัตว์ต่าง ๆ เพื่อชดใช้หนี้เวรกรรมของตน จนกว่าจะหมด
         2 . ไม่ได้ฆ่าสัตว์ แต่กินเนื้อสัตว์ เป็นความผิดบาปไหม ? ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ต่างรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นบาปมหันต์ แต่ก็หาได้เกรงกลัวต่อเวรกรรมที่ต้องชดใช้ไม่ เพราะความมืดบอด ความโลภ ความหลงเข้าครอบงำ คนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับว่า"" การกินเนื้อเป็นความผิด"" กฏธรรมดาเมื่อมีการกินก็ต้องมีการฆ่า กินโดยไม่ฆ่านั้นไม่มีเลยในโลกนี้ ""กินคู่กับฆ่า "" ไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่า ""คนกิน"" และ ""คนฆ่า"" ก็มีความผิดเท่ากัน เหมือนมือซ้ายกับมือขวาอยู่ในคน ๆ เดียวกัน มือขวาไปฆ่าใคร เมื่อถูกจับก็ต้องใสกุญแจมือทั้ง 2 ข้าง จะโต้แย้งว่ามือซ้ายไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่า ไม่ยอมให้จับไปด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าคน ๆ หนึ่งไม่ได้ลงมือฆ่าเอง แต่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าแทน เมื่อศาลพิพากษาโทษ ก็ต้องตัดสินให้ทั้ง 2 โทษฐานมีความผิดร่วมกัน โทษฐาน สมรู้ร่วมคิด ฆ่าผู้อื่น เพราะทั้งคนฆ่าและคนกินได้ประโยชน์ร่วมกัน คนฆ่าก็หวังได้เงิน คนกินก็ได้อิ่มอร่อยกับเนื้อสัตว์ที่ตาย
         บาป คือ สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองและผู้อื่น การกินเนื้อสัตว์จึงเป็นบาป ""บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน"" น่าจะเป็นคำที่คอยตอกย้ำให้เราจดจำไว้เสมอว่า "" ใครก็ตามให้ผู้อื่นสร้างบาปด้วย การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อตนแล้ว ผู้นั้นก็ต้องได้รับผลของกรรมจากการฆ่านั้นด้วย "" การกินเนื้อเป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่า หากทุกคนงดเว้นเนื้อสัตว์ได้ทุก ๆ วัน ไม่เฉพาะวันพระ หรือวันสำคัญทางศาสนา สัตว์ทั้งหลายก็จะมีอายุยืนยาวตลอดไป ไม่ต้องตาย
          3 . คนกินเนื้อ ไม่ได้ฆ่าเอง มีความผิดหรือไม่ ? "" ถ้าไม่มีคนซื้อ ก็คงไม่มีใครขาย ""  คนที่อยากกินเนื้อแต่ไม่ฆ่าเองเพราะกลัวบาป ใช้เงินไปซื้อเนื้อที่คนอื่นฆ่าให้ เงินที่จ่ายเป็นค่าเนื้อที่ตลาดก็เป็น "" ค่าจ้างฆ่า "" นั่นเอง ในทางโลกด้านกฏหมาย ศาลก็ต้องลงโทษคนรับจ้างฆ่า และ คนจ้างวานให้ฆ่า เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต้องการผลประโยชน์จากชีวิตผู้อื่นร่วมกัน คนที่ซื้อก็ต้องการได้กิน คนขายก็ต้องการเงิน คนที่ซื้อเนื้อคนอื่นมากิน ไม่ใช่ว่าจะมีความผิดในข้อจ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าแทนเท่านั้นยังต้องรับผิดโทษฐาน "" รับซื้อของโจร "" อีกด้วย หากผู้ซื้อรับทรัพย์สิ่งของที่ได้มาจากการปล้นชิงจากผู้อื่น กฏหมายก็ระบุไว้ว่า""รับซื้อของโจร ถือว่าไม่พิจารณาถึงการได้มาต้องไดรับความผิด "" เนื้อสัตว์ที่นำมาขายก็เช่นกัน ไม่มีสัตว์ตัวไหนที่ยินยอมเต็มใจให้ฆ่า ทุกตัวต่างพากันหวีดร้อง ปากกัด ตีนถีบ ต่อสู้ ดิ้นรนสุดชีวิต ไม่มีใครยอมยกชีวิตให้อย่างเต็นใจ บางตัวหากหนีรอดไปได้ก็ไม่ยอมกลับมาให้เห็นอีก คนได้ถืออำนาจบาตรใหญ่ ข่มเหงรังแก ปล้นชิงเอาชีวิตเลือดเนื้อเขามา การกระทำเช่นนี้มีวิสัยเยี่ยงโจร ดังนั้นเนื้อที่ได้ก็เป็นเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่าเอามา ผู้ซื้อเนื้อก็คือ ""ซื้อของโจร "" เงินทองที่ปล้นเขามา ใครเอามาใช้ก็มีความผิด เนื้อที่ปล้นฆ่าเขามา ใครเอาไปกินก็มีความผิดเช่นกัน
           ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิ์เท่ากันที่จะมีชีวิตอยู่ได้ตามอายุขัยของตน มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ไปทำลายล้างผลาญชีวิตผู้อื่น ถ้าเราคิดแต่เพียงว่า "" ซื้อมากินไม่บาป สัตว์มากมายก็จะต้องตายอยู่ร่ำไป ""
           ใครก็ตามที่ได้ประโยชน์จากการฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนฆ่า คนขาย คนซื้อ ต่างมีความผิดต้องได้รับโทษ เสมอเหมือนกันหมด """ นี่คือความยุติธรรม """"
           
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: mathematics ที่ 4/09/2010, 01:58
กระผมอยากกินเจ แต่มันอดไม่ได้อะ
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2010, 02:03

 เริ่มต้นฝึกหัดทานไปก่อนนะคะ

ขอให้เรามีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงค่ะ

พยายามค่ะ อดทน

เป็นกำลังใจให้นะคะ

      :}
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : ทัศนะของคนกินเจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2010, 13:57
                           4 . มนุษย์ควรกตัญญูต่อสัตว์มีคุณ 

           สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมามีกรรมเป็นตัวกำหนด ต่างเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมของตน ไม่ใช่ให้คนฆ่ากิน เช่น วัว ควาย  ให้มนุษย์ได้อาศัยแรงกาย ใช้งานสารพัด สมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรสำนึกในบุญคุณ ให้ความเมตตากรุณาตอบ คนเราชอบให้ลูกหลานกตัญญูรู้คุณ แต่กับ วัว ควาย เราเคยระลึกถึงบุญคุณเขาหรือเปล่า
                           5 . ทำไมการกินเนื้อจึงสร้างหนี้สินเวรกรรมติดตัว ?
           คนทั้งหลายมักจะคิดไปได้ไกลแค่ปลายจมูกตัวเอง นึกถึงแต่ปากไม่เคยคิดถึงหนี้สินเวรกรรมที่จะต้องได้รับจากการกินเลือดเนื้อทั้งที่เขาไม่ยอมย่อมต้องถูกอาฆาตพยาบาทจองเวร หมู ไก่ วัว ควาย ฯลฯ ก็ถูกแทง ถูกเชือด ต้องตายโหงเช่นกันจิตวิญญาณจึงเต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้นพยาบาท ถ้าพูดตามกฎธรรมดาโลก เราเป็นหนี้ใครก็ต้องชดใช้ ฆ่าเขาก็ต้องถูกเขาฆ่า กินเลือดเนื้อของเขาก็ต้องถูกเขากินเลือดเนื้อคืนบ้าง ชีวิตใช้คืนด้วยชีวิต เนื้อใช้คืนด้วยเนื้อ ความตายใช้คืนด้วยความตาย เป็นที่เที่ยงธรรมโลกนี้จึงเต็มไปด้วยการจองเวรติดตามทวงหนี้ไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมด้วยเมตตาจิต ต้องการระงับการจองเวรจึงโปรดแสดงหลักธรรม และให้โอกาสมนุษย์ได้ถือศีลกินเจสะสางหนี้เสียให้หมดสิ้น การหยุดกินเนื้อคือการตัดหนี้สินเวรกรรม หยุดการจองเวรซึ่งกันและกัน หากเราเป็นหนี้ผู้ใดเเล้วหลบหนีไม่ยอมชดใช้ก็คือคนโกง โกงมนุษย์ด้วยกันแล้วหลบหนีก็มี แต่จะโกงกฎแห่งกรรม โกงบาป โกงบุญ โกงนรก โกงสวรรค์ เห็นจะโกงกันไม่ได้ หนีเสือหนีจระเข้พอจะหนีกันได้ แต่จะหนีเวรหนีกรรมนั้นไม่มีทางเลย
                           6. คนกินเจได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
           คนจะดีวิเศษแค่ไหนหรือกินพอให้ชีวิตอยู่ได้ ก็ได้เพียงแค่ "" อิ่ม "" กินเนื้อก็อิ่ม กินเจก็อิ่มได้ กินเนื้อก็ต้องตาย กินเจก็ต้องตายเหมือนกัน กินเนื้อ ตายแล้ว ยังมีหนี้สินเวรกรรม ติดตัวต้องชดใช้ กินเจ ตายแล้ว ไม่มีหนี้สินเวรกรรม เป็นอิสระฉะนั้นคนกินเจจึงเป็นผู้ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความจริงบาปกรรมจากการกินเนื้อ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าว่าจะไปพบกับอะไรก็ได้ เพราะในชาตินี้คนกินเนื้อมีแต่โรคภัยร้ายแรง เบียดเบียนให้ได้รับทุกข์ทรมานก่อนแล้ว
                           7. ผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงล้วนกินเจ
           ความไม่เบียดเบียนกันเป็บหลักแห่งสันติธรรมอันสูงส่ง เรากินเลือดกินเนื้อสัตว์อยู่ทุกเมื้อเชื่อวัน เป็นการเบียดเบียนใช่หรือไม่ อาหารที่ได้จากการปล้นเอาชีวิตผู้อื่นเขามา ไม่ใช่อาหารของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ไม่มีใครจะสามารถสำเร็จธรรมหลุดพ้นไปได้หากยังคงมีหนี้สินเวรกรรม แม้เพียงเสี้ยวธุลีหลงเหลือผูกพันอยู่กับเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
                          8 . กินเจทุกวัน คือ การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ทุกวัน
           กินเจทุกวันก็ได้สร้างสมบุญกุศลปล่อยชีวิตสัตว์ทุกวัน ย่อมต้องดีกว่า ปัจจุบันในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา สาธุชนจำนวนมากเริ่มเห็นแจ้งในความจริงว่า ""การกินเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องตาย"" จึงพากันงดเว้นเนื้อสัตว์ หันมากินเจ การทำทานที่เกี่ยวกับชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าจะงดเว้นจากการฆ่า งดเว้นการกิน หรือบอกให้ผู้อื่นงดฆ่า งดกิน เป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
                         9 .  หลงติดอยู่ใน ""ความอร่อยลิ้น "" นำไปสู่ความวิบัติ
           ชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ที่มีอายุอยู่จนถึงอายุ 60 ปี จะต้องกิน วัว ควาย กว่า 3,000 ตัว เป็ดไก่ 20,000 ตัว ปลา 200,000 ตัว น่าใจหายอยู่ไม่น้อยที่คนเรามีชีวิตอยู่คนเดียวจะต้องล้างผลาญชีวิตสัตว์มากมายก่ายกองเช่นนี้
                        10 .  งดกินเนื้อสัตว์ คือการแผ่เมตตาที่สูงสุดอยู่ทุกขณะจิต
            ทุกศาสนาสอนให้ยึดถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่เบียดเบียนทำร้ายกันให้มนุษย์และสรรพสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ คุณธรรมข้อนี้เป็นหลักใหญ่ที่สำคัญที่สุด """สัตว์ทั้งหลายที่เเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุข ๆ เถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงมีความสุขกายสุขใจปราศจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด """ เป็นคำที่เราแผ่ความรักความเมตตา
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : กฏแห่งกรรม ใครหนีพ้น ?
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2010, 14:36
            กฏแห่งกรรมใครหนีพ้น คนที่ขณะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ทำเรื่องเลวร้ายสร้างบาปเวร ทุบตี ทรมาน ทั้งกินทั้งฆ่า และทำตัวเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายถูกฆ่า เมื่อตายไปจิตวิญญาณตกล่วงลงสู่นรกภูมิ ต้องได้รับความทุกข์ยาก ลำบากแสนสาหัส ครั้นพ้นจากนรก วิญญาณต้องผ่านเข้าสู่ ""หอหมุนเวียนกรรม 6 ช่องทาง """ เพื่อกลับไปเกิดใหม่
           หอหมุนเวียนกรรมจะคัดแยกจัดประเภทของการเกิด บางวิญญาณก็ไปเกิดเป็นไก่  เป็นหมู เป็นวัว เป็นควาย ฯลฯ จะเป็นสัตว์ประเภทใดย่อมแล้วแต่ ""พลังของสัตว์เดรัจฉาน "" ที่ฝังอยู่ในวิญญาณของคนนั้น บางวิญญาณก็ได้ไปเกิดเป็นคนอีก แต่จะเป็นคนพิการ คนยากจน คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ หรือคนที่มีบุญวาสนา ก็ขึ้นอยู่กับกระแสของกรรมดีกรรมชั่วที่วิญญาณแต่ละดวงได้สะสมเอาไว้
                            หอหมุนเวียน         เปลี่ยนกฏเกณฑ์         ชีิวิตเกิด   
                            ทำดีเลิศ               จุติสู่                       ประตูสวรรค์
                            ทำความชั่ว            ใจโหด                    โทษอนันต์
                            ไฟโลกันต์              เผาไหม้                  ได้รับกรรม
                             จงหันมา               สร้างความดี               กันเสียเถิด
                             เพื่อได้เกิด            เป็นมนุษย์                 สุดเลิศล้ำ
                             มีทางเลือก            เดินสายกลาง             คือทางธรรม
                             เป็นผลนำ              ให้ก้าวสู่                   พระนิพพาน       
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : มีแต่"กุศล"เท่านั้นที่เปลี่ยน...???
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2010, 15:28
          มีแต่""กุศล"" เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง ""ชะตาชีวิต "" ได้ คนในโลกนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของชะตากรรม ที่ตนได้กำหนดไว้"" พรหมลิขิต "" โชคชะตาในชาตินี้ก็เป็นผลจากการกระทำในชาติก่อน ไม่มีใครสามารถหนีพ้น "" กรรม "" ของตนไปได้ คนที่รู้แล้วก็จะไม่โทษฟ้าโทษดิน โทษผีสางเทวดา ทุก ๆ อย่างเราเป็นผู้ก่อไว้ทั้งสิ้น เพราะตัวเราเองอยากตกต่ำ ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้
          แต่ "" หนทาง"" ที่สว่างสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ โดยเริ่มต้นที่ "" กินเจ "" เป็นอันดับแรก งดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลิกจองเวรจองกรรมกันต่อไป คนที่ชะตาตกอับ เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโรคเรื้อรังร้ายแรงไม่รู้จักหาย ต้องทำแต่สิ่งที่ดี สร้างบุญจริงกุศลแท้อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา ช่วยเหลือให้คนกินเจ สร้างหนังสือธรรมะ เปลี่ยนจิตใจคน เพื่อชดใช้บาปกรรมที่เคยทำไว้แต่ชาติบางก่อน วิธีที่ประเสริฐล้ำเลิศที่สุด คือ ช่วยให้ทุกคนได้รับรู้ "" วิถีธรรม "" เพื่อจะได้บำเพ็ญตัวเองได้สำเร็จ และสามารถฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายด้วย คนที่ได้รับรู้ "" วิถีธรรม "" เป็นผู้ที่โชคดีที่สุดเพราะประสบโอกาส ที่จะบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง รู้เหตุและผล รู้สัจธรรมที่แท้จริง ผู้ที่บำเพ็ญอยู่ในวิถีอนุตตรธรรมให้ดีืั้สุด ก็สามารถแปรเปลี่ยน "" ชะตาชีวิต """ ของตนให้ดีได้

     :)   การทำบุญสร้างกุศล  พึงจำไว้ว่าปัจจัยเงินทอง หรือสิ่งของที่บริจาคจะต้องได้มาอย่างบริสุทธิ์ ถูกต้อง ไม่เป็นเงินที่ได้มาโดยการประกอบอาชีพต้องห้าม ดังนี้
                                              1 . ค้าขายมนุษย์
                                              2 . ค้าขายสัตว์มีชีวิต
                                              3 . ค้าขายอาวุธ เครื่องมือฆ่าประหัตประหาร
                                              4 . ค้าขายยาพิษ
                                              5 . ค้าขายยาเสพติด ของมึนเมาอันทำลายสติและชีวิต       
          "" มิจฉาวณิชชา "" การค้าขาย 5 อย่างนี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ มิให้ อุบาสก อุบาสิกา กระทำโดยเด็ดขาด และในการทำทานเลี้ยงอาหาร จงอย่าได้ ฆ่าเป็ด ไก่ วัว ควาย ปู ปลา ฯลฯ มาทำอาหารเลี้ยง หรือทำบุญ เพราะไม่เพียงแต่ตัวเองจะไม่สามารถต่ออายุขัยให้ยาวนาน กลับกลายเป็นยิ่งจัดเลี้ยงอายุยิ่งสั้นลง ๆ
          ฉะนั้น ในพระธรรมคำสอนจึงย้ำอยู่เสมอว่า การทำบุญวันเกิด  ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการร้านค้า การทำบุญอุทิศให้วิญญาณบรรพบุรุษ ตลอดจนการทำพิธีบวงสรวง และงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ต้องไม่กระทำการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จึงจะประสบความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ครอบครัว และผู้คนที่มาร่วมงาน         
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2010, 07:21
         มีแต่ผู้รู้จักชีวิตและรู้จักเมตตาอย่างเป็นสัจจะเท่านั้น  จึงจะรักและเมตตาชีวิตสัตว์อื่นได้อย่างจริงใจ มีแต่ผู้ศึกษาเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมอย่างแจ่มแจ้งเท่านั้น จึงจะไม่กล้าโหดร้าย เบียดเบียน ทำร้าย ทำลายชีวิตสัตว์อื่น เพราะเขารู้สัจจะ นั่นคือ การทำร้ายทำลายชีวิตของตนเอง อย่างโหดร้ายเช่นกัน เพราะเขารู้สัจจะว่าทุกสิ่งที่ได้รับ คือ สิ่งที่เรากระทำลงไป เพราะเขามีความเชื่อว่า กรรมมีจริง วิบากกรรมมีจริง ส่งผลจริง
        ความรู้สัจจะทั้งหมดนี้ มีอยู่แล้วในโลกอันคือ "" สัจธรรม "" คำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่า ๒๐๐๐ ปีมาแล้วแต่ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่รู้ ไม่รับรู้ ชาวพุทธส่วนใหญ่จึงยังกระทำการโหดเหี้ยม ทั้งต่อชีวิตผู้อื่นและสัตว์อื่น

                                    :)   น้อมจิตกราบไหว้อาหารเจ ผลไม้ และให้กินเจ

        ประนมกราบ     แทบบาทพระ     อธิษฐาน   
ขอพบพาน              แต่สิ่งดี            ที่ประสงค์
ก้มสักการ               ไม้ดอกผล         จิตมั่นคง
หากปลิดปลง            ชีพสัตว์            อย่าหวังบุญ
เรื่องเวียนว่าย           ตายเกิด            เจ้าไม่เชื่อ
ญาติมิตรเมื่อ            สิ้นชีพลง          กรรมนำหนุน
ก . ฆ่าไก่               เหมือนฆ่าลูก      สุดทารุณ
ข . ฆ่าหมู               สุดเนรคุณ         ฆ่ามารดา
       พระกวนอิม      โปรดเจ             ไม่ใช้เหล้า
พุทธเจ้า                 ทรงบัญญัติ         ห้ามฆ่าสัตว์
พระเจ้า                  ล้วนมีจิต            โพธิสัตว์
จงปฏิบัติ                ตามรอย             พุทธธรรม
       เว้นแต่           เจ้ามาร               หลงลาภปาก
แต่ทำบาป              หลอกลวง           ผิดศีลธรรม
ขอเตือนอย่า           เซ่นไหว้สัตว์        ทำบาปกรรม
น้อมจิตนำ              จุดธูป                เพียงสามดอก
      บริจาค            ทรัพย์สิน            ช่วยคนยาก
บุญจะมาก              ลูกหลาน            สุขสบาย
กินเจ                    มีประโยชน์          ทั้ง กาย ใจ
หมดมารร้าย            อยู่สุข                ทุกฤดู 

                               :)   เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ทุกแห่งทุกหน  เปี่ยมเมตตากรุณา

เสียงร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น                     เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง
เสียงซวบซาบคมดาบเชือดเลือดไหลนอง       เสียงกรีดร้องสะท้านจิตสะกิดใจ
เสียงสัพเพสัพตาพาให้คิด                        ว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าสิ่งไหน
อเวราอย่ามีเวรอย่ามีภัย                            ชีวิตใครใครก็หวงอย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพสัพตามาแต่ไหน                        ยังเข้าใจในเนื้อแท้แค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน                 ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
สัตว์เิกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้                      เป็นเป็ด ไก่ กุ้ง ปู เป็นหมู หมา
ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา                        มิใช่ฟ้าประทานไว้ให้คนกิน
มีปัญญาแต่ไฉนจึงไม่คิด                           มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน                  น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
พูดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร                        เขาลนลานหนีตายมีใครเห็น
เขาจนใจสู้ไม่ได้เถียงไม่เป็น                      ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปราณี
 :) มีพืชผักมากมายนับไม่หมด                   ทุกกลิ่นรสสดใสหลายหลากสี
ธรรมชาติจัดวางไว้อย่างดิบดี                      สัตว์วิ่งหนี...พืชเต็มใจให้กินมัน
เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย                  เราสบายแต่สัตว์โลกต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพสัพตามาทุกวัน                         เมตตากันโปรดอย่าฆ่า... และอย่ากิน                   
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2010, 04:15

                         พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม  เมตตา

              สิ่งที่กินเข้าไปเป็นเพียงการประทังชีพเท่านั้น
ถ้าหากเอาสิ่งประทังชีพ  มาทำให้คนอื่นเจ็บปวด  เราจะมีหนี้กรรม
          ใจเราต้องบริสุทธิ์  ความคิดของเราก็ต้องบริสุทธิ์
      ปากของเราก็ต้องบริสุทธิ์ปากของเราเมื่อทานของบริสุทธิ์
คำพูดของเราที่ออกมาก็ต้องบริสุทธิ์ ไม่ไปนินทาว่าร้ายคนอื่น
      ถ้าอยากบำเพ็ญให้ดีขึ้น  ก็ต้องละเนื้อสัตว์
      เพราะจริง ๆ เขาเป็นปู่ ย่า ตา ยายของเรา
              เพียงแต่เรามองไม่เห็น
           การทานเจแล้วก็เท่ากับเป็นการปล่อย
     สัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้นให้มีชีวิตรอดต่อไป
ชีวิตใคร  ใครก็รัก  ใคร ๆก็รักชีวิตตนมากกว่าสิ่งของใด ๆ ใช่หรืไม่
              แล้วชีวิตของคนอื่นมีค่าหรือไม่

                             ศีลห้าจากพระอาจารย์

           มีคนพูดว่า "" ฉันไม่ได้ฆ่าคนอื่น ฉันฆ่าตัวเอง ฉันมีสิทธิ์""  คนที่ฆ่าตัวตายในสัญญาความจำที่สืบเนื่องมาจากอดีตชาติมันได้ฝังเมล็ดพันธ์ของการฆ่าตัวตายไว้แล้ว เกิดชาติต่อมาจึงมีอารมณ์อยากฆ่าตัวตาย ฉะนั้นให้ระวัง อย่าให้เกิดความคิดนี้ ใครที่ฆ่าตัวตายได้สำเร็จ อย่างน้อยจะต้องฆ่าตัวตายเรื่อยไปถึงเจ็ดครั้ง
           คำว่า "" ฆ่าตัวตาย "" จะต้องหมายความว่า "" ฆ่าตัวกิเลสตัณหาของตัว"" ให้เหลือไว้แต่จิตพุทธะ เป็นศิษย์พระอาจารย์จี้กงเป็นผู้บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม สูงส่งเหลือเกิน กว่าจะได้เกิดกายเป็นคนยากนัก พระคุณของฟ้า ดิน พระคุณของบ้านเมือง พระคุณของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เบญจคุณากรยังมิได้ตอบแทน เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะฆ่าตัวตาย
           อย่าช่วยเขาฆ่า เมื่อเห็นใครฆ่าสัตว์แล้วเจ้าพูดว่า "" ฆ่าเสียให้ตายก็ดี "" "" เนื้อนี้อร่อยดี "" ใครเขาปรึกษาจะทำแท้งถ้าเจ้าบอกว่า "" ดี ดีเหมือนกัน อย่าเอาไว้เลย "" เห็นอาหารเนื้อสัตว์มากมายอยู่ในงานเลี้ยง ถ้าเจ้าบอกว่า "" ดีจังเลย น่ากินจังเลย "" อย่างนี้เท่ากับมีส่วนสนับสนุนช่วยฆ่า
          การถือศีลกินเจ ลูกจะแต่งงาน จะจัดเลี้ยงอาหารเนื้อสัตว์ ถ้าเจ้าบอกว่า "" ตามใจ "" อย่างนี้เท่ากับมีส่วนช่วยฆ่า เจ้าจะต้องบอกว่า "" พ่อแม่ถือศีลกินเจ ย่อมไม่สนับสนุนให้ลูกเบียดเบียนชีวิตเขา "" ถ้าลูกยังขืนดึงดันจะเลี้ยงอาหารเนื้อสตว์ พ่อแม่จนใจก็ได้แต่บอกว่า "" ถ้าอย่างนั้น ลูกก็รับผิดชอบเองก็แล้วกัน "" ขายยาจีน ในพิกัดยามีส่วนของสัตว์หรือแมลงอยู่ด้วย ผู้ขายจะต้องสำนึกว่า "" อย่าได้เป็นบาปเป็นเวรแก่กันเลย มันจำเพาะเป็นยารักษาโรค "" แต่อย่าแนะนำให้เขาเอายาไปตุ๋น เป็ด ไก่ ฯลฯ บำรุงกำลังเป็นอันขาด เพราะจะเท่ามีส่วนช่วยฆ่าด้วย ขายยานอนหลับ ยาประเภทกล่อมประสาท ปลุกประสาท ฯลฯ เหล่านี้มีส่วนเกี่ยวกับการฆ่าด้วย เขาอาจกินเกินขนาด กินผิดพลาด ทำให้ประสาทเสีย พิการ ถึงตาย ให้ระวังให้มาก
          ผู้ตั้งปณิธานกินเจแล้ว ( ลี่ชิงโข่วเอวี้ยน ) กาย วาจา ใจ จะต้องสะอาด อย่าพูดให่เขาน้อยใจ ทำให้เข่าอยากตาย หรือหาทางตายไปจริง ๆ ขายของมีคมเป็นอาวุธที่ทำลายชีวิตได้ให้ระวัง ผู้ขายสิ่งเหล่านี้มีเหตุแห่งกรรมหนุนนำมาแต่อดีตชาติ ผู้บำเพ็ญมิให้ใช้เครื่องหนังสัตว์แท้ เช่นเข็มขัด รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ ผู้สนับสนุนหรือสร้างค่านิยมเครื่องหนังแท้เท่ากับมีส่วนช่วยฆ่า ให้ใครหยิบยืมเงินทองต้องระวัง ต้องรู้ว่าเขาจะเอาไปทำอะไร ไปก่อกรรม ไปทำแท้ง ฯลฯ เราก็เท่ากับมีส่วนช่วยฆ่า จะร่วมบุญทานต้องพิจารณา หากเอาเงินไปช่วยร่วมงานบุญที่เขาล้มวัว ล้มควาย ฆ่าหมู เป็ด ไก่ เราก็ไม่พ้นมีส่วนช่วยฆ่า ร่วมบุญทานบริสุทธิ์ฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์เหมือนปลูกเมล็ดพันธ์เมล็ดเดียวเก็บเกี่ยวได้หมื่นเมล็ด
         ไม่ขายเบ็ดตกปลา เบ็ดอันนี้เขาซื้อไปตกปลา ได้ปลากี่ตัว ปลาเหล่านั้นก็จะมาคิดบัญชีกับเจ้า แม่บ้านกินเจแต่ยังต้องทำอาหารเนื้อสัตว์ให้พ่อบ้านและลูก ๆ ถ้าจำใจต้องซื้อปลา ระวังอย่าซื้อปลาท้องไข่จะต้องเกี่ยวกรรมกับเขาหลายชีวิต ผู้บำเพ็ญหญิง จึงต้องหมั่นสำนึกขอขมากรมเสมอ ๆ
         ทำไมคนเป็นโรคมะเร็งมากเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่การแพทย์เก่งกาจก้าวหน้า ถึงเพียงนี้ ไม่น่าจะเป็นโรคแปลก ๆ ที่รักษาไม่หายมากมายอย่างนี้จึงจะถูก น่าจะสรุปผลได้อย่างเดียวว่า มันเกิดขึ้นตามแรงฆาตกรรม
         ถ้าทุกคนกินเจกันหมด สองปีต่อมาพืชพันธ์ธัญญาหารจะต้องอุดมสมบูรณ์เป็นแน่ โคภัยไข้เจ็บก็จะลดน้อยลง ในสมัยพระอริยกษัตริย์ เหยาซุ่น สามพันกว่าปีก่อน ไม่มียาฆ่าแมลง พืชพันธ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ จะเห็นนได้ว่านิ่งฆ่า ยิ่งมาให้ฆ่าไม่หมด  เสือเป็นสัตว์ป่ากินคน มีคนไปกินเสือไหม ? ไม่มี  แต่เสือก็น้อยลงทุกวัน ส่วนเป็ด ไก่ คนกินกันมากจึงเกิดมากขึ้น  แมลงก็เช่นเดียวกันกำจัดเท่าไไหร่ก็ไม่หมด
        บริเวรที่อยู่อาศัยให้รักษาความสะอาด มด แมลง ก็จะน้อยลง เขามีกรรมร่วมกับเจ้า เขาต้องการอยู่รอด จึงมารบกวนเจ้าเจ้าฆ่าเขา เขาฆ่าเจ้า เหมือนคนกินแพะ แพะตายไปเกิดเป๋นคน คนตายไป เกิดเป็นแพะ เวียนกันไม่จบสิ้น
        มีคำถามหลังจากตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิตแล้วสัตว์เลี้ยงที่บ้านจะจัดการอย่างไร เจ้าก็คิดเสียว่าเขาเกี่ยวกรรมกับเจ้ามาจงเลี้ยงดูเขาต่อไปจนกว่าจะตายแล้วฝังเขาเสีย ให้เขาไปเกิดใหม่
        ทำบุญหรือจ้ดเลี้ยงในวันเกิด อย่าได้เบียดเบียนเดือดร้อนชีวิตสัตว์ การเกิดของเจ้ามิได้แสดงถึความยิ่งใหญ่อันใด กลับทำร้ายสัตว์มากมายให้ตายลง
        บนบานศาลกล่าวเสร็จแล้วถวายหัวหมู ยังไม่ทันจะสร้างบุญกุศลกลับหาเรื่องให้ตัวเองซ้ำอีก  ฟาดเคราะห์ไปเปราะนึ่ง ยังไม่ทันไรเกี่ยวกรรมเข้าไปอีกรายหนึ่ง ต่อไปอย่าได้ไปบนบานศาลกล่าวอย่างนี้อีก งานศพพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ให้เลี้ยงอาหารเจเป็นดีที่สุด งดการฆ่าสัตว์เป็นดีที่สุด จะได้ไม่เป็นบาปตามติดผู้ตายไป
        หากยังกินเจกันไม่พร้อมทั้งครอบครัว ภายใน "" สี่สิบเก้าวัน"" ให้กินเจทั้งหมดพร้อมกัน สามีภรรยาก็ควรแยกห้องกัน สี่สิบเก้าวัน จะช่วยลดหย่อนบาปเวรของผู้ตายได้
        การไม่ฆ่า คือ เมตตากรุณา จิตสำนึกนี้ทุกคนต้องมี ไม่ฆ่าเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ซิลำบากหน่อย เคยมีศิษย์ต่อรองกับอาจารย์ว่า "" พระอาจารย์ขอรับ ศิษย์ไปผ่าตัดมา เสียกำลังไปมาก ขออนุญาตกลับไปกินเนื้อสัตว์ให้แข็งแรงเสียก่อนแล้วจะกลับมากินเจใหม่ คงไม่เป็นไรนะขอรับ ""
       หากเจ้าคิดจะต่อรองก็แล้วแต่เจ้า อาจารย์บังคับเจ้าไม่ได้ หนี้ของใคร  ใครก็ชดใช้กันเอง ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ จึงไม่ต้องต่อรองกับอาจารย์
       ประสาทจิตใจไม่ปกติ การฆ่าของเขามีโทษบาปเบากว่าคนทั่วไป  ด้วยกุศลเจตนาจะช่วยพระพุทธอริยเจ้า การฆ่าของเขามีโทษบาปเบากว่าคนทั่วไป เพื่อช่วยคนหมู่มาก  เช่นสู้รบเพื่อชาติ แม้โทษบาปจะเบากว่า แต่ไม่พ้นกฏแห่งกรรม
         ทำไมไม่ให้ฆ่าคน เพราะคนอยู่ใกล้กับอริยมรรค ชาตินี้แม้จะมีวิบากทุกข์ยาก แต่หากได้สดับพุทธธรรม แล้วบำเพ็ญจริง สิ้นสุดชีวิตหมดหนี้เวรกรรมเมื่อไรก็บรรลุได้ทันที
         ฆ่าสัตว์อื่น ๆ  มีโทษบาปเบากว่าฆ่าสัตว์คน เพราะสัตว์ยังห่างไกลอริยมรรค แต่เขาก็มีโอกาสเหมือนกันจึงไม่ควรฆ่าอย่างยิ่ง  หมูผูกใจเจ็บกับเลือดเนื้อของเขามาก จะไม่ยอมไปจากตัวจนกว่าเนื้อชิ้นสุดท้ายของเขาจะถูกกลืนกินไปหมด ให้สังวรไว้
         คนที่เจ็บป่วยเป็นประจำ ให้ทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ให้มาก ๆ  นอกจากปล่อยสัตว์ที่เห็นได้ภายนอกแล้ว ยังจะต้องปล่อยสัตว์ที่อยู่ภายในจิตใจคนอีก
         กิเลสตัณหา เหมือนสัตว์ร้ายที่สิงสู่อยู่ในใจ ใครกักเก็บไว้ก็มีแต่วิตก กลักลุ้ม ฯลฯ  จงปล่อยเขาออกไปให้หมด เพราะเขาจะพาเจ้าลงนรกไปด้วยเช่นกัน
        ค้าขายไม่ดี ยิ่งทำยิ่งขาดทุน หมุนเวียนขัดข้อง ต้องทำบุญปล่อยสัตว์ละเว้นการฆ่า กินเป็นสำคัญ เพราะชาติก่อนเจ้าฆ่าเขาไว้มาก จึงต้องมีวิบากกรรม
        หน้าตาไม่มีราศี กิจการร้านรวงไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจ แก่ผู้พบเห็นเป็นเพราะเจ้าสร้างบุญสัมพันธ์กับใคร ๆ ไว้น้อย ให้เร่งปล่อยสัตว์ เว้นการกินเนื้อสัตว์
        คนที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะใจดำอำมหิต ฆ่าสัตว์ชนิดใดเป็นประจำนาน ๆ หน้าตาเขาก็จะละม้ายสัตว์นั้น ความคิดอยากฆ่าจะเกิดขึ้นมาในใจบ่อย ๆ
        คนบาปหนาที่ฆ่าสัตว์ไว้ ก่อนตายจะถูกกรรมเวรนั้นรุมหนักเหมือนหนี้สินประดัง ชักหน้าไม่ถึงหลัง เหมือนใกล้วันปิดงบสิ้นปีของธนาคาร
        คนชอบฆ่าสัตว์มักจะฝันร้าย เมื่อกลับใจมากินเจใหม่ ๆ ก็ยังฝันกินเป็ดกินไก่ เพราะเคยกินเขาเอาไว้มาก  ชาติก่อน ๆ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มาก ชาตินี้เกิดมาจัอาภัพ จุกจิก ขี้ริ้วขี้เหร่ ขาดมนุษย์สัมพันธ์ ผู้คนรังเกียจ ชิงชัง คนบาปหนาก่อนตายจะไม่สงบบ้างเห็นยมทูตมาลากคอ บ้างเห็นเจ้ากรรมนายเวร บ้างเห็นผี บ้างเห่าหอนโอดโอยกรีดร้องเสียงเหมือนสัตว์ต่าง ๆ สภาพของซากศพจึงน่าสะพรึงกลัว
        ผู้ละเว้นการฆ่า ( ทั้งทางตรงและทางอ้อม ) คือผู้ให้อภัยทาน ให้สรรพสัตว์พ้นจากความหวาดกลัวหวั่นภัย ผู้ละเว้นการฆ่า จิตเมตตาจะเพิ่มพูน ความกังวลหม่นหมองจะน้อยลง กายใจจะสุขสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย
       ผู้ละเว้นการฆ่า จะนอนหลับสบายไม่ฝันน่ากลัว ไม่อึดอัดเหมือนถูกกดทับ ละเว้นเนื้อสัตว์นาน ๆ ไปก็จะไม่ฝันกินเนื้อสัตว์อีก  ผู้ละเว้นการฆ่า ชาติหน้าเกิดใหม่จะได้เป็นคน ร่ำรวยสูงศักดิ์ใจดี มีอิสระ ไม่พิพาทบาดหมางกับใคร ร่วมบุญสัมพันธ์กันไปทั่ว   ผู้ถือศีลห้าได้บริสุทธิ์ อีกทั้งได้สร้างกุศลผลบุญเสริมส่ง จะได้ไปเกิดในชั้นพรหมโลก เพราะไม่ได้ปลูกเมล็ดพันธ์ของวิญญาณบาปไว้ในกมลสันดานอีกต่อไป
       ศีลห้าตรงกับคุณธรรมห้าของศาสนาปราชญ์ พระศาสดาขงจื้อสอนไว้ว่า
ไม่ฆ่าเป็นเมตตากรุณาธรรม คือ เหยิน
ไม่ลักขโมยเป็นมโนธรรม    คือ อี้
ไม่ผิดในกามเป็นจริยธรรม   คือ หลี่ 
ไม่มุสาเป็นสัตยธรรม         คือ ซิ่น
ไม่ดื่มสุราเป็นปัญญา         คือ จื้อ
        มดแมลงแม้ตัวน้อยนิดก็ฆ่าไม่ได้  เจ้ากินเนื้อสัตว์ โดยอ้างว่าเขาเกิดมาเป็นอาหารของคน  เสือก็อ้างได้ว่าคนเกิดมาเป็นอาหารของเขา  ยุงดูดเลือดของเจ้านิดเดียว  เจ้ายังตบเขาให้ตาย  ใจเขาใจเราเจ้าคิดดู
        อย่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแสดงกิริยาไม่สุภาพหน้าหิ้งบูชาหรือโต๊ะบูชาพระ  ภาพพิมพ์รูปพระรูปเจ้าขาดเก่าไม่ใช้ให้ม้วนเก็บไว้อย่าเผาปนไปกับขยะ หรือเรี่ยราดกระจายบนดิน ถูกผู้คนเหยียบย่ำ เท่ากับลบหลู่จะเป็นบาป
        สัตว์บ้านเลี้ยงไว้จนกว่าเขาจะตาย อย่าขายหรือให้ใคร เอาเขาไปทอดทิ้งให้อดอยาก ทำร้ายทารุณเขา เมื่อเขาตายให้ฝัง ท่องพระนามพระพุทธะ พระโพธิสัตว์  พระองค์ใดก็ได้ ขอพระองค์ได้โปรดช่วยนำวิญญาณของเขาไปเกิดใหม่ให้ดีด้วย
        ทุกครั้งเมื่อเกิดการผิดพลาดทุศีล หากไม่มีที่บูชาพระในบ้านให้จุดธูปสามดอกปักกลางแจ้งสำนึกผิดและแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลแก่สัตว์นั้น ๆ บาปเวรก็จะเบาลง
        คนถือศีลกินเจ ต้องรอบคอบระวัง ก่อนจะซื้ออาหารสำเร็จรูปต้องถามไถ่ให้แน่ใจ ถ้าซื้อผิดกินผิด ให้จัดธูปขอขมาต่อชีวิตเขา สำนึกผิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สำนึกผิดต่อมโนธรรมสำนึกของตนเอง ขับรถชนสุนัข สุนัขถึงแก่ความตาย ( เพราะเขาวิ่งตัดหน้ามาให้ชนเอง ) ถ้าผลกรรมนี้ของสุนัขยังไม่หมด ชาติหน้าเขาจะต้องเกิดมาเป็นสุนัขอีก ถ้าผลกรรมนี้ของสุนัขนั้นหมดสิ้นแล้วชาติหน้าเขาจะได้เกิดกายมาเป็นคน
        ใช้เนื้อสัตว์เซ่นไหว้บูชา ภาวนาอธิษฐานขอลาภขอผล แก้บนด้วยบันเทิงลามกการเล่นหยาบคายเท่ากับให้ร้ายตัวเองไม่ทำร้ายเข่นฆ่ากายสังขาร อีกทั้งไม่ทำลายจิตวิญญาณเขา จึงต้องมีวาจาอ่อนโยน อนาทรต่อความทุกข์ร้อนของผู้อื่นด้วย
       














หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : อัตรายจากการกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/09/2010, 09:11
 
                                                  พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

                          ไม่ละการเบียดเบียนแล้วจะเป็นพุทธะได้อย่างไร  จะเรียกว่าเมตตาได้อย่างไร
          กินโรคเข้าไป กินอย่างไร เราไม่อยากจะเป็นพยาธิ  แต่เรากินเนื้อสัตว์ที่มีพยาธิเข้าไป  เป็นโรคพยาธิไหม ( เป็น )เราไม่อยากเจ็บป่วย แต่เอาตัวเราไปตากฝนตากแดดเป็นไหม ( เป็น ) เราไม่อยากที่จะปวดหลัง แต่ชอบนอนตามใจตนเองผิดท่าผิดทาง ถามว่าปวดหลังไหม ( ปวด ) เราไม่อยากเมื่อยขา ปวดเมื่อย  แต่เราชอบกินสัตว์ปีกเมื่อยไหม ( เมื่อย ) นี่เป็นสิ่งที่วิทยาการสมัยใหม่ได้ศึกษามาเรียบร้อย อาจารย์นั้นไม่ได้พูดอะไรเกินเลย โรคภัยเกิดจากการสั่งสมของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกิน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ กินเจอย่าเบียดเบียนคนอื่น ไม่เช่นนั้น อาจารย์จะเอาอะไรไปอ้างกับวิญญาณต่าง ๆ ให้เขาอภัยให้ ตอนนี้สบายแต่วันหน้าไม่รู้                           
                  จากผลการวิเคราะห์เนื้อสัตว์ขอวสถาบันโภชนาการ พบอันตรายที่สำคัญยิ่ง  5  ประการดังนี้ คือ
          1 . เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ  ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่า โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ ๆ ซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูง เช่น วัว ควาย หมู สัตว์จะเกิดความกลัวสุดขีด และพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต """ ในช่วงเวลานั้นชีวเคมีในตัวสัตว์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมา โดยเฉพาะ "" สารแอดรีนาลีน "" พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเลือดของเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว พิษนั้นก็ยังคงอยู่ต่อไป
         """ สารแอดรีนาลีน""" ก็พบในคนเราเช่นกัน ซึ่งจะหลั่งออกมามากในขณะที่คนเกิดอารมณ์โกรธเคียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด ฉะนั้น คนที่มีอารมณ์รุนแรง และตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เสมอ แก่และตายเร็ว ต่างไปจากคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า และอายุยืน
         สถาบันโภชนาการประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่า """ เนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่น ๆ มากมาย """ พบว่าหลังจากที่สัตว์ตายไป 2 - 3 ช.ม.เนื้อจะเป็นกรดมากขึ้นทุกขณะ """ กรดนี้คือน้ำเนื้อซึ่งมีฤทธิ์ไปกระตุ้นประสาทรับรสที่อยู่บนลิ้นทำให้คนกินรู้สึกว่าเนื้อมีรสชาดอร่อย """ ฉะนั้นผู้ที่ปรุงอาหารเนื้อจึงไม่นิยมนำเนื้อไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้เนื้อมีรสจืด "" กรดในน้ำเนื้อนี้มีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นจิตใจ และอารมณ์ ให้มีความรุนแรง ในราคะ โทสะ โมหะ
         ในเนื้อสัน 1 ก.ก.จะมีกรดยูริค อยู่ถึง 30 กรัม กรดยูริคในเนื้อมีสารยูเรีย ซึ่งจะเข้าไปสะสมในร่างกาย "" สารนี้เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้วไม่สามารถถูกทำลายได้ "" ยากแก่การขับถ่าย ส่วนที่ตกค้างก็จะถูกส่งไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จับเป็นผลึกอยู่ตามกล้ามเนื้อ ไขข้อ และกระดูก ทำให้เป็นโรคไต โรคเกาต์ โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ
          แพทย์พบว่า "" ไตของคนกินเนื้อ ต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า "" เพื่อขับสิ่งสกปรกและสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไปออกจากร่างกาย ในวัยหนุ่มสาวจะไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างไร  แต่เมื่ออายุมากขึ้น"" ไต "" ที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ไม่อาจจะทนไหว ทำให้เป็น "" โรคไตพิการ  ไตวาย  นิ่วในไต  โรคเกาต์  และโรคไขข้อ อันเนื่องมาจากการจับเป็นผลึกของกรดยูริคตามกระดูก """
          2 . สารเคมีในเนื้อ  นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้น ๆ เพื่อแยกประเภทนำบรรจุถุงเข้าตู้แช่ แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย  ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีก็จะกลายเป็นสีเทาอมเขียว  ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่า "" เป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้ ""
          ปัจจุบัน ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ """ ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโตทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว """ มีการฉีดเซรุ่ม ยาปฏิชีวนะต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำมักมีการต้านยา เมื่อเจ็บป่วยยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล  เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมาก ๆ แมลงเหล่านั้นก็จะมีความต้านทานยามากขึ้นเรื่อย ๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะเพิ่มทวีจำนวนมากขึ้น ๆ 
          นักวิทยาศาตร์อังกฤษและอเมริกา พบว่า คนกินเนื้อเป็นประจำ แบคทีเรีัยในลำใส้เล็ก จะทำปฏิกิริยากับน้ำย่อยของร่างกาย เกิดสารก่อมะเร็งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำใส้
          แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดสาร "" แมททิลคลอเรนทีน "" สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย ในเนื้อย่าง 1 ก.ก. จะมี "" สารโซไพริน "" เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 600 มวน ทำให้คนเป็นมะเร็งได้มีการพิสูจน์พบว่า "" ในเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าที่ฉีดพ่นด้วย ดี.ดี.ที. ก็จะพบสาร ดี.ดี.ที.อยู่ในเนื้อวัวนั้นเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่ง "" สาร ดี.ดี.ที. นี้สามารถทำให้เป็นหมันมะเร็ง และโรคตับ จากการทดลองของมหาวิทยาลัยไอโอวา ยืนยันว่า "" สารดี.ดี.ที. ในร่างกายของคนส่วนใหญ่ได้รับมาจากเนื้อสัตว์ นักวิทยาศาสตร์ พบว่า เนื้อสัตว์สามารถเก็บกักสาร ดี.ดี.ที.ไว้ได้เป็นปริมาณมากกว่า พวกพืชผักผลไม้ ใบหญ้าถึง 13 เท่า """ ปัจจุบันเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มาก ฉะนั้นผักที่มีใบห่อหุ้มเป็นชั้น ๆ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผู้ปรุงควรดึงเปลีอกชั้นนอกออกทิ้งไปสัก 2-3 ใบ แล้วนำไปล้างในน้ำที่ละลายด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ผักที่เก็บกักปริมาณยาฆ่าแมลงไว้มาก เช่น กะหล่ำดอก ควรล้างให้นาน โดยปล่อยน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพื่อล้างยาฆ่าแมลงออกให้หมดก่อนนำไปปรุงอาหาร
          3 . โรคจากสัตว์   สัตว์เลี้ยงต่าง ๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดิน กินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและเป็นโรคต่าง ๆ เสมอในชนบท เมื่อ หมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็ยังนำไปปรุงอาหาร โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วยโรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายได้ด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง
         ในปี พ.ศ.2504 วารสารทางการแพทย์อเริกา รายงานว่า "" อาหารธัญพืชทั้งหมดสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ถึง 90 - 97 %  นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการ กล่าวว่า กากและเส้นใยของอาหารพืช ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้  "" ด๊อกเตอร์ยูดี รีจีสเตอร์  หัวหน้าภาควิชาโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโรมาลินดา ในรัฐแคลิฟอเนียร์ ได้ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานแต่อาหารประเภทถั่ว และ ธัญพืชต่าง ๆ ปรากฏว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอล ลดลง ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังคงกินเนยในปริมาณที่มากอยู่ก็ตาม
         อาหารและไขมันจากพืช ไม่มีสารคลอเรสเตอรอลอยู่เลย ปัจจุบันจึงนิยม ประกอบอาหารด้วยน้ำมันพืชเท่านั้น ในเนื้อสัตว์ยังมีธาตุโซเดียมสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคหมดกำลังวังชา โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน  ผัก ผลไม้สด ๆ ซึ่งเก็บมาใหม่ ๆ นั้นที่มีอานุภาพจะต่อสู้ โรคได้หลายชนิด การออกกำลังกายประกอบกับการหายใจการนอนหลับผักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์ น้ำ และแสงแดดดีเหล่านี้ประกอบกันทั้งหมดจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้
         4 . การเน่าเสียเร็ว  ในทันทีที่สัตว์ตายลงร่างกายจะเปลี่ยนแปลง สารโปรตีนในตัวจะจับกันเป็นก้อนพร้อบกับปล่อยเอ็นไซม์ที่มีพิษออกมาทำให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว เนื้อสัตว์ที่วางขายในตลาดเมื่อซื้อไปแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นอีกลองนึกดูว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงเป็นอาหารให้เรารับประทาน หลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เนื้อก็จะเริ่มบูดเน่าอยู่ภายในร่างกายขของเรา ต้องใช้เวลา 3-5วัน จึงจะถูกขับถ่ายออกมาได้หมด
         5 . การขับถ่ายไม่สะดวก  เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย อาหารเนื้อใชัเวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ระหว่างกากย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ทีนิยมรับประทานอาหารเนื้อมีอุจจาระแข็งแห้ง ถ่ายลำบาก มักเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่างเช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น
         การรับโปรตีนและไขมันเข้าสู่ร่างกายมาจากการกินเนื้อสัตว์จะทำให้อวัยวะร่างกายถูกบั่นทอนไปเรื่อย ๆ เพราะเนื้อมีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะไปละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาล่องลอยในกระแสเลือด และไปจับตัวในที่ที่เคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ตามข้อต่าง ๆ อย่างข้อเท้า ข้อสะโพก ข้อสันหลัง ข้อนิ้วมือ เกิดผลเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม
        สาเหตุของโรคความดันสูง  โรคเบาหวาน  โรคเกาต์  โรคหืดหอบ  และโรคมะเร็ง มีสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพราะการย่อยโปรตีนต้องอาศัยการทำงานของตับอ่อน ซึ่งตับอ่อนแบ่งเซลล์ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือกลุ่ม"" เบต้าเซล "" ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน ( InsuIin ) ซึ่งจะหลั่งออกมาเมื่อเรากินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ ( enzyme ) เพื่อมาช่วยย่อยโปรตีน ดังนั้นคนที่กินเนื้อมากเกินไป ย่อมเป็นการบังคับให้ตับอ่อนทำงานหนักมากขึ้นจนเกินกำลังทำงาน การทำงานของตับอ่อนลดน้อยลง  จนก้าวเข้าสู่ระยะการสร้างอินซูลินไม่พอ และกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด
   
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : อัตรายจากการกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/09/2010, 10:55


                                         พระโอวาทท้าวสักกะเทวราช

วิทยาศาสตร์ยืนยันเป็นหลักการ
คำกล่าวขานใครไม่เชื่อพิเคราะห์ได้
วันข้างหน้าโลกเรานี้จะเปลี่ยนไป
คงเหลือไว้แต่คนดีที่กินเจ
พืชผักฉุนทั้งห้าทุอาหาร
ถูกกวาดกว้านสิ้นรากไม่เหลือหลอ
มิใช่เราพระผู้พี่จะลวงล่อ
วิทยาศาสตร์รอให้พิสูจน์เป็นบทยาว
ฆ่ากินสัตว์ต้ดชีวิตอยากคิดหวาน
ไม่เชื่อท่านถึงวันนั้นจะได้เห็น
คนปากแข็งกายเหล็กไหลเถียงไม่เว้น
ใครหมกเหม็นกายโสมมกวาดจมไป
หากไม่เป็นดังว่าข้า ฯ เสียสัตย์
ยอมถูกตัดลดตำแหน่งจากพระแม่ ฯ
ฟ้าดินเวียนผันเปลี่ยนไปข้ารู้แท้
กวนอูแม้จะหาญกล้าน้ำตานอง
น้ำตานองเพราะเวไนยไม่รู้ความ
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/09/2010, 09:48
                                        พระโอวาทท่านมหาเทพหลันไฉ่เหอ  เมตตา        

อันว่าเภทภัยนั้นเกิดขึ้นจากมนุษย์                     และโรคภัยนั้นก็เข้าทางปาก
เหมือนกับสิ่งที่ท่านกินเข้าไป                          เป็นสิ่งที่สร้างโรคภัยให้
พวกผู้ชายก็อาจจะสูบบุหรี่เอาควันเข้าไป             กินเหล้าเข้าไป เป็นสิ่งดีหรือไม่ ( ไม่ดี )
อาหารที่กินเข้าไปท่านเคยสังเกตุหรือไม่ ( ไม่ )    กินตามความเคยชินและคุ้นเคย
แต่เวลาเรียกให้ท่านกินเจ                              ท่านบอกว่าต้องดูสารอาหารเสียก่อนใช่หรือเปล่า ( ใช่ )
ทุกวันนี้เคยดูไหมว่าสิ่งที่ตนเองกินเข้าไปมีสารอาหารหรือเปล่า  มิหนำซ้ำสิ่งที่พวกท่านกินเข้าไป
ยังสร้างสิ่งที่ไม่ดีอยู่ในร่างกายอีกมากมายด้วย       มนุษย์สมัยนี้จึงต้องคิดวิธีการล้างพิษขึ้นมา
                                      กินพิษเข้าไป จึงต้องคิดวิธีล้างพิษ

                            พระธรรมเทศนา ดร.โลกนาถภิกขุ

            ในเรื่องอาหารนี้ ภิกษุเลือกอะไรไม่ได้ แต่อุบาสกอุบาสิกาเลือกได้ทุกประการ    ถ้าภิกษุบริโภคเนื้อสัตว์ ก็เป็นกรรมที่ไม่ได้เจตนา ภิกษุเลือกชนิดอาหารที่รับประทานไม่ได้ เมื่อภิกษุบริโภคเนื้อสัตว์บ้าง ก็บริโภคด้วยความไม่เต็มใจยิ่ง แต่ถ้าอุบาสกอุบาสิกาเสพเนื้อสัตว์ โดยมากเป็นกรรมที่มีเจตนา เพราะอุบาสกอุบาสิกาเลือกชนิดอาหารได้ และมีเงินจะซื้ออาหาร อย่างไรก็ได้ตามใจชอบ ผัก หรือเนื้อสัตว์
            เพราะฉะนั้น เรื่องของภิกษุจึงต่างกับอุบาสกอุบาสิกา ภิกษุที่แท้จริงนั้นหวังจะบริโภคแต่ผัก เพราะฉะนั้น ฆราวาสผู้ประสงค์ที่จะได้บุญมาก ต้องถวายผักแก่ภิกษุ อย่าถวายเนื้อสัตว์เลย """ ผู้ที่ถวายเนื้อสัตว์แก่ภิกษุนั้น ได้บุญน้อยหรือไม่ได้เลยฆราวาสผู้ถวายอาหารที่เป็นผัก แก่ภิกษุจะได้บุญมากมายและบุคคลในชาตินี้ต้องทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะชาติก่อนถวายเนื้อสัตว์และสุราแก่พระเณร """
           การรับประทานเนื้อสัตว์นั้น ทำให้มีความสงสัย แม้เราจะไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ว่าเนื้อนั้นไม่ได้ทำสำหรับเราโดยเฉพาะก็ดีแต่เราก็สงสัยอยู่เสมอเนื้อสัตว์จะต้องทำเพื่อบริโภคเสมอไป ฉะนั้น """ การรับประทานเนื้อสัตว์ก็ต้องผิดศีล """ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นทรงสั่งสอนให้รับประทานผักโดยทางอ้อม ทำไมไม่สอนโดยตรงเล่า ก็เพราะว่าหลักทุกหลักต้องมีข้อยกเว้น สมเด็จพระศาสดาทรงเป็นบรมมหาปราชญ์แห่งปราชญ์ทั้งหลาย
           ทำไมจึงมีชีวิตอยู่ในความสงสัยตลอดไปเล่า ?. """ เป็นผู้เสพแต่ผักเสียเถิด แล้วความสงสัยก็จะหมดสิ้นไป จะได้อยู่ในทางที่ปราศจากภัยจะได้มีชีวิตอยู่โดยจิตใจบริสุทธิ์ """
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/09/2010, 05:43
         การงดเว้นเนื้อสัตว์ ซึ่งหมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตรงกับคำในภาษษอังกฤษว่า เวเจแทเรี่ยมนิซึม ( Vegetarianism ) มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คือ เวเจตัส ( Vegetus ) แปลว่า สมบูรณ์ดีพร้อมสดชื่นเบิกบาน หรือมีความหมายว่า ผู้ซึ่งละเว้นจากการนำสัตว์ทุกชนิดมาเป็นอาหาร ทั้งนี้อาจรวมหรือไม่รวมถึง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม
     :) เพื่อนบางคนบอกว่า ถ้าคนเรากินเจจะอยู่ในสังคมลำบาก เพราะร้านขายอาหารเจมีน้อย ยากต่อการหากิน และเวลาออกสังคมก็ล้วนเป็นอาหารคาวทั้งนั้น ถ้าเช่นนั้น นักธุรกิจ ข้าราชการ พ่อครัว แม่ค้า เสมือน ครูบาร์อาจารย์  ตลอดจนนักเรียนก็สามารถกินได้เช่นคนปกติเหมือนกัน ขอเพียงปฏิญาณตนว่าเราจะไม่เบียดเบียนสัตว์ เราจะไม่กินเนื้อสัตว์ เวลาเข้าร้านอาหาร เราก็สั่งอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ก็ได้ ขอให้คนขายใส่ผัก ถั่วงอก เต้าหู้ แทนก็ได้ และใช้น้ำมันพืชเท่านั้น เวลาออกสังคม พวกเรากินเฉพาะผักหรือชาวบ้านมักเรียกกันว่า "" เจเขี่ย ๆ เนื้อออก "" ทำแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาหารกินนอกบ้าน
        นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งได้พบว่า ถ้าคนเรากินพืชผักจะมีอายุยืนยาวกว่า แข็งแรงกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ ทั้งนี้เพราะลำใส้ของคนมีความยาว 20 กว่าเมตร ซึ่งยาวกว่าลำใส้ของสัตว์กินเนื้อ เช่น สิงโต  ลำใส้ยาวจะทำให้เนื้อสัตว์ที่ตกค้างนาน ๆ เข้าจะเกิดการบูดและเกิดปฏฺกิริยาและเป็นเหตุที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : คุณค่าของอาหารธรรมชาติตามหลักโภชนาก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/09/2010, 07:34

         อาหารธัญพืชผัก และผลไม้ เป็นอาหารธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์ จากการศึกษาลักษณะทางกายวิภาค พฤติกรรมจิตสำนึกพื้นฐาน บ่งบอกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารธัญพืช ผัก ผลไม้
        การบริโภคอาหารพืชผักจากธรรมชาติ ไม่เป็นการทำลายล้างผลาญ ตรงกันข้ามจะเป็นการช่วยส่งเสริมธรรมชาติ ให้แพร่ขยายทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผักบางชนิด ยิ่งเก็บ ยิ่งเด็ด มารับประทานก็จะยิ่งแตกยอดอ่อนออกมาใหม่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผลไม้ที่กินเนื้อแล้วยังคงมีเมล็ดให้นำไปปลูกต่อไป พืชบางอย่าง เช่น ฝรั่ง มะเขือ และแตงโม ในผลหนึ่ง ๆ จะมีเมล็ดอยู่มากมาย เมื่อมนุษย์และสัตว์ยิ่งกินมาก ก็ยิ่งแพร่พันธุ์ขยายออกไปมาก
                                                        :)  คุณค่าอาหารตามหลักโภชนาการ
        ในด้านโภชนาการได้รับการยืนยัยจากนักโภชนาการแล้วว่า อาหารธรรมชาติ หรืออาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์ใด ๆ สามารถให้คุณประโยชน์ได้ครบทั้ง 4 หมู่  ตามหลักโภชนาการ
   :)   หมู่ที่ 1 .แป้ง และ น้ำตาล  ( คาร์โบไฮเดรท ) ได้จากข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี เผือก มัน พืชเป็นหัวทุกชนิด อาหารแป้งและน้ำตาล จะให้พลังงานและความร้อน ทำให้มีพละกำลังในการปฏิบัติงานในชีวิตประจำวัน ถ้ารู้สึกอ่อนเพลีย ให้รับประทานผลไม้สด หรือน้ำผลไม้ น้ำอ้อย จะทำให้สดชื่น ควรรับประทานข้าวที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ  น้ำตาลที่ไม่ฟอกสี เช่นน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลปีบ น้ำตาลมะพร้าว จะให้ประโยชน์ยิ่งกว่า
   :) หมู่ที่ 2 . โปรตีน  ได้จากถั่วต่าง ๆ  เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง พบว่าเป็นพืชที่มีโปรตีนสมบูรณ์ ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำนมถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) ฟองเต้าหู้ เต้าเจี้ยว ซีอิ้ว ฯลฯ เหล่านี้ล้วนให้คุณค่าทางอาหารเทียบเท่าเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ โปรตีนในอาหารธรรมช่ติยังได้จาก ข้าวกล้อง งา เห็ด เมล็ดในของพืช เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกเกาลัด เป็นต้น
       โปรตีนช่วยซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยง่าย อาหารเจ สามารถให้โปรตีนที่ร่างกายต้องการครบถ้วน โดยการนำพืชผัก 2-3 ชนิด มารับประทานรวมกันในแต่ละมื้อ เช่น ข้าว ถั่ว และผัก หรือ ข้าวและเต้าหู้ หรือข้าวโพดและถั่ว หรือนมขนมปัง ผัก เนยร่วมกับรับประทานงาเสริม ก็เป็นการเพียงพออย่างยิ่งแล้ว โปรตีนที่ได้จากพืชผักไม่เสี่ยงต่อพิษภัยและโรคต่าง ๆ อันจะเกิดจากการกินเนื้อสัตว์
   :) หมู่ที่ 3 . ไขมัน  ได้จากน้ำมันพืช นม เนย เมล็ดผลไม้ ถั่ว งา ผู้ที่ปรุงอาหารควรใช้น้ำมันพืชที่ทำจากถั่วเหลือง รำข้าว เพราะมีคุณประโยชน์สูง ไขมันนอกจากจะให้พลังงาน และความร้อนแก่ร่างกาย เช่นเดียวกับหมู่แป้งและน้ำตาลแล้วยังมีกรดต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
  :) หมู่ที่ 4 . วิตามินและเกลือแร่ ได้จากผลไม้ ข้าว ถั่ว งา ผักสด ๆ แต่ละชนิด ให้วิตามินและเกลือแร่ไม่เหมือนกัน วิตามินและเกลือแร่สำคัญมาก เพราะช่วยในการสงเคราะห์สารเคมีต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นไปอย่างปกติ
  :) ประการสุดท้ายที่สำคัญ คือ น้ำ  ควรดื่มน้ำสะอาดที่บริสุทธิ์ อย่างน้อยให้ได้วันละ 8-10 แก้ว จะทำให้เซลล์ของร่างกายสดชื่น ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียได้ดี
  :) ที่สำคัญคือต้องมีผักทุกมื้อ ยิ่งเราใช้ชีวิตอยู่ในรถยนต์ อยู่ในห้องแอร์ ต้องกินผัดสลัดทุกมื้อ เพราะเราจะได้คลอโรฟิล ซึ่งจะให้เม็ดเลือดแดงใหญ่ขึ้น จะทำให้แบกออกซิเจนได้มากกว่าเดิม พอเราได้อ๊อกซี่ฮีโมโกลบินเยอะการกำจัดไขมันหลงเหลือต่าง ๆ เปลี่ยนรูปเป็นพลังงาน เราจะได้เยอะขึ้น ฉะนั้น คนเมืองตื่นเช้ามา ถ้าเราไม่กินผักสลัด ก็คือเอาผักมาปั่นแล้วดื่มไปเลย เร็วที่สุด

หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง : ใยอาหาร ( FIBER )
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/09/2010, 08:58

           :)  ใยอาหาร ไม่ใช่ สารอาหาร   แต่ก็มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพของคนเรา  ใยอาหาร หมายถึง สารจากพืชที่เมื่อคนรับประทานแล้วน้ำย่อยไม่สามารถย่อยได้ สารที่จัดอยู่ในใยอาหาร ได้แก่ เซลลูโลส เพกติน และ ลิกนิน สารทั้ง 4 ชนิด ที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของผนังเซลล์พืชทุกชนิด เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่ว ผัก และผลไม้ต่าง ๆ
           :)  หน้าที่ของใยอาหาร
1 .  ใยอาหารจะเพิ่มน้ำหนักอุจจาระและจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระที่เป็นเช่นนี้เพราะ น้ำย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กย่อยใยอาหารไม่ได้ ใยอาหารจะผ่านต่อไปถึงลำไส้ใหญ่  ใยอาหารสามารถอมน้ำในลำไส้ได้ ทำให้น้ำหนักของใยอาหารเพิ่มได้ถึง4 ถึง 6 เท่า มีผลทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวบ่อยขึ้นและน้ำหนักอุจจาระเพิ่มขึ้น
2 .  เนื่องจากใยอาหารมีผลทำให้อาหารผ่านจากปากถึงทวารหนักในอัตราเร็วขึ้น ดังนั้นเวลาของการสัมผัสระหว่างสารพิษ รวมทั้งสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในอาหารกับเยื่อบุลำไส้จะน้อยลง โอกาสที่สารพิษจะทำลายเยื่อบุลำไส้เป็นไปได้น้อย ด้วยเหตุนี้การับประทานใยอาหารช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ 
3 .  ใยอาหารสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้  โดยใยอาหารจับเอาคอเลสเตอรอลไว้ ทำให้ปริมาณของคอเลสเตอรอลที่จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยลง
4 .  นอกจากนี้ใยอาหารยังจับเอากรดน้ำดีไว้ด้วย ในภาวะปกติของร่างกายสร้างคลอเลสเตอรอลได้ และเผาผลาญคอเลสเตอรอลให้อยู่ในสภาพของกรดน้ำดี ( BILE  SALT ) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการย่อยและดูดซึมไขมันภายในลำไส้ เมื่อทำหน้าที่แล้วกรดน้ำดีจะถูกดูดซึมที่ส่วนปลายของลำไส้เล็กกลับเข้าสู่ร่างกาย ตับจะเผาผลาญคอเลสเตอรอลเป็นน้ำดีไว้แล้วขับถ่ายออกไปกับอุจจาระ จึงทำให้เกิดการเผาผลาญคอเลสเตอรอลมากขึ้น เพื่อรักษาระดับเกลือน้ำดีในลำไส้ที่จำเป็นต่อการย่อยและดูดซึมไขมัน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ มีผลระดับคอเลสเตอรอลได้ ดังนั้นการรับประทานใยอาหารจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งเท่ากับเป็นการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด และเส้นเลือดแข็งตัว
                :)  ประโยชน์ของใยอาหาร
1 . ทำให้ลำไส้บีบตัวแรงขึ้น ลดระยะเวลาที่อาหารและของเสียถูกเก็บกักในลำไส้ใหญ่ลง เป็นการลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
2 .  ลดความแข้มข้นของสารพิษในอาหาร
3 .  ช่วยลดแบคทีเรียในลำไส้ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผนังลำไส้
4 .  ไขมันในลำไส้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อยลง
5 .   ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
6 .  ช่วยจับสารโลหะหนัก แล้วขับออกไปกับอุจจาระ
7 .  ช่วยดูดซับสารพิษจากยาและสารปนเปื้อนในอาหาร
8 .  ช่วยทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น ช่วยควบคุมน้ำหนักได้
หัวข้อ: Re: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: Lotus_white ที่ 26/12/2010, 12:38
 :Dน่ายินดี ...... น่ายินดี.... ;D

:Dน่ายินดี ...... น่ายินดี.... ;D
หัวข้อ: ข้อควรรู้และเข้าใจการกินเจอย่างถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/03/2011, 17:11

        ธรรมชาติได้สร้างพืชพันธุ์หลากหลายชนิดให้เราได้นำไปใช้ประโยชน์ อย่างผักที่มีอยู้แต่ในละภาคนั้น เราสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้นานาชนิด และนอกจากเราจะได้รับความอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่เราอีกด้วย  เป็นการดีให้เราได้รู้จักกับผักต่าง ๆ  การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายแล้วละ่ก็ จะช่วยให้ได้รับคุณค่าในการรักษาโรค  ผักแต่ละชนิดให้คุณค่าต่อร่างกาย เพราะผักนั้นมีส่วนที่ช่วยบำรุงร่างกายทั้งภายในและภายนอก อย่างเช่น มะกรูด ที่เรานำมาทำเป็นยาสระผม เป็นยาช่วยขับลม แก้ไอ โหระพา ใช้พอกบริเวณที่ถูกแมลงเป็นพิษกัดต่อย ช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ  หรือถั่งงอก ที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน หากกินเป็นประจำจะทำให้ดูอ่อนเยาว์  อย่าลืมบอกต่อให้คนใกล้ชิดคุณ หรือคนรอบข้างคุณหันมากินผัก และทานเจ เช่นเดียวกับคุณ