-
| ชื่อหนังสือ | ข้อเตือนใจ คุกสวรรค์ | | พระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า | | . | ISBN | : | ผู้เขียน | : | จัดพิมพ์โดย | : www.mindcyber.com | ขนาดรูปเล่ม | : 130 x 190 x 12 มม. | จำนวน | : 235 หน้า | ชนิดกระดาษ | : กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม | สำนักพิมพ์ | : | เดือน/ปีที่พิมพ์ | : | ราคา | : แจกฟรี |
|
:: เนื้อหาโดยสังเขป
ในหนังสือประกอบไปด้วยพระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า เปิดเผยความลับสภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์สามชั้น, ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์, ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน,ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ และความในใจของพญาอสูรกาย
:: สารบาญ
สภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์
คุกสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง
คุกสวรรค์ชั้นที่สอง
คุกสวรรค์ชั้นที่สาม
พระโอวาทผู้เฒ่าคุณฟ้า นำญาณเดิมแสดงหลักฐาน
ประจักษ์หลักฐาน สภาพความเป็นจริงในคุกสวรรค์
มิจฉาเอนเอียงเข้าร่วมบำเพ็ญ ตลอดชีวิตขังคุกสวรรค์
ผิดต่ออาจารย์และพระโองการฯ
ต้องถูกเคี่ยวกรำยังคุกสวรรค์
ยึดมั่นในทิฐิของตนเอง จึงปิดบังจิตญาณอันแท้จริง
ไม่รู้จักถนอมบุญวาสนา ตัวเองจึงถูกขังคุกสวรรค์
ประจักษ์หลักฐาน สภาพความเป็นจริงในสามด่าน
จิตใจไร้เมตตากรุณา ยากที่จะสำเร็จในมรรคผล
มนุษยธรรมไม่บรรลุ ต้องขัดเกลาอยู่ที่จิ่วหยังกวน
นิสัยอารมณ์ไม่ได้แก้ไข จึงเกิดไฟเผาผลาญบุญกุศล
จิตเดิมของตนไม่กระจ่างแจ้ง
เมื่อเป็นวิญญาณจึงยากบำเพ็ญ
ถือศีลเจได้ไม่บริสุทธิ์ พลาดต่อวาระโอกาสของตน
เก็บสถานธรรมเลิกราเสียก่อน ผิดบาปที่มียากให้อภัย
ประจักษ์หลักฐาน สภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ
เมื่อมีความคิดผิดพลาดคลาดเคลื่อน
ความดีที่ทำมาก็สูญเปล่า
ผิดต่อปณิธานให้ร้ายธรรม
ยากกลับคืนบ้านเดิมแดนนิพพาน
เมื่อยึดถือตนจึงลำพองตัว ไปยังนรกฝึกเคี่ยวกรำธรรม
ตั้งปณิธานแล้วไม่บรรลุ ถูกขังนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ
ความในใจของอสูรกาย
(๑) ทดสอบคน-ผี-เทพในธรรมกาลยุคขาวให้ตกหล่น
(๒) ธรรมะจริง บำเพ็ญจริง ทดสอบจริง
(๓) หนึ่งความคิดเป็นมาร ลุ่มหลงตลอดชาติ
ยาสมานจิต ของพระอาจารย์ไร้ขอบเขต (อู๋จี้)
รายชื่อผู้ร่วมบริจาคพิมพ์หนังสือเล่มนี้
:: หมายเหตุ
ติดต่อขอรับหนังสือได้ที่ โครงการหนังสือธรรมะแจกฟรี http://shopping.mindcyber.com
-
คำนำ
ด้วยความเมตตาของเบื้องบน ได้เปิดเผยความลับของคุกสวรรค์ให้ผู้บำเพ็ญธรรมได้ทราบ เพื่อส่งเสริมการบำเพ็ญธรรมให้มีความสำรวมกายใจมากยิ่งขึ้น และยังเปิดโอกาสให้ผู้เดินผิดทางได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น หากทำอย่างนี้ได้ คุกสวรรค์ก็จะไม่ใช่สิ่งที่น่าห่วง
คุกสวรรค์ สามด่านเก้าทวารของพุทธาลัย และนรกภูมิมีเครื่องมือลงโทษอย่างพร้อมสรรพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกลั่นกรองจิตใจให้ใสงามนั่นเอง
ปุถุชนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น จิตญาณถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในร่างกายมีการตอบสนองของเหตุต้นผลกรรมได้ สามารถตัดสินใจได้เองอย่างสมบูรณ์ มีความคิดอิสระ มาบำเพ็ญแก้ไขความคิดจิตใจที่ไม่สอดคล้องต่อ "มัชฌิมาธรรม" และอุปนิสัยอารมณ์ของตนเองได้ ซึ่งเป็นการดีที่ได้กายเป็นคน
ผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จึงควรทะนุถนอมโอกาสเวลาที่ยังคงมีกายสังขารนี้อยู่ใช้ประโยชน์จากกายนี้อย่างดีงาม หมั่นตรวจสอบพิจารณาความคิดจิตใจของตนเสมอๆ ย้อนมองส่องตนทุกขณะเวลา จึงจะไม่ผิดต่อการที่ได้มาเกิดกายบนโลก ไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อสูญสิ้นร่างกายคนหมื่นกัปป์ไม่อาจฟื้นคืน ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก!
-
เคราะห์ภัยและโชคดีไม่มีประตู เพียงแต่คนไขว่คว้าเข้าหาตัวเอง คนเราคือผู้ที่มีร่างกาย (สังขาร)และจิตใจ(จิตญาณ) ร่วมกันเป็นหนึ่ง การที่คนตายลงจิตญาณออกจากร่างกายกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติ จึงมีคำกล่าวที่ว่า "ญาณอยู่คนอยู่ ญาณไปคนม้วย"
ในคัมภีร์ทางสายกลาง(จงยง)ได้กล่าวว่า "ชีวิตจากฟ้าเรียกว่าจิตญาณ" จิตญาณจึงเป็นสิ่งที่มาจากพระอนุตตรธรรมมารดา เมื่อลงมาสู่โลกมนุษย์ ก็ถูกอารมณ์เจ็ด ตัณหาหก ยั่วย้อมแปดเปื้อนเอาจึงไม่สามารถกลับคืนสู่โฉมหน้าเดิมต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในชาติกำเนิดสี่ ภูมิวิถีหก
ในหนังสือประวัติศาสตร์สื่อซู บันทึกไว้ว่า "บรรจบกาลชวดเปิดฟ้า บรรจบกาลฉลูเบิกดิน บรรจบกาลขาลเกิดคน" มนุษย์ได้เวียนว่ายตายเกิดมาหกหมื่นกว่าปีแล้ว
สมัยบรรพอริยกษัตริย์ฝูซี เป็นยุคเขียว สีเขียวเป็นสีที่สำคัญอุทกภัยเกิดจากน้ำมีความรุนแรงที่สุด อีกประมานสามพันปีเป็นยุคแดง สีแดงเป็นสีที่สำคัญ อุทกภัยเกิดจากไฟ(อัคคีภัย)ที่รุนแรง ปัจจุบันยุคขาว สีขาวจึงเป็นสีที่สำคัญ เป็นยุคที่สารพิษและเชื้อโรครุนแรงร้ายกาจ อุทกภัยเกิดจากวาตภัย(ลม) เราจึงสามารถบำเพ็ญในครัวเรือนร่วมกันได้สามี - ภรรยาและลูกพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อให้หลักสัมพันธ์และความดีงามในครัวเรือนสมบูรณ์
ในบทกลอนคู่ตรุษจีนมักเขียนไว้ว่า "ฟ้าสันติ ดินสันติ สามยุคเบิกสันติ" เวลานี้คือความหมายนี้นั่นเอง บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญที่ใจ ใจเดิมดีงาม ใจเด็กทารกบริสุทธิ์ ใจธรรม แต่เมื่อลงมาเกิดกายบนโลกแห่งการเปรียบเทียบ คู่แข่งขันและการแบ่งแยกเป็นสภาวะตรงกันข้ามแล้วจึงเปลี่ยนเป็นใจคน มีดีมีชั่ว สภาวะที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย และก่อประโยชน์แต่ตนเองรู้แต่ตนเองไม่รู้ว่ามีผู้อื่นจึงกลายเป็น"ใจเลือดใจเนื้อ"ซึ่งได้ทำแต่ความชั่วช้า
ญาติธรรมในอาณาจักรอนุตตรธรรมเป็นเพราะมีพื้นฐานของการบำเพ็ญบ่มเพาะมาก่อนแล้วสามชาติ จึงได้รับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์นั่นเองพระอาจารย์นำพาเข้าสู่ประตูแต่การบำเพ็ญอยู่ที่แต่ละคน เมื่อได้รับรู้แล้วแต่ไม่บำเพ็ญหรือยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ความแปดเปื้อนที่มาเกาะติดอยู่ในจิตใจ ยังไม่ได้กำจัดตัดทิ้งให้สะอาดหมดจดเมื่อกลับคืนไปยังพุทธาลัยแล้วก็จะต้องไปผ่าน"สามด่านเก้าทวาร"หรือถูกคุมขังอยู่ที่ "คุกสวรรค์" เพื่อบำเพ็ญขัดเกลากันต่อบางคนยังถูกตีให้ไปลงยัง "นรกภูมิ"เพื่ออาศัยการลงทัณฆ์และเครื่องมือลงโทษต่าง ๆ มาขัดเกลาจิตญาณอีกที เหมือนน้ำที่สกปรกเมื่อผ่านการกลั่นกรองแล้วกลับคืนสู่สภาวะสะอาดใสได้เหมือนเดิม คุกสวรรค์ สามด่านเก้าทวารของพุทธาลัยและนรกภูมิมีเครื่องมือลงโทษอย่างพร้อมสรรพที่ใช้ในการกลั่นกรองจิตใจให้ใสงามนั่นเอง
เคราะห์ภัยและโชคดีไม่มีประตู เพียงแต่คนไขว่คว้าเข้าหาตัวเอง นั้นก็คือความหมายอย่างนี้เอง ปุถุชนที่มีชีวิตอยู่นั้นจิตญาณถูกกำจัดขอบเขตอยู่ในร่างกายสามารถยึดการตอบสนองของเหตุต้นผลกรรมได้ตัดสินใจมีความนึกคิดอิสระมาบำเพ็ญแก้ไขความคิดจิตใจที่ไม่สอดคล้องต่อ"มัชฌิมาธรรม"และอุปนิสัยอารมณ์ของตนเองได้ นี่เป็นความโดดเด่นของ"ยากที่จะได้กายเป็นคน" ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย จึงควรถนุถนอมโอกาสเวลาที่ยังมีกายสังขารนี้อยู่ ใช้ประโยชน์จากกายนี้อย่างดีงามหมั่นตรวจสอบความคิดจิตใจของตนเสมอ ๆย้อนมองส่องตนทุกขณะเวลาจึงจะไม่ผิดต่อการที่ได้เิกิดกายบนโลกเมื่อสูญสิ้นร่างกายคนหมื่นกัปไม่อาจฟื้นคืนซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ขอให้ถือว่าเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกันเถิด
-
พระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า
จำนวนโลกา ที่อุบัติมา นับไม่ถ้วนชัด
เวไนย์สัตว์ สบกับทุกข์ภัย มากมายเช่นนี้
คุมคุกสวรรค์ กฏเหล็กที่นั่น ไร้ความปราณี
เผยความลับนี้ เพื่อร่วมช่วยงาน เก็บญาณสมบูรณ์
เนื่องจากทุกคนมีบุญสัมพันธ์จึงได้อยู่ร่วมกัน จึงได้ร่วมกันฟังอริยธรรม ที่พุทธสถานนี้ได้ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกับทุกคนที่นี่ พวกเจ้าคงรู้สึกแปลกใจที่ผู้เฒ่าคนหนึ่งถือไม้เท้าแล้วยังเดินเอวงอ ๆ เราก็คือ "ผู้เฒ่าคุณฟ้า" (เทียนเต๋อเหล่าเหยิน)ใจของทุกคนได้โบยบินออกไปภายนอกหรือเปล่า อย่าได้คิดว่าฉันมีความเมตตามากที่จริงแล้วฉันปฏิบัติงานใหญ่ จากบทกลอนที่พวกเจ้าได้ดู ฉันเองดูแลควบคุมอะไร ? ในเมื่อมีนรก ก็ย่อมมีคุกสวรรค์ด้วย
นรกมีไว้คุมขังคนชั่ว คุกสวรรค์มีไว้คุมขังผู้บำเพ็ญที่มีความผิดบาป มีผู้บำเพ็ญมากมายเมื่อบำเพ็ญก็ต้องไปถึงคุกสวรรค์ที่ฉันดูแลอยู่ พวกเจ้าที่อยู่ที่นี่เมื่อกลับคืนไปแล้วจะไปพูดคุยกับฉันไหม ? หรือจะไปดื่มชากับฉันไหม ? ฉันจะเปิดเผยความลับสวรรค์ให้พวกเจ้ารู้กันดีไหม ? ได้ยินเรื่องคุกสวรรค์อยู่บ่อย ๆ แต่รู้ไหมว่าวิญญาณบาปที่ได้มาปรากฏกายนั้นบอกแต่เพียงว่าได้รับความทุกข์ ทั้งหนาว ทั้งร้อน ฉันหวังว่าพวกเจ้าจะนำเรื่องเหล่านี้ไปบอกเล่าให้ผู้บำเพ็ญอื่น ๆ ฟังอย่าได้ละเมิดกฏของฟ้า แล้วกระทำผิดพลาด แม้ความผิดบางอย่างจะไม่ได้เป็นความผิดมหันต์ก็ตาม แต่ผู้ที่ทดสอบให้ผู้อื่นตกหล่น ผู้ที่ก่อกรรมปาก ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญจริง ผู้ที่มีนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดี ผู้ที่นำเงินของส่วนรวมไปใช้ในเรื่องส่วนตัว ฯลฯ แต่ละอย่าง ๆ ไม่อาจหลุดลอดไปจากสายตาฉันได้ เข้าใจหรือไม่ ? ปัจจุบันนี้อาณาจักรธรรมวุ่นวายมาก สิบแปดสายธรรมวุ่นวายเหลือเกิน วุ่นวายสับสนอย่างไร ? เธอมาพุทธสถานของฉันไม่ได้ ฉันก็ไปฟังธรมะที่พุทธสถานของเธอไม่ได้ ที่เป็นอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ ? ไม่สัมพันธ์กันอย่างนี้เรียกว่า"ท้องนาไม่มีร่องน้ำ น้ำย่อมไม่อาจไหลเวียน" คือไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ตัวเองดูแลแต่ตัวเองยังไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ยังให้ร้ายทำลายผู้อื่นด้วย เมื่อพูดถึงฉัน ฉันเองแก่มากแล้ว ตอนที่ฉันเกิดมาบนโลก พวกเจ้าอยู่ที่ใหนกัน ? ตอนที่ฉันบรรลุธรรมพวกเจ้าอยู่ที่ใหนกัน ? พวกเจ้าช่างเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน ?
ขอให้ฟังดี ๆ คุกสวรรค์ก็อยู่ข้างๆ กับพุทธาลัย นั่นเอง ผู้ที่บำเพ็ญได้ดีสามารถผ่านไปถึงพุทธาลัยได้เลย แต่ถ้าบำเพ็ญได้ไม่ดีก็ต้องไปถึงคุกสวรรค์ของฉัน เส้นทางเดียวแต่แยกไปเป็นสองสถานที่ คุกสวรค์กักขังใครบ้าง ? ก็คือ ศาสนิกชนในศาสนาทั้งห้า เฉียนเหยิน เตี่ยนฉวนซือ เจี่ยงซือ และญาติธรรม ที่ยังบำเพ็ญได้ไม่ดี เช่น ผิดพลาดเรื่องการเงิน ความประพฤติบกพร่อง จิตใจเลวทราม หากได้บำเพ็ญจริงขัดเกลาจริง ก็ไม่ต้องไปรายงานตัวที่คุกสวรรค์ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ต้องกลัว พูดถึงภาระหน้าที่ของฉันก็เป็นพระบัญชาของพระแม่องค์ธรรมให้ฉันไปควบคุมดูแลคุกสวรรค์ ตั้งแต่ธรมกาลยุคเขียว ยุคแดง จนถึงยุคขาว ในสมัยก่อนที่ฉันบำเพ็ญก็มีลูกประคำ ๑๐๘ เม็ด หลังจากที่พระแม่องค์ธรรมทรงมีพระบัญชา ลูกประคำก็ได้ถูกใช้งานแล้ว ลูกประคำแต่ละเม็ดก็ได้กลายเป็นถ้ำแต่ละถ้ำ ถ้ำเหล่านั้นก็คือคุกสวรรค์นั่นเอง
ยุคเขียวก็มีนรกเก้าขุม คุกสวรรค์อีกเก้าถ้ำเช่นกัน
ยุคแดงมีนรกสิบแปดขุม คุกสวรรค์สิบแปดถ้ำ เพราะจิตใจผู้คนต่ำทรามลง
ขณะนี้เป็นยุคขาวเก้าเก้าแปดสิบเอ็ด ยังเหลือลูกประคำแปดสิบเอ็ดลูก คนสมัยก่อนยังมีจิตใจที่ดีงามและบริสุทธิ์กว่าคนสมัยนี้ ไม่เหมือนกับจิตใจของคน
ในสมัยนี้ที่ชั่วร้ายต่ำทรามและเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย คนในสมัยก่อนกินแต่พืชผัก ก็ยังสามารถบำเพ็ญได้อย่างสงบมั่นคง แต่จิตใจของคนสมัยนี้ชอบดูรูปลักษณ์ทั้งหลายคุยกันแต่เรื่องเสพสุข ถ้าให้มาบำเพ็ญเวลาที่ไม่ได้ทำอะไรเขาก็จะรู้สึกว่าไร้รสชาด ดังนั้นเบื้องบนเมตตากรุณาเป็นอย่างมากที่ให้ผู้บำเพ็ญในปัจจุบันสะดวกสบาย แต่เมื่อสะดวกสบายก็ยังเกิดปัณหานานวันเข้าก็จะสะเปะสะปะปล่อยปละละเลยคบหาเพื่อนก็ไม่รอบคอบ คบคนไม่เลือกไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว คบคนชั่วก็ย่อมทำชั่วช้าเลวทรามตามไปด้วย ผู้บำเพ็ญธรรมมากมายที่ได้รับธรรมะและบำเพ็ญธรมแต่กลับไม่ได้บำเพ็ญดี ๆ บำเพญแล้วลุ่มหลงเลอะเลือน เพราะคนไม่ได้ศึกษาค้นคว้าหลักธรรมรู้เห็นแต่เพียง ตื้น ๆ แต่คิดเอาเองว่าตัวเองรู้เห็นอย่างลึกซึ้งถ่องแท้แล้วจึงนำไปพูดกับผู้อื่นอย่างสับสนผิกพลาดพูดไปพูดมาจนตกไปสู่วิถีของมาร หนทางอันดีงามได้เอนเอียงไปแล้วแต้ก็ยังไม่รู้ตัวและยังไปบอกให้ผู้อื่นต้องติดตามบำเพ็ญกับเราจึงจะบรรลุธรรมได้ ไม่อย่างนั้นสายทองจะถูกตัดสายทองขาด สายทองต่อขาดแล้วก็ต่อขาดแล้วก็รับ ขาดแล้วก็เชื่อม ขาดแล้วก็รับ ช่างสับสนเหลือเกิน เมื่อพูดถึงอารมณ์ความเคยชินฉันจะยกตัวอย่าง สักเรื่องคือ บำเพ็ญธรรมแล้วแย่งนักธรรมผู้น้อยกับผู้อื่นไม่ได้ดูแลส่งเสริมนักธรรมผู้น้อยดีๆ โลภมากอยากได้หวังแต่จะเสพสุขทั้งยังหลอกลวงทรัพย์สินของผู้อื่น ผิดบาปอย่างนี้หนักหนายิ่งนัก เอาชื่อเสียงทางธรรมมาหลอกลวงคนอื่นๆ อย่างนี้ก็มีผิดบาป ตอนนี้จะพูดถึง"หนึ่งยอดเขาเก้าถ้ำ" "ยอดเมฆาวายุ" เป็นชั้นที่หนึ่ง ยอดเมฆาวายุมีอยู่ด้วยกันเก้าถ้ำ ถ้ำแรกชื่อถ้ำเมฆาวายุ - ถ้ำเมฆาอัคคี - ถ้ำเมฆาสีม่วง - ถ้ำเมฆาโบยบิน - ถ้ำเมฆาสีเขียว
ถ้ำเมฆาสีเหลือง - ถ้ำเมฆาสีแดง - ถ้ำเมฆาสีดำ - ถ้ำเมฆาสีขาว
-
คุกสวรรค์ชั้นที่หนึ่งยอดเมฆาวายุ
ถ้ำเมฆาวายุ เป็นทันฑสถานที่บำเพ็ญจิตบ่มเพาะธรรมญาณจึงแตกต่างจากนรก ผู้บำเพ็ญที่ยังมีกิเลสความคิดที่ฟุ้งซ่านสะสมในจิตใจ ยังเป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถผ่านสามด่านเก้าทวารได้จึงถูกส่งมาที่ถ้ำเมฆาวายุแห่งนี้ ต่อจากนั้น"เทพฝ่ายตรวจการ" ก็จะส่งบันทึกบุญบาป ของผู้บำเพ็ญแต่ละคนในแต่ละชาติ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบันข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมส่งมาที่นี่ ต่อจากนั้นก็จะเริ่มพิจารณาไตร่สวนและตัดสินความ ถ้ำนี้จะกักขังคนที่ชอบนินทาให้ร้ายผู้อื่น เมื่อได้เห็นนักธรรมอาวุโส อาจารย์แนะนำ อาจารย์รับรอง เตี่ยนฉวนซือ หรือเจี่ยงซือ ทำไม่ดีแล้วนำไปนินทาลับหลัง คอยวิจารณ์ใส่ร้ายขยายความจนเกินจริง และชอบหลอกลวงผู้อื่น ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ต้องมาลงเอยที่ถ้ำเมฆาวายุแห่งนี้ นี่เป็นคุกสวรรค์ที่ทรมานเช่นกัน หนึ่งคนต่อหนึ่งถ้ำนั่งอยู่ภายในถ้ำเมฆาวายุนี้ไม่ว่าจะมีคนมากขนาดใหนขนาดของถ้ำก็ยังพอเหมาะพอดีตลอดไป มีลักษณะคล้ายกับถ้ำของพระพุทธะในอดีต ในถ้ำแต่ละถ้ำก็จะมีพระพุทธะอยู่หนึ่งองค์ แต่ละองค์ต้องนั่งบำเพ็ญขัดเกลาอยู่ในนั้นหากว่ามีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ลมนั้นก็จะเหมือนกับมีคนมาตบเข้าที่ใบหน้าของเรา หากความคิดฟุ้งซ่านยิ่งมีมาก ผิดบาปของเขาก็จะทำให้สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดสับสนวุ่นวาย ลมนั้นก็จะตบลงมาบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว ตบลงมาบนแก้มทั้งสองข้างตบทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาจนกระทั่งใบหน้าบวมซ้ำขึ้นมาไม่เพียงแค่แก้มทั้งสองจะบวมแดง แม้แต่ฟันก็หลุดล่วงด้วยและยังมีเลือดออกแต่ละคนที่โดนลมตบก็จะวิงเวียนต้องโดนตบนั้นเป็นเพราะไม่รักษาคุณธรรมปากให้ดี ไม่ยอมบำเพ็ญรักหน้ารักตาของตัวเอง จึงต้องโดนตบให้สาสมกับการกระทำของตน มีผู้บำเพ็ญที่ทุกข์ยากลำบากมากมาย ชั่วชีวิตก็ได้แต่ฉุดช่วยคนปฏิบัติธรรม จัดตั้งพุทธสถาน บุกเบิกงานธรมะ ส่งเสริมสนับสนุนบุคคลากร แต่มีบุญก็บันทึกบุญเอาไว้ มีบาปก็บันทึกบาปเอาไว้ ถึงแม้วันนี้เจ้าอาจมีสามพันบุญแต่ในขณะเดียวกันก็มีเจ็ดร้อยบาปด้วยที่ว่านี้จะจัดการอย่างไร ?แน่นอนก็ต้องว่ากันไปตามความผิดบาปนั้น ๆ
แล้วจะลบล้างความผิดบาปได้อย่างไร?
ต้องสำนึกขอขมา สิ่งใดที่ทำไม่ถูกต้องไปต้องสำนึกขอขมาต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง หากแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ได้พระแม่องค์ธรรมก็ย่อมเมตตากรุณา เบื้องบนย่อมเมตตา พวกเจ้าไม่มีใจชั้วช้าต่ำทรามเบื้องบนก็จะนิรโทษผ่อนผันให้ ลมในถ้ำเมฆาวายุทุกครั้งที่ตีลงมาบนร่างญาณรสชาดที่ได้รับนั้นก็จะเหมือนกับมีมีดแหลมคมมาเชือดเฉือนบนร่างกายของเรานั่นเองยากที่จะทนได้ไหว ลมนี้เป็นลมที่ไม่แน่ไม่นอนหากเจ้ามีจิตสำนึกขอขมาลมก้จะพัดเบาลงความเร็วก็ช้าลง แต่ถ้าหากสำนึกขอขมาแล้วแต่ใจก็ยิ่งไม่สงบลงเมื่อนั้นลมก็จะทวีความรุุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อลมตีลงมาบนร่างญาณนั้นก็จะเจ็บปวดเหมือนกับถูกมีดชำแหละเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากแต่ว่าร่างญาณของเราไม่ว่าจะลงโทษอย่างไรก็ไม่อาจตายได้เพียงแค่เจ็บปวดทรมานเท่านั้นเบื้องบนพิจารณาบุญบาปอย่างยุติธรรมหากเราสร้างบุญกุศลเจริญปณิธาน เบื้องบนก็จะจดบันทึกลงชัดเจนแต่ถ้าเรามีผิดบาปเบื้องบนก็จะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเช่นกันเมื่อมาถึงที่นี่ก็ยังต้องบำเพ็ญจนกว่าจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงจะสามารถกลับคืนสู่อนุตตรภูมิแดนนิพพานได้อยู่ข้างกายพระแม่องค์ธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือบุคลิกลักษณะที่สมบูรณ์ จึงสามารถบรรลุสภาวะศักดิ์สิทธิ์ได้เบื้องบนมีเมตตาอย่างล้นเหลือเปิดเผยความลับของสวรรค์ที่ไม่เคยเปิดเผยมาตั้งแต่ผันกู่เริ่มเบิกฟ้าจนถึงปัจจุบันวันนี้มีวาสนาพระแม่องค์ธรรมทรงมีบัญชา ให้ทำการเปิดเผยความลับสวรรค์นี้ได้ เราทุกคนจึงต้องมีจิตสำนึกคุณ ต้องตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วนเพราะทุกๆคำเป็นความลับสวรรค์ทั้งสิ้น ผู้ที่ปกติชอบด่าทอว่ากล่าวผู้อื่นก็จะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ขึ้นไปถูกตบแก้มที่เบื้องบนแต่ก็ต้องบำเพ็ญคุณธรรมปาก เช่นกัน
-
ถ้ำเมฆาอัคคี
ถ้ำเมฆาอัคคี เมื่อพูดขึ้นมาแล้วก็เหมือนถูกอัคคีแผดเผา หากเป็นคนที่มีอุปนิสัยอารมณ์ไม่ดีทำงานใจร้อนจิตใจไม่สงบ เป็นนักธรรมอาวุโส เตี่ยนฉวนซือ ถันจู่ แต่ทดสอบให้คนอื่นต้องตกหล่นไป ตำหนิด่าว่าคนอื่นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก็จะต้องถูกกักขังอยู่ที่ถ้ำเมฆาอัคคีนี้ เมื่ออวิชชาผุดขึ้นมาก็จะเหมือนโดนอัคคีแผดเผาเหมือนหนึ่งอยู่ในเตาหลอมฉันใดฉันนั้น ความรุ่มร้อนเจ็บปวดนั้นทำให้เจ้าต้องครวญครางสำนึกผิด อย่างไรก็ตามการถูกลงโทษทัณฑ์ที่ว่านี้ พระแม่องค์ธรรมได้แสดงบุญญาธิการ ร่างญาณทั้งหลายจะถูกกำหนดคงที่ เวลาถูกลงทัณฑ์จึงดูเหมือนไม่มีอะไร ดูจากภายนอกจะเห็นทุกคนนั่งเรียบร้อย แต่ภายในอุณหภูมิจะสูงหรือต่ำอย่างไร ก็อยู่ที่อารมณ์ของแต่ละคน แล้วอย่างนี้ฟังเข้าใจกันหรือไม่ ? ก็เหมือนกับเจ้าทั้งหลายกำลังนั่งฟังธรรมะอยู่ บางคนฟังเข้าใจแปดส่วน แต่บางคนฟังได้แค่เพียงสองส่วน ก็ว่ากันไปไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับรากบุญพื้นฐานของแต่ละคน และยังเกี่ยวข้องกับบุญกุศลของแต่ละคนเองด้วยผู้ที่มีภูมิธรรมปัญญาสูง เมื่อได้นั่งอยู่ที่นี่ ก็ย่อมฟังเข้าใจได้อย่างอัตโนมัติ แต่ผู้ที่เจ้ากรรมนายเวรเร่งรัดทวงหนี้อย่างประชิดติดตัว หรือผู้ที่ยังไม่สามารถละวางเหตุปัจจัยต่าง ๆ ลงได้ ปัญญาก็จะถูกแรงกรรมที่ไร้รูปลักษณ์เหล่านี้ปิดบังครอบงำเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะพูดให้โอวาทอย่างไรแต่ก็ไม่อาจฟังให้เข้าใจได้
-
ถ้ำเมฆาสีม่วง
"ถ้ำเมฆาสีม่วง" ฟังดูเหมือนมีสภาวะที่สูงส่ง นั่นก็คือพระพุทธะที่เคยตั้งมหาปณิธานลงมา แต่เกิดลุ่มหลงไปนั่นเองถึงจะสามารถบำเพ็ญกลับคืนไปได้ แต่เนื่องจากได้ตั้งมหาปณิธานเอาไว้ แต่ว่ามีบุญกุศลน้อยนิดซึ่งไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่าปณิธานยิ่งใหญ่แต่มรรคผลน้อยนิด จึงยากที่จะคืนสู่ตำแหน่งสถานะเดิมได้
เจ้าทั้งหลายจะเป็นเช่นนั้นไหม ? ที่ตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ แต่มรรคผลน้อยนิด บำเพ็ญจนสามารถกลับคืนได้แต่บุญกุศลไม่เพียงพอ จึงถูกกักขังในคุกสวรค์ ต้องคี่ยวกรรมบำเพ็ญต่อไป ต้องสำนึกขอขมาอีก การลงทัณฑ์ในถ้ำนี้จะเบากว่าถ้ำทั่วๆไปเพียงแต่จะรู้สึกอึดอัดใจ นั่งอยู่ในถ้ำจะรู้สึกละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนคิดอยากจะร่ำไห้ความหวั่นไหวทางอารมณ์จะประนามตัวเองให้สำนึกเสียใจ ที่ไม่สามารถเจริญปณิธานได้ดังที่ตั้งใจไว้
หากเคยเป็นพระอรหันต์อุบัติลงมา แต่กลับบำเพ็ญปฏิบัติเพียงในหน้าที่ของญาติธรรมทั่วไปเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แย่แน่นอน เพียงแค่ตั้งปณิธานกินเจเท่านั้น ไม่มีผลงานทางธรรมใด ๆ ทั้งสิ้นเมื่อกลับคืนไป จึงต้องถูกจองจำและลงโทษ เนื่องจากเคยตั้งมหาปณิธานต่อหน้าพระพักตร์พระแม่องค์ธรรม เคยลั่นสัจวาจาที่ยิ่งใหญ่แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม หัวเป็นเสือแต่หางเป็นงู (แรงตอนต้นแต่แผ่วตอนปลาย) อย่างนี้ไม่ได้ จะหลอกเบื้องบนไม่ได้เด็ดขาด
-
ถ้ำเมฆาโบยบิน
"ถ้ำเมฆาโบยบิน"ถ้ำนี้ร้ายกาจกว่าทั่วไป ร้ายกาจตรงที่มีมีดบินตรงมาทิ่มแทงที่กลางทรวงอก สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งเพราะคนประเภทนี้อาศัยกลอุบายให้ร้ายคนอื่นต่อให้ไม่ถึงกับเข่นฆ่าชีวิตคนอื่นแต่ก็ทำลายชื่อเสียงทำลายศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของคนอื่น คนประเภทนี้ไร้มโนธรรมสำนึก ชอบวางกับดักทำร้ายคนอื่น เจ้าทั้งหลายอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงมีผู้บำเพ็ญอย่างนี้อยู่ในอาณาจักรธรรมอีกใช่ใหม ? มีแน่นอน คนรับธรรมะมีมากมาย แต่ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรมยังต้องรอดูก่อน
ฉะนั้นอย่าได้มีจิตคิดร้ายต่อคนอื่นต้อง คิดดี ทำดี พูดในแง่ที่ดี
คนอื่นเขาทำอะไรเจ้าอย่าพึ่งไประแวงสงสัยเขา
คนอื่นทำผิด เจ้าต้องรู้จักตักเตือนเขา อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ
เจ้าทั้งหลายมีความก้าวหน้าหรือไม่
เจ้าทั้งหลายรู้จักให้ทานหรือเปล่า ?
เจ้าทั้งหลายก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม ?
จะต้องรู้ด้วยตัวเองจึงจะดี คนอื่นรู้ก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองรู้ก็เป็นของตัวเอง ถูกหรือไม่ถูก ?
คนอื่นก็ต้องบอกว่าเจ้าก้าวหน้าอยู่แล้ว มีแต่จะก้าวหน้าจริง ๆ หรือไม่ก็ยังไม่แน่ ตัวเองก้าวหน้าหรือไม่ก็ต้องถามเอาจากตัวเอง มีอย่างที่ใหนที่ถามเอากับผู้อื่น ตัวเองก้าวหน้าหรือไม่ จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ?
ถ้ำเมฆาโบยบินนี้ เป็นถ้ำที่เจ้าทั้งหลายได้นั่งอยู่ข้างในเพื่อย้อนมองส่องตน เพื่อฝึกฝนเคี่ยวกรรมตน หากในใจยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง พิษทั้งสามนี้ยังหลงเหลืออยู่ พอมาถึงที่นี่ เมื่อใดที่กิเลสความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นเมื่อนั้นมีดก็จะโบยบินแล้วจะพุ่งเข้ามาปักกลางทรวงอก เจ็บปวดอย่างยิ่ง ถึงจะเป็นร่างญาณแต่มีดก็ไร้รูปลักษณ์ ปักลงไปเจ็บปวดเหมือนถูกมีดทิ่มแทง จะรู้สึกเจ็บเหมือนจริง จะณุ้สึกชาเหมือนจริง แล้วมีดที่ปักอยู่กลางอกจะหายไปเมื่อไหร่ล่ะ ? ก็รอจนเจ้าจิตสงบ อารมณ์เยือกเย็น กิเลสความคิดฟุ้งซ่านหายไป มีดนั้นก็จะหายไปด้วย เมื่ออารมณ์ความคิดผุดขึ้นมาอีก มีดก็จะโบยบินมาอีก ความคิดยิ่งฟุ้งซ่าน จำนวนมีดที่โบยบินมาก็จะยิ่งมาก หากอารมณ์ความคิดฟุ้งซ่านมีน้อย มีดที่โบยบินมาก็จะน้อยลง เหตุผลง่าย ๆ อย่างนี้เข้าใจไหม ?
ส่วนที่เหลือ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาเดิมของแต่ละคนนั่นก็คือ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรมและ สัตยธรรม
เมตตาธรรม คนที่ขาดเมตตาธรรมนั้นใช่ว่าจะบกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่เป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่โต เช่นว่าวันนี้ฉุดช่วยคนมา ๕๐ คนช่างปะไร ไม่ต้องไปส่งเสริมเขาหรอก และหากเจ้าฉุดช่วยคน ๑๐๐ คน แต่มีเพียง ๑ หรือ ๒ คนเท่านั้นที่ตั้งปณิธานกินเจเจ้าก็มุ่งหวังโลภอยากได้หน้า โลภแต่บุญกุศลและยังยึดติดในบุญกุศล
ไม่ตั้งใจไปส่งเสริมคนให้ดี ไม่มีเมตตาจิต คนอื่นเขาตกทุกข์ได้ยากแต่เจ้าไม่ได้ไปช่วยเขา เห็นเขาหกล้มแต่ไม่ยอมไปพยุงเขาขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่า ขาดเมตตาธรรม เจ้าทั้งหลายเป็นอย่างนี้ไหม ? อย่าเอาแต่บำเพ็ญจนอะไรก็ไม่ประสีประสาไม่รู้จักคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่การบำเพ็ญธรรมก็คือการบ่มเพาะเมตตาจิตเข้าใจหรือเปล่า?
มโนธรรม เป็นหลักคุณธรรมระหว่างพี่น้อง ชายหญิงทั้งหลายต้องร่วมกันรักษาไว้ให้ดีคือ ต้องมีมโนสำนึกรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าได้ชิงดีชิงเด่น อย่าได้ยื้อแย่งบุญกุศลกัน หากเป็นเจี่ยงซือด้วยกัน ก็อย่าได้นินทาซึ่งกันและกัน คนอื่นดีเจ้าก็พลอยได้ดีไปด้วย หากเจ้าเก่งแต่กล่าวหาผู้อื่นไม่ดูแลพี่ๆน้องๆ ไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น ในทางตรงกันข้ามกลับคิดร้ายทำลายล้างคนอื่น และไม่ยอมร่วมงานกับคนอื่นในสถานธรรมอย่างนี้ไม่ถูกต้องอย่างนี้ย่อมไรัมโนธรรมสำนึก
ที่จริงแล้ว การบำเพ็ญธรรมต้องเสมอต้นเสมอปลาย ต้องรู้จักสนองรับเบื้องสูง และนำพาเบื้องล่างใช่หรือไม่ ?
ต้องเคารพเทิดทูนอาจารย์ทั้งสาม ( พระบรรพจารย์ พระอาจารย์ชาย พระอาจารย์หญิง ) ต้องสำนึกขอบคุณ
อาจารย์แนะนำ และอาจารย์รับรอง ทั้งหมดนี้ล้วนครอบคลุมอยู่ในมโนธรรมสำนึกทั้งสิ้น
จริยธรรม ก็คือ จริยะพุทธระเบียบ มาถึงสถานธรรมเห็นเฉียนเหยิน หรือ เตี่ยวฉวนซือ ก็ต้องรู้จักกราบรับพระโองการสวรรค์ กราบคารวะ กราบอำลา ถึงจะไม่ได้กราบลาอย่างเป็นทางการแต่ในใจก็ยังต้องมีความเคารพนอกจากนี้ในสถานธรรมยังมีรายละเอียดของพุทธระเบียบอีกมากมายที่ต้องฝึกฝน เช่น เวลากราบไหว้พระก็ต้องช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่ากราบแบบลวกหยาบขอไปทีเหมือนกับการเคาะไม้หัวปลา (บักฮื้อ) เคาะ เคาะ เคาะ ที่ประเดี๋ยวก็เคาะเสร็จอย่างนี้ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าทั้งหลายต้องนำไปพินิจพิจารณา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ต้องเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน
ปัญญาธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ไม่ใช่เดี๋ยวติดตามคนโน้นบำเพ็ญ เดี๋ยวติดตามคนนี้บำเพ็ญ เดี๋ยวมีอคติคนนี้พอติดตามคนผิด ก็เปลี่ยนไปติดตามคนใหม่อีก อย่างนี้ไม่นานสถานธรรมทั่วประเทศเจ้าคงไปทั่วหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จในการบำเพ็ญปฏิบัติอยู่นั่นเอง
ดังนั้นจะทำอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาดเจ้าเข้าใจไหม ? อย่าได้คลางแคลงใจว่าพระพุทธะที่คนอื่นบูชาใหญ่กว่าส่วนพระพุทธะที่เราบูชานั้นเล็กกว่า ไม่มีเรื่องอย่างนี้หรอกที่จริงแล้วพระพุทธะอยู่ที่ใด?ก็อยู่ในพุทธจิตธรรมญาณนั่นแหละใช่หรือไม่? ทุกคนล้วนมีพุทธะจิตญาณตน ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายพึงเข้าใจว่า การบำเพ็ญธรรม ต้องรู้จักอาศัยปัญญาญาณ จงอย่าบำเพ็ญโดยอิงคนอื่น คนอื่นเขาบอกว่า "เธอติดตามบำเพ็ญกับฉันต้องบรรลุธรรมได้แน่นอน"บรรลุจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า ? จะบำเพ็ญให้สำเร็จก็ต้องอาศัยตัวเองเท่านั้น อย่าไปสนใจกับคำพูดของคนอื่น ที่ว่าเปลี่ยนธรรมกาลแล้ว ต้องรับธรรมะใหม่ ต้องเบิกจุดใหม่ เบิกที่ใต้สะดืออย่างนี้ก็จะบรรลุธรรมได้หรือ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน ไม่ว่าเจ้าจะเคยให้ทานบริจาคทรัพย์มามากเท่าไหร่ ? ไม่ว่าเจ้าจะได้บำเพ็ญมานานแค่ใหน ?หากไม่รู้จักรักษากฏสวรรค์ ขาดซึ่งปัญญา ไมาสามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ และยิ่งไม่สามารถบรรลุสู่ฝั่งพระนิพพานได้เช่นกัน เข้าใจไหม ?
สัตยธรรม คือการที่ต้องรักษาสัจจะ ใช่หรือไม่ ? หมายความว่าเมื่อคำพูดใดออกจากปากต้องทำตามคำพูดนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่ ? และอย่างเช่นตั้งปณิธานอย่างพร่ำเพรื่อตั้งไป ๑๘ ข้อแต่ทำแค่ ๕ - ๖ ข้อเท่านั้นหรือว่าเขาไม่ได้บำเพ็ญเลย ? ที่จริงก็มีบำเพ็ญแต่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเร่งรัดไปกระทำ ไม่ใชว่าเวไนยสัตว์ฉุดช่วยไม่สิ้นก็ไม่สามารถบรรลุสู่ความเป็นพุทธะ พระแม่องค์ธรรมไม่ไร้เมตตาถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่เป็นการเตือนสติตัวเองว่าปณิธานที่ตั้งแล้วได้มุ่งมั่นไปเจริญกันหรือเปล่า ? ได้เสียสละอย่างแท้จริงหรือไม่ ? จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ต่างหาก ใช่ว่าการบำเพ็ญธรรมจะลำบากอย่างที่คิด และใช่ว่าบำเพ็ญอย่างลำบากแล้ว กลับไปยังต้องถูกกักขังที่คุกสวรรค์อีกก็หาไม่ หากแต่กรณีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หมายถึงความผิดบาปที่หนักหนาสาหัส และอารมณ์อุปนิสัยที่เร่าร้อนอย่างยิ่ง แต่หากเจ้าทั้งหลายตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติ หมั่นพิจารณาย้อนมองส่องตน มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุปนิสัยอารมณ์ไม่ดีของตนมีความเคารพนบนอบเฉียนเหยินเตี่ยนฉวนซือและผู้ร่วมบำเพ็ญอย่างจริงใจ เช่นนี้ก็เป็นบุญกุศลแล้ว
เมื่อครู่นี้ได้พูดถึงธรรกาลยุคเขียว และธรรมกาลยุคแดง ในธรรมกาลสมัยที่ผ่านมาก็มีผู้บำเพ็ญธรรมที่ถูกจองจำในคุกสวรรค์มาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเหตุใด ?ทั้งนี้ตั้งแต่ธรรมกาลยุคเขียวมา ก็มีผู้บำเพ็ญที่ฝักใฝ่อิทธิฤทธิ์ อภิญญา คิดว่าตนมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นานา จึงมีการกดขี่รังแกผู้อื่นชอบทำลายล้างคนอื่นอย่างนี้ก็เป็นบาปกรรมเหมือนกันตัวเองต่างก็คิดว่ามีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ต่อสู้กันไปต่อสู้กันมาในที่สุดก็ต้องมีฝ่ายแพ้ ฝ่ายแพ้ก็ต้องหาวิธีใหม่ ๆเพื่อหวังจะแก้แค้นทำให้ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง สุดท้ายความโลภ ความโกธ ความหลง ก็จะปรากฏออกมาดังนั้นคนที่เราลุ่มหลงกันไปนั้นก็เป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่นั้นทำสิ่งแปลก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางฝ่ายที่ต้องการปกป้องหน้าตาของตนเอง คนประเภทนี้แย่ที่สุด
จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่อดีตกาลมาก็มีคนบำเพ็ญธรรมจำนวนมากที่ต้องลงเอยที่คุกสวรรค์เพื่อบำเพ็ญเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นที่ที่ช่วยให้บังเกิดการสำนึกขอขมา อิทธิฤทธิ์อภิญาที่ได้มาจริงยั่งยืนหรือเปล่า ?ไม่จีรังแน่นอนสุดท้ายทุกอย่างก็ต้องจบสิ้นไป สำคัญอยู่ที่ภูมิธรรมและจริยวัตรในการบำเพ็ญปฏิบัติ เพราะการมีอภิญญาไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถกลับคืนสู่อนุตตรภูมิแดนนิพพานได้ก็หาไม่ ต่อให้มีอภิญญา เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสูญสิ้นไปเองโดยปริยาย กล่าวคือต่อให้เจ้าบำเพ็ญจนได้อภิญญา แต่หากจิตญาณแปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์ อภิญาก็ย่อมถูกกิเลสบดบัง จึงเห็นได้ว่าผู้บำเพ็ญธรรมในอดีตที่ละเมิดพุทธระเบียบผิดต่อวินัยแห่งฟ้าล้วนต้องถูกลงโทษ
ในเมื่อทุกคนล้วนมีปัญญาญาณก็ต้องรู้จักนำออกมาใช้ ยังมีบางอย่างที่ฉันไม่ได้กล่าวถึง นั่นเพราะฉันไม่อยากจะพูด พระแม่องค์ธรรม มีบัญชากำชับว่าให้ฉันพูดอย่างพอเหมาะพอควรก็ได้แล้วฉันจึงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ แค่พูดให้ทุกคนเข้าใจก็พอแล้ว ผู้ที่ถูกกักขังในคุกสวรรค์ เป็นนักธรรมอาวุโสในอาณาจักรธรรม เสียส่วนใหญ่ เนื่องจากนักธรรอาวุโสมักกระทำผิดได้ง่าย คำพูดเพียงคำเดียวก็เกิดข้อผิดพลาดใหญ่ได้แล้ว เอาล่ะ พูดสิ่งอื่น ๆ ให้เจ้าทั้งหลายได้หูตาสว่างบ้างดีกว่า
-
คุกตะกร้าไม้ใผ่
อุปมาดั่งการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำสุดท้ายย่อมว่างเปล่า ในคุกสวรรค์นั้นมีทัณฑสถานหลายแห่ง มีคนต่างๆ นานา ที่ถูกจองจำกักขัง เช่น คนที่ผิดต่อปณิธาน คนที่ผิดศีล ฯลฯ คนบำเพ็ญที่ผิดศีลควรทำอย่างไรดี ?ก่อนอื่นต้องดูว่ามีจิตสำนึกขอขมามากแค่ใหน? มีความผิดบาปมากน้อยเท่าไหร่ ? ใช่ว่าฟ้าเบื้องบนจะละเลยในคุณงามความดีที่เจ้าเคยสร้างสมมาก็หาไม่ บุญกุศลก็ส่วนบุญกุศล ก็ต้องมอบมรรคผลให้เจ้า แต่ความผิดบาปต้องชำระสะสางให้สิ้นก่อนเท่านั้นเอง
อะไรคือ "ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำสุดท้ายย่อมว่างเปล่า" ก็คือผู้บำเพ็ญที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาตลอดชีวิต แต่เป็นการบำเพ็ญอย่างหลับหูหลับตา เลอะ ๆ เลือน ๆ ทำไปก็รั่วไหลไป ด้านหนึ่งได้กินเจแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็ฆ่าไก่ ด้วยด้านหนึ่งฉุดช่วยคน แต่อีกด้านหนึ่งก็ขายเนื้อหมู คนประเภทที่ว่านี้ต้องมาสิ้นสุดลงเอยที่นี่แน่นอน หากจะถามว่าเขาบำเพ็ญได้ดีหรือไม่นั้น ? เชื่อว่าเขาบำเพ็ญได้ดีไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องเช่นกัน นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างเท่านั้น
โทษทัณฑ์อย่างนี้คือ การมีสระน้ำหนึ่งสระทุกคนจะได้รับตะกร้าที่ทำจากไม้ไผ่กันคนละหนึ่งใบ ให้ไปตักน้ำในสระเพื่อถ่ายไปยังอีกสระหนึ่งที่ว่างเปล่า อย่างนี้จะทำอย่างไรดี ? ให้เจ้าทำดูได้หรือเปล่า ? ใชัตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำไม่สามารถรองรับน้ำไว้ได้ใช่หรือไม่ ? น้ำในตะกร้าที่ตักจะรั่วไหลออกไปหมดใช่หรือเปล่า ?การบำเพ็ญธรมก็เช่นกัน อารมณ์อุปนิสัยไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไข ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ถึงจะไม่มีความผิดบาปร้ายแรง แต่ก็ได้สะสมความผิดบาปเล็ก ๆน้อย ๆ ก็ไม่แตกต่างอะไรกัน กรณีอย่างนี้ต้องมาฝึกฝนเคี่ยวกรำที่นี่
แล้วจะฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างไร ?
ก็เรียกให้เอาตะกร้าไม้ไผ่ไปตักน้ำ ตักจนบาปหนี้เวรกรรมทั้งหมดถูกลบล้างไป เมื่อบาปหนี้เวรกรรมลบล้างจนสิ้นตะกร้าก็จะตักน้ำได้เองโดยปริยาย น่าอัศจรรย์จริง ๆฟังเข้าใจหรือไม่ ?นั่นก็หมายความว่าบุญกุศลของเจ้าได้ปรากฏแล้วในที่สุด แม้ตะกร้าไม้ไผ่ก็สามารถรองรับน้ำได้ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งสำหรับคนที่บาปกรรมไม่มาก ทัณฑสถานที่ว่านี้ไม่ใช่อยู่ในถ้ำแต่อยู่นอกถ้ำ
-
คุกแบกทราย
"คุกแบกทราย" มีการลงทัณฑ์กันอย่างไร? ดูเหมือนกับการที่มีบาปกรรมสูงเยี่ยงภูเขา ซึ่งสร้างขึ้นโดยการทับถมของเม็ดทรายที่มีจำนวนมากมายประมาณไม่ได้ ความผิดบาปของเจ้าในที่นี้หมายถึงการไม่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ เวลาเตี่ยนฉวนซือบอกว่า"เราจะไปปฏิบัติงานธรรมกี่โมง ๆ..."เจ้าตอบว่า ครับ - ค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปตามที่รับปากคำไว้ คนอื่นให้เจ้าช่วยทำอะำไร เจ้าล้วนตกปากรับคำ แต่สุดท้ายก็เสียสัตย์ผิดคำพูด อย่างนี้ที่เรียกว่าขาดความรับผิดชอบ เบื้องบนจะคอยจดบันทึกไว้ กลับไปแล้วค่อย ๆ ให้เจ้าได้แบกรับ แบกจนเม็ดทรายบนภูเขานี้หมดไปจึงจบสิ้น เจ้าก็จะได้สวมใส่เสื้อผ้าใหม่ซึ่งสวยงาม รอคอยเวลาไปเป็นเทพเซียน อย่างนี้ฟังเข้าใจหรือไม่ ? เรื่องราวบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เบื้องบนล้วนจดบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน
คนอื่นเขาว่าเจ้าอย่างไรทำไมเจ้าจึงไม่ฟัง เจ้าควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข คนอื่นเขาว่าเจ้าไม่ถูกต้อง เจ้าก็ต้องสำนึกขอขมาเข้าใจหรือไม่ ? วันนี้เจ้าเป็นเจี่ยงซือ ก็ควรบรรยายธรรมให้คนอื่นฟัง อย่าได้อำพรางเก็บเนื้อเก็บตัวถ้าอำพรางเก็บเนื้อเก็บตัว ที่เบื้องบนได้ประทานโองการให้กับเจ้าไป ก็ไม่มีความหมายแล้วใช่หรือไม่ใช่อย่างนี้ ?
เป็นถึงเตี่ยนฉวนซือแต่ไม่ออกมาปฏิบัติงานธรรม ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับบ้าน เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน กวาดบ้านถูเรือนหรือไปหาเงินหาทองนอกบ้าน ไปทำการทำงานอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าทั้งหลายฟังเข้าใจหรือเปล่า ?
เบื้องบนประทานหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่ไปกระทำตามหน้าที่ ความผิดบาปหนี้ไม่ธรรมดาเข้าใจหรือเปล่า ? เจ้าทั้งหลายได้แบกรับภาระหน้าที่หรือไม่ ? แบกรับหน้าที่อะไร ? ไม่แบกรับหน้าที่แล้วจะกลับคืนไปได้อย่างไร ?สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธะอริยะเจ้า ล้วนตั้งมหาปณิธานกันทั้งนั้นเช่นเดียวกันหากเจ้าไม่ก่อคุณธรรมใหญ่และยิ่งไม่ได้แบกรับภาระหน้าที่แล้วจะกลับคืนไปได้อย่างไร ? หรือจะเป็นปุถุชนคนธรรมดาต่อไป นี่เป็นโทษทัณฑ์ที่หนักมาก ๆ พวกเจ้าอย่าได้เห็นว่า ทรายเป็นแค่ของเล็ก ๆ ที่จริงแล้วมันหนักมาก แต่จะเบาหรือหนักนั้นก็ต้องดูที่ใจของพวกเจ้าแต่ละคนเองอีกด้วย
-
คุกอบฟืน
คุกอบฟืน อบฟืนอะไรหรือ ? ก็อบฟืนเปียกนั้นเอง ขังเจ้าไว้ภายในด้วยอุณหภูมิที่ต่ำสุด ๆ หนาวเหน็บมาก ๆ เมื่ออากาศหนาวเหน็บต้องทำอย่างไร ? ก็ต้องเอาฟืนจึงจะอบอุ่นใช่หรือไม่ ?เมื่อจุดไฟติดแล้วจึงจะอบอุ่นได้นะ แต่เนื่องจากในอดีตเคยสร้างความผิดบาป ฉะนั้นฟืนทั้งเปียกทั้งแฉะไปหมด ทำให้ไฟไม่สามารถจุดติดได้ เมื่อใดไฟไม่ติดก็ต้องหนาวไปพลางสั่นไปพลาง อย่างนี้เจ้าเข้าใจหรือเปล่า ? การลงโทษอย่างนี้จะเบากว่าการลงโทษอื่น ๆ เพียงแค่หนาวเหน็บเท่านั้น เมื่อบาปกรรมหมดสิ้นก็สามารถไปเป็นสิ่งศักด์สิทธิ์ได้ ฟังอย่างนี้เข้าใจไหม ? จะลองสัมผัสรสชาติดูหรือเปล่า ?
-
คุกกบร้อง
จะพูดต่ออีกสักอย่างก็คือ เจี่ยงซือ เตี่ยนฉวนซือ หรือนักธรรมอาวุโสบางส่วน ทั้งนี้ไม่ว่าจะสามารถบุกเบิกงานธรรมออกไปได้หรือไม่ หรือว่าจะมีนักธรรมผุ้น้อยเท่าไร ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น คือที่ชอบนินทากล่าวหาสายธรรมอื่น ชอบตำหนิติเตียนคนอื่น ศาสนิกชนในศาสนาทั้งห้าที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หรือศาสนาอื่น ๆ กรณีที่ว่านี้อย่าให้ฉันจับได้หากจับได้เจ้าก็จะตกที่นั่งลำบากแน่นอน เพราะจะจับคนประเภทนี้ทั้งหมดมาไว้รวมกันในสระน้ำขนาดใหญ่ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่เพียงลำพัง แต่แท้ที่จริงแล้วได้กลายเป็นกบตัวหนึ่งได้แต่ร้องๆเคยได้ยินเสียงกบร้องหรือเปล่า กบได้แต่ร้องๆ อย่างไม่หยุด ร้องจนเจ็บไปทั้งปาก ร้องจนลำคอแสบ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต้องร้องต่อไปเรื่อย ๆ ร้องจนปากฉีก ลำคอก็เลือดออก ถึงกระนั้นก็ยังต้องทนความเจ็บปวดร้องต่อไป นี่เป็นโทษทัณฑ์อย่างหนึ่ง เป็นเพราะชอบวิจารณ์คนอื่น บาปกรรมนี้หนักกว่าทั่วๆไป เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ถึงเขาจะมีบุญกุศลก็ตาม ถึงเขาจะส่งเสริมคนก็จริงแต่ทว่าเขาส่งเสริมเฉพาะนักธรรมผู้น้อยของเขาส่งเสริมเฉพาะคนที่เขาได้ฉุดช่วยมาเท่านั้น ส่วนญาติธรรมที่คนอื่นส่งเสริมกลับไปลบล้างทำลายเขา ญาติธรรมที่เตี่ยนฉวนซืออื่นถ่ายทอดธรรมให้ เขาจะบอกว่าเตี่ยนฉวนซือนั้นไม่มีพระโองการณ์สวรรค์ งานธรรมที่นักธรรมอาวุโสคนอื่นดำเนินปฏิบัติ ก็จะไม่ยอมให้นักธรรมผู้น้อยของตนมาใกล้ชิดหรือศึกษาธรรมอย่างนี้ไม่ได้
เหมือนกับสมัยก่อนในยุคของพระศาสดาทั้งห้าที่สาวกของพระพุทธศาสนากับศิษย์ของศาสนาเต๋า ต่างแข่งขันซึ่งกันและกันอย่างนี้ก็ไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องไปสำนึกขอขมาที่คุกสวรรค์กันทั้งสิ้น ปัจจุบันทุกคนล้วนมีกายสังขาร จึงไม่รู้ว่าจะพิจารณาบาปบุญคุณโทษอย่างไร ?แต่รอดูเมื่อเจ้าละกายสังขารซิ บางคนก็ตั้งปณิทานลงมาในโลกได้เจริญปณิธานต้านภัยกลับคืนขึ้นไป ฉะนั้นทุกคนตัองปฏิบัติงานธรรม โดยอิงมโนธรรมสำนึก หากชอบนินทา กล่าวหาคนอื่น ว่าไม่มีพระโองการณ์สวรรค์งานธรรมที่คนอื่นปฏิบัติไม่ได้ผล พูดแต่ว่าตนเองดีที่สุด และพูดว่าคนอื่นไม่ถูกต้องอย่างนี้ก็แย่แน่ ๆ รอเมื่อเจ้ามาที่คุกสวรรค์บาปก็ชำระล้างไม่หมด ต้องไปเที่ยวเยี่ยมเยียนทีละถ่ำทีละคุกค่อย ๆ รับกรรมทีละอย่าง ๆ อย่างนี้เจ้าทั้งหลายฟังเข้าใจหรือเปล่า ?
คำพูดของฉันเหล่านี้ ต้องถ่ายทอดออกไป เพื่อให้ญาติธรรมนักธรรมอาวุโส เตี่ยนฉวนซือ เจี่ยงซือทั้งหมดทั้งมวลนั้นได้เข้าใจและนำไปพูดบอกกล่าวคนอื่นต่อ ๆไปอีก นี่จึงจะเป็นเจตนาของพระแม่องค์ธรรม อย่างนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือเปล่า ถ้าเข้าใจ เมื่อกลับบ้านไปแล้วก็ต้องไปตักเตือนคนอื่น ๆที่มีญาติธรรมเก่า ๆ หลายคนที่ตั้งปณิธานกินเจไป ล้วนกลับทุศีลแตกเจ หรือผิดต่อปณิธาน บำเพ็ญพรหมจรรย์ที่เคยตั้งไว้ หรือผู้ที่ถดถอยออกจากอาณาจักรธรรม ผู้ที่เมื่อก่อนอุทิศตนเพื่องานธรรม แต่กลับปัจจุบันไม่ได้อุทิศตนนั้น หรือผู้ที่ในอดีตเคยฉุดช่วยคนอื่นมาและได้ปฏิบัติงานธรรมมาบ้างแต่ปัจจุบันตัวเองกลับแอบอยู่ที่บ้านไม่ยอมออกมา พวกเจ้าจะต้องไปตามหาพวกเขาให้พวกเขาได้ออกมาช่วยงานอีกอย่างนี้ฟังเข้าใจหรือไม่ ? ถ้าหากตอนนั้นไม่ทำไม่ปฏิบัติเมื่อกลับคืนไปแล้ว ย่อมต้องทุกข์แน่ ๆ
มีวิญญาณเดิมของผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่ง ที่ถูกตีเข้าคุกสวรรค์แล้ว แต่ว่ากายสังขารของเขาคนนั้น ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกเขาเองไม่รู้แต่ว่าจะมีอาการคือ เหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคือไร้ซึ่งสติปัญญาและยังมีอาการหนึ่งคือนอนไม่หลับหมายถึงความไม่ปกติของเส้นประสาท ไม่เป็นตัวของตัวเองบ้าง มีคนมากมายที่มีอาการเหล่านี้แต่เขาไม่รู้เรื่องกลับเข้าใจผิดคิดไปว่าตัวเองตรากตรำทำงานมากเกินไปซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการอย่างนี้ แล้วยังต้องถูกตีไปคุกสวรรค์ ดังนั้นเจ้าทั้งหลายอย่าได้นำไปพูดตามอำภอใจ ต้องระมัดระวังคำพูดนี่เป็นเพียงตัวอย่างอาการที่ให้พวกเจ้าได้เห็นเจ้าจะต้องรู้จักแยกแยะพินิจพิจารณา ผู้บำเพ็ญธรรมทุก ๆคนก็เหมือนกันในตอนนี้ไม่มีปัญญาและไม่เป็นตัวของตัวเองเจ้ากรรมนายเวรก็จะอาศัยโอกาสตามติดประชิดตัวเข้ามา คนที่เป็นแแบบนี้ก็จะหน้าสงสาร อย่างนี้พวกเจ้าฟังกันรู้เรื่องไหม ? จะวิเคราะห์แยกแยะกันได้หรือเปล่า ?
ยังมีอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือเดรัจฉานที่มีทั้งเขาทั้งขน ประเภทนี้จะทำอย่างไร ? ประเภทดังกล่าวนี้วิญญาณเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์คน แต่เมื่อกลับไปสู่พระนิพพานแล้ว ก็จะเปลี่ยนมาเป็นรูปลักษณ์เดิมของดวงดาวเทพสถิตต่าง ๆ คุมขังเอาไว้
ในปัจจุบันนี้ยุคสามปลายกับป์มีพุทธะอุบัติลงมาและก็มีมารมาจุติเช่นกัน ไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าเป็นมาร แต่ฉันพูดถึงมารที่อยู่ในวงการธรรม ฉันกำลังพูดถึงบางคนที่มีอารมณ์อุปนิสัยที่ก้าวร้าวเวลาทำงานก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้เจ้าเข้าใจไหม ?
อย่าได้รับผลกระทบจากผู้อื่น ปัจจุบันนี้มีนักธรรมอาวุโสหลาย ๆท่านทยอยกันกลับคืนเบื้องบนไปแล้ว ขัางหลังยังมีนักธรรมผู้น้อยจำนวนหนึ่งได้เริ่มต้นแย่งชิงพระโองการณ์สวรรค์กันเคยได้ยินเรื่องของท่านเว่ยหล่างพระสังฆปรินายกสมัยที่ ๖ ของจีนหรือไม่ ? ใช่หรือไม่ใชว่าผู้คนจำนวนมาก ต้องการแย่งชิงพระโองการณ์สวรรค์ไปจากพระองค์ (สัญลักษณ์คือ บาตร และจีวร) แต่ว่าคนเหล่านั้นสามารถแย่งชิงเอาไปได้หรือไม่ ? ในปัจจุบันนี้วงการธรรมกำลังวุ่นวายสับสนกันอยู่ แถมยังมีคนพูดว่า "ไม่ต้องปฏิบัติงานธรรมแล้ว มนุษย์ภูมิสิ้นสุดการถ่ายทอดเพียงเท่านี้ อนุตตธรรมถ่ายทอดถึงแค่นี้เท่านั้นไม่มีพระวิสุทธิอาจารย์แล้ว....."
ในสมัยก่อน พระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิงของพวกเจ้าได้กล่าวว่า "ยุคสามวาระท้ายปลายกัป ปรกโปรดฉุดช่วยทั้งสามโลก"ฉุดช่วยปรกโปรดใครบ้าง ? (เบื้องบนฉุดช่วยเทพเทวาชั้นเทวภูมิ เบื้องกลางฉุดช่วยคนบุญในมนุษยภูมิและเบื้องล่างฉุดช่วยวิญญาณในนรกภูมิ ) ในเมื่อพวกเจ้าพูดได้ก็ต้องรู้จักไปตักเตือนคนอื่นเช่นกันได้ไหม ?
ในปัจจุบันนี้ มีพุทธบุตรคนเดิมได้ตั้งปณิธานจากคุกสวรรค์ ลงมายังโลกโลกีย์เพื่อบำเพ็ญมรรคผลอีกครั้ง พวกเจ้าได้ร่วมบุญสัมพันธ์กับฉันมาก่อนหรือเปล่า ?บางคนในที่นี่มาจากคุกสวรรค์ ฉันรู้จักพวกเจ้าดีแต่ว่าพวกเจ้าไม่รู้จักฉันเองต่างหาก ตอนนี้เพียงมาบอกกล่าวตักเตือนพวกเจ้า จงอย่าเสียทีที่ได้เกิดมาอีกไม่เช่นนั้นเมื่อกลับคืนไปก็จะถูกกักขังยิ่งนานกว่าเดิมอีก ถึงเวลานั้นคงยุ่งแน่ ๆ หนทางคืนกลับสู่เบื้องบนจะผ่านด่านของฉันไปคงลำบากแน่ ๆ ฉันดีดลูกคิดเป็น(คิดเล็กคิดน้อย) และคิดได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียด้วย พวกเจ้าไม่เหมือนกับฉัน พวกเจ้าต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ต้องคอยกังวลเรื่องปากเรื่องท้อง จากนั้นจึงค่อยหันมาสนใจพระพุทธะ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลกนั่นเอง นอกจากนี้ยังต้องดูแลภรรยาและลูกๆ รักษาทรัพย์ของตระกูลและยังต้องหางานหาเงิน ถึงสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจำเป็น แต่เจ้าก็ต้องรู้จักสร้างบุญกุศล รู้จักให้ทรัพย์เป็นทานอย่างนี้ดีไหม ?เพียงแต่พวกเจ้าบำเพ็ญฝึกฝนตนอย่างสม่ำเสมอก็เพียงพอแล้วฉันได้เปิดเผยความลับสวรรค์มามากต่อมากแล้ว หากเปิดเผยความลับสวรรค์มากไป ก็ต้องถูกกักขังที่คุกสวรรค์เหมือนกันตัวเองยังต้องถูกขังเลยน่าขำไหม ? ที่จริงแล้วไม่น่าขำเลย เพราะก็มีพุทธะที่ตั้งปณิธานลงมาหนุนนำงานธรรม ลงมาผูกบุญสัมพันธ์ซึ่งเป็นพระบัญชาของพระแม่องค์ธรรม แต่หากอริยกิจที่ได้รับมอบหมายมาทำได้ไม่ดี เมื่อกลับคืนไปก็ต้องถูกกักขังเช่นกัน ต่อให้เป็นพุทธะก็เถอะ
-
อุโมงค์จองจำเทพเซียน
อุโมงค์จองจำเทพเซียน มีไว้กักขังจองจำเทพเซียน ในคุกสวรรค์ก็มีสถานที่กักขังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน เช่น แปดเซียน มหาเทพอื่น ๆ พระโพธิสัตว์ หรือพระอรหันต์ บางองค์ถูกผูกมัดเอาไว้บางองค์ทำความผิดด้วยความไม่ระมัดระวัง พุทธะบางองค์รับประกันแทนคนบนโลก รับประกันอย่างไร ? พระองค์บอกว่า "เขา(คนบนโลกทำความ-ผิดมาสามครั้งแล้ว)" พระองค์จึงวอนขอให้พระแม่องค์ธรรม ประทานโอกาสอีกครั้งให้กับคนคนนั้น พระองค์จะขอรับประกันเอง ถ้ารับประกันไม่สำเร็จจะต้องเป็นอย่างไร ? มีเพียงกักขังเท่านั้น พระองค์ต้องรับผิดแทนคนคนนั้นเองอย่างนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ ? พวกเจ้าลงมายังโลกโลกีย์ ก็มีพระพุทธะมากมายรับประกันแทนพวกเจ้าเหมือนกันฟังเข้าใจหรือไม่ ? ก็เหมือนกับผู้ค้ำประกันนั่นเองบนโลกก็นิยมเรื่องอย่างนี้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของคนคนหนึ่งอาจารย์ของเจ้าก็รับประกันแทนเจ้าแล้ว ถ้าหากไม่ได้กลับคืนไปจะทำอย่างไร ? ไม่มากก็น้อย ย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับประกันให้กับพวกเจ้าใช่หรือไม่ เมื่อมีใจบำเพ็ญธรรมก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฉุดช่วยปลดปล่อยให้พวกเจ้า ช่วยให้พวกเจ้ากำจัดความทุกข์ยากลำบากอย่างนี้เข้าใจหรือไม่ ?ดังนั้นไม่ใช่ว่าทำดีตอนยังมีกายเนื้ออยู่บนโลก เมื่อกลับคืนไปแล้วจึงค่อยถูกกักขัง ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำผิดมายังคุกสวรรค์ที่ฉันดูแลอยู่ พระองค์เหล่านั้นเต็มใจที่จะถูกกักขัง
นี่ไม่ใช่กำลังฤทธิ์ของฉัน ทุก ๆ พระองค์ล้วนเท่าเทียมเสมอกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างเคารพกันและกัน ต่างยอมรับเลื่อมใสกันและกัน ต่างเรียนรู้กันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปทำไปด้วยกันและกัน
ตัวอย่างเช่น ฉันเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แก่ ๆ องค์หนึ่ง ก็ไม่อาจดูถูกดูแคลนสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์น้อย ๆได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์น้อย ๆเหล่านั้น ถ้าได้บำเพ็ญอีกก็ย่อมสำเร็จเป็นพระพุทธะได้เช่นกันด้วยว่าทิพยญาณเหมือนกันล้วนแบ่งญาณมาจากพระแม่องค์ธรรมทั้งนั้น ทุกคนทุกองค์ต่างเป็นพี่น้องร่วมพระแม่องค์ธรรมเดียวกัน อย่าได้มัวเปรียบเทียบว่ากำลังฤทธิ์ของใครผู้ใดแกร่งกล้ามากมายกว่าักัน หรือว่าบำเพ็ญมานานกว่า เจ้าเป็นนักธรมอาวุโสเมื่อสำเร็จธรรมแล้วพวกเจ้ามากมายหลายคน ก็มีเขาสองเขางอกออกมา ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่วิเศษแล้ว ดังนั้นยิ่งบำเพ็ญนานวันยิ่งไม่ควรที่จะมีความผิดพลาดโทษบาปหนัก ยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องสว่างไสวยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องจิตใจดีงามยิ่งบำเพ็ญยิ่งต้องมีเมตตากรุณา ยิ่งบำเพ็ญยิ่งใบหน้าต้องผ่องใส
หากรู้ว่าตัวเองบำเพ็ญได้ไม่ดี ยังพอเยียวยาได้ผล หยุกยายังพอใช้ได้ผล แต่ถ้าคิดว่าตนเองบำเพ็ญได้ดีแล้ว ผู้ที่อวดอ้างวางท่ายโสอวดดีเช่นนี้ก็ไม่อาจช่วยได้แล้ว ทุกคนล้วนมีรากบุญในการสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าจึงต้องเรียนรู้ฝึกฝนให้ดี อย่างนี้เข้าใจหรือไม่ ? เจ้าอย่าได้พูดว่า "ใบหน้าของฉันถูกแสงแดดแผดเผาจึงหมองคล้ำไป" ไม่ใช่เช่นนี้แน่ ฉันดูที่แสงญาณของพวกเจ้าต่างหาก ไม่ใช่ดูที่ผิวหน้า หากว่าใครก็ตามผิวหน้าหมองคล้ำก็ไม่ใช่ว่าคนคนนั้นบำเพ็ญได้ไม่ดีอย่าได้ดูถูกดูแคลนเขา บำเพ็ญธรรมหากว่างได้ ปลงได้ตกสักนิดก็ย่อมบำเพ็ญได้อย่างไม่มีการทดสอบและอุปสรรคแล้วเป็นไปตามเหตุปัจจัยธรรมชาติ ไม่ใช่บำเพ็ญได้ง่ายกว่าหรอกหรือ ? หากว่าอันนี้ก็จะเอา อันนั้นก็ต้องการไม่ต้องพูดเลย เพราะคงบำเพ็ญอย่างยากลำบากแน่ ๆ จะบำเพ็ญธรรมด้วยและจะดูแลครอบครัวด้วย จะดูแลทั้งทางโลกและทางธรรมไปพร้อมกันนั้นเป็นเรื่องยาก เรื่องใหญ่ของชีวิตจิตญาณจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนทำมาหากินนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
เวลาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว เปรียบแค่ชั่วกระพริบตา แค่ชั่วกระพริบตาเดียวคนก็ลาจากโลกไปแล้ว ต้องเปลี่ยนร่างใหม่กันแล้ว ถ้าไม่บำเพ็ญกลับคืนเบื้องบน ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น มีพุทธบุตรเดิมมากมายถูกกักขังอยู่ที่คุกสวรรค์ มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ที่นั่นมีบางส่วนต้องแบ่งญาณมายังโลก มีร่างกายปฏิบัติบำเพ็ญในโลก พวกเจ้าจึงต้องไปฉุดช่วยนำพาพวกเขา ทำให้พวกเขาเดินมาสู่หนทางที่ดีงามให้ได้ ฉันไม่หวังให้พวกเจ้าเดินเข้าไปสู่คุกสวรรค์ แต่ต้องสำเร็จในบุญกุศลและได้รับมรรคผลมีอริยฐานะ จึงจะถูกต้อง
-
อุโมงค์ก้อนหิน
ขอพูดถึงอีกสถานที่หนึ่ง ผู้ที่จิตใจไม่ค่อยบริสุทธิ์ ถ้าไม่เพราะนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีมีอยู่มากมายก็เป็นเพราะไม่ผ่องแผ้ววิสุทธิ์ในอารมณ์เจ็ด ตัณหาหก นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างชาย - หญิงยังละวางไม่ได้ เยื่อใยระหว่างสามีภรรยา ก็หลีกหนีกันไม่ได้ ใครที่เป็นอย่างที่กล่าวมานี้เมื่อกลับคืนไปก็ต้องถูกอบ ถูกอบอย่างไร ? นั่นคือใช้ไฟอุ่น ๆ ค่อย ๆ สุมอบ วิญญาณที่นั่งอยู่ในอุโมงค์ก้อนหิน จิตใจจะต้องวิสุทธิ์ผ่องใสหากสงบลงมาไม่ได้ ก้อนหินนั้น ก็จะร้อนขึ้นจนลวกพองเข้าให้ อุโมงค์ทั้งอุโมงค์ก็จะร้อนระอุขึ้นมา อบอ้าวมาก ร้อนจนเหงื่อกาฬแตกอยากจะหนีก็หนีไปไม่ได้ ก้อนหินทั้งหมดนั้นร้อนมาก หากว่าความคิดสงบลงได้แล้ว ไม่มีความคิดเหลืออยู่อีกแล้ว ก้อนหินนั้นก็จะเย็นขึ้นมาได้เอง ถ้ามีความคิดเกิดขึ้นอีก ไม่ผ่องแผ้วดีงามอีก ก็แย่แล้วล่ะ!
ในคุกสวรรค์ของเบื้องบนนั้น จะมีมายาภาพแปรเปลี่ยนไปมาตัวอย่างเช่น สาวงามหรือเทพธิดามาแกล้งยั่วยวนวิญญาณ เหล่านั้นล้วนเป็นมายาภาพไม่ใช่สิ่งจริง เป็นสิ่งมาทดสอบ วิญญาณเหล่านั้นจะหยุดก็ต่อเมื่อไม่มีจิตใจเกิดขึ้นมาอีก จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็จะโดนทดสอบเหมือนกัน พวกเจ้าจะไม่รีบเร่งบำเพ็ญกันหรืออย่างไร ? ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับคืนไปก็จะโดนเหมือนกัน จะบำเพ็ญเพิ่มเติมนั้นก็ยากที่จะรับไหว
นี่คือพวกที่ผ่าน "สามด่าน เก้าทวาร "กันไม่ได้ ยิ่งไปถึงคุกสวรรค์ยิ่งลำบากกว่าอีกอย่างนี้เข้าใจหรือไม่ ? ดีแล้ว ฉันคงต้องลาจากไปแล้ว ฉันจะรอคอยพวกเจ้าอยู่บนพระนิพพาน เอาละ พวกเจ้าแต่ละคนรีบเร่งก้าวเดินกันเถิด สร้งบุญเจริญปณิธานกันให้ดี ๆ นะ
พระโอวาทพระพุทธบรรพจารย์เทียนหยาน
ผลสำเร็จในภายหน้า
มิใช่ขึ้นอยู่กับอาณาจักรธรรมใหญ่หรือเล็ก
ไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าสร้างตำหนักพระน้อยใหญ่ไว้กี่แห่ง
ยิ่งไม่ขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบจำนวนญาติธรรมของกันและกัน
แต่อยู่ที่...บำเพ็ญจริงขัดเกลาแท้
ยึดมั่นรักษาในปณิธานและศีล
ไม่โลภฟุ้งระเริง ไม่ได้แย้งแก่งแย่ง
นำจิตใจที่กลมกลืนสมาน
ไปสำเร็จภาระศักดิ์สิทธิ์ของตัวเจ้าเอง
-
พระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า (๒)
ที่คุกสวรรค์ มีการลงทัณฑ์ หลายหลากวิธี
ธรรมหมื่นวิถี ล้วนเกิดจากใจ ไม่ใช่สิ่งอื่น
หากตัดยึดมั่น ละวางลงได้ มรรคผลได้ชื่น
เสรีเริงรื่น ที่แดนนิพพาน หมื่นแปดร้อยปี
ครั้งที่แล้วพูดถึงคุกสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ในตอนนี้จะพูดถึงชั้นที่สอง ฉันน่ารักมาก แล้วก็แก่่แล้วด้วย ทำไมฉันจึงรักใคร่เอ็นดูพวกเจ้านี่ย่อมมีสาเหตุ อะไรคือสาเหตุเหล่านั้น ? นั่นเป็นเพราะว่าฉันเองกับพระอาจารย์จี้กงของพวกเจ้าเป็นดวงธรรมญาณเดียวกัน ดังนั้นเมื่อฉันได้เห็นพวกเจ้า ก็เหมือนได้เห็นลูกเห็นหลานของตนเอง พระแม่องค์ธรรรมเมตตาให้ฉันได้ดูแลควบคุมคุกสวรรค์ จึงหวังว่าศิษย์ที่ยังบำเพ็ญไม่ดีของฉันเหล่านี้ ได้่ผ่านการตักเตือนกล่อมเกลาจากฉันแล้ว จึงจะเจริญก้าวหน้า มีอนาคตอันสดใส เข้าใจหรือไม่ ?
-
ถ้ำวายุสายฝน
"ถ้ำวายุสายฝน" เป็นทัณฑสถานแห่งหนึ่ง ทุก ๆ คุก ก็จะมีถ้ำย่อย ๆ พุทธบุตรที่ทำความผิดบาปล้วนต้องไปเคี่ยวกรรม บำเพ็ญอยู่ภายในถ้ำ หนึ่งคนต่อหนึ่งถ้ำพอดิบพอดี ขนาดของถ้ำไม่กว้างและไม่แคบเกินไปแต่คนที่อยู่ข้างในต้องถูกลงทัณฑ์เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ถ้ำเหล่านี้เอาไว้กักขังนักธรรมอาวุโสเก่า ๆ นักธรรมอาวุโสทั่วไป เตี่ยนฉวนซือ และญาติธรรมเก่า ๆ เหล่านี้กลัวว่านักธรรมผู้น้อยของตนจะถูกผู้อื่นแย่งไป ทั้ง ๆที่เป็นเตี่ยนฉวนซือที่เปิดสถานธรรมเหมือนกัน แต่กลับไม่ให้คนอื่นเข้ามา เนื่องจากกลัวว่าญาติธรรมของตนจะถูกคนอื่นส่งเสริมแล้วแย่งเอาไปแท้ที่จริงแล้วนี่เป็นความเห็นแก่ตัว และมีทิฐิเอนเอียงนั่นเอง บางคนอาจจะกลัวอาณาจักรธรรมปั่นป่วน กลัวว่าพระบรรพจารย์ปลอมหรือพระจี้กงปลอมจะมาสร้างความวุ่นวายในอาณาจักรธรรม แต่ว่าบางคนมีความยึดมั่นถือมั่นในใจมาก
คนที่มีจิตเมตตากรุณานั้น เบื้องบนย่อมรับรู้ แต่ถ้าในใจไร้ความเมตตากรุณา เบื้องบนก็รับรู้เช่นกัน ดังนั้นผู้ที่ต้องมารับโทษที่คุกวายุสายฝนนี้ก็เป็นเพราะว่า กลัวว่านักธรรมผู้น้อยของตนจะถูกคนอื่นแย่งเอาไปจึงยื้อแย่งบุญกุศลในใจคิดว่าตัวเองฉุดช่วยคนหนึ่งมารับธรรมะก็เป็นบุญกุศลของตน นักธรรมผู้น้อยของฉันพาคนมารับธรรมะสิบคนก็เป็นนักธรรมผู้น้อยของฉันอีกเช่นกัน บวกเข้าไปก็ได้สิบเอ็ดคนอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่า อย่างนี้ยิ่งบวกก็ยิ่งมาก บุญกุศลยิ่งรวมกัน ก็ยิ่งแยะยิ่งใหญ่
ที่จริงแล้วเบื้องบนไม่ได้จดแค่ผลบุญหรอก เพราะเบื้องบนคำนวนเอาจาก"คุณธรรมในใจ " ความเมตตากรุณาที่มีอยู่ในจิตใจ สามารถช่วยให้เจ้าหลุดพ้นไปจากพันธนาการของธาตุทั้งห้า นี่จึงจะเป็น"กุศลที่แท้จริง" ผู้ที่จิตใจยังถูกธาตุทั้งห้พันธนาการผูกมัดอยู่ คนประเภทนี้บำเพ็ญธรรมย่อมไม่ประสพความสำเร็จ หากพวกเจ้าเจอคนประเภทนี้ ต้องรู้จักตักเตื่อนชี้แนะ อย่าให้เขาทำผิดไปมากกว่านี้ เพราะเมื่อกลับคืนเบื้องบนไปแล้วก็จะต้องเอาบุลกับบาปมาเปรียบเทียบกัน เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะได้แต่ถูกจับไปจองกักขัง
ผู้ที่มีความยึดมั่นถือมั่นเกินไป หรือเป็นผู้ที่มีบาปกรรมหนักหนา ภายในถ้ำวายุสายฝนนั้นจะมีลมหนาวพัดมาทิ่มแทงเข้ากระดูก ลมกับฝนมาเหมือนกับเข็มไม่มีผิดเพี้ยน ได้ทิ่มแทงเข้าไปทุก ๆ อณูขุมขน เจ็บปวดทรมานไปถึงหัวใจเพื่อให้เขาทั้งหลายได้รู้ตื่น ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้อีก เพราะเขาทำให้คนอื่นต้องตกสู่นรกอเวจี ตัดรากปัญญาของคนอื่น นี่เป็นบาปมหันต์อย่างยิ่ง
-
ถ้ำอัสนีสายฝน
วิญญาณบาปทุกดวงที่ถูกลงโทษทัณฑ์ จะต้องนั่งอยู่ในถ้ำ และภายในถ้ำก็จะมีเสียงอัสนีสายฟ้าฟาดดังสนั่นถ้ำที่ว่านี้ไว้รองรับคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวบำเพ็ญมากว่ายี่สิบปี ก็ยังมีอารมณ์ร้าย สามสิบปีก็ยังไม่บรรเทา ไม่มีความเมตตากรุณากับนักธรรมผู้น้อย ไม่มีความเคารพยำเกรงต่อเบื้องบน ไม่ว่าคนอื่นจะตักเตือนทัดทานอย่างไร ก็ทำเป็นหูทวนลม คนประเภทนี้จะไม่กระจ่างแจ้งในหลักธรรม ไม่มีสติปัญญาจะถูกนำมาที่ถ้ำอัสนีสายฝนนี้เพื่อลงโทษทัณฑ์
เสียงสายฟ้าฟาดกระหึ่มกึกก้องกังวานจนแก้วหูแตกมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดทว่าเขาไม่มีกายสังขารแล้วจะรู้สึกเจ็บได้อย่างไรเล่า ? นั่นเป็นร่างญาณที่เจ็บ เพราะโลกที่ไร้รูปลักษณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นมีรูปลักษณ์ได้ แต่นั่นเป็นแค่รูปลักษณ์จอมปลอม เช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าที่มีแสงไฟออกมา แต่เจ้าก็ไม่สามารถจับต้องมันได้ใช่หรือเปล่าได้แต่สัมผัสถึงความสว่างเมื่อแสงเหล่านั้นสาดส่องมาถึงเท่านั้นเอง
พวกเจ้าทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ได้ทำผิดในเรื่องนิสัยอารมณ์อย่างนี้หรือไม่ ?เมื่อสักครู่นี้ที่ได้พูดไปสองอย่างพวกเจ้าได้ทำผิดกันหรือไม่ ? ถ้าหากทำผิดอย่างนั้นอยู่ ก็จะโดนพันธณาการและพาตัวไปกักขังจองจำ เอาละ ! จะให้พวกเจ้าได้มีโอกาสอยู่บ้าง เป็นเพราะพวกเจ้ายังมีกายสังขารอยู่ ยังคงมีชีวิตกันอยู่ ยังไม่ได้ตายถ้าหากตายไปแล้วก็จบกัน
-
ถ้ำอมฤตธรรม
ถ้ำอมฤตธรรม ดูตามรูปศัพท์ก็พอคาดเดาได้ว่า หมายถึงตอนที่มีชีวิตอยู่ชอบยึดติดกับพุทธธรรมหรือคัมภีร์
ทั้งหลายยึดแน่นในวิถีการบำเพ็ญปฏิบัติตน โดยคิดว่าวิถีการบำเพ็ญปฏิบัติของคนอื่นไม่ดี ตัวอย่างเช่นการบำเพ็ญ
ทุกรกิริยาที่ไม่กินไม่สวมใส่เครื่องนุ่งห่ม ไม่หลับไม่นอน ใช้ไฟเผาลนตัวเอง ฯลฯ ซึ่งการบำเพ็ญทุกรกิริยา เป็น
เพียงการเคี่ยวกรำกายสังขารเท่านั่นเองแต่หากไม่บำเพ็ญเคี่ยวกรำจิตภายใน ไม่ตัดโลภ โกรธ หลง ทิ้งไปกลับ
คิดว่าตัวเองบำเพ็ญปฏิบัติถูกแนวทาง ถึงคำพูดของคนอื่นจะมีเหตุมีผลแต่ก็ไม่ยอมฟังคนประเภทนี้ต้องลำบากแน่ ๆ
เมื่อถึงเวลาที่ต้องถูกเคี่ยวกรำ คนเหล่านี้จะมารวมนั่งฟังธรรมะจากพระพุทธะแต่ทว่ากลิ่นเสียงกับแหลมทิ่มแทง
แก้วหู ! รู้สึกคัน ๆ รู้สึกแปลก ๆ ไม่สบายไปทั้งตัว นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ทิพย์โปรยปรายลงมาจากเบื้องบนซึ่งเมื่อ
มาติดตามตัวแล้วก็จะรู้สึกคันมาก ๆ แต่ก็ต้องนั่งฟังธรรมะต่อไปไม่เช่นนั้นจะยื่งทุกข์ทรมานกว่าเดิมและจะไม่ฟัง
ต่อก็ยิ่งไม่ได้ เพราะว่าเมื่อฟังคำคำหนึ่ง หูก็จะรู้สึกคันเป็นอย่างมาก คนประเภทนี้ก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้ตั้งใจฟัง
การบรรยายธรรม และก็ยังนั่งกันตามสบาย หรือไม่ก็นั่งไขว่ห้างนึกคิดเรื่องส่วนตัวอยู่
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งคือ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร เขาก็จะไม่ชอบ ซ้ำยังหาว่าผู้อื่นพูดเกินเลยโอ้อวดหรือ
พูดส่งเดช เรื่อยเปื่อย จิตใจฟุ้งซ่าน เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงแสดงธรรมก็ยังไม่ชอบฟัง และไม่ยอมฟังด้วย
คิดไปเองว่าหลักธรรมที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์พูดนั้น เป็นคำง่าย ๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเลย ผู้ที่เย่อหยิ่ง อวดดื้อถือดี หรือมัก
ใหญ่ใฝ่สูง ผู้ที่ไม่ตั้งใจฟังคำพูดนักธรรมอาวุโส หรือผู้ที่นั่งหลับเสมอ ๆ เวลาที่ฟังธรรมะอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้นาน
วันเข้าก็จะยื่งแปดเปื้อนมากขึ้น ๆ คนบำเพ็ญอย่างนี้จะต้องถูกจับตัวให้ไปบำเพ็ญกันต่อ อย่างนี้แล้วพวกเจ้ากลัว
หรือไม่กลัวกันล่ะ ? ในวันนี้ก็มีคนนั่งหลับตั้งหลายคน แต่ก็แค่จดบันทึกเอาไว้เท่านั้น ยังไม่ได้จับตัวไปกักขังใน
ทันที เหมือนกับเวลาที่เจ้าขับรถผิดกฏจราจร ถ้าหากผิดบ่อยครั้งสะสมกันมากๆเข้าแล้วจึงจะโดนจับไปลงโทษนั่นเอง
ถ้ำอมฤตคุณ
ถ้ำอมฤตคุณ พุทธบุตรที่อยู่ในถ้ำนี้ เป้นผู้ที่มีอำนาจและฐานะแต่ว่ากลับไม่ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ไม่มีความ
เมตตากรุณาต่อนักธรรมผุ้น้อยแต่กลับใจไม้ใส้ระกำ ตัวเองคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ จิตใจไม่เที่ยงตรง แม้จะ
บำเพ็ญมานานเมื่อดูภายนอกแล้วเหมือนกับผู้มีจิตเมตตา พอลับหลังกลับนินทากล่าวหาว่าร้ายผู้อื่นซึ่งที่จริงแล้ว
ไม่ได้มีคุณธรรมอย่างที่คิด
หลายคนถูกลักษณะภายนอกของเขาเหล่านั้นหลอกเอา เมื่อผ่านไปนานวันเข้า จึงได้เห็นโฉมหน้าที่
แท้จริงของเขาก็ถูกทดสอบจนตกหล่นไป คนประเภทนี้ที่แปลก ๆ ไม่มีคุณธรรมนิสัยอารมณ์ก็ไม่ดีใจคอโหด
ร้ายต่อผู้อื่นเห็นแก่ต้ว ก็ต้องมาถูกกักขังที่นี่เวลาถูกลงโทษทัณฑ์จะมีน้ำที่เย็นเฉียบเทลงมา หากจิตสงบอารมณ์
เยือกเย็นอุณหภูมิของน้ำก็จะอุ่นขึ้นแต่หากจิตยังขุ่นเคืองไม่พอใจ อุณหภูมิ ของน้ำก็จะเย็นยะเยือก อุณหภูมิ
ของน้ำก็จะขึ้นอยู่กับภาวะของจิตนั่นเอง เมื่อบาปกรรมมลายไปการเคี่ยวกรำจึงจะหยุด
นอกจากที่กล่าวมาเบื้องต้นแล้วยังมี "ถ้ำอมฤตธาตุทอง" "ถ้ำอมฤตธาตุไม้" "ถ้ำอมฤตธาตุน้ำ "
"ถ้ำอมฤตธาตุไฟ" "ถ้ำอมฤตธาตุดิน" นั่นก็เป็นเรื่องของธาตุทั้งห้า แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พระแม่องค์ธรรม
ได้มีพระบัญชาว่า "ความลับของคุกสวรรค์ในแต่ละชั้นจะต้องปิดไว้บ้างบางส่วน " เพราะอะไรจึงไม่สามารถเปิด
เผยทั้งหมด ?เพราะเมื่อพูดให้พวกเจ้าได้ฟังกัน กลับจะไม่รู้จักคุณค่า กลับจะไม่สนใจใยดีกัน
-
คุกเก็บเมล็ดถั่ว
นั่นก็คล้ายกับเรื่องที่ซินเดอเรลล่า (หรือ ฮุยกูเหนียง)ต้องเก็บเมล็ดถั่ว แต่ก็ไม่เหมือนกับซินเดอเรลล่า
ซะทีเดียว ญาติธรรมทั่วไป เตี่ยนฉวนซือ เจี่ยงซือ รวมทั้งทุกคนที่นี่ล้วนเคยกระทำผิด คือเวลาฉุดช่วยคนได้แต่
นับหัวกันโลภในปริมาณ แต่ไม่เน้นที่คุณภาพ ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นมีความประพฤติที่ดี หรือไม่ดีถึงจะณุ้จักกันแค่ผิวเผิน
ตามท้องถนนก็ฉุดช่วยเขามาคิดแต่ว่าถ้าฉุดช่วยคนได้หนึ่งร้อยหรือสองร้อยคนก็จะมีบุญกุศลใหญ่ แต่กลับไม่ไป
ส่งเสริมสนับสนุนเขาเหล่านั้น หลังจากที่ได้ฉุดช่วยไปแล้ว เที่ยวฉุดช่วยคนทั่วไป เที่ยวผูกบุญสัมพันธ์กับใครต่อ
ใครไปทั่ว แต่ไม่ไปส่งเสริมเขาเหล่านั้น คนประเภทนี้ก็ต้องกลับไปยังคุกสวรรค์เพื่อให้ "เก็บเมล็ดถั่ว"
แต่เมล็ดถั่วของคุกสวรรค์นั้นไม่ใช่จะเก็บง่าย ๆ อย่างที่คิดด้วยเหตุที่คนบนโลกได้กินเจและรู้จักที่จะ
สร้างบุญกุศลแล้ว ดังนั้นเบื้องบนจึงให้รับโทษทัณฑ์ที่เบากว่า ไม่ต้องถูกตัดลิ้นผ่าท้อง ควักไส้ควักพุง คุกสวรรค์
ไม่เหมือนกับนรก และทุกๆ โทษทัณฑ์ที่จัดเตรียมไว้ก็ล้วนแต่แฝงเล้นไปด้วยหลักธรรม
สำหรับผู้ที่มีความผิดบาปหนักหน่อย จะมีเม็ดทรายปะปนกับเมล็ดถั่วเป็นกอง ๆ ดูซิว่าเจ้าจะเก็บจนถึงเมื่อไหร่?
หากว่าจิตใจของเจ้าไม่สงบเกิดอวิชชาความมืดบอดขึ้นมาคิดว่าตัวเองมีบุญกุศลมากมาย ฉุดช่วยคนเอาไว้ไม่น้อย
เมื่อกลับคืนไปต้องถูกกักขังจองจำอยู่ที่นี่เพื่อให้คอยเก็บเมล็ดถั่วแต่ที่แย่กว่านั้นก็คือกองเมล็ดถั่วจะมีสีเหมือนกับ
เม็ดทรายขึ้นมาทันที แล้วจะเก็บกันอย่างไรเล่า ? ฉะนั้นพวกเจ้าจึงต้องมีความระมัดระวัง อย่าได้ฉุดช่วยคนอย่าง
ขอไปที หรือฉุดช่วยมาแล้วก็ไม่ส่งเสริมสนับสนุน ทำให้เขาให้ร้ายทำลายธรรมะ ไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างกระจ่างชัด
ปัณหาและการทดสอบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรธรรมปัจจุบัน ก็เพราะหลายคนละโมบในบุญกุศล ฉุดช่วยคนแบบ
นับหัว เพื่อให้เตี่ยนฉวนซือดีใจ อย่างนี้ไม่ถูกต้องหลายคนไม่เข้าใจจึงได้กระทำผิด ฟังเข้าใจหรือไม่ ? หากเจ้า
ทั้งหลายมีจิตใจที่เที่ยงตรงเป็นสัมมา เมล็ดถั่วก็จะใหญ่ขึ้น ตรงกันข้าม หากเจ้ามีจิตใจที่เอนเอียงเป็นมิจฉา เมล็ดถั่ว
ก็จะยิ่งเล็กลง หนำซ้ำยังเปลี่ยนสีอีกซึ่งยากแก่การแยกแยะได้ แตที่แน่ ๆ ก็คือเจ้าต้องเก็บถั่วทุกเมล็ดให้หมด
บาปกรรมจึงจะมลายไป ดังคำกล่าวที่ว่า "หมื่นธรรมวิถีเกิดจากใจ จากใจเกิดหมื่นธรรมวิถี"
คุกไต่บันได
หนึ่งคนต่อหนึ่งบันได ต้องมีความตั้งใจปีนไต่ จากข้างล่างค่อยเป็นค่อย ๆ ไต่ แต่ไม่ว่าจะปีนจะไต่อย่างไร
ก็ยังอยู่ที่เดิม เหมือนกับขึ้นบันไดจะเลื่อนลงไปข้างล่างเรื่อย ๆ ในใจจึงหวาดหวั่นคนประเภทนี้เป็นคนที่ "
"สามวันหาปลาสองวันตากแห" สามปีห้าปีจึงจะบำเพ็ญสักครั้งหนึ่ง มีความกระตือรือร้นต่อธรรมะประเดี๋ยวประด๋าว
และเดี๋ยวก็เฉีื่อยชาเฉื่ยยเนือย ครู่หนึ่งก็ตั้งปณิธานใหญ่ อีกครู่หนึ่งก็ถดถอยไป อีกเดี๋ยวหนึ่งก็ไม่เชื่อต่อธรรมะแล้ว
คนประเภทนี้ ย่อมไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ว่าเขาได้บำเพ็ญธรรมอยู่ เขาคิดเห็นแต่เพียงว่า
การบำเพ็ญธรรมจะช่วยคุ้มครองให้เขาอยู่เย็นเป็นสุขได้ ดังนั้นจึงได้สร้างบุญกุศลจำนวนหนึ่งเพื่อชดเชยกับความผิด
พลาดของตนเองที่จริงแล้วเขาก็เข้าใจรู้ว่าต้องบำเพ็ญแต่ว่าเขาไม่อยากจะบำเพ็ญเองดังนั้นจึงถูกกักขังที่คุกสวรรค์นี้
เมธีทั้งหลาย !!!พวกเจ้าจะโดนจับมาขังที่นี่กันหรือเปล่า ?
-
คุกต้มน้ำ
คุกต้มน้ำหนึ่งคนต่อหนึ่งเตา เอาฟืนไปเผาแต่น่าแปลกประหลาดตรงที่คนมีสภาวะจิตยังบำเพ็ญได้
ไม่ถึงพร้อม เมื่อไปถึงคุกสวรรค์นี้แล้วต่อให้จุดไฟเผาฟืนอย่างไรไฟก็จุดไม่ติด ต่อให้เผาอย่างไรก็เผาไม่
ไหม้ คนประเภทนี้ เป็นคนที่เห็นงานธรรมเหมือนเป็นการพบปะสังสรรค์ เห็นคนอื่นร่วมประกอบพิธีก็เข้าไป
ร่วมสังสสรค์ เห็นคนอื่นยื่นผ้าเช็ดมือตัวเองก็เข้าไปร่วมสนุกไม่จริงจัง ไม่เห็นงานธรรมเป็นเรื่องสำคัญ เห็น
อะไรก็อยากทำก็อยากศึกษา พอเอาเข้าจริง ๆ ไม่มีเรื่องไหนงานไหนที่ทำเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา มีความ
กระตือรือร้นแค่ห้านาทีในการงานเท่านั้น ไม่มีความคงเส้นคงวา
เดี๋ยวก็ไปอาณาจักรธรรมโน้น เดี๋ยวก็มาสถานธรรมนี้ พักหนึ่งก็ไปศึกษากับนักธรรมอาวุโสคนโน้น
อีกสักพักหนึ่งก็หันไปศึกษากับเจี่ยงซือคนนี้ จิตใจวุ่นวายปั่นป่วน ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ตั้งใจมุ่งมานะ
ที่จะทำงานใด ๆ คนประเภทนี้ต้องจับมายังคุกนี้ จับให้ไปต้มน้ำต้มจนน้ำเดือดพล่านและแห้งไปแล้ว
บาปกรรมจึงจะมลาย อย่างนี้เข้าใจหรือเปล่า ?
คุกครัวฟ้า
คุกครัวฟ้า มีความเกี่ยวพันกับพวกเจ้า ผู้ที่อยู่ในคุกครัวฟ้านี้ก็คือ คนที่ตอนมีชีวิตกันอยู่ ได้ไปช่วยงาน
บริการผู้อื่นอยู่ตามวัดวาอารามหรือสถานธรรม มีหน้าที่หุงข้าวทำอาหาร ทำอาหารไปด้วยแล้วก็พูดคุยกันไปด้วย
ความคิดก็เกิดหวั่นไหวขึ้นมา เกิดความคิดไม่ตรงเป็นมิจฉา เกิดความยึดมั่นถือมั่นพูดถึงความไม่ถูกต้อง
ของคนอื่น จิตใจไม่สงบสำรวม ตัดพ้อต่อว่า ว่าคนอื่นสามารถยืนอยู่ที่แท่นบรรยายได้อย่างสง่างาม แต่ทำไม
ฉันจึงต้องมายืนเปรอะเปื้อนทำครัวอยู่ในนี้ มีกลิ่นอาหารติดตัวไม่สะอาด ฯลฯ ยิ่งกว่านั้นบางคนยังคิดว่า
"พูดธรรมะได้ไม่เห็นน่าตื่นเต้นอะไรเลย เพียงแต่ฉันพูดไม่เป็นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นฉันเองก็สามารถขึ้นไปยืน
บนแท่นบรรยายได้เหมือนกัน"
บางคนนั้นทำงานโดยไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่จะให้ช่วยงานอย่างอื่นก็ทำไม่เป็นเช่นกัน เชิญเขาไปช่วย
งานครัวเขาก็ไม่เอา ถึงจะทำครัวหุงหาอาหารไป ก็จะบ่นโน่นบ่นนี่ไปด้วยใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นระแวงแต่คนอื่น
อิจฉาแต่คนอื่น คนประเภทนี้ต้องจับมาขังไว้ที่นี่ ที่จริงแล้วถ้าไม่เจริญปณิธานด้วยความตั้งใจทำตามหน้าที่
ของตน ถึงจะช่วยงานธรรมอยู่ในครัวก็เป็นการสร้างบุญเจริญปณิธานเช่นกัน
คุกนี้มีการลงโทษทัณฑ์กันอย่างไร ? คือให้คนที่หั่นผักก็หั่นผักไป คนที่หุงข้าวก็หุงข้าวไป แต่เวลาหั่นผัก
ถ้าจิตใจฟุ้งซ่านนิ้วของตัวเองก็จะถูกหั่นไปด้วย หั่นไปเรื่อย ๆ จนตัวเองได้สติ เมื่อรู้สึกตัวนิ้วของตัวเองก็ถูกเฉือน
ไปแล้ว เบื้องบนได้เตรียมโทษทัณฑ์ดังกล่าวไว้เพื่ออะไร ? พวกเจ้ารู้หรือไม่ ? เพราะแหล่งที่มาของการสร้างกรรม
ของเจ้าอยู่ที่ใหน ? เบื้องบนก็จะจำลองสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ให้เจ้าได้มีโอกาสลบล้างความผิดบาป ฉะนั้นต่อไป
เมื่อช่วยงานธรรมในครัวข้างล่าง จงอย่าได้ทำอาหารไปแล้วก็บ่นโน่นบ่นนี่ไป หรือทำอาหารไปก็ครหานินทาคนอื่นไป
หรือวิพากวิจารณ์คนอื่นไป หากเป็นเช่นนี้บุญกุศลก็จะไม่กลมพร้อมสมบูรณ์ แต่ต้องถูกบั่นทอนอีกรู้หรือไม่ ?
-
คุกปลูกต้นไม้
คุกปลูกต้นไม้ คนที่รับโทษทัณฑ์อยู่ในคุกนี้ ในมือของแต่ละคนต้องมีต้นกล้ากันคนละหนึ่งต้น คนที่จิตใจ
ไม่ดีงามต้นกล้านั้นก็จะเติบโตขึ้นและมีหนามงอกออกมาทิ่มตำมือของตัวเอง เวลาถูกเคี่ยวกรำทุกคนต้องใช้หลั่ว
ขุดดินแข็ง ๆ แล้วจึงปลูกต้นกล้านั้นไปในดิน ซึ่งต้องเหนื่อยยากลำบากมาก ๆ บางครั้งต้นกล้าไม่สามารถอยู่รอดได้
ก็ต้องปลูกกันใหม่ ฉะนั้นหากบาปกรรมไม่ชำระล้างให้หมดสิ้น ต้นกล้าก็จะผุดขึ้นในมือของตัวเองตลอดไปปลูกลงไป
ต้นแล้วต้นเล่าไม่มีวันสิ้นสุด ถ้ามีคนขี้เกียจจะทำอย่างไร ? ก็จะมีทหารฟ้าขุขพลสวรรค์คอยขนาบอยู่เคียงข้าง ถ้าเห็นว่า
ขี้เกียรติก็จะถูกตี อย่างนี้เข้าใจหรือไม่ ? คนเหล่านี้ทำผิดอะไรหรือ ? ตัวเป็นถึงนักธรรมอาวุโส แต่กลับลำเอียงเห็นแก่ตัว
ส่งเสริมนักธรรมผู้น้อยอย่างไม่ยุติธรรม มอบหมายพระโองการณ์สวรรคให้ผู้อื่นไปอย่างลวก ๆ ใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
มาบำเพ็ญธรรม อย่างนี้เข้าใจหรือเปล่า ? บางคนถึงกับหน่วงเหนี่ยวแช่แข็งบุคคลากรที่มีคุณธรรมความสามารถ อีกทั้ง
ยังทดสอบให้บุคคลากรเหล่านั้นต้องตกหล่นไป ทำให้คนเหล่านั้นคิดว่า วิถีอนุตตรธรรมเป็นการบำเพ็ญโดยอาศัย
ความสัมพันธ์ของคน และไม่ได้อาศัยหลักธรรมของฟ้า พอเห็นใครมีเงินหรือมีฐานะก็ยกระดับให้เขาคนนั้น ได้รับ
พระโองการณ์สวรรค์เป็นเตี่ยนฉวนซือ ขณะที่ยังอยู่บนโลก จะมีผิดบาปหรือไม่นั้น พวกเจ้าอาจจะมองกันไม่ออก
แต่เมื่อกลับคืนเบื้องบนไปแล้ว ก็จะรู้กันเอง
คุกสร้างบ้าน
คุกสร้างบ้าน ถันจู่บางคนตั้งสถานธรรมที่บ้าน แต่กลับกลัวว่าคนอื่นจะมารบกวน จึงปฏิบัติต่อญาติธรรม
อย่างขอไปที เย็นชาเมินเฉย หรือให้การต้อนรับอย่างไม่เต็มใจ กราบไหว้พระไปได้ไม่นานเท่าไร ก็คิดว่าไม่มี
อะไรแปลกใหม่ จึงหาข้ออ้างและเหตุผลต่าง ๆ นานา เช่นว่าต้องย้ายบ้าน ต้องต่อเติมบ้าน ฯลฯล แล้วก็เก็บ
สถานธรรมไม่ไหว้อีก ที่กล่าวมานี้ล้วนมีความผิกบาปทั้งสิ้น
ผิดบาปข้อหาอะไรรู้ไหม ? เนื่องจากได้ตั้งปณิธานแล้วแต่หลอกลวงเบื้องบนพวกเจ้าได้กระทำผิด --
อย่างนี้กันหรือเปล่า ? กลัวว่าจะมีญาติธรรมไปสถานธรรมที่บ้านหรือเปล่า ? หรือกราบไหว้พระจนไม่อยากกราบ
ไหว้อีกแล้วหรือเปล่า ตรงนี้ต้องระมัดระวังที่คุกนี้เวลาถูกลงโทษทัณฑ์จะต้องปลูกสร้างบ้านไปเรื่อย ๆ มีวุสดุ
ก่อสร้างมากมายหลากหลายรูปแบบ ปลูกสร้างไปจนกว่าบาปกรรมจะสิันสุด หากจิตใจไม่สงบ กำแพงที่สร้าง
ก็จะทลายลงมา
-
คุกจอบเหล็ก
คุกจอบเหล็ก คนที่อยู่ในคุกนี้จะมีจอบเหล็กคนละอ้นเหมือนกับการขุดถนนขุดไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด
ใช้แรงงานไปเรื่อย ๆ เพราะคนประเภทนี้ชอบหาโอกาสเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คนอื่นเป็นเจี่ยงซือเขาก็เป็น
เจี่ยงซือด้วย คนอื่นรับพระโองการณ์สวรรค์ เป็นเตี่ยนฉวนซือ เขาก็เป็นเตี่ยนฉวนซือเหมือนกัน แต่เวลาที่คนอื่น
ทุ่มเทปฏิบัติงานธรรมด้วยความลำบาก กลับเมินเฉยอยู่ข้าง ๆ เก่งแต่ปากคอยแต่ชี้โน่นชี้นี่ หลงคิดว่าตัวเองมีบุญ
กุศลมากมายกว่าคนอื่น ลำบากลำบนกว่าคนอื่น คนประเภทนี้มีผิดบาปเพราะแต่จะพึ่ง "ปาก" สร้างบุญ อย่างนี้มัก
กระทำผิดได้ง่าย ๆ การบำเพ็ญธรรมต้องทำออกมาให้คนอื่นเห็น ไม่ใช่สักแต่พูดแล้วจะบรรลุธรรมได้ ด้วยสาเหตุ
ที่คนเหล่านี้ไม่ได้ทุ่มเทลงแรงในโลก ดังนั้นเมื่อกลับคืนไปจึงต้องให้ใช้แรงงาน เพราะที่ผ่านมาเขาได้แต่อาศัยรัศมี
บารมีของส่วนรวม อย่างนี้เข้าใจไหม ? บำเพ็ญธรรมจะทำอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาด
คุกผุกมัดกาย
คุกผูกมัดกาย ผู้ที่รับโทษทัณฑ์ในคุกนี้ ตอนอยู่บนโลกสามารถละวางเยื่อใยพันธนาการทางโลกได้ แต่กลับ
ไม่ยอมทำ ยังอาลัยอาวรณ์ ภรรยา สามี บุตร ธิดา หรือหน้าที่การงาน ฯลฯ แม้ว่าตัวเองจะเป็นเตี่ยนฉวนซือก็ตาม
แต่ยังโลภโมโทสันอยู่กับเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ไม่ยอมที่จะบำเพ็ญพรหมจรรย์ ไม่ยอมที่จะสละอุทิศทั้งหมด ที่จริง
ก็เป็นถึงนักธรรมอาวุโสที่มีตำแหน่งสูงแล้วแต่เป็นเพราะเยื่อใยสัมพันธ์ทางโลกยังไม่ได้ละวางลง คนที่เป็นแบบนี้
ก็จะต้องมายังคุกแห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ได้ตั้งปณิธานกินเจแล้ว ได้ตั้งปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์แล้ว แต่ความคิด
ยังไม่ถูกต้องดีงาม ความคิดจิตใจขยับหวั่นไหวตลอดเวลา คนเหล่านี้ก็จะต้องถูกผูกมัดพันธนาการอยู่ในถ้ำแห่งนี้
หากไม่มีความคิดจิตใจฟุ้งซ่านอย่างนั้นอีก และจิตใจสามารถสงบลงมาได้แล้วละก็ เชือกเส้นนั้นก็จะค่อย ๆ คลายตัว
ไม่มัดแน่นอีก ก็จะไม่ค่อยเจ็บปวดนัก แต่ในทางกลับกัน หากยังตัดพ้อต่อว่า หากยังมีความแค้นเคืองเชือกก็จะยิ่ง
ผูกมัดแน่นขึ้น อย่างนี้เข้าใจกันหรือไม่ ?
เนื่องจากตอนอยู่บนโลก ทั้งกายทั้งใจผูกมัดพันธนาการ เมื่อกลับคืนไปแล้ว ก็ย่อมต้องผูกมัดด้วยตัวของตัวเอง
ดังนั้นพวกเจ้าจึงต้องวางให้ลงปลงให้ตก อย่าได้เน้นหนักทางโลก แต่กลับบางเบาทางธรรม หรือเห็นความสำคัญ
ของทางโลกมากกว่าความสำคัญของทางธรรม หากเจ้าสามารถพูดบรรยายธรรมะได้และยังฉุดช่วยนำคนอื่นไปด้วย
ก็จงอย่ารีรอชักช้าอยู่แต่ที่บ้าน อย่าได้เกียจคร้านปล่อยเวลาให้ผ่านไป อย่างนี้พวกเจ้าเข้าใจกันไหม ?
-
คุกโซ่ตรวเหล็ก
คุกโซ่ตรวนเหล็ก ผู้ที่อยู่ในคุกนี้ เป็นผู้ที่มีความอิจฉาริษยาความรู้ความสามารถของคนอื่น ไม่ตั้งใจบาำเพ็ญ
อย่างจริงจัง ชอบพูดนินทาว่าร้ายคนอื่น ชอบพูดให้ร้ายคนลับหลัง ทำงานอะไรก็ไม่เสมอต้นเสมอปลาย มีต้นแต่ไร้
ปลาย ทำงานแบบลวกหยาบส่งเดชไม่มีผลงาน ทำแล้วเลิกล้มละทิ้งกลางคัน ต้องให้คนอื่นมาเก็บงานตามหลัง
ทำอะไรก็ไม่จริงใจจึงเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายทั่วอาณาจักรธรรม หรือประเภทมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ คนอื่น
บำเพ็ญดีมีคุณธรรมแต่ตัวเองคอยให้ร้ายใส่ร้ายป้ายสี ทำให้คนอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง
คนประเภทนี้ก็ต้องถูกจับกักขังอยู่ที่คุกนี้ และถูกลงโทษโดยมีโซ่ตรวนเหล็กผูกล่าม และยังมีลูกกลมเหล็ก
ผูกติดไว้ด้วยหลังจากนั้นแต่ละคนต้องแบกกระสอบป่านของตัวเองเอาไว้ ตอนยังมีชีวิตอยู่ก่อบาปสร้างกรรมไว้ขนาด
ใหนพูดเอาไว้มากน้อยเท่าไหร่ และมีความผิดพลาดอยู่สักกี่มากน้อย ก็จะบรรจุเอาไว้ในกระสอบป่านใบนั้นทั้งสิ้น
ตัวเองจึงต้องจบสิ้นด้วยตัวเอง
คุกตามืดบอด
คุกตามืดบอด ผู้ที่อยุ่ในคุกนี้เป็นผุ้ที่คลางแคลงสงสัยในหลักธรรมคำภีร์ของศาสนาทั้งห้า ยโสโอหัง มองข้าม
ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด คลางแคลงสงสัยในพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิพากษ์วิจารณ์พระธรรมคัมภีร์ วิพากษ์วิจารณ์
คุณธรรมบารมีของนักธรรมอาวุโส วิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมคำพูดของนักธรรมอาวุโส คนอย่างนี้จึงเย่อหยิ่งยโส
วางท่าเขื่องใหญ่โตอวดดื้อถึอดี ที่จริงแล้วตนเองไม่มีความรู้ความสามารถใด ๆ แต่กลับสร้างแนวคิดที่แปลกใหม่
แหวกแนวออกนอกลู่นอกทาง ทีความคิดใหม่ ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม จะเป็นคนที่ชอบทำอะไรแบบแปลก ๆ
แหวกแนวออกไป ทำให้ผู้อื่นลุ่มหลง ชอบอวดภูมิธรรมทฤษฏีของตนเอง คิดว่าตนเองแน่กว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น
จึงดูหมิ่นถิ่นแคลนพระธรรมคัมภีร์ในศาสนาทั้งห้า สงสัยและไม่เขื่อในการดำรงอยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยิ่งกว่านั้น
คือคลางแคลงสงสัยต่อระดับจิตของอริยะปราชญ์เมธี คนประเภทนี้จึงต้องรับโทษอยู่ที่คุกตามีดบอด
คุกนี้ใหญ่โตถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ เมื่อผู้ที่จะต้องมารับโทษที่ได้เข้าไปข้งในแล้ว ดวงตาก็จะมองไม่เห็น
เหมือนคนตาบอดเดินอยู่บนทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ และยังมีสัตว์ที่ดุร้ายคอยขบกัด ไฟที่ร้อนแรงแผดเผา
ยังมีหน้าผา เหวลึก น้ำที่ไหลอย่างเชี่ยวกรากมีป่าดงดิบรกทึบ ทุกแห่งทุกหนมีแต่ขวากหนามแหลมคม แถมยัง
มีหนอนพิษแมลงพิษคอยกัดต่อย และมังกรพิษคอยพ่นพิษใส่ ฯลฯและอื่น ๆ ที่น่ากลัวอีกมากมาย เมื่อได้เข้ามา
อยู่ในวังวนนี้แล้ว ได้แต่ใช้มือคลำหาทาง จนกว่าบาปกรรมของตนเองจะหมดสิ้นไป ดวงตาก็จะมองเห็นได้อีก
ครั้งหนึ่ง และสามารถเดินตามแสงสว่างออกมาจากวังวนขนาดหนึ่งแสนแปดหมื่อลี้นี้ได้
คุกหว่านเพาะเมล็ด
คุกหว่านเพาะเมล็ด คนที่ต้องมาอยู่ในคุกนี้ เป็นผู้ได้รับธรรมะแล้วและยังกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก
มากมาย พระเยซูก็กราบไหว้ เจ้าแม่ทับทิมก็กราบไหว้ พระโพธิสัตว์กวนอิมก็กราบไหว้ พระองค์กวนอูก็
กราบไหว้ และยังกราบไหว้องค๋อื่น ๆ อีกมากมาย ลัทธินิกายอีกมากมายหลายหลาก ก็เข้าไปกราบไหว้ด้วย
เข้าไปบำเพ็ญตามด้วย เหมือนกับเหยียบเรือหลายแคม โดยไม่กลัวว่าเรือจะคว่ำแล้วต้องจมน้ำตาย แบบนี้
ก็บำเพ็ญ แบบนั้นก็บำเพ็ญ หากได้ยินใครพูดว่า ที่นั่นที่นี่ดีมีอาจารย๋เก่งก็จะรีบไปติดตามบำเพ็ญอยู่กับสำนักนั้น
อาจารย์นั้นทันที บำเพ็ญไปได้ยังไม่นานเท่าไหร่ พอหมดความอยากแล้วก็เปลี่ยนบำเพ็ญกับคนอื่น ๆ ต่อไปอีก
ถ้าเห็นใครเข้าใจและคำนวณทายทัก เรื่องเหตุต้นผลกรรมได้ ก็ไปบำเพ็ญติดตามเขา เห็นใครปฏิบัติงาน
สามโลก ก็ไปปฏิบัติกับเขาด้วย เดิน ๆ ทำ ๆ ได้อยู่สองปีก็เบื่ออีกแล้วจิตใจก็ถดถอยไม่เอาอีก
คนเหล่านี้บำเพ็ญธรรมแต่จิตใจไม่สงบมั่นคง ไม่เข้าใจหลักธรรมอันที่เป็นจริง ไม่บำเพ็ญปฏิบัติ
ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ไม่ศรัทธาจริงใจต่อธรรมะเท่าที่ควร ไม่ได้เคารพเทิดทูนเบื้องบนกล้วแต่ว่าบำเพ็ญ
อนุตตรธรรมอย่างเดียว แล้วจะไม่ได้กลับคืนเบื้องบน คนเหล่านี้จะถูกจับให้มายังคุกแห่งนี้
แล้วต้องนำเมล็ดพันธุ์ไปหว่านโปรยต้องไปคราดไถพรวนดินเอาเอง ต้องไปรดน้ำ้เอาเอง
จนกว่าเมล็ดเหล่านั้นจะแตกหน่อ และเติบโตขึ้นจนกระทั่งออกดอกและตกผลในที่สุด
แต่ที่ทำอย่างนี้นั้นมันลำบากมาก เพราะเมล็ดพันธุ์ที่ได้หว่านโปรยไปนั้นไม่แน่นอนเสมอไปว่าจะเติบโตงอกงามได้
ก็จะต้องหว่านโปรยเมล็ดพันธุ์กันอยู่นั้นต้องไถกลบกันอยู่อย่างนี้ จนกระทั้งบาปกรรมมลายไปได้
-
พระโอวาทท่านผู้เฒ่าคุณฟ้า ( 3 )
หนึ่งใจนี้ ก่อเกิดซึ่ง หนึ่งวิถี
วิถีมี ก็ก่อเกิด ทิฐิมั่น
เมื่อใจสูญ วิถีนั้น ย่อมสูญพลัน
ทิฐิมั่น ย่อมสูญตาม วิถีไป
วันนี้ฉันจะได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับคุกสวรรค์อีกครั้งหนึ่งทำไมถึงต้องเปิดเผยความลับของคุกสวรรค์ด้วยหล่ะ ?
นั่นเป็นเพราะผู้บำเพ็ญมากมายในปุจจุบัน ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญกันมานานแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งในหลักธรรม
หรือยังไม่่เข้าใจชัดเจนต่อหนทางการบำเพ็ญมีทัศนคติความคิดที่ไม่ถุกต้องเที่ยงตรงอีกมากมายแล้จะกลับคืนสู่
เบื้องบนได้อย่างไร ? ผู้บำเพ็ญบางคนรู้แต่กินเจ รู้แต่บรรยายหลักธรรม รู้แต่ฉุดช่วยผู้คนแต่ทำไปอย่างโง่ ๆ เซ่อ ๆ
ฉุดช่วยกันไปถึงใหนกันหล่ะ ? หรือจะนำพาไปยังที่ใหนกัน ? เข้าใจเรื่องเหล่านี้กันหรือเปล่า ?ฉันเองจะค่อย ๆ
สาธยายให้ฟัง คุกสวรรค์ชั้นที่สามมีชื่อว่า ""ยอดวายุสีทอง""พวกเจ้าตั้งใจฟังกันให้ดี ๆ
ถ้ำมังกรร้าย
เมื่อเห็นชื่อก็นึกไปถึงว่าเป็นสถานที่กักขังมังกรร้าย ทำไมจึงเรียกว่ามังกรร้าย ?แท้จริงแล้วมันไม่ใช่มังกร
การลงโทษที่คุกสวรรค์คือหนึ่งคนหนึ่งถ้ำพอดี ๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก หนึ่งคนหนึ่งถ้ำนั่งอยู่ในนั้นเพื่อรับการลงโทษ
เคี่ยวกรำ ทำไมจึงต้องมานั่งเคี่ยวอยู่ในถ้ำนั้นหล่ะ่ ? เป็นเพราะเขามีบุญกุศล แต่ขณะเดียวกันก็มีผิดบาปด้วย เคย
ได้ยินกันมาบ้างหรือไม่ ? พวกเจ้าทำอะไรไป ไม่เพียงมีบุญกุศล แต่ก็มีผิดบาปติดตัวมาด้วย ?เป็นไปได้หรือไม่ว่า
คนดีสักคนหนึ่งในชาตินี้ชีวิตนี้ไม่เคยกระทำผิดบาปเลย? แน่นอนว่าจะต้องมีผิดบาปกันบ้างไม่มากก็น้อยถูกต้อง
หรือไม่? ผู้บำเพ็ญที่ทุ่มเทใจในการบำเพ็ญ แต่ว่าเมื่อกลับคืนเบื้องบนไปแล้วจึงจะรู้อย่างชัดเจน
"ถ้ำมังกรร้าย" นี้กักขังผู้บำเพ็ญอย่างที่จะกล่าวให้ฟังนี้เช่น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะเป็นนักธรรมอาวุโส
หรือเป็นเตี่ยนฉวนซือหรือเจี่ยงซือ เป็นเพราะต้องการจะพูดแต่ประวัติการบำเพ็ญของตนเอง หรือไม่ก็เพื่อความ
คิดเห็นของตนเองจึงเอาไปเปรียบเทียบถกเถียงแย่งชิงกับความคิดของผู้อื่น คิดว่าความคิดของตนเองถุกต้องและ
คิดว่าความคิดของตนเองจึงเป็นหลักสัจธรรมด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดเวทีประลองฝีมือขึ้น"ก่อให้เิกิดประลองฝีมือ"
มีความหมายอย่างไรรู้หรือไม่ ? นั่นเรียกว่าต่อสู้กันด้วยฝีปากกับปากกาอย่างไรหล่ะใช่หรือไม่ใช่ ?
ในปัจจุบันมีอาณาจักรธรรมบางแห่ง ใช่หรือไม่ว่าได้ออกหนังสือมามากมาย? มีทั้งที่วิเคราะห์ความและ
ทั้งที่มีทัศนะแต่ละอย่างแต่ที่ว่าหนังสือแต่ละเล่มนั้น ได้วิเคราะห์หยิบยกประเด็นกันถูกต้องกันหรือเปล่า ?คำพูด
ความหมายในนั้นเป็นจริงหรือเปล่า ? พวกเจ้ายังไม่จำเป็นต้องแยกแยะ หากเป็นด้วยเหตุนี้แล้วก่อให้เกิดเวทีประลอง
ฝีมือนำพานักธรรมผู้น้อยผิดพลาดคลาดเคลื่อน คนที่เป็นอย่างนี้ เมื่อกลับคืนเบื้องบนแล้วย่อมได้รับการกักขังเคี่ยวกรำ
ในถ้ำมังกรร้ายแน่ ๆ
นั่นคือ ขณะที่แต่ละคนกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญขัดเกลาอยู่ด้วยว่าความผิดพลาดบกพร่องของเขา ความผิดบาป
นั่นแหละจะชักนำให้เขาคิดเพ้อฝันไป เป็นเพราะนั่นคือ ความยึดมั่นถือมั่นของเขา ดังนั้นเขาจึงคิดเพ้ิอฝันไปเป็น
มังกรพิษ--มังกรร้าย มังกรที่ดีเหล่านี้จะมาโจมตีเขา หลังจากนั้นเป็นเพราะความเกี่ยวข้องจากการที่จิตใจของเขา
สั่นไหวทำให้วิญญาณของเขากลายเป็นมังกรตัวหนึ่ง ซึ่งจะต่อสู้ขบกัดและโจมตีเข้าใส่กันและกัน แท้จริงแล้วเมื่อเขา
กัดฝ่ายตรงข้ามหนึ่งครั้ง ก็เท่ากับกัดตนเองหนึ่งครั้งนั่นแหละ เพราะว่ามังกรฝ่ายตรงข้ามก็คือ รูปเงาของตนเองนั่นเอง
ฟังอน่างนี้เข้าใจหรือไม่ ?นั่นคือเงาภาพมายาที่เกิดจากใจ เมื่อกัดอย่างรุนแรงบาดแผลของตนก็จะหนักหนาสาหัส
แท้จริงแล้วที่อยากให้ผู้อื่นตายก่อน ที่สุดนั้นกลับเป็นตนเองนั่นแหละที่จะตายก่อน ฟังอย่างนี้เข้าใจหรือไม่ ?
แล้วจะลบล้างมลายผิดบาปของเขาได้อย่างไร ?
เป็นเพราะว่าบาปกรรมหรือความผิดพลาดนั้นสะสมมีขึ้น แบ่งเป็น ลึกซึ้ง กับ ตื้นเขิน ความผิดพลาดมีใหญ่
มีเล็ก มีมาก มีน้อย ดังนั้นคนทุกคนหากว่าได้ละกายสังขารไปแล้ว แต่จิตวิญาณยังไม่สามารถสงบผ่องแผ้วได้
หากความผิดพลาดของเขามีอยู่เยอะมาก เมื่อเขากำลังนั่งสมาธิรับการเคี่ยวกรำอยุ๋อย่างนั้น จำนวนครั้งที่มายาภาพ
จะกลายเป็นมังกรพิษ --- มังกรร้าย ก็จะยิ่งมีมาก และก็ได้รับผลกระทบจากความนึกคิดของเขาเอง จำนวนครั้งก็
จะถูกกำหนดเป็นไปตามนี้
แล้วจะำทำอย่างไรจึงจะออกจากถ้ำนี้ได้ ?
ก็ต้องรอจนกว่าเขาจะกำจัดละทิ้งความยิดมั่นถือมั่น หรือความคิดฟุ้งซ่านสับสนเหล่านี้ให้หมดไป ไม่มีการ
โจมตีต่อสู้กันอีก ไม่เกิดความคิดในทางชั่วทางต่ำอีกจึงจะหยุด และออกจากถ้ำนี้ไปได้ ได้หลีกไกลไปจากคุกสวรรค์
และได้รับการประทานมรรคผลในที่สุด เข้าใจหรือไม่ ?
เมื่อสักครู่ที่พูดถึง""ก่อเกิดเวทีประลองฝีมือ"" นั้นจริง ๆ แล้วพวกเจ้ายังไม่เข้าใจ คนในสมัยก่อนเรียน
วิทธยายุทธ มีการประลองกันบนเวที ที่จริงแล้วทำไมอนุตตรธรรมจึงต้องมีสิบแปดสายธรรมด้วย ? นั่นเป็นเพราะ
ในระยะแรกเริ่ม พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยานรู้ว่า จีนแผ่นดินใหญ่จะตกอยู่ในกำมือของคอมมิวนิสต์ เมื่อพระ
อาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง รู้ถึงชะตากรรมเช่นนี้ กำหนดของฟ้าจึงได้จัดวางให้มีสิบแปดสายธรรมปฏิบัติ
กันขึ้นมา เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระบรรพจารย์เทียนหยาน ผู้เป็น ""พระบรรพจารย์สมัยที่ ๑๘""นั่นเองนั่นคือสิ่งแทน
ให้ระลึกถึง ที่จริงแล้วทั้งสิบแปดสายธรรมนั่นก็เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีเจตนาเป็นหนึ่ง้ดียวกัน แต่ก็มีคนจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าจะเป็นนักธรรมอาวุโสในวงการธรรม แต่เป็นเพราะคนเรายังตกอยู่ในอิทธพลของธาตุทั้งห้า จึงไม่รู้ถึเจตนา
ของเบื้องบน คนที่ตกอยู่ในอิทธิพลของธาตุทั้งห้า ใช่หรือไม่ว่ายังคงถุกธาตุทั้งห้าพันธนาการอยู่ ? ใช่หรือไม่ว่า
ปัญญายังไม่ถึงระดับชั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ? หากว่าธาตุทั้งห้านั้นข่มเหงกัน มีสั้นมียาวใช่หรือไม่ว่าย่อมก่อให้เิกิด
ความยึดมั่นถือมั่นและความคิดสับสนฟุ้งซ่าน ?และก็ด้วยเหตุนี้ตนเองจึงผิดพลาดเอนเอียงในหลักธรรม เมื่อไม่อาจ
ผ่านการทดสอบจากฟ้าและคนได้ ก็ยึดมั่นยึดติดอยู่ว่าตนเองดีที่สุด จึงเกิดการประลองฝีมือกัน คิดเอาเองว่า
พระโองการณ์สวรรค์ที่อยู่กับตนเองนั้นจึงจะเป็นของจริง
ที่จริงแล้วพระโองการณ์สวรรค์จะจริงหรือไม่จริงนั้น ยังคงต้องดูที่เบื้องบน ไม่ใช่ใช้ฝีปากมาถกเถียงแก่งแย่งกัน
ใช่หรือไม่ใ่ช่ ? หากว่าพระโองการณ์สวรรค์ที่มีรูปลักษณ์เป็นของจริง แล้วถ่ายทอดไปอยู่ในกำมือของคนชั่ว(มิจฉา)
ธรรมะนี้ย่อมถูกทำลายย่อยยับเป็นแน่ เพราะเหตุใดหรือ ?เพราะว่าเขาผู้นั้นย่อมทำเรื่องเลวทรามต่ำช้า ปฏิบัติต่อ
หลักธรรมความดีงาม ถึงแม้จะมีพระโองการณ์สวรรค์จริงคลุมครอบอยู่บนตัวเขาผู้นั้น แต่ว่าสิ่งที่เขาผู้นั้นได้กระทำ
มันผิดต่อหลักธรรมของฟ้า ผิดต่อพระโองการณ์สวรรค์ ผิดต่อที่เบื้องบนได้มอบหมายให้ ผิดต่อเจตนาของฟ้า และ
ผิดต่อปณิธานความตั้งใจของตน เขาเหล่านี้ถึงจะบอกว่าพระโองการณ์สวรรค์จริง ก็ย่อมกลายเป็นพระโองการณ์
สวรรค์ปลอมก็ได้
ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาทั้งพุทธทั้งมารต่างก็มีพระโองการณ์สวรรค์ พุทธมีพระโองการณ์สวรรค์ในการ""ฉุดช่วย
ชาวโลก""ส่วนมารก็มีพระโองการณ์สวรรค์ในการ ""ทดสอบธรรมะ"" ในวันนี้พวกเจ้าอาศัยของปลอมบำเพ็ญของจริง
นั้นคือ กายคน ""คนจริง ตัวจริง"" ก็คือพุทธะ ส่วน""คนปลอมตัวปลอม"" ก็คือมาร หากพวกเจ้าผู้ที่จะเลือกเอา
หรือละทิ้ง เมื่อคนจริงตัวจริงปรากฏ ก็จะสามารถกำจัดละทิ้งอุปสรรคจากมารได้ จึงวางได้ลงปลงได้ตกในคนปลอม
ตัวปลอมนี้ได้ สิบแปดสายธรรมนั้น ก็เปรียบเหมือนอนุตตรธรรมให้กำเนิดลูกสิบแปดคน พวกเจ้าลองคิดดูว่าเป็นพี่
น้องกันจะทะเลาะวิวาทกันได้หรือ ? หากว่าเจ้าทะเลาะเบาะแว้งกับพี่น้องแท้ ๆ ของเจ้า พ่อแม่จะเสียใจเจ็บปวดใจ
หรือไม่ ? ใช่หรือไม่ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ? วันนี้เจ้าลองพิจารณาดู ที่ไต้หวัน ที่จีนแผ่นดินใหญ่ และมองดูทั่วโลก
เจ้าพูดว่าพวกที่มีผิวสีเหลืองคือ คนจีน เมื่อพูดขยายความอีกหรือว่ามีเพียงคนไต้หวันถึงจะเป็นคนจีนใช่หรือไม่ ?
แล้วคนจีนที่อยู่ในรัฐอเมริกา พวกเขาเป็นคนสหรัฐอเมริกาหรือว่าเป็นคนจีนกันล่ะ ? ถูกต้อง!! เป็นเพราะเลือดที่
ไหลเวียน อยู่ในตัวพวกเขา ก็เป็นสายเลือดของลูกหลาน ที่สืบทอดมาจากบรรพกษัตริย์เหลืองหวงตี้ อย่างนี้เข้าใจ
หรือไม่เข้าใจ ? และก็พูดได้ว่า ทั้งสิบแปดสายธรรมนั้นล้วนแต่ร่วมสายเลือดเดียวกัน ใช่หรือไม่ว่าล้วนแต่เป็น
สายเลือดของพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง ? ใช่หรือไม่ว่าล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดสืบสาย
พระโองการณ์สวรรค์ ของเบื้องบน ?
ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบว่าใครใหญ่กว่ากัน ไม่ควรแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันไม่ควรเปรียบเทียบแข่งขันกัน
-
คุกกรงนก
คุกกรงนก ถ้าพูดตามชื่อแล้วคุกนี้ก็คือกรงที่สำคัญที่สุด ก็เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคน
ความหมายก็คือ ลูกหลานได้ฉุดช่วยบรรพบุรุษกลับคืนไปแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้บำเพ็ญต่อเป็นการหลอกลวงเบื้องบน
ลองคิดดูว่าพวกเจ้านั้นมีบุญกุศลมากเท่าไหร่ ? อดีตชาตินั้นกระทำมาอย่างไร ? ชาตินี้พวกเจ้ามีวาสนาตอบสนอง
หรือไม่? เบื้องบนเมตตาให้เจ้าได้รับวิถีธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนให้ฉุดช่วยบรรพบุรุษ
ของพวกเจ้ากลับคืนไปได้ ผู้ที่ถูกกักขังที่คุกสวรรค์นั้นคือ ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญจึงต้องอาศัยบารมีแสงธรรมจากลูกหลาน
และบำเพ็ญเคี่ยวกรำอยู่ที่เบื้องบน เดิมทีสามารถอยู่ที่พุทธาลัยเตรียมตัวรับมรรคผลในงานประชุมนาคะประภัสสร
หลงฮว๋าได้ แต่หากลูกหลานบำเพ็ญถึงช่วงสุดท้ายแล้วหมดเรี่ยวแรง จึงไม่บำเพ็ญกันต่อ ไม่บำเพ็ญอย่างเสมอต้น
เสมอปลายถ้าเป็นเช่นนี้ ก็จะถูกลดตำแหน่งลงสามขั้น ดูว่าฉุดช่วยบรรพบุรุษมาจากภพภูมิใดก็ต้องกลับไปที่ภพภูมินั้น
แต่ถ้าลูกหลานบนโลกบำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง สร้งบุญสร้างกุศล บำเพ็ญปฏิบัติ บรรพบุรุษที่อยู่เบื้องบนก็จะมี
บุญกุศล มีโอกาสได้นั่งบนบัลลังก์บัวด้วย แต่ถ้าลูกหลานไม่ได้บำเพ็ญอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่จ่ายเงินไม่กี่หมื่นเหรียญ
ฉุดช่วยคนแค่ไม่กี่คน แล้วก็สามารถฉุดช่วยบรรพบุรุษ กลับคืนไปได้ แบบนี้จะสามารถหมดสิ้นบาปเวรกรรมที่สร้างสม
มาหกหมื่นปีได้ไหม ? ที่น่าสงสารคือต้องตกลงไปสามชั้น บางคนต้องถูกกักขังอยู่ในคุกสวรรค์ก่อน ต้องรับบาปแทนลูกหลาน บางคนยิ่งแย่กว่านั้นอีก จิตญาณตนเองก็ไม่สว่างไสวและไม่มีบุญจริงกุศลแท้ ด้วยเหตุนี้ก็ต้องถูกลงโทษให้ไปสู่นรกภูมิ
จากเบื้องบนต้องตกไปสู่นรกกฃภูมิ
การบำเพ็ญธรรมไม่เหมือนการค้าขาย เริ่มต้นกระตือรือร้นดีต่อมากลับเฉื่อยชา ได้กำไรจากเบื้องบนแล้ว
ก็เลิกทำงานเลย เช่นนี้ก็ยากที่จะคิดถึงผลที่จะได้รับแล้ว ดังนั้นผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายต้องเสมอต้นเสมอปลาย
บำเพ็ญจากวินาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้าย แล้วจะบำเพ็ญจนถึงเมื่อไร ?ก็คือ บำเพ็ญจนกว่าจะหมดลมหายใจนั่นเอง
จึงต้องเร่งสร้างบุญกุศลอุทิศให้บรรพบุรุษไป รู้หรือไม่ ? ถึงจะอยู่ในนรกภูมิก็ได้รับบารมีแสงธรรม หรือที่อยู่เบื้องบน
ก็จะได้รับบารมีแสงธรรมด้วย แล้วเราสามารถแผ่บุญกุศลให้ผู้ที่อยู่เบื้องบนได้ไหม ? ได้แน่นอน บุญกุศลนั้นไม่กลัว
ว่าจะมีเยอะกลัวแต่จะมีน้อยมากกว่า
-
คุกน้ำหลาก
จากชื่อนี้ความหมายก็คือ ร่างกายอยู่ในท่ามกลางน้ำท่วม แท้จริงแล้ววิญญาณบาปทุกดวงที่ถูกลงโทษ
ร่างกายของเขาจะไม่เคลื่อนไหว การลงโทษที่เกิดขึ้นล้วนเกิดมาจากมายาภาพฝันทั้งสิ้น
แท้จริงแล้ววิญญาณบาปทุกดวงนั่งสมาธินิ่ง ๆ อยู่ในถ้ำนั่งประจำอยู่กับที่ ตัวเขาเองไม่ได้ขยับเขยื้อน ที่
ขยับเขยื้อนคือจิตใจของพวกเขา เหมือนเกิดมายาภาพลวงตา
อยู่ที่คุกสวรรค์นี้จะต้องถูกลงโทษอย่างไร ?
จะมีความรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั่งอยู่ในสายน้ำที่เชี่ยวกราก อะไรเรียกว่าสายน้ำเชี่ยวกราก ? เคยเห็นน้ำที่ไหลโกรก
ลงมาจากภูเขาไหมล่ะ ? ใช่หรือไม่ใช่ว่าทั้งต้นไม้ ต้นหญ้า ดิน ทราย ฯลฯ รวมกันไหลลงมาจากภูเขาด้วยเลยทำให้
น้ำสกปรก ในน้ำยังมีก้อนหิน ท่อนไม้ เศษไม้ ฯลฯ เขาจะมีความรู้สึกว่า อยู่ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ได้รับการ
กระแทกจากก้อนหินก้อนดินเหล่านั้น ซึ่งเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมาก ถ้าหากว่ายังไม่มีความพอใจหรือยังมีการ
ตัดพ้อต่อว่าก็ยังจะต้องรับโทษอย่างนั้นต่อไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าหากว่าทำจิตใจให้สงบนิ่งได้ รู้จักสำนึกขอขมาและรู้จักที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเอง เมื่อจิตญาณ
ของเขานิ่งสงบได้แล้ว น้ำก็จะเปลี่ยนเป็นนิ่งใส สิ่งต่าง ๆ ที่ลอยปะปนอยู่ในน้ำก็จะมีปริมาณน้อยลง แล้วก็จะย้อน
กลับไปสู่วิญญาณเดิมของเขาได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การถูกลงโทษในท่ามกลางคุกน้ำหลาก ผู้ที่จะถูกลงโทษ
ก็คือ ประการแรก คนที่ทำผิดในเรื่อง""ลูกคนอื่นตายก็ช่างหัวมัน ญาติธรรมตายเราอย่าได้ตายก็แล้วกัน""คน
ประเภทนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็จะรีบผลักไสออกไปนอกตัว กลัวตัวเองจะรับผลจากเรื่องที่ไม่ดี
เหล่านั้นไปด้วย ให้เพื่อนร่วมบำเพ็ญตายก่อนตัวเองก็จะหลีกหนีความตายนั้นไป เรื่องแค่นี้ก็ไม่กล้ารับผิดชอบ
ทุกเรื่องเห็นแต่ตัวเองเป็นใหญ่ คิดแต่ว่าญาติของตนลูกหลานของตนรากบุญดีและบำเพ็ญได้ดี อะไรไม่ดีก็โทษว่า
คนอื่นเป็นอุปสรรคขัดขวางหาว่าคนอื่นมาทดสอบตัวเรา
ประการที่สอง คือตัวเองไม่บำเพ็ญปฏิบัติอย่างจริงจัง วันทั้งวันมีแต่ความคิดที่ไม่ดีไม่งาม คิดแต่ว่าคนอื่น
เป็นอุปสรรคขัดขวางตัวเอง รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้สร้างบุญกุศลและเจริญปณิธาน แต่ที่คนอื่น ๆทำนั้นเป็นการ
ทำบุญเอาหน้าก็สละให้คนอื่นทำ ตัวเองก็ไม่ทำแล้วได้แต่เดินแตร่ไปแตร่มา ทำนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ยังมีความรู้สึก
ว่าคนอื่นเป็นอุปสรรคขวางกั้นตัวเองอีก ทนไม่ได้กับการกระทบกระทั่งอารมณ์กับผู้อื่น ทนไม่ได้กับการถูกทดสอบ
เล็ก ๆ น้อย ๆ ทนไม่ได้กับการถูกเบื้องบนขัดฝนนิด ๆ หน่อย ๆ ผลลงเอยของคนประเภทนี้ก็เป็นอย่างที่กล่าวมา
นี้เอง ในที่สุดก็ต้องถูกกระทบกระแทกและทิ่มตำเสียดแทงที่มากกว่าเดิมอีก
ผู้บำเพ็ญต้องมีความมุ่งมั่นยืนหยัดไหม ?พวกเจ้าได้พูดคำอย่า่งนี้กับหรือเปล่า ?เช่นคน ๆนั้นพูดจาเข้มงวด
เกินไป ทดสอบจนฉันตกหล่นไปแล้ว ? มาอานาจักรธรรม ก็มาเดิน ๆ ฟัง ๆ พูดว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้คราวหน้า
ฉันจะไม่มาแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าได้คิดว่าเบื้องบนไม่มีหูแล้วจะฟังไม่ได้ยิน ที่จริงแล้วเบื้องบนได้ยินทั้งหมด
สิ่งเหล่านี้คือผิดบาปของเจ้าอย่าไปติว่าคนอื่นเป็นอุปสรรคขัดขวางเจ้าเลย อย่าไปโทษว่าคนอื่นไม่ดีกับเจ้าเลย
พวกเจ้าต้องรู้จักย้อนมองส่องตน ดูซิว่าตัวเองมีความยืนหยัดมุ่งมั่นไหม ?ดูซิว่าความมุ่งมั่นของตัวเองนั้นยืน
หยัดแข็งแกร่งหรือไม่ ? ดูซิว่าเป้าหมายของตัวเองชัดเจนไหม ?ดูซิว่าตัวเองแข้มแข็งพอหรือยังจะต้องมุ่งมั่นตั้ง
ใจจริงมีจิตใจทำเพื่อส่วนรวม อย่าให้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ มากระทบถูกแล้วจึงถดถอยไป อย่างนี้ง่ายหรือไม่ง่าย?
ทำกันได้หรือเปล่า?
พวกเจ้าใช่หรือไม่ใช่ว่ามีจิตใจคับแคบ ? หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นกัน บำเพ็ญธรรมจะต้องฝึกหัดตามอย่าง
พระศรีอาริยเมตไตรยที่ท้องใหญ่ใจกว้าง โอบอุ้มให้อภัย พวกเจ้าต้องฉลาดอย่างจริง ๆกัันสักหน่อย บำเพ็ญปฏิบัติ
ต้องเร่งรีบฉกฉวยโอกาสในการสร้างบุญกุศลและเจริญปณิธาน การส่งเสริมสนับสนุนญาติธรรมใช่หรือไม่ใช่ว่า
ก็ต้องฉกฉวยเอา มีใครขัดขวางเจ้าหรือบอกให้เจ้าไม่ต้องเดินไม่ต้องทำไหม ?หรือเจ้าเห็นคนอื่นเลือกทำอย่างนั้น
อยู่เจ้าก็เลือกทำอย่างอื่นได้เช่นว่า ไม่มีใครเก็บขยะ เจ้าก็ไปเก็บเสียเองอย่างนี้มันง่ายดายสำหรับเจ้าเหลือเกิน
อย่างการยืนบรรยายบนเวทีก็มีคนเดียวเท่านั้นที่ยืนบรรยายได้ ดังนั้นพวกเจ้าบำเพ็ญธรรม จะต้องให้ความ
เคารพนับถือผู้อื่น โอกาสอย่างนี้ก็ต้องหมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน วันนี้เปลี่ยนให้คนได้อื่นขึ้นบรรยาย ทุกคนบรรยาย
ไม่เหมือนกัน เพราะความเข้าใจตระหนักรู้ไม่เหมือนกัน ระดับจิตใจก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นระดับจิตมีอยู่ถึงใหน
ก็ทำไปถึงระดับนั้น จะต้องศึกษาตามอย่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าได้ฟังประชุมครั้งใหญ่
มาแล้วสามครั้ง แล้วจะขึ้นสวรรค์ได้มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก จะต้องสร้างบุญจริงกุศลแท้ จะต้องเสียสละอุทิศ
เพื่อธรรมะ ต้องเผยแพร่กระจายความดีงาม ดีหรือไม่ดี ?
-
คุกใบไม้ร่วง
เมื่อพูดถึงคุกนี้ พวกเจ้าจะต้องระมัดระวัง เพราะว่าพวกเจ้ามักจะผิดร้ายแรงความคิดของพวกเจ้า
เคยตัดขาดบ้างไหม ? แม้กระทั่งเวลานอนก็ยังคิดกันอยู่เลย กลางวันก็คิดมาก กลางคืนก็ฝันฟุ้ง
ที่จริงแล้วจิตใจของพวกเจ้าไม่ได้พักผ่อนเลย ดังนั้นจึงต้องเร่งรีบวุ่นวายอย่างนี้ ความคิดจิตใจช่าง
มากมาย จึงง่ายที่จะมีพันธนาการผูกมัด ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะคิดมากมีเรื่องราวมากมายที่พวกเจ้าอาจจะ
ได้แต่คิดเปล่า ๆมีเรื่องราวมากมายที่พวกเจ้าไม่ได้ไปทำยากที่จะจับความคิดได้ จิตใจเหมือนกับลิง
ความคิดก็เหมือนกับม้าปล่อยออกไปได้ง่ายๆ แต่จะเก็บกลับมานั้นมันยาก
บางครั้ง เรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรก็เอามาคิดสับสนวุ่นวาย ดังนั้นผู้บำเพ็ญจะต้องกำจัดอารมณ์
ทั้งเจ็ด และตัณหาหกทิ้ง จะต้องกำจัดสามใจสี่รูปลักษณ์ จะต้องกำจัดอกุศลกรรมบทสิบ และมิจฉัตตะแปด
และจะต้องปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด
ผู้ที่กักขังอยู่ในคุกสวรรค์นี้มีผิดบาปหนักหนา เพราะกระทำความผิดตามแต่ความคิดของตนเอง เช่น
ว่าวันนี้ทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่น เจ้าก็จะคิดไปว่าจะต่อยตีเขาอย่างไร จะเข่นฆ่าเขาอย่างไร นี่เป็นการกระทำ
ผิดเพราะความคิดบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน เช่นเมื่อตั้งปณิธานกินเจก็มีความคิดที่จะทุศีลแตกเจ ปากเจแต่
ถ้าใจไม่เจ ก็เป็นการทุศีลแตกเจแล้ว
ดังนั้นบำเพ็ญธรรม จึงต้องบำเพ็ญที่ปากของตัวเอง และยังต้องบำเพ็ญที่จิตใจของตัวเองอีกด้วย บำเพ็ญ
ความคิดของตัวเอง ต้องพิจารณาว่าความคิดของตัวเองถูกต้องเที่ยงตรงหรือไม่ ? ดีงามหรือเปล่า ?บริสุทธิ์
หรือเปล่า ? ผู้ที่กระทำผิดเพราะความคิดแรือทุศีลก็จะต้องมารับโทษอยู่ที่คุกแห่งนี้ และยังมีที่ร้ายกว่านี้อีก
เช่นผู้ที่มีความเห็นแก่ตัวมากเกินไป หรือผู้ที่มีจิตใจคับแคบเกินไป
ที่จริงแล้ว ผู้ที่มีความเห็นแก่ตัวมากหรือมีใจคนอยู่มาก ก็ยังจะต้องไปคุกสวรรค์หลาย ๆคุกด้วยกัน
ไปยังคุกสวรรค์เพื่อค่อย ๆ ฝึกหัดขัดเกลา หากมีความคิดวุ่นวายอยู่มาก ก็จะได้รับความทุกข์ยิ่งมาก
การลงโทษ
การลงโทษนี้คือ ใจเกิดมายาภาพเช่น ตัวไปอยู่ในท่ามกลางป่าทึบ หากว่าเป็นผู้ที่มีความผิดบาปมาก
ใบไม่ก็จะร่วงหล่นตลอดเวลา ใบไม้ร่วงยังไม่เป็นอะำไร แต่ถ้าหากเจ้ายังไม่เก็บกวาดใบไม้เหล่านั้นขึ้นมา
มันก็จะกลายเป็นหนอนบิน แล้วหนอนบินนั้นจะต้องกัดใคร ? แน่นอนว่ามันจะต้องมากัดเจ้าเป็นเพราะว่า
ในป่าทึบนั้นมีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ภายใน เมื่อเดินครบรอบแล้ว ก็ต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ ดังนั้น
ความเร็วที่ต้องใช้ในการเก็บกวาดใบไม้ก็จะต้องเร็วมากขึ้น ใบไม้เหล่านั้นก็คือขยะที่อยู่ในใจของพวกเจ้า
นั่นเอง คนที่มีขยะในใจอยู่เยอะก็จะยิ่งยุ่งวุ่นวาย เพราะใบไม้จะยิ่งร่วงหล่นลงมามาก
ผู้ที่ยิ่งสงบผ่องแผ้วหรือไร้ความคิดที่ไม่ดีงาม เขาก็จะสามารถย้อนกลับสู่โฉมหน้าเดิมแท้ได้ ก็จะไม่มี
ใบไม้แห้งร่วงหล่น ต้นไม้แห่งธรรมเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นใบสีเขียว มีลมเย็นพัดโชยมา เมื่อลมเย็นพัดมาแล้ว
ร่างญาณก็จะสบาย ก็จะไม่ถูกหนอนบินเหล่านั้นกัดต่อย
พวกเจ้าได้เจริญปณิธานไปพลาง แล้วก็ตัดพ้อต่อว่าไปด้วยหรือเปล่า ? อย่างนี้ไม่ได้ จะต้องถูกลงโทษ
เป็นเพราะจิตใจของเจ้าไม่บริสุทธิ์ดีงาม อย่าได้แปดเปื้อนกันนะ อย่างนี้เข้าใจไหม ?
การแก้ไข
ดังนั้นผู้ืี่ที่ทำผิดในสิ่งที่กล่าวไปแล้วนั้น จะต้องรีบสำนึกขอขมารีบบำเพ็ญขัดเกลา ใจที่ผ่านมาแล้วในอดีต
อย่าได้มี อย่าได้มีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนและเห็นแก่ตัว จะต้องบำเพ็ญขัดเกลาให้ความคิดนั้น
บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเป็นหนึ่งเดียว ความคิดใด ๆ ไม่ก่อเกิดก็ได้แล้ว นั่นจึงจะเป็น""ความว่างอย่างแท้จริง""ไม่ใช่
""ความว่างอย่างเท่าเทียม""
-
คุกถอนตะปู
พวกเจ้าเคยจับจ้องมองคนอื่นอย่างไม่วางตาไหม ? อย่างนี้ก็คือตอนมีชีวิตอยู่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
ยโสโอหัง ชอบทำลายชื่อเสียงของคนอื่นมองไม่เห็นความดีของคนอื่น เห็นคนอื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้คอยเหยียบ
ย่ำซ้ำเติมและยังชอบจับผิดหรือขุดคุ้ยหาข้อด้อยข้อบกพร่องของคนอื่น เพื่อทำให้ตัวเองได้ประโยชน์ อย่างนี้
ล้วนเป็นความผิดบาปที่ยิ่งใหญ่ เบื้องบนจะบันทึกบาปเหล่านี้ไว้
การลงโทษ
ในมือของทุกคนจะถือค้อนอันใหญ่และก็จะมีตะปูให้ถืออีกคนละหนึ่งด้วย พอมีความคิดใด ๆเกิดขึ้นปุ๊ป
ตะปูก็จะตอกตรึงเขาเอาไว้กับพื้น เมื่อตอกไปแล้วหนึ่งตัว ก็ยังมีตัวที่สองอีกแต่ว่าค้อนเหล็กอันนั้น จะแบ่งตาม
ความผิดบาปของแต่ละคน มีทั้งที่เบาและมีทั้งที่หนัก และมีพื้นที่แข็งหรือพื้นที่นุ่ม เหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความ
ผิดบาปของแต่ละคนเองถ้าความผิดบาปหนักหนาพื้นก็จะยิ่งแข็ง ค้อนก็จะยิ่งหนัก นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปลักษณ์ แต่เป็น
เพราะการกระทำที่ผิดบาปของตัวเอง จึงทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
แต่ถ้าจิตใจนิ่งสงบไม่มีความคิดอื่นใดเกิดขึ้น สำนึกขอขมาต่อเบื้องบน เปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเองเป็นคนใหม่
ก็สามารถทำให้จิตวิญญาณของตัวเองใสสงบผ่องแผ้ว แล้วนั่งได้อย่างเรียบร้อยอย่างนี้ก็จะไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ
หรือมายาภาพไม่ต้องได้รับความทุกข์เข้าใจหรือไม่ ? ผู้ได้รับโทษเคี่ยวกรำอยู่ในคุกนี้ล้วนแต่เป็นเพราะตัวเองมี
สายตาที่สั้นและตื้นเขินเหมือนนั่งอยู่ในบ่อแล้วแหงนมองดูท้องฟ้าเป็นเหมือนกบในกะลาอย่างไรก็อย่างนั้น
บางคนจำกัดที่ของตัวเอง บางคนปิดกั้นตัวเอง ถ้าเขาเข้าใจกาลเวลาของฟ้า เห็นคนอื่นเดินก้าวไปข้างหน้า
เขาก็จะเดินก้าวไปข้างหน้าตาม แต่ผู้ที่ถูกลงโทษเคี่ยวกรำในคุกนี้ ก็จะไม่เหมือนกัน เขาเห็นคนอื่นเดินก้าวไป
ข้างหน้าแต่ตัวเองเต็มใจที่จะย่ำอยู่กับที่ ไม่ก้าวเดินไปข้างหน้ากับคนอื่น แม้จะรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของกาล
เวลาฟ้า แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะเดินตามกาลเวลาของฟ้า ไม่เต็มใจที่จะทำตามคำชี้แนะชี้นำของเบื้องบน
ปัจจุบันนี้ มีนักธรรมอาวุโส เตี่ยนฉวนซือ เจี่ยงซือ และญาติธรรมอาวุโสจำนวนมาก ได้ใส่ร้ายทำลาย
เรื่องของการปกโปรดสามโลก เพราะเขาไม่ได้เข้ามาร่วมด้วย ได้ยินคนอื่นเขาพูดมาอย่างนี้ ก็พูดตามไปอย่างนั้น
น่ากลัวไหมล่ะ ? คนอื่นเขาพูดอะไรกันมา ไม่ควรที่จะเชื่อเพราะอาจจะไม่จริงก็ได้
ในขณะที่พระอาจารย์ชายพระอาจารย์หญิงยังมีชีวิตอยู่สามารถปรกโปรดสามโลกได้ แล้วทำไมหลังจาก
ที่พระอาจารย์ชายพระอาจารย์หญิงได้ละกายสังขารไปแล้ว ศิษย์ทั้งหลายจึงไม่สืบทอดต่อพระปณิธานของ
พระองค์ทั้งสองโดยกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการปฏิบัติสืบต่อไปอีก ? นี่ก็เหมือนกับว่าในวันนี้มีอาจารย์คนหนึ่ง
ถ่ายทอดเคล็ดลับของการรักษาโรคให้กับลูกศิษย์ไป พออาจารย์ได้ตายจากไปแล้ว ลูกศิษย์คนนั้นก็ไม่ได้
ถ่ายทอดเคล็ดลับที่ว่านี้ไปให้คนอื่น ๆ ต่อ ได้แต่พูดอย่างง่าย ๆ เป็นเพียงตำรับยาอย่างง่าย ๆ อย่างนี้จะเป็น
วิธีการที่ตรงเป้าหรือไม่ตรงเป้า
การปรกโปรดสามโลกนั้นเป็นมหาปณิธานของพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง พวกเจ้าเองก็เป็น
ถึงศิษย์ของพระอาจารย์ชายกงฉังและพระอาจาริณีจื่อซี่ ล้วนแต่เป็นลูกที่ดีของเบื้องบน ก็ควรที่จะกล้าแบกรับ
ขึ้นมา จะต้องเข้าใจของกาลเวลาฟ้า อย่าได้ทำอะไรตามอำเภอน้ำใจเพราะไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างชัดเจน
แล้วก่อให้เกิดการใส่ร้ายทำลาย ดั่งกับนั่งมองฟ้าอยู่ในบ่อ ขีดเส้นตีกรอบขังตัวเองไม่เต็มใจที่จะก้าวไปข้างหน้า
เดินไม่ทันก้าวย่างของนักธรรมอาวุโส
ผู้ที่ได้รับการลงโทษเคี่ยวกรำ
ก็เป็นเพราะพวกเขาเกิดมายาภาพหลอน เช่นคิดว่าตัวเองอยู่ในบ่อน้ำ เป็นเพราะข้างล่างมีสุนัขทองแดง
สัตว์ดุร้ายที่ตัวเป็นไฟ และยังมียักษ์ที่รูปร่างหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์ ที่มาคอยหลอกหลอนและลงโทษ
ประหัตประหารพวกเขา ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นมีเชือกเส้นหนึ่งหย่อนลงมาจากด้านบน ต่างก็พยายามที่จะปีน
ป่ายเชือกเส้นนั้นให้ได้ แต่เชือกก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ความคิดของแต่ละคน บางเส้นมีหนามแหลม ขึ้นเต็ม
ไปหมด บางเส้นมีหนอนพิษ บางเส้นมีเดือยแหลม บางเส้นเล็กละเอียดเหมือนเส้นไหม เส้นหยาบใหญ่เหมือน
ถังน้ำ เพราะความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความผิดบาปก็ไม่เหมือนกัน ข้อผิดพลาดก็แตกต่างกัน
การลงโทษจึงแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน แต่ทุก ๆ คนก็จะต้องหนีตายขึ้นไปข้างบนให้ได้แต่พวกเขา
จะมีความรู้สึกแปลก ๆ ตรงที่ว่าไม่ว่าพวกเขาจะปืนขึ้นไปได้สูงขนาดใหนแล้วก็ตาม แต่สัตว์ร้ายสุนัขทองแดง
รวมทั้งยักษ์ร้ายเหล่านั้นก็ยังอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาไม่ได้หลีกห่างกันไปใหนเลย ก็ยังตามคุกคามตอแยอยู่นั่น
ผู้บำเพ็ญธรรมเกิดมีจิตใจที่หวั่นกลัวได้หรือไม่ ?
หากจิตใจเกิดความหวั่นกลัวก็จะตกไปสู่อสูรกายภูมิได้ง่าย ๆ ก็จะตกไปสู่แดนมารแล้วเกิดมีภาพมายา
เพ้อฝัน หากพวกเจ้าหวาดหวั่นกลัวเมื่อใด ก็จะเหงื่อกาฬแตก ใจฝ่อหวาดผวา หวั่นกลัว และสั่นเทื้มสั่นเทา
ด้วยความไม่รู้ ใช่หรือไม่ใช่ นี่ก็เป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง
บางครั้งให้พวกเจ้าได้รู้ถึงกาลเวลาของฟ้า ให้ได้รู้ถึงเจตนาของเบื้องบน แต่พวกเจ้ากลับไม่กระตือรือร้น
ไม่ก้าวไปข้างหน้าได้แต่ยึดติดกรอบของตัวเองตายตัว คิดแต่ว่าฉุดช่วยผู้อื่นได้จำนวนหนึ่งแล้วก็จะได้กลับคืน
เบื้องบน นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างมหันต์ เพราะมีคำพูดที่พูดกันเสมือนว่า""ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด""
แต่ถ้ารู้ทั้งรู้แล้วก็ยังกระทำผิด ผิดบาปก็ย่อมหนักกว่าปกติ ถึงแม้จะเป็นผู้ไม่รู้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความผิดเลย
จริง ๆ แต่ผู้ที่รู้ว่าผิดและก็ยังตั้งใจกระทำผิด ก็จะต้องถูกลงโทษเพิ่มทบทวีเป็นสองเท่าตัว
-
คุกแสงพิฆาต
ตามความหมาย คือ ภายในถ้ำจะมีแสงพิฆาตที่เจิดจ้า แสงที่เปล่งออกมานั้นมีพลังแห่งการฆ่าและทำให้
บาดเจ็บ ได้เอาไว้ลงโทษผู้ที่ตอนมีชีวิตอยู่ ชอบดูหนังสือที่ไม่ดีงามสายตาไม่ดีงามถูกต้อง สายตาชอบดูสิ่งของ
ที่สวย ๆ งาม ๆ แต่ไม่ชอบสิ่งอัปลักษณ์ และยังมีอีกประเภทหนึ่งคือ ชอบใช้สายตาเหยียดหยามคนอื่น เป็นเพราะ
เขาคิดว่าตัวเองฉลาดปราดเปรื่อง คิดว่าตัวเองเกิดมารูปร่างหน้าตาดี...จึงได้ดูถูกเหยียดหยามคนอื่นชีวิตอื่น
ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้ตามเสาไฟฟ้าจะติดภาพวับ ๆ แวม ๆ ติดภาพที่นุ่งห่มน้อยชิ้น เป็นจำนวนมาก หากว่า
พวกเจ้าเดินผ่านแล้วก็ยังตั้งใจไปมอง นี่เรียก่า""ไม่ถูกต้องต่อจริยธรรมความดีงามแล้วยังไปมอง""สายตาจึงไม่
ถูกต้องเที่ยงตรง ฝ่ายหญิงไม่ค่อยเป็นกันเท่าไหร่ แต่ฝ่ายชายจะต้องระมัดระวังกันสักหน่อย ดังนั้นจะต้องตั้งอก
ตั้งใจในการบำเพ็ญขัดเกลา จะต้องบ่มเพาะการมองสิ่งที่ดีงามของตัวเอง ดวงตาจะต้องมองแต่สิ่งที่ถูกที่ควร
อย่าได้มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง สิ่งใดที่ผิดต่อจริยธรรมความดีงามก็อย่าได้ไปดูไปแล
อีกประเภทหนึ่งที่ต้องถูกกักขังในคุกนี้ คือผู้ที่ชอบเข้าฌานนั่งสมธิ เป็นเพราะคิดอยากจะเห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
เมื่อนั่งสมาธิก็อยากจะเห็นทิวทัศน์ความเป็นไปของสวรรค์ คนที่เป็นแบบนี้นั้น จิตใจไม่เที่ยงตรง ใจมารก็จะเข้า
แทรกได้ ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะได้สร้างบุญสร้างกุศล แต่ก็ยังมีความเอนเอียงของความคิดอย่างนี้ก็ต้องถูกลงโทษ
บำเพ็ญขัดเกลาอยู่ที่ข้างในนี้ ก็ต้องลำบากลำบนสักหน่อย เพราะเมื่อแสงเจิดจ้าได้สาดส่องมาแล้ว ดวงตาก็จะกลัว
แสงจนน้ำตาไหล ดวงตาก็จะแสบและอ่อนกำลัง
นี่ก็เป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง ดังนั้นในสมองก็จะผุดเกิดความชั่วในอดีตออกมา การลงโทษที่นี่ไม่มี
เยื่อใยสัมพันธ์ใด ๆ ทั้งสิ
-
คุกเติมดอกไม้บนผ้าดิ้น
ความหมายก็คือ ผู้ที่ชื่นชอบให้เปลือกนอกนั้นดูดี (ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพลง ) ชื่นชอบความหรูหรา
โอ่อ่าแต่เพียงเปลือกนอก ได้แต่ประดับประดาให้ภายนอกดูดี ชอบประจบสอพลอกับผู้มีอำนาจ มีคำหนึ่งที่ว่า
""แตงโมอร่อยเลือกชิ้นใหญ่""
ดังนั้นพวกเราบำเพ็ญธรรม จิตใจต้องราบเรียบต้องมีความยุติธรรม เห็นคนอื่นยังไม่สมบูรณ์ก็ต้องช่วยเหลือ
เกื้อกูลเขา อย่าได้มองว่าใครกำลังประสบความราบรื่นในชีวิตหรือได้ดีมีวาสนา ก็เลยไปประจบประแจงอาศัย
อิทธิพลของเขา
อีกประเภทชอบอาศัยความสัมพันธ์ของคนมาบำเพ็ญประจบสอพลอผู้มีอิทธิพล เหมือนกับผ้าดิ้นที่สวยงาม
อยู่แล้วก็ยังปักดอกไม้ลงไปอีก
อีกประเภท ตลอดชีวิตเป็นคนพูดจาปากหวาน แต่ไม่จริงใจ ก็จะกลายเป็นคำพูดสอพลอ ถ้าเป็นคนประเภทนี้
คำพูดที่เขาพูดออกไปจะถูกบันทึกไว้ที่""คลังเก็บคำพูดสอพลอ"" เพราะเขาพูดสอพลอเรื่องไม่จริงเอาไว้มากมาย
บนฟ้าก็จะมีดอกไม้โปรยปรายลงมามากมาย กลิ่นของดอกไม้เหล่านั้น เมื่อได้ดมแล้วก็จะทิ่มแทงจมูก และเมื่อ
สัมผัสกับผิวหนังก็จะทำให้คันด้วย จาม คันหู ทั้งตัวก็จะคันไปหมดเหมือนเป็นโรคภูมิแพ้อย่างนี้น่ากลัวไหม ?
นี่เป็นเรื่องน่ากลัวมากอีกอย่างหนึ่งแต่ว่าผู้ที่ถูกเคี่ยวกรำอยู่ที่นี่ต้องทำจิตใจให้สงบและอารมณ์ต้องเยือกเย็น
ต้องเก็บจิตใจให้สงบ ต้องสำนึกขอขมา
สำหรับพวกที่รุนแรงหน่อย หูของเขาก็จะได้ยินเสียงหัวเราะของเทวบุตรมารด้วย เป็นเพราะผู้บำเพ็ญจะต้อง
บำเพ็ญปฏิบัติอย่างจริงจัง หากไม่มีจิตใจอย่างพุทธะ ก็จะมีจิตใจอย่างมาร
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ถ้าต้องการให้จิตใจของเราเที่ยงตรงดีงามได้ ก็จะต้องย้อนมองส่องตนทุก ๆ ขณะจิต
จะต้องพิจารณาตนตลอดเวลา
-
คุกล้างใจแปลงโฉม
ก็คือต้องชะล้างใจ และแปลงโฉมหน้าตอนยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะมีใจบำเ็พ็ญธรรม แต่อดทนต่อคำพูดของคนอื่นไม่ได้ ซ้ำยังไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้จักบำเพ็ญจริงขัดเกลาแท้ คิดแต่ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องทั้งหมด ถึงแม้จะไม่ได้ไปให้ร้ายทำลายใคร ก็ยังได้ชื่อมีบุญปัจจัยภายนอก แต่ว่ากุศลจิตภายในมีไม่เพียงพอไม่ได้ชะล้างใจและแปลงโฉมหน้าอย่างแท้จริง ไม่ได้แก้ไขความผิดพลาดในอดีตอย่างแท้จริง เวลาอยู้ต่อหน้าคนอื่น ได้แต่แสดงความจอมปลอมออกมา ชอบให้คนอื่นยกยอปอปั้น และไม่ชอบฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น
ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่า""ร่วมมือช่วยกันแสวงความเจริญก้าวหน้า"" ดังนั้นบำเพ็ญธรรมจึงต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ศึกษาอย่างจริงจังขันแข็ง แก้ไขสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก ไม่พาลโกรธ ไม่ทำผิดซ้ำสอง ถ้าหากกระทำความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเจ้าก็คงขัดเกลาได้หมดสิ้นไปแล้วตั้งแต่ตอนที่อยู่พุทธาลัย
แต่ถ้าอยู่ที่พุทธาลัยแล้ว ก็ยังไม่สามารถขัดเกลาได้หมดสิ้น ก็จะต้องเชิญพวกเจ้ามาเป็นแขกที่คุกสวรรค์แห่งนี้ดังนั้นจึงกล่าวว่าแม้จะเป็นเพียงความผิดพลาดผิดบาปเล็กน้อย ก็ต้องรู้จักตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ต้องรู้จักล้อมคอกเสียก่อนที่วัวจะหาย คือต้องรู้จักป้องกันเอาไว้ก่อนที่ผลเสียจะเกิดขึ้น
การลงโทษ
ขณะที่ถูกลงโทษนั้นก็คือ ต้องล้างกายชำระคุณธรรม ใครก็ตามที่ยิ่งรักหน้ารักตาของตัวเอง ผิวหน้าของเขาก็จะยิ่งบางลงมีคนพูดว่าคนหน้าหนาไม่กลัวปล่อยไก่ บำเพ็ญธรรมจึงต้องหน้าหนาเอาไว้
หากจะพูดว่ามายังคุกนี้เพื่ออาบน้ำแล้วละก็แต่ยิ่งอาบก็ยิ่งเจ็บปวด เมื่อน้ำราดลงมาครั้งหนึ่งนั้น ก็จะมีความรู้สึกคันเขยอไปทั้งตัวและยังเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงด้วย เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ หากเป็นผู้ที่จิตใจไม่ค่อยดี เขาจะมีความรู้สึกชาทั้งตัวแช่อยู่ในบ่อน้ำสีดำ สีของน้ำในบ่อจะไม่เหมือนกัน ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามแต่ความผิดบาปของแต่ละคน และยังแบ่งเป็นใสกับขุ่นอีกด้วย เป็นเพราะผิดพลาดผิดบาปไม่เหมือนกัน บ่อน้ำจึงลึกจึงตื้นไม่เหมือนกันด้วย และยังแบ่งได้เป็นน้ำร้อนหรือน้ำเย็น
น้ำร้อนมีไว้สำหรับผู้ที่อารมณ์ร้อน ส่วนน้ำเย็นมีไว้สำหรับผู้เย็นชาไร้ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แล้งน้ำใจต่อผู้อื่น ดังนั้นจะเร่าร้อนเกินไปหรือจะเย็นชาเกินไปก็ไม่ดีด้วยกันทั้งสองอย่าง
Credit : K.jariya1204
-
คุกฆ้องสวรรค์
ความหมายของชื่อคุกนี้ก็คือหูได้ยินเสียงฆ้อง แต่ว่ากลับไม่ใช่เสียงฆ้อง แต่มันเป็นเสียงของฟ้าร้อง ในขณะ
ที่เขาถูกเคี่ยวกรำอยู่นั้นจะมีความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในภาชนะที่มิดชิดเหมือนกับอยู่ในที่ที่ปราศจากอากาศ แต่
ก็ยังมีเสียงของฟ้าร้องและเสียงฆ้องเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนสูงมาก เสียงที่สะท้อนกลับมาจึงดังมาก ทุก ๆ ครั้ง
ที่มีเสียงดังวิญญาณก็จะสั่นกระเพื่อมไปตามคลื่นเสียงนั้น ๆ แล้วก็มีอาการมึนหัวและสมองขยายตัว อยากจะอาเจียน
ถ้าอาการรุนแรงหน่อยก็จะมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด อวัยวะภายในทั้งห้ารวมทั้งตับทั้งม้ามก็จะแตกและยังมี
ปัณหาเกิดขึ้นที่หูด้วย ชอบฟังอย่างนั้น ชอบฟังอย่างนี้ ชอบฟังเรื่องถูกผิดสั้นยาวของชาวบ้านชาวช่อง เขาชอบฟัง
เรื่องไม่ดี ๆ ของใครต่อใคร พอตัวเองได้ฟังเรื่องเหล่านี้มาแล้วก็นำไปพูดบอกเล่าให้คนอื่น ๆ ได้ฟังด้วย
ดังนั้นผู้บำเพ็ญธรรม กรรมทั้งสามจาก กาย วาจา ใจนั้นจะต้องสงบผ่องแผ้ว วันนี้หากเจ้าบำเพ็ญธรรม แต่ยัง
ชอบฟังเรื่องถูกผิดนินทาว่าร้ายและนำเรื่องนี้ไปถ่ายทอดต่อกระจายข่าวลือ พูดคำที่ไม่สมควรพูด พูดเรื่องที่ไม่จริง
แล้วทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจผิด ส่งผลกระทบถึงผู้อื่นเช่นว่าวันนี้เจ้ากับเพื่อนบ้านซ้ายมือพูดเรื่องไม่ดีของเพื่อน
บ้านขวามือ พอถึงวันพรุ่งนี้ เพื่อนบ้านซ้ายมือกับเพื่อนบ้านขวามือก็ไม่แยแสกัน ไม่มองหน้ากันอีกแล้ว ดังนั้นคำพูด
เป็นสิ่งร้ายกาจมาก จะพูดจะจาอะไรจึงต้องกริ่งเกรงระมัดระวังจะต้องรอบคอบให้มาก ๆ
ในคุกฆ้องสวรรค์นั้น มีผู้ที่แฝงไว้ด้วยความคิดที่จะก่อกรรมทำเข็ญ ผู้ที่เล่นเล่ตีสองหน้า ผู้ที่ต่อหน้าอย่างลับหลัง
อย่างหนึ่งและผู้ที่ยุแยงตะแคงรั่ว นั่นก็คือเมื่อเห็นคนอื่นเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็ไปยุแหย่ให้เขาแตกคอกัน
เหมือนเห็นคนอื่นได้ดีมีแต่ความก้าวหน้า ก็หาเรื่องทำลายทำร้ายเขา...เป็นเพราะว่านี่คือมารในใจและมารภายนอก
ที่ถูกชักนำมาจากโจรหูนั่นเอง จึงปิดกั้นขัดขวางตัวเอง ตาก็มีรากของตา หูก็มีรากของหู (ซึ่งก็คือ จักขุนทรีย์ และ--
โสตินทรีย์นั่นเอง)
ดังนั้นในพระพุทธศาสนาจึงมีคำกล่าวที่ว่า""ผู้บำเพ็ญปฏิบัติจะต้องทำให้อินทรีย์ทั้งหกวิสุทธิ์สะอาด"" จึงอย่า
ได้กระทำผิดในเรื่องของกาย วาจา ใจ รวมทั้งอกุศลกรรมบถสิบและมิจฉัตตะแปดด้วย
พูดมาตั้งมากมาย ฟังเข้าหูกันหรือเปล่า ? ดังคำกล่าวที่ว่า""ยาดีย่อมขมปาก คำพูดที่ดีย่อมขัดหู"""ยิ่งเป็น
คำพูดที่ขัดหูยิ่งต้องฟังอย่างละเอียด และต้องยอมรับด้วย หากว่าวันนี้เจ้าไม่สามารถยอมรับมันได้ วันหน้าจะเป็น
อย่างไร ? ก็คงต้องไปหาถ้ำนั่งอยู่ ภายในอย่าได้เป็นคนที่ไม่มีความมุ่งมั่นเลย บำเพ็ญธรรมต้องมีความกระตือรือร้น
ไม่ใช่พูดว่าได้รับแล้วก็ไม่ต้องบำเพ็ญมันไม่ง่ายอย่างนี้หรอก เจ้าอย่าได้เป็นว่ารับธรรมะไปแล้วแต่ก็ยังสูบบุหรี่ดื่มเหล้า
แทงม้า เล่นการพนัน ฯลฯ แล้วก็ทำเรื่องชั่วช้าอีกมากมาย ถ้าเป็นอย่างนี้ย่อมไม่อาจบรรลุธรรมได้แน่
หลักธรรมเหล่านั้นก็ต้องการให้พวกเจ้าได้เข้าใจ อย่าได้พูดว่าฉันเป็นญาติธรรมเก่าแล้ว อายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ว่า
บุญกุศลอยู่เสียที่ใหนกันละ ? เจ้าพูดว่าเจ้าตั้งปณิธานกินเจแล้ว แต่ว่าใจบริสุทธิ์ด้วยหรือไม่ละ ?อย่างนี้เข้าใจกันหรือไม่?
เบื้องบนให้ฉันได้มาที่นี่เพื่อบอกเล่าถึงคุกสวรรค์ ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้เข้าใจ บำเพ็ญธรรมจะลวกหยาบไม่ได้
บำเพ็ญธรรมจะสุกเอาเผากินไม่ได้ หากว่าเจ้ามีความเห็นแก่ตัวอยู่มาก แบ่งพรรคแบ่งพวกเก่งเบื้องบนก็จะแยกออก
จากเจ้า แต่ถ้าหากเจ้ามีใจเพื่อนส่วนรวม เบื้องบนก็จะไม่แยกออกจากเจ้า
เอาละ ? หวังว่าพวกเจ้าจะบำเพ็ญกันให้ดี ๆ อย่าได้ผิดต่อความลำบากใจของเบื้องบนแล้วจะเป็นอย่างไร ? วันนี้
ก็จะต้องมีถ้ำสักถ้ำหนึ่งเตรียมเอาไว้ให้เจ้า ได้ไปบำเพ็ญเคี่ยวกรำอย่างไรละ ?
หวังว่าพวกเจ้าจะมาหาฉันเพื่อดื่มชากัน แต่ไม่ใช่มาหาฉันเพื่อรายงานตัวเข้ารับโทษล่ะ
-
พระโอวาทผู้เฒ่าคุณฟ้า เทียนเต๋อเหล่าเหยิน
ชั้นวิริยะตน (จื้อหลวี่ปัน)
วันที่ 9 - 10 มกราคม พ.ศ.2543
ณ วิหารเทียนเซิ่งฝอเอวี้ยน ฮวาเหลียน ไต้หวัน
ข้าควบคุมคุกสวรรค์เผยความลับ
จดบุญบาปดวงเนตรฟ้าฟิศชัดหนา
จองจำด้วยไม่บำเพ็ญคุณปัญญา
โทษนานาลงอาญามากมายมี
-
เมธีทั้งหลายบัดนี้ ข้าได้สนองรับพระบัญชาจากพระแม่องค์ธรรมมารดามาไขความลับสวรรค์เพื่อตักเตือนเจ้าทั้งหลายหน้าที่ของข้าก็คือคุมคุกสวรรค์ เจ้าทั้งหลายควรรู้ว่ามีนรกก็ต้องย่อมมีคุกสวรรค์เช่นกัน คุกสวรรค์อยู่ที่ใหน ? อยู่ติดกับพุทธาลัยมีทางอยู่เส้นหนึ่งเชื่อมผ่านได้ทั้งสองที่ ที่หนึ่งมืดมิดเยือกเย็นอีกที่หนึ่งสว่างและเป็นสุขยิ่ง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าทั้งหลายจะก้าวย่างอย่างมั่นคงและสำรวมระวัง กาลนี้หากไม่บำเพ็ญจริงปฏิบัติแท้ ก็จะต้องไปรายงานตัวที่ ๆข้าควบคุมอยู่อย่าได้คิดว่าพุทธระเบียบหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไม่สำคัญอีกทั้งไม่เคารพอาจารย์เทิดทูนธรรมะ นิสัยความเคยชินมากมายหากเป็นเช่นนี้บำเพ็ญไปก็เปล่าประโยชน์ กล่าวแก่เจ้าทั้งหลายหากเจ้าผิดต่อกฏแห่งฟ้า จะผ่านด่นของข้าก็ไม่ง่ายเลย
จะบัญชาให้ขุนนางผู้คุม นำพาวิญาณเดิมเข้ามายังธรรมสถาน เพื่อกล่าววาจาสักเล็กน้อย (หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเทียนเต๋อเหล่าเหยินกล่าวจบ ท่านได้กระแทกไม้เท้าลงพื้นหนึ่งครั้ง ญาณเดิมก็ได้ประทับร่างของสามคุณอีกท่านหนึ่งล้มลงกับพื้นสะอื้นไห้คลานเข้ามายังห้องประชุม พุทธบริกรจึงเข้าไปช่วยพยุงเข้ามายังกลางห้องประชุม )
ผู้เฒ่าคุณฟ้า : เจ้ามีเวลาไม่มากนัก จงรีบเล่าถึงความผิดของเจ้าที่ได้กระทำไป
ญาณเดิม : ข้าเป็นผู้ชายชื่อว่า"โจวจวิ้นเซิง" ละกายสังขารเมื่อปีหมิกั๋วที่๗๐ (พ.ศ.๒๕๒๔) ข้าเป็นเจ้าตำหนักพระแรกเริ่มนั้นข้าศรัทธาต่อธรรมะมาก หลังจากได้รับธรรมะก็ได้ติดตามนักธรรมอาวุโสบำเพ็ญปฏิบัติธรรม อาวุโสคอยส่งเสริมยกระดับอยู่เสมอและส่งเสริมให้ข้าเป็นอรรถาจารย์ ข้าจึงเป็นทั้งเจ้าตำหนักพระและอรรถาจารย์ในเวลาเดียวกัน หน้าที่เหล่านี้ไม่ธรรมดาเลยแต่ว่าข้าไม่มีความเคารพในอาจารย์เตี่ยนฉวนซือ บางครั้งถึงกับดูถูกดูแคลนมักที่จะคิดอยู่เสมอว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องในการปฏิบัติงานธรรมไม่เข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ เขาจึงถือดีอวดตน คิดว่าอาจารย์ด้อยกว่าข้าในทุก ๆด้าน บางครั้งก็ปากอย่างใจอย่างข้าเป็นถึงเจ้าตำหนักพระแต่ไม่เคารพต่ออาจารย์เตี่ยนฉวนซือ บาปหนักเลยเกินในยามที่ทำบุญ ให้ทานข้าก็จะยึดติดในรูปลักษณ์ หากไม่เห็นเป็นรูปลักษณ์ก็จะคอยสอบถามอาจารย์ว่าเงินทำบุญเหล่านั้นสูญหายไปตรงใหน อาจารย์ท่านบำเพ็ญดีไม่เคยโกรธแค้นมีแต่คอยพร่ำสอนตักเตือน ต่อมาข้าฟังคำของคนรอบข้างมากไป คิดว่าอาวุโสทำไม่ถูก อาวุโสไม่เอาใจใส่ดูแลผู้น้อยตอนนี้แหละที่ข้าก้าวพลาด จึงปิดสถานธรรมอีกทั้งคบคนเลว ๆ จึงทำให้ทุศีลแตกเจ ใหม่ ๆก็คิดว่าลองกินดูก็แล้วกันคงไม่เป็นไร ?แต่ก็ไม่สบายใจ กินแล้วก็กราบสำนึกขอขมา ทุกครั้งที่ทำผิดก็จะสำนึกขอขมาจนกลายเป็นความเคยชิน ผิดแล้วผิดอีกตอนนั้นในใจก็คิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ภัยคงไม่มาถึงตัวและยิ่งตอนนั้นงานทางโลกก็ไปได้ดีมาก จึงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องแล้ว อาวุโสทุกท่านบำเพ็ญธรรมจะต้องบำเพ็ญจริงตามหลักสัจธรรมบำเพ็ญอย่างจริงจัง
ผู้เฒ่าคุณฟ้า : เมื่อรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เหตุใดจึงกล้ากระทำ? มีอะไรอีก ?
ญาณเดิม : ยังถ่วงผู้คนอีกจำนวนมาก ข่าเล่าเรื่องของข้าให้ผู้ร่วมบำเพ็ญฟัง และยุให้เขาทุศีลแตกเจเหมือนกับข้า ด้วยเหตุที่เป็นอรรถาจารย์ มีวาทะศิลป์ผู้คนจึงหลงเชื่อ เป็นเจ้าตำหนักพระแต่กลับยกเลิกสถานธรรม เลิกล้มธรรมกิจก็เท่ากับตัดหนทางแห่งปัญญาญาณของผู้คนไปมากมายเท่าใด ? อยู่ในอาณาจักรธรรมข้าก็มีจิตใจที่คับแคบกลัวคนอื่นเขาจะดีกว่า กลัวว่าจะมีบุคคลากรที่เก่งกว่า กลัวว่าตนเองจะไม่มีจุดยืน บำเพ็ญธรรมอย่าได้เป็นเช่นนี้เลยตอนนี้ข้าพึ่งจะเข้าใจ ข้าทำผอดไว้มากมายเหลืิอเกิน ข้าต้องผ่านคุกสวรรค์ด่านแล้วด่านเล่าจิตของข้าทรมานนัก ยิ่งยึดติดมากเท่าไรก็ยากที่จะวางใจลงได้ ในคุกสวรรค์หากสามารถปล่อยวางได้ก็ไม่ต้องถูกคุมขังทุกอย่างจะต้องเป็นอสังฆตะ หวังอาวุโสทุกท่านจะเห็นข้าเป็นดังกระจกขอให้คิดให้รอบคอบและถี่ถ้วน ข้าสำนึกผิดแล้วแต่ก็สายเกินไป เมื่อทำผิดก็สำนึกด้วยใจจริงอย่าได้สำนึกแล้วสำนึกอีก อาศัยกายสมมุติเร่งรีบสร้างบุญกุศลชำระปณิธานเช่นนี้ ไม่เพียงแต่สามารถกลับคืนฐานเดิมได้ยังสามารถบรรลุสู่มรรคผลพุทธะได้อีกปณิธานของเราล้วนแตกต่างกันไป บ้างก็มาเพื่อหนุนนำงานธรรม แต่กลับมาลุ่มหลง ข้าสำนึกผิดแล้ว ฮือ...ฮือ...ฮือ...
ผู้เฒ่าคุณฟ้า : เมธีทั้งหลายชั้นนี้เปิดขึ้นมาก็เพื่อให้เจ้าทั้งหลายสำนึกผิดขอขมา เจ้าทั้งหลายมีจิตสำนึกขอขมากี่ส่วนมิใช่ว่าทุกคนที่บำเพ็ญจะต้องกลับไปยังคุกสวรรค์ทุกคนนี่เป็นการชี้แนะเจ้าทั้งหลาย สิ่งที่ญาณเดิมได้กล่าวไปเมื่อครู่นี้ ทุศีลแตกเจบาปนี้มหันต์นักจะต้องตกนรกอเวจีไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เมธีทั้งหลายเจ้าจะต้องระวัง อย่าได้คิดว่าไม่มีใครเห็นคิดว่าทำอะไรก็กล้าทำ เมื่อใบเทวนาคราชได้ถวายขึ้นสู่เบื้องบน ไม่ว่าจะเป็นวาจา กริยา อาการของเจ้าทั้งหลายล้วนอยู่ในมือข้า สิ่งที่ญาณเดิมได้กล่าวไปหากเจ้าเองก็เคยทำผิดในส่วนนั้นจงเร่งแก้ไข และจะต้องเร่งบำเพ็ญจริงปฏิบัติแท้ อย่าได้รอจนถึงประตูคุกสวรรค์ก่อนสายไปไม่ใช่เบื้องบนไม่เมตตา สวรรค์มีประตูเจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้าก็แหวกเข้าไปเอง ข้าก็จนใจ !
วันนี้เห็นข้ามาตักเตือนอย่างสุภาพอ่อนโยนแต่ในคุกสวรรค์ข้ายุติธรรมและเที่ยงตรงเสมอ เวลามีจำกัด หวังเจ้าทั้งหลายจะบำเพ็ญปฏิบัติด้วยความจริงใจ หวังว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไป ดีไหม ?!!
นักเรียนในชั้น : ดีครับ / ค่ะ
ผู้เฒ่าคุณฟ้า : นำพาญาณเดิมคืนเบื้องบน ถอน........
-
มิจฉาเอนเอียงเข้าร่วมบำเพ็ญตลอดชีวิตขังคุกสวรค์ ( ฉู่เจินคังเตี่ยนฉวนซือ )
พูดไปแล้วรู้สึกละอายแก่ใจ ข้าพเจ้ามาจากคุกสวรรค์ ข้าพเจ้าได้คอยอยู่เป็นเวลานาน ได้กราบพระบาทพระแม่องค์ธรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและพระพุทธะจี้กงแล้วรวมทั้งคารวะต่อเฉียนเหยินอีกทั้งเตี่ยนฉวนซือทุกท่าน ขอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเมธีซึ่งนั่งอยู่ที่นี่ด้วย ข้าพเจ้ามาจากคุกสวรรค์ มีชื่อว่า ""ฉู่เจินคัง"" เป็นคนเมืองเอวี้ยหยัง ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงต่อต้นยุคสาธารณรัฐ(หมินกั๋ว)ตอนยังมีชีวิตอยู่ได้แบกรับพระโองการสวรรค์เป็นเตี่ยนฉวนซือ แต่เป็นเพราะความคิดผิดพลาดคลาดเคลื่อนจึงต้องรับโทษอยู่ที่คุกสวรรค์เป็นเวลาหลายสิบปี ได้รับการลงโทษไม่หยุดหย่อนผ่อนเว้น ข้าพเจ้าได้รับโทษอยู่ที่""คุกทิ่มตำเท้า"""ทุกวันจะมีเข็มมาทิ่มตำที่เท้าทั้งสองข้าง ไม่อาจหยุดหรือได้สบายแม้ชั่วขณะเป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่ได้นำพาผู้น้อยผิดพลาดเอนเอียง เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็จะขอเล่าย้อนความตั้งแต้ต้นให้ได้ฟังกัน
ข้าพเจ้าละกายสังขารเมื่ออายุ ๗๘ ปี ถึงอายุมากขนาดนี้แต่ไม่คิดว่าจะตกต่ำลงเอยอย่างที่เป็นอยู่ ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวชาวนาที่ร่ำรวย บิดามารดาเป็นคนพิ้นเพที่นั้นตั้งแต่เด็กก็ได้ศึกษาตำรับตำราโคลงกลอน และยังรู้ถึงหลักเมตตามโนธรรมก่อนที่จะพบเจอวิถีธรรม ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนทั่วๆ ไปที่หมุนวนเวียนว่ายอยู่ในอารมณ์เจ็ด ( คือ ยินดี โกรธา เศร้าใจ สุขใจ รักใคร่ เกลียดชัง โลภอยาก ) และตัณหาหก
เมื่ออายุได้ ๑๗ ปี ก็มีหน้าที่การงานและแต่งงานสร้างครอบครัวเสพสุขกับชีวิต มีลูกหญิงชายรวมกัน ๗ คน เมื่ออายุได้ ๔๖ ปี ภรรยาของข้าพเจ้าได้ลาจากโลกไปด้วยเหตุเจ็บป่วย ข้าพเจ้าจึงได้ตระหนักถึงความเฉียบไวของอนิจจัง ดังนั้น จึงไปแสวงหาสัจธรรมที่วัดวาอารามเสมอ ๆ จนได้พบกับผู้แนะนำ - ผู้รับรอง ได้ชักนำให้ข้าพเจ้าเข้าสู่วงการอนุตตรธรรม ข้าพเจ้าไดรับบริจากมากมายและก็ตั้งใจพากเพียรในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
เมื่ออายุ ๕๒ ปี จึงแบกรับพระโองการสวรรค์เป็นเตี่ยนฉวนซือ ในตอนนั้นจิตใจผู้คนน่าหวาดกลัว เป็นยุคที่มีภัยสงครามเคราะห์ร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชีวิตคนมีอันตรายอยู่ทุกขณะแต่ข้าพเจ้าก็ยังฉุดช่วยเวไนยสัตว์ได้ไม่น้อย ข้าพเจ้าดูแลนำพาอาณาจักรธรรมอยู่ที่เมืองซันเจิ้น มณฑลอู่ฮั่น
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๗๒ ปี เป็นปีที่พระอาจารย์ชายกงฉัง และพระอาจารย์หญิงจื่อซี่ สนองรับพระโองการสวรรค์ ด้วยเหตุที่นักธรรมอาวุโสที่นำพาข้าพเจ้า ได้ละกายสังขารไปด้วยเหตุเจ็บป่วย งานธรรมกิจจึงได้ข้าพเจ้ารับผิดชอบดูแลชั่วคราว ข้าพเจ้านำพาเตี่ยนฉวนซือที่อายุยังไม่มากอยู่หลายคน มีเพียงข้าพเจ้าที่เป็นผู้นำที่คนอื่นต้องดูทิศทางตาม ในตอนนั้นมีธรรมปรินายกหลายท่าน ไม่เชื่อเรื่องที่พระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิงสนองรับพระโองการสวรรค์ ข้าพเจ้าเป็นพวกคนหูเบา ไม่รู้ว่าจะฟังใครถึงจะดี ? แม้ว่าต่างจะกระจัดกระจายกันไปคนละทาง พระแม่องค์ธรรมมีพระบัญชาว่า พระโองการสวรรค์อยู่ที่พระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง แต่ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองอายุทางโลกก็มาก อายุทางธรรมก็เยอะ และยังมีนักธรรมอาวุโสที่มีบารมีธรรมสูงส่งอยู่อีกหลายท่าน หรือว่าเจตนาของฟ้าจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป ? หรือว่าเป็นการดำเนินไปตามใจคน ?เพราะเหตุใดพระโองการสวรรค์จึงตกไปสู่นักธรรมรุ่นหลังกว่าได้ ? ( หมายถึงพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง ที่มีวัยวุติและธรรมวุติน้อยกว่า) เสียทีที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญจริงขัดเกลาแท้มาหลายปี การทดสอบปัญญาเช่นครั้งนี้ยังไม่อาจผ่านได้ ข้าพเจ้าจึงนำพานักธรรมผู้น้อยใกล้ชิดติดตามนักธรรมอาวุโส ที่ข้าพเจ้ายอมรับอยู่ในสายตา บำเพ็ญปฏิบัติอยู่กับนักธรรมอาวุโสท่านนั้น ๆ เมื่ออายุได้ ๗๖ ปี โรคร้ายเข้าสู่ร่างกายและได้ละกายสังขารในเวลาต่อมาเมื่ออายุ ๗๘ ปี
ตลอดชีวิตตรากตรำเพื่อธรรมะ เดิมทีคิดว่าได้กลับคืนเบื้องบน ได้เข้าเฝ้าพระแม่องค์ธรรมด้วยจิตที่เกษมเปรมปรีด์ จะได้ไม่ผิดต่อพระบรรพจารย์ลู่จงอีที่ได้มอบหมายนำพา แต่ว่าข้าพเจ้ากลับถูกจับตัวไปสู่คุกสวรรค์โดยตรง เบื้องบนจดบันทึกบุญอย่างละเอียด แต่ก็จดบันทึกบาปไว้อย่างถี่ถ้วนถ่องชัดเช่นกัน
-
ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าตนเองไม่ได้นำปัญญาออกมาใช้ ดังนั้นจึงนำพานักธรรมผู้น้อยเดินผิดทางไป เพราะข้าพเจ้าเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ไม่เชื่อมั่นในเจตนาของฟ้า คิดไปว่าอักษรพระโอวาทในกระบะทรายที่กล่าวถึงพระโองการสวรรค์นั้นเป็นการกระทำตามเจตนาของคนเอง จึงผิกพลาดทั้งต่อตนเองและผู้อื่นด้วยตัดขาดหนทางเบื้องหน้า ข้าพเจ้าสำนึกขอขมาอยู่ที่คุกสวรค์ สักี่คนที่เข้าใจถึงกาลเวลาของฟ้าและเจตนาของฟ้าอย่างถ่องแท้แน่ชัด ?
อย่างได้เป็นอย่างข้าพเจ้า ที่บำเพ็ญมาก็นานปี แต่ยังคงเลอะเลือนอยู่ ! คิดไปว่าตนเป็นนักธรรมอาุโส จึงอ่อนน้อมถ่อมใจลงมารับความผิดไม่ได้ ไม่มีผู้ที่เข้าใจถึงเจตนาของฟ้าอย่างชัดเจน แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ใส่ร้านทำลายพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง แต่ว่านำพานักธรรมผู้น้อยจนร่วงหล่น นั่นก็เป้นความผิดของข้าพเจ้าแล้ว เบื้องบนไม่ได้ปกปิดลบล้างความลำบากในช่วงสิบปีของข้าพเจ้า แต่เบื้องบนก็ไม่ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นอิสระเสรี ในคุกสวรรค์นั้นมีคนมากมายที่เป้นถึงนักธรรมอาวุโส และในนรกอเวจีเองก็มีคนมากมายที่เป็นนักธรรมอาวุโสอยู่ด้วย
เมื่อเป็นนักธรรมอาวุโสของนักธรรมผู้น้อยทั้งหลาย แต่กลับทำร้ายพวกเขาเหล่านั้นตัวเองย่อมต้องรับเคราะห์ภัยด้วยเช่นกันเดิมทีการลงโทษในคุกสวรรค์ไม่อาจเปิดเผยให้รู้กันโดยง่าย แต่ในวันนี้ พระแม่องค์ธรมได้มีพระบัญชา และพระอาจารย์หญิงก็ได้กำชับสั่งความไว้ หลังจากนี้ไปจะมีการทดสอบนักธรรมชั้นผู้นำให้ตกหล่น การทดสอบปัญญาที่เกิดขึ้นนี้จะมีสักกี่คนที่เข้าใจความลับของฟ้า (เจตนาของฟ้า) อย่าได้คิดว่าบำเพ็ญปฏิบัติธรรมกันมานาน ถ้าสอดคล้องกับหลักธรรมก็จะเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำจะผิดต่อพระโองการสวรรค์หรือเจตนาของฟ้าไม่ได้
มีนักธรรมอาวุโสในอาณาจักรธรรมที่ไม่อาจถ่อมใจลงต่ำได้คิดว่าสิ่งที่ได้พบที่ได้เห็นนั้นเป็นสิ่งจริง ไม่เชื่อสิ่งที่หูของตนได้ยินมา ถึงแม้จะมีนักธรรมอาวุโสบางส่วน รู้ถึงความหมายอันแท้จริงของการฉุดช่วยสามโลกและเรื่องใหญ่ของการฉุดช่วยปรกโปรดอีกทั้งการเก็บงานพร้อมสมบูรณ์ แต่พวกท่านเหล่านั้นยอมรับกันไม่ได้ เริ่มจากตนเองยอมรับไม่ได้ แต่ก็ไม่เสมอไปสำหรับผู้อื่นจึงเกิดการใส่ร้ายทำลายกันหรือว่านี่คือความหมายที่แท้จริงขอวการแบกรับพระโองการสวรรค์แบกรับภาระหน้าที่ ?
ข้าพเจ้าที่อายุมากขนาดนี้ เสียทีที่ได้บำเพ็ญปฏิบัติจนบุคลิกท่าทางสูงส่งภูมิฐานไม่คาดคิดว่าไม่ใช่มีผลบุญใหญ่แต่กลับมีส่วนอยู่ในคุกสวรรค์ วันนี้ข้าพเจ้าได้วิงวอนขอให้เบื้องบนนิรโทษผ่อนผันข้าพเจ้าไม่อยากรับโทษทัณฑ์ในคุกสวรรค์อีก ยังมีนักธรรมผู้น้อยอีกมากที่ไร้ปัญญาขาดความเข้าใจจึงได้ตกลงสู่นรกภูมิ การทดสอบเกี่ยวกับพระโองการสวรรค์เพียงครั้งเดียวก็ทำให้จิตใจไหวหวั่นได้แล้ว นักธรรมผู้น้อยมองเห็นนักธรรมอาวุโสแก่งแย่งผลบุญกัน แก่งแย่งชื่อเสียงผลประโยชน์กันด้วยเหตุนี้จึงถูกทดสอบจนถดถอยจากไป ยุคนี้ก็เป็นเหมือนในอดีต เจตนาของฟ้านั้นเดิมทีไม่อาจแพร่งพรายเปิดเผยได้โดยง่าย พระแม่องค์ธรรมเมตตาสงสารพุทธบุตรมากมาย หากหลับหูหลับตาโง่งมบำเพ็ยละก็ ย่อมไม่อาจกลับคืนเบื้องบนได้ อาณาจักรธรรมไต้หวันหลายสิบปีมานี้ไม่ได้หยุดนิ่งเพียงเพราะนักธรรมอาวุโสละกายสังขาร วงการอนุตตรธรรมต้องฉุดช่วยเวไนยสัตว์ หากเวไนยสัตว์ไม่รับการฉุดช่วยแล้วจะกล่าวถึงการเก็บงานพร้อมสมบูรณ์ได้อย่างไร ? น่าสงสารผู้บำเพ็ญในวงการธรรมมากมาย ด้วยเพราะลุ่มหลงงงงวยจึงเดินผิดหนทาง แต่ยังคิดว่าตนเองทำถูกต้องแล้ว ถ้าไม่เข้าใจเจตนาของฟ้าก็จะผิดต่อการบำเพ็ญธรรมได้
ข้าพเจ้ามีคำพูดมากมายต้องการเตือนสติเมธีทั้งหลาย ในตอนนี้มีนักธรรมอาวุโสและเตี่ยนฉวนซือมากมายที่ผิดพลาดเหมือนข้าพเจ้ายึดติดอยู่กับว่าตัาเองมีนักธรรมผู้น้อยมากน้อยเท่าไหร่สร้างบุญไปแล้วมากน้อยแค่ใหน ถึงที่สุดก็ยังคงยึดมั่นถือมั่นไม่ละวางแต่ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรในครอบครองเลย
การดำเนินงานของสามโลกเป็นเรื่องจริง ไม่เช่นนั้นพุทธบุตรชายหญิงจะกลับคืนสู่เบื้องบนได้อย่างไร ? อย่าได้ใส่ร้ายลบล้างพระโองการสวรรค์เจตนาของฟ้า ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่อในพระโอวาทของพระแม่องค์ธรรมว่าได้มอบหมายพระโองการสวรรค์ไว้กับผู้ใดแล้วจึงผิดพลาดต่อตนเอง ข้าพเจ้าไม่เชื่ออักษรพระโอวาทในกระบะทรายเรื่องพระโองการสวรรค์แต่กลับเชื่อในความฉลาดอันน้อยนิดของคนด้วยกันเองเมธีทั้งหลายต้องอ่อนน้อมถ่อมใจต้องทำความเข้าใจให้ถูกชัดต่อเจตนาเดิมของพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง ไม่เช่นนั้นบำเพ็ญมาชั่วชีวิตกลับจะทำให้ผู้อื่นต้องผิดพลาดอีกมากมาย
วันนี้มีเวลาจำกัดขอบพระคุณพระอาจารย์จี้กงที่ได้นำพาวิญญาณของข้าพเจ้ามายังพุทธสถานแห่งนี้ หวังว่าเมธีทั้งหลายจะฟังอย่างรอบคอบต้องทำความคิดของตนให้เที่ยงตรงดีงาม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตรวจสอบชั้นประชุมธรรมอยู่ การได้ตั้งปณิธานใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงอย่าได้ละทิ้งไปอย่างง่าย ๆ ด้วยเป็นเพราะการลงโทษทัณฑ์ในคุกสวรรค์ไม่อาจเปืดเผยได้โดยง่ายคนบนโลกจึงไม่เข้าใจ ชะตาในมนุษยภูมิมีการสิ้นสุดได้ จึงอย่าได้ยึดติดอยู่กับผลบุญของตนเอง
จริยปกรณ์หรือบทถ่ายทอดเบิกธรรม ที่มีรูปลักษณ์ถึงแม้จะสำคัญ แต่ว่าท่ามกลาง ฟ้า ดิน คน สามคุณนั้น คนเป็นผู้ประกาศธรรมแทนฟ้า พระโองการสวรรค์นั้นไร้รูปลักษณ์ แต่เมื่ออยู่ในฟ้าปางหลังเพื่อให้ผู้คนได้เกิดความเชื่อมั่นจึงต้องมีสิ่งแสดงให้เกิดซึ่งความเชื่อมั่นนั้น (หมายถึงจริยปกรณ์ที่มีรูปลักษณ์นั่นเอง )
การปฏิบัติงานสามโลกนั้น จะต้องให้ความเคารพต่อเทพผีเสียก่อน เมธีทั้งหลายต้องจดจำใส่ใจให้แม่นมั่น
-
๒. ผิดต่ออาจารย์และพระโองการฯ ต้องถูกเคี่ยวกรำยังคุกสวรรค์ ( เซี่ยปินเหอเตี่ยนฉวนซือ )
ตอนมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็เป็นเตี่ยนฉวนซือ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าอยู่ที่คุกสวรรค์รู้สึกละอายแก่ใจเหลือเกินกระดากอายจริง ๆได้มารบกวนเวลาของเมธีั้ทั้งหลาย อนิจจาตัวเป็นถึงนักธรรมอาวุโส แต่เป็นเพราะนำพานักธรรมผู้น้อยผิดพลาด ดังนั้นจึงกลับไปรับการเคี่ยวกรำอยู่ที่คุกสวรรค์ ประวัติชีวิตของข้าพเจ้านั้นถ้าพูดแล้วยาว ขอให้เมธีทั้งหลายจงนั่งฟังโดยตั้งใจ
ข้าพเจ้าแซ่ ""เซี่ย"" มีชื่อว่า ""ปินเหอ"" มาจาก"คุกธารน้ำแข็ง" เป็นสถานที่ที่เหน็บหนาวมาก ๆ เมื่อโทษผิดบาปของตนสะสมจนถึงระดับหนึ่งย่อมต้องมารับการเคี่ยวกรำยังคุกแห่งนี้แน่ ๆ เป็นเพราะว่ามีชีวิตอยู่ข้าพเจ้าไม่ได้รักษาปณิธานให้ดีและไม่ได้เจริญปณิธานที่ตั้งไว้ด้วย จึงทำให้บรรพบุรุษเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคนของนักธรรมผู้น้อยและญาติธรรมทั้งหลายต้องตกหล่นไปด้วยเหตุที่ข้าพเจ้านำพาผิดพลาด ข้าพเจ้าจึงต้องมารับทุกข์ยังคุกแห่งนี้ ขณะรับโทษอยู่นั้นด้วยมีโทษผิดบาปจึงต้องถูกภูเขาน้ำแข็งกดทับ หรือไม่ก็ถูกแซ่ตัวอยู่ในธารน้ำแข็ง ความหนาวเหน็บเสียดแทงถึงกระดูก หากสำนึกเสียใจก็จะได้รับการลดหย่อนโทษผิดบาปและได้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ได้ออกจากคุกสวรรค์ บุญคืนสู่บุญ บาปคืนสู่บาป แต่ว่าผิดบาปของข้าพเจ้าหนักหนา ด้วยเหตุที่เกียจคร้านต่อภาระหน้าที่หลายสิบปี
ข้าพเจ้าเป็นคนปลายราชวงศ์ชิงตอนต้น ยุคสาธรณรัฐ (หมินกั๋ว ) บ้านเกิดอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน ( ฮกเกี้ยน ) เดิมทีฐานะความเป็นอยู่ร่ำรวย และบิดามารดาให้ความสำคัญกับการอบรมเลี้ยงดู เห็นอย่างนี้จนชินหูชินตาตั้งแต่ยังเล็กจึงมีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่อยู่เต็มอก ถึงแม้จะไม่ได้เข้าร่วมการปฏิวัติแต่ก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยลบล้างราชวงศ์ ความรู้ที่มีอยู่ก็มีความรู้อย่างจีนและอย่างตะวันตก
เมื่ออายุ ๑๘ ปี ก็เข้าศึกษาที่มหานครเทียนจิน (เทียนสิน ) หลังจากนั้นจึงได้รับวิถีธรรม ข้าพเจ้าเป็นคนจิตใจดีงามหลังจากรับวิถีธรรมแล้วก็จริงจังตั้งใจศึกษาหลักธรรม อายุ ๒๒ ปีจึงเริ่มกินเจ และยังฉุดช่วยเพื่อนร่วมเรียนและญาติมิตรหลายคนให้ได้รับวิถีธรรมด้วย
พออายุได้ ๒๖ ปี ข้าพเจ้าก็ได้เป็นเจี่ยงซือแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าชั้นเตาหลอม ข้าพเจ้าได้รับความทุกข์อยู่ไม่น้อย สภาพการณ์ของเมธีในปัจจุบันนี้ดีกว่าสมัยของข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ภักดี ครอบครัวของข้าพเจ้าบังคับให้ข้าพเจ้าแต่งงานแต่ว่าข้าพเจ้าไม่เห็นนด้วยและไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัณหานั้น จึงได้หลบไปเลี่ยงมาอยู่หลายปี และได้ปฏิบัติงานธรรมกับนักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้าได้ประสบกับช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ฉุดช่วยกล่อมเกลาเวไนยสัตว์ท่ามกลางดงกระสุนและห่าระเบิดถึงแม้จะลำบากทุกข์ทน แต่ผลที่ได้รับก็มากด้วยเช่นกัน ขณะที่จีนมีชัยชนะได้ไม่นานก็เริมเกิดสงครามภายใน ประชาชนจึงมีชีวิตอยู่อย่างระเหเร่ร่อนลำบากยากแค้นเมื่อบอกกับทุกคนว่า""ภัยพิบัติมาถึงแล้ว""พวกเขาก็จะเชื่อเป็นอย่างมาก ดังนั้นการปฏิบัติถ่ายทอดธรรมในตอนนั้นจึงราบรื่น
หลังจากที่พระอาจารย์ชายกลับคืนเบื้องบน และพระอาจารย์หญิงสืบทอดพระโองการสวรรค์ต่อ ข้าพเจ้าก็ยังคงกระตือรืนร้นไม่ถดถอยไปจากธรรมะเลย แล้วการทดสอบของข้าพเจ้าก็มาถึงเดิมทีมีนักธรรมอาวุโสบางท่านได้รับบัญชาจากพระอาจารย์หญิง ให้ไปบุกเบิกแพร่ธรรมแต่ละที่ ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้เป็นเตี่ยนฉวนซือแล้วแต่กลับไม่ได้รับบัญชาให้ไปบุกเบิกแพร่ธรรมในตอนที่จีนแผ่นดินใหญ่เริ่มเป็นคอมมิวนิสต์นั้น มีนักธรรมอาวุโสธรรมปริณายกและเตี่ยนฉวนซือ เพื่อจะต้านภัยช่วยโลก จึงถูกพวกคอมมิวนิสต์ฆ่าตายไป ในขณะนั้นด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนข้าพเจ้าจึงได้ตั๋วโดยสารเรือและหนีตายไปยังมหานครซานฟรานซิสโกประเทศสหรัฐอเมริกา
ข้าพเจ้าหนีรอดไปได้โดยทอดทิ้งญาติธรรมไว้อย่างไม่สนใจใยดี ข้าพเจ้าคิดว่า" เหลือเพียงภูเขาเขียวยังอยู่ ไม่ต้องกลัวจะไม่มีฟืนเผาไฟ " ในตอนนั้นด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับบัญชาจากพระอาจารย์หญิงให้ไปบุกเบิกแพร่ธรรม ดังนั้นจิตใจของตนเองจึงครึ่งสว่างครึ่งอับแสง มีนักธรรมอาวุโสบางท่านไปบุกเบิกแพร่ธรรมที่สหรัฐอเมริกา พวกท่านเหล่านั้นต้องลำบากทุกข์ยากมากมาย แต่ว่าข้าพเจ้ารับความทุกข์ที่มากเกินไปไม่ได้ ?
-
๒. ผิดต่ออาจารย์และพระโองการ ฯ ต้องถูกเคี่ยวกรำยังคุกสวรรค์ ( เซี่ยปินเหอ เตี่ยวฉวนซือ )
ข้าพเจ้าได้บุกเบิกแพร่ธรรมยังเมืองใหญ่ ๆ ในรัฐอเมริกาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที่หนึ่ง ในทางตรงข้ามญาติธรรม ที่ได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าให้หนีมาได้ในตอนแรกต่างก็แยกย้ายหายหน้าไปจากข้าพเจ้าทีละคน ๆ ส่วนญาติธรรมที่ข้าพเจ้าฉุดช่วยมาตั้งแต่แรกนั้นบ้างก็เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ บ้างก็เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ต่างก็ไปร่วมกิจกรรมที่โบสถ์กันหมดแล้ว เมื่อไม่มีใครเชื่อฟังคำของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้ว่าตนเองผิดพลาดที่ตรงใหน ? เดิมทีข้าพเจ้าไปถึงที่ใหน ๆ บ้านนั้น ๆ ก็ตั้งเป็นตำหนักพระพุทธสถาน เป็นเพราะนี่คือการทดสอบสำหรับข้าพเจ้า เบื้องบนต้องการทดสอบความจริงใจของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ ข้าพเจ้าบากบั่นต่อสู้อยู่แปดปี ใจธรรมจึงเลือนหายไปหมดสิ้น ข้าพเจ้าพูดว่าไม่ดูแลความเป็นอยู่ปากท้องของตนไม่ได้ ดังนั้นเพื่อความสดวกในการทำการค้า ข้าพเจ้าจึงเก็บพุทธสถาน เวลามีคนถามข้าพเจ้าว่ากินเจด้วยเหตุใด ? ข้าพเจ้าก็จะตอบว่าข้าพเจ้าศรัทธากราบไหว้พระพุทธะ จึงกินเจด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้ามีตำแหน่งเป็นเตี่ยนฉวนซือเฉย ๆ แต่ไม่ได้เจริญปณิธานของตนเป็นเพราะความโง่เขลาไร้ปัญญาของตนเองและการอยู่คนเดียวไร้ที่พึ่งพิงจึงทำให้นักธรรมผู้น้อยที่ข้าพเ้จ้าได้ฉุดช่วยนำพาต่างเดินผิดหนทางกันไปหมดต่างถลำก้าวไปในหนทางที่ผิดพลาด เมื่อพวกเขาอยู่กับข้าพเจ้าก็จะคุยกันแต่เรื่องทางโลกหรือไม่ก็เรื่องธุรกิจการค้า ข้าพเจ้าทำการค้าที่ใหญ่มาก แต่ไม่ได้แต่งงานจึงไปขอรับเด็กกำพร้าจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาเลี้ยงเป็นลูกรวมสามคนเป็นเด็กผู้หญิงสองคนเด็กผู้ชายหนึ่งคน ให้พวกเขาได้ปรนนิบัติดูแลใกล้ชิด ข้าพเจ้าละกายสังขารเมื่ออายุ ๗๒ ปี เนื่องจากเป็นมะเร็ง ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
ตายแล้วก็เลือนลางเลื่อยลอย จึงถูกจับไปรับการเคี่ยวกรำที่คุกสวรรค์ ข้าพเจ้าละอายต่อพระแม่องค์ธรรม ละอายต่อพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง ละอายต่อบรรพบุรุษเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคนของนักธรรมผู้น้อยของตนเอง พวกเขาคงโกรธแค้นข้าพเจ้าแน่ ๆ จึงได้ตำหนิตัวเองที่ไม่ได้อยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ต่อไปตั้งแต่แรก ๆ เพื่อนร่วมเป็นร่วมตายร่วมทุกข์ร่วมทุกข์กับนักธรรมผู้น้อยทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ควรที่จะหนีจากมา ไม่ควรที่จะกระทำการใด ๆ โดยไม่มีบัญชาของพระอาจารย์ไม่ควรที่จะเปลี่ยนแปลงจิตมุ่งมั่น เมื่อเจอกับอุปสรรคขวากหนามจึงทำให้ใจธรรมถดถอยไป ถึงตอนนี้เสียใจก็สายเกินการณ์ไปแล้ว ข้าพเจ้าอยู่ที่คุกสวรรค์ พระแม่องค์ธรรมเมตตาเห็นว่าข้าพเจ้าได้กระทำความชั่ว แต่ว่าตั้งปณิธานแล้วไม่เจริญปณิธาน
ด้วยว่าข้าพเจ้ามีปณิธานต้านภัยโลก ตัวเองเป็นถึงนักธรรมอาวุโสไม่ควรที่จะรักตัวกลัวตาย ตัวเองเป็นถึงเตี่ยนฉวนซือแบกรับพระโองการสวรรค์จึงไม่ควรที่จะไม่ตายเพื่อรักษาธรรมไว้ ในปัจจุบันมีเตี่ยนฉวนซือมากมายของแต่ละสายธรรมที่มีสภาพความเป็นไปเหมือนกับข้าพเจ้า มีคนมากมายเมื่อได้รับพระโองการสวรค์จากพระแม่องค์ธรรมแล้ว แต่ว่าไม่ได้เจริญปณิธานที่มีอยู่และเพราะปัณหาปากท้องความเป็นไปในครอบครัวหรือเพราะปัณหาเกี่ยวกับสายธรรมจึงเต็มใจเก็บตัวอยู่แต่กับบ้านไม่ดำเนินปฏิบัติธรรมและไม่ได้เจริญปณิธานของตนด้วยในอนาคตก็ย่อมเป็นอย่างข้าพเจ้าแน่นอน ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะมีคุณธรรมภายในแตว่าบุญปัจจัยภายนอกไม่สมบูรณ์และความคิดไม่จริงแท้ถึงแม้ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ร้ายลบล้างใครไม่ได้ก่อกรรมปากเพราะข้าพเจ้าระมัดระวังคำพูดเป็นอย่างมากแต่ว่าปิดบังธรรมะไว้มิให้ปรากฏถึงตอนนี้ก็หลายสิบปีผ่านมาข้าพเจ้าจึงโดนลงโทษจากจิตสำนึกอันดีงามของตนก่อนที่จะละกายสังขาร ข้าพเจ้ากลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับพระแม่องค์ธรรมเมื่อละกายสังขารแล้ว ข้าพเจ้าก็ยิ่งไม่มีหน้าที่จะไปเข้าเฝ้าพระแม่องค์ธรรมได้
วันนี้พระอาจารย์จี้กงเมตตาต้องการให้ทุกคนได้รู้ว่าพระโองการสวรรค์มิใช่ของเด็กเล่นปัจจุบันเป็นกานปกโปรดสามโลกอย่างกว้างขวางทุกคนจะทำงานวิ่งเต้นให้กับพระโองการสวรรค์ ไม่ง่ายอย่างนี้หรอกแต่ใจกับปากจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยเหตุที่ตนเองเป็นเตี่ยนฉวนซือจึงกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อสูญสิ้นลมหายใจแล้ว วิญญาณจะกลับไปสู่ที่ใดยามที่ตายลงล่ะ ? เมธีทั้งหลายเมื่อได้ตั้งปณิธานก็ต้องเจริญปณิธานด้วย ในปัจจุบันนี้มีเตี่ยนฉวนซือมากมายเหลือเกินที่เดินผิดหนทางเหมือนอย่างข้าพเจ้าหวังว่าข้าพเจ้าจะได้ช่วยเตือนสติทุกท่านได้บ้างอย่าได้แย่งชิงกันและกัน อย่าได้เป็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติตามบัญชาพระอาจารย์ พุทธระเบียบในอาณาจักรธรรมคือ""ต้องสนองรับเบื้องสูงและนำพาเบื้องล่าง""
ในตอนเริ่มแรกที่ปฏิบัติแพร่ธรรมที่จีนแผ่นดินใหญ่ก็ต้องปฏิบัติตามบัญชาของพระอาจารย์ หากไม่มีบัญชาจากพระอาจารย์แม้เรื่องเล็กน้อยก็ยากดำเนินได้ หากผิดต่อบัญชาของพระอาจารย์ก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อเบื้องบน เมธีทั้งหลายจงจำใส่ใจไว้ให้มั่นพวกท่านเป็นถึงผู้นำของสามโลกสิ่งเหล่านี้จะไม่รู้ไม่ได้ ยังมีเตี่ยนฉวนซืออีกมากมายที่ได้เดินตามธรรมกาลยุคแดงไปเพราะทำการค้าหรือธุรกิจเมื่อละกายสังขารแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปรายงานตัวยังสถานที่ใด ?
อนุตตรธรรมสูงส่งล้ำค่า อย่าเป็็นเพราะความไม่สมบูรณ์พร้อมของคนจึงทำลายชื่อเสียงให้เสียหาย แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีโอกาสปรากฏกายแต่เวลาก็มีไม่มากนักจึงขอร้องว่าศิษย์อนุตตรธรรม ควรที่จะสมัครสมานสามัคคีกัน อย่าได้แบ่งแยกสูงต่ำใหญ่เล็กหรือเธอ เขา เรา ฉัน ถ้ามีใจเป็นแค่เปรียบเทียบ ก็จะไม่ใช่จิตใจส่วนรวม / จิตใจยุติธรรม พูดมาก็มากมายแต่ยังต้องให้เตี่ยนฉวนซือช่วยแจกแจงอธิบายให้ด้วย หวังว่าเมธีทั้งหลายจะช่วยบอกเล่าความในใจของข้าพเจ้าไปสู่ผู้อื่นเพื่อจะได้ลบล้างบาปของข้าพเจ้าลงได้บ้าง ข้าพเจ้าละอายแก่ใจจริงๆ ไม่มีหน้าที่จะมาพบท่านพวกท่านยังมีวันเวลาให้ก้าวเดินอีกมากทิศทางเป้าหมายต้องจับให้มั่น ทุกท่านจงจดจำทุกสิ่งอย่าง ที่ข้าพเจ้าได้พูดไปไว้ด้วยจึงจะได้ไม่ก้าวถลำเดินผิด ๆ อย่างข้าพเจ้า
-
๑ . ยึดมั่นในทิฐิของตนเองจึงปิดบังจิตญาณอันแท้จริง ( สวีหมิงติ่ง เจี่ยงซือ )
ข้าพเจ้าเป็นคนเดิมจากคุกสวรรค์ ข้าพเจ้าละอายแก่ใจเหลือเกินตอนที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวเหมือนกับทุกท่านที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่เป็นเพราะมีนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่จึงลืมเลือนการบำเพ็ญ ยังโทษบ่นตัดพ้อหลีกห่างจากความสำนึกคุณไปไกลมาก ตอนที่ขัาพเจ้าละกายสังขารคิดว่ามรรคผลของตนพร้อมพูนคงกลับคืนเบื้องบนอยู่ข้างกายพระแม่องค์ธรรมได้อย่างแน่นอน ไม่คาดคิดว่าตนเองต้องผ่านพบสามด่านเก้าทวาร ได้ถูกตรวจสอบอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่อาจผ่านพ้นได้จึงถูกตีเข้าสู่คุกสวรรค์ เมื่อนำบุญกับบาปมาเปรียบเทียบกันแล้ว จึงไม่อาจหลีกพ้นจากอุ้งมือของเทพฝ่ายตรวจการไปได้ ความผิดพลาดแต่ละข้อแต่ละอย่างได้ปรากฏให้เห็นต่อหน้า จึงถูกลงโทษเพราะความผิดพลาดผิดบาปเหล่านั้นทุกเวลานาทีจึงต้องกริ่งเกรงระวังไม่อาจปล่อยตัวตามสบายได้เลย หากปล่อยตัวตามสบายความคิดที่ไม่รอบคอบระวังแม้เพียงน้อยนิดก็คงต้องติดอยู่ในอุ้งมือของพระพุทธะโดนตีจนตาลายพร่ามัว ไม่รู้ว่าเมธียังจดจำกันได้หรือไม่ ? จดจำพระโอวาทของท่านผู้เฒ่าคุณฟ้าได้หรือไม่ ?ที่ได้กล่าวถึงสภาพความเป็นจริงและการลงโมษในคุกสวรรค์เอาไว้อย่างชัดแจ้ง ข้าพเจ้าจะนำความในใจของข้าพเจ้าบอกกล่าวให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่เมธีทั้งหลาย ดีหรือไม่ดี ?
ข้าพเจ้าเป็นคนในยุคใกล้ปีสาธารณรัฐ (หมินกั๋ว) พึ่งละกายสังขารได้ไม่นาน ข้าพเจ้ามีชื่อว่า ""สวีหมิงติ่ง""ทุกท่านคงไม่รู้จักข้าพเจ้า แต่ในอาณาจักรธรรมอีกสายธรรมหนึ่งจะมีคนที่รู้จักข้าพเจ้า ข้าพเจ้าละกายสังขารเมื่ออายุ ๖๑ ปี เป็นผู้ชายต้นตระกูลของข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองเฉาโจว (แต้จิ๋ว)บิดามารดาเปิดโรงงานผลิตกระดาษอยู่ที่นั่น เป็นเพราะมีความเข้าใจต่อธรรมะอย่างลึกซึ้งและยังจริงใจศรัทธาในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จึงได้ปิดกิจการโรงงานผลิตกระดาษที่เมืองเฉาโจวไป และนำพาครอบครัวติดตามนักธรรมอาวุโสไปปฏิบัติแพร่ธรรมถึงไต้หวัน ทั้งบิดามารดาเป็นญาติธรรมเก่าแก่ที่มีจิตศรัทธาข้าพเจ้าเติบโตอยู่ในวงการธรรมตั้งแต่ยังเล็ก บิดามารดาของข้าพเจ้ามีจิตใจจงรักภัคดีต่อเบื้องบนมาก คนรู้จักกันก็มีแต่ญาติธรรม ข้าพเจ้าจะทำอะไรก็จะเป็นเหมือนกับผู้บำเพ็ญทั้งหลาย หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับการส่งเสริมจากบิดามารดาและนักธรรมอาวุโสเป็นอย่างมาก
พออายุได้ ๒๓ ปี จึงได้ตั้งปณิธานกินเจ และค่อยๆ เพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจต่อธรรมะมากขึ้นโดยไม่ลดน้อยถอยลงด้วยความศรัทธาจริงใจต่อธรรมะเป็นยิ่งขึ้น จึงได้เข้าร่วมช่วยงานธรรมะอย่างจริงจังศรัทธา ตอนหลังนักธรรมอาวุโสจึงยกระดับข้าพเจ้าเป็นบุคคลากรสำคัญในอาณาจักรธรรม เริ่มจากฝึกหัดบรรยายธรรมจนได้เป็นเจี่ยงซือและเป็นเจี่ยงซือดูแลพุทธสถาน ในเส้นทางสายนี้ข้าพเจ้ามานะพากเพียรต่อการศึกษาฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง และรับผิดชอบต่อการบรรยายธรรมเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มีการจัดแจงวางแผนให้ข้าพเจ้าบรยายธรรม ข้าพเจ้าก็จะไม่บอกปัดหรือปฏิเสธและยังคงตั้งใจในการเตรียมเนื้อหาบรรยายด้วย ทำให้มีญาติธรรมมาฟังกันอย่างล้นหลาม ช่างเป็นแรงใจให้กับข้าพเจ้าเหลือเกิน เป็นเพราะข้าพเจ้าคุ้นเคยกับการชื่นชมยกย่องของผู้อื่นจึงเริ่มมีความยโสโอหังอวดดื้อถึอดี ข้าพเจ้ารู้แต่ว่าทุกๆวันต้องประดับประดารูปลักษณ์ภายนอกให้ดูดี จึงลืมที่จะจัดการกับความบกพร่องไปของจิตภายใน ประกอบกับไม่รู้ที่จะย้อนมองส่องตน จึงสร้างความผิดพลาดมากมาย แต่ก็ยังไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนมีแต่อยู่ต่อหน้านักธรรมอาวุโส และบิดามารดาเท่านั้นจึงจะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าญาติธรรมข้าพเจ้าจะวางตัวสูงส่ง ยืนอยู่สูงเกินไปแล้วล่ะ หยิ่งยโส จองหองอวดดี แต่ใจศรัทธาเชื่อมั่นต่อธรรมะนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ในด้านการดำเนินปฏิบัติงานธรรมนั้น ทุกคนได้แต่ยอมรับเพราะตั้งแต่เล็กมา ข้าพเจ้าก็ได้เห็นถึงความเสียสละทุ่มเทต่อธรรมะของนักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้าจึงยอมรับนับถือและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง โดยความคาดหวังของบิดามารดา ข้าพเจ้าจึงฮึกเหิมมุ่งมั่นอยู่ช่วงหนึ่งได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับอาณาจักรธรรม และอุทิศทั้งชีวิตให้อาณาจักรธรรม
-
๒. ยึดมั่นในทิฐิของตนเองจึงปิดบังจิตญาณอันแท้จริง ( สวีหมิงติ่ง เจี่ยงซือ )
ตอนที่ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาที่สุดนั้น เบื้องบนก็ประทานการทดสอบมาถึงตัว ในพุทธสถานที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบดูแลอยู่ ได้รู้จักกับกุลสตรีนางหนึ่ง เป็นเจี่ยงซือด้วยกันโดยการส่งเสริมเห็นชอบของญาติธรรม และจิตใจของข้าพเจ้าเองก็หวั่นไหวด้วย ข้าพเจ้ากับเธอจึงได้แต่งงาน สร้างครอบครัวบำเพ็ญธรรมขึ้นมา เดิมคิดว่าจะต้องสมบูรณ์พูนพร้อมแน่ ๆ เมื่อมีภรรยาแล้ว ก็ได้ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวตามมา ทำให้ภาวะความเป็นอยู่เกิดความน่าวิตกขึ้น ข้าพเจ้าจะไม่ละทิ้งงานทางธรรมก็ไม่ได้ จึงกลับบ้านไปทำมาหากินเลี้ยงดูภรรยาและลูก ๆ ข้าพเจ้าได้แต่เสียใจที่ไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะมีภาระหนักในการเลี้ยงดูภรรยาและลูก ๆ ข้าพเจ้าจึงได้เข้าใจถึงว่าการบำเพ็ญที่วิสุทธิ์ผ่องใสสงบนั้นล้ำค่ามาก
ในระหว่างที่ต้องละทิ้งทางหนึ่ง เลือกอีกทางหนึ่งจึงได้รับการเคี่ยวกรำอยู่พักหนึ่งหลังจากนั้นภรรยาของข้าพเจ้าก็เจ็บป่วยแล้วจึงลาจากโลกไป ข้าพเจ้ามีความรู้สึกถึงผิดบาปที่มีอยู่อย่างมาก เมื่อเหลือแค่ลูกชายลูกสาว ข้าพเจ้าจึงไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างอีกและกลับเข้าสู่อาณาจักรธรรมอีกครั้งหนึ่ง เริ่มต้นทุ่มเทกายใจทั้งหมด เข้าร่วมดำเนินงานธรรมกิจ
ตอนที่ข้าพเจ้าอายุ ๓๕ ปี ได้ตั้งปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ตั้งใจที่จะติดตามนักธรรมอาวุโสบำเพ็ญปฏิบัติธรรม และฉุดช่วยผู้คน เมื่อบิดามารดาได้เห็นข้าพเจ้าตั้งปณิธานใหญ่นี้ก็ปราบปลื้มดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกท่านปฏิบัติบำเพ็ญธรรมกันมาทั้งชีวิตจึงคาดหวังให้ข้าพเจ้าได้ทำตามเช่นกัน โดยทำเพื่ออาณาจักรธรรมอย่างเต็มกำลังความคิดสักนิด ไม่นานหลังจากนั้นทั้งบิดามารดาของข้าพเจ้าได้เจ็บป่วย แล้วจึงละกายสังขารกันไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ข้าพเจ้าจึงตระหนักถึงความทุกข์ที่่เกิดจากการอยู่กันคนละโลกของข้าพเจ้ากับท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าพเจ้าเองก็ได้เติบโตขึ้นมากจากความทุกข์ทิ่มตำทั้งสองครั้งนี้จึงทำให้ยิ่งแกร่งกล้ามานะ และบอกกับตนเองว่าต้องเป็นแบบอย่างอันดีงามให้ได้ จึงติดตามนักธรรมอาวุโวอยู่ในอาณาจักรธรรม ยิ่งขยัยหมั่นเพียรในการเผยแพร่ธรรมปฏิบัติธรรมและฉุดช่วยผู้คน
หลังจากนั้นความศรัทธาจริงใจของข้าพเจ้า บิดามารดาของข้าพเจ้าจึงอาศัยร่างสามคุณ เพื่อแสดงบุญญาธิการประจักษ์ธรรมและผูกบุญสัมพันธ์ ทั้งสองท่านมีอริยฐานะเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นเจี่ยงซือใหญ่ที่มีความรู้ลึกซึ้งและเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายนักธรรมอาวุโสกับเตี่ยนฉวนซือ บิดามารดาของข้าพเจ้าจึงได้กลับสู่เบื้องบนเสวยมรรคผล จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหยิ่งยโสและวางตัวสูงส่ง ในด้านหนึ่งข้าพเจ้าได้รับบารมีคุณจากนักธรรมอาวุโสและบิดามารดา ในอีกด้านหนึ่งก็ด้วยความที่ข้าพเจ้าบรรยายธรรมได้เก่งเป็นถึงเจี่ยงซือใหญ่ นักธรรมอาวุโสจึงมอบหมายให้มีหน้าที่ฝึกหัดเจี่ยงซือ พูดได้เลยว่าหนทางธรรมที่เดินอยู่นี้ราบรื่นสวยงามมากเหลือเกิน
เมื่อปีนขึ้นไปยิ่งสูง จึงลืมมองลงไปยังด้านล่าง เคยชินกับการยอมรับของนักธรรมผู้น้อยและเจี่ยงซือที่ข้าพเจ้าฝึกหัดขึ้นมา ทุกคนจึงต้องฟังคำชี้แนะจัดการของข้าพเจ้า ต้องคอยดูสีหน้าอารมณ์ของข้าพเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ หากมีเตี่ยนฉวนซือมาเชิญให้เจี่ยงซือเหล่านี้ไปบรรยายธรรม ข้าพเจ้าก็จะพิจารณาถึงการบำเพ็ญปฏิบัติของเตี่ยนฉวนซือท่านนั้น ๆ ก่อน หากว่าไม่เป็นไปอย่างที่ข้าพเจ้าคิด ข้าพเจ้าก็จะปฏิเสธตัดบททันที โดยเฉพาะถ้ามีเตี่ยนฉวนซือจากสายธรรมอื่นมาที่อาณาจักรธรรมของข้าพเจ้า หากท่านเหล่านั้นรู้สึกว่าเจี่ยงซือของพวกเราฝึกหัดกันได้เป็นอย่างดีและบรรยายกันได้ยอดเยี่ยมมากจึงต้องการให้ข้าพเจ้าจัดเจี่ยงซือบางคนไปบรรยายธรรมที่อาณาจักรธรรมของพวกท่าน แต่ว่าในเรื่องญาติธรรมและสายธรรมนั้น ข้าพเจ้าแบ่งแยกอย่างชัดเจนมาก ข้าพเจ้าจึงไม่ยอมให้เจี่ยงซือของเราไปบรรยายที่นั่นรวมทั้งยังบอกกล่าวกับเตียนฉวนซือและญาติธรรมของสายธรรมนั้น ๆ ว่าอย่าได้มาฟังการบรรยายที่อาณาจักรธรรมของเราอีกเพราะว่าข้าพเจ้าแบ่งแยกชัดเจนจริง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงผิดพลาดล่วงเกินต่อคนเป็นจำนวนมากและผิดพลาดต่อพุทธบุตรเดิมมากมาย ในตอนนี้ข้าพเจ้าจึงได้รู้ถึงความไม่ถูกต้องของตนเองรู้สึกละอายแก่ใจมากที่ในตอนนั้นปัญญาของตนเองยังไม่สูงเท่าไร คิดแต่ว่าสับสนสายทองไม่ได้ดังนั้นจึงผิดพลาดต่อพุทธบุตรเดิมมากมาย ด้วยเหตุการอย่างนี้ข้าพเจ้าผิดพลาดล่วงเกินต่อเตี่ยนฉวนซือหลายท่านจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุดหย่อนรวมทั้งใส่ร้านทำลายกันและกัน
ในตอนนั้นข้าพเจ้าจึงปิดกั้นตนเอง ปิดขังตัวเองในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งได้อ่านหนังสือหลายเล่มได้อ่านหนังสือข้อมูลข่าวคราวในการดำเนินการปกโปรดสามโลกของพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง หลังจากนั้นในขณะบรรยายธรรมก็จะนำหลักธรรมสามโลกบรรยายให้ญาติธรรมได้ฟัง เมื่อเตี่ยนฉวนซือของข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้เข้าจึงโดนปิดกั้นขัดขวาง เมื่อข้าพเจ้ามีใจที่จะประกาศเผยแพร่ธรรมอย่างนี้แต่ถูกปิดกั้นขัดขวาง แล้วจะตำหนิใครได้เล่า ?
ในตอนหลังจิตใจของข้าพเจ้าเกิดการตัดพ้อโทษกล่าวใจไม่อาจสงบราบเรียบได้ จึงอาศัยช่วงที่เตี่ยนฉวนซือกำลังปฏิบัติธรรมอยู่นั้น (ถ่ายทอดธรรม) ข้าพเจ้าได้ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นทำตัวเป็นปฏิปักษ์คู่ปรับของเตี่ยนฉวนซือ เวลาอยู่ต่อหน้าญาติธรรมข้าพเจ้าก็จะลบหลู่หยามเกียรติด่าทอเตี่ยนฉวนซือ จึงเข้ากันไม่ได้กับเตี่ยนฉวนซือ ข้าพเจ้าชอบอยู่ลำพังคนเดียวและยังมีนิสัยอารมณ์แปลก ๆ ดังนั้นคนที่อยู่ข้างกายข้าพเจ้า ต่างจึงหลีกห่างหายจากข้าพเจ้าไปหมด ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะบรรยายได้เก่งแต่ก็ยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ไม่มีบารมีคุณให้คนอื่นศรัทธาเลื่อมใสได้ ทุกข์ เรื่องที่ข้าพเจ้าทำ ก็จะยึดติดอยู่ว่าเรื่องนั้น ๆทำไปแล้วได้บุญกุศลหรือเปล่า หากว่ามีบุญกุศลน้อยมาก ก็จะเกียจคร้านไม่อยากทำและยังยึดติดอยู่อีกว่าบำเพ็ญติดตามผู้ใดแล้วจะบรรลุธรรมสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ยิ่งบำเพ็ญนานวันก็ยิ่งยึดติดว่าบุญกุศลมากหรือน้อย รวมทั้งเมื่อรับปากกับญาติธรรมว่าจะไปฉุดช่วยคน ข้าพเจ้ายังไม่สามารถทำได้ เมื่อรู้ว่าญาติธรรมจะให้ข้าพเจ้าไปฉุดช่วยคนแก่ที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือคนยากจนข้าพเจ้าก็จะบอกปัดไปเพราะข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นถึงเจี่ยงซือใหญ่ มาตรฐานความรู้ของข้าพเจ้าสูงกว่าคนเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่เต็มใจที่จะไปฉุดช่วยผู้เฒ่าผู้แก่ ลูกเด็ก เล็กแดง และพวกผู้หญิง ข้าพเจ้าดูถูกดูแคลนคนเหล่านั้นและคิดไปว่าตัวเองควรที่จะทำความเกี่ยวข้องกับพวกผู้ดีมีสกุล หรือพวกข้าราชการจึงจะสมกับตำแหน่งของข้าพเจ้าที่เป็นถึงเจี่ยงซือใหญ่
-
๓. ยึดมั่นในทิฐิของตนเองจึงปิดปังจิตญาณอันแท้จริง ( สวีหมิงติ่ง เจี่ยงซือ )
ในอีกด้านหนึ่ง ข้าพเจ้าก็คิดว่าทั้งชีวิตอยู่ในอาณาจักรธรรม บุญกุศลและผลงานของข้าพเจ้าก็มีไม่น้อยได้ทุ่มเทอุทิศให้เบื้องบนและนักธรรมอาวุโสมาโดยตลอด เพราะเหตุใดเบื้องบนและนักธรรมอาวุโส จึงไม่รู้ว่าข้าพเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ? นักธรรมผู้น้อยของข้าพเจ้าล้วนแต่ปืนป่ายขึ้นมาบนหัวของข้าพเจ้าแล้ว ปีนป่ายขึ้นไปสูงกว่าข้าพเจ้าแล้วจะไม่ให้ข้าพเจ้าร้อนรนได้อย่างไร ?ดังนั้นความคาดหวังที่มีต่อลาภยศชื่อเสียงข้าพเจ้าเองจะวางไม่ลงปลงไม่ตก แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าบอกับนักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้ายึดติดเป็นอย่างมากจริง ๆ เหตุใดข้าพเจ้าบำเพ็ญมาทั้งชีวิต แต่เบื้องบนและนักธรรมอาวุโสก็ยังไม่ยกระดับให้เป็นเตี่ยนฉวนซือ เสียทีและเมื่อยิ่งยึดติดมาก จิตใจก็ยิ่งเลวร้าย นิสัยอารมณ์ก็ยิ่งแปลก จึงล่วงเกินผิดใจกับญาติธรรมเป็นจำนวนมาก
หลังจากนั้น ลูกชายของข้าพเจ้าได้เป็นถันจู่เจ้าตำหนักพระ ข้าพเจ้าจึงบรรยายธรรมอยู่แต่ที่พุทธสถานของลูกชาย หากมีอาณาจักรธรรมอื่น หรือพุทธสถานอื่นมาเชิญให้ข้าพเจ้าไปบรรยาย ข้าพเจ้าก็จะตอบปฏิเสธไม่ไปบรรยายแน่ ๆ จึงปิดกั้นตนเองด้วยเหตุอย่างนี้รวมทั้งที่นักธรรมอาวุโสกับเตี่ยนฉวนซืออยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ไปทั้งสิ้น มีเพียงบางครั้งบางโอกาสที่จะไปนั่งที่บ้านญาติธรรมแต่ว่าใจธรรมของข้าพเจ้าเองนั้นก็ยังมั่นคงยืนหยัดอยู่
เมื่ออายุได้ ๖๑ ปี จึงป่วยหนักแล้วลาจากโลกนี้ไป เมื่อละกายสังขารแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองคงมรรคผลพร้อมพูนแน่ ๆพระอาจารย์จี้กงคงมาพาวิญญาณกลับสู่พระนิพพาน และได้เข้าเฝ้าพระแม่องค์ธรรม แต่เมื่ออยู่ที่ด่านตรีเทพพิทักษ์มหาราชกลับไม่ผ่านการทดสอบ จึงถูกตีให้ไปยังคุกสวรรค์
ในวันคารวะเคลื่อนศพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นนักธรรมอาวุโสและเตี่ยนฉวนซือ นำพาญาติธรรมมากมายมาปักธูปคารวะศพ ข้าพเจ้าละอายแก่ใจเป็นอย่างยิ่งและก็ซาบซึ้งเป็นอย่างมากด้วยเพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ข้าพเจ้ายังบำเพ็ญนิสัยอารมณ์ได้ไม่ดีพอยังคงมีนิสัยอารมณ์ร้าย ๆ แปลก ๆ อยู่ แต่ก็ยังตำหนิโทษกล่าวนักธรรมอาวุโสและเตี่ยนฉวนซือ ยังคงไม่พอใจกับสภาพรอบตัวรวมทั้งไม่พอใจต่อการวางแผนจัดการของคนอื่น รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก รู้ว่าตัวเองยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ยังปฏิบัติได้ไม่ดี ตอนมีชีวิตอยู่ยังบำเพ็ญได้ไม่สมบูรณ์
ที่คุกสวรรค์นั้นรอคอยพวกเราไปรายงานตัวทุกเวลา ตอนนี้ข้าพเจ้าได้ลิ้มรสความทุกข์ ทุกอย่างของคุกสวรรค์แล้วอยู่ที่คุกสวรรค์บำเพ็ญได้ยากกว่า ในขณะที่ยังมีกายสังขารอยู่ ดังนั้นทุกท่านควรคิดให้รอบคอบชัดเจน ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าได้รับวิถีธรรมและบำเพ็ญธรรมแล้วเมื่อละกายสังขารคงสามารถกลับคืนสู่พระนิพพานและเสวยมรรคผลได้แน่นอนไม่คาดคิดว่าบำเพ็ญยังไม่ดี ระดับจิตใจยังไม่สูงส่งพอ จึงทดสอบเคียวกรำในคุกสวรรค์ ยังดีที่ข้าพเจ้าสามารถรักษาปณิธานสองข้อใหญ่ (ชิงโขว่-ชิงชิว )เอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงไม่อาจคาดคิดได้เลย ดังนั้นบำเพ็ญธรรมจะไม่ระมัดระวังไม่ได้
เมธีทั้งหลาย พวกท่านเป็นพวกที่โชคดีที่สุด มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสอนสั่งกล่อมเกลาชี้แนะตักเตือนได้ทุกเวลา แต่ในสมัยของข้าพเจ้านั้นการที่จะกราบขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทานอักษรพระโอวาทในกระบะทราย หรือแสดงบุญญาธิการไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทับทิพย์ญาณแสดงธรรม ดังนั้นพวกท่านจะต้องสำนึกในพระคุณ ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้าละอายแก่ใจ จึงไม่ควรที่จะพูดอะไรมากนัก และก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรจึงจะสมบูรณ์ดีงาม ในตอนนี้ข้าพเจ้าระมัดระวังคำพูดคำจาของตนเองมาก นั่นเป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้ระมัดระวังคำพูดคำจามากนัก มักจะพูดจาผิดพลาดเสมอ ๆ ดังนั้นตอนนี้จะพูดจาอะไร ข้าพเจ้าก็จะคิดก่อนว่ามันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ? ดังนั้นคำพูดที่ข้าพเจ้าได้พูดไปหากมีสิ่งใหนท่อนใดไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็ขอให้เมธีทั้งหลายโปรดอภัยให้ด้วย
เฮ้อ !! ประตูเปิดประตูตายของ เราสักกี่คนที่รู้แจ้ง สักกี่คนที่เข้าใจ พวกท่านควรที่จะรู้ว่าบำเพ็ญธรรมนั้น จะต้องยึดหลักธรรมบำเพ็ญจริง การจะนำบุญกุศลมาปูลาดหนทางกลับคืนสู่เบื้องบนนั้นไม่ใชเรื่องง่าย ทุกคนล้วนแต่พูดถึงการผู่ตู้ แต่การผู่ตู้ที่แท้จริงนั้นไม่ใช่แค่ตีเกราะเคาะระฆัง หรือพร่ำบ่นสวดมนต์หรือแค่ตั้งมณฑลพิธีวอนขอโชควาสนา หรือแค่ฉุดโปรดวิญญาณผีแต่ต้องฉุดช่วยปลดปล่อยเวไนยสัตว์คนเดิมทั้งสามโลก ให้หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดพ้นจากทะเลทุกข์ได้สิ้นเชิง ฉุดช่วยให้ได้เข้าสู่วิถีแห่งการพ้นเกิดพ้นตายอุทิศบุญกุศลอันแท้จริงให้กับเวไนยสัตว์คนเดิมทั้งสามโลก ให้สรรพชีวิตเหล่านั้นได้รับบุญกุศลจริงเพื่อพ้นจากความทุกข์ได้
หวังว่าเมธีทั้งหลาย จะกริ่งเกรงรอบคอบในการบำเพ็ญของตนเปลี่ยนแปลงแก้ไขนิสัยอารมณ์ของตนให้ดี ๆ กำจัดจิตใจที่ไม่ดีของตนทิ้งไปให้ได้ ข้าพเจ้ากลัวว่าจะพูดผิดพลาดอีก กลัวว่าเบื้องบนจะลงโทษผู้บำเพ็ญต้องบำเพ็ญคุณธรรมปาก รวมถึงข้อปลีกย่อยเล็กน้อยก็ต้องรอบคอบระวังด้วย ข้าพเจ้าจะไม่ขอรบกวนเวลาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีก ขอบพระคุณเบื้องบนที่เมตตา ขอบคุณเฉียนเหยินนักธรรมอาวุโสที่เมตตา อนุญาตให้ข้าพเจ้ามาปรากฏกายที่พุทธสถานแห่งนี้ ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้บอกเล่าถึงความไม่ดีของตนเองในขณะมีชีวิตอยู่ ให้ทุกท่านได้ฟังกัน หวังว่าทุกท่านจะรู้ตื่นเตือนตนประพฤติปฏิบัติตนและบำเพ็ญตนให้ดี ๆ
-
๓. ยึดมั่นในทิฐิของตนเอง จึงปิดบังจิตญาณอันแท้จริง
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ไม่รู้พระโองการฯของอาจารย์
ปฏิบัติงานธรรมไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่บ่มเพาะคุณธรรมภายใน
แม้สร้างบุญภายนอกไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่รู้จักจิตญาณเดิมของตน
ถึงนั่งสมาธิไปก็ไร้ประโยชน์
-
ไม่รู้จักถนอมบุญวาสนาตัวเองจึงถูกขังคุกสวรรค์ ( หลินชิงฮวา เจี่ยงซือ )
ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุในปณิธาน ซึ่งถูกขังอยู่ในคุกสวรรค์ ข้าพเจ้าไม่เคยลืมความยิ่งใหญ่ของพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน ข้าพเจ้ากราบขอบพระคุณพระอาจารย์ที่เมตตาสงสาร กราบขอบพระคุณพระแม่องค์ธรรมที่ทรงเมตตากรุณาเป็นอย่างมากที่ได้ให้ข้าพเจ้า ""หลินชิงฮวา"" ได้มาปรากฏกายบอกเล่าถึงเหตุปัจจัยช่วงหนึ่งให้กับทุกท่านได้ฟัง ในวันเฉลิมฉลองแห่งพระแม่องค์ธรรมในวันนี้ และเพื่อเตือนใจพี่น้องชายหญิงทั้งหลายว่าอย่าได้เดินตามอย่างข้าพเจ้า
ข้าพเจ้า ""ชิงฮวา"" แซ่ ""หลิน"" เป็นคนซั่งไห่ (เซี่ยงไฮ้) ได้ติดตามบำเพ็ญปฏิบัติธรรมกับเตี่ยนฉวนซือ เป็นเจี่ยงซือคนหนึ่งและเป็นถันจู่ของตำหนักพระแห่งหนึ่งด้วย ข้าพเจ้าได้กินเจและฝึกหัดพุทธระเบียบกับบิดามารดาตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากบิดามารดาเป็นอย่างมาก ทุก ๆ เรื่องก็ได้บิดามารดาเป็นธุระจัดการให้ ตัวเองเป็นเหมือนกับคุณหนู อยู่ที่บ้านพี่ชายก็รักข้าพเจ้า ยอมข้าพเจ้าทุกอย่าง ทำให้ข้าพเจ้าสบายไปทุกเรื่อง จึงได้ศึกษาอริยธรรมอย่างสบาย ๆ และได้เป็นเจี่ยงซือประกาศธรรมแทนฟ้า และยังได้รับความเมตตาจากเบื้องบนให้เป็นถันจู่ แต่ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักถนอมรักษาเอาไว้ และยิ่งไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มักจะวางท่าเขื่องยโสโอหังกับเจี่ยงซือ - ถันจู่ อื่น ๆ เสมอ ๆ มักจะออกคำสั่งให้ญาติธรรมเป็นธุระจัดการงานต่าง ๆ ให้ หากพบเจอกับผู้ที่ไม่ถูกโฉลกข้าพเจ้าก็จะด่าว่าเสียงดัง จึงมักจะทอสอบจนญาติธรรมร่วงหล่นไปด้วย ความที่ข้าพเจ้าเป็นคนหัวไว ปฏิกิริยาตอบสนองไวและพูดจาคล่องแคล่ว ฉะฉาน สามารถพูดธรรมะได้ ตอนหลังจึงได้รับความเมตตาจากเตี่ยนฉวนซือ ยกระดับให้เป็นเจี่ยงซือ ได้ติดตามอยู่ข้างกาย เตี่ยนฉวนซือปฏิบัติแพร่ธรรมไปทั่วทุกแห่งประกาศธรรมแทนฟ้าอยู่ได้ ๔ - ๕ ปี จากการที่ข้าพเจ้าพูดธรรมะได้และอายุก็ยังไม่มากนัก จึงได้รับการชมเชยและให้ความสำคัญจากเตี่ยนฉวนซือเป็นอย่างยิ่ง ได้ติดตามช่วยงานธรรมกิจอยู่ตลอดเวลา เรื่องราวใหญ่น้อยทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็จะยื่นมือเข้าไปจัดการ รู้สึกกว่าตัวเองช่างน่าเลื่อมใสจนเกิดความยโสอวดดีขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ เมื่อประสบกับเรื่องราวที่ไม่ถูกใจเป็นไปตามความคิดของตนเอง ข้าพเจ้าก็จะระเบิดอารมณ์โมโหขึ้นมาทันที จะใช้อำนาจบาตรใหญ่ด้วยความอวดดื้อถือดี ไม่เข้าใจหลักแห่งการสนองรับเบื้อบสูง - นำพาเบื้องล่าง มักจะเป็นเหมือนเวลาอยู่ที่บ้านที่เป็นคุณหนูใหญ่ อยากจะโมโหฉุนเฉียวขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ จึงได้ทดสอบให้ญาติธรรมตกหล่นไปไม่น้อย ทุกครั้งเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปสารภาพผิดและยอมรับผิดกับเตี่ยนฉวนซือ แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีก นิสัยอย่างเดิม ๆ ก็มีขึ้นมาอีก
มีอยู่ครั้งหนึง พี่สะใภ้ของข้าพเจ้ากำลังอยู่ไฟหลังคลอดลูก ข้าพเจ้าจึงออกคำสั่งให้ญาติธรรมมาช่วยปัดกวาดทำความสะอาดทั้งภายในภายนอกบ้านสกุลหลินของข้าพเจ้า โดยไม่ได้คิดว่าผิดพลาดแถมยังพูดกับญาติธรรมเหล่านั้นว่า" นี่เป็นโอกาสให้พวกเธอได้เจริญปณิธานแรงกายเป็นทาน" ข้าพเจ้าไม่ชัดเจนเรื่องทางโลกและทางธรรม รวมทั้งไม่รักษาสามบริสุืธิ์และสี่เที่ยงตรง จึงถูกศิษย์พี่องค์ประธานคุมสอบสามโลกจดบันทึกไว้ทุกข้อทุกตอน ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าที่ทำไปนั้นจะเป็นการกระทำที่ผิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ประทับทรงบอกกล่าวชี้แนะข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ากลับพาลโกรธเอาเสียดื้อ ๆ และได้บอกกับญาติธรรมว่าเรื่องที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาพูดนั้นเป็นเรื่องไม่จริง
ข้าพเจ้าศรัทธาติดตามปฏิบัติงานธรรมอยู่ข้างกายเตี่ยนฉวนซือทุก ๆ วันไปทั่วสารทิศโดยไม่คิดหยุดพัก เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจึงโมโหด่าทอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างลับ ๆ แต่ในใจก็ละอายไม่เป็นสุขนัก ตอนดึกสงัดจึงได้แอบมาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโต๊ะพระ แล้วพูดต่อพระแม่องค์ธรรมด้วยน้ำตานองหน้าว่า จากนี้ไปจะบำเพ็ญให้ดีและจะไม่ทำผิดอีก แต่ก็พูดไปอย่างนั้นสองสามครั้ง หลอกลวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยไม่ได้กระทำจริงอย่างที่ได้พูดไป
-
๒. ไม่รู้จักถนอมบุญวาสนาตัวเองจึงถูกขังคุกสวรรค์ ( หลินชิงฮวา เจี่ยงซือ )
ตอนที่ข้าพเจ้าอายุ ๒๒ ปี ด้วยว่าเตี่ยนฉวนซือเหน็ดเหนื่อยจึงได้ช่วยดูแลจัดการเงินส่วนรวมให้ แต่ทุกครั้งที่นำเงินส่วนรวมไปใช้จะไม่เคยรายงานให้เตี่ยวฉวนซือและเฉียนเหยินได้รับทราบด้วยเหตุนี้จึงผิดต่อเรื่อง "เงินทองไม่ชัดเจน" โดนศิษย์พี่ ฯ จดบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด ตอนนี้ไม่มีกายสังขารแล้วจึงถูกคิดบัญชีอย่างละเอียดทุกข้อไป
ถึงตอนนี้แล้วข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าในตอนนั้นได้ตั้งปณิธานใหญ่ว่า จะช่วยเหลือพระศรีอาริย์บรรพจารย์ปรกโปรดสามโลกเบื้องบนจึงเมตตาให้ข้าพเจ้ามาเกิดในครอบครัวที่มั่งทีศรีสุข เพื่อบำเพ็ญได้อย่างราบรื่นสบาย ๆ ข้าพเจ้าไม่เพียงไม่รู้จักทนุถนอมแต่ยังเกิดความยโสโอหังด้วย ให้ข้าพเจ้ามีทรัพย์สินเงินทองใช้จ่ายอย่างสะดวก ข้าพเจ้าจึงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าข้าพเจ้าผิดไป ปณิธานตนเองยังไม่บรรลุโชคดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนและบารมีคุณของพระอาจารย์ ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ถูกตีให้ตกไปสู่นรกภูมิ แต่ก็ได้นำข้าพเจ้าไปยังคุกสวรรค์
ด้วยเหตุที่บิดามารดาของข้าพเจ้า ให้วัตถุทานทรัพย์เป็นทานอยู่เสมอ ๆ บุญกุศลเหล่านั้นได้แผ่มาถึงข้าพเจ้า เป็นเพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระแม่องค์ธรรมและพระอาจารย์จี้กงเมตตาสงสารข้าพเจ้า จึงได้มาปรากฏกายเล่าความเป็นมาของตนเองในวันเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรมในวันนี้ เพื่อให้ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายได่รู้ว่าอย่าได้เป็นอย่างข้าพเจ้าเด็ดขาดต่อปณิธานที่ตนเองได้ตั้งไว้จะต้องจดจำและรักษาให้ดี
การบำเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้นต้องก้าวย่างกระทำจริงอย่าได้เป็นคนยโสโอหังและใช้อำนาจบาตรใหญ่จะต้องรักษาทำตามหลัก""เคารพอาจารย์เทิดทูนงานธรรม"" และ ""สนองรับเบื้องสูงนำพาเบื้องล่าง"" ให้ดี ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ นิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายจะต้องกำจัดทิ้งให้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นเมื่อไม่มีกายสังขารแล้ว ค่อยมาตีอกชกหัวก็จะสายเกินการณ์ แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว ขอให้พระอาจารย์เมตตาสงสารศิษย์ด้วย ที่คุกสวรรค์นั้นทั้งหนาวทั้งร้อนทรมานจริงๆ เลย ขอให้พระอาจารย์เมตตาสงสารให้ศิษย์ได้มีโอกาสเกิดเป็นคนอีกครั้งหนึ่ง ศิษย์จะบำเพ็ญให้ดีได้อย่างแน่นอน ศิษย์จะไม่กล้ามีจิตใจและวาจาที่ผยองลำพองอีกแล้ว ขอให้พระอาจารย์เมตตาสงสารนำพาศิษย์กลับคืนสู่พระนิพพานด้วยเถิด ศิษย์ไม่อยากอยู่ที่คุกสวรรค์อีกแล้ว ศิษย์ไม่อยากอยู่ที่นั้นอีกแล้ว ที่คุกสวรรค์นั้นมันแสนจะทรมานมันแสนจะทุกข์ทนเหลือเกิน
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๒๔ ปี ในใจก็คิดว่าเส้นทางการบำเพ็ญธรรมนั้นช่างอ้างว้างโดดเดี่ยว จึงได้ไปบอกกับเตี่ยนฉวนซือว่าจะไปแต่งงานมีครอบครัว ไม่เช่นนั้นถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก ข้าพเจ้าจะต้องประสาทกินแน่ ๆ เนื่องจากทนไม่ได้กับจิตใจที่อ้างว้างโดดเดี่ยว จึงได้แต่งงานกับเจี่ยงซือผู้ชายอีกคนหนึ่ง แต่งงานไปได้สามปีแล้ว แต่นิสัยอารมณ์อย่างเดิม ๆ ของข้าพเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ากับสามีจึงทะเลาะขัดแย้งกันเสมอ ๆ ในที่สุดจึงอย่าขาดจากกัน
-
๓. ไม่รู้จักถนอมบุญวาสนาตัวเองจึงถูกขังคุกสวรรค์ ( หลินชิงฮวา เจี่ยงซือ )
ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็มองเยื่อใยสัมพันธ์ลูกหญิงชายอย่างจืดจางวางเฉย และเมื่อพระอาจารย์ได้ประทับทรง ข้าพเจ้าจึงได้บอกกับพระอาจารย์ว่า แต่นี้ไปข้าพเจ้าจะรักษาปณิธาน ไม่กล้าที่จะโลเลสองจิตสองใจอีกแล้ว จะบำเพ็ญหล่อเลี้ยงจิตญาณให้ดีรวมทั้งสำนึกผิดในสิ่งที่แล้ว ๆ มา ตั้งแต่นั้นมาญาติธรรมก็ได้เห็นว่าข้าพเจ้ามีใจนึกแก้ไขสิ่งผิดจริง ๆ ต่างจึงให้ความเห็นอกเห็นใจข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จักสำนึกพระคุณ จึงเริ่มนิสัยเดิม ๆ ที่วางท่าเขื่องใหญ่โตกับเจี่ยงซือ - ถันจู่ทั้งหลาย และยังบอกกับญาติธรรมทั้งหลายอีกว่า "ฉันเป็นมือซ้ายขวาอยู่ข้างกายเตี่ยนฉวนซือดังนั้นพวกเธอ ถันจู่ทั้งหลายจะต้องฟังคำสั่งของฉัน"ข้าพเจ้าเองยังเกียรติคร้านกับการส่งผ้าเช็ดมือให้กับญาติธรรม เกียจคร้านในการทำความสะอาดตำหนักพระพุทธสถาน และนำสิ่งของที่ญาติธรรมทำบุญมา เอามาเป็นของส่วนตัวหรือส่งมอบให้กับคนอื่น ๆ ไป ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตที่ทำผิดแล้วผิดอีกอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งอายุ ๓๖ ปี ได้ปะทะกับอากาศเย็นโดยไม่ทันระวังจึงเจ็บป่วยและลาจากโลกนี้ไป
เมื่อละกายสังขารแล้ว วิญาญาณของข้าพเจ้าก็ล่องลอยไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าควรจะไปยังที่แห่งใด ? ตอนหลังจึงถูกศิษย์พี่ฯนำพาวิญญาณไปยังคุกสวรรค์ มือเท้าของข้าพเจ้าหมดสิ้นเรี่ยวแรง คุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระอาจารย์จี้กง กราบขอให้พระอาจารย์เมตตาสงสาร ด้วยว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้เจริญปณิธานที่ตั้งเอาไว้ และไม่รู้ที่จะบำเพ็ญขัดเกลาตนเองทำผิดต่อหลัก ""สามบริสุทธิ์"" และ ""สี่เที่ยงตรง""" รวมทั้งไม่ได้กำจัดทิ้งซึ่งนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลาย ด้วยเหตุเหล่านี้เองจึงต้องถูกกักขังอยู่ในคุกสวรรค์ ในวันนี้ ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชา ให้เข้ามาปรากฏกายยังตำหนักพระนี้เพื่อบอกเตือนกับศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายว่า จะต้องกำจัดนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีทั้งหลายให้สิ้นไป อย่าได้ยึดติดกับทิฐิความคิดเห็นของตนเองไม่เช่นนั้น เมื่อถึงเวลาพิพากษาความของสามโลก ความผิดทุกข้อทุกตอนไม่มีทางที่จะเล็ดรอดหายไปได้จึงอย่าได้ทำตามข้าพเจ้า
บำเพ็ญธรรมแล้ว หากไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงนิสัยอารมณ์ที่คุกสวรรค์ย่อมมีคนเป็นของพวกท่านด้วย หากตั้งปณิธานแต่ไม่ไปเจริญบรรลุปณิธานก็ยากที่จะกลับคืนพระนิพพานบ้านเดิมได้อย่างแน่นอนเป็นเพราะความระเริงเหลิงใจในตอนแรกไม่เชื่อว่าหลักของฟ้านั้นแจ่มชัด เบื้องบนรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างคิดแต่เพียงว่าข้าพเจ้าตั้งปณิธานกินเจแล้ว พูดธรรมะก็ได้ และยังเป็นเจี่ยงซือติดตามอยู่ข้างกายเตี่ยนฉวนซือ แล้วจะกลับคืนสู่เบื้องบนไม่ได้หรืออย่างไร เพียงเพราะข้าพเจ้ามีจิตใจอย่างนี้อยู่เสมอ ๆจึงทดสอบญาติธรรมตกหล่นไปตัวเองก็ยังผิดในเรื่อง ""ทางโลกทางธรรมชัดเจน"" กับทั้งผิดต่อหลัก""สามบริสุทธิ์สี่เที่ยงตรง""ก่อบาปสร้างกรรมมากมาย ในวันนี้ได้มาปรากฏกายข้าพเจ้าจึงไม่กล้าเรียกร้องอะไรได้อีก ทุกสิ่งอย่างที่เป็นไปนี้ก็มีสาเหตุมาจากผิดบาปของข้าพเจ้าเอง จึงสมควรยอมรับด้วยตนเอง
เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งมี แต่กลับไม่รู้พากเพียรบำเพ็ญขัดเกลาจิตญาณ ไม่รู้จักประหยัดอดออม กลับกลายเป็นว่าชอบที่จะกินแต่เกียจคร้านที่จะทำ ใช้จ่ายเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย ตัวเองมีภาระเป็นถึงเจี่ยงซือ เมื่อขึ้นแท่นบรรยายก็จะบอกกับผู้อื่นว่า เงินทองต้องชัดเจนต้องกระทำตามหลักสามบริสุทธิ์สี่เที่ยงตรง ต้องบำเพ็ญอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ตัวเองกลับทำผิดทุกๆเรื่อง ทุก ๆอย่างเสียเอง
ข้าพเจ้าสำนึกขอขมาด้วยความจริงใจ ข้าพเจ้าวอนขอให้พระอาจารย์เมตตาสงสาร ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสปรากฏกายบอกเล่าเหตุได้สร้างและผลที่ได้รับของตนเอง หวังว่าศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ในเมื่อทุกคนได้รับรู้อนุตตรธรรมวิถีแล้วเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจึงยิ่งต้องจับฉวยรักษาโอกาสที่ตนเองยังมีกายสังขารอยู่ บำเพ็ญใจหล่อเลี้ยงญาณให้ดี ๆ ปฏิบัติตามหลักสามบริสุทธิ์สี่เที่ยงตรง อย่าได้ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและพระอาจารย์จี้กงต้องประทับทรงครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตักเตือนสั่งสอนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่อาจปลุกมโนสำนึกอันดีงามให้ตื่นขึ้นมาได้ กลับผิดแล้วผิดอีก ผิดต่อไปเรื่อย ๆ จนเมื่อไม่มีกายสังขารแล้วค่อยมาตีอกชกหัวเช่นนี้ย่อมสายเกินการณ์ไปแล้ว
หวังว่าทุกท่านจะได้นำเรื่องราวของข้าพเจ้าเป็นข้อเตือนใจจะได้ไม่ผิดพลาดตาม รักษาโอกาสที่ดีนี้เอาไว้ การพิพากษาสามโลกนั้นไม่ตกหล่นผิดไปแม้แต่นิดเดียวและศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายจะต้องยกระดับคุณธรรมความประพฤติของตนเองให้สูงส่งอย่าได้ก่อบาปสร้างกรรมอย่างเลอะเลือนกันอีกเลย
-
๑. จิตใจไร้เมตตากรุณายากที่จะสำเร็จในมรรคผล ( หวังจี๋ เตี่ยนฉวนซือ )
กราบขอบพระคุณพระแม่องค์ธรรม พระอาจารย์ และศิษย์พี่ที่เมตตานำพาข้าพเจ้ามายังพุทธสถานแห่งนี้ ข้าพเจ้า""หวังจี๋""คิดว่าตังเองเป็นเตี่ยนฉวนซือ ช่างเป็นเกียรติและโชคดีที่จะสามารถกลับคืนพระนิพพาน ไฮ !!ต้องถอนหายใจจริง ๆ ข้าพเจ้าเคยมีจิตเมตตากรุณาจะฉุดช่วยสามโลก เตี่ยนฉวนซือมากมายภายใต้การนำพาของเฉียนเหยิน เป็นเพราะงานธรรมกิจยิ่งปฏิบัติยิ่งกว้างขวาง จึงแบ่งเขตกันรับผิดชอบดูแล เพราะข้าพเจ้ารับโองการสวรรค์ค่อนข้างเร็ว แค่อายุ 27 ปี ก็รับพระโองการสวรรค์เป็นเตี่ยนฉวนซือแล้วจึงได้ติดตามปฏิบัติแพร่ธรรมกับเฉียนเหยินก่อนผู้อื่น ไปบุกเบิกแพร่ธรรมยังสถานที่ต่าง ๆ มีบุคคลากรจำนวนมาก ด้วยเหตุที่เฉียนเหยินเมตตากรุณา จึงให้เตี่ยนฉวนซือทั้งหลายแบ่งเขตกันรับผิดชอบดูแล จะได้ส่งเสริมสนับสนุนเวไนย์สัตว์ทั้งหลายได้ง่ายขึ้น แต่ใจของข้าพเจ้าไม่ราบเรียบปกติ เพราะเหตุใดนักธรรมผู้น้อยที่ข้าพเจ้าส่งเสริมในตอนแรกเริ่ม เฉียนเหยินจึงจัดแบ่งให้ไปอยู่กับเตี่ยนฉวนซือท่านอื่น ๆ ผู้ที่เป็นมือซ้ายขวาติดตามอยู่กับข้าพเจ้านั้น ล้วนแต่เป็นเจี่ยงเอวี๋ยนผู้ฝึกบรรยายใหม่ ๆ ทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงเกิดความไม่พอใจ ไม่พอใจที่เหตุใดนักธรรมอาวุโสไม่ยุติธรรม ไม่พอใจเตี่ยนฉวนซือทั้งหลาย ที่เหตุใดจึงมาแย่งชิงเอานักธรรมผู้น้อยของข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจึงกำชับกับนักธรรมผู้น้อยที่ข้าพเจ้าดูแลว่า ไม่อนุญาตให้ไปยังพุทธสถานที่เตี่ยนฉวนซือท่านอื่นดูแลรับผิดชอบอยู่ ถ้าหากพวกเขาจะไปที่พุทธสถานเหล่านั้นจริง ๆ ข้าพเจ้าก็จะไม่ดูแลพวกเขาแล้วข้าพเจ้าใช้พระโองการสวรรค์ที่มีอยู่ บังคับกดดันนักธรรมผู้น้อยเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะดำหนิด่าว่าผู้ที่ค่อนข้างใหม่ ด่าว่าว่าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่กันอย่างไม่มีประสบการณ์ ทำงานอย่างลวกหยาบขอไปที ไม่ได้จัดสรรเวลามาอยู่ร่วมงานกับข้าพเจ้า ข้าพจ้าจึงเกิดความโมโหไม่พอใจอยู่เสมอ ระเบิดอารมณ์อยู่บ่อย ๆ ความไม่พอใจแต่ละอย่างเกิดขึ้นจิตใจมืดมัวไร้แสงสว่าง ผู้ที่เห็นข้าพเจ้า""หวังเตี่ยนฉวนซือ"" ในใจก็จะมีความเกรงกลัว ข้าพเจ้าอายุยังไม่มาก ในใจก็ไร้ซึ่งความเมตตาแล้ว เหมือนกับปีศาจร้ายที่ใครเห็นใครก็กลัว มีแต่คนถอยห่างไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนแรกข้าพเจ้าไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ กลัวข้าพเจ้า แต่คิดไปว่าที่คนอื่น ๆ มีกิริยาอาการเช่นนั้น คงเป็นเพราะเคารพในความยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้า""หวังเตี่ยนฉวนซือ""แน่ ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้แต่กระหยิ่มใจอยู่เงียบ ๆ ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้ฟังคำบอกกล่าวของมือซ้ายขวาของข้าพเจ้าว่านักธรรมผู้น้อยมากมายพูดกันว่า""หวังเตี่ยนฉวนซือเข้มงวดเคร่งครัดเกินไป"" พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้ ข้าพเจ้าจึงได้พูดกับมือซ้ายขวาไปว่า""ไม่เป็นไร ขอให้เชิญผู้ที่มีปัญหามาพบกับข้าพเจ้าได้"" มือซ้ายขวาของข้าพเจ้าไม่กล้าพูดตรง ๆ ว่านิสัยอารมณ์ของข้าพเจ้าไม่ดี ใบหน้าไม่มีแววแห่งความเมตตากรุณาอยู่เลย จึงทำให้นักธรรมผู้น้อยไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกครั้งที่ทำงานอะไรก็ตามข้าพเจ้าจะตำหนิข้อผิดพลาดของนักธรรมผู้น้อยอย่างรุนแรง ทำให้นักธรรมผู้น้อยต่างหวาดกลัวไปตาม ๆกัน ที่ข้าพเจ้าไม่พอใจเป็นที่สุดคือบุคคลากรในอดีตของข้าพเจ้าติดตามอยู่กับเตี่ยนฉวนซือท่านอื่น ๆ ข้าพเจ้ายังสั่งนักธรรมผู้น้อยว่า ข้าพเจ้าไม่อนญาตให้ไปศึกษาหลักธรรมที่พุทธสถานที่เตี่ยนฉวนซือท่านอื่นดูแลรับผิดชอบอยู่ ความยึดติดยึดมั่นแต่ละอย่างจึงทำให้ผู้อื่นพลาดโอกาสแต่ละครั้ง ๆ ไป
-
๒. จิตใจไร้เมตตากรุณายากที่จะสำเร็จในมรรคผล ( หวังจี๋ เตี่ยนฉวนซือ )
จนกระทั่งอายุได้ ๗๓ ปี ข้าพเจ้าจึงละกายสังขาร พระแม่องค์ธรรมรู้อยู่แล้วว่าในขณะที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่นั้น ในใจมีแต่ความแบ่งแยกเธอเขาเราฉัน ไม่มีใจปฏิบัติธรรมเพื่อส่วนรวม มักจะเกิดความโมโหไม่พอใจอยู่บ่อย ๆ ไม่พอใจที่เฉียนเหยินไม่ยุติธรรม ในตอนนั้นเป็นเพราะนักธรรมอาวุโสจะเสริมส่งข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ จึงเกิดความไม่พอใจขึ้นเสมอ ๆ เมื่อละกายสังขารตอนอายุ ๗๐ กว่าปี เบื้องบนก็ยังเมตตาให้ร่างกายของข้าพเจ้าอ่อนนุ่มดังสำลี เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของนักธรรมผู้น้อยของข้าพเจ้าเองเมื่อพวกเขาเห็นเช่นนั้น ต่างก็ดีใจกันใหญ่และพูดกันว่า ""หวังเตี่ยนฉวนซือร่างกายอ่อนนุ่มดังสำลีกลับคืนสู่เบื้องบน เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นถึงความสูงส่งล้ำค่าของวิถีธรรม"" พวกเขาคิดว่าหนึ่งร้อยวันให้หลัง วิญญาณของข้าพเจ้าจะมาผูกบุณสัมพันธ์ในกระบะทรายจึงได้กราบขอให้เฉียนเหยินได้เมตตา ให้เรียนเชิญวิญญาณของข้าพเจ้ามาผูกบุญสัมพันธ์ด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์ได้ประทับทรงมาบอกว่า ให้ช้าอีกสักหน่อย ให้ถัดออกไปก่อน สาเหตุเพราะข้าพเจ้า""หวังจี๋""ยังอยู่"ด่านสอบอารมณ์" ของสามด่านเก้าทวาร บุญภายนอกและกุศลภายในยังไม่สมบูรณ์พูนพร้อม ไม่กล้าที่จะบอกกล่าว ให้กับนักธรรมผู้น้อยได้รับรู้ ด้วยความเมตตาของพระอาจารย์ ที่ได้ให้ข้าพเจ้ายังเหลือหน้าเหลือตาอยู่บ้าง ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าบำเพ็ญศึกษาธรรม อย่าได้บำเพ็ญความสัมพันธ์ของคน จะต้องอาศัยใจที่เมตตากรุณา และยุติธรรมดีงามมาปฏิบัติช่วยงานสามโลก เบื้องบนจึงจะช่วยเหลือ นักธรรมผู้น้อยจึงจะได้ก้าวเดินตามพวกเราไปในมหาธรรมอันสว่างไสว อย่าได้มีความไม่พออกพอใจพุทธสถานอาณาจักรธรรมเป็นของพระแม่องค์ธรรม จงอย่าได้แบ่งแยก เธอ เขา เรา ฉัน นั่นเป็นเพราะเฉียนเหยินเมตตา จึงได้แบ่งเขตกันเพื่อให้ง่ายแก่การรับผิดชอบดูแล และยังได้กล่อมเกลานำพาผู้ลุ่มหลงได้มากขึ้นอีก จะต้องมีเมตตาและปัญญาเห็นธรรม ส่งเสริมธรรม อย่าได้แบ่งเราแบ่งเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัยหนุนนำทั้งนั้น ให้พวกเขาได้เข้าใจชัดเจนในหลักธรรมจะได้อุทิศเพื่อธรรมะ จะได้ปฏิบัติธรรมให้เบื้องบน จะได้เป็นสะพานเชื่อมให้เวไนยสัตว์ เหยียบย่างกลับคืนสู่เบื้องบนได้ ทุกสิ่งก็เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพวกเขาเหล่านั้น อย่าได้ขัดขวางการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมของผู้อื่น แต่จะต้องส่งเสริมดูแลพวกเขาให้ดี ๆ
ศิษย์พี่เมตตาให้ข้าพเจ้า ได้มาบอกเล่าความจริงทุกสิ่งทุกอย่างจึงขอให้พระอาจารย์เมตตา นำพาข้าพเจ้าไปบำเพ็ญขัดเกลาที่พุทธาลัยได้ในเร็ววัน รอคอยกันให้ดี ๆ เอาเฉียนเหยินเป็นแบบอย่างให้ดี ๆ ขอให้เตี่ยนฉวนซือเมตตา ขอให้เมธีน้องพี่ชายหญิงทั้งหลายเมตตา
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน
มนุษยธรรมไม่บรรลุต้องขัดเกลาอยู่ที่จิ่วหยังกวน ( เลี่ยวอี๋ซิน เจี่ยงซือ )
ข้าพเจ้า"เลี่ยวอี๋ซิน" เป็นเจี่ยงซือวิ่งเต้นช่วยงานธรรมอยู่ ๑๕ ปี ได้รับวิถีธรรมเมื่ออายุ ๒๕ ปี ข้าพเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์คนหนึ่ง ละกายสังขารตอนอายุได้ ๔๐ ปีได้วิ่งเต้นอยู่ในอาณาจักรธรรม ๑๕ ปี นักธรรมอาวุโสได้บ่มเพาะข้าพเจ้าให้โอกาสข้าพเจ้า ให้การอบรมสั่งสอนข้าพเจ้า แต่เป็นเพราะจิตใจของข้าพเจ้าสับสนวุ่นวาย จิตใจของข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้จงรักภัคดีและกตัญญูอย่างเต็มที่ จึงไม่ผ่านการทดสอบเกี่ยวกับ "คุณสัมพันธ์ห้า -- คุณธรรมแปด"
คุณสัมพันธ์ห้า คือ ๑.พ่อกับลูกมีความชิดเชื้อกัน ๒.เจ้าผู้ครองแคว้นกับขุนนางมีมโนธรรมอันดีต่อกัน ๓.สามีกับภรรยามีการแบ่งหน้าที่กันทำ ๔.พี่กับน้องมีลำดับขั้นกันและกัน ๕.เพื่อนกับเพื่อนมีสัจจะต่อกัน
คุณธรรมแปด คือ ๑.กตัญญู ๒.พี่น้องปรองดอง ๓.จงรักภัคดี ๔.มีสัจจะ ๕.จริยธรรม ๖.มโนธรรม ๗.สุจริตธรรม ๘.ละอายและเกรงกลัวต่อบาป
จึงต้องไปอยู่ที่ "ด่านจิ่วหยังกวน" ถูกทดสอบเรื่องคุณธรรมแปด ข้าพเจ้าจะบรรยายธรรมตลอดทั้งวันประกาศธรรมแทนฟ้าไปทุกที่ สักกี่คนที่เข้าใจว่าอนุตตรธรรม (ธรรมของฟ้า) ก็คือจะต้องปฏิบัติมนุษยธรรม (ธรรมของคน)ด้วย ขัาพเจ้าวิ่งช่วยงานธรรมอยู่ภายนอกทุก ๆ วัน ทอดทิ้งบิดามารดาไว้เพียงลำพัง ไม่ได้ถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ทุกข์สุขของพวกท่าน ไม่ได้ส่งเงินให้พวกท่านได้ใช้ ในช่วง ๑๕ ปี ที่ได้ไปทั่วสารทิศโดยไม่เคยถดถอย ได้ฉุดช่วยพี่น้องชายหญิงและผู้มีบุญสัมพันธ์ให้ขึ้นเรือธรรมทุกขณะมีแต่จิตใจที่ประกาศธรรมแทนฟ้า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะได้บรรยายธรรมะแต่สิ่งที่บรรยายไปกลับเป็นแค่หลักว่างเปล่า มนุษยธรรมไม่ได้ปฏิบัติให้สมบูรณ์ต่อบิดามารดา
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวให้พวกท่านได้รับรู้ ต่อเพื่อนฝูงข้าพเจ้าก็ได้แต่ปฏิบัติแพร่ธรรม จึงขาดการติดต่อส่งข่าวกันดังนั้นเรื่องมนุษยธรรมจึงยังไม่สมบูรณ์ จึงต้องฝึกหัดคุณธรรมที่ด่านจิ่วหยัง เบื้องบนตัดสินว่าข้าพเจ้าปฏิบัติคุณธรรมแปดได้ไม่สมบูรณ์ ถึงแม้จะสมบูรณ์ทางอนุตตรธรรม แต่มนุษยธรรมกลับไม่สมบูรณ์ดีงาม
ในวันนี้ได้มาถึงพุทธสถาน เบื้องบนเมตตาตอนที่อายุได้ ๔๐ ปี ข้าพเจ้าได้รับพิษจากยาที่รับประทาน ซึ่งไม่ได้เป็นการตั้งใจฆ่าตัวตาย เบื้องบนตรวจสอบแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่มีชื่อในนรกภูมิ จึงได้นำข้าพเจ้าไปยังสามด่านเก้าทวาร จะต้องไปทุก ๆด่าน ยังดีที่ได้บำเพ็ญปฏิบัติมาแต่ว่ามนุษยธรรมยังไม่สมบูรณ์ที่สามด่านเก้าทวาร จึงทดสอบข้าพเจ้าประเมินคะแนนในข้อกตัญญู -พี่น้องปรองดอง - จงรักภัคดี - มีสัจจะ เพียงมีชื่อว่าเป็นเจี่ยงซือ ดำเนินงานธรรมไปทั่ว แต่ไม่ได้ฉุดช่วยบิดามารดาเมื่ออยู่ต่อหน้าพระอาจารย์ ข้าพเจ้ากล่าวว่าในชาตินี้จะขอกตัญญูต่อพระแม่องค์ธรรม พระอาจารย์เคยกล่าวกับข้าพเจ้าว่า "หลักมนุษยธรรมควรทำให้สมบูรณ์ พ่อแม่พี่น้องก็ควรฉุดช่วยนำพา" ข้าพเจ้าได้กล่าวว่าบิดามารดายึดมั่นถือมั่นมากเกินไป พวกพี่น้องก็ไม่เข้าใจ พวกเขาไม่มีรากบุญและปัจจัยหนุนนำ ในช่วง ๑๕ ปีของข้าพเจ้า ก็ได้นักธรรมอาวุโสอบรมสอนสั่ง ข้าพเจ้ามีนักธรรมอาวุโส มีอาณาจักรธรรมข้าพเจ้าจึงละทิ้งครอบครัวไปและยังคงคิดว่า ที่ทำเช่นนี้จะสามารถสร้างบุญกุศลที่มากมายได้และจะมีมรรคผลที่ใหญ่ขึ้นเป็นเพราะข้าพเจ้าทุ่มเทใจทั้งหมดให้กับอาณาจักรธรรม ถึงบิดามารดาจะไม่ได้รับวิถีธรรมก็ไม่เป็นไรทั้งบรรพบุรุษเจ็ดชั้นลูกหลานเก้าชั่วคน ขอเพียงแค่ข้าพเจ้าบรรลุธรรมทุกคนก็จะได้กลับคืนเบื้องบนแน่นอน
ใครจะรู้ว่าต้องไปถูกทดสอบคุณธรรมแปดอยู่ที่ด่านจิ่วหยัง ต้องมาวิเคราะห์ตัดสินเรื่องความหมายของคุณธรรมแปด ท่านขุนพลได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า "กตัญญู พี่น้องปรองดอง จงรักภัคดี มีสัจจะ นั้นเจ้าทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เจ้าจะต้องไปบำเพ็ญเคี่ยวกรำอยู่ที่สถานบำเพ็ญขัดเกลา ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีบุญกุศลอยู่แต่ก่อน แต่เจ้าก็ควรจะรู้ถึงบุญคุณของพ่อแม่ที่ฟูมฟักเลี้ยงดูเจ้ามา เจ้าด่าว่าพ่อแม่ยึดมั่นถือมั่นเกินไป เจ้าด่าว่าพี่น้องของเจ้าไม่มีรากบุญและปัจจัยหนุนนำเจ้าไม่มีความเชื่อมั่น ไม่กล้าทำสิ่งใด ๆ จึงผิดพลาดต่องานของฟ้า และยังผิดพลาดต่อการเวลาของฟ้าอีกด้วย
ขณะยังมีชีวิตอยู่ในช่วง ๑๕ ปี นั้นข้าพเจ้าไปบรรยายธรรมทุกหนแห่ง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน ได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากนักธรรมอาวุโสทั้งหลาย พวกท่านทนุถนอมรักใคร่ข้าพเจ้าเป็นเกียรติเป็นศรีของข้าพเจ้า และด้วยความที่เป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์จึงวางตัวสูงส่งกว่าใคร ๆ มีความยโสโอหังอยู่บ้างหลักมนุษยธรรมก็ไม่ได้ทำอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นจึงถูกทดสอบเรื่องคุณธรรมแปดอยู่ที่สามด่านเก้าทวาร ข้าพเจ้าจึงขอเตือนศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายว่า การบำเพ็ญธรรมนั้นอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ควรปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมให้สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นเมื่อกลับคืนไปแล้ว ทุกๆคนทุกๆที่ก็จะวิพากษ์วิจารณ์ หากบำเพ็ญธรรมแล้วแต่ไม่ได้ก้าวย่างกระทำจริง ไม่ได้ปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดามารดา ไม่ได้ฉุดช่วยพวกท่านให้ขึ้นเรือธรรม ถ้าไม่เคารพบิดามารดาแล้วจะไปเคารพใคร ? ด้วยเหตุที่ความคิดของข้าพเจ้าเอนเอียงผิดพลาด จึงเป็นเหตุให้ต้องรับทุกข์อยู่ที่สถานบำเพ็ญขัดเกลา เมธีทั้งหลายถ้าพวกท่านมีความตั้งใจ อาจใช้ความศรัทธาฉุดช่วยนำพาบิดามารดาได้ อย่าได้ด่าว่าบิดามารดายึดติดเกินไปถึงบิดามารดาจะไม่กระจ่างแจ้งต่อหลักธรรม แต่ผู้ที่เป็นลูกก็ไม่ควรที่จะมีความคิดอย่างที่กล่าวมานี้ ไม่เช่นนั้นก็จะนำมาซึ่งกรรมปากถ้าผิดพลาดต่อการเวลาของฟ้า ก็จะเป็นเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้รับพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนและบารมีคุณพระอาจารย์ ยังดีที่ไม่ถูกทวงหนี้เวรกรรมจากหลาย ๆชาติที่ผ่านมาในช่วง ๑๕ ปีนี้ เบื้องบนเมตตาสงสารให้ข้าพเจ้าได้เบิกเปิดญาณทวารหนึ่งจุดนั้น เพียงแต่เรื่องคุณธรรมแปด ข้าพเจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ ในวันนี้พระแม่องค์ธรรมเมตตา พระอาจารย์เมตตา จึงให้ข้าพเจ้ามาปรากฏกายที่พุทธสถานแห่งนี้ เพื่อบอกกล่าวตักเตือนผู้บำเพ็ญทั้งหลาย พวกท่านควรจะสมบูรณ์ด้านมนุษยธรรม เพื่อจะได้สำเร็จอนุตตรธรรม
หากมนุษยธรรมไม่สมบูรณ์ แล้วจะบรรลุอนุตตรธรรมได้อย่างไร
อย่าได้ให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ หลังจากละกายสังขารไปแล้ว
บำเพ็ญธรรมต้องเต็มกำลังกายใจ อย่าได้อวดดื้อถือดี อย่าได้ยโสโอหัง
ข้าพเจ้าบอกกล่าวด้วยถ้อยความง่าย ๆ ขัางหลังยังจะมีนักธรรมอาวุโสอีกหลายท่านข้าพเจ้าจึงไม่ขอรบกวนเวลาอีก ขอบพระคุณในพระคุณของพระแม่องค์ธรรม หวังว่าศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้้งหลายที่ได้บำเพ็ญธรรม คุณธรรมทั้งแปดจะต้องทำให้พร้อมสรรพ ถึงแม้จะอุทิศตนเพื่องานธรรม แม้จะไม่ได้กตัญญูอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยบิดามารดาด้วย อย่าได้ให้คนบนโลกพูดถึงความไม่ดีของเรา เพราะจะเป็นการใส่ร้ายทำลายมหาธรรม บาปเวรกรรมของเราเองก็จะมีไม้น้อย
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน
นิสัยอารมณ์ไม่ได้แก้ไขจึงเกิดไฟเผาผลาญบุญกุศล (หลินชิงเหอ เจี่ยงซือ)
ข้าพเจ้าคือ "หลินชิงเหอ" ผู้ฝึกหัดบำเพ็ญอยู่ที่ "ด่านสงบวิสุทธิ์" ในสามด่านเก้าทวาร ขอบพระคุณมหาปณิธานของพระบรรพจารย์ ขอบพระคุณบารมีธรรมอันยิ่งใหญ่ของพระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง ที่ได้ปรกโปรดอย่างยิ่งใหญ่ทั่งสามโลก ธรรมะลงสู่ครัวเรือน พุทธบุตรที่มีวาสนาได้รับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิ์อาจารย์ เมื่อบำเพ็ญได้ดีจึงสามารถกลับคืนรากฐานต้นกำเนิดเดิมได้ สามารถอาศัยกายปลอมบำเพ็ญให้กายจริงปรากฏเผยแพร่ประกาศธรรมแทนฟ้า สามารถฉุดช่วยนำพาพุทธบุตรคนเดิมให้ได้ขึ้นเรือธรรม ล้วนแต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน และพระคุณพระบรรพจารย์ จึงอาจหลีกพ้นความทุกข์ของชาติกำเนิดสี่และภูมิวิถีหกได้ สามารถข้ามพ้นจากพันธนาการของธาตุทั้งห้าได้ จิตใจราบเรียบสงบวิสุทธิ์ ต้องร่วมบำเพ็ญให้ดี ๆ ทำสุขาวดีให้สะอาด ร่วมกันสร้างสวรรค์บนแดนดิน สร้างสะพานเชื่อมไปยังเบื้องบน สามารถอยู่บนหนทางกลับคืนสวรรค์ต้องมานะพยายามบำเพ็ญจริงขัดเกลาจริง หลังจากที่ตายไปแล้วเบื้องบนจะได้ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มารับพวกเรากลับคืนไป
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกละอายแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับการชักนำจากอาจารย์แนะนำและอาจารย์รับรอง หลังจากได้รับวิถีธรรมแล้วจึงค่อย ๆ ใกล้ชิดอาณาจักรธรรม ศึกษาอริยธรรม หลังจากจบชั้นประชุมธรรมใหญ่แล้ว ได้รับความเมตตาจากเตี่ยนฉวนซือ และนักธรรมอาวุโส ยกระดับแต่งตั้งให้เป็นเจี่ยงซือ คนอื่น ๆ บอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนวัยกลางคน เวลาพูดก็จะมีพลังและมีประสบการณ์มากมายในชีวิต ดังนั้นนักธรรมอาวุโสมากมายจึงรักใคร่และเสริมส่งยกระดับข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญที่จะทำเพื่ออาณาจักรธรรมที่จะทำเพื่อเวไนยสัตว์ ที่จะให้บริการแก่ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายได้อาศัยโอกาสนี้มาตอบแทนพระคุณของเบื้องบน เพื่อบรรลุปณิธานจากหลาย ๆ ชาติก่อน ข้าพเจ้าจึงมุมานะเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่นักธรรมอาวุโสมอบหมายให้ไปบรรยายธรรมที่ใหนข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ๆ ข้าพเจ้าพากเพียรในการศึกษาฝึกฝน ได้ทำความเข้าใจต่อจตุรปกรณ์ และ เบญจคัมภีร์ จะได้แก้ข้อสงสัยของเวไนยสัตว์ได้ซึ่งเป็นการฉุดช่วยนำพาพวกเขาให้ขึ้นสู่เรือธรรมอย่างแท้จริง ให้พวกเขาได้พบเจอตัวจริงแท้ของตนเอง จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเิกิดอยู่ในโลกโลกีย์แห่งนี้อีก สามารถข้ามพ้นจากกำแพงขวางกั้นทั้งสี่ คือ สุรา กาม ราคะ ทรัพย์ และอารมณ์ ไม่ต้องลุ่มหลงอยู่บนหนทางสี่แพร่งอีก จึงจะไม่ต้องตกลงสู่นรกภูมิในท้ายที่สุด เพื่อตอบแทนพระคุณของพระอาจารย์ชาย ที่ได้ฉุดช่วยชีวิตจึงเพิ่มความพยายามมากขึ้น สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือข้าพเจ้ามีนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดี เมื่อจะมีการประชุมของเจี่ยงซือและถันจู่ ถ้าหากได้ยินว่าใครจะไม่ไปร่วมการประชุมแล้วละก็ ข้าพเจ้าจะตำหนิด่าว่าเสียงดัง เมื่อเจี่ยงซือและถันจู่หลายคนเห็นอย่างนี้แล้ว ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไร และพวกเขายิ่งไม่กล้าบอกเตือนข้อบกพร่องของข้าพเจ้าอีกด้วย ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นบุคลากรที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าล่วงเกิน นักธรรมอาวุโสก็ยังให้อภัยในความผิดพลาดทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพเจ้า บางครั้งเมื่อเห็นข้าพเจ้าอารมณ์ดี จึงค่อยมาบอกเตือนข้าพเจ้าข้าพเจ้าเองก็ยอมรับและยิ่งขอบคุณในความเมตตาของนักธรรมอาวุโส แต่ก็ด้วยมีนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดีนี้ จึงเป็นการเตะถ่วงหน่วงเหนี่ยวช่วงครึ่งหลังของชีวิตข้าพเจ้าไป
ตอนที่อายุ ๖๙ ปี รู้สึกว่าหัวใจไม่ค่อยดี ร่างกายจึงไร้เรี่ยวแรง จึงบริจาคเงินให้กับอาณาจักรธรรมหกแสนเหรียญ เพื่อจัดตั้งเป็นมูลนิธิ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องปรึกษาหารือกับลูกชายของข้าพเจ้าก่อน เมื่อบริจาคเงินหกแสนเหรียญให้แก่อาณาจักรธรรมไปแล้ว สุขภาพก็ไม่ดีขึ้นเลย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เคืองแค้นกล่าวโทษเบื้องบน เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกรรมเวรของชาติก่อน ๆมาของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงอดทนแต่ไม่สามารถประกาศธรรมแทนฟ้าได้อีก ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียง รู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่ง เฉียนเหยิน เตี่ยนฉวนซือ และถันจู่ ต่างมีความเป็นห่วงเป็นใย ทุกท่านได้มาเยี่ยมอาการของข้าพเจ้าถึงที่บ้าน ทุกท่านต้องการให้ข้าพเจ้ารักษาตัวอย่างสงบ พวกท่านได้ให้กำลังใจว่าเบื้องบนรับรู้และขออย่าให้ข้าพเจ้าเศร้าโศกเสียใจ ตัวข้าพเจ้าเองก็จดจำแม่นมั่น อยู่ที่บ้านทั้งภรรยา ลูกชายและลูกสาวล้วนพูดไม่ดีกับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ายังจำคำตักเตือนของนักธรรมอาวุโสได้ จึงไม่กล้าระเบิดอารมณ์ และยังอยากให้ภรรยาพยายามบริจาคทรัพย์เสมอ ๆ ในครั้งที่สองจึงให้ภรรยานำเงินห้าแสนเหรียญไปช่วยนักธรรมอาวุโสสร้างตำหนักพระใหญ่ ดังนั้นการบริจาคเงินทั้งสองครั้งรวมเป็นเงินหนึ่งล้านหนึ่งแสนเหรียญ
จนเมื่อข้าพเจ้าอายุ ๗๕ ปี หัวใจล้มเหลว จึงทิ้งกายสังขารจากโลกไป ได้รับการนำพาจากเบื้องบน ไม่คาดว่าข้าพเจ้าต้องไปอยู่ที่""ด่านสงบวิสุทธิ์"" ในสามด่านเก้าทวาร จะต้องบำเพ็ญขัดเกลาให้สงบวิสุทธิ์ก่อนบำเพ็ญขัดเกลาอยู่หนึ่งร้อยวันเดิมทีสามารถกลับคืนสู่พระนิพพานเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิสระเสรี ใครจะไปรู้ว่าในหนึ่งร้อยวันนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นคือลูกชายของข้าพเจ้าไปพูดคุยกับเฉียนเหยิน เพื่อต้องการให้ท่านคืนเงินทั้งหมดมา เฉียนเหยินเองก็ไม่อยากทดสอบให้ลูกชายของข้าพเจ้าต้องร่วงหล่นไปจึงคืนเงินจำนวนนั้นให้ แต่ลูกชายของข้าพเจ้ายังไปพูดกับคนอื่น ๆ ทั่วไปว่าเฉียนเหยินหลอกลวงเงินทองของผู้อื่น ภรรยาของข้าพเจ้าเตือนลูกแล้ว แต่ลูกก็ไม่ฟัง เพราะเฉียนเหยินเห็นแก่ส่วนรวม จึงคืนเงินจำนวนนั้นให้ไป
หลังจากที่ลูกชายของข้าพเจ้าได้เงินคืนไปแล้ว ก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ดื่มสุรายาเมาและขับรถประสบอุบัติเหตุ ต้องชดใช้เงินให้คู่กรณี เงินจำนวนนั้นที่ได้คืนไปจึงหมดไปด้วยสาเหตุเหล่านี้ เมื่อญาติธรรมมากมายเห็นครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ ต่างจึงค่อย ๆ ถดถอยจากธรรมะไป ข้าพเจ้าเองไม่อาจเป็นสุขใจได้ นั่นเป็นเพราะขณะมีชีวิตอยู่บำเพ็ญได้ไม่ดี นัสัยอารมณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง จึงส่งผลกระทบมาถึงลูกชายและเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น
ตอนที่ข้าพเจ้านอนป่วยรักษาตัวอยู่หลายปี จึงได้ตระหนักถึงความเหนื่อยยากของนักธรรมอาวุโส หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับคืนเบื้องบนใจจึงยังไม่สงบ จึงต้องมาบำเพ็ญขัดเกลาที่ด่านสงบวิสุทธิ์ อาจจะกล่าวได้ว่าความเกี่ยวโยงระหว่างพ่อกับลูกนั้นมีมาก ถึงแม้จะกล่าวว่าสามีบำเพ็ญสามีก็ได้รับ ภรรยาบำเพ็ญภรรยาก็ได้รับ แต่เนื่องจากลูกชายก่อความวุ่นวายในอาณาจักรธรรมอยู่ช่วงหนึ่ง ข้าพเจ้าซึ่งเป็นพ่อจึงต้องแบกรับความผิดบาปนี้ด้วยและไม่สามารถกลับคืนสู่พระนิพพานอย่างสงบวิสุทธิ์ได้ จึงต้องมาบำเพ็ญขัดเกลาอยู่ที่ด่านสงบวิสุทธิ์นี้
พระอาจารย์เมตตาเป็นอย่างยิ่ง ในวันนี้จึงได้นำพาข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าขอบอกเตือนศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ต่อให้ทุกคนบริจาคทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้กับอาณาจักรธรรม ก็จะต้องจริงใจศรัทธาอย่าได่ก่อให้เกิดความไม่พออกพอใจขึ้นมาในอาณาจักรธรรม เบื้องบนบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน สิ่งที่สละอุทิศออกมาจะต้องกำชับสั่งความให้ชัดเจน และนักธรรมอาวุโสต้องจัดการตามอย่างถูกต้อง เงินทั้งหมดที่ถูกลูกชายของข้าพเจ้านำกลับไป จึงทำให้ความดีของข้าพเจ้าก่อนหน้านี้หมดสิ้นไปต่ออาณาจักรธรรมก็ไม่อาจมอบหมายได้ และยังส่งผลกระทบต่องานธรรมกิจด้วย รู้สึกละอายเป็นอย่างยิ่ง ขอบพระคุณที่พระอาจารย์เมตตาประทานอภัยให้และได้เตือนสติ ขอบคุณนักธรรมอาวุโสที่ลำบากเหนื่อยยากส่งเสริมลูกหลานในครอบครัวของข้าพเจ้า ซึ่งจะทำให้ข้าพเจ้ากลับคืนสู่พระนิพพานได้อย่างสงบวิสุทธิ์
การปกโปรดสามโลกอย่างกว้างขวาง พระแม่องค์ธรรมทรงมีมหาเมตตา ถ้าลูกหลานมีใจก็สามารถฉุดช่วยวิญญาณบรรพบุรุษให้กลับคืนเบื้องบนได้ บรรพบุรุษย่อมดีใจ แต่ถ้าหากลูกหลานมากมายต่างบำเพ็ญกันครึ่ง ๆ กลาง ๆ บรรพบุรุษก็จะถูกลดระดับลงทุกวัน ๆ ใจย่อมไม่อาจสงบได้ จะให้พวกเราทำอย่างไรจึงจะดีลูกหลานไม่เป็นสุข บรรพบุรุษก็ไม่เป็นสุขไปด้วย ความเกี่ยวโยงนั้นมากมาย ทุก ๆ วันเฝ้าคอยให้ลูกหลานอุทิศบุญกุศลมาให้ จึงจะมีหน้ายืนเคียงข้างอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
ถ้าลูกหลานถดถอยต่อธรรมะ ก็ต้องรับทุกข์และการลงโทษเป็นเพราะข้าพเจ้ามีผิดบาป จึงต้องมารับการลงโทษอยู่ที่สามด่านเก้าทวาร ไม่ใช่ว่ากลับไปยังสามด่านเก้าทวารแล้ว จะไม่มีอะไร ถ้าลูกหลานไม่ได้อุทิศบุญกุศลมาให้ บรรพบุรุษที่ได้รับการฉุดช่วยดวงวิญญาณก็ย่อมมีบุญกุศลไม่เพียงพอบาปเวรเหล่านั้นก็จะทำให้อยู่ที่สามด่านเก้าทวารเช่นกัน ต้องบำบัดขัดเกลาอีก แต่จะนานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบาปเวรที่มีเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีที่ได้เข้าสู่สามด่านเก้าทวารก็รู้สึกโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว สามารถบำเพ็ญขัดเกลาได้ เบื้องบนอาศัยบาปบุญมาตัดสินพิจารณา แต่ว่าวิญญาณเจ้ากรรมมากมายไม่ยอมจึงต้องบำเพ็ญฝึกฝนขัดเกลาอยู่ที่ทวารด่านทั้งหลายอีกครั้ง ยังต้องดูที่ความประพฤติและความผิดบาปของแต่ละคน ล้วนแต่ต้องขัดฝนให้กระจ่างใสที่ทวารด่าน เมื่อฝึกฝนขัดเกลาจนสำเร็จแล้ว เพียงแค่ลูกหลานส่งข่าวที่ไม่ดีมาให้ (คือลูกหลานทำไม่ดี ) ก็ต้องคุกเข่ารอคอยอยู่ที่นั่น ทุกสิ่งทุกอย่างจำต้องขอให้เฉียนเหยิน และเตี่ยนฉวนซือ ฉุดจูงนำพาเวไนยสัตว์ที่ลุ่มหลงให้ดี ๆ เพื่อเวไนยสัตว์ในทะเลทุกข์ ได้ขจัดจนสะอาดทุกอย่างจริง ๆ โลกที่สกปรกโสมมทำให้ผู้คนไม่สามารถก้าวข้ามพ้นได้ เศร้าใจจริง ๆ หากไม่มีกายสังขาร คิดจะหาผู้มีบุญสัมพันธ์ให้มาช่วยนั้นก็ยากแสนยาก เป็นที่หน้าเศร้าใจที่ผู้คนบนโลกฟังไม่ได้ยินเสียงร่ำร้องซึ่งไร้รูปลักษณ์ จึงถดถอยกันไปอย่างง่าย ๆ นี่ก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ส่งไปถึงเบื้องบน ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะรบกวนเวลา จึงขอกราบลาพระแม่องค์ธรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และกราบลาเฉียนเหยิน กับทั้งเตี่ยนฉวนซือที่อยู่แดนไกลอีกด้วย งานปรกโปรดสามโลก ถ้าสามารถทำได้ก็จงทำอย่างเต็มกำลัง และอย่าได้วิพากษ์วิจารณ์กันและกันเป็นอันขาด พุทธบุตรคนเดิมยากที่จะได้อาศัยโอกาสนี้ พระแม่องค์ธรรมทรงนิรโทษกรรมผ่อนผัน โอกาสมีเพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น ต้องยอมแบกรับภาระหนักเหล่านี้เอาไว้ ขอให้ทุกคนยึดหลักธรรมบำเพ็ญจริง กาลเวลาของฟ้าชะตาของฟ้า เจตนาของฟ้า ตัวเราเองต้องยึดฉวยเอาไว้เอง
การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน
จิตเดิมแท้ของตนไม่กระจ่างแจ้ง เมื่อเป็นวิญญาณจึงยากบำเพ็ญ (หวังกั๋วเปียว เจี่ยงซือ)
ขอบพระคุณพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน ขอบพระคุณพระอาจารย์ชาย และพระอาจารย์หญิงที่ให้โอกาสข้าพเจ้าได้แก้ไข ได้มีโอกาสเข้ามาสู่พุทธสถาน ซึ่งสะอาดสงบและโอ่อ่าสง่างามอีกครั้งหนึ่ง จะได้มาพูดเหตุที่ก่อขึ้นและผลที่ตามมา เพื่อตักเตือนชี้แนะผู้บำเพ็ญในโลก จะต้องเป็นเจี่ยงซือที่ดี
ข้าพเจ้ารับธรรมะในปีสาธารณรัฐ ( หมินกั๋ว ) ที่ ๓๘ ค.ศ ๑๙๔๙ เป็นศิษย์ธรรมกาลยุคขาวคนหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าสามารถรับธรรมะได้เป็นเพราะคุณธรรมของบรรพชน และความเมตตาของเบื้องบน จึงได้มีโอกาสนี้ ยิ่งโชคดีที่ได้ติดตามนักธรรมอาวุโสไปผูกบุญสัมพันธ์ในทุก ๆ ที่ เพื่อเตือนสติชี้แนะศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เนื่องจากครอบครัวยากจนข้นแค้นจึงได้จากบ้านเกิดเมืองนอน ไปใช้ชีวิตยังต่างถิ่นตั้งแต่ยังเล็ก เนื่องจากได้รับการชักนำพาของอาจารย์แนะนำและอาจารย์รับรองผูกบุญสัมพันธ์และได้บำเพ็ญธรรม
ตอนอายุ ๑๘ ปี ได้มีโอกาสติดตามเตี่ยนฉวนซือไปบรรยายธรรมทุกที่ เนื่องจากในสมัยนั้นบุคลากรยังมีน้อยมากโดยเฉพาะข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ชาย นักธรรมอาวุโสจึงรักและทนุถนอม อบรมบ่มเพาะทำให้ข้าพเจ้าได้ถวายใบฏีกาต่อหน้าเบื้องพระแท่นแห่งพระแม่องค์ธรรม ให้ได้แบกรับภาระเป็นเจี่ยงซือ ได้ติดตามนักธรรมอาวุโสไปบุกเบิกงานธรรมทุก ๆ ที่ โดยไม่มีคำตัดพ้อต่อว่าเลยแม้แต่น้อย ลำบากมาก็หลายปี แต่เป็นเพราะความสับสนแค่ครั้งเดียว ตอนที่อายุ ๒๗ ปี ทางบ้านเขียนจดหมายส่งข่าวมาบอกว่าสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่ไม่สู้ดีนัก ทางบ้านหวังว่าก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะหมดลมหายใจ จะได้เห็นข้าพเจ้ามีชีวิตครอบครัวและหน้าที่การงานที่ดี คุณพ่อคุณแม่จึงจะสามารถวางใจจากโลกนี้ไปได้ จึงวอนขอด้วยความลำบาก น้ำตาที่หลั่งรินเหมือนน้ำค้างหยดไม่ขาดสาย เฉียนเหยิน และเตี่ยนฉวนซือ จึงมาเยี่ยมที่บ้านของข้าพเจ้า ทั้งคุณพ่อคุณแม่คุกเข่าลงวิงวอนขอนักธรรมอาวุโส นักธรรมอาวุโสก็เมตตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล้าที่จะส่งเสริมให้บำเพ็ญพรหมจรรย์ เมื่อเห็นกิริยาอาการอย่างนี้ของทั้งสองท่านแล้ว เฉียนเหยิน และเตี่ยนฉวนซือ จึงรีบรับปาก และได้หาลูกสาวของถันจู่อีกท่านหนึ่งมาแต่งงานกับข้าพเจ้า
ใครจะรู้หลังจากแต่งงานแล้ว ยังไม่ทันครบสามเดือน ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ตายจากไป ข้าพเจ้าเศร้าใจมาก ทอดถอนใจว่าตนเป็นลูกแต่ยังไม่ได้แสดงความกตัญญูตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ให้การเลี้ยงดูฟูมฟัก ในเมื่อทั้งสองท่านจากโลกนี้ไปแล้ว เฉียนเหยินแสดงออกถึงความรักเมตตาอาทร ได้มาปลอบประโลมข้าพเจ้าและภรรยา ทำให้ข้าพเจ้าและภรรยามีกำลังใจมุมานะ จึงยิ่งบำเพ็ญปฏิบัติตามปณิธานเดิมที่ตั้งเอาไว้
ข้าพเจ้าเป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้องผู้ชาย ข้าพเจ้าไม่เคยแย่งชิงทรัพย์สมบัติกับพี่น้อง เพราะว่าเป็นผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง ในตอนนั้นข้าพเจ้าปลงได้ตก คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ในชีวิตข้าพเจ้าจึงไม่ไขว่คว้าแย่งชิง ได้แต่บอกกับภรรยาว่าต้องใจกว้าง อย่าได้ทะเลาะแย่งชิงกัน ทรัพย์สมบัติให้กับพี่ชายคนโตไป ก็ไม่มีปัณหา พวกเราเองก็สามารถสร้างครอบครัวได้ด้วยมือเปล่า ๆ เชื่อว่าปฏิบัติธรรมเพื่อเบื้องบน ฉุดช่วยกล่อมเกลาเวไนยสัตว์ เบื้องบนคงไม่ให้พวกเราต้องลำบาก ยากเข็ญแน่ ๆ วันเวลาผ่านไป ๖ ปี ข้าพเจ้าจึงมีลูกชาย ๒ คน ความเป็นอยู่ก็ลำบากขึ้น เมื่อภรรยาเห็นว่าผู้อื่นมีความเป็นอยู่ดีกว่า สามีภรรยาสามารถอยู่พร้อมหน้ากันได้ ทำไมเมื่อข้าพเจ้าแต่งงานกับเธอแล้ว จึงต้องให้เธอลำบากด้วย อยู่กับข้าพเจ้าอาหารสามมื้อก็ไม่ได้กินอิ่มท้อง ความเป็นอยู่แต่ละวันไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ได้สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ สวย ๆ ทำไมพวกเราถึงสวมใส่แต่ผ้าเนื้อหยาบ ๆ ทั้งสามมื้อก็กินแต่ลูกเกด จะให้เธอทนกับทุกสิ่งทุกอย่างต่อไปไม่ได้แล้ว เธอจึงเกิดความแค้นเคืองขึ้นในใจ แค้นที่ข้าพเจ้าเป็นคนไม่เอาใหน เคืองที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ชายไม่รู้รักความก้าวหน้า พอโกรธขึ้นมาเธอจึงทิ้งลูกทั้งสองไว้และหนีออกจากบ้านไป ทิ้งลูกไว้ให้ข้าพเจ้าเลี้ยงดูแต่เพียงลำพัง นักธรรมอาวุโสเมตตามาก จึงได้มาเยี่ยมเยือนที่บ้านข้าพเจ้าอีกครั้ง ท่านบอกให้ข้าพเจ้ากล้าหาญ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเบื้องบนกำลังเสริมส่งอยู่
ตอนนั้นข้าพเจ้ามีความคิดที่ผิดพลาดไป คิดว่าครอบครัวกลายเป็นเช่นนี้ ลูกเล็ก ๆ ทั้งสองจำเป็นต้องเลี้ยงดูฟูมฟักแต่ภรรยาหนีออกจากบ้านไปแล้ว ทุกสิ่งจึงต้องอาศัยตนเองในใจคิดกลับอยู่ลึก ๆ ว่าหากวันใดมีญาติธรรมมาเห็นสภาพซึ่งตกต่ำเช่นนี้ของครอบครัวของข้าพเจ้า แล้วเกิดความเข้าใจผิดต่อนักธรรมอาวุโส หากจัดให้ข้าพเจ้าไปบรรยายธรรมอีก ข้าพเจ้าก็จะผลักภาระบอกปัดทุกครั้งไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะไม่มีแก่ใจที่จะทำ เยื่อใยสัมพันธ์ทางโลกมันหน่วงหนักนัก ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าไม่สงบผ่องแผ้ว พอที่จะเข้าใจธรรมะ ชีวิตยิ่งนานวันยิ่งผิดหวัง จึงตัดสินใจนำพาลูกทั้งสองหลีกห่างจากนักธรรมอาวุโส และหลีกห่างจากอาณาจักรธรรม ไปหาที่อยู่ใหม่ โดยไม่บอกให้ใครทราบแม้กระทั่งเฉียนเหยิน และเตี่ยนฉวนซือ
ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูลูกทั้งสองด้วยความยากลำบาก แต่นักธรรมอาวุโสก็ยังคงเมตตาสงสารไปถึงไหน ๆ ก็ยังให้ญาติธรรมสืบหาข่าวคราวของข้าพเจ้า แต่ก็ไม่มีใครรู้ถึงที่อยู่ใหม่ของข้าพเจ้า พอเริ่มหลีกห่างจากอาณาจักรธรรม จึงเริ่มมีความคิดใหม่ ทุกความคิดทุ่มเทให้กับลูกทั้งสอง จึงมีชีวิตผ่านไปชาติหนึ่ง
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๔๘ ปี เป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยตรากตรำร่างกายจึงไม่แข็งแรง มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร เลือดออกรุนแรงมากอยู่ครั้งหนึ่งจึงตายจากไป เบื้องบนยังระลึกถึงตอนที่ข้าพเจ้ายังอายุไม่มากนัก ที่ได้ทำเพื่ออาณาจักรธรรม แต่ครั้งหลังของชีวิต ถึงแม้จะไม่ได้สร้างกรรมปาก แต่ข้าพเจ้าก็ผิดต่อภาระหน้าที่ของเบื้องบน และปณิธานทั้งหลายที่ได้ตั้งไว้ต่อหน้าพระแม่องค์ธรรม ซึ่งถือว่าหลอกลวงเบื้องบน ดังนั้นจึงต้องมาสำนึกขอขมาอยู่ที่ "ด่านญาณสงบ" ในสามด่านเก้าทวาร
จนถึงบัดนี้เป็นการปกโปรดสามโลกอย่างกว้างขวาง นักธรรมอาวุโสมาเตือนสติตั้งแต่เริ่มแรก แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าด้อยวาสนา จึงตัดขาดละทิ้งหนทางของตนเอง นักธรรมอาวุโสทุ่มเทใจอย่างหมดสิ้น แต่ข้าพเจ้าเองไม่ได้เข้าใจ คิดถึงตอนที่อายุยังไม่มาก ได้พากเพียรเพื่ออาณาจักรธรรม ทุกความคิดต้องการที่จะสงบผ่องแผ้ว แต่เมื่อนักธรรมอาวุโสได้รับการขอร้อง จากคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้า จึงได้ส่งเสริมให้ข้าพเจ้าแต่งงาน ข้าพเจ้ารู้ว่าที่พวกท่านทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าวางใจและเป็นสุขทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ข้าพเจ้าสร้างขึ้นเอง ก่อขึ้นเองทั้งสิ้น รอจนถึงเวลาพิพากษาสามโลก ผู้ที่มีบุญจริงกุศลแท้จึงจะสงบผ่องแผ้ว แล้วกลับคืนสู่เบื้องบนไปได้
ขอเตือนเจี่ยงซือทั้งหลายว่าต้องเข้าใจธรรมะให้ชัดแจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการเสริมส่งจากเหตุและปัจจัย จะต้องนำปัญญาที่มีอยู่อย่างพร้อมมานำพาฝ่ายตรงข้าม อย่าได้เลอะเลือน แล้วต่างก็พากันล่วงหล่นเลย โอกาสที่ดีอย่างนี้ ต้องนำร่างกายนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ ในการประกาศธรรมแทนฟ้า ไปผูกบุญสัมพันธ์ในทุก ๆที่จะได้เป็นทูตสวรรค์ของธรรมกาลยุคขาวจริง ๆ เป็นตัวแทนของเบื้องบนเผยแพร่กระจายข่าวอันประเสริฐ ( ธรรมะ ) ตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ต้องมีความเสมอต้นเสมอปลาย อย่าได้เหมือนกับข้าพเจ้า เป็นเพราะข้าพเจ้าได้ละหน้าที่ภาระไปในตอนอยู่บนสามโลก ดังนั้นจึงต้องสำนึกขมาอยู่ที่ "ด่านญานสงบ"
ในวันนี้ได้อาศัยโอกาส มาบอกเตือนสติศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย พระนิพพานก็คือแดนสุขาวดีอันสะอาดบริสุทธิ์จึงต้องฉุดช่วยนำพาผู้บำเพ็ญที่วิสุทธิ์ผ่องแผ้วกลับคืนเบื้องบนไป ไม่ว่าบุญกุศลของเราจะมีมากขนาดไหน หากว่าจิตญาณไม่สว่างกระจ่างแจ้ง สุดท้ายก็ต้องโดนพาตัวมายังสามด่านเก้าทวารและไม่สามารถกลับคืนพระนิพพานได้ เมื่อสูญสิ้นร่างกายคนแล้ว จะบำเพ็ญร่างวิญญาณนั้น ทุกข์ยากลำบากมาก หวังว่าเมธีทั้งหลายจะได้รอบครอบระมัดระวังทุก ๆ ก้าวย่าง ทุก ๆคำพูดคำจา ในเมื่อนักธรรมอาวุโสเมตตา นำพาให้พวกเราได้ขึ้นสู่เรือธรรม จึงอย่าได้คืนตั๋ว ( ขึ้นเรือ ) ของตนเองเป็นอันขาด เรือธรรมของธรรมกาลยุคขาวกำลังเทียบท่าอยู่ เวลาก็มีเพียงแค่จำกัด หากว่าตัวเราเองได้มาพิจารณาวางแผนอนาคต ผลอะไรที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมต้องรับด้วยตนเอง การจะช่วยงานอริยกิจ ธรรมกิจให้สำเร็จนั้น ก็ต้องอาศัยความพยายามของทุกคน อย่าได้ละทิ้งจิตเมตตากรุณาแต่จะต้องมีความใจกว้างอารีอารอบเป็นสำคัญ ปฏิบัติต่อศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อตนเอง ในสายตามีแต่ความเมตตามองทุกคนเป็นดั่งญาติมิตร
ผู้ที่เป็นนักธรรมอาวุโสก็จะต้องมีเป้าหมายแนวทางและทัศนคติความคิดความอ่านที่ชัดเจนถูกต้อง เพื่อนำพานักธรรมผู้น้อยทั้งหลายได้ ส่วนผู้ที่เป็นนักธรรมผู้น้อยก็ต้องเข้าใจถึงความลำบากเหนื่อยยากกายใจของนักธรรมอาวุโสตลอดเวลา จะต้องร่วมช่วยงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ อาณาจักรธรรมจึงจะเจริญรุดหน้าได้
เบื้องบนไม่หลอกลวงคนเรา มีแต่คนเราที่หลอกลวงเบื้องบน การขัดเกลาลงโทษทุก ๆ อย่าง ในสามด่านเก้าทวารนั้นเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานจริง ๆ จึงหวังว่าศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายจะได้รอบคอบระวังกัน และต้องปฏิบัติบำเพ็ญให้ดี ๆ ด้วย
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน
ถือศีลเจได้ไม่บริสุทธิ์พลาดต่อวาระโอกาสของตน ( เฉาหมิงหวง ถันจู่ )
บำเพ็ญธรรม อย่าได้ลืมระเบียบข้อห้ามศีลวินัย อย่าได้ใส่ร้ายทำลายมหาธรรม เพราะมันจะย้อนมาที่ตัวเอง ข้าพเจ้า"เฉาหมิงหวง" ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน วันนี้จึงมีโอกาสมาปรากฏกายที่พุทธสถานแห่งนี้ บำเพ็ญธรรมจะต้องรู้ถูกผิดดีชั่วจะต้องรักษาศีลวินัยให้เคร่งครัด ถ้าต้องการตอบแทนพระคุณฟ้าดิน หรือต้องการหลุดพ้นกลับคืนสู่พระนิพพานก็จะต้องตั้งกำหนดตั้งปณิธาน อย่าได้แค่มีชื่อปลอม ๆ อย่างข้าพเจ้าผิดต่อเจตนาของเบื้องบน
ตอนอายุ ๓๕ ปี ข้าพเจ้าได้ตามภรรยาไปรับวิถีธรรม พออายุได้ ๓๘ ปี ก็ตั้งพุทธสถานที่บ้าน พวกเราสองคนสามีภรรยาศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม แต่งานที่ข้าพเจ้าทำเป็นงานหยาบใช้แรงงาน อยู่นอกบ้านจะกินเจก็ไม่สะดวก
ข้าพเจ้ามักจะพูดต่อหน้าโต๊ะพระเสมอ ๆ ว่า " ข้าพเจ้าหมิงหวง วันนี้ต้องทำงานหยาบ อยู่ที่บ้านจะกินเจ แต่เมื่ออยู่นอกบ้านขอกินชอ ( อาหารคาว ) อย่างคนอื่นเขา ขอพระแม่องค์ธรรมอย่าได้ถือ " ข้าพเจ้าให้อภัยตนเองอย่างนี้เสมอ ๆ เมื่อนักธรรมอาวุโสถามข้าพเจ้าว่า กินเจบริสุทธิ์หรือเปล่า ข้าพเจ้าก็ตอบว่า "อยู่ที่บ้านก็กินแต่อาหารเจ " แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบไปว่า เวลาอยู่นอกบ้านก็กินชอกับคนอื่น ตนเองอภัยผ่อนปรนกับตนเอง ไม่ปฏิบัติตามพุทธระเบียบ ไม่รักษาศีลวินัย และยังหลอกลวงตนเองอีกด้วย
เพราะข้าพเจ้าต้องทำงาน ถ้ากินเจก็กลัวว่าพวกที่ทำงานด้วยกันจะหัวเราะเยาะเย้ยเอา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกินชอกับพวกเขา เพียงแต่ไม่ได้กินถูกเนื้อสัตว์ แต่น้ำแกงที่ดื่มก็เป็นน้ำแกงเนื้อหมู ภรรยาของข้าพเจ้าก็เสียใจเป็นทุกข์กับสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ เธอพูดว่า "หมิงหวงเอ๋ย ! เธอกับฉันตั้งปณิธานกินเจวันเดียวกันแต่เธอทำอย่างนี้ จะกลับคืนเบื้องบนได้หรือ ?" ข้าพเจ้าก็พูดไปว่า "ต้องกลับคืนเบื้องบนได้อยู่แล้ว ฉันคิดว่าพอแก่ตัวแล้วค่อยมาทำให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง แต่ตอนนี้ยังต้องทำงานอยู่ภาวะการเงินที่บ้านก็ยังไม่ค่อยดีนัก ออกไปทำงานนอกบ้านก็ต้องใช้แรงงาน อย่างนี้เบื้องบนก็ไม่ถือสาหรอก " ด้วยเหตุอย่างนี้เลยให้อภัยกับตนเองมาตลอด ใครจะรู้ว่า บุญกับบาป ทุกอย่างนั้นเบื้องบนจดบันทึกไว้ชัดเจน
ตอนที่อายุได้ ๖๕ ปี ข้าพเจ้าเป็นอัมพาต ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ในตอนนี้จึงเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าพูดว่า " ฉันอายุยังไม่ถึง ๗๐ ปี รอจนอายุ ๗๐ ปีก่อน แล้วจะกินเจอย่างบริสุทธิ์ " ใครจะไปคิดว่าข้าพเจ้าเป็นอัมพาตเอาตอนที่อายุ ๖๕ ปีและก็ด้วยความเจ็บปวดครั้งนั้จึงละกายสังขาร วิญญาณจึงไปยังนรก ยังดีที่เบื้องบนเมตตาสงสารในนรกไม่มีชื่อของข้าพเจ้าอยู่แล้ว จึงได้นำพาวิญญาณของข้าพเจ้า ไปพิจารณาคดีที่สามด่านเก้าทวาร ข้าพเจ้าจำไตรรัตน์แก้วสามประการได้ทุกข้อ ใครคืออาจารย์แนะนำ และอาจารย์รับรองให้รับวิถีธรรม ข้าพเจ้าก็จำได้ขึ้นใจ ทั้งสามด่านนั้นต้องผ่านการทดสอบทีละด่าน ๆ ภายในสามด่านเก้าทวารนั้น ด้วยเหตุตอนที่มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้ารักษาศีลเจได้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าพลาดไปอีกนิดเดียว ก็คงต้องไปอยู่ที่คุกสวรรค์ เบื้องบนสงสารที่ข้าพเจ้า เป็นคนซื่อ ๆ ไม่มีเจตนากินชอ (อาหารคาว) แต่ว่าหลอกลวงตัวเองอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์คำใหญ่ ๆ กินแค่ผักข้างเนื้อ สองปีมานี้ที่ต้องทำงานนอกบ้าน ก็กินผักข้างเนื้อนี่แหละ เมื่ออยู่ที่บ้านจึงกินเจ ทุก ๆวันจะกินเจสองมื้อ กินชออีกหนึ่งมื้อ แต่เรื่องอย่างนี้เบื้องบนก็บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าคิดว่าที่ทำเช่นนี้คงไม่เป็นอะไร เมื่อไปเข้าชั้นประชุมธรรมที่พุทธสถาน พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงก็ไม่ได้พูดว่าอะไรข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงคิดเอาว่าทำอย่างนี้คงจะได้ เบื้องบนได้เตือนสติข้าพเจ้าตั้งนานแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่รู้เอง คิดเพียงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดตรง ๆ กับข้าพเจ้า อย่างนี้คงไม่เป็นไรหรอก ภรรยาของข้าพเจ้ายังคงส่งเสริมข้าพเจ้ายังคงตักเตือนข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็บอกกับเธอไปว่า "ไม่มีแรงแล้วจะทำงานได้อย่างไร ใครหาเงินมาเลี้ยงดูเธอล่ะ เธอต้องคิดสิว่า ที่ฉันให้เธออยู่กับบ้าน จะได้ปฏิบัติธรรมอย่างสะดวกดีแล้ว"
ข้าพเจ้ามีชื่อว่าเป็นถันจู่คนหนึ่ง เวลาที่นักธรรมอาวุโสให้ข้าพเจ้ากลับไปประชุมหารือกันที่พุทธสถาน ถึงมีคำถามมา แต่ข้าพเจ้า ก็ไม่รู้ไม่ตอบเสียอย่างนั้น นั่งฟังไปก็หลับไป แต่ละคนก็บอกว่าข้าพเจ้าเป็นคนซื่อ ๆ คงไม่มีความคิดความเห็นอะไร พอกลับถึงบ้าน ภรรยาก็ถามว่าวันนี้ประชุมถันจู่ได้ความว่าอะไรบ้าง ข้าพเจ้าก็จะตอบแต่ว่าไม่รู้ๆ ข้าพเจ้าลบหลู่นักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้าพูดว่า "โธ่เอ๋ย ! แต่ละคนยังเด็ก ๆ กันอยู่เลย พวกเขาจะทำอะไรกันเป็น ฉันก็เลยหลับของฉันไปตามเรื่อง" ข้าพเจ้าลบหลู่พวกท่านเหล่านั้น ตัวเองไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนา กินชอด้วย และลบหลู่นักธรรมอาวุโสด้วย จากผิดบาปเหล่านี้ ถ้าพลาดไปอีกนิดเดียว ก็จะถูกจับไปอยู่ที่คุกสวรรค์แล้ว แต่ยังโชคดีที่เบื้องบนเมตตาสงสาร ในปีที่ข้าพเจ้าละกายสังขารนั้น เป็นเพราะมีเงินเก็บสะสมอยู่บ้าง ภรรยาของข้าพเจ้าจึงนำเงินสองแสนเหรียญสร้างบุญให้กับข้าพเจ้า โดยนำไปร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะอุทิศบุญกุศลให้กับข้าพเจ้า เป็นการชดเชยโปะเสริมกับความผิดพลาดผิดบาปที่ข้าพเจ้าทำ
ดังนั้นเบื้องบนจึงเมตตาให้ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญขัดเกลาอยู่ที่ "สถานบำเพ็ญขัดเกลา" บำเพ็ญขัดเกลาจิตญาณของข้าพเจ้า ให้มีแต่ความเบาใส ไม่มีความหนักขุ่น อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะข้าพเจ้าไม่เคารพนักธรรมอาวุโส ไม่รักษาพุทธระเบียบเลิกงานกลับมาถึงพุทธสถานที่บ้าน ถ้าเป็นเวลาถวายธูปเย็นพอดี ภรรยาก็จะเรียกให้ข้าพเจ้ามากราบไหว้ด้วยกัน ข้าพเจ้าก็จะตอบไปว่า "ยุ่งเหลือเกิน ทำงานมาเหนื่อย ๆ อยู่ ท้องหิวแล้วขอกินก่อนก็แล้วกัน" ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า บุญกับบาป นั้นจดบันทึกเอาไว้ชัดเจน เมื่อไปถึงสามด่านเก้าทวาร จึงต้องถูกตรวจสอบทุกประการ จึงพึ่งได้รู้ว่า ข้าพเจ้าผิดพลาดทุกสิ่งอย่าง พลาดวาระบุญที่มี และยังผิดพลาดต่อภาระหน้าที่ของฟ้าด้วย
แต่ข้าพเจ้าก็มีข้อดีอยู่บ้าง หากสิ่งไหนที่ข้าพเจ้าทำได้ ข้าพเจ้าจะอุทิศบริจาคให้ เวลาที่ภรรยาทำบุญ ข้าพเจ้าไม่เคยที่จะคิดเสียดายหรือคิดเล็กคิดน้อยหยุมหยิม มีก็แต่ว่าข้าพเจ้าศีลเจไม่บริสุทธิ์ ลบหลู่นักธรรมอาวุโส และไม่รักษาพุทธระเบียบทั้งสามประการนี้ก็เพียงพอที่จะให้ข้าพเจ้ารับการลงโทษแล้ว
ข้าพเจ้าบำเพ็ญขัดเกลาอยู่ที่สถานบำบัดขัดเกลา ในวันนี้ได้รับความเมตตาจากเบื้องบน และพระอาจารย์จี้กงได้เมตตานำพาข้าพเจ้ามาถึงพุทธสถานแห่งนี้ ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสบอกเล่าทุกสิ่งอย่างให้ได้ฟังกันอย่างชัดเจน
ขอให้ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ได้ช่วยกันเผยแพร่บอกกล่าวเรื่องราวของข้าพเจ้า ให้รับรู้กันทั่วด้วย
เพื่อให้ศิษย์พี่น้องชายหญิงที่กำลังบำเพ็ญกันอยู่ ได้เข้าใจ
คนที่ต้องทำงานใช้แรงงานอยู่ จะได้ไม่คิดว่ากินเจแล้วไม่มีคุณค่าสารอาหารหรือร่างกายจะไม่มีเรี่ยวแรง แล้วจึงให้อภัยตนเอง
และหวังเอาเองว่าเบื้องบนจะไม่ถือสาเรา
อย่าลืมว่าเบื้องบนไม่มองที่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เบื้องบนไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
มีแต่พิจารณาที่บุญกุศลเท่านั้น
มีแต่บุญกุศลจึงจะสามารถช่วยเหลือเราได้
ในวันนี้ข้าพเจ้าได้บอกเล่าอย่างชัดเจนแล้ว หวังว่าศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายจะได้เข้าใจกัน
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน
เก็บสถานธรรมเลิกราเสียก่อน ผิดบาปที่มียากให้อภัย ( หงไฉ่ลี่ เจี่ยงซือ )
ข้าพเจ้า "" หงไฉ่ลี่ "" ละกายสังขารเมื่ออายุ ๖๒ ปี รับวิถีธรรมเมื่ออายุ ๑๒ ปี ตั้งพุทธสถานในครัวเรือนเมื่ออายุ ๓๒ ปีพออายุ ๓๗ ปี ได้เป็นเจี่ยงเอวี๋ยนผู้ฝึกหัดบรรยาย เป็นเจี่ยงซืออาจารย์บรรยายธรมมเมื่ออายุ ๔๐ ปี อายุ ๖๒ ปี จึงละกายสังขาร
ได้ตั้งพุทธสถานในครัวเรือนเป็นเวลา ๙ ปีแล้ว จำได้ว่าตอนที่มีอายุ ๔๗ ปี ได้ติดตามนักธรรมอาวุโสไปปฏิบัติแพร่ธรรมขับรถจักรยานยนต์แล้วถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเข้า ถูกชนอย่างน่าเวทนามาก เตี่ยนฉวนซือที่ไปด้วยกันแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ใบหน้าของข้าพเจ้าเองจึงมีร่องรอยของแผลเป็นใหญ่ ขาขาดใช้การไม่ได้ อยู่ที่โรงพยาบาลเยียวยารักษาอยู่ปีกว่า แต่ใบหน้าก็ไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนก่อนได้ ยังคงมีแผลเป็นใหญ่อยู่ เวลาเดินก็ไม่สะดวก ในใจก็คิดว่า ข้าพเจ้าเองก็มีศรัทธาขนาดนี้ ปฏิบัติแพร่ธรรมเพื่อเบื้องบน เดินทางไปทั่วสารทิศ แต่กลับต้องมาประสพเหตุการณ์นี้ ใบหน้าต้องมีแผลเป็นขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงหายหน้าหายตาไป ไม่กล้าไปบรรยายธรรม ไม่ว่านักธรรมอาวุโสจะบอกเตือนขนาดไหน ข้าพเจ้าก็ได้แต่หลบเลี่ยงเพราะว่าทั้งมือทั้งเท้ายังใช้การไม่ได้คล่องจึงไม่กล้าเจอะเจอเผชิญหน้ากับผู้อื่น นักธรรมอาวุโสก็กระวนกระวายใจต่อเรื่องนี้มาก พวกท่านกลัวว่าจะเป็นการทดสอบจนบุคคลากรคนหนึ่งอย่างข้าพเจ้าร่วงหลุดไป จึงได้สอบถามสืบข่าวข้าพเจ้าจากคนอื่น
ในการประชุมธรรมครั้งหนึ่ง พระบรรพพุทธาแห่งทะเลใต้ พระโพธิสัตว์กวนอิม ได้เมตตาประท้บทรง เตี่ยนฉวนซือจึงขอให้พระองค์โปรดเมตตา โดยได้ถามพระองค์ถึงเหตุต้นผลกรรมของข้าพเจ้า "" ได้ถามว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ได้ ""
พระองค์ได้กล่าวว่า "" นั่นเป็นเพราะมีอยู่สองชาติได้เกิดเป็นคนอเมริกัน เที่ยวรังแกระรานคนอื่นไปทั่ว ฆ่าคนตายไปไม่น้อย แต่ในยุคท้ายปลายกัปนี้ก็ยังโชคดีที่ได้เกิดกายเป็นคน และเกิดในเกาะวิเศษไต้หวันด้วยจึงได้รับรู้มหาธรรม จึงจะลบล้างมลายหนี้เวรกรรมจากชาติก่อน ๆ หน้าได้ ""
เบื้องบนจึงได้เมตตาให้เกิดเหตุรถชนกันในครั้งนี้ เพื่อให้หนี้เวรกรรมสามชาติของข้าพเจ้าได้มลายหมดสิ้นในคราวเดียวจึงทำให้เสียโฉม จึงมาเอาขาของข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจึงพิการขาขาดหนึ่งข้าง และไม่กล้าที่จะเดินไปยังที่ไหน ๆ รวมทั้งไม่กล้าไปบรรยายธรรมด้วย จากนั้นเป็นต้นมาจึงสูญเสียความมั่นใจในตนเอง ผิดต่อปณิธานใหญ่ที่ตั้งเอาไว้ ทุก ๆ วัน ก็จะเก็บตัวอยู่ที่บ้าน ดูแลจัดการเรื่องทางโลก และเลี้ยงดูลูก ๆ เท่านั้น เมื่อสามีเห็นข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้จึงทุกข์ใจเศร้าใจเป็นอย่างมาก ด้วยว่าทำไมจึงเกิดเหตุร้ายนี้ขึ้นกับข้าพเจ้า ทั้ง ๆ ที่ที่บ้านก็ตั้งพุทธสถาน และข้าพเจ้าเองก็ยังไปบรรยายธรรมทุกแห่งหน เขาจึงได้สูญสิ้นศรัทธาที่เคยมีต่อเบื้องบนและวงการธรรม กลายเป็นคนท้อแท้ ข้าพเจ้าเองก็เป็นไปตามสามีด้วย ข้าพเจ้าไม่กล้าไปเจอะเจอกับญาติธรรมทั้งหลาย เมื่อผ่านไปนานวันเข้า พุทธสถานกลายเป็นนาน ๆ จึงจะทำความสะอาดสักครั้ง และก็ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเท่าไรนัก รวมทั้งนาน ๆ ครั้งจึงจะถ่ายทอดธรรมสักครั้งหนึ่ง
มีเตี่ยนฉวนซือมาที่บ้านของข้าพเจ้า สามีของข้าพเจ้าจึงพูดไปด้วยอารมณ์โมโหว่า "" ภรรยาของฉันจะไม่กราบไหว้อีกแล้ว จะไม่เอาพุทธสถานแล้ว พวกคุณมาเก็บกลับไปเสียเถอะ "" เตี่ยนฉวนซือก็ได้ส่งเสริมให้กำลังใจหลายครั้งหลายคำ แต่สามีของข้าพเจ้าก็ไม่ยอมรับฟังคำพูดเหล่านั้น เป็นเพราะข้าพเจ้าเดินเหินไม่สะดวก แล้วยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจการกระทำของสามีข้าพเจ้าเช่นนี้ ทำให้เตี่ยนฉวนซือกลัวว่าจะทำให้สามีของข้าพเจ้าหลุดร่วงไปอีกคน เพราะเขาเป็นคนนิสัยแข็งกร้าว ระเบิดอารมณ์บ่อย ๆ ถึงบอกถึงเตือนก็ไม่รับฟัง ทำได้แต่เพียง "" เก็บพุทธสถาน "" จะได้ไม่ต้องรบกวนให้พระแม่องค์ธรรมประทับอยู่ ณ ที่นั้น จะได้ไม่ต้องรบกวนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และศิษย์พี่องค์ประธานคุมสอบสามโลกต้องมาตรวจตราชั้นประชุมเสมอ ๆ เสียแรงที่ข้าพเจ้ารับวิถีธรรมตั้งแต่แรก ๆ ไปปฏิบัติแพร่ธรรมฉุดช่วยผู้คนทุกหนแห่ง แค่วันนี้วันเดียวก็ทำลายไปเสียหมดสิ้น ข้าพเจ้าละกายสังขารเมื่ออายุ ๖๒ ปี ถึงแม้ว่าจะรักษาปณิธานกินเจได้ตลอด แต่การเก็บพุทธสถานนั้น ผิดบาปยากที่จะให้อภัย พระอาจารย์เมตตานำพาข้าพเจ้าไปยัง "" ด่านจื่อหยัง "" และ "" ด่านจิ่วหยังกวน "" เพื่อให้บำเพ็ญขัดเกลาให้ดีเพื่อกำจัดใจโลกีย์ทิ้งไปให้ได้ แล้วจึงค่อยไปยัง "" สถานบำเพ็ญขัดเกลา "" ข้าพเจ้าบำเพ็ญขัดเกลาอยู่หลายปี จึงปรากฏจิตเมตตากรุณาขึ้น ดังนั้นใคร "" ที่ตั้งพุทธสถานแล้ว "" เก็บไปไม่กราบไหว้อีกแล้วนั้น บาปหนักมาก จึงต้องสำนึกขอขมาด้วยความจริงใจให้ดี ๆ
ขอให้เตี่ยนฉวนซือเมตตาสงสาร ขอให้พระอาจารย์เมตตา เพื่อให้ข้าพเจ้าได้ออกมาช่วยงานธรรมในเร็ววัน ขัาพเจ้ารู้ว่าผิดพลาดไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันสายเกินการณ์ ข้าพเจ้าขอเตือนเจี่ยงซือ ถันจู่ ทั้งหลายว่า เมื่อเบื้องบนเมตตาปัดเป่าช่วยเหลือให้พวกเราได้ลบล้างมลายบาปหนี้เวรกรรมจากหลาย ๆ ชาติก่อนแล้ว พวกเราจะต้องสำนึกขอบพระคุณของเบื้องบนและบารมีคุณพระอาจารย์ แม้ว่าตัวเราเองอาจจะต้องสูญเสียแขน ขา หรือมีแผลเป็น ใหญ่บนใบหน้า ก็อย่าได้โทษฟ้า ด่าคน แต่ยิ่งจะต้องศรัทธาจริงใจ เพื่อตอบแทนในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของเบื้องบน และยังคงต้องออกมา สร้างบุญสะสมคุณธรรมอีก ยกระดับความเชื่อมั่นศรัทธา ก้าวเดินไปในมหาธรรมสว่างไสวนี้ต่อเนื่องไป อย่าได้เป็นเหมือนกับข้าพเจ้า ที่เมื่อประสบกับเหตุร้ายครั้งนั้นแล้วก็ไม่กล้าที่จะออกมาช่วยงานธรรมะอีก ในวันนี้เตี่ยนฉวนซือเมตตาให้ข้าพเจ้าได้พูดออกมา ข้าพเจ้าจึงได้บอกเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อเตือนใจให้ทุกท่านได้ฟังกัน
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ
เมื่อมีความคิดผิดพลาดคลาดเคลื่อน ความดีที่ทำมาก็สูญเปล่า ( เซียวเจิ้นเฉิง เตี่ยนฉวนซือ )
ข้าพเจ้าคือ "" เซียวเจิ้นเฉิง "" ผู้มาจากห้อง """ สำนึกขอขมา """ ในนรกภูมิ เป็นคนเมืองกุ้ยหยัง หูหนัน ขอบพระคุณพระอาจารย์ที่เมตตา และขอบพระคุณขุนพลพิทักษ์ตำหนักธรรมที่เมตตา นำพาข้าพเจ้ามายังพุทธสถานแห่งนี้ได้มีโอกาสผูกบุญสัมพันธ์ร่วมกับเมธีทั้งหลาย ในใจรู้สึกประหวั่นครั่นคร้ามอยู่ไม่น้อย
ข้าพเจ้าเป็นผู้ศึกษาธรรมที่บำเพ็ญพรหมจรรย์ ตอนอายุได้ ๒๗ ปีได้รับความเมตตานำพาของนักธรรมอาวุโส จึงได้ร่วมปฏิบัติงานแพร่ธรรม ฉุดช่วยคนเดิมให้ได้ขึ้นฝั่งธรรม และได้รับความเมตตายกระดับจากนักธรรมอาวุโส จึงได้แบกรับภาระเป็นเตี่ยนฉวนซือจากนั้นมา ข้าพเจ้าได้นำข่าวประเสริฐนี้เผยแพร่ไปทั่วทุกคาบสมุทรเสาะหาผู้มีบุญสัมพันธ์ ได้เข้าร่วมช่วยงานใหญ่ในการฉุดช่วยอย่างกว้างขวาง และการเก็บงานพร้อมสมบูรณ์ของพระอาจารย์ ในตอนนั้นมีนักธรรมผู้น้อยมากมายได้ติดตามอยู่ข้างกายข้าพเจ้า ในช่วงแรกข้าพเจ้าอาศัยความรักความอดทนในการนำพานักธรรมผู้น้อย ใครจะไปรู้ว่าเมื่ออาณาจักรธรรมรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว คนก็ค่อย ๆ วุ่นวายสับสนกันขึ้น ดังนั้นจึงไม่อาจทำให้ทุก ๆ เรื่องกลมกลืนสมบูรณ์ได้ และถูกนักธรรมอาวุโสตำหนิติเตียนเอาว่า ทำไมจึงไม่เป็นแบบอย่างอันดีงามให้ผู้อ่านได้ดู ? ทำไมจึงไม่สามารถนำพานักธรรมผู้น้อยให้มาร่วมกนปฏิบัติงานธรรมะได้ และยังหน่วงเหนี่ยวโอกาสสร้างบุญเจริญปณิธานของนักธรรมผู้น้อย ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดไม่ตก อารมณ์จึงไม่สงบความคิดจึงไม่ราบรื่น และยังตำหนิติโทษบุญคุณของนักธรรมอาวุโสด้วย
เฉียนเหยินบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโอหังอวดดีอย่างมาก ไม่เคารพอาจารย์เทิดทูนงานธรรม ไม่รักษาพุทธระเบียบ และเมื่ออยู่ต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าญาติธรรม ก็ได้หยิบยกความผิดของข้าพเจ้าขึ้นมากล่าวอ้าง จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียหน้า เมื่อกลับถึงบ้านก็คิดมากวุ่นวายใจหรือว่าการที่ข้าพเจ้าอุทิศทุ่มเทอย่างยากลำบากให้อาณาจักรธรรม บริจาคทรัพย์สินละทิ้งบิดามารดา ทั้งยังมอบกายเนื้อตัวนี้ให้กับอาณาจักรธรรม หรือว่าความทุ่มเทเสียสละของข้าพเจ้า นักธรรมอาวุโสจะไม่เข้าใจจะไม่รับรู้บ้างเชียวหรือ ในตอนนั้นอารมณ์จึงไม่สงบ จึงชักนำมารจากภายนอกเข้าประชิดตัว ทำให้ปัญญาไม่อาจปารกฏออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงโมโหอยู่ในใจ ไม่คิดที่จะอยู่ในอาณาจักรธรรมอีกต่อไป จากนั้นมาจึงร่วงหล่นถดถอยอย่างฮวบฮาบทำตัวเหมือนกับคนทางโลกไม่มีผิดเพี้ยน ข้าพเจ้าทำผิดต่อปณิธานของตนเองโดยได้แต่งงานมีครอบครัวไป จึงไม่ได้กลับไปเจริญปณิธานของตนที่อาณาจักรธรรมอีก
เวลาผ่านไปจนถึงปีสาธารณรัฐ ( หมินกั๋ว ) ที่ ๓๗ ( ค. ศ.๑๙๔๘ ) พระอาจารย์จึงมาปรากฏกายเมตตาชี้แนะข้าพเจ้าในความฝัน พระองค์ต้องการให้ข้าพเจ้าเริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่อีกครั้ง ให้แก้ไขความผิดพลาดให้เป็นความถูกต้อง ( แก้ชั่วเป็นดี ) เบื้องบนย่อมให้อภัยกับผู้ที่รู้สำนึกผิด โดยเฉพาะคือ พระแม่องค์ธรรม ทรงรักใคร่เอ็นดูพุทธบุตรชาย หญิง ที่อยู่ในโลกโลกีย์แต่ความยโสโอหังของข้าพเจ้ายังคงมีอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลง และยากที่จะถ่อมใจสำนึกขอขมาต่อเบื้องบนอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะกลับไปสร้างบุญมลายบาปที่อาณาจักรธรรมอีกเลย ด้วยเหตุนี้ พอถึงปีสารณรัฐที่ ๓๘ ( ค.ศ.๑๙๔๙ ) เป็นปีที่ข้าพเจ้าอายุได้ ๕๓ ปี จึงต้องละกายสังขารไป
ในขณะที่วิญญาณแยกออกจากร่างกายอยู่นั้น ก็คิดว่าอย่างไรเสียพระอาจารย์คงจะมาพาวิญญาณของข้าพเจ้า กลับคืนสู่เบื้องบนแน่ ๆ ใครจะไปคิดว่าที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเป็นความดำมืด รอแล้ว รออีก รออย่างไรพระอาจารย์ไม่มาเสียที กลับถูกยมทูตขาวดำมานำพาไปยังนรกภูมิแทน เมื่อคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพญายมราช ข้าพเจ้าจึงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองแต่ก็สายเกินกาลไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่มีกายสังขารอีกแล้ว ถึงอยากจะสร้างบุญเจริญปณิธานก็ทำไม่ได้ ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ข้าพเจ้าละอายแกใจต่อพระมหากรุณาธิคุณของเบื้องบน ไม่มีหน้าที่จะไปพบพระแม่องค์ธรรมได้อีก ข้าพเจ้าร้องไห้เสียใจอยู่ต่อหน้าพญายมราช ขอให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นิรโทษผ่อนผัน แต่พระองค์กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ทำร้ายทำลายชื่อเสียงของอนุตตรธรรมจิตใจของตนเองก็ไม่ได้บำเพ็ญให้ดี เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะบรรลุธรรมกลับคืนสู่เบื้องบนได้อย่างไร บาปเวรเช่นนี้ยากที่จะนิรโทษผ่อนผันให้ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตาม อำนาจ อาณิตของเบื้องบนว่าจะจัดการให้เป็นไปอย่างไร ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าต้องไปอยู่ที่ "" สถานสดับคัมภีร์ "" ใน "" ห้องสำนึกขอขมา "" ต้องรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่เก็บงานพร้อมสมบูรณ์ ก็จะถูก""ตีเป็นเศษวิญญาณ..... ในใจของข้าพเจ้ารู้สึกผิดต่อพระคุณเป็นล้นพ้นของเบื้องบนมาก ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่มีหน้าไปพบพระแม่องค์ธรรม แต่ก็ขอให้เฉียนเหยินช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย ขอให้พระอาจารย์เมตตานิรโทษกรรมให้ข้าพเจ้า
การจะกลับสู่เบื้องบนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว เพียงขอให้สามารถเข้าสู่สถานสดับคัมภีร์ เพื่อบำเพ็ญขัดเกลาก็พอ ให้ได้แอบแฝงช่วยงานธรรมได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ได้ข้าพเจ้าก็พอใจเป็นอย่่างยิ่งแล้วล่ะ พระอาจารย์กล่าวว่า ปณิธานนี้เป็นสิ่งที่ข้าเพจ้าตั้งเอง ผิดบาปนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าก่อเอง เหตุผลยากตัดขาดได้ ทุกสิ่งอย่างต้องเป็นไปตามหลักของฟ้าและพุทธระเบียบ พระอาจารยย์ไม่อาจเป็นผู้ตัดสินใจจัดการให้ได้ ขอเพียงแต่ให้ข้าพเจ้าสำนึกขอขมาด้วยความจริงใจอยู่ในห้องสำนึกขอขมา และรอคอยเวลาทุกสิ่งอย่างให้เบื้องบนเมตตาจัดการก็แล้วกัน ตอนยังมีชีวิตอยู่ความไม่พออกพอใจมีอยู่มาก ไม่อาจสงบจิตสงบใจให้เป็นปกติได้ จึงยากที่จะสำแดงความดีงามออกมา ถึงตอนนี้จึงยากที่จะเงยหน้าขึ้นได้ ( ละอายใจจนต้องก้มหน้าสำนึก ) จึงทำให้ข้าพเจ้าต้องร้องไห้น้ำตาหลั่งรินชุ่มอก ได้แต่วิงวอนขอร้องพระอาจารย์ด้วยความทุกข์ยากให้พิจารณาผิดบาปของข้าพเจ้าเป็นข้อ ๆ ด้วยขอเพียงแต่ช่วยให้ข้าพเจ้าหลีกห่างจากนรกภูมิไปได้ ขอเพียงไม่ถูก "" ตีเป็นเศษวิญญาณ"" แค่นี้ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว ขอเพียงแต่ได้ตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของเบื้องบน ถึงจะลำบากกว่านี้ข้าพเจ้าก็ยอมรับ
ภาระหน้าที่ที่พระอาจารย์ของพวกเราแบกรับนั้น ก็คือ ฉุดช่วยคนเดิมในสามโลกอย่างกว้างขวาง ตอนอยู่บนโลกได้รับวิถีธรรมแต่ผู้บำเพ็ญที่เมื่อตายแล้ว ตัองมาอยู่ที่นรกภูมินั้นมีมากเหลือเกิน นั่นเป็นเพราะการบำเพ็ญปฏิบัติในขณะมีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ได้นำอริยธรรมมาดำเนินกระทำตาม จึงได้สร้างความผิดบาปมากมาย แม้จะใช้คำพูดมากขนาดไหน ก็ไม่สามารถนำความในใจบอกเล่าออกมาได้หมดสิ้น เพียงขอให้เฉียนเหยินเมตตา เพียงขอให้พระอาจารย์เมตตา ได้ให้วิญญาณพี่น้องทั้งหลายในนรกภูมิมีโอกาสช่วยงานธรรมอย่างเงียบ ๆ
ให้วิญญาณเหล่านั้นได้สร้างบุญกุศลสักเล็กน้อยในยุคท้ายปลายกัปนี้ด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนและบารมีคุณพระอาจารย์ ขอให้เบื้องบนนิรโทษผ่อนผัน อย่าได้ไร้เยื่อใยแล้วตีให้ข้าพเจ้าเป็นเศษวิญญาณเลย หวังว่าเมธีทั้งหลายสามารถบำเพ็ญปากได้ สามารถบ่มเพาะคุณธรรมบารมีได้ อย่าได้มีใจไม่หนักแน่น เส้นทางเดินของผู้บำเพ็ญนั้นไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาฟ้าได้เลย เพราะสายตาของฟ้านั้นเห็นอย่างแจ่มชัด อย่าได้บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็น อย่าได้คิดว่าสายตาคนมองไม่เห็นแล้วจะไม่มีอยู่ ทุกสิ่งอย่างต้องอาศัยจิตใจอันดีงามแสดงต่อเบื้องบน อย่าได้เป็นดั่งเช่นข้าพเจ้าในตอนเริ่มต้นที่ได้แต่โทษว่าเฉียนเหยินไม่ได้ใช้ความรักมาเป็นห่วงเป็นใย ข้าพเจ้าไม่อาจตระหนักถึงความลำบากใจของนักธรรมอาวุโส ทุกคนจะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างอันดีงาม บำเพ็ญความประพฤติให้ดี ๆ ถ้าเป็นนักธรรมอาวุโสก็จะต้องกล้าหาญในการเป็นผู้นำ อย่าเห็นว่าเมื่อประสบกับเรื่องอะไรแล้ว ก็มีคำตัดพ้อโทษโพยเกิดขึ้น
ในวันนี้เมธีทั้งหลายมีใจที่จะร่วมงานปรกโปรดสามโลก วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณดีที่อยู่ในนรกภูมิ ต่างคาดหวังว่าจะได้เห็นแสงสว่างกันอีกครั้ง ดังนั้นนหวังว่าเมธีทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้จะได้ติดตามบำเพ็ญปฏิบัติธรรมกับนักธรรมอาวุโสให้ดี ๆ กันทุกท่าน ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายในที่นี้ รู้สึกแปลกกันหรือไม่ว่า "" ทำไมข้าพเจ้าเป็นถึงเตี่ยนฉวนซือ รู้ว่าเป็นความผิดพลาด แต่ก็ได้ทำความผิดพลาดด้วย แต่ไม่ได้ถูกตีไปอยู่ที่นรกอเวจี ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระอาจารย์เมตตา เห็นว่าในช่วงที่ข้าพเจ้าอายุ ๒๗ ปี และได้แบกรับภาระเป็นเตี่ยนฉวนซือจนกระทั่งอายุ ๕๓ ปีนั้น ข้าพเจ้าได้ประกาสธรรมแทนฟ้าอย่างสุดกำลังกายใจ ได้ฉุดช่วยกล่อมเกลาคนเดิมมากมาย เบื้องบนจึงได้โอบอุ้มให้อภัย ในวันนี้ข้าพเจ้าจึงได้ไปอยู่ที่ห้องสำนึกขอขมา และยิ่งกว่านั้นคือ ได้มีโอกาสในครั้งนี้มาบอกเล่าเรื่องราวของตนเองให้ทุกท่านได้รับทราบ
เรื่องที่ได้บอกเล่าไปนั้นหวังว่าเมธีทั้งหลายจะเข้าใจได้ถ่องแท้ อย่าได้ดูถูกไม่เห็นความสำคัญของปณิธานที่ตนเองได้ตั้งไว้ และควรที่จะย้อนคิดพินิจตนอยู่เสมอ ๆ มีเพียงบำเพ็ญขัดเกลาอย่างจริงใจ จึงจะได้รับความช่วยเหลืออย่างแอบแฝงจากเบื้องบนได้ เพื่อสะดวกต่อการทำให้อาณาจักรธรรมเจริญรุ่งเรือง จึงขอให้นักธรรมอาวุโสทั้งหลายดูแลสุขภาพของตนเองด้วย
ผู้บำเพ็ญจะต้องประคอง "" ความเรียบง่าย"" ของท่านเหลาจื่อ และ """ กฏระเบียบ "" ของท่านขงจื่อ
อะไรคือความเรียบง่าย ? นั่นก็คือ ต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน หากว่าเจ้ากระทำได้ตามจริง ๆ ก็จะสามารถหลีกพ้นจากความทุกข์ในนรกภูมิได้
แล้วกฏระเบียบล่ะ ? นั่นคือ ต้องไม่เย่อหยิ่งไม่โลภอยาก ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คลางแคลง
หากเจ้าสามารถประคองรักษา "" ความเรียบง่าย "" และ "" กฏระเบียบ "" ได้เป็นอย่างดี
จิตญาณก็ย่อมกระจ่างสว่างใส
จึงจะนับได้ว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
พระโอวาทพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ
ผิดต่อปณิธานให้ร้ายธรรม ยากกลับคืนบ้านเดิมแดนนิพพาน ( หลี่หมิงเอี๋ยน ซันไฉ )
ข้าพเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญจากเมืองเทียนจิน ( เทียนสิน ) ชื่อ """ หลี่หมิงเอี๋ยน """ ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในสามคุณร่างทรง ข้าพเจ้าผิดต่อปณิธานและให้ร้ายธรรมะ ดูถูกดูแคลนพระโองการสวรรค์ และข้าพเจ้ายังแต่งงานถึงสองครั้ง ในขณะที่ยังไม่ได้ละกายสังขารนั้น จิตเดิมแท้ของข้าพเจ้าก็ได้ถูกกักขังแล้ว
ตอนนั้นข้าพเจ้ามีอายุ ๔๖ ปีแล้ว เพราะในอดีตข้าพเจ้าเป็นเซียนน้อยบนพระนิพพาน ตั้งปณิธานว่าจะลงมาช่วยงานธรรมครั้งใหญ่ รับหน้าที่เป็นสามคุณร่างทรง ตั้งใจที่จะช่วยงานปกโปรดสามโลก ใครจะคาดคิดว่า หลังจากที่พระอาจารย์ชายกลับคืนเบื้องบนไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ให้ร้ายธรรมะ ได้พูดกับใครต่อใครว่า """ พระโองการสวรรค์ และ สามคุณร่างทรง นั้นเป็นของปลอม """
จากนั้นจึงแต่งงานมีภรรยาสองคน ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ทำ คิดว่าทุกอย่างลัวนเป็นของปลอม มีเพียงการเสพสุขเท่านั้นที่เป็นของจริง คิดว่าถ้าไม่รักษาโอกาสตอนยังมีกายสังขารอยู่แล้วเสพสุขสักหน่อย จะให้รอถึงตอนไหน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ฟังและไม่เชื่อคำตักเตือนของนักธรรมอาวุโส ยังคงทำทุกอย่างที่อยากทำ
ข้าพเจ้าเองรับภาระหน้าที่เป็นสามคุณร่างทรง ( ในสมัยที่พระอาจารย์ชายยังมีชีวิตอยู่นั้น สามคุณร่างทรงจะเป็นผู้ชาย ) เมื่อข้าพเจ้าผิดต่อปณิธานแล้ว ก็รู้สึกมึน ๆ งง ๆ ความคิด ความอ่าน ไม่แจ่มชัด และรู้สึกว่าทั้งร่างกายนั้น แข็ง ๆ ชา ๆ เหมือนกับผีดิบ แต่เนื่องจากขัาพเจ้าไม่เชื่อเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จึงยิ่งเปลี่ยนเป็นร้ายแรงมากขึ้น แถมยังได้ภรรยาอีกคน รวมเป็นมีภรรยาสองคน
ในตอนนั้นอาณาจักรธรรมวุ่นวายมาก มีผู้คนมากมายกำลังแก่งแย่งอำนาจกันอยู่ ในวันนี้ที่ข้าพเจ้าได้มาปรากฏกายยังพุทธสถานแห่งนี้ นั่นก็เป็นเพราะเบื้องบนเมตตา ประทานอนุญาตพระอาจารย์ ไม่อาจอดใจรอได้อีก พระองค์เห็นว่าโอกาสไม่ควรที่จะลากออกไปอีก จึงได้ให้ข้าพเจ้ารับบัญชาติดตามศิษย์พี่เม่าเถียน ( องค์ประธานคุมสอบสามโลก ) มาปรากฏกาย ยังพุทธสถานแห่งนี้ เพื่อบอกเล่าถึงเหตุต้นที่ได้ก่อและผลกรรมที่ได้รับ จะได้เป็นข้อเตือนใจให้แก่ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายด้วย
มีผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์มากมายบนโลก ที่ได้ผิดต่อปณิธาน ดังนั้น"" จิตญาณเดิมจึงถูกกักขัง"" ในตอนนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มเจ็บป่วยและยังปวดจี๊ดเป็นพัก ๆ เมื่อละกายสังขารแล้วจึงทุกข์ทรมานมาก ตอนนี้ข้าพเจ้าถูกกักขังอยู่ที่ "" ขุมที่ ๗ "" เป็นเพราะพระอาจารย์เมตตาสงสารได้กล่าวว่า """ ข้าพเจ้าช่างโง่งมเหลือเกิน จึงได้ให้ศิษย์พี่เม่าเถียน นำพาข้าพเจ้ามาปรากฏกายยังพุทธสถานแห่งนี้ เพื่อบอกเตือนให้ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายได้ทราบว่า ในวาระท้ายปลายกัปนี้ เกณฑ์ของฟ้าได้กำหนดเอาไว้แล้ว มีผู้ผิดต่อปณิธานมากมาย จิตเดิมได้ถูกกักขังแล้ว มีผู้ที่ไม่เชื่อในพระโองการสวรรค์มากมาย จึงชักนำให้มารมาทำการทดสอบ นี่ก็เป็นความเกี่ยวพันจากเหตุต้นผลกรรมของหลาย ๆ ภพชาติก่อน
ข้าพเจ้าทำเองก็ต้องรับผลด้วยตนเอง เดิมทีเป็นถึงเซียนน้อยอยู่ที่พระนิพพาน ได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะลงมาช่วยเหลือปฏิบัติงานใหญ่ของสามโลก แต่หลังจากที่พระอาจารย์ชายได้กลับคืนเบื้องบนไป ก็เกิดการทดสอบครั้งใหญ่ในอาณาจักรธรรมเป็นเพราะตนเองไม่ได้ในสิ่งที่ใจคิดหวัง ไม่ได้รับความชื่นชมสรรเสริญจากผู้อื่น ในใจจึงกลวงโบ๋ว่างเปล่า จึงได้ให้ร้ายธรรม และผิดต่อปณิธานที่ตั้งเอาไว้
มีเฉียนเหยินที่แบกรับพระโองการสวรรค์มากมาย หลายท่านที่ถูกกักขังอยู่ที่คุกสวรรค์เช่นกัน ข้าพเจ้าเองก็ได้แต่สำนึกขมาขอให้พระอาจารย์เมตตา แต่พระอาจารย์ได้บอกว่า """ ข้าพเจ้าไม่อาจหลุดพ้นได้ จึงขอให้เตี่ยนฉวนซือในพระโองการสวรรค์ได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย ให้ข้าพเจ้าได้พ้นออกไปเกิดกายใหม่อีกครั้ง ข้าพเจ้าจะกระทำและบำเพ็ญให้ได้ดีอย่างแน่นอน หวังว่าสิ่งที่ได้พูดกับศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายผู้คนบนโลกและผู้บำเพ็ญ ในครั้งนี้จะเป็นข้อเตือนสติว่า """ ไม่ว่าจะผิดต่อปณิธาน บำเพ็ญพรหมจรรย์ หรือกินเจ ที่ได้ตั้งเอาไว้ ผลลงเอยย่อมเหมือนกัน """ เมื่อผิดต่อปณิธานแล้ว จิตเดิมก็ย่อมถูกกักขังแน่ ๆ แสงของจิตญาณย่อมไม่สามารถแปล่งออกมาได้ และยิ่งจะทำให้ลุ่มหลงถลำลึกลงไปอีก
""" จิตญาณทั้งสามส่วนนั้น หนึ่งในสามจะถูกกักขังไว้ที่เบื้องบน อีกสองในสามจะถูกกำหนดให้อยู่ในนรกภูมิ """ เดิมทีไม่อาจเปิดเผย ได้แต่เป็นเพราะกาลเวลาคับขันกระชั้นชิด และผู้บำเพ็ญก็ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงหวังว่าศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายหากได้ผิดต่อปณิธานไป จงเร่งรีบกลับตัวกลับใจเสียใหม่ รู้สำนึกขอขมาจริงต่อหน้าเบื้องพระแท่นบูชาแห่งพระแม่องค์ธรรมเสีย เร่งรีบโปะเหิมปณิธานที่ขาดพร่องไปให้สมบูรณ์และสร้างบุญสร้างกุศล เป็นเพราะเบื้องบนเมตตาหรือพอจะมีความหวังอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วละก็จิตญาณย่อมถูกกักขัง จิตญาณหกส่วนก็จะถูกนำพาไปยังนรกภูมิ รอคอยจนกว่าร่างกายของเขาจะอ่อนแอแล้ว พลังอินอับทึบก็จะค่อย ๆ สะสมมากขึ้น เมื่อเวลามาถึงก็จะ """ ตีให้เป็นเศษวิญญาณ """ ไม่ว่าเราจะโศกเศร้าร่ำร้องอย่างไร ไม่ว่าเราจะสำนึกขอขมาอย่างไร ก็ไม่อาจชดเชยโปะเสริมกันได้อีกทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว
ดังนั้นทุกท่านจะต้องไปนำพาศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายกลับมา บอกกล่าวกับพวกเขาว่า """ อย่าได้ผิดต่อปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ หรือ ปณิธานกินเจ เป็นอันขาด รวมทั้งอย่าได้ส่งผลกระทบต่อผู้ิอื่น ไม่เช่นนั้นผิดบาปของเราก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว """" ตัวเราเองต้องเร่งรีบบำเพ็ญชดเชยเจริญปณิธาน รีบเร่งควบคุมให้หยุด ไม่อย่างนั้นกาลเวลาของฟ้าได้กำหนดเอาไว้ """ ห้ามารจักมาก่อความวุ่นวายในโลก """
ในช่วงวาระท้ายปลายกัปนี้ หากยังต้องตกไปสู่นรกภูมิอีกครั้งก็จะไม่มีวันได้หลุดพ้นอีกเลย เมื่อถึงเวลานั้น นึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันการณ์ นรกภูมินั้นน่ากลัวมาก ซึ่งทุกท่านคงไม่อาจนึกคิดฝันถึงได้เลย ดังนั้นทุกท่านต้องเร่งรีบนำเรื่องเหล่านี้ไปบอกกล่าวผู้อื่น ขอบคุณที่เตี่ยนฉวนซือเมตตา นำคำบอกเล่าของข้าพเจ้าไปบอกกล่าวแก่ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายด้วยเพื่อให้พวกเขาได้รู้ ข้าพเจ้าทุกข์ทรมานมาก ถ้าหากข้าพเจ้าสามารถออกมาจากนรกภูมิได้ ข้าพเจ้าจะทำอย่างดีได้แน่ ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันสายเกินการณ์ไปแล้ว
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูิมิ
เมื่อยึดถือตนจึงลำพองตนไปยังนรกฝึกเคี่ยวกรำธรรม ( หลิวหนันชัง เจี่ยงซือ )
ข้าพเจ้าเป็นเจี่ยงซือบนโลกและเป็นผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ข้าพเจ้ารับโทษอยู่ที่ "" นรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ "" ข้าพเจ้าบรรยายเผยแพร่หลักธรรมได้เก่ง งานธรรมกิจข้าพเจ้าก็จัดการได้ดี แต่ข้าพเจ้าผิดต่อพระโองการสวรรค์ลบหลู่นักธรรมอาวุโส และนำเงินกองกลางมาใช้ส่วนตัว
การปรากฏกายในวันนี้ก็เป็นเพราะเบื้องบนเมตตา เพราะความเมตตาสงสารของพระอาจารย์จี้กง และพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ ได้ให้ข้าพเจ้ามาบอกกล่าวทุกอย่างให้ทุกท่านได้ฟังอย่างชัดเจน เพื่อเป็นดั่งกระจกส่องแห่งการบำเพ็ญศึกษาธรรมของทุกคน ข้าพเจ้าชื่อ """ หลิวหนันชัง """ เป็นคนเมืองเทียนจิน (เทียนสิน) ละกายสังขารเมื่ออายุ ๒๔ ปี ข้าพเจ้าเป็นลูกของถันจู่ท่านหนึ่ง และตัวของข้าพเจ้าเองก็เป็นเจี่ยงซือประกาศธรรมแทนฟ้า ตอนที่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑๔ ปีที่บ้านก็ได้จัดตั้งพุทธสถานทั้งบิดามารดามีความศรัทธาต่อธรรมะเป็นอย่างยิ่ง และตัวข้าพเจ้าเองก็มีใจที่จะฝึกฝนศึกษา บิดามารดาหวังว่าข้าพเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ในเรื่องพุทธระเบียบพวกท่านได้แนะนำสั่งสอนให้เคารพนบนอบต่อนักธรรมอาวุโส อากัปกิริยาทุกอย่างก็เป็นไปตามพุทธระเบียบและมารยาทอันดีงาม ใครจะไปรู้ว่าเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นด้วยว่าข้าพเจ้ามีใจที่จะฝึกฝนศึกษาจึงค่อย ๆ มีความรู้ความเข้าใจและทำให้ค่อย ๆ มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงตามมา หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงลบหลู่ดูถูกเฉียนเหยินและดูหมิ่นดูแคลนเตี่ยนฉวนซือ เรื่องเริ่มเกิดขึ้นในปีที่ข้าพเจ้าอายุ ๒๔ ปี ครอบครัวข้าพเจ้าได้นำทรัพย์ทั้งหลายยกให้แก่อาณาจักรธรรม แต่พอบิดามารดาของข้าพเจ้าแก่ตัวลงแล้ว ไม่ได้รับความสนใจเป็นห่วงเป็นใยและความเคารพจากพี่น้องในอาณาจักรธรรม และยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งยากจนลง เมื่อเห็นแล้วจิตใจของข้าพเจ้าจึงไม่สงบ นักธรรมอาวุโสยังบอกให้บิดามารดาของข้าพเจ้าสละนั่นสละนี่ พวกท่านก็ยังสละให้ด้วยความศรัทธาเต็มเปี่ยม แต่ก็ไม่ได้รับอะไรตอบแทน เหตุใดเมื่อบิดามารดาอายุมากแล้วก็เจ็บป่วย แต่กลับไม่มีใครมาเหลียวแลเอาใจใส่ ? ในใจของข้าพเจ้าจึง ""เกิดคำต้ดพ้อต่อว่าขึ้น "" มาว่า """ เฉียนเหยินและเตี่ยนฉวนซือปลอมเหล่านี้ที่ทำมาในอดีตก็เพราะโลภอยากได้ทรัพย์ของครอบครัวของข้าพเจ้าทั้งหมด ตอนนี้ครอบครัวของข้าพเจ้าก็ถูกขูดเอาทรัพย์สินไปจนหมดแล้ว บิดามารดาก็แก่ตัวลง จึงไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไรอีกแล้ว พวกเธอยังไม่ต้องการพวกท่านอีก ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่มีแต่ชื่อว่าบำเพ็ญธรรม แต่กลับไม่มีเมตตามโนธรรมเลย""""
ใครจะรู้ว่าทุกสิ่งอย่างนั้นเบื้องบนกำลังเสริมสร้างบิดามารดาของข้าพเจ้าอยู่ อะไรเรียกว่าสละอย่างแท้จริง เบื้องบนจดบันทึกอย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเอาแต่เรื่องที่พวกท่านได้สละมาไว้ที่ปากและหยิบยกมาพูดกับคนอื่นเสมอ ๆ รวมทั้งไม่พอใจความประจบสอพอของนักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้า "" ยังเคยเอา "" ไม้กวาดไล่ตีเตี่ยนฉวนซือ "" เหล่านั้นและยังกล่าวหาด้วยว่า """พระโองการสวรรค์ของพวกเธอนั้นเป็นของปลอม หลอกลวงผู้อื่น หากว่าพระโองการสวรรค์เป็นของจริง เหตุใดพ่อแม่ของฉันจึงต้องเจ็บป่วยด้วยล่ะ ? ทำไมครอบครัวของฉันยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งยากจนลงล่ะ ? พวกเธอบำเพ็ญธรรมมีแต่ชื่อเปล่า ๆ โดยเฉพาะเธอที่เป็นหญิงแก่ถ้ากล่าวถึงความรู้ฉันก็มีสูงกว่าเธอ ถ้าพูดถึงวาทะศิลป์ฉันก็พูดได้เก่ง มีอะไรบ้างล่ะที่ฉันสู้เธอไม่ได้ จนถึงตอนนี้ เธอได้เขมือบเอาทรัพย์สินของครอบครัวฉันไปเกลี้ยงแล้ว ยังจะมากระแนะกระแหนเหน็บแนมอย่างนี้อีกหรอ """
เมธีทั้งหลายเอ๋ย !! ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นความผิดของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าได้ก่อบาปแห่งการ "" ลบหลู่พระโองการสวรรค์ "" โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าญาติธรรมทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ลบหลู่ดูถูกเตี่ยนฉวนซือ และเฉียนเหยิน ข้าพเจ้ากล่าวว่า""งานธรรมกิจที่เฉียนเหยินปฏิบัตินั้นเป็นของปลอม พระโองการสวรรค์นั้นเป็นของปลอม หากว่าเป็นของจริงเหตุใดพ่อแม่ของฉันจึงได้ล้มป่วย ทำไมครอบครัวฉันถึงได้ยากจนค้นแค้นถึงขนาดนี้ ? หากว่าเป็นของจริงทำไมจึงปฏิบัติงานธรรมได้ไม่เจริญรุ่งเรือง
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ
๒ . เมื่อยึดถือตนจึงลำพองตัวไปยังนรกฝึกเคี่ยวกรำธรรม ( หลิวหนันชัง เจี่่ยงซือ )
นั่นเป็นเพราะข้าพเจ้าอารมณ์ไม่สงบ ไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างชัดเจน จึงทำให้เฉียนเหยินเสียใจ ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงล้มป่วยลง ขัาพเจ้ายากที่จะรับผิดบาปครั้งนี้ได้ ข้าพเจ้าไม่เพียงแต่ลบหลู่พระโองการสวรรค์แต่ยังไม่รู้ที่จะสำนึกแก้ไข กลับจะไปทวงเอาทรัพย์สินเงินทองคืนจากเตี่ยนฉวนซือ ข้าพเจ้าพูดไปว่าจะนำเอาเงินนี้ไปเลี้ยงพ่อแม่ ในตอนนั้นข้าพเจ้าเป็นหลิวเจี่ยงซือในอาณาจักรธรรม ที่ใคร ๆ ก็เคารพนบนอบ เพียงแค่ขึ้นบรรยายเท่านั้น ไม่มีใครไม่ยอมรับนับถือ ไม่มีใครไม่ชื่นชมยกยองด้วยเหตุครั้งนี้ เตี่ยนฉวนซือกลัวว่าข้าพเจ้าจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปโพนทะนาต่อ ๆ กันไป เพราะใจของข้าพเจ้าไม่สงบย่อมจะเกิดเรื่องติฉินนินทาขึ้นในอาณาจักรธรรม จนทำให้ทดสอบนักธรรมผู้น้อยมากมายตกหล่นไปได้ ด้วยความอับจนปัญญา ท่านจึงได้นำเงินก้อนใหญ่มาให้ข้าพเจ้า เพื่อทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นยุติลง แต่ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจนัก ในเมื่ิเรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้ที่จะสำนึกแก้ไขและเปลี่ยนแปลง กลับนำเอาเงินก้อนนี้มาใช้เรื่องส่วนตัว เอาเงินไว้กับตัวจะใช้จ่ายก็จะได้สะดวก
เมธีทั้งหลาย ที่อยู่ในมือของข้าพเจ้านั้นเป็นเงินของอาณาจักรธรรมที่เวไนยสัตว์สร้างบุญอุทิศมา แต่กลับนำมาใช้เป็นของตัวเอง ใช้เหมือนเป็นวาสนาของตนเอง ลองคิดดูที่ว่าผิดบาปอย่างนี้ของข้าพเจ้าจะใหญ่หรือไม่ใหญ่
เพิ่งจะสองปี เพิ่งจะสองปี ข้าพเจ้าเพิ่งจะอายุ ๒๔ ปีเอง ก็เป็นวัณโรคปอด แล้วละกายสังขารตายจากไป ผู้ที่เข้าใจในเหตุการณ์ ก็จะพูดว่านี่เป็นผลกรรมตามทันของข้าพเจ้า พวกเขาเหล่านั้นวิพากษ์วิจารณ์ข้าพเจ้า ว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงกล้านำเงินจำนวนนั้นไปใช้ ? และยังมีผิดบาปล้นฟ้าที่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นเตี่ยนฉวนซือ และเฉียนเหยินที่มีพระโองการสวรรค์อีกด้วย จึงทำให้ต้องลงเอยเช่นนี้
โดยปกติแล้ว ข้าพเจ้าจะอาศัยความองอาจกล้าหาญของลูกผู้ชายมาวางอำนาจต่อหน้าผู้อื่น ใครก็ตามที่ฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ให้คนคนนั้นต้องทำงาน คน ๆ นั้นจะมีกินและสบายมากด้วย ข้าพเจ้าอยากจะเป็นเตี่ยนฉวนซือ จะได้ดำเนินจ้ดการอาณาจักรธรรมได้แห่งหนึ่ง แต่ว่าโดยปกติแล้วข้าพเจ้าไม่เคารพนักธรรมผู้ใหญ่ ไม่นอบน้อมนักธรรมอาวุโสดูถูกดูแคลนพระโองการสวรรค์ วางตัวยโสโอหังอวดดื้อถือดี การบำเพ็ญปฏิบัติอย่างนี้เบื้องบนจะกล้ามอบพระโองการสวรรค์แก่ข้าพเจ้าได้อย่างไร ? อายุยังไม่มากเท่าไร เพิ่งจะ ๒๔ ปีเองก็ต้องถูกจับให้ลงนรกเสียแล้ว
เมื่อพยายมราชเห็นว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาว เป็นพุทธบุตรที่รักของเบื้องบน แต่วันนี้ต้องมาอยู่ในกำมือของท่าน จึงได้เปิดดูบัญชีบุญบาป ท่านได้ตำหนิด่าว่าเสียงดังว่า """ เจ้าคนไม่ภัคดีเจ้าคนไม่กตัญญู """ บนโลกมีแบบอย่างของการบำเพ็ญมากต่อมากมายเจ้าไม่เจริญรอยทำตาม พระธรรม คำสอน ของปราชญ์อริยะ เจ้าไม่อ่านศึกษาวันนี้เป็นเพราะจะทำแต่เพื่อตัวเอง อารมณ์จึงไม่สงบ จึงพูดจาทำร้ายญาติธรรมอีก แถมยังโมโหใส่เฉียนเหยินกับเตี่ยนฉวนซืออีก และยังได้นำเงินก้อนใหญ่ก้อนนั้นไปใช้อีก ผิดบาปนั้นมากมายจริง ๆ จะให้เจ้าไปรับโทษทัณฑ์อยู่ที่ """ นรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ """ เมื่ฟังพยายมราชกล่าวจบลง ก็เหมือนมีเข็มมาทิ่มแทงที่หัวใจ ฉันแย่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นลูกผู้ชายที่องอาจผึ่งผาย ได้รับวิถีธรรม ในวันนี้ได้เข้าสู่พุทธสถาน แต่กลับต้องหมอบคลานอยู่บนพื้น และตอนที่ข้าพเจ้ามาปรากฏกายใหม่ ๆ ก็ยังได้หลอกกินข้าวไปสองถ้วยจากเตี่นยฉวนซือยังดีที่ไม่มองโดนทะลุ เป็นเพราะว่าข้าพเจ้าทั้งหิวทั้งหนาว หากไม่ใช่เพราะพุทธรัศมีฉายส่อง ไม่ใช่เพราะเตี่ยนฉวนซือเมตตา ข้าพเจ้าก็ยากที่จะบอกกล่าวความเป็นมาของตนเองได้ ขอขอบพระคุณ !
ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย วันนี้พวกเธอทุกคนได้เข้าชั้นเรียนเจี่ยงซือ ทุก ๆ คนได้ก้าวสูงขึ้นอีกวันหนึ่งแล้ว การบำเพ็ญปฏิบัติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และการทดสอบที่จะเกิดขึ้นก็ไม่เหมือนกันด้วย แต่จงอย่าได้เป็นอย่างข้าพเจ้าเป็นอันขาดนั่นคือ การทดสอบด้านเงินทอง คำว่า "" สละ "" คือให้สละด้วยความเต็มใจของแต่ละคน ตั้งปณิธานก็ตั้งอยู่ที่ใจของแต่ละคน ตอนยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะถือศีลกินเจ ถึงแม้จะเคารพกราบไหว้แต่ผิดบาปก็ยังมีอยู่ด้วย ข้าพเจ้าไม่สามารถลบล้างลงไปได้ ด้วยเหตุนี้พยายมราชจึงตำหนิด่าว่าข้าพเจ้า ลบหลู่พระโองการสวรรค์ของเบื้องบน การดูถูกดูแคลนพระโองการสวรรค์ก็คือการดูถูกดูแคลนในพระแม่องค์ธรรมดุจเดียวกับผิดบาปย่อมมากมายมหาศาล
จำได้ว่าขณะมีชีวิตอยู่ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทับทรงมาตักเตือนให้สติข้าพเจ้า แต้ข้าพเจ้าก็ยังย้อนสิ่งศักดฺืสิทธิ์ไปว่า """" อย่าได้หลอกลวงกันอีกเลย การแสดงของพวกเธอ ฉันก็แสดงได้เหมือนกันแถมยังแสดงได้เหมือนจริงกว่าพวกเธอเสียอีก โอวาทคำสอนอย่างที่พวกเธอแต่งนั้น ฉันก็แต่งได้ยอดเยี่ยมวิเศษกว่าของพวกเธออีก.."""" คำพูดอย่างนี้ได้ทำร้ายจิตใจเตี่ยนฉวนซือและนักธรรมอาวุโสไปไม่รู้เท่าไร
ในวันนี้ที่ต้องรับโทษที่ "" นรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ "" ก็เพราะตนเองสร้างเองทำเอง ข้าพเจ้าของให้พระอาจารย์เมตตาพระอาจารย์กล่าวว่า "" หนันชังเอ๋ย ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว หากศิษย์มีใจสำนึกจริง ๆ ในยี่สิบปีนี้ ศิษย์จงสำนึกขอขมาดี ๆ หากศิษย์เกิดปัญญาได้ละก็ อาจารย์จะมาฉุดช่วยนำพาศิษย์เอง """ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว รู้สึกซาบซึ้งในพระคุณพระอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าถามว่า "" พระอาจารย์วิญญาณบาปหนันชัง ยังมีโอกาสกลับคืนเบื้องบนหรือไม่ ?""
ข้าพเจ้าไม่มีหน้าที่จะพบกับเฉียนเหยิน และ เตี่ยนฉวนซือ เพราะข้าพเจ้าผิดต่อพวกท่าน ขอเพียงแต่ให้พระอาจารย์เมตตาสงสารอย่าได้ให้ข้าพเจ้าไม่อาจหลุดพ้นได้เลย ขอเพียงแต่ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เป็นศิษย์ธรรมกาลยุคขาวอีกครั้งข้าพเจ้าจะขอภักดีต่ออาณาจักรธรรมจนลมหายใจสุดท้าย ข้าพเจ้าจำต้องบอกกับศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายว่า "" ธรรมจริงหลักจริง พระโองการสวรรค์จจริง "" ข้าพเจ้าจะบอกเล่าความทุกข์ทั้งหลายในนรกภูมิให้ทุก ๆ ท่านได้ฟัง ข้าพเจ้ายินยอมที่จะแบกรับผิดบาปของเวไนยสัตว์ ข้าพเจ้ายินยอมที่จะแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของพระอาจารย์
แต่พระอาจารย์ได้กล่าวว่า "" ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว "" ข้าพเจ้ากล่าวว่า " หรือว่าในอดีตที่ศิษย์เป็นเจี่ยงซือ ได้บรรยายธรรมไปนั้นไม่มีความดีความชอบบ้างเลยหรือ ? ศิษย์ยังเป็นปุถุชนอยู่ขอให้พระอาจารย์เมตตาด้วยเถิด "
พระอาจารย์ได้แต่ส่ายหน้าแล้วกล่าวกับข้าพเจ้าว่า """ เจ้ายังเป็นปุถุชชนอยู่หรือ """ ในใจของข้าพเจ้าทุกข์แสนสาหัส เศร้าแสนเศร้าในฉับพลันนั้นเอง ข้าพเจ้าจึงหาตนเองพบ ระดับการบำเพ็ญปฏิบัติของข้าพเจ้านั้น ยังคงหยุดอยู่แค่ภาวะปุถุชนเท่านั้นเอง แม้จะเทียบกับปุถุชนแล้วก็ยังสู้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป
การบรรยายธรรมให้เวไนยสัตว์ได้ฟังเป็นการประกาศธรรมแทนฟ้า ที่จริงแล้วเป็นการส่งเสริมตัวเองด้วย หากบรรยายธรรมได้แต่ไม่บำเพ็ญจริง จะมีบุญกุศลมาจากที่ไหนกัน ? หาดทดสอบญาติธรรมมากมายให้ตกหล่นไป ผิดบาปอย่างนี้จะเอาอะไรมาลบล้างได้เล่าเมื่อถึงเวลาพิพากษาสามโลก ก็ต้องเอาแต่ละข้อแต่ละอย่างมาพิจารณาจึงยากที่จะนิรโทษผ่อนผันผิดบาปของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าวิงวอนพระอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดพระองค์จึงให้โอกาสสำนึกขอขมาแก่ข้าพเจ้าเป็นเวลายี่สิบปี ข้าพเจ้าจริงใจในการสำนึกขอขมา จึงทำให้วันนี้มีโอกาสได้ติดตามพระโพธิสัตว์กษิติิครรภ์มาปรากฏกายในพุทธสถานแห่งนี้ เมื่อสักครู่ได้หลอกกินข้าวสองถ้วยจากเตี่ยนฉวนซือ ไม่สมควรจริง ๆ แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้กิน ก็จะหิวโหยจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงจึงขอให้เตี่ยนฉวนซือเมตตาผ่อนผันให้ด้วย
ข้าพเจ้ามาปรากฏกายในวันนี้ ประการแรก เพื่อบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตสำหรับเป็นกระจกส่องให้เมธีทั้งหลายประการต่อมา เพื่อร่วมให้กำลังใจกับศิษย์พี่น้องทั้งหลายว่า "" อย่าเป็นเพราะฉันกินเจตอนมีชีวิตอยู่ จึงคิดว่าทดสอบให้ผู้อื่นตกหล่นไปแล้วจะไม่มีผิดบาป อย่าเป็นเพราะตนเองเป็นเจี่ยงซือและยังสามารถนำพาผู้อื่นได้แต่กลับนำพานักธรรมผู้น้อยอย่างผิดพลาด หากไม่ถูกต้องชัดเจนต่อหลักธรรม เบื้องบนจะอภัยโอบอุ้มแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นแต่ถ้าปิดบังอำพลางตนเอง กระทำผิดครั้งสองครั้ง ก็จะยิ่งทำให้ตนเองก่อกรรมต่อไปเรื่อย ๆ และกรรมเวรนั้นก็ต้องแบกรับด้วยตนเอง ""
ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ความหนาวเหน็บของนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะคาดคิดได้เลย วันนี้หากไม่ใช่เพราะพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ เมตตาประทานยาวิเศษให้จข้าพเจ้าหนึ่งเม็ด ข้าพเจ้าก็คงไม่อาจมาบอกเล่าพูดคุยกับทุกท่านได้ ทุก ๆท่านจะต้องมีใจกริ่งเกรงรอบคอบระมัดระวังทุกเวลาอย่าได้กระทำตามใจตนเอง อย่าได้กระหยิ่มลำพองใจตนเองเพราะเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกว่าตนเองกระหยิ่มลำพองตนเองนั้น ตนเองก็จะกลายเป็นศรัตรูตัวฉกาจของตนเองไปในทันที หยิ่งยโสทะนงตนโกรธแค้นเคืองขุ่นไม่อาจสงบใจโลภ โกรธ หลง เหล่านี้เป็นรากเหง้านำไปสู่นรกภูมิทั้งสิ้น ที่ได้บอกกล่าวไปนี้เป้นความจริงคำพูดของข้าพเจ้าในวันนี้ เป็นจริงทุกถ้อยคำ
จึงหวังแต่ว่าศิษย์พี่น้องทั้งหลาย จะพูดและทำเป็นอย่างเดียวกัน อย่าทำเรื่องไม่ดีงามเมื่ออยู่ลำพังคนเดียว ไม่เช่นนั้นเบื้องบนก็ไม่อาจอภัยให้ได้ จงรอบคอบกับทุกย่างก้าวของตนเอง เพราะมีเทพผีคอยสอดส่องตรวจตราอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อกำลังบำเพ็ญปฏิบัติกันอยู่ก็จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงามของการบำเพ็ญปฏิบัติ ในเมื่อจะประกาศธรรมแทนฟ้าก็จะต้องบำเพ็ญตนบ่มเพาะจิตญาณก่อน แล้วจึงเผยแพร่จำเริญธรรม
วันนี้ข้าพเจ้าได้บอกกล่าว ถึงความไม่ดีงามของตนเองแต่ก็ขอให้พระอาจารย์ได้ให้โอกาสข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เวลามีค่อนข้างจำกัด พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ได้เร่งรัดเวลาแล้ว ขอให้เตี่ยนฉวนซือ และศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายได้โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วย ในอดีตนั้นเป็นความผิดบาป ของข้าพเจ้า จิตญาณตนถ้าไม่ฉุดช่วยด้วยตนแล้วจะให้ใครมาฉุดช่วย นิสัยอารมณ์ก็ต้องอาศัยตนเองกำจัดตัดทิ้ง ความเคยชินที่ไม่ดี ก็ต้องขจัดออกไปด้วยตนเอง
หากคิดว่ายังมี """ บุญปัจจัยภายนอก """ อยู่ทุกอย่างล้วนไม่มีอยู่จริงก็ด้วยว่า "" คุณธรรมภายใน "" ยังไม่ได้บ่มเพาะศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย หากมีใจที่จะช่วยข้าพเจ้าจริงแล้วละก็ มีเพียงแต่อาศัยข้าพเจ้าเป็นดั่งกระจกส่อง อย่าได้กระทำผิดกันอีกเลย ไม่เช่นนั้นถึงแม้ตอนอยู่บนโลกจะได้ถือศีลกินเจ และบรรยายธรรม ตายไปแล้วก็ยังต้องไปรับโทษในนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ ไม่มีส่วนได้ในสวรรค์แม้แต่น้อย ช่างน่าขำเสียเหลือเกิน
ขอเตือนทุกท่านอีกครั้งว่า """ อย่าได้ดูถูกดูแคลนพระโองการสวรรค์ """ หากว่าไม่อยากจะศึกษา ไม่อยากจะบำเพ็ญแต่ก็ขอร้องว่าอย่าได้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ไม่เช่นนั้นแล้ว ผิดบาปอย่างนี้ยากที่จะรับได้ พระโองการสวรรค์เป็นอำนาจอาณัติของเบื้องบน ถ้าหากดูถูกดูแคลนหรือลบหลู่ดูหมิ่นเฉียนเหยินและเตี่ยนฉวนซือก็เป็นการลบหลู่ดูถูกความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งในพระแม่องค์ธรรมนั่นเอง อุ้มลัญจกรแล้ว ใจยิ่งเจ็บปวด บำเพ็ญธรรมจะต้องพูดและทำเป็นอย่างเดียวกัน
-
ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในนรกภูมิ
ตั้งปณิธานแล้วไม่บรรลุ ถูกขังนรกน้ำแข็งหนาวเน็บ ( เจียงซิ่วเสีย เจี่ยงซือ )
ข้าพเจ้ารู้ถึงความผิดพลาดของตนเองแล้ว ! ? ข้าพเจ้ารู้ถึงความผิดพลาดของตนเองแล้ว ! ? ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่เมืองไถหนัน แซ่ "" เจียง "" ชื่อ "" ซิ่วเสีย "" นักธรรมอาวุโสของข้าพเจ้า แซ่เฉิน ในตอนนั้นข้าพเจ้าอายุได้ ๒๗ ปีนั้น ข้าพเจ้าได้ตั้ง """ ปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ """ ติดตามปฏิบัติอริยกิจกับนักธรรมอาวุโส พออายุได้ ๒๙ ปี ข้าพเจ้าก็ได้ผิดต่อปณิธานนั้น เพราะว่านักธรรมอาวุโส ที่ได้ติดตามเตี่ยนฉวนซือในช่วงเวลาเดียวกันกับข้าพเจ้านั้น ต่างได้รับการยกระดับเป็นเตี่ยนฉวนซือ แต่ข้าพเจ้าคิดว่าความสามารถของตนนั้นไม่ด้อยไปกว่าใคร และมีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานมาก เป็นทั้งบุ๋นทั้งบู๊ และยังเข้าครัวทำอาหารได้ด้วย แต่ยังไม่ได้ยกระดับเป็นเตี่ยนฉวนซือ จึงได้รับการเยาะเย้ยถากถางลบหลู่เหยียดหยามจากคนอื่น ดังนั้นเวลาบรรยายธรรมจึงขาดความมั่นใจไป ในใจของตนจึงเกิดความคลางแคลงสงสัย หรือว่าใจจริงแท้ของข้าพเจ้ายังมีไม่เพียงพอ ด้วยกำลังความสามารถของคนอื่น พวกเขายังเป็นเตี่ยนฉวนซือได้ แต่เพราะเหตุใด กำลังความสามารถของข้าพเจ้านั้นแกร่งกล้าสามารถกว่ายังคงไม่ทันผู้อื่นเขา ด้วยอายุทางธรรม และการบำเพ็ญของข้าพเจ้านั้นไม่อาจทำให้นักธรรมอาวุโสและเตี่ยนฉวนซือมองเห็นได้ ด้วยเหตุนี้ในใจไม่อาจสงบเป็นปกติได้
เดิมทีข้าพเจ้าไปอาณาจักรธรรมทุกวัน แต่เมื่อข้าพเจ้าจิตใจหวั่นไหวส่ายคลอนแล้ว เดือนหนึ่งจะไปร่วมชั้นเรียนแค่สามครั้ง และก็ได้พบเจอกับเพื่อนเก่าหรือเพื่อนร่วมงานมาเชื้อเชิญอยู่บ่อย ๆ เดิมทีได้รักษาบำเพ็ญพรหมจรรย์ ไม่กล้าที่จะมีความคิดหวั่นไหวสั่นคลอน แต่เมื่อผ่านมานานวัน ก็ถูกเรื่องราวทางโลกทำให้ลุ่มหลงไปแล้ว เมื่อได้ฟังว่าพระอาจารย์หญิงได้กลับคืนรายงานพระภาระต่อเบื้องบนแล้ว จึงไม่ได้นับปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ของตัวเองไปด้วย และยังได้เห็นว่า ในขณะนั้นก็มีสามีภรรยามากมายหลายคู่ที่บำเพ็ญปฏิบัติร่วมกัน อยู่เคียงข้างตามติดกันไม่โดดเดี่ยว คู่สามีภรรยาเหล่านั้นมีทั้งเยื่อใยความรักและยังมีมโนธรรมต่อกันด้วย ไม่เพียงแต่ได้บำเพ็ญธรรมแต่ได้เสพสุขของการครองชีวิตคู่ด้วย
ดังนั้นตอนที่ข้าพเจ้าล้มลุกคลุกคลานอยู่นั้น สายตาก็ได้เห็นแต่เรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ อย่างนี้จึงคิดเสมอว่า "" สิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะกล่าวบ่อยครั้งว่า ผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวมีภรรยาสามารถบำเพ็ญร่วมกันได้ ทั้งยังปฏิบัติงานทางธรรมและทางโลกได้อย่างละครึ่ง "" เป็นเพราะความลุ่มหลงคิดผิดของข้าพเจ้า จึงลืมไปว่าตนเองได้เคยตั้งปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ต่อเบื้องบน และมีความคิดอย่างปุถุชนฟุ้งขึ้นมาด้วยเหตุนี้ จึงได้รู้จักกับวิศวกรคนหนึ่ง รูปร่างท่าทางดูดีมีสง่า และยังพูดคุยบอกเล่าความในใจของกันและกันได้ เรียกได้ว่า ต่างก็เป็นผู้รู้ใจของอีกคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนี้ ในระยะแรก ๆ ข้าพเจ้ายังไม่กล้าที่จะผิดต่อแบบแผนประเพณี แต่เมื่อค่อย ๆ หลีกห่างออกจากอาณาจักรธรรมไปและเขาเองก็ค่อย ๆ มีเยื่อใยความรักต่อข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเองก็มีความรักให้กับเขาเช่นกัน ข้าพเจ้าจึงไม่อาจห่างจากเขาไปได้ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงค่อย ๆ ผิดต่อปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ของตนไปอย่างแอบ ๆ และทุ่มเทความรักความรู้สึกและเวลาทั้งหมดให้กับผู้ชายคนนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองได้เช่าห้องอยู่ด้วยกัน แต่ไม่กล้าเปิดเผยให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพียงแต่อแบ ๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันและปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้นักธรรมอาวุโสได้รู้เห็น เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เมื่อผ่านไปได้สามปี ข้าพเจ้าจึงตั้งครรภ์ ข้าพเจ้าทั้งสองจึงอยู่กินกันต่อไปโดยที่ไม่กล้าแต่งงาน เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะหัวเราะเยาะที่ข้าพเจ้าผิดต่อปณิธานของตน แต่ว่าจะไม่แต่งงานกับเขาก็ไม่ได้เพราะข้าพเจ้ารักเขา ด้วยเหตุที่เขาเป็นวิศวกร บุคลิกท่าทางก็ดี ฐานะความเป็นอยู่ทางบ้านก็ดี เขาเองก็สงสารเวทนาต่อข้าพเจ้า ในตอนนั้นข้าพเจ้าละโมบที่เขาให้ที่กินที่อยู่กับข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าสามารถเสพสุขใช้เงินเป็นเบี้ยได้อย่างอิสระ
สามปีให้หลัง ตอนที่ข้าพเจ้าจะคลอดลูกนั้นอายุก็ปาเข้าไป ๓๒ ปีแล้ว ด้วยเหตุที่ตกเลือดหลังคลอด จึงลาจากโลกนี้ไปเมื่อผิดต่อปณิธานแล้ว ข้าพเจ้ามักจะมีความคิดที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ปราศจากปัญญา จนเมื่อข้าพเจ้าได้ละกายสังขารไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่อาจเข้าเฝ้าพระแม่องค์ธรรมได้ "" แถมยังต้องถูกกักขังในคุกสวรรค์ "" เพื่อให้บำเพ็ญดี ๆ เป็นเพราะข้าพเจ้ายังคงกินเจ ใครจะรู้ว่า ข้าพเจ้าไม่เพียงกลับคืนสู่เบื้องบนไม่ได้ แต่ยังมี "" ยมทูตขาวดำนำโซ่ตรวนเหล็กมาคล้องลาก "" ข้าพเจ้าไปยัง """ นรกภูมิ """ เบื้องบนเอ๋ย ! ช่างไม่เป็นธรรมกับข้าพเจ้าเลย ช่างไม่เป็นธรรมเลย แม้ว่าจะผิดต่อปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงกินเจอยู่ ทำไมพระอาจารย์จึงไม่มานำพาวิญญาณของข้าพเจ้า ช่างไม่เป็นธรรมเลยจริง ๆ ข้าพเจ้ากินเจมาตั้งยี่สิบปี แล้วเหตุใดจึงต้องตกไปสู่กำมือของพยายมราชด้วย """ พยายมราชได้ให้ข้าพเจ้าไปยังเบื่องหน้ากระจกส่องกรรม """ จึงได้ส่องเห็นว่าข้าพเจ้าเอง """" ได้ผิดต่อปณิธานใหญ่ที่ตั้งไว้ หลอกลวงนักธรรมอาวุโส ดูหมิ่นพระโองการสวรรค์ และไม่รู้จักรักถนอมตนเอง """" ถึงตอนนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเข้าใจแจ่มชัด ผิดบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำนั้นยากที่จะนิรโทษผ่อนผันให้ได้
ข้าพเจ้าเคยได้วิงวอนขอร้องต่อพระอาจารย์ด้วยความลำบาก ให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเป็นคนใหม่อีกครั้ง แต่พระอาจารย์กล่าวว่า """ ในอดีตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เตือนเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าก็ไม่ฟังเหมือนลมผ่านหู หลายครั้งที่บอกกล่าวตักเตือนแต่เจ้าก็ไม่เข้าใจ แล้วจะเคืองโกรธโทษใครได้ล่ะ ? """" ตอนนี้ข้าพเจ้าถูกกักขังอยู่ที่ """ นรกน้ำแข็งหนาวเหน็บ """ """ ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ห่มคลุมกันหนาวได้ ที่ต้องเจอะเจอตลอดทั้งวัน ก็คือลมหนาวพัดกระหน่ำเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน และบนพื้นยังเป็นน้ำแข็งด้วย หนาวเหน็บจนทั้งเนื้อทั้งตัวยากจะทนได้ไหว จึงกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นนั้น ช่างเจ็บปวดทุกข์ทนเหลือเกิน ทรมานจริง ๆ แถมยังอับอายด้วย """
ข้าพเจ้าผิดไปแล้วข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าผิด ข้าพเจ้าไม่กล้าอีกแล้ว พระอาจารย์โปรดช่วยเหลือศิษย์ด้วย ศิษย์จะสำนึกขอขมาด้วยใจจริง ขอพระอาจารย์ได้โปรดช่วยศิษย์ด้วยเถิด
หลังจากนั้นเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ ขณะที่พระอาจารย์ได้นำพาวิญญาณของสามคุณร่างทรงคนหนึ่ง ไปเยี่ยมชมนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บนั้น สามคุณท่านนั้นได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้ามีโอกาสบรรลุปณิธานอีกอย่างหนึ่ง เธอเต็มใจที่จะให้ข้าพเจ้าหยิบยืมกายสังขารของเธอ เพื่อมาปรากฏกายเป็นการชั่วคราว เพื่อบอกเล่าความเป็นมาของตนเอง ทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสมาตักเตือนชี้แนะเมธีทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ ว่าอย่าได้โง่เขลาอย่างข้าพเจ้าเป็นอันขาด ถ้าบำเพ็ญธรรมโดยไม่มีปัญญา เชื่อถือตามข่าวเล่าลือของผู้อื่นที่บอกว่า """ เมื่อพระอาจารย์หญิงกลับคืนเบื้องบนแล้วพระโองการสวรรค์ก็เก็บกลับคืนไปด้วย """ จึงผิดต่อปณิธานที่ได้ตั้งไว้ ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว ข้าพเจ้าผิดไปแล้วจริง ๆ เมธีทั้งหลาย "" บำเพ็ญธรรมก็คือบำเพ็ญจิตญาณของตน "" ถึงแม้ว่ามหาธรรม ( อนุตตรธรรม ) จะเผยแพร่มาจากพระอาจารย์ชาย และพระอาจารย์หญิง ทั้งสองพระองค์ผู้รับสนองพระโองการสวรรค์จากเบื้องบน แต่การบำเพ็ญก็ยังเป็นเรื่องของแต่ละคนเอง การตั้งปณิธานนั้นก็เป็นไปเพื่อเบื้องบนและเพื่อจิตใจดีงามของตนเองโดยไม่ได้เป็นการตั้งเพื่อให้พระอาจารย์ชาย และพระอาจารย์หญิง เฉียนเหยิน และเตี่ยนฉวนซือ ได้ดู หากผู้ใดมีจิตใจเป็นไปอย่างนี้ ข้าพเจ้าขอบอกเตือนเมธีทั้งหลายว่าเราจะต้องกระจ่างแจ้งกระจ่างชัดต่อหลักธรรมสายนี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นเหมือนกับข้าพเจ้า คำพูดพกลมเพ้อฝันของผู้อื่น ก็ทำให้เราต้องผิดต่อปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ที่ตั้งไว้ หากเป็นเช่นนี้ เราย่อมมีส่วนอยู่ใน """ นรกภูมิภูเขาอินซันในอเวจีทับร่าง """ อย่างแน่นอน
เมื่อข้าพเจ้าเองผิดต่อปณิธานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกไม่สบายที่ตรงไหน ข้าพเจ้าเองก็ยังคิดอย่างปราศจากปัญญานั่นเป็นเพราะข้าพเจ้าเองได้ตั้งปณิธานกินเจ และไม่ได้ละเมิดแตกศีลเจด้วยและได้บำเพ็ญตนเองอย่างเต็มกำลัง เพียงแต่ไม่กล้าที่จะออกไปบรรยายธรรมเจริญปญิธานเท่านั้น ทุกครั้งที่นักธรรมอาวุโสให้โอกาสข้าพเจ้าได้ออกไปเจริญปณิธาน ข้าพเจ้าก็จะหยิบยกเหตุผลข้ออ้างมาบอกปัด รวมทั้งยังปกปิดกับนักธรรมอาวุโสด้วยว่าร่างกายตนเองไม่สบาย แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็สายเกินไปแล้ว แค่เกิดอาการตกเลือดมากหลังคลอด ก็ถูกยมทูตขาวดำลากตัวลงไปต้ดสินโทษและรับโทษยังนรกภูมิ ถึงตอนนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าใจถึงแม้ข้าพเจ้าจะได้ตั้งปณิธานกินเจ แต่ก็ได้ผิดต่อปณิธานบำเพ็ญพรหมจรรย์ เบื้องบนก็ย่อมไม่ให้อภัย ไม่ว่าข้าพเจ้าจะสำนึกขอขมาอีก จะวิงวอนขอร้องพระอาจารย์อีกก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีกายสังขารที่จะไปสร้างบุญเจริญปณิธานเพื่อลบล้างความผิดพลาดผิดบาปที่ผ่านมาในอดีตได้อีกแล้ว ข้าพเจ้าช่างโง่เขลา ข้าพเจ้าช่างเบาปัญญาจริง ๆ เหตุใดข้าพเจ้าจึงโลภมากอยากได้ เหตุใดข้าพเจ้าจึงไร้ปัญญาเช่นนี้
ขอวิงวอนให้นักธรรมอาวุโสเมตตาสงสารด้วยเถิด ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะผิดพลาดอีกแล้ว ข้าพเจ้าขอคารวะให้ ข้าพเจ้าขอกราบให้ ขอให้ท่านมอบโอกาสให้ข้าพเจ้าอีกสักหน่อย ถึงจะให้ข้าพเจ้าไปเิกิดในชาติกำเนิดที่ภูมิวิถีหก ข้าพเจ้าก็เต็มใจ ขอเพียงแต่ให้ข้าพเจ้าพ้นออกไปจากนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บได้เป็นพอ นักธรรมอาวุโสเมตตาสงสารช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วยเถิด ที่นรกแห่งนั้นทุกข์ทนลำบากเหลือเกิน นักธรรมอาวุโสที่ได้เห็นอยู่ตรงนี้ ก็เป็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าที่ได้ตั้งปณิธานใหญ่ หวังว่าทุกคนจะรอบคอบระมัดระวังความคิดจิตใจของตนเองตลอดเวลา อย่าได้ก่อเกิดจิตใจวุ่นวายสับสน จนนำมาซึ่งพันธนาการจากเหตุปัจจัย นักธรรมอาวูโสทั้งหลาย ขอให้รู้ถึงความร้ายกาจจริงจังของสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์เพียงแค่จิตใจของเราไม่เที่ยงตรงดีงามหรือกระเพื่อมสั่นไหวมารทั้งหลายก็จะมาช่วยเหลือ น่ากลัวเหลือเกิน ในตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าจะลงเอยเช่นนี้ ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าจึงรู้แล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินการณ์ วิงวอนให้นักธรรมอาวุโสเมตตาสงสาร วิงวอนให้พระอาจารย์เมตตาสงสารให้ข้าพเจ้ามี โอกาสพ้นจากนรกแห่งนั้นเพื่อไปเิกิดกายใหม่ต่อให้ต้องไปเกิดในชาติกำเนิดที่ภูมิวิถีหกข้าพเจ้าก็เต็มใจ ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ในนรกแห่งนั้นอีกแล้ว ไม่อยากอยู่ในนรกน้ำแข็งหนาวเหน็บอีกแล้ว ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาสองปีแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่มีกายเนื้อแล้วก็ยากที่จะหลุดพ้นการเกิดการตายได้
ข้าพเจ้ารู้ว่าผิดไปแล้ว ในตอนนั้นข้าพเจ้าคิดว่าเบื้องบนคงไม่รู้แน่ ๆ ที่รู้ก็คือข้าพเจ้ากินเจ และไม่ได้แตกศีลเจด้วยแม้จะได้รับการชี้แนะตักเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดถึงเรื่องของข้าพเจ้า ดังนั้นจึงลุ่มหลงถลำลึกลงไปอีก ข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีก ไม่อยากอยู่ที่นรกน้ำแข็งหนาวเหน็บอีกแล้ว ข้าพเจ้ายินดีที่จะไปอยู่ในคุกสวรรค์เพื่อสำนึกขอขมา ถ้าได้กลับไปอยู่ที่คุกสวรรค์ ข้าพเจ้าก็จะสำนึกขอขมาและบำเพ็ญขัดเกลาให้ได้ดี
-
ความในใจของอสูรกาย
(๑ ) ทดสอบคน - ผี - เทพในธรรมกาลยุคขาวให้ตกหล่น
ข้ารับหน้าที่ควบคุมทหารมารออสูรมากมาย เป็นหมื่นแสน ทำหน้าที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้บำเพ็ญธรรม หากว่าจิตใจของผู้บำเพ็ญขยับเขยื้อนหวั่นไหว เมื่อนั้น มารอสูรก็ย่อมเข้ามาประชิด โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร จึงกล่าวได้ว่า "" หากบำเพ็ญโดยไม่มีมารไร้การทดสอบทั้งดีทั้งชั่วล้วนได้สำเร็จเป็นพุทธะ ""
ผู้ที่รู้จักบำเพ็ญ จะต้องประคองปณิธานความมุ่งมั่นเอาไว้ รอเมื่อข้าทำการทดสอบแล้ว ก็จะได้รู้ว่าจะเป็นพุทธะหรือจะเป็นภูตผี ? ตอนนี้ได้ประสบกับยุคท้ายปลายกัป จิตใจผู้คนโหดเหี้ยมต่ำทราม วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจึงตกต่ำลงทุกวี่วัน เป็นการก้าวย่างไปสู่ความเลวร้ายอันตราย ประเทศชาติ สังคม สับสนวุ่นวาย ยากที่จะปกครองจัดการได้และยังเห็นได้อีกว่า ผู้บำเพ็ญในปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยมีความศรัทธาจริงใจ หลักคุณสัมพันธ์ห้าและคุณธรรมแปดถูกทำลายสูญสิ้น ได้รับธรรมะแต่กลับให้ร้ายทำลายธรรมะ ดังนั้น ข้าจึงได้นำพาทหารมารอสูร อาศัยของปลอมทำให้ของจริงวุ่นวายปั่นป่วน เพื่อทดสอบจิตใจที่จะบรรลุสำเร็จมรรคผลของการบำเพ็ญยุคขาว หากผ่านการทดสอบของข้าได้ ก็ย่อมสำเร็จเป็นพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากไม่ผ่่านการทดสอบก็จะกลายเป็นภูตผีในนรกภูมิหรือไม่ก็ที่คุกสวรรค์ หากผู้ใดได้รับธรรมะและบำเพ็ญสิ่งจริง แต่ผิดปณิธานความมุ่งมั่น ให้ร้ายทำลายสัมมาธรรม และเข้าสู่มิจฉาธรรมผิดต่อหลักธรรมความดีงาม รวมทั้งผู้ที่กำเริบเสิบสาน ในที่สุดก็ย่อมถูกข้าตีตกไปสู่วิถีมารโดนมารกลืนกิน และทำลายวิญญาณไม่อาจกลับมาเกิดกายเป็นคนได้อีก หากไม่ผ่านการทดสอบจากมารอสูรอย่างข้า ความมุ่งมั่นไม่หยัดยืน เมื่อถูกทดสอบย่อมทัอถดถอยไปก็จะพลาดผิดต่อความโชคดีสามชาติ ส่วนผู้ที่ได้รับธรรมะ แต่บำเพ็ญครึ่ง ๆ กลาง ๆ บุญกุศลที่ค้างมาก่อนหน้าสูญสิ้นหมด บัญชีสวรรค์ก็ย่อมค้ดชื่ออกและส่งไปลงโทษยังนรกภูมิหรือคุกสวรรค์ ตามแต่ผิดบาปหนักเบาที่ได้ก่อเอาไว้
บำเพ็ญธรรมแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง พระอริยะเหลาจื่อได้กว่าไว้ว่า "" คนในระดับสูงได้ฟังธรรมก็มานะปฏิบัติตาม คนในระดับกลางได้ฟังธรรม คงอยู่บ้างหายไปบ้าง คนในระดับล่างได้ฟังธรรม ก็หัวเราะใหญ่ ผู้ที่รับการทดสอบและไม่ร่วงหล่น คือคนในระดับสูง เป็นอริยะ เป็นปราชญ์เมธี ส่วนผู้ที่เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมะแล้ว เกิดความสงสัยคลางแคลงใจ เดี๋ยวก้าวไปข้างหน้า เดี๋ยวก้าวถอยไปข้างหลังเหมือนคงอยู่เหมือนหายไป ก็เป็นแค่เวไนยชนคนสามัญ ส่วนผู้ที่เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมะแล้ว แต่ไม่มีความเชื่อมั่นศรัทธา ทั้งยังให้ร้ายต่อธรรม และผิดต่อคุณธรรมความดีงาม ก็จะเป็นเพียงภูติผีในนรกภูมิ ดังนั้น การทดสอบของญาณระดับสูง เอาไว้ทดสอบคนในระดับสูง ( มีปัญญาสูงส่ง ) การทดสอบของญาณระดับกลาง เอาไว้ทดสอบคนในระดับกลาง ( มีปัญญากลาง ๆ ) ส่วนการทดสอบของญาณระดับล่าง ( มีปัญญาต่ำทราม ) ถ้าสามารถผ่านการทดสอบได้ ก็จะเป็นคนระดับสูง คนระดับกลางและคนระดับล่าง แต่หากไม่ผ่านการทดสอบทั้งสามนี้ได้ ก็จะมีส่วนในคุกสวรรค์หรือไม่ก็ในนรกภูมิ โดยไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเลย
ข้าได้รับบัญชาจากเบื้องบน จึงไม่อาจไม่ทำการทดสอบ หากข้าไม่ทดสอบอย่างดุร้ายเหี้ยมโหด ข้าเองก็มีความผิด มหาเทพไม่อาจแบกรับภาระหน้าที่นี้ได้ เป็นเพราะพระพุทธมีความเมตตากรุณา พระองค์จึงไม่อาจแบกรับหน้าที่ทำการทดสอบได้มีแต่พวกทหารมารของข้าที่ทดสอบด้วยความโหดเหี้ยม จึงหวังว่าทุก ๆขณะจิต ทุก ๆ คน จะได้จดจำและรู้แจ้งกัน
ทางธรรมะและหมู่มารมีอยู่คู่กัน จึงยิ่งต้องเพิ่มพูนความเชื่อมั่นศรัทธาและใจดั่งเหล็กกล้าให้แข็งแกร่ง เพื่อนำมากำราบสยบการทดสอบใหญ่ได้ ผู้ที่ผ่านการทดสอบ ก็จะได้บันทึกชื่อในบัญชีสวรรค์ แต่ถ้าไม่ผ่านการทดสอบ ก็จะถูกลบชื่อออกจากบัญชีสวรรค์และมีส่วนได้ในนรกภูมิ ถึงแม้จะเข้าใจแทงตลอด ในวัชรสูตรทั้ง ๓๒ บท ก็ไม่สู้มีจิตญาณอันเป็นจริง พึงพิจารณาโดยอาการอย่างนี้เถิด
-
ความในใจของอสูรกาย
( ๒ ) ธรรมะจริง บำเพ็ญจริง ทดสอบจริง
สายน้ำไหลไป ปลาก็แวกว่าย หากเข้าใจเจตนาของเบื้องบนก็ต้องเร่งรีบก้าวเดิน อย่าได้เดินเป็นคนสุดท้าย แบกรับภาระใหญ่ของสามโลก อย่าได้มีความกลุ้มกังวล ถามตัวเองดูว่ามีความผิดพลาดกันหรือไม่ ? ถามตัวเองดูว่าคล้ายกับน้ำใสสะอาดที่ไหลหลั่งหรือยัง ? ไหลหลั่งไปทางทิศตะวันออก ลองถามจิตญาณของตนดูว่า ถึงระดับที่เบาใสของก้อนเมฆที่สะอาดหรือไม่ ? หากเลื่อนลอยไปกับก้อนเมฆก็จะมีการทดสอบมาฝนขัด ทดสอบจนกระทั่ง ทุก ๆ ย่างก้าวก็ยากที่จะเดิน ทดสอบจนกระทั่งพวกเจ้าไม่อาจกำหนดมรรคผล ทดสอบจนกระทั่งพวกเจ้าไม่ได้ขึ้นเรือธรรม ทดสอบจนกระทั่งพวกเจ้าผอมโซเหลือแต่กระดูก สร้างบุญกุศลในทางหนึ่ง แต่ก็หลั่งไหลออกไปในอีกทางหนึ่ง จนกระทั่งไม่คิดที่จะไป "" นั่งบนบัลลังก์บัวสามยานเก้าระดับ "" อีก ถ้าคิดจะสำเร็จเป็นพุทธะ พวกเจ้าก็ต้องหมุนวนรอบข้าซึ่งเป็นหัวหน้ามารและผีทั้งหลาย
ข้าได้รับบัญชาให้ได้มาทดสอบธรรม ทดสอบให้ผู้บำเพ็ญล่วงหล่นไป ข้าจึงจะมีบัลลังก์ผลบุญให้ได้นั่ง หากไม่อาจทดสอบให้พวกเจ้าร่วงหล่นไปได้ ข้าก็ย่อมไม่พอใจ ข้าย่อมไม่ชอบใจ ถ้าจะต้องฉุดลากขาหลังของพวกเจ้า ข้าก็จะลากฉุดพวกเจ้าต้องตกไปในทะเล ให้พวกเจ้าเิดินด้วยความยากลำบากในทุก ๆ ย่างก้าว ให้พวกเจ้าได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทะเลทุกข์ จะเอาเหตุการณ์เรื่องราวทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ แบบ มาทดสอบพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้าโกรธแค้นไม่พอใจข้า พวกเจ้าก็จะได้รับ
ข้าจะทดสอบข้อบกพร่อง ข้ออ่อนด้อยในตัวพวกเจ้า ยึดจับในข้ออ่อนด้อยของพวกเจ้า ให้เจ้าไม่มีความศรัทธาเชื่อมั่นต่อธรรมะ ให้เจ้ามองเห็นเยื่อใยสัมพันธ์อย่างจืดชืดหน่ายแหนง เยื่อใยสัมพันธ์เหล่านั้นจะได้บอบบางเสื่อมคลายไป ทดสอบจนพวกเจ้าล้มลุกคลุกคลาน กลับหัวกลับหางไปหมด ให้พวกเจ้าไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในอาณาจักรธรรม ข้าจะทดสอบจนภรรยา หรือไม่และลูก ๆ ของเจ้าต้องแยกย้ายไกลห่างกัน ทดสอบจนพวกเจ้าไม่สามารถตั้งมั่นหรือมีความสง่าน่าเกรงขามอยู่ได้ในอาณาจักธรรม โดยเฉพาะคนที่ทำตัวเป็นจุดเด่น ข้าก็จะให้เจ้าต้องโค้งกายวอนขอข้าเก้าสิบองค์ศาเลย วิงวอนขอร้องให้ได้ผ่านการทดสอบของข้าพญาอสูร
หากใจมารของเจ้ามาหาข้า ข้าก็เต็มใจที่จะเป็นเพื่อนของเจ้าติดตามอยู่กับเจ้า เป็นเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลังเจ้า ต่อให้พระพุทธะจี้กงขอร้องข้าก็ไม่เกิดประโยชน์ พระองค์ท่านรับบัญชามาเพื่อปฏิบัติเผยแพร่ธรรม ส่วนข้าเองก็ได้รับบัญชามาทดสอบธรรม มองดูพวกเจ้าผู้บำเพ็ญ เดี๋ยวก็ก้าวไปข้างหน้า เดี๋ยวก็ถอยไปข้างหลัง ถ้าอยากจะผ่านการทดสอบของข้าไปให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พวกเจ้าจะต้องยอมรับในทุกข์อย่าง อย่าได้โทษว่าข้าไร้เยื่อใยสัมพันธ์ อย่าโทษว่าข้าไม่เมตตากรุณา ถ้าข้าไม่สามารถทดสอบให้ผู้บำเพ็ญร่วงหล่นได้แม้คนเดียว แล้วข้าจะมีมรรคผลให้ได้เสวยหรืออย่างไร ?
ดูซิว่าเจ้าเก่งกาจหรือว่าข้าเก่งกาจ ดูซิว่าเจ้าสามารถหรือว่าข้าสามารถ ? ดูซิว่าเจ้าน่าเกรงขามหรือว่าข้าน่าเกรงขาม ? สำหรับผู้ที่มักวิพากษ์วิจารณ์เจ้าก็จะต้องได้รับ หากเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นศิษย์ของพระวิสุทธิอาจารย์ แล้วจะสูงกว่าคนอื่น ๆ หนึ่งขั้นมีบุคลิกน่าเกรงขาม การที่จะผ่านการทดสอบของข้าไปให้ได้นั้น ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ข้าจะจับตามองดูเฝ้าอยู่ทุกเวลานาที จะประชิดติดตามจนกว่าจะมีโอกาสที่เหมาะสมจึงจะลากดึงขาหลังของเจ้า ฉุดลากเจ้าลงมา ให้เจ้าไม่สามารถเดินในหนทางธรรมได้อีก ข้าจะผลักให้เจ้าตกไปในทะเล... ทดสอบจนเจ้าไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ทำให้เจ้าไม่อาจสงบจิตญาณของตนลงได้ ทดสอบจนเจ้าไม่สามารถแสดงออกซึ่งปัญญาได้เลย ทดสอบจนเจ้ากับตาลปัตร กลับถูกกลายเป็นผิด กลับผิดกลายเป็นถูก ทดสอบจนเจ้าเกิดเรื่องถูกผิดนินทาว่าร้ายอะไร ๆ ก็จะเอามาทดสอบเจ้า
เตี่ยนฉวนซือทั้งหลาย อันดับแรกข้าจะทดสอบพวกเจ้าก่อนเจ้าไม่ขอบคุณข้าหรือ ข้าจะทดสอบจนเจ้ายืนอย่างไม่มั่นคง ยืนอย่างไม่สงบ ทดสอบจนเจ้าจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ได้ จะทดสอบจนเจ้าไม่มีความเชื่อมั่นในธรรมะ จะทดสอบเจ้าจนกระทั่งใคร ๆ ก็เบื่อหน้าเจ้าเกลียดชังเจ้า จะทดสอบจนเจ้าไม่มีอาหารจะกิน จะทดสอบให้เจ้าไม่สมจิตสมใจในทุก ๆเหตุการณ์เรื่องราว ข้าจะทดสอบเจ้าทุก ๆอย่าง
ผู้บำเพ็ญในยุคขาวแต่ละคนข้าก็จะทดสอบ หากข้าไม่ทดสอบพวกเจ้า ข้าจะรายงานภาระต่อเบื้องบนได้อย่างไร ? โดยเฉพาะผู้ที่ชอบระเบิดอารมณ์โมโหโกรธ ข้าก็จะยิ่งทดสอบเจ้า ทดสอบไฟอวิชชาของเจ้า ให้แต่ละอย่าง ๆ เกิดขึ้นเองโดยปริยายข้ามักจะอยู่ใน """ ตำหนักวิสุทธิ์สงบ """ ของเจ้าเพื่อทำให้อกสั่นขวัญหายไปหมด จะชักนำให้เจ้าชื่นชอบหมกมุ่นอยู่กับสุรา-ราคะ-ทรัพย์สิน-อารมณ์ ข้าจะชักนำให้เจ้าผิดต่อปณิธานที่ได้ตั้งเอาไว้ จะทำให้เจ้าชื่นชอบหมกมุ่นในกามราคะ เมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะมีบุญกุศลแล้ว เจ้าอย่าได้บอกว่าข้าพญามารไม่เมตตากรุณา เจ้าอยากจะสร้างบุญกุศล ข้าเองก็อยากสร้างบุญกุศล หากข้าไม่ทดสอบเจ้า ก็ไม่สามารถกลับคืนเบื้องบนได้ ลูกหลานมารของข้าก็ย่อมไม่ได้บารมีจากข้าหนุนส่งไปด้วย จะทดสอบให้พวกเจ้าไม่สมใจสมความปรารถนาในทุก ๆ เรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นทางงธรรมหรือทางโลกก็ไม่เป็นไปตามที่นึกคิดคาดหวังทำให้พวกเจ้าไม่สนใจไปเสียแปดเก้าเรื่องในสิบเรื่อง
ข้าจะอาศัยผู้บำเพ็ญที่ร้ายกาจดุดัน มาทดสอบพวกเจ้า ข้าจะอาศัยสาวสวย ๆ หนุ่มหล่อ ๆ มายั่วยวนให้พวกเจ้าลุ่มหลงติดกับ ข้าจะอาศัยทุกสิ่งอย่างมาทดสอบเจ้า จนพวกเจ้าไม่สามารถรับกันได้ไหว เมื่อนั้นจะปรากฏอริยะปราชน์เมธี และพุทธเทพเซียนออกมาได้ ข้าอยากจะสำเร็จเป็นพุทธะ เทพเซียน มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ เจ้าอยากจะขึ้นสวรรค์ มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ อึม ! เจ้าจำเป็นต้องผ่านด่านทดสอบของข้าให้ได้เสียก่อนแต่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก
ข้าจะติดตามเจ้าไปทุกที่ทุกเวลา ทดสอบจนเจ้ากับตาลปัตรหน้าหลังยุ่งเหยิง ทดสอบจนเจ้าไม่มีความศรัทธาเชื่อมั่น ทดสอบจนเจ้าไม่มีความวิริยะก้าวหน้า เตี่ยนฉวนซือเอ๋ย ! เจ้ากลัวหรือไม่กลัวเจ้าคิดดูซิว่าแบกภาระพระโองการสวรรค์นั้นมันง่ยหรือไม่ เจ้าก็เหมือนกันต้องเจอการทดสอบจากข้าก่อน ข้าจะให้เจ้าเจอการทดสอบเสมอ ๆ หากไม่ผ่านกันก็อย่าหวังจะได้ดื่มเหล้ารสดี ( ผลสำเร็จ )เลย หากเจี่ยงซือทั้งหลายที่ไม่เย่อหยิ่งอวดดีคิดเอาเองว่าความรู้ความสามารถนั้นมากมาย ข้าก็จะมาทดสอบพวกเจ้า ทดสอบพวกเจ้าจนตกไปสู่ใจมาร เพื่อที่ใจมารจะดึงดูดข้าซึ่งเป็นมารภายนอกเข้าสู่ตัวเจ้า จะต้องจำเอาไว้ให้ดี ข้าจะอาศัยอยู่ที่ตำหนักวิสุทธิ์สงบ ของพวกเจ้า ข้าจะอยู่ข้างกายพวกเจ้าตลอดเวลา ขอแค่มีโอกาส ข้าก็จะเข้าไปตำหนักวิสัทธิสงบของพวกเจ้า
ข้าจะทดสอบพวกเจ้า ทดสอบถันจู่เจ้าตำหนักพระ ทดสอบเจี่ยงซืออาจารย์บรรยยธรรม ทดสอบปั้นวื่อเหยินเอวี๋ยน พุทธบริกร ทดสอบเต้าชินญาตฺธรรม ใครต่อใครต้องถูกทดสอบ ให้เจ้าต้องเดี๋ยวหน้าเดี๋ยวหลังถอยหลัง ดูซิว่าใครจะเก่งกาจสามารถกว่ากัน ดูซิว่าใครเข้มแข็งแกร่งกล้ากว่ากัน ดูซฺว่าใครมีความมั่นคงแน่วนิ่ง แสดงกันออกมาซิ พวกเรามาเปรียบเทียบกันดูดีหรือไม่ ? มาเปรียบเทียบกันดู หากเจ้าคิดจะมาเป็นเพื่อนของข้าพญาอสูรลูกหลานมารของข้า ก็จะคอยติดตามเจ้าดั่งกับเงาตามตัวต้องจำเอาไว้ให้ดี ข้าจะคอยตรวจสอบชั้นประชุมธรรมอยู่ที่ด้านข้างนี้
-
ความในใจของอสูรกาย
หนึ่งความคิดเป็นมาร ลุ่มหลงตลอดชาติ
หากหนึ่งความคิดเป็นมาร ก็ย่อมลุ่มหลงไปชั่วชีวิต นิสัยอารมณ์ยังคงมีกันอยู่ ก็ย่อมขุ่นมัวไม่สดใส ตำแหน่งของข้านั้นใคร ๆก็ลุ่มหลงคลั้งไคล้ ใครกันที่จะมาทดสอบพลังบุญของเจ้า ?
หากเจ้าเกิดความคิดจิตหวั่นไหว ผู้ที่ยึดติดอยู่กับเรื่องถูกผิดนินทาหรือความชั่วความแค้น ความเคยชินกับความยโสอวดดีรวมทั้งจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ดีงาม ข้าก็จะให้พวกเจ้าสูญเสียการย้อนมองส่องตนและความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งควรจะมีกันในหมู่มนุษย์ทำให้ชีวิตของพวกเจ้านั้นต้องติดพันอยู่กับแรงกรรมของแดนอสูร ลูกหลานมารของข้าจะมาก่อกวนปั่นป่วนวุ่นวายให้กับผู้ที่ชั่วช้าต่ำทราม กับผู้นอกคอกมีความประพฤติไม่ดีงาม จะยิ่งทำให้ความคิดที่จะกระทำผิดกระทำชั่วของพวกเจ้าถลำดำดิ่ง ส่วนผู้ที่ถูกทดสอบจนร่วงหล่นไป ก็จะยิ่งพัดกระพือไฟโกรธแค้นในใจของพวกเจ้าขึ้นมาด้วย ทำให้มันลุกโหมอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ต้องต่อสู้กับมารที่แอบแฝงอยู่ในใจของพวกเจ้าแล้วจึงเกิดมายาลวงตาทั้งหลาย และยังจะเอาหญิงสาว ( กามราคะ )มาทำให้เจ้าลุ่มหลงยึดติด ทำให้เจ้าต้องทุกข์ทนลำบากเพราะความสัมพันธ์ต่อลูก ๆ เจ้าจึงไม่อาจถอนตัวไปได้ ทำให้เจ้าตกไปสู่ "" ชีวิตภาวะอดีตกรรม "" และบาปกรรมที่หนักที่สุดในปัจจุบันชาติให้ต้องรับทุกข์เป็นเวลายาวนาน ต้องให้เจ้าถูกผูกมัดจากคนอื่นไม่หยุดหย่อน ให้เจ้าต้องวิวาทแก่งแย่งกับผู้อื่นไม่หยุดหย่อนโดยที่ไม่สามารถลด ละ ลงได้เลย
ยิ่งกว่านั้นคือ ให้เจ้าต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดหวั่นเต็มไปด้วยอันตราย ไม่เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าเลิกล้มถอนตัวออกกลางคันเปลี่ยนแปรความมุ่งมั่นเอาในระหว่างทาง ใจธรรมถดถอยไปแล้ว จึงหลีกห่างไกลไปจากประตูพุทธะอาณาจักรธรรม เป็นเพราะว่าข้าดูถูกดูหมิ่นความยโสอวดดื้อถือดีของผู้บำเพ็ญที่มีแต่ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญ ที่คิดไปเองว่าตนเองเป็นผู้สูงส่งและไม่มีใครอยู่ในสายตา จงระวังไว้ให้ดีหากข้าถูกจับจ้องมองเห็นเข้า พวกข้าก็จะฉกฉวยโอกาสแล้วเข้าประชิด ทำให้ความดีงามเรื่องดีงามของพวกเจ้าเสียหาย ทำให้พวกเจ้าไม่อาจหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ตลอดไปไม่อาจสำเร็จเป็นเทพเซียนได้
มีคนพูดกันถึง "" ความน่ากลัวของการเวียนว่ายในภูมิวิถีหกในท่ามกลาง เทวภูมิ มนุษยภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ อสูรกายภูมิ และ นรกภูมิ นั้น มักจะมองข้ามการดำรงคงอยู่ของอสูรกายภูมิกัน พวกเจ้าคิดไปว่า เมื่อได้รับธรรมะแล้วก็จะไม่ตกสู่นรกภูมิไม่ตกสู่ความเป็นผี ? ข้าของบอกกับพวกเจ้าว่า หากว่าใจของพวกเจ้ามีความเอนเอียงและยึดติด ความคิดไม่ถูกต้องดีงาม ไม่ก้าวหน้าปฏิบัติตามหนทางธรรมของตนแล้วก็จะทำให้พวกเจ้าจิตใจหวั่นไหว จนไม่รู้ที่จะตรวจสอบพินิจตนได้ อีกทั้งนำพาความชั่วช้ามาประชิดตัวทำให้ในขณะที่พวกเจ้าไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นได้กลายเป็นลูกหลานมารในอสูรกายภูมิ
พวกเจ้าคงคาดคิดไม่ถึงกันว่า """ ข้าเองก็เคยเป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง """ แต่ว่าใจพุทธะในวันนี้เจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่ว่าเมื่อถึงพรุ่งนี้แล้วจะยังคงอยู่ ? ยากเหลือเกิน ข้าเป็นคนในสมัยหนันซ่ง """ เฮ้อเปิ่นหนิง """ คือชื่อเดิมของข้า ในตอนนั้นข้าหลอกลวงคนอื่น หลอกลวงฟ้า หลอกลวงเทพผี รับรู้ปฏิบัติตามในทางเปิดเผย แต่ก็ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามในทางลับด้วยใช้หน้าตาจอมปลอม เพราะความเห็นแก่ตัวของแต่ละคน จึงทำให้ต้องวิวาทแก่งแย่งกับผู้ร่วมบำเพ็ญอื่น ๆ และยังชอบเยาะเย้ยถากถางเจ้าอาวาสในสมัยนั้น แต่ข้าเป็นคนที่กล้าทำแต่ไม่กล้ารับ และยังทำให้ผู้อื่นต้องแบกรับความผิดแทนข้า้ เมื่อเป็นอย่างนี้ข้าก็ไม่รู้สำนึกขอขมาดี ๆ และยังผูกมัดขัดขวางคนอื่น ทำให้ตนเองมีพฤติกรรมไปในทางชอบออกหน้าออกตา เหล่านี้จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ข้าต้องตกมาสู่แดนอสูรในวันนี้
พวกเจ้าไม่ต้องมาคุยเรื่องบุญจริงกุศลแท้ หรือการบำเพ็ญสะสมความดีงามกับข้า ข้ารู้แต่เพียงว่า ใครคล้อยตามข้าก็รุ่งเรือง ใครขัดขืนข้าก็มอดม้วย หลังจากที่ข้าทำลายชื่อเสียงอันดีงามของผูบำเพ็ญแล้วจึงถูกขับไล่ออกจากสำนัก จึงได้ตั้งกลุ่มของตัวเองบิดเบือนวิชาความรู้ประจบสอพลอ หลอกลวงผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงนำพาเวไนยสัตว์ผิดพลาดไปไม่น้อย และยังมีแผนการชั่วร้าย ปั้นเรื่องใส่ความให้ผู้ออกบวชต้องทุศีล ทำให้คนเหล่านั้นต้องสูญเสียผลบุญที่ทำมาในช่วงแรกเริ่มไป เพื่อจะได้คลายความเจ็บแค้นของข้า
คนในสมัยนั้น ต่างก็พูดกันว่าเป็นมารใหญ่มาเกิด ดังนั้นใครเห็นใครก็กลัว และต่างพากันละทิ้งทอดทิ้งไปหมด แต่ในทางกลับกันข้าเกิดความชื่นชอบ คิดว่าตนเองนั้นมีกุศลผลบุญใหญ่ผู้คนบนโลกควรที่จะเคารพนบไหว้ต่อข้า
ในตอนที่จะละกายสังขารนั้น ใจของข้านั้นยังไม่ตาย ยากที่ความชั่วร้ายจะมลาย ความคิดที่ไม่ดียังไม่ได้กำจัดทิ้งหลังจากตายไปแล้วจึงไม่ได้สำนึกแก้ไข จึงได้ไปยังแดนมารอยู่ภายใต้ความควบคุมของพญามาร ในขณะนั้นเองเป็นเพราะความผูกติดเกี่ยวโยงของความคิดและแรงกรรม จึงต้องตกต่ำถลำลึกไปยังหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง ในชั่วแวบนั้นเองจึงมีเขามารสองเขางอกขึ้นมาบนหัว บนตัวก็เกิดหนามแหลมเต็มไปหมด รอบตัวก็มีไฟลุกกระพืออยู่ เส้นผมก็ชี้โด่เด่ ใบหน้าสีดำ และมีเขี้ยวโง้งน่าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์หากไม่มีรูปลักษณ์อย่างนี้ จะทำให้คนบนโลกตกอกตกใจหวาดกลัวได้อย่างไร
-
ความในใจของอสูรกาย
หนึ่งความคิดเป็นมาร ลุ่มหลงตลอดชาติ
ขอบอกกับพวกเจ้าว่า จงระวังมารเล็กมารน้อยทั้งหลายของข้าที่จะคอยเสาะหาผู้ที่ไม่มีความกระปรี้กระเปร่า ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างท้อแท้สิ้นหวัง ผู้ที่ในใจไม่มีความดีงามเลยแม้แต่น้อย หรือผู้ที่ไม่มีความเที่ยงตรงถูกต้องในใจ ข้าก็จะให้พวกเจ้าต้องประสบกับมาร เจอะเจอกับโรคภัยทำให้มารแห่งโรคภัยมากลุ้มรุมอยู่บนตัว จะทำให้พวกเจ้าเจ็บป่วยไม่ว่าจะกินยาหรือผ่าตัดหรือจะใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวมาเยียวยารักษาก็ไม่อาจรักษาให้หายได้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าอยากอยู่ก็ไม่ได้อยากตายก็ไม่ได้อีก ต้องรู้ไว้ว่าพวกข้าจะแมรกซอนเข้าไปในทุกขุมอณู ไม่มีที่ที่พวกข้าไปไม่ถึง
การที่คนบนโลกประสบกับอุบัติเหตุ หรือว่ามีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้านั้น ไม่ใช่ว่าจะไร้สาเหตุหรือไม่มีที่มาที่ไปล้วนแล้วแต่มีผีมารหรือเจ้ากรรมนายเวรคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น นี่เป็นความร้ายกาจที่ไม่มีรูปลักษณ์นี่คืออันตรายที่มองไม่เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ที่จิตใจของพวกเจ้าเอง มีหรือไม่มีพลังธรรมอันวิสุทธิ์ดีงาม ? ไม่เช่นนั้นก็จะถูกพวกข้าพิชิตกำราบเอา
โลกในยุคปัจจุบันนี้ มีสิ่งแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น รวมทั้งภัยสงครามและเภทภัยทั้งหลาย ภัยพิบัติที่ลงมาสู่โลกนั่นเป็นเพราะคนเราก่อกรรมทำเข็ญเอง ก็เหมือนกับแมลงเม่าที่บินเข้าสู่กองไฟ หนอนไหมที่ทำรังห่อหุ้มตัวเอง ทำเองก็รับผลเอง
มีคำกล่าวว่า "" เจ้ากรรมมีอยู่จริง หนี้แค้นสนองจริง "" พวกเจ้าแต่ละคนเป็นเพราะจิตใจที่ไม่วิสุทธิ์สงบจากหลายภพหลายชาติ จึงมีผลกรรมที่ก่อขึ้นทาง กาย วาจา ใจ และยังมีแรงกรรมแต่ละอย่างรวมกันแล้ว กลายเป็นเหตุต้นผลกรรมวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่อยู่ในนรกภูมินั้นถ้าหากได้ ""ป้ายทวงชีวิต "" มาอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าแล้วการเอาชีวิตของพวกเจ้าที่อยู่บนโลกนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ในตอนนี้ ข้าพร้อมลูกหลานมารก็จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพื่อทำให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้สมปารรถนา พวกเจ้าจะต้องระมัดระวังหนทางชีวิตของตัวเองต้องระวังทุกย่างก้าวของตนเอง อย่าได้โทษว่าพวกข้านั้นไร้เยื่อใยไร้มโนธรรม
ยังมีอีกคือ หากในครอบครัวใหนไม่มีพลังอันดีงาม กลับก่อบาปสร้างกรรมมากมาย พวกข้าก็จะรอคอยพวกเจ้าอยู่ที่ด้านนอกของบ้านเรือน เพื่อทำให้พลังความเลวร้ายหมุนวนอยู่รอบกายรอจนกระทั่งดวงของคนคนนั้นตกต่ำ ก็จะเข้าประชิดตัวให้เจ้าได้สร้างบาป และยังชักนำให้เจ้าประพฤติผิดต่อเรื่องมนุษย์ธรรม (ธรรมของคน) และอนุตตรธรรม (ธรรมของฟ้า) เพื่อให้ผิดบาปของเจ้านั้นหนักหนามากมายขึ้น และผู้บำเพ็ญที่จิตใจไม่ราบเรียบเป็นปกติและที่หยิ่งยโส ข้าก็จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรทวงหนี้ได้โดยที่เจ้าไม่รู้ตัว ให้รู้สึกว่าทุก ๆ เรื่องราวทุก ๆเหตุการณ์ไม่ราบรื่น ทำให้พวกเจ้าไม่เป็นผู้เป็นคน เพื่อจะทำให้พวกข้าประชิดตัวตนได้ สำหรับผู้ที่ใช้ความฉลาดมาบำเพ็ญธรรมข้าก็จะให้พวกเจ้าได้มีชื่อเสียงจอมปลอมทำให้พวกเจ้าเกิดความกระหยิ่มยิ้มย่องใจ จึงไม่รู้จักย้อนมองส่องตน บดบังประทีปที่สว่างไสวในใจของเจ้า ชักนำให้เจ้าเข้าไปสู่ความมืดมนอับแสงวกเจ้าได้ตั้งปณิธานกันแบบเห็นเป็นของเล่น และขอบเขตระหว่งชาย หญิงก็ไม่ชัดเจน ที่ชอบที่สุดคือให้จิตใจของพวกเจ้าไม่สว่างใสเสมอ ๆ จะได้ยิ่งทำให้พวกข้าเข้าใกล้ประชิดติดตัวพวกเจ้ามากขึ้น นำให้พวกเจ้าเดินไปในหนทางมิจฉาเลวร้ายทำให้พวกเจ้าไม่สามารถกำจัดเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายทิ้งไปได้ จึงทำให้ได้รับผลตอบสนองที่น่าหวาดกลัวทุก ๆ อย่าง
-
ความในใจของอสูรกาย
หนึ่งความคิดเป็นมาร ลุ่มหลงตลอดชาติ
หากพวกเจ้าไม่ทำหูให้สะอาดสงบปากไม่รู้จักเก็บมิดที่ซ่อนเอาไว้ ไม่รู้ที่จะประคองรักษาหน้าที่พื้นฐานเพื่อปฏิบัติธรรมและคอยมองหาคุ้ยเขี่ยความไม่ดีงามของผู้อื่น ข้าก็จะทำให้เจ้าติดอยู่ในวังวนของเรื่องผิดถูกนินทาว่าร้ายตลอดไป ทำให้อินย์หกของเจ้าไม่วิสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่สามารถเป็นสุขได้ในการใช้ชีวิต ข้าจะทำให้คนบนโลกจิตใจไม่สงบ เพราะความถูกความผิดบุญคุณและความแค้น และให้ต่างเข่นฆ่าทำลายกัน
เมื่อธรรมสูงหนึ่งฟุต มารก็จะสูงหนึ่งเมตร กระจกถ้าไม่ได้ขัดเช็ดก็ย่อมไม่สว่าง พวกเราลองหาโอกาสมาประลองกันสักหน่อย ไม่แน่ว่าเจ้าที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็คือคู่ปรับที่ขัาตามหาอยู่นั่นเองให้ข้าเป็นเงาตามตัวเจ้าก็แล้วกัน ทำให้รูปกายเจ้ากับรูปเงาข้าไม่แยกห่างจากกัน จะได้มีเยื่อใยผูกพันกัน เพื่อที่เจ้าจะได้เข้าใจถึงโฉมหน้าเดิมทีของข้าได้มากขึ้น จะทดสอบจนพวกเจ้ากายพ่ายแพ้ และชื่อเสียหาย เป็นอุปสรรคขัดเกลาจนไม่อาจเป็นผู้เป็นคนได้
ธรรมะจริงแท้มีอยู่แค่กายเดียว นั่นคือความสว่างไสวที่ไร้ขอบเขต มารมีอยู่มากมายก็คือความคละเคล้าปะปน ความอับแสง หากเจ้าลุ่มหลงยึดมั่นถือมั่น ประพฤติปฏิบัติออกนอกลู่แนวทาง มีความลำเอียงอคติ หากไม่ได้บำเพ็ญตนเอง ไม่บำเพ็ญขัดเกลาให้จิตใจดีงาม และความคิดถูกต้องไม่สับสนแล้วละก็ พวกข้าก็จะนำพาพวกเจ้าไปยังแดนมารที่มืดมนอันธการ ทำให้พวกเจ้าไม่รู้ตัวไม่รู้ตน พวกเจ้าไม่สามารถหลีกพ้นจากอุ้งมือพญาอสูรอย่างข้าไปได้ ทุกคนพึงรู้ความสำคัญของภาระอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตนแบกรับอยู่ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ทำตาม สิ่งที่ควรทำและฟังบัญชาของเบื้องบนได้ จะต้องแสดงออกมาเป็นความจริง ? ใจดวงนี้ของเจ้าเดี๋ยวก็ขึ้นเดี๋ยวก็ลงกระเพื่อมสั่นไหวไม่สงบนิ่ง ให้พวกเจ้าและอุทิศทุ่มเทเจ้าก็รู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรม ให้เจ้าทุ่มเทอุทิศเจ้าก็คิดแต่ว่าจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนกลับมา หากไม่เป็นไปตามความปรารถนาหรือไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่นก็จะสูญเสียความมุ่งมั่นเกิดความท้อแท้ใจ เปรียบเทียบแข่งขันกันแต่เรื่องชื่อเสียงผลประโยชน์ ยึดติดอยู่กับอัตตาตัวตน หากว่าความผิดจุดอ่อนของพวกเจ้าเหล่านี้ ตกมาอยู่ในเงื้อมมือของข้า ข้าก็จะจับพวกเจ้าแต่ละคน ๆ จะทำให้พวกเจ้าได้ปล่อยไก่หน้าแตกต่อหน้าผู้อื่น
อย่าได้คิดว่ากายสังขารนี้ของพวกเจ้าเป็นสีคุ้มกันให้กับตนเองหากเกิดความคิดที่ชั่วร้ายขึ้นมา ล้วนถูกเก็บแฝงเร้นเอาไว้เทพกับผีมองเห็นพวกเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนลำตัวโปร่งแสง พวกเจ้ากลัวกันหรือไม่ ? ไม่จำเป็นต้องกลัวกันหรอก มีคำพูดกล่าวว่า "" ใจไม่ลวกหยาบ ก็เย็นสบาย "" พวกเจ้าหากปฏิบัติได้ถูกต้องดีงามต่อให้พวกข้ามารทั้งหลายจะมีฤทธิ์เดชมากแขนาดใหนก็ยังไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ไม่เช่นนั้นหากพวกเจ้าไม่ก้าวเดินไปในหนทางอันถูกต้องดีงาม ความประพฤติไม่ตรงไปตรงมา จิตใจไม่กระจ่างแจ้งก็ทำให้พลังดีงามไม่เจริญ ในตอนนั้นก็ย่อมมีความระแวง เกิดมีผีแอบแฝงใจมารก็จะก่อขึ้นเอง ก็อย่าได้โทษพวกข้าว่ามาโดยไม่ได้เชื้อเชิญ จึงทำให้พลังเลวทรามหมุนเวียนอยู่รอบกายของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงไม่นั่งนอนได้อย่างเป็นสุข จิตใจว้าวุ่นไม่สงบคงนั่งได้ทำให้ "" บริเวณหว่างคิ้ว "" ( ซึ่งก็สื่อถึงบริเวณญาณทวารนั่นเอง)มืดมนอับแสงไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบเจอพวกเจ้าก็จะไม่กล้าเข้าใกล้ ทำให้พวกเจ้าชอบหลั่งน้ำตาโดยไม่สามารถควบคุมได้เลยคำพูดวาจา และพฤติกรรมความประพฤติก็สูญเสียความเป็นปกติที่ดีงามไปทำให้วิญญาณกลับตาลปัตรไม่เป็นผู้เป็นคน
ปัจจุบันนี้มีโรคเจ้ากรรมนายเวรมากมายที่รักษาแต่ก็รักษาไม่หาย เยียวยาแต่ก็เยียวยาไม่ดีขึ้น ใช่หรือไม่ ?นี่จึงเป็นข้อยืนยันได้ถึงการตัดสินบัญชีครั้งใหญ่ในยุคสามวาระท้ายปลายกัป เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายต่างก็เร่งรัดในการทวงหนี้เวรกรรมคืนหรือบ้างก็ทวงเอาชีวิตมารก็จะคอยช่วยเหลือเป็นการต้ดสินชี้ขาดครั้งใหญ่ ระหว่างคนกับผีขัดเกลาจนจิตใจหรือร่างกายของพวกเจ้านั้นไม่อาจที่จะทนทานได้ไหวทำให้พวกเจ้ารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง
วาระท้ายปลายกัปนี้ พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดูซิว่าพวกเจ้าจะรับมือกับพวกข้าได้อย่างไร หรือจะให้พวกข้ามากำรบเจ้าจนล้มไป ถึงแม้ว่าพวกข้าจะเป็นแขกที่ไม่รีบเร่ง แต่ในอนาคตพวกเจ้าคงจะต้องขอบคุณพวกข้า ถ้าสามารถพูดได้แต่ทำไม่ได้หรือสักแต่พูดแต่ไม่ขัดเกลาฝึกฝน ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ บำเพ็ญพรหมจรรย์ ด่านเกี่ยวกับกามราคะนั้นยากที่จะหน้พ้นไปได้ง่าย ๆ "" ห้าล้ำเลิศ-สี่เที่ยงตรง"" ทำกันได้กี่มากน้อยหากไม่รู้ที่จะแปรสัมพันธ์ทางโลกให้เป็นสัมพันธ์ทางธรรม หากดวงตาซัดส่ายสับสน ก็ย่อมถูกมารเข้าประชิดพวกเจ้าทำถูกต้องต่อปณิธานที่ได้ตั้งเอาไว้หรือไม่ ? พวกเจ้าได้ตั้งปณิธานสำคัญต่อหน้าพระอนุตตรธรรมเจ้า ก็เหมือนกับทำสัญญาที่ได้ลงประทับตราเอาไว้แล้ว มีข้อสัญญาจึงจะมีพยานหลักฐานจะบิดพลิ้วไม่ยอมรับไม่ได้ ดังนั้นปณิธานของพวกเจ้าก็คือภาระหน้าที่ที่ต้องทำของข้าพเจ้าหากทำหน้าที่ได้ไม่ดี ก็จะเป็นการตัดขาดชีวิตของตนเองและไม่มีประโยชน์ต่อหน้าที่ของตนไม่อาจบรรลุหน้าที่ของตนได้
วันนี้พระอนุตตรธรรมมารดาทรงเมตตากรุณาแม้จะไม่เรียกว่าเป็นผู้ผิดต่อปณิธานหัวไม่ขาดชีวิตไม่สิ้นแต่เมื่อตั้งปณิธานล้วนแต่ไม่ไปเจริญบรรลุปณิธานนั้น ๆ ก็ย่อมถูกจิตอันดีงามประณามโดยทำให้ร่างกายทุดกข์ทรมานและชีวิตจิตญาณเสียหาย รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำผิด บาปก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว พวกเจ้าพิจารณาโทษเอาเถิด
-
ยาสมานจิต ของพระอาจารย์ไร้ขอบเขต (อู๋จี้)
มีความอดกลั้น ๑ ชิ้น
มีจิตเมตตากรุณา ๑ ชิ้น
มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ๑/๒ ตำลึง
มีเหตุผล ๓ ขีด
มีสัจจะ ขาดไม่ได้
มีความยุติธรรม ๑ ชิ้น
มีความกตัญญู ๑๐ ส่วน
มีความซื่อสัตย์ ๑ อัน
สร้างผลบุญและกุศล มีเต็มที่
ให้ความสะดวก ไม่จำกัดจำนวน
พระอาจารย์กล่าวไว้ว่า "" ผู้ใดก็ตาม หากต้องการปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรือง มีครอบครัวที่สุขสันต์ หรือจะบำเพ็ญธรรมให้บรรลุผล ควรรับประทานยาสมานจิต ซึ่งประกอบด้วยตัวยา ๑๐ อย่างข้างต้น จึงจะเกิดผล "" ยาขนานนี้เหมาะกับฟ้าดิน ถ้ารับประทานบ่อย ๆ ไม่ต้องพึ่งพาแพทย์ ใด ๆ ขอให้อุบาสก อุบาสิกา ทุกผู้นาม จงอย่าได้รีรอสงสัย ""
วิธีใช้
ให้จิตว่างฝัด ไม่รีบร้อน ไม่โมหะ ให้อารมณ์ลดลง ๓๐ % บดให้ละเอียด จนเป็นผงในกะละมังยุติธรรม และควรไตร่ตรอง ๓ ครั้ง ใช้น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานวันละ ๓ ครั้ง เวลาใดก็ได้ แต่ต้องทานด้วยอารมณ์เยือกเย็น ถ้ารับประทานประจำร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
ข้อห้าม
๑ . อย่าพูดอย่างทำอย่าง
๒ . อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว
๓ . อย่าลอบกัดคนข้างหลัง
๔ . อย่ามีจิตปองร้าย
๕ . อย่าแอบแฝงแผนชั่ว
๖ . อย่ายุยงปอปั้น
๗ . อย่ากุเรื่องให้วุ่นวาย (อย่าปั้นน้ำเป็นตัว)
เจ็ดข้อข้างต้นควรรีบละทิ้ง
อานิสงส์
ยา ๑๐ อย่างนี้ ถ้าใช้ทั้งหมด จะอายุมั่นขวัญยืนบรรลุพระโพธิสัตว์ ถ้าใช้แค่ ๔ - ๕ อย่าง ก็สามารถลดโทษเพิ่มอายุ หากไม่ใช้สักอย่างจะประสบเคราะห์กรรม ถึงแม้จะมีแพทย์เทวาก็ยากที่จะเยียวยาได้
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
ถ้าหากเจ้าขาดซึ่งความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น
การปฏิบัติงานธรรมของเจ้าก็ยากที่จะก้าวหน้า
หากเจ้าขาดซึ่งจิตสัมผัสเห็นใจ
เจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือจิตสำนึกคุณ
หากเจ้าหยุดเดิน
ความหวังทั้งหมดก็จะสูญสิ้นไปในทันที