นักธรรม

ธรรมวิถี อนุตตรธรรม => เพลงธรรมะ พระโอวาทฯ => เพลงธรรม ทำนองเพลงไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: tik ที่ 18/06/2010, 19:17

หัวข้อ: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 19:17
เพลงพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ประทานโดย : สงฆ์จี้กงวิปลาส      
ทำนอง : นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)


     บุญนิธิอันบวร
จิตสังวรโพชฌงค์เพียร  
จิตสัมมาทิฐิอย่าเพี้ยน
ร่ำเรียนธรรมรู้ชีวิตแท้พุทธา

     *อสงไขยกาลเวลา
เกิดตายมาเวทนา
อวิชชา กิเลสแน่นหนา
แจ้งปัญญา สัมปทาจริง อนัตตา

     **สัปปุริสธรรม เข้าใจได้แตกฉาน
โมกขธรรม มรรคาเดินมุ่งมั่น
ศานตรสว่างวางในวิจิกิจฉา  
ตื่นจากความ...ขลาดเขลาอภิชฌา
พ้นคืนเบื้องบน  (ซ้ำ*,**)

     อริยทรัพย์หมั่น...สั่งสม ไร้ยึดครอง  
เปลื้องใน...เวรกรรมคลี่คลาย

_______________________________________________________
ประทานไว้เนื่องในโอกาสประชุมธรรม 2 วัน  
ณ พุทธสถานไท่ซิว  จ.กรุงเทพมหานคร
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2553
สายธรรม ฟาอีฉงเต๋อ
Credit : ฉงเต๋อเว็บบอร์ด



หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 19:44
สัปปุริสธรรม  ๗

            ๓.๑  ความหมาย

            คำว่า  สัปปุริสธรรม  แปลว่า  ธรรมะของคนดี  หมายความว่า  ผู้ใดมีธรรมเหล่านี้แล้ว        ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนดี

            คนดีที่พระพุทธศาสนายกย่อง  มิได้เป็นคนงมงายหรือเป็นคนซื่อจนเซ่อ  แต่เป็นคนฉลาดมีเหตุผล  รู้จักใช้ความคิด  วางตัวได้ดีและมีมนุษย์สัมพันธ์เหมาะสม

           

            สัปปุริสธรรมมี  ๗ ประการ  ดังนี้

            ๑)  อัตถัญญุตา  คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์สาเหตุของสถานการณ์และความเป็นไปของชีวิต

            ๒)  ธัมมัญญุตา  คือ  ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์สาระและผลอันเกิดจากสาเหตุดังกล่าว

            ๓)  อัตตัญญุตา  คือ  ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์ตนเองทั้งในด้านความรู้  คุณธรรม และความสามารถ

            ๔)  มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักหลักของความพอดี  การดำเนินชีวิตพอเหมาะพอควร 

            ๕)  กาลัญญุตา  คือ  ความเป็นรู้จักปฏิบัติตนให้ถูกกาลเทศะ

            ๖)  ปริสัญญุตา  คือ  ความเป็นผู้รู้ปฏิบัติ  การปรับตนและแก้ไขตนให้เหมาะกับสภาพของกลุ่มและชุมชน

            ๗)  ปุคคลัญญุตา คือ  ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคลที่มีความแตกต่างกัน
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 19:46
บุญนิธิ (อ่านว่า บุนนิทิ) แปลว่า ขุมทรัพย์คือบุญ

บุญนิธิ หมายถึงบุญที่ทำสะสมไว้มากๆ จนพอกพูนเป็นบุญกองใหญ่ ท่านเปรียบบุญเหมือนกับขุมทรัพย์ด้วยเหตุผลว่า ขุมทรัพย์นั้นสามารถนำประโยชน์มาให้แก่ผู้เป็นเจ้าของได้มาก เช่นนำมากินใช้ นำมาปกป้องกำจัดปัดเป่าอันตรายทั้งปวงได้ และอยู่กับที่ไม่ถูกทำลายได้ง่าย บุญก็มีลักษณะเช่นนั้น คือเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้ทำ โจรลักไปไม่ได้ น้ำท่วมไม่ได้ ติดตามอำนวยผลให้ผู้ทำไปทุกภพทุกชาติ ทำให้เจ้าของบุญได้เสวยผลบุญตลอดเวลา ทำให้ได้สมบัติที่ชอบใจทั้งปวง ทำให้ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ และทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ แม้ความปรารถนาจะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จได้ด้วยบุญนิธิ




[แก้] อ้างอิง
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548

Credit : จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B4
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 19:59
โพชฌงค์ ๗

คำว่า โพชฌงค์ นั้นตามศัพท์แปลว่าองค์คุณ หรือองค์สมบัติแห่งความตรัสรู้

พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายไว้ว่า เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ คือธรรมะที่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ เรียกว่าโพชฌงค์ ซึ่งมี ๗ ประการ อันได้แก่

สติโพชฌงค์ หรือ สติสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์คือสติ

ธัมมวิจยโพชฌงค์ หรือ ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์คือธัมมวิจยะเลือกเฟ้นธรรม

วิริยะโพชฌงค์ หรือ วิริยะสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์คือวิริยะความเพียร

ปีติโพชฌงค์ หรือ ปีติสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์คือปีติความอิ่มเอิบใจ

ปัสสัทธิโพชฌงค์ หรือ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์คือปัสสัทธิความสงบรำงับ

สมาธิโพชฌงค์ หรือ สมาธิสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์คือสมาธิความตั้งใจมั่น

อุเบกขาโพชฌงค์ หรือ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์ หรือ สัมโพชฌงค์ คืออุเบกขาความเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ สงบอยู่ในถายใน

รวมทั้ง ๗ ประการ

อาหารของโพชฌงค์ ๗

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอาหารของโพชฌงค์หรือสัมโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการนี้ไว้ ว่าเหมือนอย่างร่างกายต้องอาศัยอาหาร แม้โพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ก็ต้องอาศัยอาหาร จึงจะบังเกิดขึ้นเจริญขึ้น และอาหารของโพชฌงค์หรือสัมโพชฌงค์นี้ก็มี ๒ อย่าง คือ อาหารที่จำเพาะข้ออย่างหนึ่ง อาหารที่ทั่วไปแก่ทุกข้ออย่างหนึ่ง

สำหรับอาหารที่ทั่วไปทุกข้อนั้นได้แก่การทำไว้ในใจ การกระทำให้มากโดยแยบคาย เรียกตามศัพท์แสงว่า โยนิโสมนสิการ พหุลีการ

มนสิการ ก็คือทำไว้ในใจ พหุลีการ ก็คือการกระทำให้มาก โยนิโส ก็คือโดยแยบคาย ได้แก่โดยพิจารณาให้จับให้ได้ถึงต้นเหตุ อันหมายถึงว่าจับเหตุจับผล จับต้นจับปลายให้ถูกต้อง

ส่วนอาหารจำเพาะข้อนั้น

ข้อที่ ๑ คือ สติ ตรัสแสดงเป็นกลางๆ ว่า ธรรมะทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งของสติ

ข้อที่ ๒ ธัมมวิจยะ หรือธรรมวิจัยเลือกเฟ้นธรรม ตรัสแสดงว่าคือธรรมะที่เป็นกุศลเป็นอกุศล ที่มีโทษไม่มีโทษ ที่เลวที่ประณีต และที่มีส่วนเทียบได้กับสีดำสีขาว

ข้อ ๓ วิริยะ ความเพียร ก็ได้แก่ อารัมภธาตุ ธาตุคือความริเริ่ม นิคมธาตุ ธาตุคือความเริ่ม ธาตุคือความดำเนินไป ปรักมธาตุ ธาตุคือความดำเนินให้ก้าวหน้าไปจนถึงที่สุด

ข้อ ๔ ปีติ ตรัสแสดงว่าได้แก่ธรรมะที่เป็นที่ตั้งของปีติ

ข้อที่ ๕ ปัสสัทธิ ตรัสแสดงว่าได้แก่กายปัสสัทธิสงบกาย ปัสสัทธิสงบใจ

ข้อที่ ๖ สมาธิ ตรัสแสดงว่าได้แก่สมาธินิมิต นิมิตคือเครื่องกำหนดหมายแห่งสมาธิ และ อัพยฆะ อันได้แก่ความที่จิตไม่แตกแยกแบ่งแยก แต่มียอดเป็นอันเดียวไม่หลายยอด คือไม่แตกยอดมาก ก็คือจิตที่รวมเป็นหนึ่ง

ข้อที่ ๗ อุเบกขา ตรัสแสดงว่าธรรมะที่เป็นที่ตั้งของอุเบกขา

หลักโพชฌงค์ในหมวดนิวรณ์

คราวนี้มาข้อที่ ๑ อาหารจำเพาะข้อ ได้แก่ธรรมะที่เป็นที่ตั้งของสติ ก็คือว่าสุดแต่จะปฏิบัติในข้อไหน ก็ต้องตั้งสติในข้อนั้น เช่นว่า จะปฏิบัติในข้อนิวรณ์ ก็ต้องตั้งสติกำหนดนิวรณ์ คือต้องตั้งสติกำหนดกามฉันท์ ความพอใจรักใคร่ในกาม คือความชอบในจิตใจที่บังเกิดขึ้น ตั้งสติกำหนดพยาบาท คือความกระทบกระทั่ง หงุดหงิดโกรธแค้นขัดเคือง มุ่งร้ายหมายขวัญ ที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ ตั้งสติกำหนดให้รู้จักถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ ตั้งสติกำหนดให้รู้จักอุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญใจที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ ตั้งสติกำหนดให้รู้จักวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ คือให้รู้จักว่าข้อไหนบังเกิดขึ้นอย่างไรในจิตใจ นี่เป็นสติสถานด้วย เป็นสติปัฏฐานด้วย และสืบต่อเป็นสติสัมโพชฌงค์ด้วย อันนับว่าเป็นข้อแรก

ธรรมวิจยะ เลือกเฟ้นธรรม

จึงมาถึงข้อที่ ๒ วิจัยคือเลือกเฟ้นธรรม ก็คือเลือกเฟ้นธรรมอันได้แก่นิวรณ์ทั้ง ๕ ข้อนี้ทุกข้อ ให้รู้จักว่านิวรณ์ทั้ง ๕ ข้อนี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มีโทษหรือไม่มีโทษ เลวหรือประณีต เป็นสิ่งที่มีส่วนเทียบด้วยสีดำหรือสีขาว เมื่อเลือกเฟ้นดูที่จิตแล้วก็ให้รู้ว่านิวรณ์ทั้ง๕ นี้เป็นอกุศลมีโทษ เลวมีส่วนเทียบด้วยสีดำ ดั่งนี้เป็นธัมมวิจัยคือเลือกเฟ้นธรรม

วิริยะ ความเพียร

จึงมาถึงข้อ ๓ วิริยะคือความเพียร

อันความเพียรนั้นกล่าวโดยย่อ ก็คือ ปหานะ เพียรละอย่างหนึ่ง ภาวนา เพียรอบรมให้มีขึ้นเป็นขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเป็นอกุศล มีโทษ เลว มีส่วนเทียบด้วยสีดำ ก็ควรละ ไม่ควรเก็บไว้ แต่ถ้าเป็นกุศล ไม่มีโทษ ดี ประณีต มีส่วนเทียบด้วยสีขาว ก็อบรมให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น คือรักษาไว้ และอบรมให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ให้เจริญขึ้น นิวรณ์นั้นเป็นอกุศล มีโทษ ดำ มีเป็นอกุศล มีโทษ เลว มีส่วนเทียบกับสีดำ จึงควรละ จึงปฏิบัติละเสีย ดั่งนี้ก็เป็นวิริยะโพชฌงค์หรือสัมโพชฌงค์

ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา

จึงมาถึงข้อ ๔ คือปีติ คือความอิ่มเอิบใจ คือเมื่อละนิวรณ์ได้ก็ย่อมจะมีปีติคือความอิ่มเอิบใจ เพราะว่าจิตใจที่มีนิวรณ์นั้น เป็นจิตใจที่เศร้าหมองไม่ผ่องใส เป็นจิตใจที่เครียด เป็นจิตใจที่มัวซัวไม่แจ่มใส เป็นจิตใจที่ไม่ตั้งมั่น ไม่แน่นอน กลับกลอกคลอนแคลน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีปีติคือความอิ่มเอิบใจ แต่ว่าจิตใจที่ละนิวรณ์ได้ ที่พ้นนิวรณ์ได้แล้ว ย่อมเป็นจิตใจที่ใสสะอาด ที่ผุดผ่อง ผ่องใส จึงบังเกิดปีติคือความอิ่มเอิบใจ ดูดดื่มใจ

จึงส่งถึงข้อที่ ๕ ปัสสัทธิ ความสงบกายความสงบใจ เมื่อกายใจสงบมีสุข ก็ส่งถึงข้อที่ ๖ คือสมาธิ จิตใจก็ตั้งมั่น ไม่ฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย แน่วแน่ เมื่อได้ข้อนี้ซึ่งเป็นข้อที่ ๖ ก็ส่งถึงข้อ ๗ คืออุเบกขา คือความที่จิตเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ในภายในด้วยปัญญา ที่ละยินดีละยินร้ายได้ สงบอยู่ในภายในเป็นอุเบกขา อันเป็นข้อที่ครบ ๗

เพราะฉะนั้น แม้ในข้อนิวรณ์นี้ ก็ต้องอาศัยปฏิบัติตามหลักของโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการนี้ จึงจะเป็นไปในการละนิวรณ์ได้ และได้ผลจากการละนิวรณ์ ตามหลักของโพชฌงค์ดังกล่าว

หลักโพชฌงค์ในหมวดขันธ์ ๕

แม้ในหมวดที่แสดงขันธ์ ๕ ก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนให้กำหนดสติ พร้อมทั้งสติสัมโพชฌงค์ในขันธ์ ๕ ให้รู้จักว่าอย่างนี้รูป อย่างนี้เวทนา อย่างนี้สัญญา อย่างนี้สังขาร อย่างนี้วิญญาณ ( เริ่ม ๑๗๕/๒ ) ก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ ต่อไปก็ให้มีธรรมวิจัยเลือกเฟ้นธรรม ว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นธรรมะที่เป็นกลางๆ คือไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่มีคุณไม่ใช่มีโทษ ไม่ใช่เลวไม่ใช่ประณีต และไม่ใช่มีส่วนเทียบด้วยสีดำหรือสีขาว แต่เป็นกลางๆ

เพราะเป็นวิบากขันธ์ คือขันธ์ที่เป็นวิบาก ซึ่งทุกๆ คนได้ขันธ์ ๕ นี่มาตั้งแต่เกิด ก็อาศัยขันธ์ ๕ นี้เอง ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง เพราะถ้าไม่มีขันธ์ ๕ แล้ว ทุกคนก็ไม่สามารถจะทำดีทำชั่วได้ ต้องอาศัยขันธ์ ๕ จึงทำดีทำชั่วได้ กรรมที่กระทำไปนั้น มีเป็นดี มีเป็นชั่ว แต่ว่าตัวขันธ์ ๕ เองเป็นเครื่องมือ ไม่ดี ไม่ชั่ว เช่นเดียวกับเครื่องมือทั้งหลาย เช่นว่ามีดพร้าซึ่งเป็นเครื่องมือนั้น สุดแต่คนจะใช้ให้เป็นคุณ หรือให้เป็นโทษ เมื่อใช้ในการหัตถกรรมต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการก่อสร้าง หรือในทางอื่นให้เกิดเป็นประโยชน์นั้นๆ ก็เป็นการดี แต่เมื่อใช้ในทางทำร้ายซึ่งกันและกัน ก็เป็นความชั่ว อยู่ที่กรรมที่คนใช้เครื่องมือนี้กระทำขึ้นมา แต่ตัวมีดพร้าที่เป็นเครื่องมือเองนั้นเป็นกลางๆ ไม่ใช่เป็นของดีไม่ใช่เป็นของชั่วดังที่กล่าวแล้ว ฉันใดก็ดี ขันธ์ ๕ ก็ฉันนั้น เป็นกลางๆ

เพราะฉะนั้น หน้าที่ซึ่งพึงปฏิบัติในขันธ์ ๕ นั้น ซึ่งเป็นความเพียร จึงไม่ใช่เป็นความเพียรเพื่อที่จะละ หรือความเพียรที่จะอบรม แต่ว่าเป็นความเพียรที่กำหนดรู้ กำหนดรู้ให้รู้จักว่า ความเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ ความดับไปของขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ คือให้รู้จักธรรมดา อันได้แก่ความเกิดความดับของขันธ์ ๕ นี้เป็นความเพียรอันเป็นวิริยสัมโพชฌงค์

และเมื่อได้ปฏิบัติด้วยความเพียรอันเป็นวิริยสัมโพชฌงค์ดั่งนี้ ก็ย่อมจะได้ปีติ เป็นปีติสัมโพชฌงค์ และก็จะได้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไปโดยลำดับ ฉะนั้นแม้ในหมวดขันธ์ ๕ นี้ วิธีปฏิบัตินั้นก็ต้องใช้วิธีปฏิบัติในโพชฌงค์ ๗ นี้นั้นเอง

หลักโพชฌงค์ในหมวดอายตนะ

และมาถึงหมวดอายตนะก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องใช้สติ เป็นสติปัฏฐาน เป็นสติสัมโพชฌงค์ กำหนดให้รู้จักว่านี่อายตนะภายใน นี่อายตนะภายนอก แล้วก็นี่อาศัยอายตนะภายในอายตนะภายนอกเกิดสัญโญชน์ขึ้นมา นี้เป็นสติสัมโพชฌงค์ ต่อไปก็ให้มีธัมมวิจยเลือกเฟ้นธรรม หรือวิจัยธรรม เป็นข้อที่ ๒ คือให้รู้จักว่าสำหรับตัวอายตนะเองนั้นก็เป็นธรรมะที่เป็นกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เหมือนอย่างขันธ์ ๕ เพราะเป็นวิบากอายตนะ เช่นเดียวกับเป็นวิบากขันธ์ที่ทุกคนได้มาตั้งแต่เกิด แต่ว่าตัวสัญโญชน์นั้นคือความผูกใจ มีลักษณะเป็นความติดใจยินดี เป็นอกุศลธรรม มีโทษ เลว และมีส่วนเทียบด้วยสีดำ เพราะฉะนั้น จึงเป็นข้อที่ควรละ ดั่งนี้ก็เป็นธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ จึงมาถึงวิริยสัมโพชฌงค์ ก็เพียรละสัญโญชน์เสีย และเมื่อเพียรละก็ย่อมจะละได้ และเมื่อละได้ก็ย่อมได้ปีติ ได้ปัสสัทธิ ได้สมาธิ ได้อุเบกขา ไปโดยลำดับ เพราะฉะนั้น แม้ในข้ออายตนะ ๖ นั้น ก็ต้องอาศัยวิธีปฏิบัติคือโพชฌงค์ทั้ง ๗ ดังกล่าวมานี้

ฉะนั้น โพชฌงค์ ๗ จึงเป็นหลักธรรมสำคัญ ซึ่งต้องใช้ปฏิบัติมาตั้งแต่ในเบื้องต้น คือในหมวดสติปัฏฐาน ๔ นี้เอง ที่เป็นมหาสติปัฏฐานสูตร จำแนกแสดงหมวดกายไว้เป็นอันมาก หมวดจิต หมวดเวทนา และในหมวดธรรมะข้อ ๔ นี้เอง เป็นอันมาก ทุกข้อนั้นก็ตั้งต้นด้วยสติปัฏฐาน คือตั้งสติกำหนด และก็เลื่อนขึ้นเป็นสติสัมโพชฌงค์ ต้องใช้โพชฌงค์ทั้ง ๗ ข้อนี้ในทางปฏิบัติสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ทุกข้อมา ตั้งแต่ต้นมาทีเดียว

คือตั้งแต่หมวดอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออกมาทีเดียว ต้องอาศัยหลักปฏิบัติในโพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการนี้มาทุกข้อในเบื้องต้น และก็ต้องอาศัยโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ เป็นหลักปฏิบัติต่อไปในข้อปลายต่อไปคืออริยสัจจ์ทั้ง ๔ โพชฌงค์จึงเป็นธรรมะ เป็นๆ หมวดธรรมที่เป็นหลักสำคัญ ดั่งนี้

Credit : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ 
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-262.htm
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 20:07
สัมมาทิฏฐิ ๑
เบื้องต้นของสัมมาปฏิบัติ

ปัญญาในธรรมนั้นเรียกได้ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เป็นความเห็นตรง สัมมาทิฏฐินี้เป็นข้อสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้เป็นข้อแรกในมรรคมีองค์ ๘ คือเป็นองค์แรกของมรรคมีองค์ ๘ นั้น เพราะฉะนั้น การทำสมาธิดั่งที่ได้กล่าวว่าทำสมาธิในการฟัง ก็เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม อันเป็นสัมมาทิฏฐินี้เอง ถ้าหากว่าไม่ได้ปัญญาในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐินี้ ก็มิบรรลุถึงข้อที่ปฏิบัติ และผลแห่งข้อที่ปฏิบัติ อันเป็นที่มุ่งในทางพุทธศาสนา

คำว่าพุทธศาสนานั้น ก็แสดงอยู่แล้วว่าเป็นศาสนาทางปัญญา เพราะพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ก็คือทรงปัญญาตรัสรู้นั้นเอง ฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นข้อสำคัญ และปัญญาที่มุ่งหวังก็คือสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ  ความเห็นตรงนี้เอง เมื่อได้ความเห็นชอบ ได้ความเห็นตรง ก็ย่อมจะได้ปสาทะ คือความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระธรรม เป็นผู้มาสู่สัทธรรมนี้

ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าการมาสู่สัทธรรมนี้ ก็ต้องอาศัยความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม ก็ต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ ความเห็นตรงเป็นหลัก ทุกคนย่อมมีความรู้ความเห็นซึ่งเป็นตัวปัญญา ที่ได้มาแต่ชาติกำเนิดเป็นมนุษย์ ซึ่งแปลอย่างหนึ่งว่าผู้ที่มีใจสูง หรือผู้ที่มีความรู้สูง ฉะนั้น จึงสามารถที่จะรู้สัจจะคือความจริงของสิ่งทั้งหลายได้ในขั้นธรรมดาสามัญทั่วไป และเมื่อได้อบรมปัญญาที่ได้มาแต่ชาติกำเนิด อันเรียกว่า สชาติปัญญา ยิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้ว ก็จะได้ความรู้ที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

สัมมาทิฏฐิสูตร

พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบไว้ทั่วไปว่า คือ ความรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ รู้จักทุกข์ รู้จักสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักนิโรธ ความดับทุกข์ รู้จักมรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านพระสารีบุตรเถระก็ได้อธิบายสัมมาทิฏฐิแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ท่านประมวลไว้ในสัมมาทิฏฐิสูตร โดยที่ท่านได้อธิบายกว้างขวางออกไป ขยายความออกไป จับตั้งแต่เบื้องต้นโดยที่ท่านได้กล่าวตั้งเป็นกระทู้ขึ้นว่า

ที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบนั้นเป็นอย่างไร

อกุศลกรรมบถ ๑๐

ท่านก็อธิบายว่าได้แก่

ความรู้จักอกุศล ความรู้จักอกุศลมูล มูลเหตุของอกุศล

ความรู้จักกุศล ความรู้จักกุศลมูล มูลเหตุของกุศล

ท่านก็ได้แสดงอธิบายขยายความต่อไปอีกว่า กุศลนั้น อกุศลนั้น ได้แก่อะไร ท่านก็ยกเอา อกุศลกรรมบถ คือทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลขึ้นแสดง

ทางกายอันเรียกว่า กายกรรม อันเป็นอกุศล ๓ คือ

การทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ๑

การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้ ๑

การประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑

ทั้ง ๓ นี้เป็นทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางกาย

ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางวาจาคือ วจีกรรม มี ๔ ก็ได้แก่

พูดเท็จ ๑

พูดส่อเสียด ๑

พูดคำหยาบ ๑

พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ๑

ก็รวมทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางวาจาเป็น ๔

ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทางใจ ๓ ก็คือ

อภิฌชา โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของ ๆ ผู้อื่น ๑

พยาบาท ปองร้ายเขา ๑

มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากคลองธรรม เช่นเห็นว่าไม่มีบาปไม่มีบุญ จะทำอย่างไรก็ไม่เป็นบาป จะทำอย่างไรก็ไม่เป็นบุญ ไม่มีผลของบาปบุญ และไม่มีมารดาบิดา ไม่มีกรรมดีกรรมชั่ว ผลของกรรมดีกรรมชั่ว ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกหน้า ไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติชอบทั้งหลาย ปฏิเสธว่าไม่มีทั้งหมดเหล่านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดจากคลองธรรม

ก็รวมเป็นทางกรรมที่เป็นอกุศลทางใจ ๓

รวมเป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล ๑๐ นี้คืออกุศล

สัมมาทิฏฐิก็คือรู้จักทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศลทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้ว่าเป็นอกุศลจริง

อกุศลมูล

อกุศลมูล มูลเหตุของอกุศล ก็ได้แก่

โลภ คือความโลภอยากได้ อันนำให้ประกอบอกุศลกรรม

โทสะความโกรธแค้นขัดเคือง อันนำให้ประกอบอกุศลกรรม

โมหะความหลง อันนำให้ประกอบอกุศลกรรม

สัมมาทิฏฐิก็คือความรู้จักอกุศลมูลเหล่านี้ว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็นมูลเหตุของอกุศลกรรมทั้งหลายตามเป็นจริง

กุศลกรรมบถ ๑๐

ส่วนกุศล และกุศลมูลนั้น ก็ตรงกันข้าม กุศลก็ได้แก่กุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ คือทางแห่งกรรมที่เป็นกุศล เป็นกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓

กายกรรม ๓ ก็คือ

เว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง

เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้

เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย

วจีกรรม ๔ ก็คือ

เว้นจากพูดเท็จ

เว้นจากพูดส่อเสียด

เว้นจากพูดคำหยาบ

เว้นจากพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

มโนกรรม ๓ ก็คือ

ไม่โลภเพ่งเล็งทรัพย์สิ่งของ ๆ ผู้อื่น

ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น และ

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบตามคลองธรรม

ทั้ง ๑๐ นี้ก็ตรงกันข้ามกับอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐

สัมมาทิฏฐิก็คือรู้จักกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ นี้ ว่าแต่ละข้อเป็นกุศลจริง

กุศลมูล

ส่วนกุศลมูล มูลเหตุของกุศลนั้น ก็ได้แก่

อโลภะความไม่โลภอยากได้ โดยมีสันโดษความพอใจอยู่ในทรัพย์สมบัติเฉพาะที่เป็นของตนเท่านั้น เป็นต้น

อโทสะความไม่โกรธแค้นขัดเคือง ก็โดยที่มีเมตตา กรุณา เป็นต้น

อโมหะความไม่หลง ก็คือความที่มีปัญญารู้ตามเป็นจริง อันทำไม่ให้หลงไหล ไม่ให้ถือเอาผิด

สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบก็คือรู้จักกุศลมูลเหล่านี้ว่า ทุก ๆ ข้อเป็นมูลเหตุของกุศลจริง 

สัมมัปปัญญา

สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบดั่งนี้เป็นทิฏฐิคือความเห็น เป็นทัศนะคือความเห็น เป็นญาณะคือความรู้ หรือเป็นปัญญาคือความรู้ทั่วถึง ที่จำต้องการเป็นขั้นต้นของทุก ๆ คนในโลก แต่ว่าจะได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบดั่งนี้ได้ ก็ต้องอาศัยความที่ใช้ปัญญาที่มีอยู่เป็นพื้น ในการประกอบปลูกปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยการฟังการเรียน อันรวมในคำว่า สุตะ ด้วยการคิดพินิจพิจารณา อันรวมเรียกว่า จินตา และด้วยการปฏิบัติอบรมต่าง ๆ ในข้อที่พึงปฏิบัติอบรมนั้น ๆ  อันเรียกว่า ภาวนา และเมื่อได้ประกอบปฏิบัติปลูกปัญญาอบรมปัญญา เพิ่มพูนปัญญาในทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ ก็ย่อมจะได้ปัญญาที่เป็นปัญญาถูกต้อง อันเรียกว่า สัมมัปปัญญา ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ดังกล่าว

มิตตสัมปทา โยนิโสมนสิการ

และข้อนี้ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ในที่อื่นอีกว่า ก็ต้องอาศัย มิตตสัมปทา คือความถึงพร้อมด้วยมิตร อันหมายความว่าได้มิตรที่ดีงาม อันเรียกว่า กัลยาณมิตร พระพุทธเป็นยอดของกัลยาณมิตร มารดาบิดาครูอาจารย์ทั้งหลายก็เป็นกัลยาณมิตร เพื่อนมิตรทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ทรงปัญญา สามารถที่จะให้คำแนะนำอบรมอันถูกต้องได้ ก็เรียกว่ากัลยาณมิตร ต้องอาศัยกัลยาณมิตรนี้ ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งก็คือ โยนิโสมนสิการ ที่แปลว่าการทำไว้ในใจ จับให้ถึงต้นเหตุ ดังเช่น เมื่อกำหนดเพื่อรู้จัก อกุศล ก็ต้องจับให้ถึงต้นเหตุ ว่ามีมูลเหตุมาจาก โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นอกุศลมูล และเมื่อกำหนดเพื่อรู้จัก กุศล ก็ต้องจับให้ถึงต้นเหตุ ว่ามีต้นเหตุหรือมูลเหตุมาจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ดังกล่าว ความใส่ใจคือความกำหนดใจพินิจพิจารณาจับเหตุของผลให้ได้ดั่งนี้ คือ โยนิโสมนสิการ ก็ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการนี้อีกข้อหนึ่ง

เบื้องต้นของสัมมาปฏิบัติ

ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการนี้ ย่อมเป็นเบื้องต้นของสัมมาปฏิบัติทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นปัญญา หรือคลุมไปได้จนถึงศีลทั้งหมด ต้องอาศัยมีกัลยาณมิตร และมีโยนิโสมนสิการ มาตั้งแต่เบื้องต้น เหมือนอย่างอรุณเป็นเบื้องต้นของวัน กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการก็เปรียบเหมือนว่า เป็นอรุณเป็นเบื้องต้นของความสว่าง ของสัมมาปฏิบัติคุณงามความดีทั้งสิ้น อันนับว่าเป็นความสว่าง จึงต้องอาศัยกัลยาณมิตร และโยนิโสมนสิการ ดั่งนี้

และในหมวดธรรมบางหมวด ก็ได้ตรัสอธิบายขยายความออกไปในทางปฏิบัติ ว่าส้องเสพคบหาสัตตบุรุษคือคนดีก็ได้แก่กัลยาณมิตรนี้เอง ฟังธรรมของคนดี มีโยนิโสมนสิการ ใส่ใจ คือนำเอาธรรมะที่ฟังมาใส่ไว้ในใจ ตั้งต้นแต่ตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณาจับเหตุจับผล และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ข้อใดที่พึงละก็ละ ข้อใดที่พึงปฏิบัติก็พึงปฏิบัติ ข้อใดที่พึงปฏิบัติก่อนก็ปฏิบัติก่อน ข้อใดที่ปฏิบัติภายหลังก็ปฏิบัติภายหลัง ดั่งนี้เป็นต้น เรียกว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

และเมื่อมีทั้ง ๔ ข้อนี้ก็เป็นอันว่านำให้ได้สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบความเห็นตรง นำให้ได้ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำเข้ามาสู่สัทธรรมคือธรรมะของสัตตบุรุษ หรือธรรมะที่ดีที่ถูกต้อง คือพระธรรมวินัยนี้ ดั่งนี้

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติเพื่อให้ได้สัมมาทิฏฐิดังกล่าวนี้ พระสารีบุตรจึงได้นำมาอธิบายไว้เป็นประการแรก และท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า เมื่อได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ รู้จักอกุศล รู้จักอกุศลมูล รู้จักกุศล รู้จักกุศลมูล อันนำให้ได้สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ ความเห็นตรง ก็ย่อมจะนำให้ได้ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม นำเข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้

ที่ท่านเรียกว่านำเข้ามาสู่สัทธรรมนี้ ก็คือนำเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้นั่นเอง และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้ปฏิบัติละกิเลส ที่นอนจมหมักหมมดองจิตสันดาน อันเรียกว่าอาสวะหรือเรียกว่าอนุสัย อันยกขึ้นมาก็คือว่า เป็นเหตุให้ละ ราคานุสัย กิเลสที่นอนจมหมักหมมจิตสันดานคือราคะ บันเทา ปฏิฆานุสัย อนุสัยคือปฏิฆะความกระทบกระทั่ง อันเป็นเบื้องต้นของกิเลสกองโทสะ ถอน ทิฏฐิมานานุสัย อนุสัยคือทิฏฐิมานะ ละอวิชชา ทำวิชชาให้บังเกิดขึ้น จึงเป็นไปเพื่อการกระทำความสิ้นสุดแห่งกองทุกข์ได้ ดั่งนี้

ปัญญาขั้นต้น

เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ต้องการในทางพุทธศาสนา อันเป็นขั้นต้นที่ต้องการทั่วไป ก็คือปัญญาที่ทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบดังกล่าว ก็คือให้รู้จักอกุศล ให้รู้จักอกุศลมูล ให้รู้จักกุศล ให้รู้จักกุศลมูล

แต่ว่าพึงทำความเข้าใจด้วยอีกว่า ความรู้จักที่เป็นตัวปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิดังกล่าวนี้ ไม่ใช่สัญญาคือความทรงจำ ความทรงจำนั้นก็คือความทรงจำตามที่ฟัง ตามที่อ่าน ตามที่เล่าเรียน ก็จำได้ ว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐ อกุศลมูล ๓ มีอะไรบ้าง กุศลกรรมบถ ๑๐ กุศลมูล ๓ มีอะไรบ้าง ก็จำได้ ความจำได้ดั่งนี้ยังไม่เป็นปัญญา ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิดังกล่าว ต้องอาศัยความคิดพินิจพิจารณา และการปฏิบัติอีกด้วย คือว่าต้องคิดพิจารณาไป และต้องปฏิบัติไป การปฏิบัติไปนั้นก็คือ ปหานะ ละ อย่าง ๑ ภาวนา ทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ๑

ละ ก็คือว่าต้องฝึกละอกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ละอกุศลมูลทั้ง ๓ นี่เป็นข้อที่ต้องปฏิบัติฝึกหัดละ

ภาวนาคือทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นนั้น คือต้องปฏิบัติฝึกที่จะประกอบกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ และอบรมกุศลมูล อโลภะ อโทสะ อโมหะ ให้มีขึ้นให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ นี้ก็รวมเข้าในคำว่าภาวนา

ญาณทัสสนะ

ในข้อ ๓ นี้ ก็ต้องประกอบด้วยทั้งละ และทั้งทำให้มีขึ้น ให้เป็นขึ้น ดังกล่าวนั้น แต่เมื่อปฏิบัติไป ๆ  อาศัยสุตะ  อาศัยจินตา อาศัยภาวนาทั้ง ๓ นี้ ก็ย่อมจะได้ปัญญา ที่เป็นตัวความรู้ขึ้นของตัวเอง ได้ความเห็นขึ้นของตัวเอง ซึ่งมีคำเรียกว่า ญาณทัสสนะ ความรู้ความเห็น รู้เห็นว่าข้อนี้ ๆ เป็นอกุศลจริง ข้อนี้ ๆ เป็นอกุศลมูลจริง ข้อนี้ ๆ เป็นกุศลจริง ข้อนี้ ๆ เป็นกุศลมูลจริง

ในการที่จะปฏิบัติประกอบปัญญาในทางทั้ง ๓ ดังกล่าวนั้น ก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตร และอาศัยโยนิโสมนสิการดังกล่าวมานั้น ประกอบกันอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้นผู้มุ่งจะได้ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงต้องปฏิบัติตามมงคลสูตรคาถาแรกของพระพุทธเจ้าอยู่ให้เป็นประจำ คือ ไม่เสวนาคบหาคนพาลทั้งหลาย เสวนาคบหาบัณฑิตทั้งหลาย และบูชาผู้ที่ควรบูชาทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติอยู่ดั่งนี้แล้วจึงจะได้กัลยาณมิตร และเมื่อมีโยนิโสมนสิการประกอบอยู่ตลอด ก็ย่อมจะเจริญปัญญาขึ้นโดยตลอด ทำให้เกิดความรู้ของตัวเองขึ้นรับรอง ว่านี่เป็นอย่างนี้จริง นี่เป็นอย่างนี้จริง ตามความเป็นจริง โดยที่จับเหตุจับผลได้ถูก จับได้ว่าอกุศลมูลนั้นเป็นตัวเหตุ ตัวอกุศลนั้นเป็นตัวผล กุศลมูลนั้นเป็นตัวเหตุ ตัวกุศลนั้นเป็นตัวผล ซึ่งการที่จะจับเหตุจับผลได้ถูกต้องดั่งนี้ ก็เกิดจากโยนิโสมนสิการ ใส่ใจ ตั้งแต่ตั้งใจฟังคำสอนของกัลยาณมิตร มาจนถึงพินิจพิจารณาขบเจาะ จับเหตุแห่งผลให้ได้ หรือว่าจับผลสาวหาเหตุให้ได้ จับเหตุที่จะส่งผลให้ได้ นี่แหละคือโยนิโสมนสิการ  ให้ความรู้ของตัวเองบังเกิดขึ้นรับรอง ว่าข้อนี้เป็นความจริง ข้อนี้เป็นความจริง

ความเห็นชอบที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ

และเมื่อได้ปัญญาคือความรู้ของตัวเองให้เกิดขึ้นรับรองขึ้นตามเป็นจริง ดั่งนี้ จึงจะชื่อว่ามีความเห็นชอบที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นตรงที่เรียกว่าอุชุทิฏฐิ ทำให้มีความเลื่อมใสมิหวั่นไหวในพระธรรม โดยตรงก็คือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว คือดีจริงถูกต้องจริง งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์คือศาสนาคำสั่งสอน ที่แสดงความประพฤติอันประเสริฐ พร้อมทั้งอรรถะคือเนื้อความ พร้อมทั้งพยัญชนะคือถ้อยคำ บริบูรณ์คือไม่บกพร่อง บริสุทธิ์คือไม่มีผิดพลาด สิ้นเชิง ย่อมจะได้ความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหวในพระธรรม อันเป็นสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า ดั่งนี้

และเมื่อเป็นดั่งนี้แหละ จึงจะชื่อว่าได้เข้ามาสู่พระสัทธรรมนี้ ได้เข้ามาสู่พระศาสนานี้ ได้เข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้ ถ้าหากว่ายังไม่ได้สัมมาทิฏฐิแม้ในขั้นต้นดังกล่าว จึงยังหาชื่อว่าได้เข้ามาสู่พระสัทธรรมนี้ไม่ หาได้ชื่อว่ามีความเลื่อมใสที่ไม่หวั่นไหว ในพระธรรมไม่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้อที่ควรปฏิบัติ ตั้งใจที่จะสดับตรับฟัง ที่จะพินิจพิจารณา ที่จะปฏิบัติอบรม เพื่อให้ได้ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิดังกล่าว

Credit : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-075.htm
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 20:10
อสงไขย นั้น มาจากภาษาบาลี ว่า อสงฺเขยฺย (สันสกฤต: อสํขฺย) หมายถึง นับไม่ได้ หรือนับไม่ถ้วน นั่นเอง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ระบุจำนวน ของอสงไขย ไว้ว่า เท่ากับ โกฏิ ยกกำลัง 20

แต่ในพระพุทธศาสนามักจะใช้กล่าวถึง ระยะเวลาที่พระโพธิสัตว์สร้างสมบารมีมาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า โดยนับหน่วยเวลาเป็นอสงไขยกัป. อสงไขยเป็นปริมาณหรือจำนวนที่มีการกำหนดที่นับประมาณมิได้

Credit : จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 18/06/2010, 20:21
เวทนา
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/08/2010, 13:26

ชีวิตคือทะเลทุกข์
หัวข้อ: Re: - (นกไร้ปีก(บิว กัลยาณี)) 13/06/2553
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/08/2010, 12:04

แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป

ต้องสู้จึงจะชนะใจตัวเอง

     :} กำลังใจ