นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หมวด : รวมเกร็ดธรรม, บทความธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/07/2010, 08:38

หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/07/2010, 08:38

      ประวัติโดยสังเขป  ท่านนักบุญแซ่หวัง นามซู่ถง นามรองเฟิ่งอี๋ อริยฐานะที่ได้รับโปรดจากเบื้องบน

      ในภายหลังคือ "องค์อริยราชเจ้ากระจ่างธรรม"  ท่านนักบุญเป็นชาวอำเภอเฉาหยัง มณฑลเย่อเหอ

       เยาว์วัยขาดการเล่าเรียนศึกษา เนื่องจากยากจนมาก ต้องรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควายหารายได้ช่วย

       ครอบครัว ท่านมีจิตใจซื่อสัตย์  โอบอ้อมอารีย์ ปรองดอง กตัญญู เป็นนิสัยเที่ยงแท้

       เมื่ออายุ 35 ปี  ได้ยินท่านนักบุญใหญ่หยังป๋อเซวียน อรรถาธรรม พลันกระจ่างธรรมต่อประโยคที่ว่า

       "เมธาชนชิงเป็นผู้ผิด ปถุชนชิงเป็นผู้ถูกต้อง" ทันทีที่ได้ยิน ท่านเกิดความสำนึกผิดที่มักจะขัดใจ

       โกรธแค้นต่อความไม่ยุติธรรมตลอดเวลา พอสำนึกจบสิ้น ชั่วเวลาข้ามคืน ฝีหนองหัวใหญ่บนหน้าท้อง

       ที่เรื้อรังมาสิบสองปีพลันฝ่อหายไป

       เดือนห้าปีเดียวกันนั้น เกิดความรู้สึกสะท้อนใจต่อชาวโลก ที่ชายไม่กตัญญู หญิงไม่เป็นกัลยาณี

       ค่านิยมตกต่ำ ทำให้เบื่อหน่ายต่อชีวิต จึงอดอาหารเพื่อจะละกายสังขาร แต่พออดถึงวันที่ห้า

       กลับบังเกิดญาณวิเศษ อีกทั้งได้คิดว่าตายไปก็ไร้ประโยชน์  จะต้องทำความกตัญญูให้ถึงพร้อม

       อยู่เพื่อกล่อมเกลาชาวโลกจะดีกว่า จิตใจเที่ยงธรรมแน่วแน่ พลันก่อเกิดมิติมหัศจรรย์ ภาวะจิตใจ

       เกิดความใสสว่างกระจ่างธรรมทันทีล่วงรู้เหตุการณ์อดีต ปัจจุบัน อนาคตของสรรพสิ่ง ณ บัดใจ

       ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ ยังได้ล่วงรู้ภาวะจิตของผู้คน โดยเฉพาะผู้ป่วยอันเกิดจากการผิดต่อธรรมะ

       ท่านจึงพูดธรรมะรักษาผู้ป่วยให้หายได้อย่างอัศจรรย์

        ในชีวิตของท่านได้สร้างผลงานอันเป็นกุศลประโยชน์ไว้เกินกว่าคณานับ สร้างโรงเรียนสงเคราะห์

        ไว้หกร้อยกว่าแห่ง เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมแก่คนทุกระดับชั้น จนถึงชมรมคุณธรรม

         ระดับโลกสากลพันกว่าชมรม

         ท่านเกิดปีจอ ก่อนหมินกั๋วสี่สิบแปดปี (ค.ศ.1863) ละสังขารบรรลุธรรมปีหมินกั๋วที่ยี่สิบหก

          ปีฉลู (ค.ศ.1937) รวมธรรมายุ เจ็ดสิบสามปียี่สิบวัน  (ท่านไม่ได้รับธรรมะ)       
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/07/2010, 10:03


         ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ เข้าสู่วิถีจิตได้โดยตรงเอง จากพลังการุณย์หาญกล้าอันบริสุทธิ์แน่วแน่

         บังเกิดภาวะ "จิตใสใจสว่าง " ทันที   จุดนี้เป็นข้อคิดแก่ชาวเราว่า เราไดรับเบิกจุดญาณทวาร

         จากพระวิสุทธิอาจารย์ ให้เข้าสู่วิถีจิตโดยตรง แต่เราหาได้บังเกิดภาวะจิตใสใจกระจ่างไม่เพราะเหตุใด

         ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ เป็นชาวนาผู้แร้นแค้นยากไร้สมัยร้อยกว่าปีก่อน  ตรงกันข้ามกับชาวเราในยุคโลกาภิวัฒน์

         ที่บำเพ็ญอยู่กับความสะดวกสบาย อิงอาศัยสถานธรรม อิงอาศัยนักธรรม ผู้นำพา

         " บำเพ็ญต่อเมื่อเกิดปัญหาติดขัด  ปฏิบัติต่อเมื่อได้รับมอบหมาย "  ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋กับผู้ร่วม

         ปฏิบัติบำเพ็ญในสมัยของท่าน เป็นผู้รู้ตื่นก่อนที่วิถีอนุตตรธรรมจะปรกโปรดอย่างแพร่หลาย

         หากเป็นสมัยนี้ ท่านเหล่านั้นคงมิพ้นจากความเป็นนักธรรมระดับสูงอย่างแน่นอน  มีคำกล่าวว่า

         "มาก่อนสู้มาพอดีไม่ได้" เราท่านทั้งหลายนับว่า " มาพอดี " แล้ว
         

         
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/07/2010, 10:46

         อะไรคือบุญ   ทำการถูกต้องตามหลักธรรม  ทำการให้ดี จิตใจเที่ยงธรรม  คือบุญ

        อะไรคือบาป   ผิดต่อหลักธรรม  ทำการให้เสีย  เห็นแก่ตัว     คือบาป

        ในโลกนี้มี 3 คนร้ายใหญ่ซึ่งไม่นับรวมโจรขโมย คนร้ายที่ว่าคือ

        1.    พูดธรรมะ แต่ไม่ทำตามธรรมะ

        2.   รู้ว่าผิดไม่แก้ไข  นี่ร้ายอันดับหนึ่ง

        3.   เสียเปรียบหน่อยไม่พอใจ  ได้เปรียบหน่อยดีใจ   นี่ร้ายอันดับสอง

        4.  ไม่ใช่เรื่องส่วนตน ไม่อาจมีส่วนได้ แต่จรดใจใคร่ได้ไม่ลืม เรื่องผิดกฏระเบียบ

             รู้ว่าไม่น่า ไม่ควรทำ แต่แอบไปทำ   นี่ร้ายอันดับสาม

        " ได้ " ดีใจ  " เสียใจ " โกรธ  ล้วนไม่ใช่คนดี   พอเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกได้มาก ข้าวขึ้นราคา

        เขามีความสุข พอฝนตกข้าวลงราคา เขาไม่พอใจ อย่างนี้ใหนเลย ใจจะเป็นบุญ

        อยากเป็นคนดีนั้นง่ายมาก เมื่อเห็นเรื่องที่เขาทำ ผิดต่อน้ำใจงาม เราอย่าทำ อย่างนั้นบ้างเป็นใช้ได้

        ต่างจัดการบำเพ็ญตนให้ดี โลกก็จะดี  เมื่อเราดีแล้วไปถึงใหนก็จะดีไปถึงนั่น คนหนึ่งคน ก็คือโลกหนึ่งโลก

        สุขาวดี (พุทธเกษตร) หนึ่งพระเยซูคริสต์บรรลุเท่ากับก่อเกิดหนึ่งโลกสวรรค์ วันนี้ทุกคนต่างรอให้โลกดีแล้ว

        จึงจะไปเป็นคนดี หารู้ไม่เมื่อถึงเวลาที่โลกนี้ดีแล้วจริง ๆ เธอจึงค่อยคิดทำดี ก็จะไม่ทันเสียแล้ว
               
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/07/2010, 13:30

       อ่านหนังสือ  เรียนรู้ธรรมะ  สูงส่งอยู่ที่ปฏิบัติ จะต้องน้อมตนลง  ความมุ่งมั่นจะต้องสูงขึ้น

      หากสมานจิตญาณกับคนโบราณ เราก็จะสูงส่งงดงามเป็นเช่นท่านโบราณ

      คนอ่านหนังสือจากคนโบราณ จะต้องเอาเยี่ยงอย่างคนโบราณจึงจะถูกต้อง

      คนสมัยนี้ ได้แต่อ่าน แต่ไม่ทำตาม  คนรู้แต่จะอ่านหนังสือให้มาก ให้คล่อง ไม่รู้จักปฏิบัติตาม

      หนังสือที่ได้อ่าน เหมือนอ่านตำราอาหาร แต่ไม่เคยกินอาหารนั้น ๆ จะรู้รสชาดจริงได้หรือ

      ตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือเลยสักตัว ได้ยินว่าคนโบราณท่านนั้นดี ฉันก็เรียนเยี่ยงอย่างท่าน

      ถ้าเห็นว่าคนปัจจุบันคนนี้ดี ฉันก็จะไม่ยอมห่างจากท่าน ดูว่าท่านปฏิบัติตนอย่างไร รู้จักอีกท่านหนึ่ง

      ก็ได้รู้จักเรียนรู้มากขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  การเรียนรู้ปฏิบัติ เป็นธรรมะที่เข้ากับอริยชน แต่น่าเสียดาย

      ที่ชาวโลกศรัทธาไม่จริง ไม่ยอมเรียนเยี่ยงอย่าง ได้พบคนดีก็ไม่ใส่ใจนั่นคือการเรียนรู้ที่ไม่ได้เป็นจริง

      อ่านหนังสือไม่สู้อ่านคน   ให้เห็นทุกคนเป็นอักษรตัวหนึ่ง    เห็นครอบครัวหนึ่งเป็นหนังสือประโยคหนึ่ง

      เห็นหมู่บ้านหนึ่งเป็นหนังสือบทตอนหนึ่ง   เห็นอำเภอเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง   จังหวัดเป็นหนังสือหนึ่งชุด

      อักษรหนึ่งอธิบายได้กว้าง คนหนึ่งคนมีเรื่องมากมาย อย่างนี้เรียกว่าอ่านคน

      ความกระจ่างต่อธรรมะก็เช่นเดียวกัน อ่านคัมภีร์มหาบุรุษปฐมบทให้เข้าใจ ได้รู้ธรรมะของความเป็นคน

      อ่านคัมภีร์ทางสายกลางปฐมบทให้เข้าใจ ได้รู้ธรรมะของฟ้าเบื้องบน เท่านี้ก็ใช้ได้ไม่หมดสิ้นแล้ว สำหรับ

      ที่จะบรรลุเซียนพุทธะอริยปราชญ์  น่าเสียดายที่คนชอบเรียนรู้ แผ่กว้างออกไปแต่ปล่อยให้มันรกร้าง

      วัยชราของท่านบรมขงจื่อ มักจะพูดเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจกับมวลศิษย์ ท่านตั้งปณิธานเพื่อ

      "ผู้สูงวัยได้ปกติสุข ผู้เยาว์ได้รับการใส่ใจ" ท่านพูด แต่ยังไม่ได้ทำ

       ฉันก่อตั้งสถานอภิบาลคนชรา และศูนย์อุ้มชูผู้เยาว์  หลายแห่ง คือเจริญปณิธานให้เป็นจริงแทนท่านขงจื่อ

       ท่านขงจื่อแพร่ธรรม อบรมแต่นักศึกษาชาย ไม่ได้อบรมนักศึกษาหญิง ฉันก่อตั้งโรงเรียนสตรี คือเติมเต็ม

       ส่วนขาดพร่องของท่านขงจื่อ ฉันจึงกล้าพูดว่า "ฉันเป็นอาจารย์ผู้สร้างพุทธะ"
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/07/2010, 03:53

     มีจิตใจเยี่ยงพุทธะ พูดวาจาของพุทธะ ปฏิบัติกิจของพุทธะ ทุกอย่างถูกต้องเป็นจริงก็คือพุทธะ

     สมัยนี้ คนที่ศึกษาความเป็นพุทธะล้วนมุ่งหมายให้ได้สวยใสในโลก ไม่รู้จักเริ่มจาก "สำรวมกาย

     ใจเที่ยงตรง ศรัทธาจริงแท้ รู้ถึงที่สุด เข้าถึงปลดปลงต่อสรรพสิ่ง

      คนไม่รู้จักพิจารณาความหมายของคำว่า "พุทธะแห่งตน" นั่นคือตนเอง กลับแสวงไปไกลคนโบราณจึงว่า

      "พุทธะอยู่ ณ พุทธญาณบรรพต มิพึงแสวงหาไปไกล พุทธบรรพตอยู่ ณ ตนที่ใจ ทุกคนต่างมีหนึ่งเจดีย์

       พุทธญาณบำเพ็ญได้ใต้ฐานเจดีย์ที่บรรพตนี้ 

       คนสมัยนี้ถูกสวมด้วยหมวกใบใหญ่ถอดไม่ออก  คนศึกษาพุทธธรรมก็เข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงบรรลุ

      ได้พระองค์เดียว พระพุทธะทรงปรารถนาให้ทุกคนบรรลุพุทธะ ไม่ถืออภิสิทธิ์เพียงพระองค์เดียว

       คนที่อบรมสั่งสอนใคร ๆก็จะต้องสอนเขาให้สูงกว่าตนเอง จึงจะไม่ผิดต่อเขา

       ในโลกของพุทธะ ใครคนใดคนหนึ่งมีข้าวกิน ทุกคนล้วนได้กิน ใครคนหนึ่งมีของใช้ ทุกคนล้วนได้ใช้

       ของนั้น ก็เพราะไม่ได้แบ่งเขา - เรา จึงเป็นคนในโลกของพุทธะ

       เพียรทำความดี คือ ทำดี   เพียรธรรม คือเพียรธรรม  แบ่งแยกไม่ถูกไม่ได้ คนอื่นเอ่ยปากก็อ้างแต่พุทธะ

       ส่วนฉันพูดแต่ตัวฉัน ความถูกผิดของตัวฉัน  ส่วนฉันก็ทำดีของฉันไป องค์พุทธะไม่พูดจา ฉันยังพูดได้

      พุทธะเป็นแบบอย่างแก่คน ทำตามที่พุทธะท่านสอน จึงจะเป็นพุทธะ กล่าวอ้างแต่พุทธะทุกวันแสดงว่ารู้มามาก

      แท้จริงนั่นคือ เพียรทำดี  ไม่ใช่ เพียรธรรม  ได้แต่พูดเหมือนดอกไม้ลวงโลก ไม่อาจตกผลได้

      ฉันได้ธรรมะจากการรับจ้างทำงาน ทุกคนต่างดูแคลนฉัน ปีหนึ่ง ญาติธรรมกล่าวปริศนาธรรมแก่ฉันว่า

      "เมล็ดผักกาดแฝงเอาภูเขาพระสุเมรุไว้ได้" ฉันอธิบายว่าเมล็ดผักกาดนั้นคือฉันเอง ฉันคนนี้มีชีวิตอยู่ในโลก

       เล็กกระจิริดเหมือนเมล็ดผักกาดเท่านั้น แต่ภายในจิตใจของฉันแฝงเอาพุทธเกษตร แดนสวรรค์ ทะเลทุกข์

       และนรก สี่โลกใหญ่ไว้ คุณธรรมแปดคือประตูทั้งแปด ล้วนเข้าสู่พุทธเกษตรได้  ฉันรับจ้างเลี้ยงวัว

       มีแต่ความคิดจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภัคดีกับกตัญญูต่อบิดามารดาบุพการี ฉันถือมั่นกตัญญู

       ฉันกล้าเชื่อมั่นต่อตนเองอย่างนี้
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2010, 03:04
    คนหลงอยู่ในอะไรก็ต้องรับทุกข์จากอันนั้น คนรวยตายบนความรวย คนสูงส่งตายบนความสูงส่ง
    คนที่มีอารมณ์ผูกพันมากก็ต้องตายบนความผูกพันธ์นั้น หลุดพ้นออกมาได้จึงจะนับว่ามีธรรม
    หลุดพ้นไม่ได้ก็คือคนหลง ฉันว่าโลกนี้คือค่ายกล ไม่มีอะไรสักอย่างที่ไม่ทำให้คนลุ่มหลงงงงวย
    คนระดับสูง  หลงอยู่บนหลักเหตุผล หลงอยู่บนอักษรหรือศาสนา
    คนระดับกลาง  หลงอยู่บนชื่อเสียง ลาภสักการะหลงลูกเมีย
    คนระดับล่าง    หลงสุรานารี ตลอดชีวิตไม่อาจคลายค่ายกลได้
    คนระดับต่ำสุด  หลงผีสางเทวดา หลงกิน หลงแต่งตัว พอตายก็จบเห่ น่าสงสารแท้
    จะต้องแบ่งแยกสี่โลกใหญ่ได้ชัดเจน คือรู้จิตมุ่งมั่น รู้เจตนาดำริ รู้ใจ รู้กาย จึงจะไม่หลง
    คนที่หลงรูป หลงทรัพย์ หลงสุรายาเมาเหล้าบุรี่ หลงลูกเมีย ไม่มีลูกอยากมี เอาลูกเขามาเลี้ยง
    เอาเมี่ยงเขามาอม บ้างแย่งชิงเพื่อลูก จนลืมความกตัญญู โลกจึงเลวร้ายเสียหายไป
    คนในชมรมคุณธรรม หลงฉัน เคารพยกย่องฉัน บอกว่าฉันมีธรรมะแท้จริงฉันไม่ได้ทำให้เขาหลง
    เขาหลงกันไปเอง
    คนที่ใช้อารมณ์  ล้วนอาศัยฐานรองรับ       คนร่ำรวยใช้อารมณ์โดยอาศัยทรัพย์สิน
    คนสูงศักดิ์ ใชัอารมณ์โดยอาศัยสถานภาพ  คนยากจนใช้อารมณ์จากความยากจน
    เ้ด็กใช้อารมณ์โดยอาศัยความเยาว์วัย       นักธุรกิจใช้อารมณ์โดยอาศัยเงินลงทุน
    ล้วนเป็นความหลงมองดูแล้วร่ำรวยมาก ยศศักดิ์ใหญ่มากนัก กลับไม่ใช่เรื่องดี ถูกผูกมัดด้วยลาภสักการะ
    หลงอยู่กับลาภสักการะ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะปลอดโปร่งสบายกว่า คนอยู่ท่ามกลางลาภสักการะ แต่ล่วงพ้น
    ความมีนั้นได้ จึงจะนับว่าเหนือชั้น จึงจะเป็นคนจริง ชาวโลกมีที่งมงายในประตูทั้งแปดของดวงชะตา
    ทุกครั้งที่จะออกจากบ้านไปทำธุระ ต้องตรวจสอบดูประตูทั้งแปดตามหลักคำนวณการ ของดวงชะตาชีวิต
    ฉันว่าประตูดวงชะตาสู้ประตูคุณธรรมทั้งแปดไม่ได้ คือ กตัญญู พี่น้องปรองดอง ซื่อสัตย์จงรักฯ สัตย์จริง
     จริยา มโนธรรม สุจริต ละอายต่อบาป แปดประตูนี้ดีที่สุด คนจะต้องเดินตามประตูเหล่านี้ ประตูดวงชะตา
     แปดด้านก็จะไม่มีที่ไม่ดีได้ จะบรรลุอริยเมธา เดินตามแปดประตูนี้ คุณประโยชน์ใช้ได้ไม่หมดสิ้น
     เกิดคุณธรรมซื่อสัตย์จงรักฯหนึ่งข้อได้ อีกเจ็ดข้อก็จะไม่ขาด ดีกว่าประตูดวงชะตาเป็นแน่
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/07/2010, 10:51
   
    ฉันศึกษาวิเคราะห์เห็นเป็นประจำว่า ไฟโทสะตีขึ้นจากทรวงในมักจะกระอักเลือด  แรงดันตีขึ้นก็จะกระอักอาหาร
    อาเจียน จะต้องปฏิบัติธรรม เข้าใจธรรม แรงดันและไฟก็จะสลายไป
    ไฟโทสะตีขึ้นคือ "มังกรคำรณ"  โทสะโกรธ คือ "เสือคำราม" คนหากสยบไฟโทสะได้ จึงอาจบรรลุธรรม
     มีคนทำให้โกรธ เราอย่าโกรธ ถ้าโกรธแรงดันกลับเวียนลงจะกลายเป็นพลังหนาวยะเยือก มีเรื่องบีบคั้น
     เธออย่าร้อนรน หากร้อนรนแรงดันไฟเวียนขึ้นกลายเป็นพลังร้อนแรง
     ผู้บำเพ็ญธรรมเจอเรื่องดี ไมดีใจ เจอเรื่องร้าย ไม่ทุกข์ร้อน ไฟโทสะก็จะไม่เกิดอย่างนี้สยบมังกรเสือ
     ไฟกับโทสะเป็นผีสองตนที่เอาความแน่นอนไม่ได้ คุมตัวเองไม่ได้ ก็หลุดพ้นไม่ได้ อนุสัย(อารมณ์) พอขยับ
     ก็เป็นไฟ ความเห็นแก่ตัวพอขยับก็เป็นโทสะ "สยบมังกรเสือ"ก็คือบังคับโทสะอนุสัยไว้ให้อยู่ หากทำได้
     โลกของกายสังขารเท่ากับได้สำรวมบำเพ็ญแล้ว หากย้อนคิดพิจารณาทุกขณะได้ กล่อมเกลาจิตเสมอ
     ก็จะสยบมังกรเสือได้ ฉันว่าไม่ยึดหมายทุกอย่างย่อมไม่มีที่ให้แปดเปื้อน หากต้องพบกับสิ่งไม่สนใจ ก็ใช้
     อารมณ์ไขว่คว้าเมื่อไม่ได้ดั่งตั้งใจก็เกิดอารมณ์อย่างนี้คือแปดเปื้อนฝุ่นธุลีแล้ว
     อารมณ์โทสะเป็นพลังอิน ไฟโทสะเป็นพลังหยาง ไฟเกิดจากใจ ใจขยับไฟก็เกิด ใจคนขยับใจธรรมก็ดับ
     แย่งชิงโลภ หลงเกิดขึ้นทันทีไฟโทสะรุ่มร้อนหัวใจ วุ่นวาย ทุกข์ใจทั้งวัน อย่างนี้แม้จะร่ำรวยก็ขาดความสุข
     ฉะนั้นคนโบราณรักษาใจดังรักษาโรค ฉันจึงว่าหักต้นตอคือหักใจ หักใจได้หมดเรื่องหมดราว
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/07/2010, 04:40
      ค้นหาความดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ยอมรับความผิดเป็นปัญญาใสดุจน้ำ น้ำผสมผสานสมาน
      เข้ากับกลิ่นสีทั้งห้าได้อารมณ์ของคนจะต้องฝึกฝนให้เหมือนน้ำได้ก็จะบรรลุธรรม กุศลสูงสุดดุจน้ำ
      คนกับฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่รู้วิสัยของตนอย่างแท้จริง จะยอมรับผิดได้แน่นอนให้เข้าใจว่าคน
      มีจิตญาณจากฟ้าเป็นวิสัยหลัก มีธรรมวิสัยเป็นคุณสมบัติเพื่อใช้ เข้าใจจริงจังต่อความไม่ดีได้แล้ว
      จิตใจความรู้สึกก็จะปลอดโปร่งแจ่มใสสบายอารมณ์ ค้นพบความดีจิตใจเบาสบายลอยตัวเป็นภาวะ
      ของฟ้ากว้าง ยอมรับความไม่ดี ภาวะขุ่นหนักของความไม่ดีจะลงต่ำผลึกแน่นเป็นแผ่นดิน
      ยอมรับความไม่ดีจะเกิดปํญญาโปร่งใส หาความดีจะเกิดเสียงจากใจภาคภูมิ หาความดีคือเปิดเสียงสวรรค์
      ยอมรับผิด คือปิดประตูนรก หาความดี ดีกว่ากินยาแก้ร้อนใน ยอมรับผิดดีกว่ากินยาบำรุงหัวใจ
      ธาตุทั้งห้า ที่ฉันพูดคือเอาธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ  ห้าคำมานิยาม เช่นเดียวกับศีลห้าศาสนาพุทธ
      ห้าพลังเดิมแท้ของศาสนาเต๋า  คุณธรรมห้าของศาสนาปราชญ์  ธาตุทั้งห้าที่ฉันพูดเป็นเช่นเดียวกับศีลห้า
      ศาสนาพุทธ เกิดโทสะ (ธาตุไม้) คือข้อปาณา ฯ   ชอบสำรวยสวยงาม (ธาตุไฟ) คือข้อกาเมฯ
      ซื้อของจ่ายเงินให้เขาขาดไปแม้ไพเบี้ย (ธาตุทอง) คือข้อทินนาฯ  กินหรูหราฟุ่มเฟือย (ธาตุน้ำ)คือข้อสุราเมรัยฯ
      พูดโกหกแม้เพียงครึ่งคำ (ธาตุดิน) ก็คือข้อมุสา ฯ
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/07/2010, 02:31
  ธาตุทั้งห้าที่ฉันพูดคือ ธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ  ห้าคำมานิยามเช่นเดียวกับศีลห้าศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับห้าพลัง
  เดิมแท้ของศาสนาเต๋า และคุณธรรมห้าของศาสนาปราชญ์  เกิดโทสะ (ธาตุไม้)คือ ข้อปาณาฯ ชอบสำรวยสวยงาม
  (ธาตุไฟ) คือ ข้อกาเมฯ ซื้อของให้เงินเขาขาดไปแม้ไพเบี้ย (ธาตุทอง) คือ ข้ออทินนาฯ กินหรูหราฟุ่มเฟีอย(ธาตุน้ำ)
  คือ ข้อสุราเมรัยฯ พูดโกหกแม้เพียงครึ่งคำ (ธาตุดิน)ก็คือข้อมุสาฯ
  คนธาตุไม้     มีวิบากภัย           คนธาตุไฟ  ได้รับทุกข์           คนธาตุดิน   ต้องเหนื่อยหนัก
  คนธาตุทอง   ต้องยากจน          คนธาตุน้ำ   ต้องเสียอารมณ์
  ธาตุในตัวเป็นอะไรก็เกิดวิสัยเป็นธาตุนั้น ๆ มหาพรหมราชเจ้าเหลาจื่อ โปรดว่า "เคราะห์ภัยวาสนาหามีประตูเปิดไม่"
  ตนเองสิเรียกไว้ให้เอาเข้ามา""ไม่ผิดทีเดียวฉันจึงว่า เรื่องดีเรื่องร้ายล้วนแตวิสัยของตัวเองนั่นแหละชักนำเข้ามา
  ความทุกข์ของคนล้วนอยู่ในจิตวิสัยของตน ไม่ยอมใคร คือพลังอินธาตุไม้  ชอบเอาชนะเหตุผลคือพลังอินธาตุไฟ
  ชอบขัดเคืองโทษโพย คือพลังอินธาตุดิน   ชอบถกเถียงโต้แย้ง คือพลังอินธาตุทอง  ชอบจุกจิกยุ่งยาก คือ
  พลังอินธาตุน้ำ  ญาณที่เบื้องบนประทานมาเรียกว่า ธรรมญาณ   ธรรมญาณวิสัยจะไม่เอนเอียง ส่วนญาณวิสัยที่มี
  อยู่ในโลกีย์ชน เรียกว่า"อนุสัย (สันดาน) มีบางมีหนา สิ่งที่มาเรียนรู้ใหม่ในภายหลังเรียกว่านิสัยความเคยชินมีดีมีชั่ว
  อนุสัยไม่ปรับเปลี่ยนจะไม่ไหวคม นิสัยเลวไม่กำจัด ไม่อาจหยัดยืน หากอนุสัยหนักไปทางธาตุไม้การพูดจามัก
  จะกระทบกระเทียบ เปรียบเปรย อนุสัยหนักไปทางธาตุไฟ การพูดจามักจะเผาไหม้ทำลาย อนุสัยหนักไปทางธาตุดิน
  การพูดจามักจะกดขี่บังคับ อนุสัยหนักไปทางธาตุทอง การพูดจามักจะเชือดเฉือนบาดใจ อนุสัยหนักไปทางธาตุน้ำ
  การพูดจามักจะหมกจมเขา คนหากแปรเปลี่ยนกำจัดอนุสัยได้ ธรรมญาณวิสัย ก็จะสำแดงคุณ
  อารมณ์วิสัยของคนทั่วไปล้วนไม่เที่ยงตรง ถ้าหนักไปทางธาตุไฟก็ชอบจะเอาชนะยื้อยุดเหตุผล หนักไปทางธาตุดิน
  จะข่มแหงรังแกเขา  หนักไปทางธาตุทอง จะทำร้ายคน หนักไปทางธาตุน้ำ จะหมกจมเขา  หนักไปทางธาตุไม้
  จะไม่ยอมรับนับถือใคร กำจัดปรับเปลี่ยนความหนักเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดได้ ก็จะได้ธรรมะ
 
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/07/2010, 08:50
รู้หยุดจึงเกิดสมาธิ                    เป็นภาวะของพลังหยาง  ธาตุไม้
มีสมาธิจึงสงบนิ่ง                     เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุไฟ
สงบนิ่งจึงสุขแท้คงมั่น               เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุดิน
สุขแท้คงมั่นจึงพิจารณาได้จริง     เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุทอง
พิจารณาได้จริงจึงได้ผลจริง        เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุน้ำ

คัมภีร์มหาบุรุษปฐมบท สอนเราจนครบถ้วนด้วยธรรมะของความเป็นคนหนอ  คัมภีร์ทางสายกลางปฐมบท ก็กล่าวถึงวิถี
อนุตตรธรรมไว้อย่างทะลุปรุโปร่งหนอ
ธาตุไม้  โดยแท้เป็นรากฐานของความเป็นพุทธะ วิสัยของคนธาตุไม้โดยแท้(อยาง) จะมีวิจารณญาณโดยตน อดทน
           อดกลั้น  เสริมสร้างสรรพสิ่ง
ธาตุไฟ   โดยแท้เป็นรากฐานของเทพ วิสัยของคนธาตุไฟโดยแท้ จะเป็นผู้เข้าถึงหลักสัจธรรมได้ รู้กาละเทศะ รู้บรรลุ
            การอันควร ปรับแปรสรรพสิ่ง  ไม่ถูกสรรพสิ่งผูกมัด
ธาตุดิน   โดยแท้เป็นรากฐานของธรรมะ  วิสัยของคนธาตุดินโดยแท้ จะเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ยอมรับฟัง อดกลั้นได้
            ปรับแปรได้ เสริมสร้างสรรพสิ่งได้ ผู้อื่นเลวเป็นเหตุเป็นผลกรรมของผู้อื่น เธออย่าได้กล่าวโทษเขา และไม่
            ต้องร้อนรนแทนเขา                                                                       
ธาตุทอง  โดยแท้เป็นรากฐานของความเป็นเซียน หาความดีของผู้อื่นได้ เสียงของธาตุทองดังกังวาลใส  ร่วมบุญ
             สัมพันธ์กับคนมากมาย มีพลังมโนธรรม มีความเฉียบขาดในการตัดสินใจ ฝ่าฟันอุปสรรคได้
             สร้างสรรค์สรรพสิ่งได้
ธาตุน้ำ     โดยแท้เป็นรากฐานของอริยะ ยอมรับผิดได้ ยอมรับผิดจะเกิดปัญญาจากธาตุน้ำ จิตใจจะอ่อนโยนอุ้มชู
             สรรพสิ่งได้
คน แม้หากไม่ได้ธาตุแท้ทั้งห้าไว้ ทิฐิยึดหมาย ใช้แต่อารมณ์ของอนุสัย จะต้องตายในความวิปริตของธาตุทั้งห้า
                                                                               
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/07/2010, 05:18
เข้าถึงความเป็นไปของยุคกาล   คือพลังอยาง   ธาตุไฟ
เชื่อกฏแห่งกรรม                   คือพลังอยาง   ธาตุดิน
หาความดี                           คือพลังอยาง   ธาตุทอง
ยอมรับผิด                           คือพลังอยาง   ธาตุน้ำ
อดทนอดกลั้นได้                   คือพลังอยาง   ธาตุไม้
แท้จริงนี่คือ ธาตุแท้ของธาตุทั้งห้า ความเป็นไปของยุคกาลปัจจุบัน วิสัยจิตใจของทุกคนล้วนมีไฟ วิสัยไฟคือ
โลภ ชอบชิงเหตุผล ชาวโลกจึงโลภอยากกันไม่รู้จักพอ ทำสงครามกันไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ชิงไม่โลภ คือ
พลังอยางธาตุไฟแท้จริง  พลังอยางธาตุไฟแท้จริงจึงจะเข้าถึงความเป็นไปของยุคกาล(จะไม่โลภ ไม่แย่งชิง)   
พูดธรรมะรักษาคนป่วย น้องสะใภ้เกี่ยวดองของฉันป่วยหนัก ทุกคนบอกว่าเข้าขั้นอันตรายมาก ฉันรู้ว่าเธอป่วยเพราะ
ไม่พอใจสามีและแม่ของเขา จึงไปตักเตือนว่า"แม่สามีกับสามีเป็นฟ้าของเธอ เธอไม่พอใจก็คือทำร้ายฟ้าของเธอเอง
ถึงแม้สามีจะจู้จี้วุ่นวาย แต่ก็ด้วยอยากให้เธอดี จะขุ่นเคืองได้ยังไง"พูดถึงตรงนี้เธอพยักหน้า ฉันรู้ว่าความคิดของเธอ
ถูกต้องกลับมาแล้วแต่รู้ว่าเธอยังอาจไม่หายป่วย ฉันเตือนน้องชายผู้เป็นสามีของเธอว่า ฉันรู้ว่าความคิดถูกต้อง
ของภรรยาเธอกลับมาแล้ว แต่ใจยังไม่กลับมา ใจของเํธออยู่กับลามะ (พระธิเบตที่รักษาป่วยไข้)น้องชายจงไปรับ
ท่านลามะมา ไม่ต้องกินยาก็หาย น้องชายไปทำตาม แล้วเธอก็หายป่วยจริง ๆ จึงเห็นได้ว่าขจัดใจหมกมุ่นไป
เหมือนได้กินยาวิเศษ
       
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/08/2010, 01:08
ในใจคิดถึงแต่ความไม่ดีของคนอื่นคือ ใจป่วย โมโหบ่อยๆ คืออารมณ์ป่วย ใจป่วยจะทำให้อารมณ์ป่วยตาม
อารมณ์ป่วยจะทำให้กายป่วยกลับกันเสียป่วยก็จะหาย จากประสพการณ์ที่ฉันพูดแก้ป่วยพบว่าเกิดได้ป่วย
ในบ้านจะไม่หายถ้าไม่ได้ออกจากบ้าน เกิดได้ป่วยจากนอกบ้านจะไม่หายถ้าไม่ได้กลับเข้าบ้านเพราะ
ความป่วยฝังอยู่ในใจ ไม่จบสิ้นความในใจป่วยจะไม่หาย เจ็บป่วยเป็นความทุกข์หากเธอทำเหมือนมีความสุข
นานวันเข้าความสุขจริงๆก็เกิดขึ้น พลังอินอับเฉาในใจก็จะเหมือนควันกลุ่มหนึ่งลอยออกไป โรคภัยหายหมด
ดังคำพังเพยว่า"สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาชัดๆปีศาจก็หนีหาย" ความสุขคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอินคือปีศาจ พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปรากฏชัด ปีศาจย่อมต้องลี้หายอยู่เอง คนที่เจ็บป่วยตายล้วนมีบาป คนที่ตายไปสู่โลกเบื้องสูงคือตายอย่างมีความสุข
จึงไม่ต้องร้องไห้แก่เขา ธรรมะไม่ห่างจากคน ฉันอรรถาธรรมทุกวันหากไม่แจกแจงคนจะมีธรรมะได้ที่ใหนศึกษาธรรม
ไม่มุ่งใจฟังหลายๆครั้งเข้ากลับจะรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรไม่เห็นความสำคัญของการเป็นคนไม่ค้นหาความไม่ดีของตน
เอาแต่ดูความผิดเขาอื่นลืมตนเองเสียสิ้น ตั้งแต่เล็กที่เราเป็นหลาน เป็นลูก จนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกเป็นปู่ที่มีหลาน
ตลอดชีวิตที่เป็นมาเราเป็นไม่ถูกเลยสักฐานะเดียว ข้อธรรมหนึ่งเดียวก็เดินไปไม่ถูกเกิดมาวุ่นวายตายไปเสียเปล่า
คนจึงเหมือนถูกโยนทิ้งสูญสิ้นไปไร้ค่าโลกจึงต้องเสียหายไปจากเหตุที่เป็นเช่นนี้ ฉันเห็นชาวโลกช่างน่าขัน
ไม่ใช่ก้าวก่ายบงการเรื่องของลูก ก็ก้าวก่ายบงการเรื่องของภรรยาอีกทั้งพี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ญาติ
เพื่อนฝูง เพียงแค่มีส่วนเกี่ยวข้องกันหน่อยก็ชอบที่จะไปจัดการก้าวก่ายแต่ไม่รู้จักที่จะจัดการกับตัวเอง
ดูเถิดชาวโลกโง่กันขนาดใหน คนที่อยู่ในกรอบคุณสัมพันธ์ห้ากับคุณธรรมห้าเบญจธรรม(อู่หลุน อู่ฉัง)จะเคารพรัก
ซึ่งกันและกันจะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมในตนเต็มที่ทุกอย่างเป็นไปโดยตนเองเป็นเองพูดง่ายๆคือธรรมะเป็นถึงความที่สุด
ไม่ใชเล่นหลอก พ่อแม่เมตตากรุณาถึงที่สุด ลูกกตัญญูถึงที่สุด พี่น้องปรองดองถึงที่สุด ล้วนเป็นด้วยตนเอง
จึงจะเรียกว่าถึงที่สุดของความเป็นธรรมะ ถึงที่สุดของธรรมะด้วยตนเองจึงจะเป็นกุศล ถ้าเล่นหลอกก็คือชั่วร้าย
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/08/2010, 09:33
สมัยนี้ที่ครอบครัวแตกแยก ก็เพราะธรรมะเล่นหลอกกันมาก ธรรมะถึงที่สุดมีน้อย เหมือนคนถวงหนี้มีแยะคนที่จ่ายหนี้
มีน้อย อย่างนี้จะไม่ให้ทะเลาะกันได้อย่างไร สมัยนี้คนชอบเดินลงต่ำ คนแก่วิ่งเต้นทำมาหากินทั้งกลางวันกลางคืน
ลูกชายเที่ยวแตร่ไม่ทำงาน อะไรก็ทำไม่เป็น เป็นคนว่างเคว้งคว้าง ลูกสาวอาศัยพ่อแม่ โลภอยากแย่งชิงคับข้องใจ
จะมีเรือนไปก็จะเอาเงินทองของแต่ง เอาสินสมรสมาก ๆ ไม่พอก็เคืองพ่อแม่ เคืองสามี เคืองพ่อแม่สามี มีแต่แรง
ขัดเคืองเต็มอก อย่างนี้จะไม่กลายเป็น "นางขัดเคือง"ไปหรือ ต่อไปโลกจะแปรเป็นมหาเอกภาพ บ้านเมืองจะไม่มี
คนเคว้งคว้าง ในบ้านจะไม่มี "นางขัดเคืองระทมทุกข์" หญิงไม่อาศัยชาย ชายไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้หญิง ชายหญิง
ต่างยืนหยัดได้ด้วยตน เสมอภาคจริงแท้ ไม่มีชายนอกบ้าน ไม่มีหญิงหมกตัวอยู่แต่ในครัว เช่นประเพณีเก่าแก่อีก
ต่อไป จึงเรียกว่า "มหาเอกภาพ" ชาวโลกช่างไม่มีน้ำใจ เริ่มต้นชีวิตก็กินแม่ โตขึ้นหน่อยก็กินน้ำพักน้ำแรงพ่อ
พอมีกำลังความสามารถแล้ว ก็ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไป เลี้ยงดูภรรยา ถ้าฐานะร่ำรวย ลูก ๆ ยิ่งทุ่มตัวพิงพ่อแม่เต็มที่ ทั้งกิน
อยู่ใช้จ่าย โดยยึดเป็นสิทธิพึงได้จนกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะถูกแบ่งถูกถลุงกันไปไม่เหลือจึงจะแยกย้ายกันไป
คนละทิศคนละทาง เหมือนเจ้าแมงมุมน้อยทั้งรังที่กินแมงมุมใหญ่จนหมดทั้งตัวแล้วจึงจะยอมจากไป
ครอบครัวสมัยก่อนเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ชายพึ่งพาอาศัยหญิง หญิงพึ่งพาอาศัยชาย พ่อพึ่งพาอาศัยลูก
ลูกพึ่งพาอาศัยพ่อ อาศัยกันจนทนรำคาญใจไม่ไหวแล้ว ก็จะเกิดการตำหนิ ขัดเคือง เกี่ยงกัน ถึงกับทะเลาะ
ถกเถียงทำร้ายกัน อย่างนี้ถ้าไม่ปรับแปรระเบียบครอบครัว ไหนเลยจะมีความสุขได้  ธรรมะอยู่ตรงหน้าเรา อยู่ใน
ตัวเราคือหลัก หลักตั้งมั่น ความเป็นธรรมะก็แสดงออกเช่นพี่น้องกันให้ถามแต่ตัวเองว่า "ตัวเราใจกว้างหรือไม่
ไม่คำนึงว่าน้องเคารพเราไหม" คนที่เป็นสามีให้ถามแต่ตัวเองว่า"ตัวเรามีจิตสำนึกถูกต้องไหม ไม่คำนึงว่าภรรยา
จะโอนอ่อนหรือไม่" อย่างนี้จึงเป็น"ตั้งหลัก" หลักตั้งมั่นแล้วความเป็นธรรมะก็จะสำแดงออกมาได้เอง คนสมัยนี้
ชอบก้าวก่ายบงการเรื่องของคนอื่น แม้จะถึงตายก็ยอม อะไรจะโง่ปานนั้น
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2010, 08:14
    คนมีชีวิตจิตญาณ ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด แต่ "นึกคิด" ต้องไม่ให้เกินฐานะความเป็นจริง เช่นคนเป็นพ่อ ก็ต้อง
นึกคิดธรรมะของความเป็นพ่อ  เป็นลูก ก็ต้องนึกคิดธรรมะของความเป็นลูก  เช่นนี้แล้วครอบครัวจะไม่อบอุ่น
ด้วยพ่อเมตตา ลูกกตัญญู หรือ ฉันพูดเสมอว่า "คนใกล้ตัวจะให้ห่างหน่อย คนไกลตัวให้เข้าใกล้หน่อย" เพราะ
คนใกล้ตัว ใกล้ตัวแล้วจะชอบรังแกกัน อีกทั้งดวงเธอดีร้ายก็ต้องยอมรับ จะเปลี่ยนแปลงดวงได้ก็ด้วยคุณธรรม
กล่อมเกลาเท่านั้น
     คนอยู่ใกล้ ดีก็พูดไม่ได้ ร้ายก็พูดไม่ได้ ห้ามคิดอีกด้วย เตือนได้ แต่ยุ่งเกี่ยวบงการเรื่องของเขาไม่ได้
เตือนก็ต้องคำนวนครั้ง เตือนภรรยาได้เพียงหนึ่งครั้ง เตือนลูกหญิงชายได้สามครั้ง เตือนพี่น้องกันสี่ครั้ง
เตือนเพื่อนฝูงห้าครั้ง เตือนพ่อแม่ไม่มีจำนวนครั้ง  คนใกล้ชิด ใกล้แล้วคือหัวใจ คนห่างไกล ใกล้แล้วคือ
ความตั้งใจ  สำหรับเทพเทวานั้นท่านใกล้ทุกสิ่งใกล้แต่ไกลห่าง พุทธะคือไกลกับทุกสิ่ง ไกลแต่อยู่ใกล้
เช่นทุกคนเคยไกลที่รู้สึกต่อฉันล้วนเป็นคนใกล้แล้วไม่ใช่หรือ
      รู้หยุด คือรู้คำนวน รู้จักพอดี ในโลกนี้ไม่ว่าจะทำอะไร หากไม่รู้หยุดจะต้องงแย่ ชอบกินเนื้อสัตว์
กินมากไปทำร้ายร่างกาย ชอบเหล้าบุหรี่ทำให้เสพติดมึนเมามีภัย ชอบทำงานทำมากไปหน่อยถูกงาน
ผูกพันดิ้นไม่หลุด ถูกคนเกาะติดวางไม่ลง ถูกสรรพสิ่งเป็นภาระผูกพันแยกตัวไม่ออก ล้วนกลายเป็นคนหลง
คนไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อใครเพียงคนสองคน เป็นเจ้านายต้องคำนวนการรวย ก็ต้องคำนวนไปบ้านใคร ก็ต้อง
คำนวนการบ่อยครั้ง กตัญูต่อพ่อแม่ยังต้องคำนวนการ สร้างรากฐานเป็นปึกแผ่น ให้พ่อแม่ภูมิใจหายห่วง
ก็ถือว่ากตัญญูถึงจุดหมายแล้ว ฉันว่าคนที่ไม่รู้หยุดล้วนไม่รู้คำนวนการ
       ในคัมภีร์คุณธรรม (เต้าเต๋อจิงของท่านเหลาจื่่อ) จารึกไว้ว่า"รู้หยุดจะไม่หายนะ" แต่คนทั่วไปไม่ยอม
รู้หยุดต่อเรื่องราวจึงไม่ได้ธรรมะ มักเข้าใจว่า "หยุดคือเสียหาย" หารู้ไม่ "หยุดในความเป็นจริง" ไม่มีความ
เสียหายแน่แท้ หยุดด้วยเห็นสัจธรรม ไม่รู้หยุดจะเหมือนนั่งรถไฟ ทัศนียภาพผ่านสายตาไปเห็นได้ไม่ชัดจริง
        ลูกหญิงชายไม่ดีเพราะใจเธอไม่ดี ภรรยาไม่ดีเพราะชะตาชีวิตของเธอไม่ดี พี่น้องไม่ดีล้วนเป็นไปตาม
ชะตากรรมที่ทำไว้ คนสมัยนี้ ตัวเองไม่ดีหวังให้คนอื่นเขาดีเสียก่อน เกรงแต่ว่าผู้อื่นไม่ดี เห็นเขาไม่ดีก็ทุกข์
เศร้ากลัดกลุ้มถึงกับโกรธ ตบตี ช่างไม่รู้ชะตาชีวิตตนเลย
        ฉันเป็นชาวนา เห็นข้าวเกาเหลียงที่เติยโตในที่นา ที่สูงก็สูงเกิน ที่เตี้ยก็เตี้ยเกิน ก็จะเก็บเกี่ยวไม่ได้มาก
จะต้องให้เขาเติบโตเสมอกัน จึงจะเก็บเกี่ยวได้ข้าวเกาเหลียงจำนวนมาก ครอบครัวก็เช่นกันผู้มีความสามารถก็
จะสูงส่ง ไม่มีก็จะต่ำต้อย หากผู้สูงส่งก็สูงส่งของตนไป ต่ำต้อยก็ต่ำต้อยอยู่อย่างนั้น คนในบ้านก็จะเหลื่อมล้ำ
จะต้องอุ้มชูเสริมส่งกัน ครอบครัวจึงจะพร้อมพรัก
         ลูกชายเป็นหลักใหญ่อยู่ในบ้าน ให้รู้ว่าพ่อแก่ แม่แก่ เป็นชีวิตฟ้าบารมีคุ้มหัว พี่น้องเป็นชีวิตบุญเก่า
เคยอุ้มชูกันมา  ภรรยาคือชีวิตอิน อิน - หยางคู่กัน  คนสมัยนี้ใส่ใจแต่ชีวิตอิน(ภรรยา) ไม่ใส่ใจชีวิตฟ้า(พ่อแม่)
ชีวิตชาวโลกจึงตกต่ำ ชีวิตคือเกียรติคุณ  เกียรติคุณเที่ยงตรง ชีวิตก็จะเที่ยงตรง เมื่อชีวิตเที่ยงตรงจิตญาณ
ก็จะงดงาม สอนคนจึงสำคัญที่จิตญาณและชีวิต
          คนที่เป็นพ่อแม่ ครูอาจารย์ อบรมลูก อบรมศิษย์ จะต้องหยิบยกคุณความดีของบรรพชนบ่อย ๆ ไม่เอา
คุณความดีของท่านแต่ก่อนเก่ามาเล่าสอนคือเพิกห่างทางธรรม  ปัจจุบันโรงเรียนสอนแต่ความรู้วิชาการ อีกทั้ง
ว่าคนแก่คร่ำครึ เมื่อสร้างเหตุแห่งกรรมดังนี้ ลูกหลานยิ่งเรียนสูงจึงยิ่งดูถูกคนแก่เฒ่า ปลูกฝังให้ผิดต่อคุณธรรม
ความกตัญญู ปรองดอง จริยธรม คนกลัวต้องผจญกับวันเวลาอันต่ำต้อยเลวทราม ถ้าไม่รู้ชีวิตอย่างนี้
วันเวลามันจึงเลวทราม
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : กตัญญุตาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2010, 07:10
      ทุกคนมีธรรมะอยู่กับตัว ไม่ต้องไปแสวงหาที่ใดจากภายนอก จะต้องเอาชนะตนเองเสียก่อน อย่าบงการ
จุ้นจ้านก้าวก่ายเรื่องของเขา ควบคุมคนอื่นจะไม่ถึงแก่นแท้ได้ ควบคุมตนเองต่างหากจึงจะถึงที่สุด ตัวเองไม่จริง
ถึงที่สุดผู้คนไม่ยอมรับนับถือทุกคนรู้จักพูดว่าเคารพฟ้าดิน กตัญญูต่อพ่อแม่ ฉันว่าจะเคารพฟ้า ก่อนอื่นต้องชำระ
จิตญาณตนไม่ชำระจิตญาณตนไม่อาจกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริงได้
      จะเคารพดิน จะต้องทำใจให้หมดจดเสียก่อน จิตใจไม่หมดจดไม่อาจกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ จิตใจจิตญาณ
ไม่ชำระให้หมดจดแล้วจะบอกว่ากตัญญู เท่ากับด่าคน วางตัวเป็นคนให้ถูกต้องไม่เป็น จะไม่นับว่ากตัญญู ผู้คน
ไม่ยอมรับนับถือ ไม่นับว่ากตัญญู เป็นคนให้ดี ทำการงานให้ดี ให้เขายอมรับนับถือจึงนับว่ากตัญญู
       ทำตัวเป็นคนได้ คือรวมหมื่นญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้กับตัว ทำตัวเป็นคนไม่ได้ เท่ากับกระจายหมื่นญาณในตัว
ออกไป เห็นใครคนหนึ่งก็ให้ปลงเห็นสัจธรรมในความเป็นคนคนนั้น เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ปลงเห็นหลักของความ
เป็นจริงของสิ่งนั้น คุณสมบัติกับความไม่เที่ยงแท้ เรียกว่า "รวมหมื่นญาณ" ไว้ในตน เข้าในธรรมะของคนตรง
หน้าได้ (รู้เขารู้เรา) จึงจะได้ความเป็นคนอย่างแท้จริง
       ไม่เข้าใจธรรมะในตัวผู้ใด ก็ผิดต่อผู้นั้นต่อสรรพสิ่งก็เช่นกันไม่เข้าใจธรรมะของความเป็นพ่อความเป็นภรรยา
สามี ล้วนผิดต่อเขา หาความเป็นธรรมะได้หนึ่งด้าน คือเอาชนะตนเอง จะต้องรู้จักรับผิดไม่หาความผิดเขา อย่าว่า
พ่อแม่ไม่เมตตา ต้องถามว่าตนเองกตัญญูหรือไม่ อย่าถามว่า พี่น้องสำนึกดีต่อกันหรือไม่ ให้ถามตนเองว่า
ปรองดองไหม ไม่ฝักใฝ่ว่าใครดีไม่ดี จงถามตัวเองว่าจริงใจไหม มุ่งมั่นจริงใจซาบซึ้งถึงพุทธะ เจตนาจริงใจ
ซาบซึ้งถึงเทพยดา ความรู้สึกจริงใจ ซาบซึ้งถึงคน อาการจริงใจ ซาบซึ้งถึงสัตว์
        ใครเขาไม่พอใจ ก็เพราะเธอขาดความสามารถ   ใครเขาไม่สนับสนุนเธอ เพราะเธอใช้การไม่ได้
หากเธอดูถูกดูแคลนใคร คือเธอใจแคบ  จะกตัญญูต้องเริ่มจากจิตญาณ จิตใจ ร่างกาย  ไม่ปรับแปรจิตญาณ
ไม่อาจกตัญญูโดยจิตญาณ ใจไม่ศรัทธาแท้ใจไม่อาจกตัญญู  กายไม่บำเพ็ญกายไม่อาจกตัญญู
        จะกตัญญูให้ถึงที่สุดจริงแท้ จะต้องชำระสามโลก คือโลกของจิตญาณส่วนลึก  โลกของจิตใจส่วนรู้
โลกของร่างกายส่่วนเคยทำ คนที่อยู่กับโลกกายสังขารรู้จักแต่จะกิน จะแต่งตัว จึงเข้าใจว่าให้เสื้อผ้าอาหาร
แก่พ่อแม่เป็นความกตัญญูยิ่งแล้ว นี่คือ "กตัญญูกาย"  คนที่อยู่กับโลกของจิตใจรู้แต่ความรู้สึกเจตนาจึงตาม
ใจพ่อแม่โดยคิดว่าเป็นความกตัญญู นี่คือ "กตัญญูใจ"
         คนในโลก กายกับใจ ชอบที่จะคิดถึง ห่วงหาใคร ๆ จึงเข้าใจว่า คิดถึงห่วงหาพ่อแม่ เป็นความกตัญญู
ไม่รู้ว่าคิดถึงตัวของพ่อแม่ แต่ไม่คิกถึงธรรมะจะเป็นการเพิ่มโทษบาปให้พ่อแม่ ใจของเธอไม่สบาย ท่านจะ
สบายใจได้อย่างไร คนในโลกเจตนาดำริเอาความสุขเป็นหลัก เขาจึงเอาการทำให้พ่อแม่เป็นสุขเป็นความ
กตัญญูยิ่ง คนในโลกของจิตมุ่งมั่นจะไม่ถูกกำจัดอยู่กับรูปแบบ ในใจมีความมุ่งมั่นของพ่อแม่ทำให้ท่านวางใจ
ไม่ต้องกังวลห่วงใย กตัญญูมุ่งมั่นจึงจะเป็นกตัญญูแท้จริงจะต้องก่อฐานบรรลุธรรมแด่ท่าน คือส่งท่านให้ถึง
พุทธภูมิ จึงจะนับว่ากตัญญูถึงที่สุด
                 
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/08/2010, 06:13
       คนใช้ใจคิดถึงห่วงหาพ่อแม่ เท่ากับฆ่าพ่อแม่ของเขา จะต้องตัดเยื่อใยสัมพันธ์(ไม่ให้พ่อแม่ห่วงหาอาวรณ์)
กตัญญูด้วยจิตมุ่งมั่น จึงจะเป็นลูกกตัญญูแห่งพุทธภูมิ  ใจเรียก ใจห่วงหาโดยไม่รู้ดีร้าย ความคิดถึงห่วงหาร้ายกาจ
ยิ่งกว่าด่าตีท่านเสียอีก ทำการใดไม่รับผิดชอบจริงจังต่องานนั้น คือผิดต่อฟ้า ก็คือไม่กตัญญู
       มีคนถามฉันบ่อย ๆ ว่า "ความกตัญญูทำอย่างไรจึงจะถึงที่สุด" ฉันว่า จะต้องเริ่มจากจุดที่พ่อแม่ขาดพร่อง
ที่ท่านมีความลำบาก ที่ท่านทุกข์ใจห่วงใย เธอไม่ช่วยจัดการก็ไม่นับว่ากตัญญูถึงที่สุด
       ถ้าพ่อแม่มีความผิดลูกต้องเติมเต็มให้  แม่ฉันเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ด้วยเกรงว่าคนในตระกูลจะรังเกียจรังแก
และทำให้ลูกหลานต้องพลอยลำบากไปด้วย แม่จึงไม่กล้ารับเอาคุณตาซึ่งเหลืออยู่เพียงลำพังท่านเดียวมาเลี้ยงดู
ภายหลังฉันได้รู้ถึงความผิดนี้จึงรีบไปรับคุณตามาเลี้ยงดูทันที ไม่เพียงไม่ต้องการที่ดินเป็นสินน้ำใจตอบแทน
การเลี้ยงดูจากคุณตา ซ้ำท่านยังมีหนี้สินติดตัวมาด้วย ซึ่งถึงอย่างไร ฉันก็จะเลี้ยงดู นี่คือการเติมเต็มหรือปะรูรั่ว
ให้แก่พ่อแม่ กายคือตัวของตน  ใจคือลูก  เจตนาดำริคือพ่แม่  ขวัญคือปู่ย่า
        อยากรู้ว่าลูกจะดีหรือเลว ให้ดูใจตนว่าเที่ยงตรงหรือไม่ คนถ้าไม่มีความสุข ชอบเหลวไหล เผลอไผล ก็คือ
เจตนาดำริไม่บริสุทธิ์ใจ ซึ่งพ่อแม่ของเขาไม่ดีแน่นอน ฉันจึงบอกว่าปกครอง (เยียวยา)โลกนี้ไม่พ้นจากตัวของตน
ใครคนหนึ่งถามฉันว่า "เตี่ยฉันชอบเที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ ฉันจะทำอย่างไรดี"
ฉันบอกเขาว่า เธอทำได้แค่วิธีสะท้อนกล่อมเกลาให้เตี่ยซาบซึ้งเท่านั้น
        ฉันมีอาในสกุลคนหนึ่งเมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้ น้องชายคือลูกของอาคนนี้ ก็ถามว่าจะทำอย่างไรดี ฉันบอกว่า
"ให้พูดต่อใคร ๆ ว่าเตี่ยเป็นคนดี มีคุณธรรม มีน้ำใจ ยอมเสียเปรียบ และระบือความดีอื่น ๆ ของท่านนานวันเข้า
ร่ำลือไปถึงหูเตี่ย รอเวลาที่เตี่ยมีความยินดีในวาระอะไร ให้จัดเหล้ายาอาหารมาให้เตี่ยกิน ขณะกินจนเปรมใจ
ก็บอกเตี่ยว่าคนข้างนอกเขาว่าเตี่ยไม่ทำการงาน ผมเป็นลูกของเตี่ยจะมุ่งมั่นดำเนินธรรมฟื้นฟูชื่อเสียงของเตี่ยให้ได้"
        น้องชายคนนั้นทำตามฉันบอก ไม่นานเตี่ยของเขาก็กลับตัวกลับใจ อีกทั้งขยันการทำงานซื้อที่นาได้อีก
หลายผืน ฉันจึงว่า ต่อพ่อแม่ใช้วิธีสะท้อนให้ซาบซึ้งกล่อมเกลาอย่างนี้เป็นดีที่สุด
        เป็นคนได้ไม่ดีเพราะไม่รู้ชีวิตเรียกว่า"ทิ้งขว้างชีวิต "  การทำงานได้ไม่ดีเพราะไม่รู้ธรรมะเรียกว่าทิ้งขว้างธรรมะ
ล้วนเป็นอกตัญญู อยากฉุดช่วยพ่อแม่ให้หลุดพ้น ตัวเองจะต้องแข้มแข็งกว่าพ่อแม่ ทำได้เหนือกว่าท่าน จึงจะนับว่า
ฉุดช่วยท่าน คนถ้าเอาเงินทองของพ่อแม่เองซื้อเสื้อผ้าอาหารการกินเลี้ยงดูท่าน ดูอย่างกับกตัญญูแท้จริงไม่อาจ
นับได้ คนแก่มีทรัพย์สมบัติ แต่ลูกยังต้องทุกข์ยากไปหาเงิน ทำให้ท่านห่วงใยก็ไม่นับว่ากตัญญู ความหมาย
ของฉันก็คือ คนแก่ถ้ามีเงินเหลือเฟือลูกก็อาจใช้เงินทองของท่าน (ตามสมควร)ได้ แต่หากไม่มีเงิน ลูกจะต้องหาเงิน
ให้ท่านเป็นหลักเป็นฐาน ไม่ให้ท่านเกิดความโลภอยาก เพื่อให้ท่านรักษาคุณธรรมไว้ได้จึงจะเป็นกตัญญูจริง
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : เมตตาธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2010, 05:13
      รักเขา เออออไปกับเขาคือให้ร้ายเขา รังแกเขา พ่อแม่ล้วนให้ร้ายลูก เอาอกเอาใจ รักไม่ลืมหูลืมตาจนทำ
ให้ลูกไม่เอาการงาน  ที่บ้านมีลูกเสเพลหนึ่งคน ลูกยิ่งถลุงเงินพ่อแม่ ลูกก็ยิ่งงกเงินจึงเหมือนกำลังผลักลูกลงนรก
ยังกลับไปโทษลูกว่าไม่รักดี กลัวลูกจะตกทุกข์ได้ยากจึงหาเงินทุกวิถีทางเพื่อสะสมสมบัติไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งมัน
จะต่างอะไรกับสะสมยาพิษไว้ให้
      พ่อแม่เองสร้างบาปเวร ลูกหลานรับบาปไปกรรมสนองเอง พ่อแม่เกรงว่าลูกจะตกระกำลำบาก ซื้อที่ทางบ้าน
ช่องเก็บสังหาริมทรัพย์นับคณา เผื่อไว้ให้ลูกหลานพอใช้ตลอดไป
      พ่อแม่อย่างนี้ไม่ใช่เมตตารักใคร่ลูกหลาน แต่กำลังรังแกลูกหลาน เพราะคิดว่าลูกหลานจะไม่อาจทำมาหากินได้
ไม่มีแรงหาข้าวกิน จึงเตรียมให้เต็มที่
      ต่อผู้อื่นขูดรีด คิดเล็กคิดน้อย เพื่อพอกพูนไว้ให้ลูกหลาน ลูกหลานไม่เคยต้องเคี่ยวกรำต่อประสบกานณ์ทำงาน
รู้แต่ดื่มกินเที่ยวเล่นสูขสบาย สุดท้ายจึงไม่มีแรงหาข้าวกินเองจริง ๆ พ่อแม่อย่างนี้น่าหัวเราะไหม ลูกหลานอย่างนี้
น่าสงสารไหม ในบ้านเมืองพุทธทุกคนเห็นหน้ากันก็ผูกบุญสัมพันธ์บ้านเมืองบนสวรรค์ทุกคนเห็นหน้ากันก็มีความสุข
ทุกคนในทะเลทุกข์ เห็นหน้ากันก็เจ็บซ้ำรำคาญกัน ทุกคนในนรก เห็นหน้ากันก็เคียดแค้นชิงชังกัน
      ทุกคนที่ประจันหน้าเข้ามา ไม่ว่าจะมีบุญสัมพันธ์หรือเจ้ากรรมนายเวร ล้วนเป็นไปตามกระแสกรรมที่ทำร่วมกันมา
จะไม่รู้ไม่ได้ พึงรู้ว่าเวรกรรมเราทำมาเอง บุญสัมพันธ์เราก็สมานมาเอง
      พ่อสร้างสมสมบัติ ลูกผลาญสมบัติ เป็นเหตุต้นผลตามมาประจันหน้า หากสั่งสมต่อไปเท่ากับผลักลูกลงนรก
คนที่ต้องรองรับอารมณ์ รองรับความทุกข์รับไปแล้วหนึ่งส่วนก็จบสิ้นไปหนึ่งส่วน เอาความตายเป็นส่วนรับเท่ากับ
จบสิ้นกันไป  ขุ่นข้องขัดเคืองคือผูกเวร สมองโดนพิษร้าย คนทั่วไปพอลูกไม่ดีก็ขัดเคือง ไม่รู้ว่าที่ลูกไม่ดีเพราะดวง
ของเราไม่ดี เรียกให้บำเพ็ญชีวิตไม่บำเพ็ญ กลับคุมแค้นลูก ๆ เหมือนไม่รักชีวิตเสียจริง ๆ
      ลูก ๆ ทำความผิด พ่อแม่จะต้องผ่อนปรน ชี้แนะนำพา จะต้องตำหนิตน ทำตัวให้เที่ยงตรงนานวันเข้าลูก
ก็จะสำนึกแก้ไข นี่เรียกว่ามโนธรรมสำนึกรู้ถูกผิดม่ายเช่นนั้น โทษกัน เกลียดชังกัน นานวันกลับกลายเป็นความแค้น
ลูกเต้าเป็นผู้สืบสานคุณธรรมของบรรพชน เคืองแค้นเขาคือ ข่มแหงน้ำใจบรรพชน
     ลูก ๆ ที่กตัญญู ได้มาจากคุณธรรมของต้นตระกูล  ล้างผลาญได้มาจากบาปเวรของต้นตระกูล ใคร่รู้ว่าลูกจะสำเร็จ
หรือล้มเหลว ให้ดูความประพฤติของตนเองว่าเป็นคุณธรรมหรือบาปเวร
     ชาวโลกชอบว่าเขา"ขาดคุณธรรม" ผู้ถูกว่าก็จะโกรธ แต่คนที่ว่าไม่รู้จักย้อนมองส่องตน ฉันเห็นว่าการได้ บุตร
 ภรรยา พี่น้องที่ไม่เจริณก้าวหน้า ไม่รู้จักละอายก็เพราะเหตุที่เราเองขาดคุณธรรม เราจึงจะต้องพยายามสร้าง
คุณธรรมมาเติมเต็ม พอนานวันเข้า ใจไม่เปลี่ยนไปจากคุณธรรม เขาเหล่านั้นก็จะปรับเปลี่ยนได้ ถ้าไม่เติมเต็ม
ด้วยคุณธรรมจากเรา เอาแต่เคืองแค้นตบตีด่าว่า เขาก็จะยังใช้การไม่ได้
    เมื่อก่อนมีหญิงคนหนึ่งอุ้มลูกมาถามฉันว่า "ท่านช่วยดูซิ ลูกคนนี้ของฉันจะเป็นอย่างไร" ฉันว่า "น่าขันแป้งสาลี
ที่เธอนวดเอง ไส้เกี๊ยวที่เธอปรุงเอง ห่อเป็นลูกเกี๊ยวออกมาแล้ว ไม่รู้เป็นแป้งอะไร ไส้อะไร กลับจะต้องมาถามฉัน
นี่เป็นหลักเดียวกันกับทำนา ตัวเองลงพืชพันธ์อะไร ก็เก็บผลพืชพันธ์นั้นซิ
     ลูกชายฉันชื่อ "กั๋วฮว๋า" ถามฉันว่า พ่ออรรถาธรรมให้หญิงชายมากมายฟัง บอกว่าสร้างคุณธรรม คุณธรรม
ที่ไหนหรือ ฉันตอบว่า เมื่อครั้งรับจ้างทำนา ปีหนึ่งพ่อได่ค่าแรงเจ็ดสิบพวง(สตางค์) แต่ตอนนี้เธอได้หนึ่งร้อยเหรียญ
เธอเก่งกว่าพ่อ นี่เพราะพ่อมีคุณธรรม วันข้างหน้าถ้าลูกเธอเก่งกว่าเธอ ก็คือเธอมีคุณธรรม วันนั้นถ้าลูกถามฉันอีกว่า
ลูกของเขาจะเก่งกว่าเขาได้อย่างไร ฉันก็จะบอกเขาว่า "จงเอาเงินที่หาได้หกในสิบส่วน (60%) ออกมาสร้าง
บุญทานสงเคราะห์ อีกสี่ส่วน (40%) ใช้จ่ายในครอบครัว ทำอย่างนี้ลูกของเธอจะต้องเก่งกว่าเธอแน่นอน
     ครอบครัวสมัยเก่า ประมุขของบ้านชอบทำตัวเป็นผีตื่นเช้าขึ้นมา ถ้าไม่ว่ากล่าวคนโน้นตวาดคนนี้ ถึงกับด่าคน
ตีคน โกรธขึ้นมาคือผี  ส่วนฉันชอบทำตัวเป็นเทพ เห็นใครทำไม่ถูกฉันก็หัวเราะ อารมณ์ดีคือเทพ เทพเข้า
ประทับร่าง จะไม่ทำร้ายใครขณะนั้นจะไม่ว่ากล่าว สองสามวันผ่านไปอารมณ์ดีแล้วหรือเขาถามฉันหรือฉันถามเขา
พูดว่าเหตุผลกันให้เข้าใจ เขาก็สำนึกผิดแก้ไข แม้แต่เด็กดื้อก็พูดให้หายดื้อ ขี้แยก็ชมว่าไม่ขี้แย นานวันเข้า
ก็ปรับเปลี่ยนไปได้ คนมีนิสัยใจคอของคน สัตว์มีนิสัยใจคอของสัตว์ รู้นิสัยใจคอของคน ก็จะฉุดนำเขาสู่เส้น
ทางธรรมได้ รู้นิสัยใจคนของสัตว์ จึงจะใช้งานเขาได้ ออกห่างจากธรรมะของสัตว์ จะไม่มีวาสนาได้ใช้ประโยชน์
จากสัตว์ ออกห่างจากธรรมะของคนก็จะไม่มีวาสนาไดใช้ประโยชน์จากคน ถ้าก้าวก่ายบงการเขา เขาจะไม่ยอมรับ
แน่นอน จะต้องรู้จักนำพาคนชมข้อดีของเขา หยิบยกด้านสว่างของเขา เขาจึงยินดีทำตาม
     ส่วนของสัตว์นั้นจะต้องให้เขาอุ่นใจ ไม่ควรด่าตี  คนกับสัตว์มีหลักเดียวกัน คือเข้าถึงจิตใจ แต่คนมักชอบ
เคี่ยวเข็ญ บงการทารุณสัตว์ เท่ากับผลักไสเขาลงนรก
     พ่อแม่จะต้องรู้ความดีของลูก ซึ่งแม้ตำหนิเขาก็ยินดีจึงกล่าวว่า"หาความดี คือเปิดหนทางสวรรค์" ธรรมะเป็นวิถี
สู่ฟ้า ทุกคนล้วนมีอยู่ ไม่ได้หายหากไปจากคน เพราะคนกำเนิดจากฟ้า วิถีสู่ฟ้า (ธรรมะ) เราวอนขอเมื่อไรฟ้าตอบ
สนองเมื่อนั้น จะใช้เมื่อไรได้ใช้เมื่อนั้น ฟ้าเบื้องบนไม่เคยลืมคน
     อย่างคนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าทุกวันเฝ้าถามว่าฉันจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้อย่างไร ร้อยวันผ่านไป ได้ชีวิตทางธรรมแน่นอน
มีข้อธรรมใดที่ไม่เป็น ถ้าถามให้จริงจัง วันหนึ่งจะต้องเข้าใจได้ แต่ถ้าหากทำอะไรไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่บุพการี ก็เท่ากับลืมฟ้าเบื้องบนเสียสิ้น ฟ้าก็จะไม่สนใจเรา
     มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะเป็นคน ก็จะเป็นคนได้จริง มั่นคงอย่างนี้ได้ก็คือพุทธะ ใจเป็นพุทธะเทพยดาก็จะมา
คุ้มครองรักษา เอาความมุ่งหมายเป็นหลักก็ก่อเกิดสุขได้ เกิดสุขก็คือเทพ
     หลังจากที่ฉันเข้าใจธรรมะแล้ว ภรรยาว่าร้ายทำลายฉัน ลูกก็ใส่ไคล้ เพื่อนตัดสัมพันธ์ เขาแบ่งแยกแต่ฉัน
ไม่โกรธพวกเขา  ปีนั้น( ปีหมินกั๋วที่สิบ พ.ศ.2464) ฉันประชุมอยู่ที่สกุลฟั่น ลูกชายของฉันขึ้นแท่นบรรยายคัดค้านฉัน
ขับต้อนฉัน สีหน้าท่าทางน้ำเสียงเกรี้ยวกรวดเอาไม้ที่ชี้กระดานดำฟาดจนแตกละเอียด ทุกคนในที่นั้นไม่พอใจ จะสั่ง
สอนลูกชายแทนฉัน ฉันบอกว่า "ไม่ได้ ลูกชายกลัว่วาฉันจะทำเสียเรื่องนะ จึงเดินทางไกลมาขัดขวางฉัน" ฉันไม่ได้
สะเทือนใจเลย นับว่าฉันมีฐานะเป็นพ่อได้ ถ้าหากฉันเกิดโทสะด่าตีเขา ฉันก็ไม่มีธรรมะ
     ลูกหญิงชายเป็นสมบัติของโลก มีปัญญาความสามารถควรบริการรับใช้โลกนี้ ถ้าคนที่เป็นพ่อแม่เก็บลูกไว้ใช้งาน
บ้านตน อาศัยประโยชน์จากความกตัญญูของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะนับว่า พ่อแม่ขาดความเมตตา
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของหญิง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2010, 11:01
    ช่วงเวลาที่ฉันเฝ้าสุสาน (รัสสมัยชิงกวางสูปีที่27-30) ฉันรู้ว่าคนที่ทุกข์ยากลำบากที่สุดในโลกคือ""แม่""ผู้หญิง
ฉันจึงเกิดความมุ่งมั่นจะก่อตั้งโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สตรี ให้เธอมีความรู้ความสามารถกัน
    จะก่อตั้งชมรมคุณธรรม สอนผู้หญิงให้ศึกษาธรรม ให้เธอแจ้งใจในหลักธรรม ยืนหยัดใช้ชีวิตด้วยตนเองได้ไม่ต้อง
เหนื่อยยากแก่ผู้ชาย นี่คือยกระดับฐานะของผู้หญิง ช่วยผู้หญิงให้พ้นทุกข์ได้สุข คนโบราณว่า ผู้หญิงไม่มีความรู้ก็จะ
ต้องให้มีคุณธรรม คำพูดนี้ไม่ยุติธรรม ผู้หญิงถ้าไม่ได้ร่ำเรียนไม่มีความรู้จะแจ้งใจในหลักธรรมได้อย่างไร
    สมัยราชวงศ์โจว มีอริยมารดาสามท่านจึงได้ให้กำเนิดกษัตริย์สองสมัยคือ อริยกษัตริย์โจวเหวินหวัง - โจวอู่อ๋วง
อีกท่านหนึ่งคือมารดาของท่านเมิ่งจื่อ "อริยปราชญ์ฟื้นฟูจรรโลงธรรม" เพื่อการพัฒนาสร้างสรรค์คุณภาพเผ่าพันธ์
มนุษย์ให้ดี จะต้องเริ่มจากให้การศึกษาแก่เพศแม่ ภายหน้าเข้าถึงยุคโลกเอกภาพผูหญิงเป็นข้าราชการปกครอง
บ้านเมือง หน้าที่ที่ผู้ชายทำได้ หญิงก็ทำได้ ไม่ใช่เอาแต่อิงอาศัยอย่างนี้ก็จะไม่ถูกผู้ชายกดขี่รังแก จึงจะพ้นทุกข์
ได้สุขจริง คนโบราณไม่ให้ผู้หญิงร่ำเรียนช่งนั้นฉันก่อตั้งโรงเรียนสตรี แต่ทางการล้มล้างเสียทุกทีเขาล้มล้างที่นี่
ฉันก็ไปตั้งที่อื่นต่อ ภายหลังบ้านเมืองเองก็ก่อตั้งโรงเรียนสตรี ความมุ่งมาดปรารถนาของฉันเป็นอันบรรลุผล
     ฉันก่อตั้งชมรมคุณธรรมอีก เพื่อให้ผู้หญิงแจ้งใจในหลักธรรม กล่อมเกลาชาวโลก นี่ก็เป็นเรื่องเบิกฟ้า
บรรพกาลที่ไม่เคยมีมาก่อน ลูกชายวิพากษ์ฉันว่า"ทำอะไรแปลก ๆ "ลูกไม่รู้ว่าที่ฉันสอนผู้หญิงนั่นคือกำลัง
พลิกโลกขึ้นมา
     อริยปราชญ์โบราณมุ่งสอนแต่ผู้ศึกษาชาย เรียกว่า"เบิกฟ้า" เป็นอันดับแรก บัดนี้ฉันสอนผู้ศึกษาหญิง เรียกว่า "
"แผ้วแผ่นดิน"จากนี้สิ้นภัยได้เจริญ
     ผู้หญิงล้วนแจ้งใจในธรรมได้ แปรเปลี่ยนอนุสัยกล่อมเกลาฟูมฟักจิตญาณจากฟ้า รู้รักศรัทธาจริงใจไม่วุ่นวาย
สับสนกังวลใจ ผู้หญิงมีจิตใจอย่างไร ก็จะให้กำเนิดลูกที่มีจิตใจอย่างนั้น ไม่ผิดเลย
     ผู้ชายปรับแปรกล่อมเกลาจิตญาณเรียกว่า"ฟ้าใส" หญิงปรับแปรกล่อมเกลาจิตญาณเรียกว่า "แผ่นดินสงบ"
ฟ้าใส แผ่นดินสงบ จึงจะได้ลูกดุจกุมารเทพ
     เรามีชีวิตอยู่ในโลก ข้อหนึ่ง อย่าหลง ทุกคนเคารพยกย่องฉัน ศรัทธาเชื่อถือฉันว่าฉันมีธรรมะนี่ก็คือหลง
ธรรมะทุกคนต่างมีอยู่กับตัว มั่นคงในไว้ในสถานภาพตนได้ ดำเนินชีวิตก็จะสอดคล้องกับธรรมะแล้ว
     สมมุติว่า ผู้หญิงอยากจะเอาอย่างท่านจอมมารดาของอริยปราชญ์เมิ่งจื่อ ท่านจอมมารดาเมิ่งยืนหยัดได้
ด้วยตัวของท่านเอง อบรมบุตรให้ล้ำเลิศได้ ท่านจึงเป็น"จอมมารดาอาจารย์"แก่ผู้หญิงตลอดนิรันดร์กาล
ผู้หญิงทั้งหลายสามารถตั้งความมุ่งมั้นเจริญรอยเยี่ยงท่าน จะไม่ใช่จอมมารดาอาจารย์เมิ่งคนที่สองหรือ
ธรรมะในจอมมารดาอาจารย์เมิ่ง จะไม่ใช่ธรรมะอย่างเดียวกันในตัวของพวกเธอหรือ
     ผู้หญิงมีทุกข์มากเพราะไม่รู้ความเพียงพอ อีกทั้งไม่รู้จักความพอดี เห็นใครมีอะไร ก็อยากได้บ้าง ไม่รู้ว่า
บุญวาสนาของตัวเองกับเขานั้นต่างกัน ค่านิยมจึงเสียหายสามีจะลำบากใจ เธอไม่คำนึง สนใจแต่ว่าจะต้องมี
เครื่องประดับสวมใส่ให้ได้ มองดูคนอย่างบางเบา มองดูวัตถุหนาหนักสำคัญ คิดว่าสามีเหนื่อยยากลงแรงเป็น
การสมควรจึงเฉยเมย บ้างเจ้ากี้เจ้าการควบคุมบงการ เบาหน่อยก็เผด็จการพาสามีทิ้งพ่อแม่ของเขาออกไป
ใช้ชีวิตตามลำพัง หนักหน่อยก็ทำให้สามีถึงแก่ความตายเพราะ"ดวงร้าย"ของเธอทำตามอารมณ์พอใจ
อย่างนี้ทำไมจะไม่มีโทษบาป ถ้ามีลูกก็ยากที่จะได้ลูกดีมีศักดิ์ศรี
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะสอนหญิง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2010, 19:59

       ธรรมะอยู่เบื้องล่างไม่ใช่เบื้องสูง เบื้องสูงมีอันตราย เบื้องล่างจึงจะมีธรรมะ คนหากสูงส่งแล้วโน้มลง
จึงจะสูงส่ง  อุ้มชูคนโง่ได้ จึงจะเป็นปราชญ์เมธี เช่นคุณครู หลิวจิ้งอี เดิมทีเป็นผู้บำเพ็ญพรหมจรรย์ อยู่กับบ้าน
เธอสำนึกรู้แจ้งธรรมะของความเป็นหญิง ยอมตัวใช้ชีวิตคู่อยู่กับนายหลี่หย่งเฉิง ทั้งที่โง่ทั้งทึ่ม เป็นผู้ชายที่
แค่เอื้อมมือก็ได้มา ไม่ต้องลงแรง
       ธรรมะ พอย่อตัวลงก็เกิดสิ่งสูงส่ง พอยืดตัวขึ้นก็เกิดความโลภไม่พอ พอหดตัวให้เล็กลงก็เกิดความ
แน่นหนา แต่พอแผ่ (อวดตัว)ให้ใหญ่มันก็จะพองทันที
       คนอื่นเหนือกว่าเธอ เธอจะไม่เกิดความสูงส่ง คุณครูผู้หญิงไม่รังเกียจที่หลี่หย่งเฉิงโง่ทึ่ม เธอจึงเป็น
เมธากัลยาณี ชาวโลกทั่วไปล้วนรู้แต่รุกไม่รู้ถอย เหมือนการสู้รบบุกเข้าค่ายแล้วไม่อาจทะลายค่าย จะไม่ถูก
ทำร้ายได้อย่างไร ก็เหมือนคนเป็นสะใภ้ ยังไม่ออกเรือนไป ไม่รู้ธรรมะของบ้านสามีในอนาคต สู่เรือนเขาแต่
ไม่รู้ความดีของทุกคนในเรือนเขา  นี่คือรู้รุกไม่รู้รับ จึงห่างทางธรรม
      ห่างธรรมแต่หวังให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง หวังให้ลูกหลานก้าวหน้าอย่างนี้มิใช่ ""ขึ้นต้นไม้หาปลา""--
หาปลาบนต้นไม้""ดอกหรือ
      ไม่มี""เหตุต้นผลตาม""จะไม่ก่อเกิดสหาโลก  ไม่มีโทษบาป ไม่เกิดกายเป็นหญิง เมื่อเกิดเป็นคน ก็ควรจะ
ดำเนินทางธรรม มนุษยธรรมสมบูรณ์ เข้าึถึงโลกุตรธรรมเบื้องบน เสียดายที่คนล้วนไม่เข้าใจคิดแต่จะเสพสุช
วาสนา ไม่รู้จักดำเนินธรรมให้สมบูรณ์  บ้างกลัวรับทุกข์จากการให้กำเนิดเลี้ยงดูลูก ถือพรหมจรรย์ไปบวชเสีย
นี่คือวิ่งสวนทางกับธรรมะ
      ข้างบนไม่อาจฉุดช่วยวิญญาณบรรพชน ข้างล่างไม่อาจปรกคุณแก่ลูกหลาน ก็คือไม่กตัญญู เกิดมากินอยู่
แต่งตัวเพื่อรอวันตาย ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ชาวโลก เรียกว่าปล่อยชีวิตให้เสียเปล่า
      ลำพังพลังอินไม่อาจสร้างสรรค์ก่อเกิด อย่างนี้เรียกว่าละทิ้งตนเอง  คนเกิดได้จาก อิน + หยาง ธรรมะอยู่
ท่ามอินกับหยาง เจนจบธรรมชาติได้ไม่ทุกข์ กลัวทุกข์โดยไม่ทำความถึงซึ่งธรรมะ คือฝืนครรลองฟ้า จะบรรลุ
ธรรมได้อย่างไร  ในโลกนี้ทุกข์ที่สุดคือ หญิงม่าย โบราณเมื่อสามีตาย รักษาความเป็นม่าย คือประเสริฐศรี
นั่นก็ไม่ถูกต้องทั้งหมดต่อธรรมะ ไม่ใช่สภาพของหญิงม่ายทุกคนจะต้องรักษาไว้อย่างเดียวกัน
      หากพ่อปู่แม่ย่าชราวัย ไม่มีใครรับใช้ดูแลรักษา ลูกเต้าเยาว์วัยไม่มีใครเลี้ยงดูอุ้มชู หรือตนเองเป็นคนรักสงบ
อย่างนี้ครองม่ายไว้  ถ้าห่วงใยความร่ำรวย (กลังแมงดา) เรียกว่า"ครองทรัพย์ " ถ้ากลัวแต่งใหม่ จะได้รับทุกข์ยาก
นั่นเรียกว่า "ครองกาย" แต่ถ้าหากครองม่ายแล้วมีแต่กลัดกลุ้มป่วยไข้นั่นเรียกว่า "ครองทุกข์" จะต้องดำเนินธรรม
จึงจะเรียกว่า"ครองศุจิธรรม ความจงรักบริสุทธิ์"
      ผู้ชายทิ้งพ่อแม่ ตัวเองตายไปก็เท่ากับ "พร่องกตัญญู" ภรรยาม่ายจะต้องทำหน้าที่กตัญญูแทนสามี จึงจะถูกต้อง
ตามทำนองคลองธรรมฉะนั้นผู้ครองม่ายภาระจะยิ่งหนักยังจะโอหังรังแกใครได้อีกหรือจะไม่ท้อใจไม่ทะยานอยู่ได้หรือ
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของหญิงสาว สะใภ้ แม่เฒ่า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2010, 20:54
      หญิงสาว อารมณ์ จิตใจ จะต้องเหมือนปุยฝ้าย มีความมุ่งมันใฝ่ดีเป็นรากฐาน จิตใจใฝ่แฝงความดีของใคร ๆ
ร่างกายแข็งแรง เอาการเอางาน เชิดชูครอบครัวให้สมบูรณ์เป็นหน้าที่ตน เป็นดวงดาวศรีสง่าอันมีค่าของครอบครัว
      สะใภ้ จิตใจจะต้องเย็นเรียบเหมือนน้ำ เจตนารมณ์จะต้องสุขุมเป็นรากฐาน สังขารจะต้องว่องไวขันแข็ง จะต้อง
สำนึกคุณของครอบครัว เอาการเชิดชูของครอบครัวให้สมบูรณ์งามเป็นหน้าที่ตน เป็นดวงดาวปิติยินดีอันมีค่าของครอบครัว
      แม่เฒ่า อารมณ์จิตใจจะต้องเหมือนเถ้าถ่าน มีความมุ่งหมายใฝ่คุณธรรมเป็นรากฐาน กายจะต้องมั่นคง ใจใฝ่
ธรรมะของมวลเวไนย์ ฯ เอาการโอบอ้อมครอบครัวให้สมบูรณ์เป็นหน้าที่เป็นดวงดาววาสนาของครอบครัว นี่คือ ธรรมะ
แท้ของสตรี
      อย่าเห็นว่าคำพูดเหล่านี้ ธรรมดาสามัญ ใครเข้าถึงก็เท่ากับเข้าถึงบุญวาสนา อย่าให้เป็นเพียงคำขวัญ ท่องเอา
จะต้องปฏิบัติให้ได้จึงจะนับว่าได้ธรรมะความมุ่งหมายเป็นรากฐาน คือ จะไม่โลภ (รากฐานธรรม คือไม่โลภ โกรธ หลง)
     จิตใจเหมือนปุยฝ้าย (เบาสบาย) คือ ไม่ชิง ใช้ฝ้ายปั่นด้าย ด้ายยาวไม่ขาดสาย 
     ดำริดีของหญิงสาว ก็จะต้องยาวเหมือนเส้นด้ายเช่นกัน  เป็นหญิงสาวในครอบครัว ร่างกายมีพลังเสริมสร้าง
ลบล้างพลังอินอับเฉาไปในตัว ประสานพลังกับพุทธภาวะได้ (ด้วยกาย ใจ ยังบริสุทธิ์)
     ใจใฝ่แฝงความดีของใคร ๆ คือประสานบุญสัมพันธ์เป็นหนทางสู่ความเป็นทิพย์ จิตใจเหมือนปุยฝ้าย เมื่อเกิด
เจตนาดำริจึงเป็นรากฐานของเทพ จิตมุ่งมั่นยืนหยัดอยู่ในความดี จึงจะเป็นรากฐานของการบรรลุพุทธะ
     หญิงสาวเป็นต้นน้ำของโลก ถ้าต้นน้ำไม่ขุ่น สายน้ำย่อมสะอาดใส  หากหญิงสาวเป็นความถดถอย ไม่ยอมทำ
ความปราณีตต่อความเป็นธรรมะของหญิงสาว เธอก็จะเหมือนตะเกียงที่ไม่มีแสงไฟ
     สะใภ้ จิตใจจะต้องเหมือนน้ำ โอบอ้อม อ่อนโยน สายน้ำไหลเชี่ยวลดซอกซอนไป ไม่แน่ว่าจะต้องไหลไปกี่พันลี้
ที่สุดจึงจะลงสู่ทะเล
     เจตนาดำริของสะใภ้ ก็จะต้องยาวไกลเช่นกัน ให้เหมือนสายน้ำทูนเทิดเชิดชูทุกคนในบ้านขึ้นมา ( จีนให้ความ
สำคัญต่อสะใภ้ในสถานะแม่ของตระกูล ) เหมือนน้ำที่ช่วยพยุงให้สรรพสิ่งลอยตัวได้
    คนที่เป็นสะใภ้ จะได้ลูกสูงศักดิ์ศรีมีวาสนา ดูน้ำซิ ชุบเลี้ยงสรรพชีวิต โดยไม่แย่งชิง อยู่ในระดับต่ำสุด สิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็อยู่ได้ เ้ข้าได้กับทุกสิ่ง สมานได้กับทุกรส โดยที่คุณสมบัติความเป็นน้ำมิได้เปลี่ยนไป
     เป็นสะใภ้ถ้าจิตใจเหมือนน้ำ มีหรือที่จะไม่ถูกต้องตรงต่อหลักธรรม รวยก็อยู่ได้ จนก็อยู่ได้ สูงก็ได้ ต่ำก็ได้
คุณสมบัติไม่เปลี่ยน  คนหากเป็นเช่นนี้ได้ก็คือได้ธรรมะไว้ นี่คือ """ธรรมะของสะใภ้"""
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของหญิงสาว สะใภ้ แม่เฒ่า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2010, 21:51
       คนที่เป็นสะใภ้ "กาย"จะต้องทำจริง(ขยันถูกต้อง) ""ใจ""ใฝ่แฝงความดีของทุกคนในบ้าน (คิดถูกต้อง)
จิตวิสัย จะต้องเหมือนน้ำคล่องตัวเบิกบานเสมอ แม้จะถูกด่าว่าปรักปรำก็จำยอม
       ถ้าสามีในตามีปัญหา (เห็นผิด) ก็ยังดีกว่าตาบอด คิดอย่างนี้ได้ก็จะพอใจในความสุขที่มีอยู่ นี่เป็นธรรมะแท้
ของแม่บ้าน ทำไมธรรมะแท้จึงหล่นหาย เพราะคนในแต่ละฐานะไม่ได้ใส่ใจธรรมะ ในฐานะนั้นของตนอีกแล้ว
       ที่เมืองจิ่นโจว มีคุณครู "เจ้าป๋อซิน" ครั้งวัยรุ่นเคยสอนหนังสืออยู่ที่ศึกษาสงเคราะห์สตรี ภายหลังแต่งงาน
ไปกับบ้านสกุลหวัง พ่อสามีตาบอดทั้งสองข้าง นิสัยอารมณ์มุทะลุดุร้าย แม่สามีเป็นหญิงเกรี้ยวกราด ปากคอ
เลาะร้าย เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วอีกทั้งสูบฝิ่น ส่วนสามีชอบเที่ยวแตร่เสเพล ไม่ทำการงาน ภายหลังหายสาบสูญไป
 แม่สามีกดขี่ข่มเหงทารุณเธอ ทุกอย่าง ทุกคืนจะต้องให้ปรนนิบัติรับใช้จนเที่ยงคืน กลางวันเธอยังจะต้องไปสอน
หนังสือเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัวนี้ ไม่เคยได้กินข้าวอิ่มเลยสักมื้อ เธอรับสภาพนี้มาสิบกว่าปี
       ในที่สุด ทำให้พ่อแม่สามีกลับใจได้ไม่ชิงชังเธออีกทั้งชื่นชมเธอ เมื่อพ่อแม่สามีตาย เธอทำศพให้ตามพิธี
ทุกคนยอมรับนับถือที่เธอดำเนินธรรมบนหนทางที่ยากยิ่ง และลำบากแสนเข็ญได้ ฉะนั้นฉันจึงว่าเธอเป็น
""จอหงวนหญิง"" คุณครูเจ้าป๋อซิน มีปฏิปทาธรรมที่จริงแท้ ที่สุด สอนหนังสือเอาเงินเลี้ยงพ่อแม่สามี เมื่อเป็นอยู่
เลี้ยงดูให้ เมื่อตาย ทำศพให้ ทำถึงที่สุดของกตัญญุตาธรรม ยังจะต้องสอนหนังสือเลี้ยงดูเด็ก เป็นแม่ที่เมตตา
ประเสริฐแสน ถ้ายืนหยัดดำเนินธรรม กล่อมเกลาชาวโลก ไม่ใช่เพื่อลูกของตนคนเดียว ก็จะเป็นแม่ของโลกทิพย์
       คน ที่ไม่อาจบรรลุธรรมกันได้นั้น เพราะฝ่าด่านของลูกหลานไปไม่ได้(ผูกพันอยู่กับเฉพาะลูกหลานตน)
วีรสตรีฟังไห่หลัน นามรอง จิ้งปอ เพื่อที่จะได้เลี้ยงดูแม่ผู้แก่เฒ่า เธอสละตัวเป็นอนุภรรยา สามีของเธอแซ่ฉิน
เมื่อสามีตาย เธอรักษาศุจิธรรมความบริสุทธิ์ เธอทำลายโฉมตนเองที่สวยมาก เพื่อให้มาร(ผู้ชาย)ไกลห่าง
เพื่อจะศึกษาธรรม แม้เจ็บป่วยก็ลากสังขารเข้ารับการอบรม เพื่อช่วยชาวโลกเธออรรถาธรรมแจกแจงคุณธรรมความดี
เพื่อบรรลุธรรม เธอยอมเหนื่อยหนักรับการปรักปรำโทษโพย
       สุดท้ายมีคนกล่าวว่า ฟังไห่หลัน เป็นพระภาคจากพระโพธิสัตว์  ฉันว่าเธอนิรมานกายมาจากพระโพธิสัตว์
เชียวล่ะจึงอดทนได้เกินคน
       พึงรู้ว่า ธรรมะบำเพ็ญได้ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ขัดฝืน  คุณธรรมสำเร็จได้จากสภาพทุกข์ยาก ฝ่าด่านทุกข์ยาก
ไปได้ก็ขึ้นสู่ฟากฝั่งได้ทันที
       คุณแม่จูอวี้ซัน สามีแซ่ตู้ คุณแม่ท่านนี้สูงสุดยอดและต่ำติดดิน ท่านเป็นเจ้าของสถานกุศลสงเคราะห์ ท่าน
ต่ำติดดินจะต้องรู้ความเป็นธรรมะของชาวโลก  กระจ่างแจ้งต่อธรรมะของทุกคนที่บ้านกับชาวโลก จึงจะโอบอ้อมบ้าน
และโลกไว้ให้ทั่วถึงบริบูรณ์ได้ ท่านทำหน้าที่ทั้งสูงสุดที่บ้านและติดดินในสังคมได้
       ครอบครัวดี บ้านเมืองจึงจะดี บ้านเมืองดี โลกจึงจะดี หากได้ความเป็นธรรมะเช่นคนโบราณ เธอก็คือบรรพชน
ผู้มีธรรม ได้ความเป็นธรรมะของคนปัจจุบัน เธอก็คือชีพกายอมตะ เอาความมุ่งหมายใฝ่ดีเป็นรากฐาน ก็คือไปถึงพุทธ
ภูมิแล้ว อารมณ์จิตใจละเอียดเบาเหมือนเถ้าถ่าน ก็คือพุทธะแล้ว       
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของสามีภรรยา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/08/2010, 09:17
      สามีภรรยาเป็นอินกับหยาง ถ้าต่างอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของตนอย่างเที่ยงตรง ก็จะสอดคล้องกับความเป็นธรรมะ
ความเป็นธรรมะก็คือความเป็นอินหยาง แต่เมื่อความเป็นธรรมะตกสู่หญิงชายในโลก ชายขาดความแกร่งจริง หญิงขาด
ความอ่อนแท้ ครอบครัวขัดแย้ง ไม่เกิดลูกหลานดีมีผลเสียต่อสังคม โลกจึงขาดสันติสุข ขาดความสงบ เพราะต้นราก
ของคนมันไม่ดี
      ฉันสอนให้สามีภรรยาแจ้งใจในธรรม ให้ฟ้า (สามี ) ให้ดิน (ภรรยา ) มั่นคงเที่ยงตรงอยู่บนฐานของตน พลังของ
อินหยางราบรื่น ลูกหลานจะต้องเป็นเมธีคนดีแน่แท้ ในโลกมีเมธีคนดีให้มาก จะเกิดวิบากวุ่นวายได้อย่างไร
      คนโบราณพูดถึงการปกครองสามประการ(ซันกัง )คือเจ้าเหนือหัวปกครองขุนนาง พ่อปกครองลูก สามีปกครองภรรยา
แต่ฉันพูดถึงการปกครองสาม คือ ปกครองจิตวิสัย ปกครองใจ ปกครองกายตน (ปกครองเปรียบเช่นเส้นเชือกที่โอบคล้องไว้)
เกิดโทสะ คือจิตวิสัยขาดการโอบคล้องไว้ ด่าคน คือใจขาดการโอบคล้องไว้ ทำร้ายคน คือร่างกายขาดการโอบคล้องไว้
จะฟื้นฟูให้ชายรู้จักโอบคล้องปกครองดูแลภรรยากลับกลายเป็นข่มแหงรังแกเห็นผู้หญิงเป็นทาสเป็นของเล่นด่าว่าทุบตีเสียนี่
      สามปกครองจึงควรหมายถึง ปกครองตนเองให้ดี ทั้งจิตวิสัย จิตใจและร่างกาย ฉันพูดถึงสามปกครองคืออนุสัยไม่เิกิด
คือปกครองจิตวิสัยตัวรู้แท้ไว้ได้ ความโลภเห็นแก่ตัวไม่เกิดคือปกครองโอบคล้องใจเอาไว้ได้  ไม่ประพฤติผิดติดอบาย คือ
โอบคล้องปกครองกายไว้ได้  สามีให้หารือไม่ใช่หาเรื่องกับภรรยา พอหาเรื่องก็ไม่อาจโอบคล้องปกครองให้ด้ได้ ด่าทอคือ
การแสดงอำนาจภรรยาไม่กล้าด่าตอบแต่ความเจ็บแค้นฝังแน่นในใจแล้ว ตบตีคือมาดร้ายหมายชีวิต ภรรยาไม่กล้าตบตีตอบ
แต่ความเจ็บแค้นฝังแน่นในใจแล้ว ความเจ็บแค้นที่ระบายไม่ออกจะเป็นแรงกดดันถ่ายทอดไปสู่ลูกที่จะเกิดมา
       คน จิตหยาบจนน่าสงสารไม่อาจประมาณการต่อความปราณีตนี้ได้  คนโบราณพูดถึง""สามทำตาม"" ซันฉง ว่า
หญิงอยู่บ้านให้เชื่อฟังทำตามบิดา แต่งงานให้เชื่อฟังทำตามสามี สามีตายให้เชื่อฟังทำตามลูกชาย(ลูกที่เป็นผู้นำ--
ครอบครัวได้) ถ้าทำตามโดยไม่รู้ถูกไม่รู้ผิดเรียกว่า""ตาบอด""
       สมันนี้ผู้หญิงเขามีสามอิงอาศัย อยู่บ้านอาศัยพ่อแม่ แต่งงานอาศัยสามี แก่เฒ่าอาศัยลูก อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง
ฉันว่าผู้หญิงมี""สามทำตาม""ที่แท้จริงคือ จิตวิสัยทำตามสัจธรรมของฟ้าเบื้องบน ใจทำตามหลักธรรมของความเป็นคน
กายทำตามทำนองคลองธรรม ฉันจึงเรียกร้องขอให้ผู้หญิงรู้จักสะสมเงินทองล้มเลิก""สามอิงอาศัย""ซันไล่  เสีย
ให้ยืนหยัดได้ด้วยตน
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของสามีภรรยา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/08/2010, 05:17
    ได้โปรด
อย่าผลีผลาม    ย่ามใจ     อ่านง่ายนัก
ค่อยผ่อนพัก    พิจารณา   แต่ละข้อ
ค่อยทบทวน    ธรรมซึ้ง    ถึงต้นตอ
จะเกิดก่อ       ธรรมแท้    แด่ท่านจริง
                                      สาธุ     

     อรรถาคุณธรรม ฉันพูดเสมอให้หญิงชายต่างเที่ยงตรงอยู่บนฐานของตนเอง ชายให้อยู่บนฐานแกร่งตรง
หญิงให้อยู่บนฐานอ่อนโยน เหมือนน้ำ ให้มีเหตุผล
     แท้จริงแล้ว แกร่งตรงก็คืออ่อนโยน อ่อนโยนก็คือแกร่งตรง คำต่างกันแต่จิตใจเป็นอย่างเดียวกัน คนไม่รู้จักคิด
พิจารณาเอง ในพุทธธรรมคัมภีร์ว่า""ถึงฟากฝั่ง""อย่างไรจึงจะถึงฟากฝั่ง ฉันว่าหญิงชายต่างต้องเข้าใจความเป็น
ธรรมะซึ่งกัน ทุกคนก็จะสื่อสัมพันธ์กันได้ด้วยธรรมะ ก็จะถึงฟากฝั่ง พ้นปัญหาทุกข์ภัยได้สงบ
     สามีภรรยาสมัยนี้ ถ้าไม่ใช่ชายก็หญิงที่เจ้ากี้เจ้าการก้าวก่ายแทรกแซงรบกวนควบคุมบงการอีกฝ่ายหนึ่ง
หรือด้วยกันทั้งคู่ จนกลายเป็น""ครอบครัวนรก""ไป
     ฉันขอให้เขาปรับปรุงหยุดเสีย จะได้เป็นครอบครัวชาวสวรรค์ ชาวโลกโง่มาก คิดว่าแต่งงานเข้ามาเป็นคนของเรา
แล้ว จะแทรกแซงควบคุมอย่างไรก็ได้ อย่างนี้เรียกว่า""ชายชิงหญิงยืด""พอคนหนึ่งตายไป ชายมีคู่ใหม่ หญิงมี
คู่ใหม่ ที่เคยแทรกแซงควบคุมกันไว้มันเหลืออะไร แม้แต่ทรัพย์สินที่เคยโลภชิงไว้ตายไปก็เท่ากับโยนทิ้ง อย่างนี้
ไม่เรียกว่าโง่หรือ สรุปก็คือ เขาเห็นความสำคัญของตนเองเป็นหลัก
     ฉันพูดถึงธรรมะของความเป็นสามีภรรยา ก็คือธรรมะของความเป็นอินหยาง สามีภรรยาสมานใจกันพลังอินหยาง
ก็ราบรื่นไม่ข่มเข่นกันไม่เพียงไม่เกิดเจ็บป่วยไม่ตายโหง ครอบครัวยังจะสมบูรณ์พร้อมพรักลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
ฉันจึงบอกว่าชายหญิงจะต้องรู้ความเป็นธรรมะซึ่งกัน ครอบครัวจึงจะสุขสมานได้ ถ้าชายแทรกแซงควบคุม หญิงได้
แต่อิงอาศัย ชายตบตีหญิง หญิงเคืองแค้นชาย อินหยางไม่สมาน ครอบครัวจะมีสุขได้อย่างไร
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของสามีภรรยา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/08/2010, 01:40

     กล่าวถึงคัมภีร์อี้จิงว่า""เมื่อเกิดน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตจากฟ้า หกส่วนพสุธารองรับ น้ำคือหลักของความอ่อนโยน
ถ้าคนเกิดโทสะเสมอ จะเป็นน้ำจากฟ้าที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้อย่างไร""ฉันว่า""ชายคือฟ้า รักษาอารมณ์จิตใจไม่ให้
เกิดโทสะจึงจะเป็นเช่นน้ำจากฟ้าเกิดก่อมาหล่อเลี้ยงชีวิต ""หญิงคือพสุธา ทูนหนุนครอบครัวให้พรักพร้อมสมบูรณ์
ทั่วหน้าจึงจะเท่ารองรับน้ำจากฟ้า""
     เพศชายที่เป็นชายได้เพราะมีเพศหญิง จึงต้องเข้าใจความเป็นธรรมะของเพศหญิง  หญิงก็เช่นเดียวกัน มีเพียง
อย่างเดียว เรียกว่าคนสถานะเดียว
    ชายที่ยังไม่ได้ตกแต่งภรรยา ตกฐานะกตัญญูเต็มที่ทุกกรณี ได้ภรรยาแล้วตกฐานะผู้นำครอบครัวเต็มที่ ศรีสะใภ้
รับหน้าที่ดูแลกตัญญูพ่อแม่สามีและการบ้านเรือน
    หากสามีไม่อาจนำพาภรรยาให้กตัญญู ไม่รู้จักอบรมลูก แม้ตนจะเป็นลูกกตัญญูเพียงใร พ่อแม่ก็ยังไม่วางใจ
ศรีสะใภ้กตัญญู แต่ไม่อาจช่วยให้สามีเจริญคุณธรรม พ่อแม่ก็ไม่วางใจ
    ฉะนั้นหญิงชายจะต้องเข้าใจธรรมะ จึงจะทำความกตัญญูได้ถึงที่สุด  สามีภรรยาใช้ชีวิตร่วมกันทางที่ดีคือไม่พูด
พูดดีให้กลับกลายเป็นงอนง้อ พูดร้ายให้กลับกลายเป็นถกเถียง
    คนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวก้าวก่าย ดีร้ายไม่สะเทีอนจึงควรเดินสายกลาง ห่างกันพอสมควร สามีภรรยาในโลกของ
ความมุ่งมั่น จะลืมอารมณ์รักใคร่ สามีภรรยาในโลกของอุดมคติ จะราบเรียบ  ส่วนสามีภรรยาในโลกของอารมณ์จิตใจ
จะโยงใยผูกพัน สามีภรรยาในโลกของกายสังขารเกาะเกี่ยวเหนียวแน่น เกาะเกี่ยวเหนียวแน่นคือ""กวน""โยงใย
ผูกพันคือ""กลัว""ราบรื่นจะยั่งยืน มุ่งมั่นใจจะจริงแท้ ดีก็ไม่พูด ร้ายก็ไม่ว่า มาก็ไม่ว่า ไปก็ไม่ว่า จึงจะเป็นคู่ชีวิต
ในโลก""อุดมคติ""
    คู่ชีวิตในโลกของความมุ่งมั่น จะไม่พูดว่าจะสำนึกคุณซึ่งกันไม่โทษโพยใคร คู่ชีวิตในโลกอุดมคติจะมีความสุข
สามีนำพาภรรยาให้มีธรรม ภรรยาช่วยให้สามีบรรลุธรรม ไม่โกรธเคืองกัน
    คู่ชีวิตในโลกของจิตใจ เป็นชีวิตประเพณี จะมีการว่ากล่าวแทรกแซงกัน คู่ชีวิตในโลกของกายสังขารจะทะเลาะ
ด่าตีชีวิตจิตใจขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ ความต้องการ จึงแย่มาก
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ธรรมะของสามีภรรยา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2010, 17:43
       กัลยาณชนเรียกร้องจากตนเอง  จัณฑชนคนทรามเรียกร้องจากใคร ๆ ฉันว่าคนที่เรียกร้องจากตนเอง
คือภาวะจิตจากฟ้า เรียกร้องจากใคร ๆคือภาวะจิตทางโลก
      จากนี้ไปสามีควรจะเลิกเรียกร้องจากภรรยา  ภรรยาเลิกเรียกร้องจากสามี ต่างทำการงาน ต่างมีธรรมะของตน
โอกาสที่ควรอยู่ใกล้กันก็อยู่ใกล้ ควรห่างก็ห่างไม่รบกวนกันสุขสมานทุกเวลา ห่างกันก็ไม่ต้องคร่ำครวญหวนหา
เป็นธรรมชาติสบาย ๆ อย่างนี้จึงเป็นคู่ชีวิตด้วยจิตเดิมแท้
      ฉันพูดเสมอว่าดูการดำริคิดของภรรยา จะรู้ได้ในตัวของสามี ดูจิตใจของสามีจะรู้ได้ในตัวของภรรยา เช่น
หวังซันเจี่ย แม้จะทนทุกข์ยากอยู่กับกระท่อมร้าง แต่ในดำริคิดของเธอเชื่อว่าสามีที่เดินทางเข้าเมืองหลวง
จะต้องได้เป็นเจ้าเมืองแน่นอนแล้วก็ได้เป็นจริง ๆ
      หญิงอีกคนหนึ่ง คือหลี่เสวียฮุ่ย มีดำริคิดว่าสามีของเธอที่อยู่นอกบ้านคงจะไปสูบฝิ่นกินกัญชาหาอนาคตไม่ได้
สุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในใจของฉันคิดว่าภรรยาของฉันจะต้องได้เป็นครูทั้งๆที่เป็นหญิงชาวบ้านธรรมดาไม่มี
การศึกษา คิดว่าลูกชายคงจะได้เป็นนักศึกษา ซึ่งภายหลังก็เป็นไปตามนั้น นี่คือตัวอย่างจริง
      ชายสำเร็จการต่าง ๆ ได้ด้วยใฝ่ใจมุ่งมั่น หญิงสำเร็จการต่าง ๆได้ด้วยใฝ่ในอุดมคติ ฟ้าโปรดให้คนกำเนิดมา
ด้วยวาสนาแต่เหตุใดผู้เสพสุขวาสนาจึงมีน้อย รับทุกข์ภัยจึงมีมาก เพราะคนหลงทางโลกีย์ คนที่เป็นเจ้านายรับ
ราชการชอบยักยอกกินสินบนโดยมีภรรยาเป็นต้นเหตุ
      ลูกละทิ้งพ่อแม่ แย่งสมบัติกับพี่น้องเพราะภรรยาผิดกฏหมายบ้านเมืองสิ้นมโนธรรมส่วนใหญ่ก็เพราะภรรยา
เป็นเหตุ คนที่ไม่มีภรรยาก็คือยักยอกเพื่อตนเองได้เสพสุข  จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าผู้หญิงกลืนกินข้าราชฯกลืนกิน
ผู้จงรักกับลูกชายกตัญญูเสียสิ้น ยังคิดว่าตนเองอุ้มชูสามีที่แท้รังแกสามี
     ผู้หญิงที่เกื้อกูลสามีจะตรวจสอบดูเสียก่อนว่าสามีคบหากับคนอย่างไร ที่พูดคุยกันเป็นเรื่องราวอะไร
ปัญญาชนถ้าคุยไร้สาระ คือปริมาตรใจคับแคบ คนที่เป็นเจ้านายรับราชการไม่คุยเรื่องรักชาติสุจริตมุ่งแต่จะกอบโกย
คนที่เป็นภรรยา หากเตือนสติสามีให้กลับใจได้ จึงจะเรียกว่าเกื้อกูลให้เขาบรรลุสู่คุณงามความดี
    ชั่วชีวิตของฉันทำเพื่อกุศลประโยชน์ หลังจากมุ่งมั่นจัดตั้งโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สตรีแล้ว ไม่ได้พะวักพะวง
ภรรยาอีกเลย คนอื่นทำงานกุศลสงเคราะห์ดูยิ่งใหญ่มาก แต่ยังพะวงใจอยู่กับภรรยา
    สิ่งที่ผู้ร่วมงานศึกษาสงเคราะห์เหนือกว่าใคร ๆ คือไม่สาละวนกับภรรยาเขาเตือนสติเธอถึงหกครั้ง แต่เธอไม่ฟัง
ฟ้องอย่าจนได้ เขาไม่ได้สะเทือนจึงเรียกว่า เหนือกว่าใคร คนทั่วไปเยาะเย้าว่าเขากลัวเมีย แต่ฉันว่าเขาเป็นจอหงวน
ในสามปกครอง (ปกครองจิตวิสัย ใจ กายของตนไว้ได้ )
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สร้างงาน -- แต่งงาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/08/2010, 02:47
        สร้างงาน -- แต่งงาน

      ชาวโลกแต่งงาน คนชั้นสูงคำนึงถึงอิทธิพล ทรัพย์สิน เพื่อการเสพสุข คนทั่วไปคำนึงถึงหลักทัรพย์
เพื่อความเป็นอยู่ เจ้าสาวจะเรียกร้องเงินทองของแต่งจากพ่อแม่ เรียกร้องสินสอดจากฝ่ายชาย อย่างนี้ไม่มีธรรมะ
ผู้หญิงสมัยนี้มีความรู้ มีการศึกษา ถ้าแต่งกับคนชั้นสูงก็เกรงจะเหนื่อยกาย แต่งกับคนไม่มีหลักทรัพย์ก็เกรงจะยากจน
อย่างนี้ก็ไม่มีธรรมะ ถ้าผู้หญิงไม่เข้าใจความเป็นธรรมะอย่างถ่องแท้ ค่านิยมของชาวโลกก็จะแก้ไขยาก ธรรมะที่
ฉันสอนก็จะดำเนินได้ยาก
      ฉันหยิบยกเสริมส่งการแต่งงานประหยัดอย่างสูงส่งนั่นคือ เมื่อหญิงสาวจะออกเรือนไป อย่าได้เรียกร้อง
อยากได้สมบัติอะไรจากพ่อแม่แม้แต่เสื้อผ้าสักชุด เพื่อปรับเปลี่ยนประเพณีนิยม ผู้หญิงถ้ามีผู้ชายแล้วจะเห็นแก่ตัว
เอารัดเอาเปรียบเอาสามีมาเป็นสมบัติส่วนตัว ถ้าไม่ใช่เจ้ากี้เจ้าการควบคุมบงการ ก็จะห่วงหาอาวรณ์ ซึ่งก็ไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นฉันจึงหยิบยกเสริมส่งให้ผู้หญิงสะสมเงินทองสร้างงาน เพื่อจะลบล้างสามอิงอาศัย (อาศัยพ่อ อาศัยสามี --
อาศัยลูกชาย )
       หยัดยืนใจให้ฟ้าดิน หยัดยืนชีวินเพื่อประชา สืบสานการศึกษาเพื่ออดีตอริยะ เบิกทางสันติภาพเพื่อ
โลกนิรันดร์กาล คติพจน์ที่ท่านปราชญ์จางเหิงฉวี ถ่ายทอดให้ไม่กี่ประโยคนี้ แสดงถึงปณิธานมุ่งมั่นของท่าน
ปราชญ์เจียงซีจาง ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังเป็นเด็ก ซึ่งเป็นเด็กอัจฉริยะต่างจากเด็กทั่วไปจนได้รับการยกย่องว่า
""ทิพย์กุมาร""สำหรับความคิดของฉัน ผู้ชายสะสมเงินทองสร้างงานยับยั้งความโลภ แก่งแย่ง เช่นนี้คือ
สุภาพบุรุษแท้จริง ที่หยัดยืนใจให้ฟ้าได้ ผู้หญิงสะสมเงินทองสร้างงาน ไม่เป็นภาระแก่ผู้ชาย เช่นนี้คือ
สุภาพสตรีแท้จริง ที่หยัดยืนใจให้แผ่นดินได้ อยู่ในสถานภาพใดก็ให้เป็นคนอยู่ในสถานภาพนั้นก็คือได้หยัดยืน
ชีวินเพื่อประชา ทำได้ดังนี้ก็จะเท่ากับสืบสานการศึกษาเพื่ออดีตอริยะเบิกทางสันติภาพเพื่อโลกนิรันดร์กาล
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สร้างงาน -- แต่งงาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/08/2010, 03:32
      ขณะก่อร่างสร้างงาน เป็นภาวะทางโลก (ดิ้นรนต่อสู้) ขณะดำรงการงานคือภาวะทางธรรม(สุขุม มั่นคง)
เอาควาโลภแก่งแย่งเป็นหลัก คือทางโลก เอาความสมถะละเลี่ยงให้เป็นหลัก คือทางธรรม
      ฉันหยิบยกเสริมส่งให้สะสมเงินทองสร้างงาน แต่งงาน ประหยัดอย่างสูงส่งนั่นคือนำประชาไปสู่โลกทางธรรม
นำข้ามไปได้เขาก็จะเป็น""ธรรมประชา""แต่หากได้ชื่อว่าแต่งงานอย่างสูงส่งดังกล่าว แต่ใจยังโลภอยากแก่งแย่ง
หรือเมื่อสร้างงานหยัดยืนได้แล้วใจยังไม่รู้จักพอเพียงก็ยังจะคงเป็น""โลกียประชา""สรุปว่า..จะเป็นการดำเนิน
ตามภายในภายนอกก็ตาม ถ้าเป็นคนด้วยจิตวิสัยมุ่งมั่นตั้งใจดี ก็คือ""ธรรมประชา""
       เป็นคนด้วยใจกาย ก็คือโลกียประชา ก็ใช่หรือไม่เล่าที่ธรรมประชาเขาไม่ยึดหมายในรูป แต่จะปฏิบัติ
ด้วยความจริงแท้ เมื่อก่อนฉัยหยิบยกเสริมส่งสร้างงานก่อนแต่งงาน บัดนี้เลือกสรรค์ส่งเสริมผู้คนอีกให้ก่อเกิด
โลกธรรมะขึ้นมาใหม่
       ใคร ๆต่าง ดูหมิ่นงานที่ฉันทำเข้าใจว่าฉันฟุ้งซ่านหารู้ไม่ว่าที่ฉันถูกดูหมิ่นนั้น กลับเป็นความวิเศษในการ
ดำเนินธรรมของฉัน ตอนนี้ดูอย่างกับไม่สลักสำคัญอีกร้อยปีภายหน้า ก็จะรู้ว่าที่ฉันหยิบยกเสริมส่งนั้นล้วนเป็น
กลไกสำคัญที่สุด ต่อการปรับแปรสังคม
       ครูใหญ่""หลิวเอวิ๋นอย่ง""(หญิง) ไม่เพียงสะสมเงินทองสร้างงานของตนเอง ยังสร้างงานให้แก่พ่อแม่
ไม่เพียงตนเองไม่มีภาระัยังได้อุ้มชูคนแก่ขึ้นมาเธอเป็นแบบอย่างของลูกสาวได้ดีทีเดียว
       เมื่อก่อนฉันแนะนำให้ลูกสะใภ้สะสมเงินทองสร้างงาน เอาเงินดอกเบี้ยจำนวนเศษหนึ่งส่วนห้าของปี
ให้แม่สามีเพื่อทำความกตัญญูให้ถึงพร้อม
       คุณครูหญิง""หวังชูเอวี๋ยน""กลับเอาเงินที่ตนเองสะสมไว้ (เงินต้น)สร้างงานให้แก่แม่สามี ไม่ถึงสองปี
ต่อมาคุณครูหวังชูเอวี๋ยนสิ้นชีวิต แม่สามีไม่ต้องเป็นห่วงค่าใช้จ่ายอยู่กินจนถึงค่าที่จะต้องทำศพ อีกทั้งเมื่อ
หลังจากนั้นแล้ว เงินทองที่เหลือจากการสร้างงาน ยังมอบให้คนอื่นไปสร้างงานต่อไปอีกคน ตัวตายแต่คุณธรรม
ไม่ตาย ภายหลังฉันจึงได้รู้ว่าเธอทำดีมากทีเดียว
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : เหตุต้นผลตาม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2010, 09:15
        เหตุต้นผลตาม
     ย่าของฉันเป็นคนโง่เขลา มีธรรมะ อารีอารอบ แต่ดูแลบ้านช่องได้ไม่ดี ย่าสะใภ้ของฉันไม่ยอมรับนับถือ ลูกสะใภ้ของย่าสะใภ้ร้ายกาจต่ออย่าสะใภ้ซึ่งเป็นแม่สามี ยิ่งกว่าที่ย่าสะใภ้ร้ายต่อย่าของฉันอีก เธอไม่พูดกับแม่สามีถึงสิบปี ตกรุ่นมาถึง มู่สูเสียน ซึ่งเป็นหลานสะใภ้ ตั้งแต่แต่งเข้าบ้าน ไม่เคยปรนนิบัติดูแลแม่สามีเลยสักนิด จนเมื่อแม่สามีตาย เธอจึงค่อยเปลี่ยนดีได้ จากจุดนี้ฉันจึงเข้าใจได้ว่า""ธรรมะถ้าเดินผิดไป ยิ่งผิดยิ่งไปไกล""ตกถึงหลาน
     ชาติก่อนผิดต่อคุณสัมพันธ์เบญจธรรมในธรรมะข้อใด ชาตินี้ก็จะขาดคุณสัมพันธ์เบญจธรรมสัมพันธ์ในข้อนั้น ชาติก่อนหากไม่กตัญญู ชาตินี้ก็จะขาดทายาท หากคุณสัมพันธ์เบญจธรรมสัมพันธ์เสียหายทั้งหมดห้าข้อ ชาตินี้ก็จะต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
     บ้านสกุลหวัง ตำบลถวนซันจื่อ อำเภอเฉาหยัง เป็นญาติผู้ชายฝ่ายแม่ของฉัน แต่ก่อนทำบ่อถ่านหินภายหลังลูก ๆ ไม่ทำสัมมาอาชีพ วันหนึ่งฉันไปอรรถาธรรม ขากลับผ่านมาทางหมู่บ้านของเขา เขาถามฉันว่า ฉันมีบาปเวรอะไรลูกๆ จึงสูบฝิ่น ถลุงเงิน ไม่ทำสัมมาอาชีพ ฉันบอกว่า ก็เพราะคุณขูดรีดคนยากจนผียากจนจึงพากันมาเกิดในบ้านคุณ
     ก่อนที่ฉันจะรับช่วงเป็นเถ้าแก่บ่อถ่านหิน ทุกคืนคนงานจะได้กินข้าวหนึ่งชาม กินหมี่หนึ่งชาม (ทำงานจนดึกดื่น) แต่คุณว่ามันสิ้นเปลืองตัดให้เหลือแค่เต้าหู้คนละสองก้อน ต่อมาเต้าหู้สองก้อนก็ยังว่าไม่คุ้ม ต้องทำเต้าหู้เอง คนอื่นเขาทำเต้าหู้ใช้ถั่วเหลืองหนึ่งทะนานใหญ่ทำเต้าหู้หนึ่งร้อยก้อน แต่นี่ใช้ถั่วเหลืองเพียงสองกระบวยครึ่งยังจะทำเต้าหู้ให้ได้หนึ่งร้อยยี่สิบก้อนอย่างนี้ไม่ใช่ขูดรีดคนจนหรอกหรือ
     ทุกครึ่งวันตรุษสารท บ้านคุณทั้งเด็กและผู้ใหญ่ช่วยกันฆ่าหมูขายให้คนงาน ขายแพงกว่าราคาท้องตลาดโกงตาชั่งอีกต่างหาก คนงานจะไม่ซื้อก็ไม่ได้ แม้ขายยาสูบ ขายแป้ง ก็โกงเขาอย่างนี้ เพราะกลัวตัวเองจะยากจนใช้วิถีขูดรีดจากคนจน ฉะนั้นผียากจนจึงมาเกิดที่บ้านคุณ คุณทำตัวของตัวเอง ยังจะมาถามใครได้ ญาติฝ่ายแม่ของฉันคนนี้ฟังฉันแจงโทษผิดบาปให้แล้วเขาได้แต่ร้องไห้เดินหนีไป
      คนสูงศักดิ์ข่มเหงหยามเหยียดคนต่ำต้อย ภายหน้าเขาจะต้องต่ำต้อยโง่เขลาแน่แท้ คนร่ำรวยขูดรีดรังเกียจคนยากจนภายหน้าเขาจะต้องยากจนเป็นแน่ นี่คือ หลักธรรมชาติของสังสารวัฏ เหตุเพราะเขาได้ห่างจากความเป็นธรรมะของคนสูงศักดิ์ร่ำรวยเสียแล้ว เธอรังเกียจเขา เขาย่อมรังเกียจเธอ หากเธอรังเกียจคนโง่ คนโง่จะรังเกียจชิงชังเธอแน่นอน
      ทุกสิ่งอย่างล้วนเวียนวนเป็นวัฏจักรไม่ผิดต่อกฏเกณฑ์นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าทำก้ำเกินละอายแก่ใจต่อคน แม้แต่เดรัจฉานก็จะทารุณต่อเขาไม่ได้ เดรัจฉานแม้จะพูดภาษาคนไม่ได้ และเบื้องบนก็มิอาจบอกกล่าวแก่เราก็ตาม ปีนั้นทางการตามจับผู้ร้ายมาถึงหมู่บ้านไม่ได้โจรแต่กลับจับพลเมืองดี บังคับให้เขาพูดเท็จว่าโจรวิ่งเข้ามาซ่อนตัวในบ้านของฉัน เจ้าหน้าที่ยังจับฉันตี แต่ฉันไม่ได้ขัดเคือง ไม่ได้โกรธ จนกระทั่งเมื่อฉันได้เฝ้าสุสานบิดา (มีเวลาว่างค่อยคิดพิจารณา ) ฉันจึงนึกรู้ได้ว่าผลกรรมตามสนองฉันเคยโบยตีวัวควายอย่างแรงขณะใช้งาน สร้างกายกรรมย่อมชดใช้กรรมด้วยกาย
      ชาตินี้คับข้อง ชาติก่อนไม่คับข้อง ชาตินี้ปรักปรำ ชาติก่อนไม่ปรักปรำ ทุกเรื่องที่ต้องคับข้อง ล้วนเป็นเพราะไม่เข้าใจเหตุต้นผลตามสามชาติ ดูจิตวิสัยของเขาก็จะรู้เหตุต้นผลตามในชีวิตของเขา ชาตินี้ได้รับอะไรล้วนสั่งสมกรรมนั้นมาจากชาติก่อน
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : เหตุต้นผลตาม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2010, 11:00
      รู้จิตวิสัยของชาตินี้คืออะไร ก็จะรู้ว่าชาติก่อนเขาเคยทำอะไรมา  ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุไฟ ชาติก่อนจะต้องมียศศักดิ์ ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุน้ำชาติก่อนจะต้องเป็นพ่อค้า ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุไม้ชาติก่อนจะต้องเป็นคนงาน  ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุดินชาติก่อนจะต้องเป็นเกษตรกร  ชาตินี้จิตวิสัยเป็นธาตุทองชาติก่อนจะต้องเป็นนักศึกษาผู้เรียนรู้  ชาติก่อนชอบล่าสัตว์เข่นฆ่าทำลายชีวิตเขาชาตินี้จิตวิสัยธาตุไฟจะร้อน  ชาติก่อนชอบตอบโต้ผู้ใหญ่ชาตินี้จิตวิสัยธาตุไม้จะหนัก  ชาติก่อนชอบโกหกหลอกลวงชาตินี้จิตวิสัยธาตุไฟก็จะแรง  ชาติก่อนชอบขัดเคืองเขาชาตินี้จิตวิสัยธาตุดินก็จะหนา
     ในจิตวิสัยของวัวควายมีแรงไฟโง่เขลา  ในจิตวิสัยของสุนัขมีพลังอินของธาตุไม้ มันจึงปรากฏอาการของมันอย่างนั้นมันจึงได้รับความทุกข์ตามสภาพของมันอย่างนั้น หากแปรสลายธาตุจิตวิสัยนั้นไปได้ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในสภาพเดรัจฉานได้
     ซ่งเสี่ยวเซิง ถามฉันว่าชาติหน้าผมจะต้องไปเิกิดเป็นอะไร  ฉันตอบว่า ชาติหน้าท่านจะต้องไปเกิดเป็นเถ้าแก่มือรอง ไม่มีอำนาจไม่มีสถานภาพเพราะใจของท่านกลวงโบ๋ หากพูดเท็จ ทำการเท็จ สร้างกุศลเท็จ เพียงเพื่อรับสรรเสริญแม้จะได้ไปเกิดเป็นเทวาอารักษ์ก็จะเป็นมือรอง (ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีสถานภาพ) หากเกิดเป็นคุณนายก็จะต้องเป็นอนุภรรยา
     คนเป็นสัตว์ประเสริฐ ทุกชีวิตล้วนอาจเกิดเป็นคน บำเพ็ญต่อไปก็จะได้เป็นพุทธะเทวา แต่น่าเสียดายที่คนนั้นหลงเสียแล้วจะต้องเวียนไปเิกิดเป็นเดรัจฉานอีก จึงเกิดการเวียนว่ายไม่จบสิ้น
     คนหากฟุ้งซ่าน ทิฐิยึดหมาย ก็คือเวียนว่ายไม่จบสิ้นเป็น คน ไม่เป็น ไม่กระจ่างทางธรรมใจก็จะไถ่ถอนจากสังสารวัฏไม่ออกไม่พอใจ ไม่พอเพียง จิตดำริก็จะไถ่ถอนไม่ออก สรรพสิ่งยึดหมายไม่ว่างเปล่าได้ เรื่องราวค้างคาไม่หมดจดจิตมุ่งมั่นก็จะถูกผูกโยงไถ่ถอนไม่ออก ทำการหนึ่งจะต้องให้จบสิ้นต่อการหนึ่ง ดำเนินข้อธรรมหนึ่งให้จบสิ้นต่อข้อธรรมหนึ่ง รอดเข้าออกเป็นอิสระได้ไม่ถูกร่างแหโลกีย์ตรึงให้หลงจึงจะไถ่ถอนตัวออกมาได้
     ใจเป็นรากต้นที่ก่อเกิดเหตุและผลของกรรม หากมีความเห็นแก่ตัว ยึดหมาย กังวลแม้แต่น้อยนิดในใจก็จะมีเงาดำก็ไม่อาจหลุดรอดจบสิ้น ก็จะหนีไม่พ้นวงเวียนกรรม
      ใจทางโลกจึงต้องให้ตายสนิท ตายสนิทจึงจะขาดสิ้นจากรากต้นของ""เหตุอันก่อผล"" เรื่องราวทุกอย่างไม่มีที่จะไม่มาจากเหตุก่อผลเรื่องขัดฝืนมาถึงตัว หากยิ้มรับผ่านไปได้ ให้คิดเห็นว่ามันสมควรต้องเป็นเช่นนั้น เรื่องก็จะจบสิ้นผ่านไป แต่หากรับไม่ได้ทนไม่ไหว ในใจเกิดแรงคับแค้นขัดเคือง ต่อต้าน แม้เรื่องราวนั้นจะผ่านเลยไปได้แต่ภายหน้ายังจะต้องมีเรื่องขัดฝืนมาใหม่นั่นคือ""เหตุก่อผล"" อันต้องรับไว้ยังมิได้ให้มันจบสิ้นไป
      วิญญาณได้มาจากยมโลก จะรู้จักแต่โลภอยากแย่งชิง จึงมืดมัว
      จิตญาณได้มาจากฟ้าเบื้องบน จะรู้คุณสัมพันธ์ รู้จริยะ ละเลี่ยงให้ จึงใสสว่าง
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สามโลก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2010, 16:54
       คนเกิดได้ด้วยสามโลก  ฟ้าประทานจิตญาณ  แผ่นดินประทานชีวิต  พ่อแม่ให้กำเนิดรูปกาย  จึงกล่าวได้ว่าสามโลกเป็นที่มาของคน จิตญาณดำรงหลัักธรรมฟ้า  ใจดำรงหลักเหตุผล  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรม จึงจะกลับคืนไปสู่ต้นรากที่มาได้ คนรู้แต่เพียงตัวฉันนี้ไม่รู้จิตญาณจากฟ้า ตัวฉันไม่รู้มีหนึ่งตัวฉันในนรกภูมิ
       เมื่อจิตญาณที่หลงไปได้กล่อมกลายฟื้นฟูแล้ว จิตญาณบริสุทธิ์สูงส่ง ตัวฉันจะได้มรรคผลยังเบื้องบน เมื่อหลักเหตุผลกระจ่างแจ้งแก่ใจตนแล้ว อีกหนึ่งชีวิตตัวฉันในนรกภูมิสูงส่งขึ้นเป็นคนบนโลก จึงกล่าวว่า คนมีสามกาย เสียดายที่ใคร ๆ ไม่รู้กัน
       ที่ฉันพูดว่า จิตวิสัยจะต้องดำรงหลักธรรมฟ้า ใจดำรงหลักเหตุผล กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรมนั้น เป็นอย่างเดียวกับไตรสรณะของศาสนาพุทธ เป็นอย่างเดียวกับสามวิเศษของธรรมศาสนา และเป็นอย่างเดียวกับสามปกครองของศาสนาปราชญ์ ไตรสรณะของศาสนาพุทธก็คือ จิตญาณ ใจ กาย  จิตวิสัยในจิตญาณ ดำรงหลักธรรมฟ้าก็คือ พุทธังสรณังฯ ใจดำรงหลักเหตุผลก็คือธรรมมังสรณังฯ กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรม ก็คือสังฆังสรณังฯ
       สามวิเศษของศาสนาเต๋า (ธรรมศาสนา) คือจิตญาณ ใจ กาย  จิตวิสัยในจิตญาณ เบิกบานงดงามเต็มเปี่ยมอยู่กับสัจธรรม
ใจเบิกบานงดงามพร้อมอยู่กับหลักเหตุผล กายเบิกบานงดงามพร้อมอยู่กับทำนองคลองธรรม
       สามฐานะคุณธรรม ของศาสนาปราชญ์ คือจิตญาณ ใจ กาย  จิตวิสัยในจิตญาณดำรงหลักธรรมฟ้าจะมีธาตุแท้กรุณาธรรม ใจดำรงหลักเหตุผลจะมีปัญญาธรรม  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรมจะมีความหาญกล้า มีสามฐานะคุณธรรมเท่ากับดำเนินสามปกครองตน
       สามโลกก็คือสามศาสนา ศาสนาปราชญ์ (ขงจื้อ) เริ่มจากหยัดยืนสวรรค์สร้างชีวิต  ศาสนาเต๋า (เหลาจื้อ ) ธรรมศาสนาเริ่มจากฝึกฝนกายธาตุภายใน  ศาสนาพุทธเริ่มจากกล่อมเกลาจิตวิสัยในจิตญาณ
       จิตวิสัยในจิตญาณดำรงหลักธรรมฟ้า จะต้องอ่อนโยน  ใจดำรงหลักเหตุผลจะต้องราบเรียบสมาน  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรมจะต้องอดออมน้อมรับ
       หมื่นศาสนา ทุกศาสนาเอาคนเป็นฐานของศาสนา  คนมีสามฐานคือฐานของจิตญาณ  ฐานของใจ  ฐานของกาย  เมื่อคนลืมฐานของตนจะไม่อาจหยัดยืนอยู่ได้ ดังคำที่ว่า""ฐานหยัดยืนนำ ธรรมตามก่อเกิด"" กายคือสิ่งสนองรับสนองตอบต่อสรรพสิ่ง มีอะไรที่ทำไม่เป็น ทำไม่ได้เช่นการงานจะต้องพากเพียรเรียนรู้  ใจดำรงหลักสรรพเหตุผล รู้เขารู้เรา  รู้รุกรู้ถอย  รอดผ่านไปได้ก็จะไม่ยาก  จิตญาณเป็นที่รวมภาวะวิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลไว้ จะต้องกระจ่างชัดต่อหลักธรรมฟ้า เข้าถึงกาลเวลาฟ้าเอาพระโองการฟ้าเป็นเจ้าเป็นหลักครองชีวิต  ดำเนินตามหลักฟ้า จึงจะนับว่าหยัดยืนอยู่ได้บนฐานของชีวิต
       จิตญาณ ใจ  กาย  สามโลกนี้ หากไม่ปกติสุขเป็นเพราะในสามโลกนั้นมีผู้ร้ายคือ ๑.จิตวิสัยโกรธ แค้น ขัดเคือง กิเลส  ๒.ใจมีตัณหา เห็นแก่ตัว  ๓.กายมีอบายมุข  อยากให้สามโลก (จิตญาณ ใจ กาย )เป็นปกติสุขจะต้องเอาหลักธรรมฟ้าจับผู้ร้ายในจิตญาณตน เอาหลักเหตุผลจับผู้ร้ายในใจตน  และเอาทำนองคลองธรรมจับผู้ร้ายในกายตน

หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สามโลก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2010, 04:07
       อารมณ์ระเริงสะเทือน เป็นอาการป่วยในโลกของจิตญาณ คิดคำนึงถึงความไม่ถูกต้องของใคร ๆ เป็นอาการในโลกของใจ
คำนวนการเพื่อกายตน เอารัดเอาเปรียบเพื่อตนเป็นอาการป่วยในโลกของกาย ถ้ากลับกันเสียได้ป่วยก็จะหาย
       โลกของจิตญาณหากใสจะไม่เกิดอารมณ์ (โมหะ โทสะ ) โลกของใจหากใสจะไม่เกิดความมักได้เห็นแก่ตัว  โลกของกายหากใสจะไม่มีอบาย ญาณไม่ใสจะไม่มีวาสนา กายไม่ใสจะไม่มีอายุวัฒนะ ฉะนั้นพึงทำความใสให้แก่สามโลกของตน
       ฉันได้ยินท่านว่าบรรยายกาศคลุกเคล้าที่ปกคลุมโลกในบุรพกาลเบื้องต้นแปรเป็นสามใส ในความเข้าใจของฉัน ""คน""คือตัวบรรยายกาศที่คลุกเคล้าปกคลุม ในจิตญาณหากปราศจากวิสัยโมหะ โทสะคือญาณใส ใจปราศจากมักได้เห็นแก่ตัวคือใจใส กายปราศจากอบายคือกายใส เมื่อใสได้ทั้งสามโลก (จิตญาณ ใจ กาย )จึงจะนับว่าบรรยายกาศคลุกเคล้าแปรเป็นสามใส ป่วยในสามโลกนั้นฉันรักษาให้หายได้หมด ก่อนอื่นจะต้องแยกสามโลกออกจากกัน ชำระให้ใสจัดระเบียบเสียใหม่  กายปราศจากอบายโลกของกายจะไม่ป่วย  ใจปราศจากมักได้เห็นแก่ตัวโลกของใจก็จะไม่ป่วย  จิตญาณปราศจากวิสัยโมหะโทสะโลกของจิตญาณก็จะไม่ป่วย โรคภัยของจิตใจจะต้องรักษาด้วยธรรมะ มิฉะนั้นจะไม่หาย กินยาไม่เิกิดผล เสียดายที่ใคร ๆ ไม่รู้
      จิตญาณเป็นดวงดาวสุขวาสนา  ใจเป็นดวงดาวลาภสักการะ  กายเป็นดวงดาวอายุวัฒนะ  กินมากเกินควรบั่นทอนวาสนา พูดจาทำร้ายเขาถูกตัดทอนลาภสักการะ  ตกแต่งสวมใส่เกินควรเสียหายต่ออายุวัฒนะ คนจึงพึงสำรวจตรวจตนทุกเวลาอย่าละเลย หนทางชีวิตที่สำคัญของคนก็คือโลภ แก่งแย่ง ขุดคุ้ยปั่นป่วน  โลภจะผิดต่อหลักธรรมฟ้าเป็นหนี้ฟ้าเบื้องบน  แก่งแย่งผิดต่อหลักเหตุผลเป็นหนี้ทางโลก  ขุดคุ้ยปั่วป่วนผิดทำนองคลองธรรมเป็นหนี้นรกภูมิ หากละเมิดผิดทั้งสามตัวหนี้เป็นหนี้ทั้งสามโลก สุดท้ายยังจะดีได้อย่างไร
      โลภคือผิด  แก่งแย่งคือโทษ  ปั่นป่วนขุดคุ้ยคือเวร  ชอบคับแค้นโทษโพยคือทำร้ายจิตใจตนไม่คับแค้นจะรักษาพลังรักษาชีวิตตนไว้ให้ดี ชอบย้อนเสียดายที่เสียไปทำร้ายจิตญาณตน ไม่ย้อนเสียดายรักษาจิตญาณ รักษาวาสนาไว้ได้ ชอบคับแค้นขัดเคืองเขาทำร้ายร่างกายตน ไม่ขัดเคืองโทษโพยใครรักษากายรักษาอายุวัฒนะ
      คนหากไม่คับแค้นไม่ย้อนเสียดายไม่ขัดเคืองไม่โทษโพยใคร สามโลกของตนก็จะไม่ต้องได้รับบาดเจ็บ คนมีไตรรัตน์ก็คือจิตญาณ ใจ กาย จิตญาณเป็นธาตุน้ำ ใจเป็นธาตุไฟ กายเป็นธาตุดิน น้ำเป็นกายธาตุหล่อเลี้ยงชีวิตตัวตน ดินเป็นพลังธาตุดำรงอุ้มชูกายสังขาร ไฟเป็นวิญญาณธาตุที่รับรู้ของคน กายธาตุสมบูรณ์จะเพิ่มพูนปัญญา  พลังธาตุสมบูรณ์จะเพิ่มพูนการเจริญเติบโตวิญญาณธาตุสมบูรณ์จะเพิ่มพูนความศักดิ์สิทธิ์ คมไวจิตใจแจ่มชัด
      ทั้งนี้อุปมาเช่นการเผาอิฐเริ่มจากปั้นก้อนดิน เผาด้วยไฟสุดท้ายรดน้ำอิฐจะแข็งแกร่งทนทาน ทุกคนเข้าหาจิตญาณ ใจ กายให้มากเท่ากับเติมฟืนไฟเผาดินดิบให้เป็นอิฐสุก เข้าถึงจิตญาณใจกายในตนจะเหนือกว่าคนรวยทรัพย์นับไม่ถ้วนทีเดียว สำรวจตนสามของฉันคือ หนึ่ง สำรวจรู้ว่าไม่มีโทสะโมหะเวลาที่ถูกเขาจัดการปฏิกิริยาของจิตญาณเป็นอย่างไร  สอง สำรวจว่าใจรู้พอเพียงไหมเอนเอียงเห็นแก่ตัวหรือไม่เวลาเสียเปรียบใจรู้สึกอย่างไร  สาม สำรวจว่าทำตัวเที่ยงตรงถูกต้องไหมทำได้จริงจังอย่างไร นี่คือสำรวจตนสามของฉัน
      สามแนะนำ( ซันกังหลิ่ง )ของฉันคือจิตญาณดำรงหลักธรรมของฟ้า  ใจดำรงหลักเหตุผล  กายเพียบพร้อมทำนองคลองธรรม  แปดข้อธรรม (ปาเถี่ยวมู่) ของฉันคือไม่โลภ ไม่แก่งแย่ง ไม่หดหู่ ไม่ย้อนเสียดาย ไม่ขัดเคือง ไม่ร้อนรน ไม่พลุ่งพล่าน ไม่โกรธ ทำได้ดังนี้ไม่สิ้นเปลืองเงิน ไม่สิ้นเปลืองแรง ไม่เพียงบรรลุธรรมยังอาจบรรลุพุทธะ
      อดทนได้จิตญาณบรรลุ  รู้พอเพียงใจบรรลุ  ขยันหมั่นเพียรกายบรรลุ อย่างนี้จะดีเชียวจบสิ้นปัญหาไม่ได้ ก็จะไม่ดี
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สามจิตวิสัย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2010, 11:19
                จิตวิสัยมีสามภาวะคือ จิตวิสัยฟ้า  จิตวิสัยสัญญาความจำ  จิตวิสัยเคยชิน 
      จิตวิสัยฟ้า   สูงส่งจากฟ้าบริสุทธิ์หมดจดเช่นที่  ปราชญ์เมิ่งจื่อ ว่า"จิตวิสัยดีงาม"ก็คือจิตวิสัยฟ้า 
      จิตวิสัยสัญญาความจำ  ได้จากความเป็นคน จะร้ายเช่นที่  ปราชญ์สวินจื่อ ว่า"คนมีจิตวิสัยร้ายมาแต่กำเนิด"
      จิตวิสัยเคยชิน  เรียนรู้ในภายหลัง ดีได้ ร้ายได้ ดังคำที่ว่า "ใกล้ชาดจะแดง ใกล้หมึกจะดำ" ที่ปราชญ์เก้าจื่อ ว่า"ไปซ้ายไปขวาไม่คงที่" จิตวิสัยฟ้าไม่ใสจะไม่สว่างจะให้ใสต้องละยึดหมายไม่โลภอยาก  จิตวิสัยสัญญาความจำ ไม่ชำระปรับแปรจะไม่เที่ยงตรงชำระปรับแปรด้วยการลดทิฐิ  จิตวิสัยเคยชิน ไม่ขจัดจะไม่มั่นคงต้องละอบาย คนหากใช้จิตวิสัยฟ้าจะอยู่ท่ามกลางโลกโลกีย์ได้โดยไม่แปดเปื้อน อีกทั้งสว่าง สมาน
      ภาวะใจของคนต่างกันเปลี่ยนไปทุกขณะ พี่น้องท้องเดียวกันเก้าคนนิสัยต่างกัน มันติดมากับกรรมพันธุ์เขาเรียกว่า"เชื้อไม่ทิ้งแถว" รู้ตัวว่ากรรมพันธุ์ไม่ดี เมล็ดพันธุ์ไม่ดี จะต้องปรับเปลี่ยนจากตัวเราเองทันที ให้บรรพบุรุษเก้าชั้นล่วงพ้น ให้ลูกหลานเจ็ดชั้นร่มเย็น อย่าถ่ายทอดสืบต่อเมล็ดพันธุ์ที่มีปัณหา จิตวิสัยตนเป็นไปด้วยตน ดีร้ายได้จากตนเป็นคนทำ ผู้ใช้จิตวิสัยฟ้าจะค้นหาความดีในตัวใคร ๆ  ผู้ใช้จิตวิสัยสัญญาความจำมีรากหยั่งฝังลึก จิตวิสัยเคยชินในอดีตชาติจะกลายเป็นจิตวิสัยสัญญาความจำในชาตินี้
      ปรับแปรจิตวิสัยสัญญาความจำ (ละโลภ โกรธ หลง กลัดกลุ้ม คุมแค้น...)เสียได้จิตวิสัยฟ้าจะสมบูรณ์ ปรับแปรไม่ได้จะเหมือนมีผีสิงสู่อยู่ในเรือนตน ความชั่วร้ายนั้นทำให้เจ็บป่วย ถึงตาย ฝังราก ยากจะถอนเอาชนะมันไม่ได้ก็เป็นคนดีไม่ได้พุทธพจน์ว่า"เวรกรรมตามติด อวิชชาจะก่อกวน" ยากจะบรรลุพุทธะ
       จิตวิสัยเคยชินเป็นไปตามสรรพสิ่งแวดล้อม  จิตวิสัยสัญญาความจำ มีกิเลสอยู่ในท่ามกลางหมู่ชน หากเปลี่ยนสภาพความเป็นอยู่ มาสู่สถานบำเพ็ญสร้างกุศลประโยชน์ให้มาก ปรับพฤติกรรม ปรับกายให้พ้นไปได้ ใจจะพ้นตาม จิตวิสัยสัญญาความจำจะสลายตัวไม่เช่นนั้น จะพ้นจากสามโลกได้อย่างไร  ขจัดจิตวิสัยเคยชิน สลายจิตวิสัยสัญญา กลับคืนจิตวิสัยฟ้าสมบูรณ์
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สามชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2010, 15:56
     คนมีชีวิตสามภาวะคือชีวิตจากฟ้า (สูงส่ง) ชีวิจภาวะอดีตกรรม (นำหนุน) ชีวิตภาวะอิน (มืดมัว) จิตวิสัยจากฟ้าสมานกับชีวิตจากฟ้าอันสูงส่งเรียกว่า""เทียนมิ่ง""คือชีวิตที่ใสสว่างจากพระโองการฟ้า ใจกับแรงอดีตกรรมนำหนุนสมานกับความรู้ความสามารถทรัพย์สินสิ่งเสริมส่งในชาตินี้เรียกว่า""ชีวิตภาวะอดีตกรรม(ซู่มิ่ง)กายสมานกับญาณวิสัยอดีตกรรมมืดมัว มีกิเลส โลภ โกรธ หลงเรียกว่าชีวิตภาวะอิน(อินมิ่ง) ศึกษาเข้าใจในสามชีวิต ใคร่ทำชีวิตให้ดีก็จะทำได้ชีวิตจะดีอยู่ที่ตนกระทำ ไม่ต้องหาหมอดู
     ปานชญ์เมิ่งจื่อว่าบำเพ็ญสถานภาพฟ้า สถานภาพทางโลกจะศุงส่งดีงามตามไป แต่คนพอได้รับสถานภาพทางโลกก็จะละเลยสถานภาพทางฟ้า บำเพ็ญชีวิตภาวะจากฟ้าก็คือสูงส่งด้วยจิตวิสัยคุณธรรม ร่ำเรียนศิลปะวิชาสร้างฐานะ สะสมทรัพย์สินล้วนเป็นการเพิ่มพูนชีวิตภาวะอดีตกรรมที่นำหนุนมา
     โลภอยากแย่งชิงทำความมืดมัวให้ชีวิตภาวะอินยิ่งขึ้นรู้จักใช้ส่วนดีของชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุนเสริมสร้างความดีชีวิตภาวะอินก็จะสว่างขึ้น หากบำเพ็ญชีวิตภาวะจากฟ้าก็จะปรับแปรชีวิตภาวะอดีตกรรมและชีวิตภาวะอินได้ทั้งหมด เมื่อไม่รู้ชีวิตภาวะจากฟ้าจะเข้าถึงภาวะการบรรลุธรรมได้อย่างไร
     อริยพจน์ว่า"ไม่รู้ชีวิตมิอาจเป็นกัลยาณชน ไม่รู้คนไม่อาจถึฟากฝั่ง รู้คนคือรู้ชีวิตภาวะจากฟ้า รู้คุณของความเป็นคนคือรู้ชิวิตภาวะอดีตกรรม รู้ชีวิตภาวะอดีตกรรมจะรู้ชีวิตภาวะอิน รู้ชีวิตกำหนดชีวิตจึงจะเป็นกัลยาณชน""
     คะนองกับชีวิตภาวะอดีตกรรมที่นำหนุนตามอารมณ์ ชีวิตภาวะจากฟ้าจะถูกบั่นทอนตกต่ำมืดมัวลง ชอบโกรธเคืองจะบั่นทอนชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุนชอบเอาเปรียบใคร ๆ ชีวิตภาวะอินจะยิ่งตกต่ำมืดมัว หากชีวิตภาวะจากฟ้าด้อยไปให้เพิ่มพูนด้วยคุณธรรม ชีวิตภาวะจากอดีตกรรมด้อยไปให้เพิ่มพูนด้วยบุญกุศล ชีวิตภาวะอินหนักหนาจะต้องเข้าหาคุณความดี ชีวิตด้อยให้เพิ่มพูน ชีวิตดีให้อุ้มชู สิทธิดีในที่มือตน
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ :สามชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2010, 19:46
     มีคนมาพบฉันเมื่อถามเขาว่าทำอะไรเท่านั้น ฉันก็จะรู้ชีวิตภาวะจากฟ้าของเขาว่าระดับไหน เมื่อถามถึงฐานะสภาพการณ์ทางบ้านก็จะรู้ภาวะอดีตกรรมนำหนุนของเขาว่ามีเท่าไรเมื่อสัมผัสรู้ชีวิตภาวะอดีตกรรมของเขาแล้ว ก็จะรู้ไปถึงชีวิตภาวะอินของเขาด้วย
    สามชีวิตภาวะคือสามโลกของคน รุ้สามโลกปรุโปร่งได้ยังจะมีอะไรหรือที่ไม่รู้ได้ คนที่เป็นครูจะต้องพิจารณา ชีวิตภาวะจากฟ้าชีวิตภาวะอดีตกรรม ชีวิตภาวะอินของลูกศิษย์ให้ละเอียดสอนให้เขาดูแลชีวิตได้ จึงจะถึงที่สุดในความเป็นครู พ่อแม่ได้แต่เลี้ยงดูตัวลูก แต่ครูกับสอนศิษย์ดูแลจิตวิสัย ใจ กาย (สามโลก)ของตนเองได้ ครูจึงสำคัญเหนือพ่อแม่ในข้อนี้
     ฉันเองใช้ชีวิตภาวะจากฟ้า ขับไล่ชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุน (ละจากลาภสักการะ)กับชีวิตภาวะอินออกไปจึงได้ดี แต่คนสมัยนี้ถ้าไม่ใช่ใช้ชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุนก็ใช้ชีวิตภาวะอิน อย่างนี้ัยังจะอยากให้ชิีวิตดี ช่างไม่รู้ชะตาตนเองเสียเลย
     คนล้วนไม่มีหัวใจเพื่อผู้อื่น รู้แต่เพื่อตัวเองจึงแย่ ที่ฉันได้ชื่อว่า""นักบุญ"" เพราะฉันอัปเปหิตนเองออกไป เค้นคอชีวิตภาวะอดีตกรรม (ลาภยศสรรเสริญ )ให้ตาย ถ้ามันยังอยู่ มันจะไม่จบไม่สิ้น ถ้าอยู่เพื่อมันยังจะมีหัวติดบ่าอยู่หรือ
     ผู้ใช้ชีวิตภาวะจากฟ้าจะดี ใช้ชีวิตภาวะอดีตกรรมจะเสียหาย (ลืมตัว) ใช้ชีวิตภาวะอินจะถูกทำลาย ลูกชายฉันเรียนอยู่ที่เฟิ่งเทียน เสิ่นหยังสอบได้ที่สาม ฉันจึงไปอรรถาธรรมที่เก้ามณฑลแถบอิสาน ลูกชายเรียนดีมีชื่อเสียงเป็นชีวิตอดีตกรรมนำหนุน ฉันจึงต้องใช้ชีวิตภาวะจากฟ้าไปดอบล้อมชีวิตภาวะอดีตกรรมของลูกไว้ (ไม่ให้ระเริงลืมตัว)จะใช้ชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุนใหญ่กว่าชีิวิตภาวะจากฟ้าไม่ได้ เอาชีวิตจากภาวะอดีตกรรมทำกุศลประโยชน์ เพิ่มความพูนพร้อมของชีวิตภาวะจากฟ้าได้
     แต่หากเอาชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุนเสพสุขเพือตนชีวิตอินจะยิ่งมืดมัว ผู้ที่ชีวิตภาวะจากฟ้าใหญ่ ชีวิตภาวะอดีตกรรมนำหนุนก็ไม่เล็ก เมื่อชีวิตภาวะอดีตกรรมใหญ่ ชีวิตอินอับเฉาจะเล็กไปไม่ได้ จึงต้องหยุดยั้งชีวิตภาวะอดีตกรรม ไม่ระเริงหลงจบสิ้นชีวิตภาวะอิน เพิ่มพูนชีวิตภาวะจากฟ้า
     ผู้ที่ชีวิตภาวะจากฟ้าใหญ่ทำให้คนปลาบปลื้มเคารพ ผู้ที่ชีวิตภาวะอดีตกรรมใหญ่ทำให้คนนบนอบเยินยอ ส่วนคนที่ชีวิตภาวะอินใหญ่ จะทำให้คนหวั่นกลัว ชีวิตภาวะจากฟ้าใหญ่สมานกับคน ชีวิตภาวะอดีตกรรมใหญ่กดขี่คน ชีวิตภาวะอินใหญ่จะคุกคามคน
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ชีวิตจิตญาณ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/08/2010, 02:47
     ทุกศาสดาก่อเกิดศาสนา แม้เชื้อชาติประเพณีจะต่างกันแต่จุดประสงค์ก็เพื่อดำเนินธรรมแทนฟ้า ฉุดช่วยคนให้แปรบาปเป็นบุญล้วนเป็นการชุบชูชีวิตเวไนย์ฯ ชีวิตจิตญาณเป็นต้นรากของคน ฉันได้ความเป็นต้นรากของคนก็นับว่าได้ต้นรากของธรรมะด้วย ต้นรากธรรมะเป็นญาณชีวิตของคน ต้นรากของคนคือชีวิตของคน หากต้นรากจิตญาณดี ต้นรากชีวิตก็จะดี
    จะเห็นได้ว่าคนที่ชีวิตไม่ดีล้วนถูกจิตวิสัยไม่ดีถ่วงเอา เมื่อฉันสอนให้เขาปรับจิตวิสัย ปรับได้ก็นับได้ว่าได้ธรรมะ จิตญาณเป็นต้นรากของชีวิต ผู้มีคุณธรรมจิตญาณย่อมสมบูรณ์ จิตญาณสมบูรณ์ชีวิตย่อมสมบูรณ์ ชีวิตคนล้วนดี เพราะจิตวิสัยไม่ดีทำให้ชีวิตเสียหาย ธรรมะเป็นเช่นช่างไม้ใช้เต้าเชือกตีเส้นตรง ใครจะร้ายจะดีตีเส้นตรงกึ่งกลางให้เขาก่อน จากนั้นตัดทอนส่วนไม่ดี เก็บส่วนดีของเขาไว้ ไม่ว่ากันก็จะเป็นธรรมะ
    ธรรมะคือชีวิต คุณธรรมคือจิตญาณ จิตญาณคุณธรรมคุ้มชีวิต ชีวิตมีอับมีเฟื่อง ต้องรักษาชีวิตไว้ให้ดี ในชมรมคุณธรรมฉันพิจารณาเห็นว่าใครที่ใช้จิตวิสัยฟ้าเป็นหลัก ไม่ใช้จิตวิสัยสัญญาความจำความเคยชินเป็นที่ตั้ง ชีวิตดีขึ้นทั้งนั้น
   คนที่ใช้จิตวิสัยฟ้าเป็นหลัก ใช้จิตวิสัยสัญญาความจำความเคยชินเป็นที่ตั้งชีวิตของเขาแย่ลง ชีวิตใหญ่สูงส่งกลายเป็นเล็กลงตกต่ำก็จะถึงกาลดับสูญ น่ากลัวแท้ จิตญาณเป็นต้นราก ชีวิตเป็นผล หยั่งรากจึงจะตกผล
   คนหากจิตญาณไม่สงบก็คือไม่ได้หยั่งราก หากไม่ยอมรับชีวิตก็ยากที่จะตกผลเหมือนดอกไม้บานผ่านตา ผู้ศึกษาธรรม หนึ่งจะต้องปรับแปรจิตวิสัย (อารมณ์ นึกคิด นิสัย ) สองจะต้องยอมรับชีวิต ปรับแปรจิตวิสัยได้ก็จะไม่โกรธ ไม่โกรธจึงจะยอมรับยอมเสียเปรียบ แท้จริงเสียเปรียบคือได้เปรียบ ยอมรับชีวิตก็จะไม่ขัดเคืองโทษโพยใครจึงจะอดทนต่อความลำบากได้ จึงจะรับสุขวาสนาได้ เสียดายชาวโลกต่างไม่รู้ดูเบาชีวิตจิตญาณตน เห็นความสำคัญของลาภสักการะเสียนี่
    จิตวิสัยกับชีวิตของคนเชื่อมโยงกัน จิตวิสัยสุขุมคงที่ชีวิตจึงจะสุขุมคงที่ ผู้เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ จิตวิสัยจะต้องสุขุมคงที่อยู่ในความเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกในตน ชีวิตอย่างไรก็สุขุมคงที่ในจิตวิสัยของชีวิตนั้น ถ้าชีวิตดีแต่จิตวิสัยไม่ดีเรียกว่าจิตวิสัยไม่ครองชีวิตไม่สุขุมคงที่ชีวิตก็เสียหาย จะเห็นได้ว่าคน ถ้าใช้จิตวิสัยสัญญาความจำก็ควรจะต้องถามตนเองเสียก่อนทันทีว่า"ชีวิตของฉันมันไฉน" จิตวิสัยก็ไม่กล้าสั่งการตามอำเภอใจ เช่นนี้เรียกว่าจิตญาณที่รู้แท้ครองชีวิต คนที่จิตญาณรู้แท้ครองชีวิตนิสัยสันดานความเคยชินที่ไม่ดี จะปรับแปรได้แน่อน ชีวิตจากฟ้าธาตุแท้ธรรมญาณจะสมบูรณ์เป็นผู้ได้รับความสำเร็จในชีวิตแน่แท้
     ชีวิตดีเปรียบเช่นตะเกียง คุณธรรมเปรียบเช่นครอบตะเกียง ตะเกียงจะต้องมีแก้วครอบจึงจะส่องประกายฉายแสงสว่าง คนบำเพ็ญชีวิตจะต้องกล่อมเกลาจิตวิสัย จิตญาณ จึงจะคมไวศักดิ์สิทธิ์เหมือนตะเกียงที่มีแก้วครอบ ธรรมะเปรียบเช่นไส้ตะเกียงคุณธรรมเป็นครอบแก้ว คุณธรรมไม่สมบูรณ์จะต้านลมร้ายภายนอกไม่อยู่ ไม่มีธรรมะ(ไส้ตะเกียง)จะไม่อาจส่องแสงสว่างจึงกล่าวว่า""มีธรรมะแต่ขาดคุณธรรม จะเป็นมารท่ามกลางชาวธรรม มีคุณธรรมแต่ขาดธรรมะจะเป็นวัดร้างว่างเปล่า""
      คนโบราณกล่าวไว้ว่า บำเพ็ญชีวิตไม่บำเพ็ญจิตวิสัยเป็นอาการของผู้ป่วย บำเพ็ญจิตวิสัยไม่บำเพ็ญชีวิตแสงญาณน้อยนิดไร้ประโยชน์ นี่แสดงให้เห็นความสำคัญของการบำเพ็ญชีวิตกับจิตวิสัยร่วมกันไป
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : กำหนดชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2010, 05:25
       ชาวโลกต่างปรารถนาจะเสพสุข แต่เหตุใดผู้เสพสุขจึงมีน้อย ผู้รับทุกข์จึงมีมากเพราะคนไม่รู้เพียงพอไม่ยอมรับชีวิต คนหากกระจ่างทางธรรม เมื่อมีสุขวาสนามาจะรับเป็น ไม่มีสุขวาสนามา ก็รู้ที่จะไปใส่ใจพิจารณา ชีวิตเป็นสถานภาพของคนรักษาสถานภาพความเป็นคนอย่างถูกต้องไว้ได้ ก็คือรักษาชีวิตจากฟ้าไว้ได้ เมื่อความเป็นชีวิตจากฟ้าใหญ่เต็ม ชื่อเสียงย่อมใหญ่กว้างตามไป ทำหน้าที่ของคนกี่คนได้ ก็จะต้องทำความเป็นธรรมะของคนกี่คนนั้นให้ได้ด้วย หากไม่เต็มที่ต่อหน้าที่ ไม่เต็มที่ต่อการลงแรง ชอบฉาบฉวยฟุ้งเฟ้อ หลอกงาน เอาแต่ชื่อ จะกำหนดชีวิตได้ไม่มั่นคง
        ผู้หญิง หากชื่นชมอิจฉาเขาน้อยเนื้อต่ำใจในตน แค้นใจไม่มีอิสระอย่างผู้ชาย หากไม่น้อยใจขัดเคืองกดดันก็จะเสียใจคับแค้นนั่นคือ ไม่รักตนอยู่ในสถานภาพอันควร น้อยเนื้อต่ำใจในตนเรียกว่า รังแกตน ไม่รู้จักเพียงพอ (พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เป็นอยู่ )คนประเภทนี้ทุกข์แน่นอน ผู้รู้จักเพียงพอชีวิตจากฟ้าย่อมยืนยาว ทำนองคลองธรรมสมบูรณ์แบบ หลักเหตุผลเจริญการ เมื่อหลักเหตุผลเจริญการ หลักสัจธรรมฟ้าเต็มการ สมบูรณ์พร้อมแล้วก้จะไม่ต้องเหนื่อยเปล่าอีก
        หากขณะทำสิ่งนี้คิดถึงสิ่งโน้น เรียกว่าพลังรั่วไหลเหมือนลูกโปร่งลมรั่ว ลูกโปร่งแฟบ เหมือนนึ่งซาละเปา ไอร้อนรั่วไหลแป้งซาละเปาจะดิบไม่ฟองฟู ฉะนั้น กัลยาณชนทำการใดไม่ติว่างานเล็ก ๆ มีกำลังสิบส่วนใช้ไปเจ็ดส่วน จะเบาสบายได้ความสุขเหมือนเซียน แต่พอเกิดความโลภ ก็ตกทะเลทุกข์ จะร่ำรวยสูงศักดิ์แค่ใหนก็หาความรื่นรมย์ไม่ได้
        ฟ้ากำหนดให้ผู้มีหน้าที่หุงหาอาหาร เรียกว่า "พ่อครัว แม่ครัว "หน้าที่วิชาการเรียกว่า"ครู อาจารย์ " แต่คนมักจะทำหน้าที่ไม่ตรงต่อฟ้ากำหนดให้ เท่ากับทิ้งชีวิตจากฟ้า ก็คือไม่รู้ชีวิต ดำเนินธรรมไม่ให้พ้นหากจากสถานภาพของตน พ้นหากไปไม่เพียงเหนื่อยเปล่าไม่ได้คุณแต่กลับให้โทษ อย่างนี้เรียกว่าสถานภาพตน นั่นคือสิ่งที่ตนพึงทำและทำด้วยความสัตย์ซื่อ เช่นนี้ก็บรรลุธรรมได้ คนจะต้องดำเนินธรรมตามสถานภาพตนด้วยความสัตย์ซื่อ
        พูดจาตามสถานภาพตน ความคิดไม่ออกห่างจากสถานภาพตน จึงจะเหมาะสมเป็นจริง เป็นหญิงหากชื่นชมอิจฉาผู้ ชายเป็นคนยากจนคิดใคร่ได้สูงส่งร่ำรวยทำอยู่ตรงนี้คิดไปถึงตรงโน้นออกหากสถานภาพตน จะบรรลุธรรมได้อย่างไร สาลี่ออกผลอยู่บนต้นสาลี่ ไม่ได้ออกอยู่ที่ต้นพลับ ถ้าหากชื่นชมอิจฉา ต่อตาต่อกิ่งกันได้ นักศึกษาจะเจริญรอยตามปราชญ์ก่อนเก่าเล่าเรียนทำตามท่าน ก็จะเท่ากับต่อตาต่อกิ่งกับปราชญ์ก่อนเก่า
        มะเขือตกผลบนต้นมะเขือ แตงตกผลบนร้านแตง แต่จะย้ายมะเขือไปอยู่บนร้านแตงได้อย่างไร คนจึงต้องดำเนินตรงต่อสถานภาพตน จึงจะสำเร็จจริง ผู้ว่าการมณฑล มีประชาชนในมณฑลเป็นชีวิตของตน นายอำเภอ มีราษฏรในอำเภอเป็นชีวิตของตน ครู อาจารย์ มีลูกศิษย์เป็นชีวิตของตน ฝ่ายปศุสัตว์ก็มีสัตว์คอกที่ต้องบำรุงเลี้ยงดูแลเป็นชีวิจของตน แต่หากมีปัณหา ลำบากงานมากเกิดความขัดเคือง ขึ้งโกรธ โทษโพย หรือใช้อำนาจหน้าที่กดขี่รังแก อย่างนี้เท่ากับไม่เอาชีวิตของตนเสียแล้ว ไม่มีหมู ไม่มีสัตว์คอก ใครจะจ้างงานปศุสัตว์ ไม่มีลูกศิษย์ ใครเขาจะเชิญครูไปสอนอะไร ไม่มีราษฏรประชาชนผู้ปกครองดูแลบ้านเมืองก็ไม่ต้องมีจึงเห็นได้ว่ารักษางานในสถานภาพของตน เป็นหน้าที่ของคนที่เทิดทูนชีวิตจากฟ้าของตน
        คนมีทั้งจิตญาณครองชีวิตและชีวิตครองจิตญาณ ชีวิตคือชื่อเสียง (รักษาชื่อเสียงเท่าชีวิต ) ไม่เอาแต่ใจตนรับผิดชอบสัตย์ซื่ออยู่ในสถานภาพเสมอต้นเสมอปลาย เรียกว่า"จิตญาณครองชีวิต" ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงสถานภาพทำตามอำเภอใจ อารมณ์แปรปรวน ไม่มั่นคงยั่งยืน เรียกว่า"ชีวิตครองจิตญาณ" (กายเป็นนาย ใจเป็นบ่าว)
        อริยกษัตริย์ซุ่น ในช่วงแรกของชีวิต ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายให้โทษจะปลิดชีวิต จิตญาณท่านมิได้แปรไปจากกตัญญู เช่นนี้คือ"จิตญาณครองชีวิต" ในใจดำรงหลักเหตุผลจึงจะรู้ชีวิต คนที่รู้ชีวิตจึงจะรู้สถานภาพตน จิตญาณรู้หลักธรรมฟ้าเท่ากับรู้จิตญาณตน รู้จิตญาณตนจึงจะรู้วิถีธรรมฟ้า (อนุตตรธรรม) คนที่มีจิตญาณครองชีวิตและมีที่ชีวิตครองจิตญาณ จิตญาณครองชีวิตจากฟ้าจึงจะเป็นชีวิตจริง จิตญาณครองชีวิตอดีตกรรมจะจอมปลอมจิตญาณครองชีวิตอิน มืดมัวอับเฉาจะเสียหาย
        จิตญาณกับชีวิตร่วมอยู่ด้วยกัน เมื่อสำแดงคุณออกไปจะเป็นศักดานุภาพภายนอก เมื่อสำรวมเข้าไว้จะเป็นอริยภายในผู้ใหญ่ไม่ขึ้นกับฐานะสูงต่ำ ความสามารถมากน้อย เพียงรักษาสถานภาพตน ทำเต็มกำลังต่อหน้าที่รับผิดชอบ ก็เรียกได้ว่า""ผู้ใหญ่""     
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ปรับแปรจิตวิสัย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/08/2010, 05:37
       คนตกอยู่ในทะเลทุุกข์ ถ้าไม่มีคนที่ว่ายน้ำเป็นไปฉุดช่วยก็ยากจะรอดพ้น ฉันจึงตั้งความมุ่งมั่นจะฉุดช่วยจิตวิสัยคน ช่วยชีวิตร่างกาย ช่วยได้เพียงชั่วขณะเพราะยังไม่พ้นกฏแห่งกรรม ฉุดช่วยจิตวิสัยพ้นการเวียนว่ายช่วยได้ยาวนานช่วยชีวิตร่างกายเห็นเป็นรูปธรรม ช่วยชีวิตจิตวิสัยไม่เห็นเป็นรูปธรรม แต่พ้นจากทะเลทุกข์ไม่ตกต่ำตลอดไป
       รู้จิตวิสัยของคนได้ จึงจะเรียกว่ารู้จักคน รู้ธาตุแท้ของสรรพสิ่ง จึงอาจใช้คุณสมบัติของสรรพสิ่งได้ นี่คือสมานกับฟ้า ฟ้าให้กำเนิดสรรพสิ่ง คนอย่างไรก็แฝงไว้ด้วยใจอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ถ้าดูเขาผิดไปเท่ากับไม่รู้จิตวิสัยของเขา ก็เท่ากับไม่รู้ความเป็นธรรมะของเขา จะต้องหัวเสียเพราะเขาเหมือนพฤติกรรมแปลก ๆ ของสัตว์ของแมลง ที่เราดูแล้วไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับความโลภการเอาเปรียบแก่งแย่งของคน ถ้าดูออกว่าเขาเป็นคนประเภทใด ก็จะพูดให้เข้าถึงภาวะปัณหาของเขาได้
      คนถูกสรรพสิ่งมอมเมา เห็นเท็จเป็นจริงเรียกว่ามองไม่ทะลุปรุโปร่ง จึงกล่าวหาว่าใคร ๆ ผิดเกิดโทสะใส่เขาแท้จริงคือเราเองมองไม่ทะลุ หากมองดูเรื่องราวต่าง ๆ ได้ปรุโปร่งจะต้องขบขันเป็นแน่ มีหรือที่จะโมโหชกต่อยกัน ชีวิตตอนต้น ฉันเห็นคนในโลกไม่มีดีเลยสักคนเดียว ฉันจึงโมโห โมโหจนเลือดลมอุดตัน เกิดฝีหนองลูกใหญ่บนหน้าท้องเรื้อรังอยู่นานถึงสิบสองปี โมโหจนเกือบจะต้องตาย จนกระทั่งปีนั้น ฉันอายุสามสิบห้า เดือนอ้าย ได้ฟังแจกแจงหนังสือธรรมะได้รู้ว่าโมโหโทโสนั้นไม่ถูก จึงแหงนหน้าตำหนิตนต่อฟ้า ชั่วข้ามคืน ฝีหนองลูกใหญ่บนตัวฉันยุบหายไป พ้นจากนรกในทันที
      ฉันถูกโจมตีกระแทกกระทั้นหลายอย่าง มุ่งมั่นว่าจะไม่โกรธ ไม่บันดาลโทสะ ถูกเขาเยาะหยันจะไม่หวั่นไหว ไฟโทสะเป็นผีนรกสยบมันลงได้ โทสะจะกลายเป็นกุมารีหยก ชีวิตจิตใจไม่ถูกกดครอบบั่นทอน ขณะนั้นเราจะเป็นพุทธะ ปีนั้นฉันอยู่อำเภออันต๋าโรงงานสุราสกุลตู้ ได้พบคนสองคน (จางหมิงไจ - หลี่อวิ้นชิง )เขาเยาะหยันถากถางฉันตลอดสามวันที่นั่น ฉันฟังอยู่เงียบ ๆ ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เสร็จงาน ตอนค่ำหลังอาหารแล้ว ฉันกับคุณเมิ่งฮั่นเฉิน ออกไปเดินเล่นที่ชายป่าโล่งแจ้ง ฉันแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังก้องฟ้า ขับพลังอินแรงกดดันภายในออกไป ไม่ให้พลังร้ายของสองคนนั่น กดครอบบั่นทอนฉันได้
       ในบทนำพระคัมภีร์สุริยะไท่หยางจิง จารึกว่า ""มีโทสะไม่บันดาล จะสลายมารภัย""มีความคับข้องปรักปรำไม่ตอบโต้คือได้บำเพ็ญ ถูกต้องแน่แท้ สิ่งฝืนทวนมาให้คุณธรรม เท่ากับเปิดโอกาสให้เรากำหนดรู้คุณธรรมภายในใจตน คนจะต้องรู้จักเสียเปรียบเสียเปรียบอย่าพูดไป คงเป็นหนี้เขาไว้ มีคนรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเราเจ็บร้อนแทน เราจะได้ยืดอายุ ถ้าถูกตีโดยไม่มีสาเหตุ ก็คือเรามีโทษบาปใช้หนี้เขาไป ยังจะต้องขอบคุณที่เขาช่วยปลดหนี้ หากไม่ถูกเขาด่าตีจะหมดหนี้ได้อย่างไร
       ฉันว่า จัณฑชนคนทรามก็มีความดี เขาอัดคนให้สำแดงความดี ช่วยคนทางอ้อม เช่นท่านจอมทัพงักฮุย เกียรติคุณสูงส่งเพราะทรราชฉินไควให้ร้าย ท่านกวนอูถูกโจโฉให้ร้าย จึงได้สำแดงเกียรติคุณสูงส่งอย่างนี้ จะไม่ขอบคุณคนร้ายได้อย่างไร ฟ้าเบื้องบนจะโปรดประทานวาสนา จะทวนกระแสมา คนจึงสะดุ้งเมื่อได้รับ คนจะให้วาสนากันจะมาตามกระแส คนจึงรู้ได้เป็นธรรมดาฉันว่าชาวโลกล้วนมีวาสนา ขัดอยู่ที่ว่ารับไว้ไม่เป็น ให้คุณธรรมมาก็กลัวจะรับไม่ได้ ไม่อยากรับไว้หารู้ไม่ว่า ธรรมะจุบรรลุได้ภายใต้ภาวะขัดฝืน คนจะตกต่ำแลวร้ายภายใต้ภาวะราบรื่น ฉะนั้นจึงว่า ดีคือส่วนนำของทราม  ทรามคือส่วนนำของดี
        ดูซิ อาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์หอมหวลชวนกิน แต่พอเน่าเสียสุดจะเหม็น ผักกาดขาวไม่หอมหวลชวนกินแต่เน่าเสียก็ไม่เหม็น ผลไม้ดิบไม่เสียหาย พอสุกก็ใกล้จะเน่า เรื่องของคน ก็เป็นไปอย่างเดียวกัน อยากจะเป็นคนดีจะต้องยอมแบกรับความขัดเคือง ถ้าแบกรับความขัดเคืองของคนร้อยพันได้ ยิ่งจะเป็นบุญวาสนาใหญ่ คนทำความดีแต่ถูกตอบสนองด้วยสิ่งเลวร้าย คนจึงพลุ่งพล่านใจ หารู้ไม่ว่าถูกหยามถูกปรักปรำนั้น ได้ลบล้างหนี้เวรกรรมไปแล้วตั้งเท่าไร เพียงน้ำใจงามของเราไม่ทรามตามไปเป็นใช้ได้ คนโง่เขลาเมื่อถูกใครเหยียดหยามหรือตำหนิว่ากล่าว ไม่เข้าใจว่าเป็นวาสนาเพิ่มพูน กลับโกรธ ความมุ่งมั่นดัังวัชระล้มเสียแล้ว ไม่เข้าใจคน จึงชอบบันดาลโทสะใส่คนโง่ นั่นคือความมุ่งมั่นดั่งวัชระระเบิดแล้ว ไม่ล้ม ไม่ระเบิด จึงจะยืนหยัดอยู่กับความมุ่งมั่นดั่งวัชระได้ ""การหล่อหลอมตนจนเข้าถึงน้ำใจคน เป็นความรู้อย่างหนึ่ง"" หล่อหลอมในหมู่ญาติมิตร หล่อหลอมสำเร็จก็จะไม่กลัวถูกชน เหมือนอิฐ เหมือนกระเบื้อง เผาจนได้ที่แล้วก็จะแข็งแกร่งทนทาน เผาไม่ได้ที่ พอถูกน้ำก็จะยุ่ย
         ทุกอย่างที่มาถึงตรงหน้า ล้วนมากับชะตาชีวิต ฉะนั้นเรื่องขัดใจ คนขัดนัยน์ตาจะต้องอดทน ท่านขงจื่อ  พระเยซู พระผู้มีพระภาคเจ้า ผจญอย่างไรก็ไม่ขัดเคือง นั่นจึงจะเรียกว่า ยอมรับชีวิตอย่างแท้จริง จึงจะบรรลุธรรม
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ปรับแปรจิตวิสัย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/08/2010, 06:13
       เมื่อก่อน จางอย่าเซวียน ฟังฉันพูดกุศลคุณ ความดีคุณธรรม หลังจากนั้นเขาสละทรัพย์สินสร้างโรงเรียนทันที เขาถูกผู้คนหยามหน้า ถูกมารรังควานอย่างไรไม่ถดถอย นั่นเรียกว่า มุ่งแรงแกร่งกล้ามั่นคง หากเผชิญอุปสรรคแล้วผิดใจ แม้รับทำตามไปก็ขาดคุณธรรม เวียนวนเริ่มต้นใหม่ก็ยิ่งไม่ถูกต้อง
       เหตุใด คุณหลี่อย่งเฉิง จึงเหนือกว่าใคร ๆ เพราะเขามีพุทธญาณ จิตสำนึกของความเป็นพุทธะ ใครใช้สอยไหว้วานจะตอบรับหมด ใครตะคอกใส่ก็รับคำ ฉันจึงว่าเขาเป็นคนของโลกพุทธะ พุทธะถือเอาขันติ อุเบกขา อดทน ยอมเสียเปรียบเป็นคุณแก่ตน ซึ่งตรงกันข้ามกับชาวโลก จิตวิสัยสัญญาความจำของคน เหมือนร่างแหใยแมงมุม จับติดทุกอย่าง แต่พอเจอไฟก็ไหม้วูบไปหมด จิตวิสัยสัญญาความจำพอเจอไฟจริง พลังจิตแก่นแท้ก็สลายอนุสัยคั่งค้างได้ ใคร่จะเข้าถึงชีวิตสว่างในตน จะต้องกล่อมเกลาจิตวิสัยจะกล่อมเกลาได้ให้เริ่มจากทำใจให้ตายจากความอยาก
       สละทรัพย์ไม่สู้สละกาย สละกายไม่สู้สละใจ สละใจไม่สู้สละจิตวิสัย คนหากสละสลัดจิตวิสัยสัญญาความจำที่คั่งค้างได้ ก็นับว่าได้รับความเป็นธรรมะแล้ว ฉะนั้น ฉันสอนคนให้ปรับแปรจิตวิสัย คือ การช่วยมนุษยชาติให้จิตวิสัยศักดิ์สิทธิ์ยั่งยืน นี่เป็นคุณธรรมเมื่อครูเหอสุภาพสตรีงดสูบบุหรี่ได้ ฉันพูดธรรมะให้เธอฟังทุกวัน เธอก็ปรับแปรจิตวิสัยได้เลย ครูเหอเป็นครูในโรงเรียนสงเคราะห์สตรีคนแรก และปรับแปรจิตวิสัยตนเป็นคนแรก
        ทุกคนต่างมีจิตวิสัยสัญญาความจำคั่งค้างมา จำเป็นต้องปรับแปร เมื่อครั้งวัยรุ่น ฉันรักความเที่ยงธรรมอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ฝีหนองลูกใหญ่จึงปะทะขึ้นบนหน้าท้อง เพื่อนบ้าน แซ่ฉวี่ ป่วยฉันพูดแก้ป่วยให้หายเขาขอบคุณเอาใบชามากำนัลฉันพูดเสียงลั่นว่า"เอาไปน้อมใจแก่พี่ชายเธอ เอามาให้ฉันทำไม" เขาไม่พอใจ ฉันจึงรู้ว่าไฟจริง (พลังจิตเบิกบาน) ของฉันยังไม่ถึงขั้น ( ยังไม่สุขุมปราณีตพอ ) ภายหลังเมื่อฉันจะพูดกับใคร ฉันจะออกตัวเสียก่อนว่า""ขออภัย ฉันเป็นคนใจร้อน พูดตรง""ออกตัวรู้ตัวอย่างนี้ไม่ถึงเดือน ความใจร้อนเถระตรงก็ปรับแปรได้ นี่เป็นประสบการณ์
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : เรียนรู้ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/08/2010, 02:17
        ชาวโลกเรียนรู้ธรรมไม่สำเร็จ เพราะใฝ่สูงไม่ชอบก้มต่ำ หารู้ไม่ว่า""ที่สูงอันตราย ที่ต่ำสบาย"" ขุดบ่อยิ่งขุดต่ำยิ่งได้น้ำประตูรั่วที่กัน (ต่ำ) งาน (ต่ำ) ที่ใครไม่ทำฉันเก็บทำเขาชิงชังงานต่ำ เธออย่ารังเกียจเหมือนน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ อยู่ต่ำจึงหนุนข้างบนให้สูงได้ หนุนไว้ไม่อวดดี ไม่กลัวใครไม่เห็นนั่นเป็นธรรมะ
        จิตใจของคนมักทะยานอยาก หารู้ความเสียหายจากที่สูงที่ว่าดีนั้นไม่ นัยน์ตาปัญญาไม่เปิดจึงเห็นธรรมะผิดไป แหงนคอตั้งบ่าคว้าไขว่ แต่ไม่ก้มลงช้อนชูกอบกู้ผู้ที่อยู่ต่ำ ธรรมะจะไกลไปจากเธอ
        เรียนรู้ธรรมะ จะต้องเริ่มจากที่ต่ำ อย่ายึดหมายในนามรูป ฉันกับสหายธรรมหลิวเจิ้นหมิง เริ่มเรียนรู้ธรรมะจากการไปเดินขอทานสามเดือน เดินไปสองพันลี้ เมื่อคุณหลิวเจิ้นหมิง เข้าถึงสภาวะธรรมแล้วมีผู้ใคร่เรียนรู้ธรรมตามมา เขาผู้นั้นเกาะติดคุณหลิวเจิ้นหมิงตลอดเวลา ทำตามทุกอริยาบถ มีคนชื่นชมว่าเขาคงเข้าถึงสภาวะธรรมได้เช่นกัน แต่ฉันบอกว่าเอาเยี่ยงอย่างยึดหมายในอาการนั่ง นอน ยืน เดิน จะยิ่งห่างธรรม
       สูงมีน้อย ต่ำมีมากพูดธรรมใช้คำสูงกี่คนจะเข้าใจ จะต้องสูงได้ต่ำได้จึงจะเป็นธรรมะ สูงถ้าไม่ทะลุยอดจะไม่สำเร็จ ต่ำถ้าไม่เป็นฐานก็ไม่สำเร็จ ฉันเรียนรู้ธรรมะจากความจนและความเสียหาย คนอื่นเรียนรู้ธรรมจากทฤษฏีสูง ๆเขาจึงตามฉันไม่ทัน
       รู้เพียงพอจึงจะก้มตนต่ำลงได้ จึงจะได้รับความเป็นธรรมะ นี่เป็นหลักสำคัญ ใฝ่สูงคือโลภ กลัวความเลวร้ายคือหนืด ชอบแต่สิ่งที่ดีคือฝืน รังเกียจสื่งไม่ดีคือขาดคุณธรรม ไม่ทำหน้าที่เต็มกำลังคือละทิ้งชีวิตจากฟ้า
       คำว่า""ดี""คำเดียวนี้ได้ฝังชายชาตรีไปแล้วเท่าไร เรียนรู้ธรรมะ พึงเข้าถึงทุกระดับสถานะ ทุกสภาพ ทุกสิ่งอย่าง มิใช่เรียนรู้เฉพาะที่เขาชมว่าดีหรือคิดว่าดี
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ตื่นใจรู้ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/08/2010, 03:13
        ฉันพูดเสมอว่าไม่ว่าทำการใด ๆจะศึกษาหรือเรียนรู้ธรรมะ ประการแรกจะต้องศรัทธา จริงใจ มุ่งมั่นตั้งใจ เหมือนคนหิวกระหายใคร่จะได้ดื่มกิน เอาใจใส่ หาทางจึงจะสำเร็จ ฉันก่อตั้งโรงเรียนสงเคราะสตรี ถูกโจมตีครั้งที่หนึ่ง ฉันยืนหยัดเปลี่ยนวิธีการใหม่สุดท้ายฉันพูดธรรมะของหญิงให้เขาเข้าใจ จึงได้เปิดฉากสีดำที่ครอบงำหญิงออกมาได้
        จะรู้ตื่นใจธรรมะจะต้องตั้งความมุ่งมั่น มุ่งหมายในทางใดทางหนึ่งทุกเวลา นานไป ธรรมะจะตามเข้ามาให้เข้าใจไม่จบสิ้น เหมือนคันโยกน้ำในบ่อ ยิ่งโยกน้ำยิ่งโกรก ท่อน้ำของคันโยกเล็กนิดเดียว แต่น้ำภายนอกท่อจะไหลเข้าท่อตามแรงดูดของคันโยกมากมาย ข้อธรรมะที่ตามกันเข้ามาให้เข้าใจก็เป็นเช่นนี้
        ธรรมะที่ฉันได้รับ ไม่ใช่ได้ทั้งหมดทันทีแต่เป็นทีละน้อยจากการพิจารณาเข้าถึงสรรพสิ่ง ฉันรับจ้างทำงานบ้านอาเขย หลานชายของอาเขยหยามน้ำหน้าเรียกฉันว่า" ไอ้คนงาน"ไม่เรียกน้าชายตามศักดิ์ ฉันพิจารณาหนึ่งร้อยวันจึงเข้าใจ ฉัน ยังคงพิจารณาเรื่องราวสรรพสิ่งจนเข้าถึงแก่นแท้ไปทีละอย่าง จึงตื่นใจว่าต้นกำเนิดของโลกมนุษย์ก็คือหญิงสาว ต้นกำเนิดโลกีย์วิสัยคือ อนุภรรยากลไกใหญ่ของโลกคือการเงิน เข้าไม่ถึงสามทางนี้จะปกครองโลกได้อย่างไร
        คนใคร่เข้าใจธรรมะ พึงตื่นใจในธรรมะแห่งตนเป็นเบื้องต้น จึงค่อยกระจ่างต่อความเป็นธรรมะของผู้อื่นจากนั้นไป จึงเข้าถึงธรรมะแห่งมวลชน สุดท้ายให้พิจารณาธรรมะในสรรพสิ่ง ถ้าไม่เข้าใจให้ถามเองตอบเองจะค่อย ๆ เข้าใจได้ ถามอย่างนี้เรียกว่า "ถามฟ้า" ช่วงชีวิตที่รับจ้างทำงานฉันถามตัวเองว่า"ทำไมต้องทำงาน" ตอบ "เพื่อดำรงชีวิต" "ทำไมต้องดำรงชีวิต" ตอบ "เพื่อเลี้ยงดูผู้คน" เลี้ยงดูไปทำไม" ตอบ "เพื่อเจริญธรรม" คนคือธรรมะ ฉันค่อยคิดพิจารณา ฉันได้ดำรงธรรมที่ใหนกันเป็นคนยังเป็นไม่ถูกต้องเลย พิจารณาต่อไปฉันจึงตื่นได้ในธรรมะของหญิงสาว ของภรรยา ของพ่อกับลูก สามีกับภรรยา อย่างนี้เรียกว่ารู้ตื่นใจธรรม ธรรมะเป็นภาวะจากฟ้าทุกคนล้วนมี อีกทั้งไม่เคยไปพ้นจากคน แต่วันนี้ทำไมเราจึงไม่ได้รับไว้...
        เมล็ดถั่วเมื่อเป็นต้นอ่อน จะต้องงอกเงยขึ้นไปจนกว่าจะสำเร็จเป็นเมล็ดถั่วใหม่ จึงจะนับได้ ฉันรู้ตื่นใจในธรรมข้อนี้เมื่อขณะรับจ้าง คนทำการหนึ่ง ดำเนินข้อธรรมหนึ่ง ล้วนเนื่องเกี่ยวกับความเป็นไปของฟ้าดิน กับกาลเวลาเสียดายที่คนทั่วไปผ่านเลยแล้ว ก็ไม่นึกสนุกที่จะคิดพิจารณาอีก สิ่งที่เคยทำมีเวลาให้พิจารณาใหม่ เข้าใจกระจ่างแล้วเรียกว่าสำนึกตื่น ทำผ่านแต่ไม่รู้กระจ่างเรียกว่าหลง หลงก็คือปุถุชน ผู้เรียนรู้ธรรมะจะต้องสำรวจตนเสียก่อนว่า กาย ใจ จิตญาณตน อยู่ในสภาพ อยู่ในภาวะอย่างไร มีเวลาว่างให้ย้อนคิดพิจารณา ที่ผ่านมาถูกหรือผิด บัดนี้เป็นอย่างไร ภายหน้าจะทำอย่างไร
        คนมีขอบข่ายรู้ได้ จัดการได้เพียงไร เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ จึงได้แต่โกรธใคร ๆ จนป่วย ภายหลังย้อนคิดพิจารณา เข้าใจแล้ว จึงหายป่วย
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ชมรมคุณธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 03:05
      ทุกอย่างล้วนมีฐาน ฐานของชมรมคุณธรรมคือ หญิงชายเพราะนั่นหมายถึงพลโลก (หญิงชายเป็นต้นกำเนิด) จากนั้นจึงจำแนกเป็นสามีภรรยา พ่อแม่ลูก พี่น้อง เพื่อนพ้อง ฮ่องเต้กับไพร่ฟ้า (ผู้ใหญ่กับผู้น้อย) อันเป็นคุณสัมพันธ์ต่อกัน (คุณสัมพันธ์ห้า)
      สามี-ภรรยาเป็นจุดเริ่มต้นของคุณสัมพันธ์ ชมรมคุณธรรมของเราจะปรับแปรสังคม จะต้องเริ่มต้นจากหญิง-ชายให้ต่างเที่ยงตรงอยู่บนฐานของตนหยัดยืนด้วยตน
      คุณสัมพันธ์ห้ามีระเบียบ ครอบครัวพร้อมพรัก บ้านเมืองย่อมปกครองได้ดี คำว่าชมรมคุณธรรม เป็นแต่นามรูปว่างเปล่าจะต้องมีคนคุณธรรม พูดคุณธรรม ทำการคุณธรรม มาประจุเต็ม จึงจะเป็นชมรมคุณธรรมอย่างแท้จริง เหมือนตุ่มใส่น้ำ เรียกตุ่มน้ำ ใช้หมักเต้าเจี้ยวเรียกตุ่มเต้าเจี้ยว ชื่อจะต้องตรงต่อความเป็นจริง
      คนในชมรมคุณธรรม จะต้องเผยแพร่คุณธรรมได้ ผู้ที่แพร่นำแบบแผนคุณธรรมได้คือห้วหน้าผู้มีคุณ หากตรงกันข้าม ก็จะเป็นหัวหน้าของโทษผิด ปลายราชวงศ์ชิง บ้านเมืองปฏิรูปการศึกษาไม่สำเร็จแต่ฉันรู้ว่าภายหน้าคนเล่าเรียนจะรวมกันเป็นสถาบัน(โบราณต่างคนต่างเรียน) ฉันรู้ล่วงหน้าว่าอีกห้าหกสิบปีจะเปลี่ยนเป็นวงการเป็นศึกษาใหญ่(มหาวิทยาลัย) คนเล่าเรียนสมัยราชวงศ์ชิงชอบเล่นมิจฉาศาสตร์(วิชาอาคม) พอเป็นวงการศึกษาใหม่ก็เล่นศาสตร์ระราน (ยกตนข่มท่านทำลายล้างศาสตร์ต่าง ๆ ) ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นมันจบไปแล้ว
      ชมรมคุณธรรมมุ่งสอนความราบรื่นต่อทุกอย่างที่ผิดแผกเข้ามา หากชมรมคุณธรรมไม่อาจแบกรับความเป็นธรรมะ ขึ้นมาได้ในที่สุดก็จะต้องประสบภัยพิบัติเช่นกัน
      คุณธรรมกับกฏหมายบ้านเมืองเป็นคุณสมบัติใหญ่ของ อิน-หยาง พึงมีคู่กัน คนสมัยนี้ว่าคุณธรรมเติมเต็มส่วนขาดพร่องของกฏหมาย ช่างไม่รู้ว่า กฏหมายต่างหากที่เติมเต็มส่วนขาดพร่องของคุณธรรม ถ้าไม่เอาคุณธรรมเป็นหลักแม้กฏหมายจะเคร่งครัดเพียงใดก็ล้มเหลว
       ตัวไหมสร้างรังเป็นดักแด้ มิใช่หวังจะอาศัยอยู่ในนั้นตลอดไปเพียงเพื่อปรับแปรเป็นผีเสื้อออกบิน คนทำการก็พึงเป็นเช่นนี้ ก่อตั้งชมรมหนึ่ง โรงเรียนแห่งหนึ่ง ทำการค้าหนึ่ง แวะไปที่บ้านหนึ่ง ไม่ใช่จะตายตัวอยู่ที่นั่น แต่เพียงเพื่ออาศัยจุดนั้นให้ได้เจริญธรรม คนสมันนี้จับอะไรขึ้นมาได้ก็คิดว่าจะอิงอาศัยไปจนแก่เฒ่า โง่แท้
       คุณจางอย่าเซวียน ก่อตั้งโรงเรียนสงเคราะห์สตรี ที่อำเภอไห่เฉิง ได้รับผลสำเร็จมาก บุคคลากรเกิดขึ้นมากมาย โรงเรียนยืนอยู่มั่นคง ฉันเตือนเขาให้ผละออก ครูอาจารย์เจ้าหน้าที่ต่างรั้งตัวไว้ เขาเองก็ไม่อยากจากไป  ฉันบอกพวกเขาว่า โง่แท้ เขาเป็นผู้นำส่งเสริมพวกคุณขึ้นมาแล้ว ถ้าไม่ออกบุกเบิกขยายงาน ภายหน้าพวกคุณก็จะเน่าอยู่ที่นี่ ฉันเร่งรัดเขายี่สิบกว่าวัน เขาจึงจากไป มุ่งสู่มณฑลทางแถบเหนือ เพื่อกล่อมเกลาคุณธรรมแก่คนทั้งหลายต่อไป จากนั้นคุณจางอย่าเซวียนจึงได้เข้าใจธรรมะของโลกทั้งสี่คือ ความมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กาย โรงเรียนสตรีสงเคราะห์จึงได้ขยายกว้างออกไปอีกมากมายนี่คือตัวอย่าง
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ชมรมคุณธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2010, 04:20
        บรรพบุรุษสร้างงานไว้ดีอย่างไร สุดท้ายมักจะเสียหายไปในมือของลูกหลาน แม้ศาสนาก็เช่นกันฝ่าด่านของศิษย์ไปไม่พ้นฉันจึงไม่เป็นอาจารย์ไม่รับศิษย์ ในชมรมคุณธรรมฉันไม่ให้ใครเรียกฉันว่าอาจารย์ ฉันไม่ยึดหมายในนามรูป ธรรมะเป็นความเสมอภาคไม่เป็นอาจารย์ไม่ต้องแบกรับความผิดที่ศิษย์ทำ ไม่รับศิษย์ไม่ต้องเหนื่อยใจ เป็นธรรมชาติจึงจะเป็นธรรมะ เจาะจงก็จะเป็นความตายตัว
        คนที่ศึกษาธรรมะกับฉัน ควรจะเชื่อคำที่ฉันพูด แต่คนก็ยังคงเชื่อความเคยชินของตัวเองเช่นเดิม นี่คือ ยังเชื่อไม่ถึงแก่น จึงไม่ได้รับความเป็นธรรมะ คนหากมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง เมื่อเป็นคำพูดแท้จริง (สัจธรรม) ควรจะเชื่อ ถ้าเธอจริงแล้วแม้เท็จก็จะกลายเป็นจริงได้ แต่หากเธอไม่จริง แม้จริงก็จะกลายเป็นเท็จได้
        เรื่องในโลกนี้มักจะมีสิ่งจริงเปลี่ยนเป็นเท็จ เรื่องเท็จกลายเป็นจริงได้ เหมือนวอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศรัทธาก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะเห็นว่าจะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่อยู่ที่คนไม่อยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
        พระเยซูฯโปรดว่า ผู้ที่เชื่อมั่นในพระเจ้าจะได้รับการช่วย ฉันว่าหนึ่งจริงทุกสิ่งจริง เมื่อพูดธรรมกล่อมเกลาชาวโลกอยู่สี่สิบปีใครเชื่อใครไม่เชื่อฉันรู้ได้หมดบ้างเชื่ออยู่สิบปี บ้างแปดปี ไม่เชื่อฉันก็ไม่นำพาต่อไป
        ฉันนำพาคน นำพาให้สูงขึ้น แต่ทางโลกนำพาคนให้ต่ำลงด้วยการจดจ้องมองดูเขา ควบคุมบงการเขา สุดท้ายทั้งโกรธเคือง ทั้งโกรธแค้น ดูเผิน ๆ คือจับตาแท้จริงแล้วรังแกเขา ฉันเองนั้นแม้แต่ลูกเมียก็ไม่จับตา ไม่จับตาขณะนี้แต่จับตาอนาคต (ดูแลให้เขาเดินถูกทางตลอดไป) นำพาให้เขาไปสวรรค์ได้ ไปพุทธภูมิได้
        คนที่ไม่เชื่อวิถีธรรม เพราะบุญน้อยจะโกรธแค้นเขาไม่ได้ ฉะนั้นฉุดช่วยคนก็จะต้องพิจารณาดูแรงไฟสุขุมกุศลมูลในตัวของเขาด้วย ฉันได้รับธรรมะแล้วก็ออกแพร่ธรรม ถ้าไม่แพร่ออกไปเท่ากับแบกรับบาปเวรใหญ่ของชาวโลก แม้ฉันจะได้รับธรรมะแต่ไม่ขายธรรมะคือ หนึ่ง ไม่อาศัยธรรมะเลี้ยงชีพกายทางโลก สอง ไม่อาศัยธรรมะเรียกเอาเงินทอง ฉันไม่กลัวจะต้องขอเขากินอาศัยแต่บุญบันดาล แต่ก่อนเข้าร่วมชมรมคุณธรรม ทางชมรมจะต้องเก็บค่าสมาชิก ฉันคัดค้านจึงยกเลิกไป ปีที่แล้วประชุมมีผู้เสนอจะเก็บค่าสมาชิกอีก ฉันว่าถ้าทำอย่างนี้จริง ๆ ในชมรมนี้จะต้องไม่มีฉัน ทุกคนจึงเลิกล้ม เราทำงานธรรมะอย่าแตกกิ่งนอกตา (ออกนอกทาง) หาทางเอาเงินเขา ฉันพูดเสมอว่า พลิกโลกสร้างมหาเอกภาพ ใคร ๆ ก็หัวเราะว่าฉันคุยโว แท้จริงคำพูดนี้ไม่อวดใหญ่เลย เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะพลิกจึงว่าฉันคุยโว
         เรื่องใหญ่ทำให้เล็ก เรื่องเล็กทำให้ใหญ่ นี่ก็เป็นคำที่แฉันพูดอยู่เสมอ พลิกโลกแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ แต่จะต้องทำจากส่วนเล็ก เล็กจนเหมือนฝุ่นธุลี ความคิดของคนที่ละเอียดประณีตไงล่ะ จะต้องพลิกความคิดของคนขึ้นมาเห็นแก่ตัวให้กลายเป็นเห็นแก่ส่วนรวม ชั่วร้ายให้กลายเป็นเที่ยงตรง อย่างนี้โลกก็จะถูกพลิกขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ
        ฉันพูดเสมอว่าเรื่องใหญ่ให้ทำเล็ก เรื่องเล็กให้ทำใหญ่ สร้างสันติสุขแก่ชาวโลกเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องเป็นเรื่องจากบ้านเมืองไปสู่ครอบครัว จากครอบครัวสู่ตัวตน สู่จิตใจ สู่เจตนา สู่รู้แท้ สู่พิจารณา ปลงเห็นความเป็นจริง อย่างนี้ย่อลงจนเล็กมากแล้วใช่ไหม ฉันเป็นชาวนา โง่เขลาที่สุด ไม่เคยเรียนหนังสือสักวันเดียว แต่พูดอยู่ร่ำไปว่าจะพลิกโลก สร้างมหาเอกภาพ ทุกคนหัวเราะว่าฉันคุยโว แท้จริงแล้วเขาไม่เข้าใจข้อความในคัมภีร์มหาบุรุษที่ว่าเริ่มทำจากจุดเล็กนิดเดียวก่อนคือ ให้เจตนาศรัทธา จากนั้นจะให้โลกเกิดความสงบสุขราบเรียบมันจะยากอะไร คนทั่วไปมักจะคิดว่าทำโลกให้เกิดความสงบ ความสงบสุขราบเรียบมันเรื่องของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ฉันคิดว่ามันจะต้องเริ่มจากตัวของเด็กน้อยเลยทีเดียว ตั้งแต่เล็กก็ป้อนความคิดจิตใจคุณธรรมแก่เขาแผ่กว้างออกไปจนทั่วโลก อย่างนี้โลกนี้จะยังไม่สงบสุขราบเรียบได้หรือ
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ดำเนินธรรม สร้างคุณธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2010, 02:11
      ธรรมะต้องดำเนินการ คุณธรรมจะต้องปฏิบัติสร้างสม ไม่ดำเนินการจะไม่ได้ธรรม ไม่ปฏิบัติจะไม่มีคุณธรรม เบื้องบนโปรดกำหนดชื่อตามหลักของเบื้องบน คนจะต้องทำตามสถานภาพของตนจึงจะสอดคล้องกับวิถีธรรม
      สร้างสมความดีตามวิถีธรรมก็คือคุณธรรมฟ้าก็จะได้รับคุณจากวิถีและคุณธรรมนั้นโดยไม่ต้องคะนึงหา คนสมัยนี้ดีแต่ภาวนาเงินทอง ไม่รู้จักสั่งสมคุณธรรมนั่นคือทิ้งต้นไปหาปลาย เท่ากับออกดอกลวงตา แต่ต้นไม้ไม่หยั่งรากจะตกผลได้หรือ คุณธรรมเป็นราก เงินทองเป็นผล อยากร่ำรวยก็ต้องสร้างสมคุณธรรม คุณธรรมเป็นเมล็ดพันธ์ของต้นไม้เงินต้นไม้ทองนั่นเอง จึงกล่าวว่าผู้มีมหาบารมีคุณ ย่อมได้รับลาภสักการ
      คุณธรรมไม่มีที่โลภเอาไว้ คุณความดีไม่มีที่ชิงเอาได้ บุญวาสนาไม่มีที่ควานเอาได้ ทำการให้ดี ช่วยคนให้ได้สำเร็จเป็นคุณความดี ผู้มีคุณความดีย่อมเป็นผู้มีสิทธิอำนาจในมือ หากได้แต่อวดโอ้ชิงเอา หรือกายได้กระทำคุณความดีแต่ในใจขัดข้อง อย่างนั้นก็เหนื่อยเปล่าไม่ได้คุณความดี สละทรัพย์สร้างบุญหรือเตือนใครให้สร้างบุญกุศล ชาติหน้าเกิดใหม่ได้วาสนา ได้รวย แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร แต่หากสอนเขาให้ละจากนิสัยเคยชินที่ไม่ดี ปรับแปรอนุสัยคั่งค้าง ขจัดความหม่นหมองในจิตญาณ อย่างนี้เรียกว่าฉุดช่วยจิตญาณ ช่วยจิตญาณคือช่วยนิรันดร์นานนั่นคือคุณธรรม วิญญาณใสจึงจะดำรงรักษาคุณธรรมไว้ได้
      คนกระจ่างใจ เทิดชูคนโง่เขลาได้ เรียกว่าคุณธรรม คนโง่เขลาเชื่อฟังคำพูดของผู้กระจ่างใจเรียกว่ามีคุณธรรม คนที่เกิดมาชาญฉลาด ก็เพื่อจะได้เทิดชูคนโง่เขลา คนกระจ่างใจแม้ไม่เทิดชูคนโง่เขลาก็คือผิดต่อชีวิตจากฟ้า (เทียนมิ่ง) คนโง่เขลาไม่เชื่อถือทำตามคนกระจ่างใจก็ขัดต่อชีวิตจากฟ้าเช่นกัน
      แม้ฉันจะกล่อมเกลาชาวโลกมาหลายปี แต่ยังคงรู้สึกผิดต่อเขา เพราะเขาเหล่านั้นไม่อาจกระจ่างใจยิ่งกว่าฉัน หากมีใครกระจ่างใจยิ่งกว่า ฉันจึงจะวางใจ ฉันมักได้ยินเขาว่า""ชายชาตรี (ใจกว้าง)ขดน้อมได้ ยึดยื่นได้ (สูงได้ต่ำได้) ในความคิดของฉันคือ เมื่อพบคนโง่เขลา รองรับเขา เทิดชูเขาได้ เรียกว่าขดน้อมได้ เมื่อพบคนสูงส่งกว่า จิตมุ่งมั่นจะต้องทะยานไกล มิควรหดหายถูกข่มไว้ เรียกว่า ยึดยื่นได้
     สร้างงานที่เป็นคุณประโยชน์ให้มาก ผูกบุญสัมพันธ์กับใคร ๆ ให้มาก นี่เป็นคุณความดี เมื่อมีคุณความดีภายนอก ย่อมจะมีผลของคุณความดีภายใน คุณสัมพันธ์ต่อกันทำให้ดีที่สุด งานกุศลประโยชน์ทำให้ดีที่สุดเป็นคุณความดีภายนอก อุปมา ต้นไม้รากงอกออกก้าน ยื่นกิ่งผลิใบออกดอก นี่เป็นคุณความดีภายนอก คุณความดีภายนอกพร้อมแล้วจึงตกผล คือคุณความดีภายใน
     คน ถ้าไม่สร้างคุณความดีภายนอก จะไม่ตกผลคุณความดีภายใน เช่นเดียวกัน การพูดธรรมะพูดอย่างเดียวกันแต่บางคนไม่ทำตามที่พูด พูดดีเพียงใรคนก็ไม่สนใจอีกทั้งยังจะถูกว่าร้าย คนที่พูดแล้วทำพูดหนึ่งคำเขาก็เชื่อหนึ่งคำ แม้จะเป็นภาษาชาวบ้านผู้ฟังก็ยังได้ธรรมะ ทำให้เห็นถึงคุณความดีภายนอกที่ตกผลภายใน
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ดำเนินธรรม สร้างคุณธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2010, 02:41
        มีผู้ยอมรับนับถือเพียงไรก็คือมีคุณธรรมเพียงนั้น มีผู้เคารพเชื่อถือเท่าไร ก็มีคุณความดียิ่งใหญ่เพียงนั้น ชาวโลกกลัวตายในภาวะสงคราม ในน้ำลึกไฟร้อนแรงช่างไม่รู้เลยว่า ใฝ่ชื่อ เสี่ยงตายในชื่อเสียง ใฝ่ผลประโยชน์ เสี่ยงตายในผลประโยชน์ หารู้ไม่ว่าอย่างนี้เท่ากับอยู่ในภาวะน้ำลึกไฟร้อนเหมือนกัน
       ฉันพูดธรรมะไม่ต้องการชื่อเสียงคือ"ตกไฟไม่ไหม้ ตกน้ำไม่จม" คุณธรรมสืบสายไหลรินตั้งแต่โบราณกาลจนถึงบัดนี้ไม่มีขาดสาย แต่น่าใจหายที่ยิ่งไหลยิ่งต่ำลงจนถึงใต้น้ำ ใต้น้ำคืออะไรก็""น้ำเงิน""ที่ผู้คนชื่นชอบกันนักน่ะสิ ชื่นชอบน้ำเงินกันจนหมดสิ้นมโนธรรมน้ำใจกันแล้ว ธรรมะก็ถูกโยนทิ้งไปด้วย ที่ฉันเป็นนักบุญได้ เพราะทุกคนยอมรับนับถือฉันที่ตัดขาดจากเงินทองได้
       ผู้เรียนรู้ธรรม ไม่ไปเรียนรู้ความเป็นพุทธะ แต่ไปซ่อมสร้างวัดเสียก่อนเท่ากับพระพุทธะใช้งานเขาจนต้องห่างไกลไปจากพุทธะ คนเล่าเรียน เอาแต่อ่านไม่ปฏิบัติตาม เท่ากับตำราเรียนทำให้เขาต้องห่างไกลไปจากความรู้จริง
       คนในชมรมคุณธรรม เอาแต่พูดธรรมไม่ดำเนินธรรม เท่ากับธรรมะใช้งานเขาจนต้องห่างไกลไปจากคุณธรรม ที่ฉันรู้มาคือ คนโบราณหนึ่งท่านจะเจริญรอยตามคนโบราณหนึ่งท่าน
       คนปัจจุบัน ก็เอาแบบอย่างคนมีธรรมปัจจุบันหนึ่งคนเรียนรู้อักษรหนึ่งตัวก็ปฏิบัติตามความดีในหนังสือตัวนั้น อย่างนี้เรียกว่า ""รู้กับทำประกอบกันเป็นหนึ่งเดียว""
       หลอกลวงรังแกคนเป็นกรรมที่ผูกเวรเหนื่อยหนักแก่เขาเป็นผิดต่อเขา บาปแก่ตน ช่วยเหลือคนเป็นคุณความดี ช่วยคนให้สำเร็จความดีเป็นคุณธรรม ตนเองจะต้องคิดดูเสมอ เราเองกำลังทำหน้าที่เป็นคนอย่างไร
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สี่โลกใหญ่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 06:36
       จิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กาย เป็นสี่โลกใหญ่ คนหลง งมงายจะพูดว่า บนสะพานอนิจจังในนรกมีสามเส้นทาง ทางหนึ่งเป็นทอง ทางหนึ่งเป็นเงิน ทางหนึ่งเป็นนรก ฉันว่า ใช้จิตมุ่งมั่นตั้งตนเป็นเส้นทางทอง ใช้เจตนาดำริวางตัวเป็นเส้นทางเงิน ใช้กายใจทำการ (ตามอารมณ์ความเคยชิน) ก็คือเส้นทางนรก
       คนในโลกของจิตมุ่งมั่น ใครจะอย่างไรก็ไม่ว่ากระไร (รับได้ไม่ว่ากัน) คนในโลกเจตนาดำริรู้พอเพียง คนในโลกของใจจะโลภอยาก คนในโลกของกายจะชอบต่อสู้ คนที่ไม่ว่ากระไรเรียกว่าไม่มีใจ(ไม่ยึดหมาย) คนรู้เพียงพอเรียกว่าหมดจดใจ คนที่ชอบโลภเรียกว่ากังวลใจ คนที่ชอบต่อสู้เรียกว่ากากใจ กากใจคือผี กังวลใจคือคน หมดจดใจคือเทพยดา ไม่มีใจคือพุทธะ คนในโลกของ""กาย""รู้แต่จะทำเพื่อกายมีตนเองไม่มีใครอื่นใด ไม่คำนึงเหตุผลเห็นอะไรก็อยากได้ไว้ครอบครองเอาเปรียบเขาไม่ได้ก็โกรธพาลชกต่อย หม่นหมองข้องใจอยู่เสมอจึงเรียกว่า""ผี" คนในโลกของ""ใจ"" โลภมากอยากได้ไม่รู้จักพอคิดฟุ้งซ่าน ชอบคิดวางแผน ฉ้อฉลกลอุบาย เป็นจัณฑชนคนใจแคบต่ำทราม คนในโลกของ ""จิตมุ่งมั่น"" ทุกอย่างจะไม่พูดรู้ซึ้งถึงเหตุต้นผลกรรม ไม่หาเหตุให้ตนและใคร ๆ ต้องเวียนว่ายเกี่ยวกรรมอีก คนที่ไม่ว่ากระไรก็คือ""พุทธะ"" คนหากคิดที่จะล่วงพ้นเข้าสู่อริยภาวะ ก็จะต้องย้ายโลกให้เป็น  ฉันพูดเสมอว่าคนจะต้องจำแนกโลกใหญ่ทั้งสี่ให้ชัดเจน หากจิตวิสัยตนราบเรียบไม่หวั่นไหว เทิดชูคนโง่เขลาในโลกขึ้นมาได้ ให้พวกเขาเป็นผู้มีปัญญา (รู้ชีวิต กำหนดชีวิตตนได้) ก็จะเป็นคนในโลกของความมุ่งมั่น อยู่ในโลกของพุทธะ หากใจว่างวางทุกอย่างลงได้ ไม่ตกค้างสิ่งใดเลย เบิกบานสบาย ไม่ทุกข์กังวล เป็นคนมุ่งมั่นจะบรรลุสู่โลกสวรรค์ หากอยากได้ไม่หน่าย จะทุกข์กังวลห่วงใยอยู่ในโลกของใจในโลกของทะเลทุกข์
        แต่หากแย่งชิงเพื่อลาภสักการะ ซ่องเสพกิเลสอบายพนันขันต่อ ใช้กำลังรุนแรงอยู่ในโลกของกาย ก็จะเป็นคนในโลกของนรก จึงกล่าวว่า โลกของจิตมุ่งมั่นคือโลกของพุทธะ โลกของเจตนาดำริ(มีเป้าหมายดี)คือโลกของสวรรค์ โลกของใจ(ปรุงแต่ง)คือทะเลทุกข์ โลกของกาย(ไม่สำรวม)คือนรก
        มั่นคงในโลกพุทธะจะไม่ไหวเอน ไม่ว่าสภาพความเป็นไป จะบั่นทอนกระทบดีร้ายอย่างไรรู้แต่จะส่งเสริมคนให้สำเร็จด้วยจิตมุ่งมั่น มั่นคงในโลกของเจตนาดำริ เป็นโลกสวรรค์เหมือนเทพยดาเิดินดิน โลกของใจคือคนกลัวได้กลัวเสียทะเลทุกข์กว้างใหญ่ คนสมัยนี้เอาใจตนเป็นหลัก อย่างนี้จะบรรลุพุทธะได้อย่างไรกัน กายเกิดจากครรภ์มีวันเสื่อมสลาย จึงอย่าได้เห็นจริงจะต้องสร้างความดี สร้างคุณธรรม ไม่เข้าช่องทางนี้มีหรือจะบรรลุธรรม
        คนในโลกของจิตมุ่งมั่น เหมือนฤดูใบไม้ผลิจะพูดเพื่อก่อเกิด งอกเงยไม่พูดแก้แค้นตอบโต้ โบราณว่า มีโทสะแต่ไม่เกิดจะลบล้างมารผจญ มีแค้นไม่ชำระคือการบำเพ็ญ ในโลกของเจตนาดำริเหมือนฤดูร้อนกุก่อง ฟูมฟัก บำรุงเลี้ยงให้สรรพสิ่งเจริญงอกงามดังคำที่ว่า กัลยาณชนช่วยคนให้งดงามสำเร็จการ  คนในโลกใจเหมือนฤดูใบไม้ร่วงกวาดเก็บจะเห็นแก่ตัวตัวใครตัวมันกระจัดกระจาย  คนในโลกกายเหมือนฤดูหนาวกักกลบชอบทำลายล้าง แห้งแล้ง รุนแรงน่ากลัว
        ฉันจึงกล่าวเสมอว่า คนในโลกจิตมุ่งมั่น กัน เจตนาดำริ เป็นผู้สร้างสรรค์โลก ส่วนคนในโลกใจกับกายเป็นผู้ทำลายโลก จิตมุ่งมั่นมีคุณสมบัติเป็นผู้ให้ทุกอย่าง แต่ปล่อยวางเหมือนไม่ได้ให้ ด้วยไม่ได้ยึดหมายเจาะจงการให้นั้น  เจตนาดำริมีคุณสมบัติไว้วางใจยินดี สละสิ่งดีให้แก่คนทั้งหลายทุกโอกาส  ใจแฝงนิสัยโลภอยาก เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว  กายมีความเคยชินเหยียบย่ำทำลาย ฉะนั้นจึงว่า ใจ กาย (แม้จะเป็นของเราเอง) จะให้มันเป็นหลักเป็นใหญ่ในตัวเราไม่ได้ ต้องให้ใจ กายฟังคำสั่งรับบัญชาจากจิตมุ่งมั่นกับเจตนาดำริสูงส่งของเรา
        เกิดเรื่องชั่วร้าย เราไม่ชั่วร้ายไปตามเขาเรีกยว่าจิตมุ่งมั่น (ใฝ่ดีคงที่)  โลกของความมุ่งมั่นจะไม่ข้องแวะกับอะไรเลย  โลกของเจตนาดำริจะเป็นโลกกว้างที่เต็มไปด้วยมโนธรรมสำนึก  โลกของใจจะคิดเล็กคิดน้อย  โลกของกายจะอิจฉาตาร้อนโมโหโทโส  พุทธะว่ามีสามพันมหาสัพพโลก ฉันว่ามีสี่มหาโลก ผู้ได้รับธรรม (กระจ่างธรรม) มองใครก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนโลกใหนเอากายมาเป็นคนไม่ว่าทำอะไรเขาจะต้องเป็นดาวมฤตยู ดาวร้าย ดาวพิฆาต  เอาใจมาเป็นคนไม่ว่าทำอะไรเขาจะวุ่นวายกังวล  เอาเจตนาดำริมาเป็นคนแม้เขาจะมีเรื่องมากยุ่งยากเพียงไรก็ไม่เหนื่อยหน่าย ไม่หงุดหงิด  เอาจิตมุ่งมั่นมาเป็นคนเขาจะไม่หวั่นไหวแม้สภาพการณ์จะเลวร้ายเพียงไรจะนิ่งเฉยได้เหมือนพระพุทธรูปบูชา
         คำพูดของคนในโลกของกาย พูดผ่านไปไม่เหลือแก่นสาร  คำพูดของคนในโลกของใจพูดไปตามอารมณ์มักไม่เป็นจริงอีกทั้งหลอกลวง  คำพูดของคนในโลกของเจตนาดำริพูดแล้วจะจดจำทำให้เป็นจริง  คำพูดของคนในโลกของจิตมุ่งมั่นแน่นเหมือนตอกตะปูจะสัตย์จริง
         
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สี่โลกใหญ่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 08:06
         กายเสียหายเรื่อยไป  ใจปรุงแต่งเป็นเท็จ  เจตนาดำริคิดดีงาม  จิตมุ่งมั่นจริงแท้แน่ชัด  คนถ้าจริงแท้แน่ชัดจะซาบซึ้งถึงพุทธะ เทพยดา ผู้คน ภูตผี อย่างนี้เรียกว่าหนึ่งจริงทุกอย่างจริง ถ้าเธอไม่จริงทุกอย่างไม่จริงแม้แต่เรื่องดีก็จะกลายเป็นเท็จ ฉะนั้นกัลยาณชนเรียกร้องจากตัวเองจะไม่ขัดเคืองโทษโพยใคร ต้องสำนึกว่าใครเขาไม่จริงเป็นเพราะเราเองไม่จริง ใครเขาไม่ดีเป็นเพราะเรายังไม่ดีหรือดีไม่พอ โลกไม่ดีก็เพราะไม่ดี ในคัมภีร์มหาบุรุษกล่าวไว้ว่า หนึ่งครอบครัวมีกรุณาธรรม หนึ่งบ้านเมืองจะประเทืองกรุณาธรรม ฉันจึงยอมรับ (ไม่โทษ) ความไม่ถูกต้องของโลกนี้  คนทำผิดชอบผลักไสให้พ้นตัวไม่รู้สำรวจตนจึงเกิดเหตุขัดแย้ง คนในโลกของกายไม่รู้ว่าตนมีความผิดใครตำหนิติติงจะโกรธจนตายไม่แก้ไข คนในโลกของใจเอาหน้าเอาตาใครว่าผิดจะปิดบังอำพรางรู้ผิดไม่แก้ไข  คนในโลกของเจตนาดำริจะน้อมใจใครว่าผิดจะดีใจแก้ไขตน  คนในโลกของจิตมุ่งมั่นรู้ความผิดตนจะกราบไหว้จะสำนึกขอบคุณรับผิดตั้งแต่ในใจไม่ใช่รับแต่ปากรับผิดจริงๆ ขอขมาสำนึกจริง
          จิตมุ่งมั่นเหมือนรากของต้นไม้  เจตนาดำริเหมือนสาขาใหญ่  ใจเหมือนกิ่งแขนง  กายเหมือนกิ่งใบ  กิ่งแขนงกิ่งใบจะต้องตัดแต่งที่เรียกว่า""ให้ใจตรง สำรวมกาย"" ระหว่างจิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กาย สี่โลกใหญ่นี้ มีระยะห่างกันสิบหมื่นแปดพันลี้ (ที่จิตเดิมแท้ ณ จุดญาณทวาร)
           คนในโลกของกายทำความชั่วร้ายได้ทุกอย่าง แม้บางครั้งเขาอยากกลับตัวกลับใจ พวกพ้องร่วมก๊วนจะฉุดรั้งตามติดทำให้เขาก้าวหน้าไม่ได้ ฉะนั้นย้ายโลกจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา  คนในโลกของใจใคร่จะก้าวขึ้นสู่โลกของเจตนาดำริก็จะถูกพวกพ้องคนในโลกใจฉุดดึงไว้เช่นกัน  คนในโลกของเจตนาดำริจะก้าวขึ้นสู่โลกของจิตมุ่งมั่นเพื่อนพ้องในโลกเจตนาดำริก็จะดึงไว้ฉะนั้นจะต้องแยกทั้งสี่โลกนี้ออกให้ชัดเจนจึงจะบรรลุธรรมได้
           โลกใหญ่ทั้งสี่ กำหนดสถานภาพคน หากเข้าใจก็จะรู้จักคนทั้งหมดรู้ว่าเขามาจากโลกใดในสี่โลกใหญ่ ขณะนี้เขาตกอยู่ในโลกใดทำการด้วยโลกใด (ทำการโดยจิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ หรือกาย ) มีสันดาน มีเวรกรรมอย่างไร จิตใจดีงามหรือเลวร้ายล้วนอยู่ในจิตใจนั้น ดังคำที่ว่า""ศรัทธาภายใน แสดงออกภายนอก"" จิตใจใสสะอาดดูออกได้ทันทียังจะดูออกอีกว่าชาติก่อน ชาติหน้า เขามาจากภาวะใด จะพ้นภาวะใด
           ผู้อรรถาพุทธธรรมว่าคนตายแล้วจะต้องเวียนสู่หกวิถี ฉันว่าหกวิถีล้วนอยู่บนตัวของเราเอง  จิตมุ่งมั่นคือวิถีพุทธะ  เจตนาดำริคือวิถีเทพฯ  ใจคือวิถีมนุษย์  โลภอยากดื้อร้ายวิถีเดรัจฉาน  อารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านวิถีเปรต  โทสะวิถีผี  หกวิถีนี้วนเวียนอยู่บนตัวเราทุกวันไม่ต้องรอหลังการตายเลย
           เข้าถึงปรุโปร่งย่อโลกใหญ่ทั้งสี่ลงจึงจะฉุดช่วยผู้คนได้ รู้เพียงว่าพุทธะบรรลุได้อย่างไร คนเกิดได้อย่างไร แต่ไม่รู้ว่า เดรัจฉานมาจากใหน (เหตุใดจึงต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน) เมื่อไม่รู้ก็ฉุดช่วยเดรัจฉานไม่ได้ ในสันดานของวัวควายมีธาตุไฟของความโง่ ในสันดานของสุนัขมีธาตุไม้พลังอับเฉา ในสันดานของไก่มีธาตุทองพลังอับเฉา  ขาดธาตุทองชาติก่อนขาดความสัตย์จริงจึงต้องเกิดกายรับทุกข์ในสภาพนั้น ๆ หากเราไม่รู้ความเป็นมาของสัตว์ จะช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร
           จิตมุ่งมั่นเป็นธรรมะของพุทธะ  เจตนาดำริเป็นธรรมะของเทพยดา  ใจเป็นธรรมะระดับคน  ชอบใช้อารมณ์คือธรรมะระดับผี  พอใช้อารมณ์พลังเทพยดาก็กระจาย  พอตั้งจิตมุ่งมั่นพลังพุทธะก็มาถึง  หากธรรมะระดับผีไม่มีความสว่างจะไม่รู้จักใฝ่ความเป็นคน  เข้าไม่ถึงธรรมะของความเป็นคนจะไม่รู้จักเทพยดา  ธรรมะของเทพยดาไม่ชัดแจ้งจะไม่รู้จักพุทธะ
            คนหากฟื้นฟูจิตญาณจากฟ้าได้จะรู้ไปทั่วถ้วนลบล้างเภทภัยไปสิ้น รักษาจิตศรัทธาไว้ให้มั่นทุกอย่างศักดิ์สิทธิ์ปราศจากความทุกข์กังวลทั้งปวง รักษาใจไว้มั่นคงจะเข้าถึงทุกอย่างความยากลำบากไม่มี รักษากายฝึกฝนดีทำงานสุจริตได้ไม่เลือกไปถึงไหนก็มีบุญสัมพันธ์ โลกของพุทธะจะอยู่ตรงหน้า 
            คนที่รู้จักใช้จิตมุ่งมั่นยิ่งเจอสภาพขัดยิ่งเบิกบาน  คนที่รู้จักใช้เจตนาดำริเจตนาสูงส่งเพียงไรพลังมโนธรรมก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น  คนที่รู้จักใช้ใจตนให้เป็นคุณ ใจจะปรับสภาพใช้การได้วิเศษแยบยลไม่รู้จบ รู้จักใช้กายตนให้เป็นคุณทำงานมากมายได้ไม่สาหัส  ตอนที่ฉันเฝ้าสุสานบิดาจนถึงวันที่หนึ่งร้อย เฝ้าจนจิตญาณศักดิ์สิทธิ์ในตนเข้าถึงสามโลก พุทธะอริยเจ้ามาโปรด จิตมุ่งมั่นจริงจังศรัทธาเหล่าพุทธาจึงจะมาชุมนุม เจตนาดำริจริงจังศรัทธาเทพยดาจึงจะมาชุมนุม ใจจริงจังศรัทธาผู้คนจึงจะมาชุมนุม กายทำได้จริงจังสรรพสิ่งจึงจะมาชุมนุม จริงใจศรัทธาในโลกใดโลกนั้นก็จะศักดิ์สิทธิ์
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สี่โลกใหญ่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 10:20
        ฉันคำนึงถึงสวรรค์ นรก ทบทวนวันละไม่รู้กี่รอบ (คนไม่คำนึงถึงจึงทำเรื่องนรกไว้มากมาย) ลูกจะเอาเงินจากฉัน ฉันว่าได้ไม่โกรธ ไม่สุข ไม่ว่ากระไร เพราะอยู่ในโลกจิตมุ่งมั่น  ลูกของคุณสวียุ่ยหลิน เรียกร้องเงินทองจากเขา เขาหัวเราะแล้วว่า"ถ้าพ่อมีเงินไม่ให้เธอแล้วจะให้ใคร แต่เสียดายที่พ่อไม่มี" อย่างนี้เขาเป็นคนในโลกเจตนาดำริ  ลูกชายของหวังกั๋วฮว๋าซึ่งเป็นลูกชายของฉันจดหมายจะมาเอาเงิน หวังกั๋วฮว๋าลูกชายของฉันเดือดดาลมาก ฉีกจดหมายทิ้ง หวังกั๋วฮว๋าลูกชายฉันเป็นคนในโลกของใจ  ลูกชายของถูอย่งเหนียนจะเอาเงินจากพ่อเขาไม่เพียงไม่ให้ ยังเดือดดาลโมโหจนตัวตาย เขาเป็นคนในโลกของกาย
        กายเป็นตัวรับทุกข์ภัย คนกลับจะเชิดชูมันทำทุกอย่างเพื่อกาย เมื่อมีชีิวิตอยู่รักทะนุถนอม เมื่อตายต้องทำศพให้งดงามหรูหราใส่หยกใส่ทอง เพื่อรักษาเนื้อกาย จึงเกิดการขุดคุ้ยสุสานขึ้น ชาวโลกช่างโง่แท้ รูปวัตถุมีหรือจะไม่เสื่อมสภาพ กายเป็นวัตถุธาตุรับทุกข์ภัย เสียแล้วก็ล่มสลายไม่เป็นแก่นสารเรียกว่าเสียเปล่า หมดสิ้นไปจึงจะหมดทุกข์ภัย ปรนเปรอให้มันเสพสุขจะพ้นโทษได้อย่างไร ชาตินี้ไม่จบสิ้นยังจะต้องเวียนว่าย
        ใจก็คือมาร สำแดงตนไปทุกแห่ง ครุ่นคิดไปหมื่นพันฟุ้งซ่านเกินตัว คือมารก่อกวนใจ เป็นทุกข์กังวล พลุ่งพล่านโกรธแค้นคือมารก่อกวนจิตญาณ เกียจคร้านชอบเที่ยวแตร่เสเพล อบายมุขเต็มตัวคือมารก่อกวนกาย โทษร้ายของมารทำให้สะท้าน โชคดีที่ฉันรู้ตื่นได้เร็วจับเค้นใจให้มันตายดับ (หมดสิ้นอยากใคร่) เอาจิตมุ่งมั่นเป็นหลักจึงพ้นทุกข์ได้สุข
         ฤดูใบไม้ผลิก่อเกิดให้ดูเมล็ดพันธุ์  ฤดูร้อนกุก่องให้ดูต้นกล้าถ้าเมล็ดพันธุ์ดี 60% ปลูกลงดินจะงอกงามเจริญเติบโตได้ดี แต่พอถึงฤดูผลัดใบกวาดเก็บกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ลีบ แคระเกร็น เมล็ดพันธุ์ลีบแคระเกร็นจะร่วงหล่นลงดินก่อนเก็บเกี่ยว ปีถัดไปที่ผืนนั้นก็จะไม่มีเมล็ดพันธุ์ที่ดีก่อเกิด ชาวโลกที่ทำการด้วยใจ ก็คือเมล็ดพันธุ์ที่ไม่งอกเงยได้
        คนสมัยนี้ล้วนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ลีบ แคระเกร็น โลกจะไม่ยุ่งเหยิงได้อย่างไร ไม่พอใจเกิดอิจฉาตาร้อนเสียแล้ว เจตนาดำริเหมือนลูกบอลมีรูรั่วเพียงเท่าปลายเข็มลมก็รั่วไหล จิตญาณเป็นฐานหลัก  จิตมุ่งมั่นเป็นต้นราก เป็นต้นรากของสรรพสิ่ง ต้นรากอุปมาสายฝนชะโลมมิได้เจาะจง แต่สาลี่โดนฝนจะเปรี้ยว ชะเอมโดนฝนจะหวาน
        จิตมุ่งมั่นอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน อุปมาดั่งฝนชะโลมให้ (ให้อย่างเดียวกัน ผลของผู้รับต่างกัน) เราพิจารณาดูปฏิบัติการของคนโบราณจะต้องรู้ว่าท่านใช้จิตมุ่งมั่น เจตนาดำริ ใจ กายปฏิบัติอย่างไรจึงบรรลุธรรม เช่น ท่านมารดาเมิ่งสอนลูกด้วยเจตนาดำริท่านเมิ่งจื่อจึงบรรลุความเป็นอริยปราชญ์จรรโลงธรรม ท่านมารดาซันเหนียงสอนลูกก็ใช้เจตนาดำริจึงได้ธรรมะ  ส่วนมารดาเซวียคุนเจี๋ย กับไป๋โสว่คุนแม่บ้านของฉันเข้าถึงธรรมะจากการใช้ใจจัดการกับครอบครัว (จึงวุ่นวายไปตามอารมณ์)
        เอาละ ๆ จบสิ้นไปหนึ่งคน ดีไปหนึ่งคน ดีไปหนึ่งคน เบิกบานใจไปหนึ่งคน แต่ก็มีที่กาย ใจวางไม่ลง มีที่ใจกับเจตนาดำริวางไม่ลงและเจตนาดำริกับจิตมุ่งมั่นวางไม่ลง
        คนอยู่ใกล้แต่ไกลกันคือโลกของใจ (หมางเมิน)  คนอยู่ไกลแต่ใกล้กันคือเจตนาดำริ (อุดมคติ) ส่วนเทพยดานั้นคนใกล้(ด้วยกาย)จะไกล คนไกล(ใจถึง)จะใกล้ พุทธะนั้นจะไกลไปหมดแต่ไกลก็ดั่งไม่ไกล เหมือนผู้คนที่พูดกับฉันว่า บัดนี้เป็นคนใกล้(ใจถึง)หมดแล้วไม่ใช่หรือ
         เจตนาดำริเป็นเทพยดาศรัทธามั่นไว้อย่าให้กระจายไปกล่อมเกลารักษา นานวันเข้าก็จะเหมือนเทพยดาไปเอง เทพยดายิ่งใหญ่ร่วมอยู่ในฟ้าดินเรียกท่านที่ใหนก็มีท่านที่นั่น ใครเรียกใครก็ได้ความศักดิ์สิทธิ์ เจตนาดำริเป็นแสงตะวันส่องความมืดให้กระเจิงไปกำจัดตัณหาหน้ามืดได้ หลักธรรมฟ้าย่อมแพร่หลาย
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : สี่โลกใหญ่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 11:36
        จิตวิสัยสัญญาความจำปรับแปรไปได้แล้วก็คือเจตนาดำริ เราจะปรับแปรโลก เบาๆก็คือใช้เจตนาดำริ หนัก ๆก็ใช้จิตมุ่งมั่น ใช้จิตมุ่งมั่นได้บาปเวรในอดีตก็จะลบล้างได้หมดสิ้น แต่ถ้ามารถึงตัวเธอจะต้องมีสมาธิหนักแน่นจริง ๆ จิตมุ่งมั่นสั่นคลอนเพียงนิดเดียวบาปเวรนั้นก็จะเป็นเมล็ดพันธุ์ต่อไป คนจะรักษาตนดำเนินธรรมจะต้องเคร่งครัดระมัดระวัง คนในโลกจิตมุ่งมั่น หากจิตมุ่งมั่นล้มลง ภาวะจิตก็จะตกไปสู่โลกของกาย คนในโลกเจตนาดำริพอพลาดเท้าก็จะตกไปสู่โลกของใจ
         ใคร่จะมั่นคงอยู่ในโลกของจิตมุ่งมั่น จะต้องเอาทั้งสามโลกประคองคุ้มอุ้มชูกาย เริ่มแรกจะต้องกำหนดพื้นฐานให้มั่นคง เช่นคนที่เป็นครูก็จะต้องศึกษาค้นคว้าธรรมะของการสอนหนังสือ เข้าใจหลักหนังสืออย่างปรุโปร่ง พื้นฐานย่อมมั่นคงอยู่ได้แน่นอน
          คนหากมั่นคงอยู่ในโลกของจิตมุ่งมั่น ไม่สั่นคลอนไม่ต้องไปแสวงหาพระพุทธะที่ไหน พระพุทธะก็จะมาหาเธอเองแต่หากเธอมั่นคงอยู่กับจิตมุ่งมั่นไม่ได้ แม้จะวอนขอต่อพระพุทธะทุกวันพระองค์ก็ไม่สนใจเธอเพราะหากเธอเจอเรื่องดีก็จะชอบใจ อย่างนี้เท่ากับเธอถูกมารของเรื่องดีทำให้ล้มเสียแล้ว ตรงข้ามพอเจอเรื่องไม่ดีจะเป็นทุกข์ เท่ากับเธอถูกมารร้ายทำให้ลืม แต่หากเธอขึ้นไปถึงโลกของจิตมุ่งมั่น เรื่องดีเรื่องร้ายล้วนไม่หวั่นไหว จะถูกหรือผิด จิตญาณสงบมารกลับจะช่วยให้เธอบรรลุพุทธะ
         ผู้บำเพ็ญธรรมกลัวการแปดเปื้อน จึงออกห่างหลีกเลี่ยงจากโลกโลกีย์ หารู้ไม่ว่าฝุ่นโลกีย์อยู่ที่ใจมิได้อยู่ที่กายภายนอก แต่จะอยู่ที่กายภายใน ในใจจะมีฝุ่นโลกีย์ไม่ได้ ภายนอกกายไม่อาจปราศจากฝุ่นโลกีย์ ไม่หลงมัวเมา ไม่แปดเปื้อน แม้มารถึงตัวก็ไม่เสียใจ ถูกปรักปรำก็ไม่ขัดเคืองใจจะได้หรือเสีย จะทุกข์หรือสุขล้วนสงบใจไม่ไหวคลอน จึงจะเป็นคนในโลกจิตมุ่งมั่น
         ใจตายแล้วจึงอาจปรับแปรจิตวิสัยได้ จิตวิสัยสัญญาความจำปรับแปรได้แล้ว จากนั้นเจตนาดำริจึงจะศรัทธาจริงแท้ เจตนาดำริศรัทธาจริงแท้แล้ว จากนั้นจิตมุ่งมั่นจึงจะจริงแท้ นี่เป็นหลักแน่นอน แรกทีเดียวฉันกำหนดตนอยู่ในโลกเจตนาดำริจนเกิดภาวะศักดิ์สิทธิ์ได้ดังกล่าว ฉันยังว่าน้อยไปจึงตั้งปณิธานอีก ให้อยู่บนจิตมุ่งมั่นตั้งแต่นั้น ทุกอย่างไม่พูด ไม่ว่า ไม่อยากได้เงินทอง ไม่จับจ่ายเงินทอง ตั้งหน้าตั้งตาพูดแต่ธรรมะ ทุกอย่างแสวงได้จากธรรมะ มีชีวิตอยู่กับธรรมะ ตายก็จะตายอยู่กับธรรมะ
         ใช้ใจมุ่งมั่นจะต้องเริ่มจากที่ใกล้ ฉันใกล้ชิดกับใคร ก็จะทำการรู้แจ้งต่อธรรมะของผู้นั้นเสียก่อน รู้จิตวิสัยธาตุแท้ของเขาเสียก่อนช่วยเขาขึ้นมาได้ให้เขายอมรับนับถือ จึงจะถือว่าได้ใช้จิตมุ่งมั่นแล้ว เริ่มจากหนึ่งคนสองคนยอมรับนับถือ ต่อไปก็เป็นร้อยพันคนอย่างนี้จึงจะเรียกว่าใช้จิตมุ่งมั่นจริง
         ใช้จิตมุ่งมั่นครองตนจะไม่พูดไม่รวนเรเปลี่ยนใจด่าทอฉันคือส่งเสริมฉัน หลอกลวงฉ้อฉลฉันคือส่งเสริมฉัน แม้แต่ฆ่าฉันก็ยังเป็นการส่งเสริมฉัน เช่นเดียวกับที่จอมทัพงักฮุยถูกสำเร็จโทษ ก็เพราะทรราชฉินไคว่ ส่งเสริมใส่ร้ายให้บรรลุ
         เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่ช่วยคน ผีทำหน้าที่ก่อกวนรังควาน หากกำหนดจิตมุ่งมั่นไว้ได้ไม่สั่นคลอน ไม่เพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพยดาจะอารักษ์ ผีก็ยังจะอารักษ์ เพิ่มพูนพลังแก่เราในทางตรงกันข้าม จิตมุ่งมั่นจะต้องสูง เจตนาดำริจะต้องยิ่งใหญ่ ใจจะต้องราบเรียบ กายจะต้องน้อมต่ำ
         พระศาสดาทุกศาสนาไม่มีท่านใดที่ไม่เอาจิตมุ่งมั่นเป็นหลัก ท่านขงจื่อถูกกักล้อมให้อดอาหาร แต่ท่านยังสุขสำราญเป็นปกติ  พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนสามวัน กลับฟื้นคืนชีพมาช่วยชาวโลก พระผู้มีพระภาคเจ้าในครั้งที่เสวยพระชาติเป็นฤาษีกษานติวาทิน ถูกพระเจ้ากลิงค ตัดหู ตัดจมูก ตัดแขน พระองค์ยังโปรดว่า"หากเราบรรลุจะโปรดท่านเป็นคนแรก" ชีวิตจิตใจเช่นนี้เป็นอย่างเดียวกันหรือมิใช่ล่ะ ฉันจึงว่า รูปแบบของแต่ละศาสนา แม้จะดูต่างกันแต่ขวัญวิญญาณเป็นเช่นเดียวกัน หากรังเกียจเดียดฉันท์แบ่งแยกกันก็จะไม่ถูกต้อง
        ถ้าเข้าถึงโลกของจิตมุ่งมั่นแล้วจริง ๆ ไฟโทสะจะดับสิ้นเหลือแต่ความเบิกบานใจที่แท้จริง   
หัวข้อ: Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ตั้งความมุ่งมั่น
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/09/2010, 13:55
        เมื่อครั้งยังเยาว์วัยได้ยินญาติเพื่อนพ้องคุยกันเสมอว่าปู่กับพ่อของฉันล้วนเป็นคนร่ำเรียน ปู่ทวดของฉันได้ตั้งชื่อว่า"หนังสือธรรมะ" (ตู้อภิธรรมเคลื่อนที่ ) แต่ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือสักวันเดียว เรียกได้ว่า""บอดหนังสือ"" ต่อไปจะมีหน้าอะไรไปพบบรรพบุรุษในปรโลกได้ คิดถึงตรงนี้ฉันละอายใจนัก จึงได้ตั้งความมุ่งมั่นว่าจะยากจนข้นแค้นเพียงใด ฉันก็จะให้ลูกเรียนหนังสือให้ได้ลูกชายฉันจึงได้เข้าโรงเรียนตั้งแต่แปดขวบ (เร็วมากสำหรับคนสมัยนั้น) ฉลาด เรียนไว ได้รับคำชมจากครู
        ฉันเห็นคนแต่ก่อนคนภายหลังได้เล่าเรียนกันอย่างนี้แล้ว ฉันจะไม่ก่อตั้งโรงเรียนได้อย่างไร ฉันจึงตั้งจิตปณิธานต่อตนเองว่าฉันจะไม่เล่าเรียนไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อฉันอายุสามสิบแปดปีเป็นต้นมา ฝึกพูดหนังสือธรรมะ ต่อมาได้รู้จักอักษรบางตัว ยังฝึกพูด(อ่าน)หนังสือธรรมะให้สาธุชนศึกษาคุณธรรมกัน คิดขึ้นมาแล้วเบิกบานใจแท้ เหล่านี้ล้วนเกิดได้จากการตั้งความมุ่งมั่น
        คนมักจะพูดว่า จะต้องมีกุศลมูลใหญ่ พลังใหญ่คืออย่างไรหรือ เมื่อยังเยาว์วัยฉันเป็นคนงานรับจ้าง ได้ยินเขาว่ามโนธรรม "สามก๊ก" ว่ากวนกงถูกจับเป็นเฉลยในค่ายโจโฉ ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจให้เป็นพวกแตกวนกงจงรักภักดีมีมโนธรรมยิ่ง ก่อนจะหนีศรัตรูไปยังคิดว่า"" แม้ยังไม่ได้สร้างความดี (คืนสนอง) สักเล็กน้อยจะไม่ออกจากค่ายโจโฉ (ที่กักกันอย่างยกย่อง)""
        ฉันจึงตั้งจิตมุ่งมั่น "ไม่ว่าจะรับจ้างทำงานแก่บ้านใดแม้ยังมิได้สร้างความดี (คืนสนองนายจ้าง)จะไม่ออกจากค่ายโจโฉ (ที่กักกันทำงาน) เช่นกัน ตั้งจิตมุ่งมั่นก็คือ""กุศลมูลใหญ่""  บุคลากรใหญ่คือทำการใดจะต้องคิดว่าจะผลักดันความดีนี้ไปทั่วโลกได้ไหม ถ้าได้จะได้เผยแพร่หลายไปสู่ทุกคนทำเช่นนี้จึงเป็น""บุคลากรใหญ่"" แต่คนเดี๋ยวนี้ผิดพลาดที่เห็นอิทธิพลเป็นบุคลากรใหญ่ คิดผิดมหันต์
         เมื่อตอนที่ฉันอายุสามสิบห้าปี ก็รู้แล้วว่าโลกโลกียะจะถึงวาระสุดท้ายแล้ว ภายหน้าจะเป็นโลกโลกุตตระ สองโลกจะต่างกันมาก ผู้ที่ใส่ใจแต่ลูกเมียตน ก็คือคนในโลกโลกียะ ผู้ที่ไม่ใส่ใจส่วนตนแต่มุ่งทำเพื่อสวัสดิการส่วนรวมเท่านั้นจึงจะเป็นคนในโลกุตตระ เมื่อฉันอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีรับจ้างทำงาน เห็นพี่น้องเขาแตกแยกครอบครัว ใช้อาวุธมีดพร้าจะเข่นฆ่าแย่งชิงสมบัติกัน ที่ถึงตายก็มี ฉันแอบคิดอยู่ในใจ พวกเขาแย่งชิงกันเพื่อใครหรือ ครุ่นคิดพิจารณาอยู่หนึ่งวัน ทันใดก็เข้าใจชัด อ้อ!!เขาแย่งชิงเพื่อลูกเมีย  ขณะที่คิดได้ ฉันกำลังหาบปุ๋ยมูล ฉันโยนหาบปุ๋ยลงบนกองมูล ตะโกนว่า"ฉันจะต้องเป็นคนพิเศษกว่าใครๆให้ได้ (ไม่แย่งชิง) เพื่อนร่วมงานที่หาบตามกันมาพากันค้อนฉัน เขาไม่รู้ว่าฉันกำลังกระอักใจเรื่องอะไร จนกระทั่งฉันอายุสามสิบแปดปี ไว้ทุกข์เฝ้าสุสานบิดาจึงพูดกับภรรยาว่า""จากนี้ไปฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องวุ่นวายทางบ้านของพวกเธออีกแล้ว""
         พอครบกำหนดวันเฝ้าสุสาน ฉันก็ทำหน้าที่ของฟ้าด้วย การพูดธรรมะเตือนใจให้ใฝ่ศึกษาเป็นกิจวัตร จนบัดนี้สามสิบปีผ่านมา  ที่อำเภอจิ่นซี หมู่บ้านเมิ่งเจีย  ทำการซ่อมแซมศาลบูชาจอมมารดาเมิ่ง มารดาของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ เป็นโครงการยิ่งใหญ่มโหฬาร ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว ฉันไปเที่ยวชมปูชนียสถานนั้น ได้พบผู้จัดการศาลบูชาแห่งนี้ ท่านชื่อว่า เมิ่งเหล่าเฟิง ฉันน้อมคารวะท่านด้วยความเคารพยิ่ง (ที่ท่านแซ่สกุลเดียวกับท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ ) ท่านเมิ่งเหล่าเฟิงไม่แยแส ฉันพูดด้วยก็ไม่ตอบ ออกจากศาลบูชา ฉันตั้งจิตมุ่งมั่นว่า"ถือดีว่าตระกูลเมิ่งของตนได้ให้กำเนิดอริยะ จึงวางท่ายโสโอหังดั่งนี้ ตระกูลแซ่หวังของเราไม่กำเนิดอริยบุคคลได้บ้างก็ให้มันรู้ไป" ฉันจึงตั้งความมุ่งมั่นจะเริ่มเรียนรู้ความเป็นอริยะให้ได้ คนรอบข้างยิ้มเยาะฉันว่า"จะตามทันหรือ (อายุมากไม่ได้เล่าเรียน) ฉันตอบว่า"ตามไม่ทันก็จะตาม ได้กี่ก้าวก็ยังดี"
         ฉันได้ยินเขาอรรถาคัมภีร์ทางสายกลาง (จง-อยง ) ประโยคหนึ่งว่า ""ผู้มีความกตัญญูนั้นสามารถยิ่งต่อการสืบสานจิตมุ่งมั่น สามารถยิ่งต่อการสาธยายปฏิปทาท่าน"" นั่นคือทำตามบรรพบุรุษตน ฉันว่าน่าจะขยายขอบข่ายไปถึง"ท่าน"อื่น ๆ ที่เป็นแบบอย่างด้วย ฉันได้ยินเรื่องราวที่"หยังเจี่ยวไอ สละชีวิตทั้งหมดให้" (ประวัติพิมพ์อยู่ในหนังสือ"ใครกำหนด"ชุดที่สี่ หน้า๗๑ ในเรื่องกัลยาณมิตร ) ฉันสืบสานจิตมุ่งมั่นนั้นไปช่วย นักบุญหยังป๋อ สหายธรรม ให้พ้นจากถูกจองจำ
          ฉันสาธยายเรื่องราวนี้ทำตามความจริงใจนี้ฉันจึงเปลี่ยนจากโง่เขลาเป็นสว่างปัญญา จิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์ใครจะสืบสานไม่ได้หรือไร สืบสานจิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์พระองค์ใด จะไม่ใช่ลูกกตัญญูหรือ (สืบสานทุกพระองค์ได้ไม่จำกัด)
          โลกยุคปัจจุบันพระพุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสากลโลกล้วนอยู่ในโลกมนุษย์ มิได้หมายความว่ามาเกิดกาย แต่หมายความว่า"ใครจริงจังประกบอยู่กับจิตมุ่งมั่นเยี่ยงพระองค์ใดแสงญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นก็จะประกบอยู่ในจิตญาณหรือมาถึงผู้นั้นอย่างจริงจัง ไม่ว่าพุทธะ อริยะ ปราชญ์ เมธี โพธิสัตว์
          เมื่อมีเหตุอันใดเราก็จะเรียนรู้ได้จากท่านนั้น พระองค์นั้น เหมือนเราเป็นตัวแทนแต่ละท่าน แต่ละพระองค์ ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า "ทุกคนล้วนเป็นอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น ได้) ก็คือบอกให้ทุกคนประกบญาณจริงจัง (ดั่งช่วงชิง)กับจิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์ สามัญชนไม่รู้จักจะช่วงชิงจิตมุ่งมั่นดังนี้ จึงต้องเป็นสามัญชนอยู่ตลอดกาล
          ลองถามตนเอง  ทั้งหมดนี้  มีสักกี่ข้อ  ที่เราทำได้
 
  :}  หมายเหตุท้ายเล่ม  
          ท่านเจิ้งจื่อตง  ผู้รวบรวมคติพจน์ของท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ ด้วยความซาบซึ้งเคารพรักยิ่ง เจริญรอยตามปฏิปทาอรรถาธรรมสืบต่อ สร้างโรงเรียนสงเคราะห์  สร้างสถานอภิบาลผู้สูงวัย  ท่านพูดเสมอว่า""จะอยู่กับธรรมะ ตายกับธรรมะ"" ปีหมินกั๋วที่ ๖๒ เดือน ๘ ท่านป่วยถูกสหายธรรมนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ถามว่า "ท่านไม่สบายตรงใหน" ท่านตอบเรียบ ๆ อารมณ์ดีตามปกติว่า""ตั้งแต่ป่วยมา ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าไม่สบาย ยังกลับมีความสุขจริง ๆ "" ว่าแล้วก็หัวเราะเบิกบาน ท่านตายกับธรรมะ ไม่มีใครโศรกเศร้าอาดูร สภาพของท่านเหมือนคนแก่ใจดีที่หลับสบาย
หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : คำพูดหนึ่งบันดาลใจ จิ่งเอี๋ยง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/12/2010, 13:17

      ลูกชายคนที่สามคหบดีเฉิง ชื่อจิ่งเอี๋ยง เป็นโรคเกี่ยวกับตา ขณะที่เข้าฟังธรรมได้ยินข้าพูดว่า "ข้าดูโลกเรานี้น่าขำสิ้นดี ไม่บังคับกวดขันเมีย ก็บังคับกวดขันลูก และบังคับกวดขันแม้กระทั่งพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว จนกระทั่งเพื่อนสนิท มิตรสหาย ขอให้มีความเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น ก็จะเข้าถือศิษย์บังคับกวดขัน แต่แปลกที่ไม่รู้จักบังคับกวดขันตัวเองบ้าง ทำราวกับว่า ตัวเองเท่านั้นที่อยู่ในสายตา เพราะตัวเองมิอาจบังคับความโกรธอารมณ์ตนได้ ยามโกรธตาก็โตแดงก่ำก็จะเริ่มปวดตา  ร้องเรียกหาบุพการี ถึงยามนี้จะบังคับตนก็บังคับไม่ได้อีกแล้ว จะบังคับไม่ให่เจ็บปวดก็ไม่ได้ ฉะนั้นคนที่มีธรรมแล้ว เขาจะรู้จักบังคับกวดขันตนก่อน ต้องบังคับไม่ให้อารมณ์ตนเองเกิดขึ้น จึงจะนับว่าเป็นคนดี
     คนปัจจุบันนี้ เพียงแค่กินเจก็ถือว่าตัวเองเป็นคนดี ซึ่งความเป็นจริงแล้วการกินเจหมายถึงเป็นไปโดยหลักธรรมชาติ เพราะเราไม่กินเขา เขาก็ไม่กินเรา จะมีคุณความดีอะไรที่น่าได้ ในเมื่อไม่กินสิ่งนั้น ก็คือเรากั้นกำแพงขวางสิ่งนั้นแล้ว เมื่อไม่กินเนื้อ ก็คือกั้นกำแพงขวางกั้นกับสัตว์เดรัจฉานแล้ว
    คำพูดนี้ที่บันดาลใจเฉิงจิ่งเอี๋ยง ทำให้ตัดสินใจกินเจ และติดตามเขาไปฝึกฝนปฏิบัติธรรม และต่อมาได้มาถึง  "เหอเป่ย บุกเบิกแปรเปลี่ยนสู่วัฒนธรรมที่ดีงาม และอาสาเป็นผู้บรรยายธรรมประจำที่ ธรรมศึกษาเทียนจิน ที่สุดก็เป็นครอบครัวที่มีคุณธรรมโดยสมบูรณ์แบบ
    บทแทรก  ธรรมศึกษาฮูหลัน
    เผยฉงเหวียน ชื่อเล่นเฮว่ยชิง ชาวฮูหลัน เป็นคนใจบุญชอบทำทานเมื่อถึงสิ้นปี ผู้เช่าทำนามาจ่ายข้าวเป็นค่าเช่า เขาก็จะต้อนรับขับสู้ยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่เคยตรวจของเลยว่าค่าข้าวที่ให้มาครบหรือไม่ ดีหรือไม่ดี หากปีใดแห้งแล้งเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล เขาก็จะยกเลิกค่าเช่าปีนั้น เมื่อถึงเทศกาลไหว้เจ้าปลายปี เขาก็จะนำเอาสัญญาเช่าออกมาเผา โดยไม่ดูว่า สัญญาเช่าฉบับใดยังมีผลหรือไม่
    เขาได้เปิดธรรมสถานขึ้นก่อน จากนั้นได้เป็นนายกสมาคมธรรมสถานนี้ เมื่อได้ข่าวว่าท่านหวังเปิดโรงเรียนธนนมสตรีขึ้น จึงไปร่วมสังเกตุการณ์ทั้งที่เมืองฟง และจี๋ สองแห่ง และต่อมาได้เปิดโรงเรียนธรรมสตรีที่ ฮูหลัน
หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋ : ยอมสละตนสู้ทน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/12/2010, 13:35

     ข้าใช้จางเจียอวนข่งเจ้อ ที่เต๋เเฮว่ย เป็นที่อบรมฝึกสอนในช่วงปิดเทอมเพื่อศึกษาพิเคราพห์หลักคุณสัมพันธ์ มีผู้เข้าร่วมฟังเต็มห้อง จนต้องแบ่งชั้นออกไปเป็น 4 มณฑล ที่ เย่อ ฟง จี๋ และ เฮวย ด้วยเหตุดังนี้ทำให้สมาคนการกุศลนี้ก็แพร่เข้าไปถึงหมู่บ้าน ข้ารับผิดชอบในการอบรมธรรมแห่งสตรี คนก็กระตือรือร้นเข้าฟังกันและนายกสมาคนที่ชื่อ ปี๋เฮว่ยชิเคยเป็นทหารมาก่อนเป็นคนมุทะลุเห็นว่าการอบรมของเราจะทำให้กระเทือนต่อความเจริญของสมาคม ก็สั่งคนมาจับข้าพร้อมกับประนามต่อหน้าว่า "เจ้าเป็นคนชาวนา คนป่า คนดง มีความรู้อะไรที่กล้าอวดดีมาก่อกวนสังคมของเรา ข้าไม่กำจัดเจ้าไป เป็นไม่ได้การ" พวกที่ติดตามข้าไป ต่างก็ไม่ยอม จึงเกิดการโต้เถียงกัน จนเกือบจะชกต่อยกัน ข้าก็ว่าต่างคนต่างมีความตั้งใจ น้ำในบ่อกับน้ำในแม้น้ำก็ไม่เกี่ยวกันอยู่แล้ว ต่างคนก็ต่างมีมุมมองแตกต่างกันไป ความเห็นก็ย่อมไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าต่างคนก็ต่างปฏิบัติตามทางของตนก็ดีแล้ว จะมาหาเรื่องกันทำไม เมื่อพูดจบก็เดินจากไปอย่างนอบน้อม
    นึกไม่ถึงสามวันให้หลัง นายกสมาคนปีี้ มาขอลุแก่โทษต่อข้า จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า คนเราจะต้องมีจิตใจที่มั่นคง เมื่อเจอสิ่งยุ่งยากใจ จิตเราก็ไม่หวั่นไหว ก็จะเป็นที่บันดาลใจคนได้