นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ประวัติพระพุทธะ, พระอริยะ => ข้อความที่เริ่มโดย: nakdham ที่ 22/12/2009, 21:30

หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน
เริ่มหัวข้อโดย: nakdham ที่ 22/12/2009, 21:30
   
ชื่อหนังสือ  ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน
นวนิยายที่อิงประวัติศาสตร์และคัมภีร์โบราณ
.
ISBN :  9786169021933
ผู้เขียน :  ชุนหลี่
ผู้แปลและเรียบเรียง :  อมร ทองสุก
ขนาดรูปเล่ม :  147 x 210 x 25 มม.
จำนวน :  486 หน้า
ชนิดกระดาษ :  กระดาษถนอมสายตา
สำนักพิมพ์ :  สำนักพิมพ์ชุณหวัตร
เดือน/ปีที่พิมพ์ :  พิมพ์ครั้งที่ 2 / กรกฎาคม 2552
ราคา :  299 บาท

:: เนื้อหาโดยสังเขป
     ขงจื่อ เวลาดุจธารน้ำที่ไหลผ่านทั้งวันแลคืนมิรู้หยุดศิษย์ทั้งหลาย พึงตระหนักว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นพวกเจ้าต้องรู้จักถนอมเวลาศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด ผู้รับราชการ จะต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ แลต้องรับผิดชอบต่ออาณาประชาราษฎร์ มีความรักใคร่ต่อมวลประชา ทะนุถนอมเด็กเล็กคนชราทั้งยังต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของปราชญ์เมธีอย่างกว้างขวาง ยามบิดายังอยู่ พึงสังเกตปณิธานแห่งบิดา หลังจากบิดาได้ถึงแก่อาสัญพึงตั้งใจศึกษาในภาระกิจที่ท่านเคยกระทำมาแต่ก่อน หากสามารถปฏิบัติตามแนวคิดและปฏิปทาอันดีงามของท่านได้โดยตลอดเช่นนี้ก็คือความกตัญญูแล้วแล ในโลกนี้มีอะไรที่เต็มแล้วไม่คว่ำบ้าง? ดังนั้น สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดแท้ก็คือคำว่า อ่อนน้อม นั่นเอง คนที่มากล้นด้วยสติปัญญาก็พึงตั้งตนในความโง่เขลาตลอดเวลา คนที่มีคุณงามความดีอันล้นฟ้าก็พึงคำนึงถึงข้อบกพร่องของตนอยู่เสอม คนที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์ศฤคารก็พึงสำเหนียบถึงความทุกข์ยากทุกลมหายใจ.......

:: สารบาญ


:: หมายเหตุ
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : คำนำ สำนักพิมพ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/06/2012, 09:36
คำนำ สำนักพิมพ์

        นวนิยายเรื่อง  "ขงจื่อจอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน"  นี้ เดิมทีเดียวนั้นประพันธ์ขึ้นเป็นภาษาจีนโดยคุณซุนหลี่ ซึ่งต่อมาทางสำนักพิมพ์ชุณหวัตรเห็นว่า บทประพันธ์นี้มีความน่าสนใจหลายประการ จึงมีความตั้งใจว่า ควรที่จะได้รับการแปลและถ่ายทอด โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอรรถรสของบทประพันธ์นี้ไว้อย่างสมบูรณ์ตรงตามต้นฉบับให้มากที่สุด หลังจากได้ปรึกษากันแล้วจึงเห็นควรให้คุณอมร ทองสุก ซึ่งเป็นผู้แปลคัมภีร์หลุนอวี่ของขงจื่อไว้ก่อนหน้า ได้รับหน้าที่เป็นผู้แปลและถ่ายทอดวรรณกรรมชิ้นนี้ให้เป็นภาษาไทยที่สละสลวย  นุ่มนวล  ตรงตามยุคสมัย  เพื่อเหมาะแก่การอ่านอย่างสนุกเป็นนวนิยาย ดังที่ท่านผู้อ่านได้ประจักษ์แก่สายตาอยู่ในขณะนี้
        เรื่องราวของมหาปราชญ์ขงจื่อ ผู้เป็นเจ้าลัทธิขงจื่ออันแพร่หลายในหลายส่วนของโลกในขณะนี้ ได้เริ่มจับความดั้งเดิมชีวิตเมื่อแรกอุบัติมาบนโลก การอบรมเลี้ยงดู  ชีวิตในวัยเยาว์  ยามมีครอบครัว  เมื่อเข้ารับราชการ  การตั้งสำนักอบรมศิษย์  อุปสรรคจากเจ้าแคว้นและขุนนางผู้ฉ้อฉล  การปกครองที่ปราศจากหลักนิติธรรม  ตลอดมาจนชีวิตในบั้นปลาย  จวบจนสิริอายุถึงแก่การที่จะลาจากโลกแห่งนี้ไป
        เมื่อท่านไดด้อ่านบทประพันธ์นี้ โดยพิเคราะห์แล้วจะพบว่า แนวความคิดแห่งความไม่หลงใหล  ไม่โลภ  ไม่ยึดติดนั้นมีมานานหลายพันปีแล้ว เช่นเดียวกับความชิงดีชิงเด่น  อบายทั้งระดับสูงและต่ำก็มีขนานกันมาเช่นกัน แต่มนุษย์เราจะเลือกปฏิบัติไปทางด้านใดก็แล้วแต่จริตและวาสนาที่มีมาจะนำพาไป ซึ่งกาลทั้งหมดก็ล้วนเพื่อยกจิตใจความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้นด้วยความมีคุณธรรมและจริยธรรม เมื่อได้ศึกษาในสิ่งที่ท่านถ่ายทอดก็ยิ่งรู้สึกว่า ความรู้ของท่านมีความแยบยลจนยากจะหยั่งถึง รู้สึกเหมือนว่าท่านจะคอยยืนอยู่เบื้องหน้าให้เราไล่ตามอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อครั้งเราวิ่งตามจนสุดกำลังความสามารถแล้ว ท่านกลับไปปรากฏอยู่เบื้องหลังเราโดยที่ไม่รู้ตัว ความที่ท่านให้ความรู้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและยังคอยอบรมสั่งสอนให้สุขุมในครรลองแห่งจริยธรรมอันลึกซึ้ง จะทำให้ผู้อ่านเป็นคนที่รักการเรียนรู้อยู่จนตลอดชีวิต
        เพราะชีวิตคนเรานั้นแสนสั้นนัก เพียงไม่กี่สิบปีต่างก็ต้องลาจากกันไป ดังนั้นจึงควรใช้เวลาที่เปี่ยมด้วยพละกำลัง มุ่งมั่นในการศึกษาวิชา มิใช่ปล่อยเวลาไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่รู้ค่าของเวลา ปัดทิ้งคำเย้ยหยันลบหลู่ของผู้คน  ให้กำลังใจชีวิตด้วยการตั้งมั่นอย่างมีปณิธาน เพื่อความสำเร็จในวันข้างหน้า
        อย่างไรก็ตามนวนิยายที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นั้น ย่อมต้องมีเนื้อหาบางประการถูกปรับเปลี่ยนไปบ้าง เพื่อให้เกิดอรรถรสของความสนุกตามประสาวรรณกรรม ในฐานะที่เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ มิใช่ตำราประวัติศาสตร์ ผู้อ่านจึงมิอาจยึดถือเป็นความจริงได้อย่างครบถ้วน แต่ควรมองถึงความสมจริง น่าอ่าน  จึงมิอาจยึดถือเป็นความจริงได้อย่างครบถ้วน แต่ควรมองถึงความสมจริงน่าอ่านในความพยายามที่ผู้เขียนสร้งขึ้นในฐานะเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่น่าศึกษาติดตามยิ่ง
        ขอขอบคุณ  คุณอมร  ทองสุก  ที่เป็นผู้ถ่ายทอดบทประพันธ์จากภาษาจีนมาให้ผู้อ่านชาวไทยได้รับรู้อรรถรส ด้วยความทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ และเหนือสิ่งอื่นใดนวนิยายเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากพลังศรัทธาที่ผู้เขียนและผู้มีส่วนร่วมในการตรวจทาน  ปรับแต่ง  แก้ไขทุกคน ที่มีต่อท่านขงจื่อผู้เป็นปราชญ์สำคัญอันดับหนึ่งของชาวเอเซียและชาวโลกนี้ด้วย


กิตติพงษ์   พันไชยนวกุล
ในนามสำนักพิมพ์  ชุณหวัตร   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : คำนำ ผู้แปล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/06/2012, 09:42
คำนำ ผู้แปล

ท่ามกลางรัตติกาลแห่งปฐพี
รัศมีแห่งดาวตกสว่างวาบทำลายความมืดมนจนสิ้นไป
ในกลียุคที่จิตใจผู้คนตกต่ำทราม
จริยธรรมมลายหายสิ้น
ศีลธรรมมิอาจเป็นบรรทัดฐานแห่งแผ่นดิน
ที่มหาบุรุษท่านหนึ่งได้อุบัติขึ้นพิทักษ์ถิ่น
นามผู้นั้นคือ
ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน


ด้วยความเคารพ
อมร  ทองสุก       
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 12:07
ภูเขาหนีชิวที่งดงาม

        ในสมัยชุนชิว บ้านเมืองถูกปกครองโดยระบอบศักดินา ประเทศจีนจึงถูกแบ่งออกเป็นแว่นแคว้น ให้เหล่าพระประยูรญาติบริหารดูแล แต่ครั้งพระเจ้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจว เริ่มเสื่อมอำนาจลง บรรดาเจ้าเมืองจึงเกิดการพิพาทจนกลายเป็นสงครามอยู่มิขาด  สารทฤดู ๕๖๓  ปีก่อนคริสตศักราช "หลู่เซียงกง " ทรงมีพระบัญชาแต่งตั้งให้ "เมิ่งซุนเมี่ย"  เป็นแม่ทัพนำกองรถศึกจำนวน ๓๐๐ คัน บุกโจมตีเมืองปีหยาง รถศึกขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็วบนหนทางอันทุรกันดาร เสียงเกือกม้าและล้อบดกระแทกแผ่นดินจนกึกก้องกัมปนาท ธงชัยโบกสะบัดพัดพลิ้วอย่างน่าเกรงขาม โดยเฉพาะคือธงตราสัญลักษณ์อักษร หลู่ ตัวใหญ่ที่ปักตระหง่านอยู่บนรถแม่ทัพ

        ครั้นขบวนรถทั้ง ๓๐๐ คัน ได้เคลื่อนมาถึงนอกกำแพงเมือง ได้เห็นประตูเมืองเปิดอ้าราวกับกำลังคอยใครอยู่ หากแต่ภายในเมืองกลับดูวังเวงเปลี่ยนร้างผู้คนอย่างน่าสยอง ทั้งหมดจึงจัดทัพในลักษณะพร้อมรบ เวลานั้น "แม่ทัพเมิ่งซุนเมี่ย"  ลุกขึ้นยืนบนรถศึกอย่างองอาจ หนวดเคราของแม่ทัพปลิวพลิ้วตามสายลมดูสง่า เขาลูบหนวดอันเรียวยาวพลางประเมินสถานการณ์อย่างใช้ความคิด สถานการณ์เช่นนี้ได้ทำให้แม่ทัพเมิ่งผู้ชาญศึกถึงกับตัดสินใจอะไรไม่ถูก   ขณะนั้นขวัญทหารกำลังฮึกเหิม เหล่าทแกล้วต่างส่งเสียงพร้อมบุกจนเอ็ดอึง เสียงทหารหาญที่รุกเร้าได้ทำให้แม่ทัพเมิ่งยิ่งไม่กล้าตัดสินใจ เวลาที่ผ่านไปจึงประหนึ่งกองศึกที่กำลังเร้ารัวอย่างคึกคะนอง หลังจากแม่ทัพเมิ่งได้ตรึกตรองอย่างดีแล้ว ได้ชักดาบอาญาสิทธิ์ขึ้นชูผงาดและแผดคำสั้งว่า "พวกเราบุก" รถศึกจำนวน ๒๐ คัน ได้บุกทะยานไปข้างหน้า ส่วนพลทหารที่เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจต่างถือดาบและโล่ส่งเสียงข่มขวัญศัตรูวิ่งตามหลังรถศึกอย่างเป็นขบวน  หลังจากรถศึกได้บุกเข้าเมืองไปในเมืองได้ ๘ คัน ประตูเมืองบานเขื่องก็ไหลเลื่อนลงมาเสียงดังสนั่น ประจวบกับรถคันที่ ๙ แล่นมาถึงพอดี ขุนศึกนายหนึ่งพุ่งลงจากรถและตั้งแขนชูรับบานประตูไว้อย่างรวดเร็ว

        "ในเมืองมีกับดัก ทุกคนรีบหนีเร็ว"  ชายผู้นั้นแผดเสียงเตือนเพื่อนดังกังวาน เหล่าพลทหารและรถศึกต่างรีบหนีออกจากเมืองอย่างไม่คิดชีวิต เสียงประตูบานใหญ่ร่วงหล่นสู่พื้นดังกัมปนาท ฝุ่นคลีฟุ้งตลบกลบทั่วบริเวณ ทุกคนต่างจดจ้องไปที่บานประตูด้วยความห่วงใย ที่แท้ผู้กล้าหาญที่แบกรับบานประตูนั้นก็คือ "สูเหลียงเฮ่อ" นั่นเอง  แม่ทัพเมิ่ง รีบออกคำสั่งว่า "กองหลังระวังหน้า ที่เหลือรีบถอยกลับค่าย" ยังไม่ทันที่เหล่าทหารจะถอยกลับ เสียงถ่ายทอดคำสั่งให้ยิงธนูก้ดังจากกำแพงเมือง ลูกธนูห่าใหญ่พุ่งออกจากกำแพงเมืองดังสายฝน เหล่าทหารถูกพุ่งแทงล้มตายเป็นจำนวนมาก แม่ทัพเมิ่งมิอาจทำอะไรได้มากกว่านี้ จึงได้แต่ดูเหล่าทหารถูกยิงตายไปทีละคนสองคน
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 14:11
ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 1

        หลังจากล่าถอยได้พักใหญ่  แม่ทัพเมิ่งสั่งรี้พลหยุดพักผ่อน ขณะนั้นทุกคนต่างกระโดดลงจากรถศึกมาโอบกอด "สูเหลียงเฮ่อ"  ด้วยความยกย่องภาพอันกล้าหาญอย่างไม่คิดชีวิตยังคงเป็นที่ประทับใจของหมู่ทหาร โดยเฉพาะคือ เหล่าทหารที่ถูกสูเหลียงเฮ่อช่วยออกมาจากกำแพงเมือง ก็ยิ่งแสดงความปลาบปลื้มและแบกสูเหลียงเฮ่อขึ้นโห่ร้องไชโยจนกึกก้องไปทั่ว  เวลานั้น แม่ทัพเมิ่ง ก้าวลงจากรถม้า ได้ตบที่หัวไหล่สูเหลีบงเฮ่อและกล่าวยกย่องด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า "ดีมาก ! ท่านผู้กล้า ครั้งนี้ท่านได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงให้แก่เมืองหลู่ หากไม่มีท่านครั้งนี้เราต้องตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่ หลังจากข้ากลับเข้าเมือง ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงปูนบำเหน็จแก่ท่านแน่นอน "  สูเหลียงเฮ่อ ได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองหลู่  ภายในใจจึงรู้สึกปิติ ยินดียิ่ง ดังนั้น ครั้งกลับถึงเมืองหลู่ ก็รีบกลับบ้านในทันที  "แต่ อนิจจา ... "  ใบหน้าของสูเหลียงเฮ่อพลันสลดหม่นหมองเมื่อได้ยินหญิงงามทรามวัย ๙ คนออกมายืนเรียงต้อนรับ  "ท่านพ่อ ท่านพ่อ กลับมาแล้ว"  เสียงอ่อนหวานต้อนรับอย่างอบอุ่น

๑.  กษัตริย์เฉิงทัง  (๑๘๙๒ - ๑๘๙๓  ปีก่อนคริสตศักราช)  เป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงนำพาประชาชนทำการปฏิวัติ โดยทรงโค่นล้มพระเจ้าเจี๋ย แห่งราชวงศ์เซี่ย

๒.  พระเจ้าโจวอู่หวัง ( ๑๑๕๘ - ๑๑๐๕  ปีก่อนคริสตศักราช)  เป็นพระโอรสองค์ที่สองในพระเจ้าโจวเหวินหวัง พระองค์ได้โค่นพระเจ้าซังโจ้วหวังและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น

๓.  ซังโจ้วหวัง เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซัง ซึ่งมีพระทัยโหดร้าย พระองค์ทรงสร้างสระสุราขนาดใหญ่ นำเนื้อมาแขวนตากดุจป่าไพร เคยทรงฆ่าขุนนางตงฉินด้วยวิธีการอันเหี้ยมโหด เช่น ร่างของกุ่ยโหวถูกนำมาทำเป็นเนื้อตากแห้ง ร่างของเอ้อโหวถูกนำไปสับเป็นเนื้อสับ พระปิตุลาปี่กันถูกควักหัวใจเป็นต้น  ผู้คนต่างมีความเกลียดชังซังโจ้วหวัง จนแม้อักษรโจ้วที่เป็นพระนามของพระองค์ก็ไม่มีใครเคยนำมาใช้เป็นชื่ออีกเลยตราบจนปัจจุบัน

๔.  โจงกง  มีพระนามว่า ตั้น  มีพระสกุลว่า จี  ทรงเป็นราชโอรสองค์ที่สี่ของพระเจ้าโจวเหวินหวัง และทรงเป็นพระอนุชาองค์เล็กของโจวอู่หวัง ทรงเป็นปฐมบรรพบุรุษแห่งแคว้นหลู่  หลังจากพระเจ้าโจวอู่หวังสิ้นพระชนม์ เนื่องจากกษัตริย์องค์ใหม่ยังทรงพระเยาว์ โจวกงจึงทรงสำเร็จราชการแทน และเนื่องด้วยบ้านเมืองขณะนั้นตกอยู่ในภาวะชุลมุลวุ่นวาย โจวกงจึงทรงทำการปราบปรามรักษาความสงบจนราชวงศ์โจวสามารถขยายขอบขัณฑสีมาและรวมแผ่นดินจีนจนเป็นปึกแผ่น จากนั้น พระองค์ทรงดำเนินระบอบศักดินา ทรงกำหนดตัวบทกฏหมาย และทรงรังสรรค์จริยธรรมและการดนตรี นับแต่นั้นก็ทำให้บ้านเมืองพรักพร้อมด้วยอารยธรรมอันบรรเจิด  โจวกงจึงนับเป็นพระอริยเจ้าในสมัยโบราณ และเป็นบุคคลที่ขงจื่อให้ความเคารพเทิดทูนมากที่สุด

        บุตรสาวทั้ง ๙ เป็นเหมือนเช่นตราบาปที่คอยหลอกหลอนสูเหลียงเฮ่อให้ต้องฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกละอายต่อบรรพบุรุษที่มิอาจให้กำเนิดบุตรชายไว้สืบสกุล แม้ความจริงเขาจะรักบุตรสาวทั้ง ๙ นี้มากเพียงใด แต่หากไม่มีบุตรชายไว้สืบสกุล เขาก็มิอาจมีหน้าไปพบบรรพบุรุษที่สัมปรายภพได้ บรรพบุรุษสูเหลียงเฮ่อเป็นทายาทในกษัตริย์เฉิงทัง (๑)  แห่งราชวงศ์ชัง ในอดีต  หลังจากพระเจ้าโจวอู่หวัง (๒) ได้ทรงปราบทรราชซังโจ้วหวัง (๓) ได้สำเร็จ พระเจ้าโจวอู่หวังได้ทรงเมตตาโปรดเกล้าให้อู่เกิง-ึ่งเป็นราชบุตรของชังโจ้วหวังได้กินเมืองที่เฉาเกอ หลังจากพระเจ้าโจวอู่หวังเสด็จสววรคตแล้ว พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งราชบุตรจี้ทงที่ยังทรงพระเยาว์ให้ขึ้นสืบสันตติวงศ์ต่อจากพระองค์โดยให้พระปิตุลา คือโจวกง (๔)  สำเร็จราชการแผ่นดินแทน แต่คาดไม่ถึงว่า "อู่เกิง"จะคิดคตก่อการกบฏ  ดังนั้น โจวกงจึงทรงกรีธาทัพจากเมืองหลวงมุ่งไปทางทีศตะวันออกเพื่อปราบอู่เกิงที่เฉาเกอ การปราบกบฏได้เสร็จสิ้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว หลังทรงยุติขบวนการกบฏได้สำเร็จ โจวกงได้ทรงแต่งตั้งพระเชษฐาของซังโจ้วหวังือ "เหวินจื๋อฉี่ดำรงตำแหน่งทายาทของเฉิงทัง และเปลี่ยนชื่อรัฐให้ใหม่ว่า "ซ่ง"  เหวินเจื๋อฉี่ ให้กำเนิดทายาทเรื่อยมาจนถึง "ข่งฟู่เจีย"  ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ ๕  ในตอนนั้น สายทายาทได้แตกแขนงออกไปจนนับไม่ถ้วน ลูกหลานของข่งฟู่เจียจึงได้เปลี่ยนสกุลเป็น "ข่ง" นับแต่นั้นมา
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 17:38
ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 2

        ข่งฟู่เจีย มีบุตรชื่อว่า มู่จินฟู่ เนื่องจากขุนนางในรัฐซ่งได้ก่อการกบฏ  เจ้าเมืองซ่ง และ ข่งฟู่เจีย จึงถูกปลงพระชนม์ในครั้งนั้น มู่จินฟู่ จึงต้องอพยบลูกหลานไปยังเมืองหลู่ จึงทำให้ลูกหลานได้พำนักอยู่ที่เมืองฉวี่ฮู่แห้งแคว้นหลู่ สืบมาตราบจนปัจจุบัน  ฉวี่ฮู่ เป็นเมืองหลวงของรัฐหลู่ มีภูมิประเทศตั้งอยู่บนเนินที่คดเคี้ยว มีระยะทางที่ไกลจากราชธานีออกไปประมาณ ๑๐ กว่าลี้ 

        รัฐหลู่ จำเดิมเป็นดินแดนของพระเจ้าโจวอู่หวัง  แต่พระเจ้าโจวอู่หวังได้พระราชทานให้แก่พระอนุชา คือโจวกง  และด้วยเหตุที่โจวกงต้องทรงช่วยบริหารราชการแผ่นดิน โจวกงจึงทรงแต่งตั้งให้พระโอรสองค์โตนามว่า "ป๋อฉิน"  ไปกินเมืองที่แคว้นหลู่  โดยกำหนดให้เมืองฉวี่ฮู่เป็นเมืองหลวง และเชื้อสายของป๋อฉินก็เสวยราชสมบัติที่แคว้นหลู่นับแต่นั้นสืบมา  หลังจากมู่จินฟู่ได้ย้ายมาอยู่ที่แคว้นหลู่ ได้ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในตรอกเฉวียนหลี่ที่เมืองฉวี่ฮู่  มู่จินฟู่ มีบุตรชื่อว่า "เก่าอี๋ฟู่"   เก่าอี๋ฟู่มีบุตรชื่อว่า "ฝางสู"  ฝางสูมีบุตรชื่อว่า "ป๋อเซี่ย"  ป๋อเซี่ยมีบุตรชื่อว่า "สูเหลียงเฮ่อ" หรือ เหลียงสูเฮ่อก็มีคนเรียกในขณะเดียวกัน

        ย้อนเอ่ยถึง สูเหลียงเฮ่อ หลังจากที่ได้กลับถึงบ้านแล้ว ผู้เป็นภรรยานามว่า ซือซื่อ ก็ออกมาต้อนรับ นางช่วยถอดชุดนักรบและผลัดเป็นชุดลำลองให้สบายตัว หลังจากชำระฝุ่นไคลให้เรียบร้อยแล้ว กับข้าวที่หอมกรุ่นก็ได้ตระเตรียมขึ้นโต๊ะเสร็จพอดี แต่ครั้นสูเหลียงเฮ่อนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจก็อดห่อเหี่ยวเสียมิได้เมื่อได้เห็นลูกสาวทั้ง ๙ ยืนเรียงรายคอยปรนนิบัติอยู่  ในคืนนั้นมาตรว่าสูเหลียงเฮ่อจะอ่อนล้าจากการทำศึก แต่กลับต้องนอนพลิกตัวไปมาโดยหาได้ข่มตาหลับลงไม่ เพราะใจในของเขาโหยหาแต่บุตรชายทีท่ทั้งฉลาดและแข็งแรงไว้เป็นทายาทสืบสกุลเหลือเกิน  ในเช้าวันที่สองครั้นเจ้าแคว้นหลู่เสด็จออก ขุนนาง เมิ่งชุนเมี่ย ได้กราบบังคมว่า  "ขอเดชะ ตามที่กระหม่อมได้สนองพระบัญชาไปปราบเมืองปี่หยาง เมื่อกระหม่อมนำทหารบุกไปถึง ตอนนั้นฝ่ายทหารของเรากำลังฮึกเหิมจนมิอาจมีใครหาญเทียม แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายข้าศึกจะวางกลเปิดประตูเมืองไว้ โชคดีที่สูเหลียงเฮ่อเข้าแบกทานประตูเมืองไว้ทัน จึงทำให้เหล่าทหารที่หลงกลทั้งหมดรอดพ้นปลอดภัยได้ กระหม่อมไร้ความสามารถ จึงขอให้ฝ่าบาททรงประทานบำเหน็จรางวัลแก่สูเหลียงเฮ่อในฐานะที่ได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ "  ครั้นหลู่เซียงกงได้ทรงสดับรายงานจบ แทนที่พระองค์จะพิโรธ บนพระพักตร์กลับฉายแววพอพระทัยและรับสั่งถามอย่างร้อนรนว่า "ที่ท่านได้กล่าวถึงนี้ฤาจะเป็นทายาทของ พระมหาราชัน เฉิงทัง ?."  เมิ่งชุนเมี่ยกราบทูลว่า "ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"  หลู่เซียงกงทรงสราญฤทัยและตรัสว่า "ช่างดียิ่งนัก  เรามีเจตนาเช่นนี้มานานแล้ว ตามความเห็นของท่านแม่ทัพ คิดว่าควรปูนบำเน็จในตำแหน่งใดดี ?."  เมิ่งชุนเมี่ยได้กราบทูลตามที่ได้คิดไว้ล่วงหน้ามาก่อนว่า  "ขอเดชะ !  กระหม่อมมีความเห็นว่า ควรแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอที่อำเภอโจวพ่ะย่ะค่ะ"  หลู่เซียงกงทรงกวาดพระเนตรไปที่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ ตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายต่างเห็นกันเช่นไร ?." ขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นต่างกราบทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า "พระองค์ทรงพระปรีชาและวพ่ะย่ะค่ะ"  หลู่เซียงกงจึงรับสั่งให้นำราชสาส์นเชิญสูเหลียงเฮ่อเข้าเฝ้าโดยด่วน

        เนื่องจากตรอกเฉวียหลี่ห่างจากวังหลวงเพียง ๒ ลี้เศษ สูเหลียงเฮ่อจึงเดินทางถึงหน้าพระราชวังในเวลาไม่นานนัก หลังจากมหาดเล็กได้นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว หลู่เซียงกงจึงรับสั่งให้รีบเบิกตัวสูเหลียงเฮ่อเข้าเฝ้าในทันที  สูเหลียงเฮ่อได้เตรียมใจไว้อย่างดีแล้ว ดังนั้นจึงไม่เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด ครั้นเดินถึงหน้าพระราชวัง สูเหลียงเฮ่อได้จัดแต่งอาภรณ์และตบไล่ฝุ่นผงที่เกาะติดมาจากการเดินทาง ได้สืบเท้าก้าวตามมหาดเล็กกระทั่งถึงท้องพระโรง ท่ามกลางธารกำนัลทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ยืนเรียงรายทั้งสองฝั่ง สูเหลียงเฮ่อรีบสบัดแขนเสื้อ พร้อมคุดเข่าตามพระราชพิธีการเข้าเฝ้า และกราบบังคมทูลว่า "กระหม่อม สูเหลียงเฮ่อ ขอถวายบังคมฝ่าบาท"  หลู่เซียงกงทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์ ทรงพิจารณาสูเหลียงเฮ่ออย่างพินิจและโบกพระหัตถ์ตรัสว่า "ตามสบายเถอะ"   "ขอบพระทัยฝ่าบาท" สูเหลียงเฮ่อรีบลุกขึ้น และก้าวถอยไปยังท้ายสุดของขบวนฝ่ายบู๊     
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/06/2012, 18:03
ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 3

        หลู่เซียงกงตรัสว่า "ข้าได้ตระหนักดีว่าเจ้ามีคุณงามความดีต่อรัฐหลู่ ทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์อีกประการหนึ่ง  ข้าจึงขอมอบเงินให้ท่านสองพันตำลึงและขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นนายอำเภอแห่งอำเภอโจว"  สูเหลียงเห่อรีบเข้าออกมากลางท้องพระโรงและคุกเข่าลงกราบบังคมทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท"  หลู่เซียงกงตรัสว่า "ตามสบายเถอะ"  นายทหารได้ก้าวถอยกลับสู่ขบวนขุนนางตามเดิม  สูเหลียงเฮ่อได้กลับถึงบ้านด้วยเกียรติยศถาคภูมิอย่างมิอาจสรรหาสิ่งใดมาบรรยาย  เวลานั้น คณะขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ได้ทยอยมาแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง  จนทำให้สองสามีภรรยาต้องสาละวนต้อนรับอยู่มิขาด จวบจนพลบค่ำ แขกเหรือจึงค่อยบางตาลง  ขณะที่ทั้งสองพอมีโอกาสได้นั่งพักผ่อนลงบ้างนั้น  เมิ่งซุนเมี่ยได้เดินทางมาถึงพอดี  สูเหลียงเฮ่อรีบนำภรรยาพร้อมด้วยธิดาทั้งหลายออกต้อนรับ หลังจากทั้งสองได้นั่งลงตามธรรมเนียมและสนทนาปราศัยกันพอควรแล้ว เมิ่งซุนเมี่ยได้กวาดสายตาไปมา ซือซื่อ เข้าใจความหมายดี จึงได้นำธิดาทั้งหมดออกไป และปล่อยให้ผู้ชายทั้งสองได้พูดคัยกันตามลำพัง

        เมิ่งซุนเมี่ย เปิดอกพูดตรงไปตรงมาว่า  "บัดนี้ท่านใต้เท้าก็นับว่ามียศฐาบรรดาศักดิ์แล้ว แต่เท่าที่ข้าสังเกตุดู คิดว่าท่านคงจะมีเรืองกลุ้มใจอยู่กระมัง ?."  คำกล่าวของเมิ่งซุนเมี่ย เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดตรงกลางใจของผู้หาญศึก  สูเหลียงเฮ่อจ้องมองไปที่ใบหน้าของนายเก่า ด้วยอาการพิศวง  ได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบสะอื้นว่า "ท่านแม่ทัพช่างปราดเปรื่องดั่งเทพเจ้าเสียนี่กระไร !  ผู้ให้กำเนิดข้าคือบุพการี แต่ผู้ที่รู้ใจข้าคงมีแต่ท่านแม่ทัพกระมัง !"  เมิ่งซุนเมี่ยกล่าวว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนท่านจึงไม่ให้แม่สื่อช่วยหาหญิงงามอีกสักคนเล่า ?."  สูเหลียงเฮ่อตอบว่า "ข้าได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับภรรยาข้ามาช้านานมาตรว่าจะยังมิได้มีบุตรชายไว้เชยชมก็จริง  แต่ซือซื่อก็นับว่ามีมีพระคุณต่อข้าอย่างใหญ่หลวงยิ่ง หากจะให้มีใหม่ ... เกรงว่า ..."  "เช่นนี้จะเป็นไรไป" ที่แท้ก็เสียงซือซื่อที่บุกเข้ามาตัดบท  "เรื่องนี้ต้องขอรบกวนท่านแม่ทัพเมิ่งช่วยจัดการให้ด้วย ขอเพียงแต่นางผู้นั้นสามารถให้กำเนิดทายาทแก่สกุลข่ง  ข้าก็จะขอปฏิบัตินางให้เหมือนดั่งน้องร่วมสายเลือดโดยแท้"   เมิ่งซุนเมี่ย กล่าวด้วยความชื่นชมว่า "ท่านฮูหยินสามารถเข้าใจเช่นนี้ได้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก  หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะจัดการหาแม่สื่อให้" 

        หลังจากนั้นไม่นาน แม่สื่อได้แนะนำสตรีให้แก่สูเหลียงเฮ่อนางหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจ จึงตกลงรับไว้เป็นภรรยารอง  นางผู้นี้เป็นสตรีที่มีอัธยาศัยที่สามารถเข้ากับซือซื่อและลูก ๆ ทุกคนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ทั้งครอบครัวมีแต่ความสุขสำราญนับแต่นั้นเป็นต้นมา  ภายหลังสูเหลียงเฮ่อได้ย้ายครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานที่อำเภอโจว เพื่อรับตำแหน่งนายอำเภอตามพระราชโองการแต่งตั้ง

        เมื่อ ๕๕๗  ปีก่อนคริสตศักราช อันเป็นปีที่ภรรยารองของสูเหลียงเฮ่อครบกำหนดคลอดพอดี  ทุกคนในครอบครัวจึงต่างตั้งตารอคอยด้วยความดีใจ "อุแว้ ...อุแว้"  "ยินดีท่านใต้เท้า ท่านได้ลูกชายแล้วค่ะ"  "ลูกชาย"  สูเหลียงเฮ่อรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไมู่ถูก แต่เพียงสูเหลียงเฮ่ออุ้มลูกชายมาเชยชม ความดีใจกลับต้องกลายเป็นความผิดหวังในชั่วเวลาไม่นาน เขารู้สึกทำใจไม่ถูก ด้วยไม่ทราบว่าควรที่จะดีใจหรือเสียใจกับช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ดี เพราะบุตรชายที่ตนรอคอยมานานกลับต้องเป็นเด็กพิการนั่นเอง

        สูเหลียงเฮ่อได้ใช้เวลาอยู่นานกับการตั้งชื่อให้กับบุตรชาย และในที่สุดก็ได้ตั้งชืออันแสนประหลาดให้แก่ลูกของตนว่า  "เมิ่งผี"  ฉายา "ป๋อหนี"  โดยทั้งคำว่า เมิ่ง และป๋อ ต่างมีความหมายว่า "บุตรคนโต"  แต่สำหรับคำว่า "ผี "นี้  จะมีความหมายว่า "เป๋" อันชื่อที่ได้ตั้งให้แก่ "เมิ่งผี"  ก็เพียงพอที่จะเห็นความรู้สึกที่แสนระกำใจของสูเหลียงเฮ่อได้เป็นอย่างดี และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ภรรยารองของสูเหลียงเฮ่อก็ไม่ได้ตั้งท้องอีกเลย  สูเหลียงเฮ่อจึงต้องไปหารือกับเมิ่งซุนเมี่ยอีกครั้ง  ซึ่งครั้งนี้ก็ได้สร้างความลำบากใจให้แก่แม่ทัพเป็นอย่างมาก ได้กล่วว่า "หากท่านต้องแต่งงานใหม่ ท่านก็คงปฏิบัติตามจารีตโบราณคือต้องเลิกกับฮุหยินซือเสียแล้วล่ะ" 

        ซือซื่อเป็นสตรีผู้อารี เพื่อให้สามีได้มีบุตรชายได้สมความปรารถนาแล้ว ซือซื่อจึงสมัครใจจากไปด้วยความระทมทุกข์  เมิ่งซุนเมี่ย ได้ช่วยสืบเสาะอยู่พักหนึ่ง ทราบว่าที่เมืองฉวี่ฮู่  บ้านของสกุลเหยียน  มีบุตรตรีผู้เลอโฉมที่ยังครองโสดอยู่ถึงสามคน โดยทั้งสามต่างเพรียบพร้อมด้วยความสามารถอันครบด้าน จึงได้ฝากแม่สื่อช่วยแม่สื่อกลางให้  บ้านสกุลเหยียน เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ มีประตูสีแดงสดบานใหญ่ปิดป้องไว้อย่างมิดชิด แม่สื่อได้ก้าวขึ้นบันไดและเคาะประตูด้วยห่วงเหล็กหัวสิงโต 

        ขณะนั้น เหยียนเซียงกำลังอ่านสมุดไผ่ (ยุคสมัยซุนชิวยังไม่มีกระดาษใช้ ดังนั้นการบันทึกข้อความจึงเป็นการสลักบนไม้ไผ่ที่ถูกร้อยเข้ากันเป็นขด ดังนั้นจึงเรียกว่าสมุดไผ่)  อยู่ในห้องสมุด ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน จึงพักหนังสือไว้และออกไปเปิดประตูต้อนรับแแขก  หลังจากแม่สื่อเข้าไปในห้องโถง ได้เปิดอกพูดถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/06/2012, 17:38
ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 4

        เหยียนเซียงกล่าวว่า  "ข้าทราบเรื่องของสูเหลียงเฮ่อดี เพียงแต่สูเหลียงเฮ่อมีอายุมากกว่าลูกข้าตั้งมากมาย สำหรับเรื่องนี้ ข้าคงต้องถามความเห็นของลูก ๆ เสียก่อน ท่านโปรดรอสักครู่"  แม่สื่อโค้งกายเล็กน้อยและกล่าวว่า "ความเห็นของท่านชอบยิ่งแล้ว"  เหยียนเซียงจึงรีบเดินไปหลังบ้าน เห็นลูกสาวทั้งสามกำลังฝึกเซียนพู่กันจีนอยู่ จึงยังให้รู้สึกชื่นใจยิ่งนัก ครั้นลูกสาวทั้งสามได้เห็นผู้เป็นบิดามาถึง ต่างรีบลุกขึ้นกล่าวทักทายบิดาอย่างนอบน้อม สตรีทั้งสามล้วนเป็นสาวงามทรามวัยที่มีความสุภาพเรียบร้อย มาตรว่าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบเรียบง่าย แต่ก็นับว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง เหยียนเซียงกล่าวขึ้นอย่างตะขิดตะขวงว่า "ตอนนี้มีแม่สื่อของสูเหลียงเฮ่อมาขอลูกแต่งงาน"  ครั้นกล่าวจบก็นั่งสังเกตสีหน้าของลูกสาวทั้งสามอย่างสงบ มือพลางลูบเครายาวว่า "เขาคือทายาทของ อริยกษัตริย์เฉิงทัง อีกทั้งเป็นวีรชนผู้ลือลั่นในขณะนี้ หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเรา ก็ยังถือว่าเหมาะสมกันอยู่เพียงแต่ ... อายุเขาได้ย่างเข้า 51 ปีแล้ว ถือว่ามีอายุมากกว่าลูก ๆ ตั้งเท่าตัว ที่พ่อพูดเช่นนี้ มิทราบว่าลูกทั้งสามเห็นเช่นไร ?."  หญิงสาวทั้งสามต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ลูกคนโตและคนรองต่างก้มศรีษะโดยมิกล้าเอ่ยคำใด ๆ ส่วนลูกคนเล็กที่ชื่อว่า  "เหยียนเจิงจ้าย"  ได้แสดงกิริยาขวยอายหลบอยู่หลังพี่รอง และพูดด้วยอาการเคอะเขินว่า "ตามจารีตโบราณ ผู้เป็นบุตรก็ต้องเชื่อฟังโอวาทของบิดาเป็นธรรมดา ฉะนั้นเรื่องการแต่งงานก็ให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินใจเถอะ ไฉนท่านพ่อจึงมาถามพวกเราด้วย ?."  เหยียนเซียงเข้าใจดีว่านี่คือคำตอบรับของบุตตรี จึงรีบออกไปบอกรับแม่สื่อทันที

        หลังจากแม่สื่อได้รายงานให้สูเหลียงเฮ่อทราบ สูเหลียงเฮ่อได้จัดของกำนัลฝากแม่สื่อไปสู่ขอ พร้อมกับปรึกษาเลือกลัคนาวิวาห์ฤกษ์ด้วยเหยียนเซียง หลังเสร็จสิ้นงานวิวาห์  "เหยียนเจิงจ้าย "  ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของสกุล  "ข่ง"  ครั้นได้เห็น "เมิ่งผี" ก็เกิดความเห็นใจดังนั้นจึงให้ความเอ็นดูเมิ่งผีดุจดั่งสายเลือดของตนอย่างมิลำเอียง ซึ่งก็ได้เป็นกำลังใจให้แก่เมิ่งผีได้เป็นอย่างดี   สูเหลียงเฮ่อ ได้อยู่กินกับ เหยียนเจิงจ้าย เป็นเวลาสองปีแต่ก็ยังหาได้มีบุตรไม่ จึงทำให้สองสามีภรรยากลัดกลุ้มใจยิ่งนัก วันหนึ่ง เจิงจ้าย ได้กล่าวกับสูเหลียงเฮ่อว่า "ถึงแม้ข้าจะยังอายุน้อย แต่อายุของท่านพี่ก็ตั้งห้าสิบกว่าแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ดีเป็นแน่ ข้าเคยได้ยินว่าเทพารักษ์ที่ภูเขาหนีซิวศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เราน่าจะลองไปกราบขอบุตรจากท่านดูนะ ! "  สูเหลียงเฮ่อเห็นด้วย ทั้งสองจึงได้ตระเตรียมเครื่องบูชาให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น

        ครั้นอุษาทอสีทอง สองสามีภรรยาได้นั่งรถม้ามุ่งตรงไปยังภูเขาหนีซิวท่ามกลางบรรยายกาศอบอุ่นแห่งวสันตสมัยเมื่อ ๕๕๒  ปีก่อนคริสตศักราชเวลานั้นถ้วนบริเวณล้วนสะพรั่งด้วยดอกท้อสีแดงสด ใบหลิวพลิ้วสยายตามสายลม  เสียงวิหกเจื้อยแจ้วประสานเป็นบทเพลงแห่งสวรรค์ มนตราแห่งธรรมชาติ เหล่านี้ได้ตรึงใจเจิงจ้ายจนอดที่จะตื่นตะลึงกับความตระการตาที่ธรรมชาติได้มอบให้เสียมิได้  ในตอนนั้น รถม้าได้เคลื่อนอ้อมท้องนาเขียวขจี และลัดเลาะไปตามตลิ่งของแม่น้ำอี๋ที่ไหลทวนมาผผิวน้ำได้กระทบกับแสงทองยามอรุณทำให้สามารถเห็นภูเขาซังผิงทางทิศใต้กับภูเขาหนีซิวทางทิศเหนือที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอี๋อย่างเลือนลาง ภาพวาดด้วยฝีมือธรรมชาติผืนใหญ่นี้ ได้สร้างความรื่นรมย์ใจให้แก่ทั้งสองตลอดการเดินทาง 

        ภูเขาซังผิงจะทอดยาวจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก ส่วนภูเขาหนีซิวจะทอดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ จึงทำให้ภูเขาทั้งสองลูกนี้มาบรรจบกันเป็นประตูน้ำ จึงได้กลายเป็นหนองน้ำเล็ก ๆ ที่ใสเย็นดั่งแผ่นกระจกใหญ่ที่วางราบอยู่ระหว่างภูเขาทั้งสอง นกกระเรียนสีเทาและนกเป็ดน้ำนานาชนิดต่างบินประปรายหาจับปูปลาบนผิวหน้า นกบางตัวจะคาบปูปลาในจะงอยปากและบินผงาดไปกลางเวหา ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนประทับตาเจิงจ้ายจนทำให้อดคิดเสียมิได้ว่า  "นกเหล่านี้คงจะคาบอาหารไปเลี้ยงลูกอ่อนของมันกระมัง  แต่เราซิ !  เมื่อไหร่จึงจะสามารถเลี้ยงลูกของเราเองได้บ้างหนอ ?." 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/07/2012, 11:20
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 5

        รถม้าจอดที่เชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขาหนีซิว สูเหลียงเฮ่อรีบกระโดดลงจากรถม้า มาประคองเจิงจ้ายลงจากรถอย่างทะนุถนอม หลังจากทั้งสองได้จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ต่างนำสิ่งของเครื่องเซ่นที่จัดเตรียมไว้ปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขา ระหว่างทางได้เห็นตนสนเบียดชะลูดเป็นแนวไพร ทิวทัศน์เขียวชะอุ่มชุ่มขจี หยดน้ำที่เกาะติดบนใบหญ้าได้ต้องแสงอุษาจนเปล่งประกายดุจเม็ดอัญมณีสีรุ้งไปทั่วทุ่ง  ภาพภูเขาหนีซิวที่ต้องใจ ได้ทำให้ทั้งสองลืมความต่างลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการป่ายเขาไปเสียสิ้น ครั้นทั้งสองเดินถึงไหล่เขา ได้เห็นศาลเทพารักษ์แห่งหุบเขา ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ้งกว้างที่ปูลาดด้วยดอกไม้ป่าเหลืองอร่าม ทุ่งกว้างสีเหลืองได้ถูกปะแชมด้วยหญ้าอ่อนที่มีความอ่อนนุ่ม ดุจพรมสีเขียวผืนใหญ่ นกน้อยต่างแข่งขันประชันเพลงบนต้นไม้ ผีเสื้อดูเหมือนจะออกมารำร่ายไปกับจังหวะเพลงแห่งสกุณา ทัศนียภาพอันงดงามเหล่านี้ ได้ทำให้เจิงจ้ายถึงกับอุทานออกมาด้วยความประทับใจว่า "ช่างเป็นสวรรค์บนแดนดินโดยแท้"  ครั้นสูเหลียงเฮ่อได้ยินก็อดขำเสียมิได้ เพราะเขารู้สึกว่าภรรยาที่ยังสาวของตนคนนี้ยังติดความไร้เดียงสาของเด็กอยู่  สูเหลียงเฮ่อได้เข้าประคับประคองภรรยาของตนเดินตรงไปยังศาลเจ้าอย่างทะนุถนอม ทั้งสองต่างช่วยกันจัดส่งเครื่องเซ่นอย่างปราณีต แล้วจึงอธิษฐานขอพรประทานบุตรจากเทพารักษ์ด้วยความศรัทธา หลังจากกราบไหว้ขอพรเสร็จ ทั้งสองต่างเดินลัดเลาะลงเขาตามทางเดิม และขึ้นรถกลับบ้านท่ามกลางายัณห์สมัยด้วยความสำราญใจ 
        ตั้งแต่ได้กลับจากขอพรที่ภูเขาหนีซิวแล้ว เจิงจ้ายก็เปลี่ยนเป็นคนที่ร่าเริงสดใส อาหารการกินก็ทานได้มากยิ่งกว่าเก่า ร่างกายจึงอ้วนท้วนแข็งแรงขึ้นอย่างมากมาย    เหมันตฤดูของปีนั้น  เจิงจ้ายได้ตั้งครรภ์สมดังที่ใจปรารถนามานาน และทุกครั้งที่นางนึกถึงความรู้สึกของการเป็นมารดา จิตใจก็จะเปลี่ยนล้นด้วยความหวานชื่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ส่วนหนึ่งก็อดเป็นห่วงเสียมิได้ว่าลูกที่อยู่ในครรภ์ จะเป็นคนพิการเช่นเมิ่งผีหรือไม่  และทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เจิงจ้ายก็จะยิ่งดูแลเอาใจใส่เมิ่งผีมากขึ้นเป็นพิเศษ ตอนนั้น เมิ่งผี มีอายุห้าขวบบริบูรณ์  นางจึงเริ่มสอนให้รู้จักตัวหนังสือ สอนให้รู้จักการละเล่นทุกอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้เมิ่งผีมีความสนุกสนานและลดปมด้อยในจิตใจให้จางลง สิ่งเหล่านี้ที่เจิงจ้ายได้ทำก็ได้สร้างความประทับใจให้แก่สูเหลียงเฮ่อและมารดาบังเกิดเกล้าของเมิ่งผีเป็นอย่างมาก เขาทั้งสองจึงต่างเฝ้าอธิษฐานให้เจิงจ้ายประสบแต่ความสุขความเจริญอยู่เสมอ  เวลาครบกำหนดคลอดใกล้เข้ามาทุกที สูเหลียงเฮ่อและแม่ของเมิ่งผี ต่างสาละวนกับการตระเตรียมจนจ้าละหวั่น และบ่อยครั้งที่ซือซื่อก็มาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน เนื่องจากสูเหลียงเฮ่อทราบดีว่าภรรยาของตนชอบทิวทัศน์ที่ภูเขาหนีซิว จึงได้ตัดสินใจปลูกกระท่อมหลังน้อยที่เชิงเขาหนีซิวขึ้น หลังก่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้ขับรถม้าส่งเจิงจ้ายไปที่นั่นในวันต่อมา  เจิงจ้ายรู้สึกผูกพันกับที่นี้มากเป็นพิเศษ เวลานั้นตรงกับฤดูใบไม้ผลิ รอบเชิงเขาหนีซิวจึงปกคลุมด้วยดอกเบญจมาศป่าเหลืองสุกลูกหูลูกตา  เจิงจ้ายรู้สึกปลาบปลื้มปิติจนถึงกับลืมตัวว่ากำลังจะเป็นแม่คนในไม่ช้า เพราะความสวยงามแห่งธรรมชาติที่ยังมิได้ผ่านการเจียระไน ได้เป็นมนต์ขลังที่ทำให้เจิงจ้ายหลงใหลไปอย่างไม่รู้ตัว   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/07/2012, 12:14
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 6

        และในวันที่ ๑๗ เดือน ๘  ๕๕๑ ปีก่อนคริสตศักราช ตามจันทรคติ  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อุบัติขึ้นแล้ว เสียง "อุแว้" ก้องสนั่นไปทั่วหุบเขาสูเหลียงเฮ่อกระโดดโลดเต้นจนลมหายใจไม่เป็นจังหวะ ด้านหนึ่งต้องคอยดูแลเจิงจ้าย ส่วนอีกด้านหนึ่งต้องคอยดูอุ้มลูกเชยชมจนมิอยากวางมือ ทารกเป็นเด็กชายผิวคล้ำ รูปร่างดูแข็งแรง  สูเหลียงเฮ่อมีความสุขเสียจนมิอาจหุบยิ้มได้  "ช่างเหมือนข้าจริง ๆ ดูซิ !  ลูกรักของพ่อ !" แต่ความดีใจของผู้เป็นบิดาพลันต้องชะงัก เมื่อแววตาได้ไปสะดุดที่ศรีษะของทารกน้อย ที่แท้คือส่วนกลางของศรีษะมีรอยบุ๋ม ตะปุ่มตะป่ำสีดำประปราย รอบบริเวณรอยบุ๋มมีลักษณะนูนสูงจนดูคล้ายกับเนินดินมิปาน "ฮ่าย ! ไม่น่าเป็นรอยด่างพร้อยในเพชรน้ำหนึ่งเลย"  สูเหลียงเ่อนึกพ้ออยู่ในใจ ความรู้สึกที่ดีใจเมื่อสักครู่จึงเหือดหายไปกว่าครึ่ง สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหันของสูเหลียงเฮ่อได้สร้างความวิตกกังวลแก่เจิงจ้ายเป็นอย่างมาก  "หรือว่า ..." นางไม่กล้าจะคิดต่อไปอีก เขาอยากจะดูลูกของตน อยากจะจุมพิตลูกของตน แต่ ... นางเหมือนได้รับรู้อะไรบางอย่างจากสีหน้าของสามี ด้วยความอยากอุ้มลูก นางจึงกระเสือกกระสนชูแขนออกมา แต่แล้วก็ต้องหดแขนกลับไปใหม่ นางกลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกของตนจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเมิ่งผี เวลาอันแสนทรมานได้ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน นางได้ฮึดกำลังใจขึ้นอีกครั้งหนึ่ง "เอาลูกมาให้ฉันอุ้มหน่อยสิ"   สูเหลียงเฮ่อส่งลูกให้เจิงจ้าย เจิงจ้ายรีบเปิดผ้าสำรวจดูอย่างถ้วนถี่ ตอนนี้นางรู้สึกโล่งอกเหมือนได้ปลดหินก้อนโตออกจากทรวง เด็กน้อยคนนี้มีใบหน้าทรงเหลี่ยม คิ้วดก ตาโต
        "ใช่จริง ๆ เหมือนพ่อของเขามากเสียด้วย"  ความจริงนางต้องการจะเก็บคำพูดนี้ไว้ในใจ แต่ไม่รู้ว่ามันหลุดปากไปได้อย่างไร สูเหลียงเฮ่อพูดออกมาด้วยอาการผิดหวังว่า "แต่น่าเสียดายที่หัวลูกมีไอ้ของสกปรกนั่น" ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา นางลูบคลำศรีษะของลูกและพูดว่า "อันนี้เป็นของธรรมดาสำหรับทารกแรกเกิด ฉันเคยได้ยินเขาพูดกันว่า เด็กที่มีรอยปุ่มป่ำสีดำนี้ โดยมากแล้วจะมีความฉลาดมากเป็นพิเศษ ดีไม่ดีลูกของเราอาจจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หรืออาจจะสร้างคุณความดีอันใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติในอนาคตก็ได้"  ครั้นสูเหลียงเฮ่อได้ฟังก็มิอาจระงับความปิติในใจได้อีก เขารีบอุ้มลูกมากอดอย่างแนบแน่น และจุมพิตตรงกลางศรีษะอย่างทะนุถนอม  เจิงจ้ายได้เห็นความปิติของสามีเช่นนี้ จิตใจก็พองโตจนน้ำตาอาบแก้ม นางรีบเช็ดคราบน้ำตาและพูดว่า "ท่านพี่ รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ"  "ใช่ !ใช่ !  เราควรตั้งชื่อให้แก่ลูกของเรา"  สูเหลียงเฮ่อพึมพำอยู่คนเดียวหากแต่สายตายังคงจับจ้องมองลูกชายอย่างไม่ลดละ ภายในใจนึกตรึกตรองอยู่พักใหญ่  เมื่อหนึ่งปีก่อน เราเคยมาขอลูกที่ภูเขาหนีซิวแห่งนี้ และลูกของเราก็ยังมีรอยปุ่มป่ำสีดำบนศรีษะอีก หากว่าลูกของเรามีความเฉลียวฉลาดเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องตั้งชื่อให้ลูกว่า "ชิว "(เนิน) ฉายา จ้งหนี" เจ้าเห็นว่าอย่างไร "  เจิงจ้ายตอบว่า "ท่านพี่ตั้งได้เหมาะสมแล้ว  ในภายหลังเพื่อเป็นการให้เกียรติและไม่เป็นการเสียมารยาทแก่ท่านขงจื่อ ภูเขาหนีซิว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นภูเขาหนีซาน
        ย้อนกล่าวถึงสูเหลียงเฮ่อ หลังจากได้บุตรชายแล้ว ใบหน้าก็ยิ้มแย้มแช่มชื่นตลอดทั้งวัน เมื่อลูกชายครบเดือน สูเหลียงเฮ่อได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับลูก เพื่อนสนิทมิตรสหายต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง  ข่งชิว มีความเฉลียวฉลาดและร่าเริงมาแต่เยาว์วัย ทุกคนในครอบครัวจึงต่างให้ความรักความเอ็นดูเสมือนหนึ่งแก้วตาดวงใจ ในแต่ละวัน เจิงจ้ายจะคอยอุ้มคอยดึงข่งชิวมิให้ห่าง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี สำหรับคนที่ไม่รู้ความจริง ก็จะเข้าใจว่าเจิงจ้ายเป็นมารดาแท้ ๆ ของเมิ่งผีไปเสียหมด  เวลาผ่านไปรวดเร็วดุจกระแสแล่น เวลานั้น ข่งชิวอายุครบสามขวบแล้ว และก็เป็นจริงอย่างที่วาไว้คือ  ข่งชิวมีความฉลาดเกินคน เมื่อตอนที่สองสามีภรรยาสอนข่งชิวให้หัดพูด เพียงสอนครั้งเดียว ข่งชิวก็สามารถท่องจนขึ้นใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น ทั้งสองจึงรักและเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน ทั้งสองสามีภรรยาต่างก็รู้สึกเห็นใจเมิ่งผี  ได้แต่โทษดวงชะตาว่าช่างไม่ยุติธรรมกับเด็กคนนี้เสียจริง ๆ  และแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทั้งสองก็จะยิ่งให้ความรักความอบอุ่นกับเมิ่งผีมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งนานวันเข้า เมิ่งผีก็ให้ความเคารพรักและปฏิบัติต่อเจิงจ้ายเสมือนหนึ่งมารดาบังเกิดเกล้าจริง ๆ ท่ามกลางบรรยายกาศที่อบอวลด้วยความรัก ทั้งครอบครัวจึงมีแต่ความอบอุ่นอันเหมือนเช่นสวรรค์บนดินก็มิปาน 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ภูเขาหนีชิวที่งดงาม 7
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/07/2012, 14:15
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 7

        แต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่จีรัง
วันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อเกิดล้มป่วยลงกระทันหัน ในเริ่มแรกทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เพราะคนที่ฝึกวิทยายุทธและร่างกายแข็งแรงกำยำ ขอเพียงรำมวยสักพักหนึ่ง อาการหวัดก็จะหายไปเองโดยพลัน  แต่อาการป่วยไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเท่านั้น หากแต่ร่างกายกลับทรุดหนักลงทุกวัน  มีอาการวิงเวียนศรีษะ และเหงื่อไหลโทรมกายตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น ทุกคนจึงเริ่มหวั่นวิตกและรีบตามหมอมารักษากันเป็นพัลวัน เจิงจ้ายจะเป็นคนคอยต้มยา และอยู่ปรนนิบัติตลอดทั้งวันและคืน แต่อาการได้หนักถึงขั้นกระษัยแล้ว ไม่ว่าจะทานยาอะไรก็ไม่เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น  คืนวันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อฟื้นจากอาการสลบไสล เขารู้ตัวว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงกุมมือเจิงจ้ายทั้งน้ำตา และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า "ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พวกเจ้าและลูก ๆ คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตต่อไปในอนาคตก็คงต้องลำบากไม่น้อย  ข่งชิวเป็นลูกของข้า เด็กคนนี้มีความฉลาดเกินคน ถ้าหากได้รับการอบรมอย่างเหมาะสม อนาคตก็จะไปไกลไม่น้อย แต่ ... ที่ข้าเป็นห่วงที่สุดคือ เมิ่งผี  เขาไม่เพียงแต่มีสติปัญญาน้อยกว่า หากแต่ร่างกายยังมีความพิการอีกต่างหาก ข้าจึงอยากจะขอร้องเจ้า ให้เห็นแก่การที่เราได้เป็นสามีภรรยากัน ขอให้เจ้าตั้งใจเลี้ยงดู เมิ่งผี ให้ดี ๆ ให้เขาได้ ..."
        สูเหลียงเฮ่อเริ่มหายใจติดขัด น้ำเสียงยิ่งแผ่วเบาลงมากขึ้นทุกที  ตอนนี้ เจิงจ้ายได้ร่ำไห้เสียใจจนน้ำตาอาบชุ่มใบหน้าไปเสียแล้ว นางแนบหูที่ปากของสามี  แต่ก็หาได้ยินเสียงพูดของสูเหลียงเฮ่ออีกไม่  เจิงจ้ายจึงรีบตั้งสติและกล่าวขึ้นด้วยความหนักแน่นว่า  "ถึงแม้เมิ่งผีจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของข้า แต่เขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลข่ง ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลเมิ่งผีให้ดีที่สุด" สูเหลียงเฮ่อพยายามใช้มือประคองตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำได้เช่นนั้นอีก เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่พูดออกมาว่า "หาก ... เจ้า ... สามารถ ... ดูแล ... เมิ่งผี ...ได้ ... แม้ข้าจะอยู่ในปรภพ ... ข้าก็ ... นอนตาย ... ตาหลับ ... แล้ว ..." เพียงพูดจบ สูเหลียงเฮ่อก็สิ้นใจจากไป  เจิงจ้ายร้องไห้เสียใจจนแทบน้ำตาจะเป็นสายเลือด "ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน" 
        สำหรับครอบครัวที่มีแต่เด็กและผู้หญิงเช่นนี้ การตายของสูเหลียงเฮ่อจึงนับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่  แต่เจิงจ้ายก็ทำตัวสมกับเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งนางสามารถระงับอารมณ์โศกเศร้า และตั้งสติด้วยความรวดเร็ว หลังจากเสร็จสิ้นงานอวมงคลพิธีของสามี นางได้ชะลอศพสามีไปฝังไว้บนภูเขาฝังชาน และนับแต่นั้น นางต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว  เวลานั้น ลูกสาวทั้ง ๙ ของสูเหลียงเฮ่อได้แต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว จึงทำให้สมาชิกครอบครัวเหลืออยู่เพียง ๔ คน  เจิงจ้ายเข้าใจดีว่า สมบัติต้องมีวันใช้หมดในสักวันหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีทุนทรัพย์สำหรับเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงแบกรับภาระบริหารครอบครัวไว้ทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เป็นอย่างดี
        เวลานั้น เมิ่งผี อายุได้ ๙ ขวบ แล้ว เจิงจ้ายจึงนำไปฝากที่สำนักศึกษา แต่ก็มีเด็กเกเรบางคนที่มักจะเอาความพิการของเมิ่งผีมาเยาะเย้ยให้อับอายอยู่ตลอดเวลา  ครั้งหนึ่ง เมิ่งผีได้ถูกเพื่อน ๆ กลั่นแกล้งด้วยการแอบเอาไม้เท้าไปซ่อนไว้ จนไม่สามารถกลับบ้านได้ เด็กน้อยจึงได้แต่ร้องไห้บนโขดหินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ  กระทั่งพลบค่ำ เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผี จึงมาพากลับบ้าน หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกต่อไป     
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/07/2012, 10:29
ครูคนแรก

          หลังจาก เมิ่งผี ถูกเพื่อน ไ เยาะเย้ยรังแก เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ไปสำนักศึกษาอีกต่อไป แม้นเจิงจ้ายและมารดาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล เจิงจ้ายรู้สึกจนปัญญาจึงถอนใจขึ้นว่า  "เด็กคนนี้กำพร้าพ่อมาแต่เด็ก ทั้งยังเป็นเด็กพิการอีก ปมด้อยจึงมีไม่น้อย เอาเถอะ ! ให้เมิ่งผีอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน นับแต่นี้ ข้าจะเป็นคนสอนหนังสือให้เอง" ครั้นมารดาของเมิ่งผีได้ฟัง ก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันจนมิอาจบรรยาย  เจิงจ้าย เป็นสตรีที่เติบโตในครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยศิลปวรรณกรรม ดังนั้น จึงได้รับการอบรมศึกษามาแต่เยาว์วัย วิชาความรู้จึงนับว่าไม่น้อยหน้าใครในละแวกนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจิงจ้ายนอกจากทำงานบ้านและเลี้ยงดูข่งชิวแล้ว นางยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี แม้นว่าเมิ่งผีจะเป็นเด็กหัวช้า แต่นางก็ยังคงอบรมสอนสั่งเมิ่งผีด้วยความอดทน  เมิ่งผีได้รับการอบรมจากเจิงจ้าย จึงทำให้วันเวลาเปี่ยมไปด้วยความสุขเสมอมา ด้วยความสำนึกในพระคุณ เมิ่งผีจึงเคารพรักเจิงจ้ายเหมือนมารดาอีกคนหนึ่ง ปกติจึงมักเรียกเจิงจ้ายว่าคุณแม่อย่างนั้น คุณแม่อย่างนี้ จนทำให้เจิงจ้ายรู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก และนอกเหนือจากเวลาเรียนแล้ว เมิ่งผีก็ยังใช้เวลาเที่ยวเล่นกับข่งชิวอยู่เสมอ สองพี่น้องจึงมีความสนิทสนมรักใคร่กันเป็นอย่างมาก

        จากนั้นไม่นาน พวกเขาต้องย้ายบ้านจากโจวอี้ ไปที่ ฉวี่ฮู่ ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเดิม อันเมืองฉวี่ฮู่นั้นเป็นสถานที่ที่ทั้งเจริญและแออัดคับคั่งที่สุดในรัฐหลู่  ส่วนบ้านที่ย้ายไปอยู่ก็เป็นเพียงกระท่อมหญ้าที่ต่อกันไม่กี่หลัง ตัวบ้านมีระเบียงรูปทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่นตามประสาชนบท หากนำไปเทียบกับถนนหนทางที่เจริญแล้ว สถานที่แห่งนี้จะมีความสงบร่มเย็น จนดูเหมือนเป็นมุมหนึ่งที่ถูกโลกทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้ กลับกลายเป็นสถานที่ ๆ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังเจริญวัยอยู่ เมื่อข่งชิว อายุได้หกขวบ  แววตาของข่งชิวดูหนักแน่นเป็นประกาย ร่างกายก็ดูสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นสำหรับอาณาจักรกระท่อมหญ้าแห่งนี้จึงไม่อาจเป็นที่พึงใจแก่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้อีก เพราะข่งชิวได้แต่ร้องขอไปเที่ยวนอกบ้านตลอดเวลา 

        ในวันนี้เป็นวันเทศกาลที่ตรงกับวันเหมายัน* (เป็นจุดที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงราววันที่ ๒๒ ธันวาคม อันเป็นจุดที่ฤดูหนาวมีเวลากลางคืนนานกว่ากลางวันมากที่สุด) ตามจันทรคติ ซึ่งเป็นวันที่รัฐหลู่จะทำพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง สำหรับพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้งนี้ จะเป็นมหาพิธีที่ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจนแห่มามุงดูเป็นจำนวนมาก พิธีนี้จะมีความสำคัญที่สุด ในหมู่พิธีทั้งหลาย หากเวลานั้นได้มีบุคคลสำคัญของรัฐถึงแก่อนิจกรรมและตรงกับวันมหาพิธี พิธีศพยังต้องเลื่อนหมายออกไป เพราะไม่ว่าใครก็ไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะเลื่อนกำหนดวันมหาพิธีนี้ได้ทั้งสิ้น และสำหรับปะรำพิธีที่ใช้สำหรับบูชาฟ้าในครั้งนี้ ก็ได้กำหนดให้จัดขึ้นที่ด้านนอกของประตูเมืองทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำฉีสุ่ย

        ยามอรุโณทัย ข่งชิวและพี่ชายเพิ่งจะตื่นนอน เจิงจ้ายก้าวเข้ามาพูดกับข่งชิวว่า "ข่งชิว ลูกมิใช่บ่นแต่จะออกไปเที่ยวนอกบ้านหรอกหรือ ?. พอดีวันนี้เป็นวันบูชาฟ้ากลางแจ้ง ลูกทำไมไม่ลองไปขอให้พี่เมิ่งผีพาไปเที่ยวล่ะ ?." ถึงแม้ข่งชิวจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง เพียงแค่ได้ยินว่ามารดาได้อนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้เท่านั้น เด็กน้อยก็ถึงกับดีใจจนกระโดดโลดเต้นเสียแล้ว "ไชโย ! จะได้ออกไปเที่ยวแล้ว" เจิงจ้ายเรียกเด็กทั้งสองมาทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย  หลังจากได้ใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้กับเด็กทั้งสองเสร็จก็สั่งกำชับว่า "เมิ่งผี เจ้าเป็นพี่ เจ้ารู้อะไรได้ดีกว่า ฉะนั้นต้องนำน้องให้ดี ๆ นะ ข่งชิว พี่เจ้าเดินเหินไม่สะดวก ลูกต้องคอยดูแลพี่ของลูกด้วย อย่าเอาแต่เล่นอย่างเดียวล่ะ" จิตใจของข่งชิวตอนนี้ได้ล่องลอยเหมือนนกที่โผบินออกนอกกรงจนไม่มีใครสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้อีกแล้ว
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/07/2012, 09:50
ครูคนแรก 1.

        เมืองหลวงของรัฐหลู่กว้างขวางใหญ่โต ลำพังแค่ถนนที่ตัดขนานในทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกก็มีจำนวนถึง ๑๑ สายใหญ่ ส่วนถนนที่ตัดเป็นแนวฉากจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ก็เป็นจำนวนถึง ๗ สายใหญ่ ซึ่งถนนสายนี้ได้ตัดสานกันไปมา เฉพาะถนนสายที่กว้างที่สุดก็มีความกว้างถึง ๖ จั้งกว่า (๑จั้ง = ๓.๕ เมตร) ส่วนร้านขายของที่เปิดเรียงรายอยู่สองฝั่งทางก็มีมากมายจนมิอาจนับถ้วนได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุรา  ร้านอาหาร  รวมทั้งพ่อค้าวาณิช ที่สัญจรไปมาต่างก็เดินเบียดเสียดจนดูครึกครื้นเจริญตายิ่ง  ข่งชิว ชื่นชมยินดีจนดวงตาลุกวาวเป็นประกาย เดี๋ยวมองซ้ายแลขวา เดี๋ยวเหลียวหน้าแลหลัง จนบางครั้งรู้สึกแค้นใจตนที่เกิดมามีเพียงแค่สองตา ข่งชิวเดินชมพลางพูดกับพี่ชายว่า "พี่ ! พี่ ! รีบดูรถคันนั้นสิ สวยงามจริง ๆ เลย อู้ฮู !  บ้านนั้นสูงเหลือเกิน ! ดูม้านั่นสิ ... "  ข่งชิวทั้งวิ่งเต้นทั้งกระโดด ทั้งหัวเราะทังส่งเสียงดัง จนทำให้เป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก  ส่วน เมิ่งผี แต่เกิดมาก็มีอุปนิสัยที่เก็บตัวกอปรกับมีความพิการมาแต่กำเนิด จิตใจจึงประหวั่นพรั่นกลัวว่าผู้คนจะตำหนิ ดังนั้นจึงไม่ยอมพูดจาและเดินกระโผกกระเผกตามหลังข่งชิวไปอย่างเขินอาย  แต่เพื่อป้องกันมิให้น้องวิ่งพลัดหายไป เมิ่งผีจึงนำไม้เท้าข้างซ้ายให้ข่งชิวถือไว้ ส่วนมือซ้ายของเมิ่งผีก็จะพาดประคองไว้บนบ่าของข่งชิว พอเดินได้สักพักหนึ่ง เมิ่งผีสังเกตเห็นข่งชิวเหนื่อยอ่อนจนเหงื่อโชกเต็มใบหน้า จึงรีบนำไม้เท้ากลับมาพยุงน้ำหนักตัวดังเดิม และถามข่งซิวด้วยความเห็นว่า "น้อง ! เหนื่อยหรือเปล่า ?."  ข่งชิว เป็นคนที่มีอุปนิสัยเข้มแข็ง ไหนเลยที่จะยอมรับว่าเหนือ่ยได้ "ไม่เหนื่อยเลยสักนิด ! "  เด็กน้อยยืดอกกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น  เมิ่งผีพูดว่า "พวกเราเดินช้าหน่อยดีไหม ?."  เมิ่งผีกล่าวเหมือนขอความเห็น แต่ความจริงคือการขอความเห็นใจ  ข่งชิวเป็นเด็กที่ฉลาดเกินวัย ไหนเลยจะไม่รู้ได้ ดังนั้น จึงรู้สึกละลายใจที่เอาแต่ห่วงเล่นโดยไม่สนใจในความรู้สึกของพี่ชาย แต่ เอ ... จะพูดอะไรดีนะ ?. ดวงตากลม ๆ ของข่งชิวตอนนี้ได้กลอกไปมาอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมได้สักที จึงได้แต่พยักหน้ารับคำตามที่พี่ชายขอ
        พี่น้องสองคนเริ่มเดินทางต่อ แต่คราวนี้ เมิ่งผีจะพยุงไม้เ้ท้าด้วยตัวเอง ส่วนข่งชิวก็จะคอยพยุงพี่ชายและก้าวเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง  ประตูเมืองหลู่มีทั้งสิ้น ๑๑ บาน แต่ตอนนี้กลับมีผู้คนเบียดเสียดจนเนืองแน่นไปเสียแล้ว  เมิ่งผี และ ข่งชิว จึงต้องคอยแหวกฝูงชนเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่เนื่องจากตัวเล็กกว่าเขามากมาย จึงถูกฝูงชนเบียดออกมาในที่สุด ข่งชิวรู้สึกกลัดกลุ้มร้อนใจเป็นยิ่งนัก จึงได้แต่ส่ายหน้าถอนใจด้วยความเสียดาย ในทันใด ดวงตาของข่งชิวก็ลุกโตเป็นประกาย เขาพบว่าทางทิศใต้ที่ห่างออกไปไม่ไกล มีเนินดินที่ก่อเป็นฝายน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ข่งชิวไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายเหตุผลแก่เมิ่งผีได้อีก จึงรีบฉุดดึงพี่ชายไปทางฝายน้ำ ครั้นขึ้นไปบนเนินฝายน้ำ ได้เห็นแท่นบูชาตั้งตระหง่านงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงชนอันหนาแน่น ข้าวของรอบปะรำพิธีได้ถูกจัดวางไว้อย่างบรรจง ข่งชิวพิศมองอย่างหลงใหล ทั้งยังวาดมือวาดเท้าตามพิธีกรที่อยู่ท่ามกลางมณฑลพิธีแห่งนั้นจนจบพิธี  แม้พิธีการเซ่นไหว้จะจบลงไปแล้วแต่อารมณ์ความรู้สึกของข่งชิวยังคงตรึกใจอยู่มิเลือนหาย ข่งชิวรู้สึกทึ่งกับความงดงามของพิธีเป็นเวลานาน จนกระทั่งฝูงชนได้แยกย้ายกลับกันหมดแล้ว จึงค่อยยอมเดินตามเมิ่งผีกลับด้วยความรู้สึกที่ยังอาวรณ์   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/07/2012, 16:54
ครูคนแรก 2

        เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผี ได้ชะเง้อคอยเด็ก ๆ อยู่หน้าบ้านอย่า่งกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว ครั้นได้เห็นเด็กทั้งสองเดินมาแต่ไกล จิตใจของทั้งสองจึงรู้สึกโล่งอกลงไปอย่างมาก ครั้นกลับมาถึง ข่งชิวจะวาดท่าวาดทางพลางเลียนเสียงสำเนียงทั้งหมดที่ได้เห็นให้มารดาฟังอีกรอบหนึ่ง ส่วนเมิ่งผีจะอยู่คอยตอบคำถามของมารดา ถึงแม้จะต่างคนต่างพูดจนวุ่นวาย แต่ทั้งสองต่างก็ซบอยู่ในอ้อมอกเพื่อดื่มด่ำกับไออุ่นของมารดาอย่างมีความสุข  หลังจากได้เปิดหูเปิดตาในครั้งนี้แล้ว ข่งชิวก็บังเกิดความสนใจต่อพิธีบูชาขึ้นอย่างมากมาย และทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีการจัดพิธีบูชาขึ้น เด็กน้อยก็จะมารบเร้าให้พี่ชายพาไปดูด้วยอยู่มิขาด แต่ด้วยเพราะเมิ่งผีเดินเหินไม่สะกดวกประการหนึ่ง อีกด้วยเพราะเป็นคนรักสันโดษอีกประการหนึ่ง หลังจากไปดูด้วยกันสองครั้งแล้วก็ไม่ยอมไปด้วยอีก แต่สิ่งนี้ก็หาได้เป็นอุปสรรคให้ข่งชิวละความพยายามไม่  ในราชธานีของเมืองหลู่ จะมีศาลบรรพชนหลวงอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับบูชาพระอริยโจวกง เพราะโจวกงได้รับพระราชทานแต่งตั้งจาก พระเจ้าโจวอู่หวัง ซึ่งเป็นพระเชษฐา ให้เป็นเจ้านครแห่งรัฐหลู่ มาตรว่าจะยังไม่ได้ประกอบพิธีอภิเษกตามราชพิธี ด้วยมีราชกิจอันจำเป็นก็ตาม แต่ก็นับว่าได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบแห่งราชสำนักแล้ว ดังนั้น ศาลของโจวกงในสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่าศาลบรรพชนหลวงเสมอมา ซึ่งในภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดหลวงโจวกง สำหรับพระอริยเจ้าโจวกงถือเป็นปฐมบรรพบุรุษแห่งัฐหลู่ ในสมัยนั้น ฉะนั้น จึงมีพิธีบูชาอยู่เนือง ๆ และทุกครั้งที่มีพิธีบูชา ข่งชิวก็จะรีบวิ่งไปชมดูมิขาด  โดย ข่งชิวจะสังเกตทุกกิริยาท่าทางของพิธีกรที่ร่วมในพิธีการอย่างมิกระพริบสายตา และเนื่องด้วยข่งชิวมีความจำเป็นเลิศฉะนั้นเพียงดูไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียนรู้ระเบียบพิธีนั้นได้ทั้งหมด
        วันหนึ่ง  ข่งชิวได้นำเศษเงินที่มารดาให้ไปซื้อภาชนะเครื่องบูชาจากร้านขายของเล่น ครั้นหอบกลับบ้านก็นำมาจัดวางตามระเบียบพิธีและเริ่มพิธีการนั้นขึ้น ข่งชิวมักจะชวนเมิ่งผีมาเล่นด้วยอยู่บ่อยครั้ง แต่เนื่องจากเมิ่งผีต้องเดินกระโผกกระเผก เพียงไม่กี่ครั้งก็ปฏิเสธข่งชิวและเอาแต่เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง สุดท้ายข่งชิวจึงต้องฝึกเล่นแต่เพียงผู้เดียว และทุกครั้งที่ข่งชิวดำเนินพิธีการ ข่งชิวจะมีความจริงจังและทำเช่นนี้อยู่ทุกวันโดยมิรู้สึกเบือหน่ายแต่อย่างใด สำหรับคำประกาศของพิธีกรประธาน อีกทั้งระเบียบท่าทางของพิธีกรสนามทั้งหมด ข่งชิวล้วนสามารถเลียนแบบได้อย่างสมจริงทั้งสิ้น
        ในเริ่มแรก เจิงจ้ายมิได้ติดใจอะไรแต่ระยะหลังเห็นข่งชิวเอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนจนเสมือนว่ากำลังเพ้อคลั่งปานนั้น จึงถามข่งชิวด้วยท่าทีขึงขังว่า  ลูกฝึกอย่างนี้ทุกวัน หรือลูกคิดจะเป็นพิธีกรเหมือนอย่างพวกที่ดูแลวัด อย่างนั้นหรือ"  ข่งชิวเบ้ปากแย้งว่า "ก็แม่เอาแต่สอนพี่อ่านหนังสือ ไม่เห็นสอนลูกเลย ถ้าลูกไม่เล่นเป็นพิธีกรแล้วจะให้ลูกเล่นอะไรล่ะ ?."  ครั้นเจิงจ้ายได้ยินว่าลูกอยากเรียนหนังสือก็รู้สึกยินดียิ่ง "ถ้าลูกอยากเรียนหนังสือก็มิใช่เรืองยาก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ลูกก็ไปเรียนหนังสือกับพี่เมิ่งผี  แม่จะเป็นคนสอนลูกเอง แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องตั้งใจเรียนอย่าได้เอาแต่เล่นอีก !"  เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเจิงจ้ายเสร็จจากงานบ้านแล้ว ได้หยิบสมุดไผ่ออกมากางบนโต๊ะ และบรรจงเลือกตัวหนังสือที่จดจำได้ง่ายกว่า ๓๐๐ คำไว้สำหรับให้ข่งชิวได้อ่านท่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน  แต่คาดไม่ถึงว่า ข่งชิวจะใช้เวลาเพียงไม่ถึงวัน ก็สามารถท่องจำตัวอักษรทั้ง ๓๐๐ กว่าคำได้หมดด้วยการผ่านตาเพียงครั้งเดียว ความปลาบปลื้มได้เอ่อล้นอยู่ในดวงใจของเจิงจ้าย จนทำให้อดคิดถึงอดีตที่ข่งชิวเพิ่งเกิดเสียมิได้ จำได้ว่าในตอนนั้นนางเพียงพูดเล่นเพื่อให้สามีสบายใจเท่านั้น นางมองไปที่ลูกของตนด้วยแววตาเอ็นดู และเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ข่งชิวได้เติบโตผึ่งผายเหมือนบิดา ไม่มีผิด จึงยิ่งรู้สึกปิติจนมิอาจพรรณาด้วยคำพูดใด นางได้แต่ภาวนาขอพรต่อฟ้าเบื้องบน ขอให้ลูกของตนได้เป็นเสาหลักของชาติต่อไปในอนาคต 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/07/2012, 17:27
ครูคนแรก 3  : 

       "แม่ ! ลูกเรียนหมดแล้ว"
เสียงแหลมเล็กของข่งชิวได้ปลุกเจิงจ้ายให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ข่งชิวดึงมือของนางส่ยไปมา  "แม่ ! ลูกอยกจะเรียนอีก" เจิ่งจ้ายเกรงว่าลูกจะเกิดความเบื่อหน่ายเสียก่อนจึงพูดว่า "ไว้พรุ่งนี้ค่อยเรียนต่อเถิอะนะ"  ข่งชิวเบ้ปากพูดออดอ้อนว่า "แม่สอนพี่เมิ่งผผีเรียนทุกวันแต่สอนลูกแค่นิดเดียวก็ไม่สอนแล้ว อย่างนี้มิใช่ลำเอียงหรอกหรือ"  ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า "ลูกต้องตั้งใจทบทวนตัวอักษร ๓๐๐ คำนี้ก่อนแล้วพรุ่งนี้แม่จะสอนให้ใหม่ และแม่จะทดสอบลูกในวันพรุ่งนี้ด้วย"  ข่งชิวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จึงพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ  ค่ำคืนวันนั้น ข่งชิวโหวกเหวกจะขอนอนกับเมิ่งผีให้ได้ด้วยความรู้สึกเห็นใจและสงสาร เจิงจ้ายจึงไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าข่งชิวจะไปรบกวนเวลาพักผ่อน แต่มารดาของเมิ่งผีก็ได้ช่วยข่งชิวอ้อนวอนอีกแรงหนึง เจิงจ้ายจึงต้องจำยอมอนุญาตในที่สุด และครั้นสองพี่น้องได้นอนอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งสองต่างกุมมือก่ายขาเพื่อให้เกิดไออุ่น ครั้นแขนขาได้อบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ข่งชิวก็กดเสียงพูดขึ้นว่า "พี่ ! พรุ่งนี้แม่จะสอบตัวอักษรที่เรียนในวันนี้ น้องจะเขียนให้พี่ดูก่อนว่าถูกหรือเปล่านะ"  เมิ่งผีพูดว่า "ตอนนี้ห้องมืดมิดไปหมด จะเห็นได้อย่างไร?. ข่งชิวได้คิดวิธีไว้แต่แรกแล้ว จึงกล่าวว่า "น้องจะเขียนไว้ที่ฝ่ามือพี่"  "อย่างนั้นหรือ"  เมิ่งผีรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงตอบรับคำขอไป ข่งชิวกุมมือพี่ชายมาทาบไว้ที่อก และบรรจงเขียนตัวอักษรไว้ที่ฝ่ามือ พลางอ่านออกเสียงตามที่เขียนว่า "ฟ้า ดิน ปู่ ย่า บรรพชน ..." หลังจากเขียนได้ประมาณสี่ห้าสอบตัว น้ำเสียงของข่งชิวเริ่มแผ่งลงและหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว ทุกสิ่งในห้องได้ตกอยู่ในความเงียบสงัด เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเด็กน้อยทั้งสอง โดยที่ข่งชิวยังคงกุมมือของเมิ่งผีไว้แนบแน่น  แสงอุษาทอแสงบ่งบอกถึงวันใหม่ ยามเมื่อเปิดประตูก็เห็นปุยหิมะพลิ้วลอยอยู่ทั่วนภา ปุยหิมะได้ทับถมจนสูงท่วมหัวเข่า สวนแมกไม้ที่เคยเขียวขจี บัดนี้ได้ถูกปกคลุมด้วยหิมะจนขาวโพลนไปทั่ว เสียงหิมะร่วงหล่นจากต้นไม้ดังเป็นระยะ ๆ ส่วนระเบียงทางเดินก็ถูกอัดแน่นด้วยหิมะจนมิอาจสัญจรได้อีก ทุกคนจึงระดมแรงช่วยกันกวาดหิมะออกจากระเบียง แสงประกายอันขาวนวสในยามเช้าได้ส่องสว่างจนเด็กทั้งสองลืมตาไม่ขึ้น เด็กทั้งสองเริ่มลงมือกวาดหิมะออกจากระเบียง แม้นทั้งสองจะถือไม้กวาดเตรียมกวาดหิมะอย่างเอาจริงเอาจังก็ตาม  แต่ความจริงแล้วเป็นการเล่นหิมะต่างหาก ครั้นทั้งสองสนุกสนานกันจนได้ที่  เมิ่งผีก็ทิ้งไม้เท้าของตน ไม้กวาดในมือจึงเป็นไม้เท้าไปโดยปริยาย แต่สำหรับเมิ่งผี การไม่มีไม้เท้าถือเป็นเรื่องลำบากอยู่พอสมควร กอปรกับพื้นผิวหิมะลื่นเป็นมัน ไม่ทันระวังจึงไถลล้มลงอย่างแรง ขาขวาของเมิ่งผีพับรองอยู่ใต้สะโพก น้ำหนักตัวบวกกับแรงกระแทกจึงกดทับจนกระดูกขาหลุดอย่างง่ายดาย ทุกคนช่วยกันพยุงเมิ่งผีเข้าไปในบ้านด้วยความตกใจ ในตอนนั้น ความเจ็บปวดได้ทรมานเมิ่งผีจนเหงื่อเม็ดโตไหลรินลงเป็นทาง มารดาของเมิ่งผีมีอาการกระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก  หากแต่เจิงจ้ายเท่านั้นที่คุมสติไว้ได้  นางจึงสั่งเมิ่งผีให้นอนนิ่งในฟูก ครั้นแล้วจึงรีบหมุนตัวออกไปตามหมอโดยไม่รอช้า
        ตามถนนหนทางล้วนขาวโพลนไปด้วยกองหิมะ เจิงจ้ายจำได้เลือนลางว่าเคยเห็นป้ายร้าน "หมอต่อกระดูก" ติดอยู่ตรงหัวมุม แต่เหตุใดวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบก็ยังไม่พบสักที นางตัดสินใจถามคนข้างทาง จึงทราบว่าตนได้เดินเลยร้านหมอมาแล้ว นางจึงวกกลับไปและรู้สึกสดุดตากับป้านร้านแผ่นหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จึงรีบรุดเข้าไปเคาะประตูบ้านโดยไม่รอช้า ผู้ที่เปิดประตูคือชายชราภูมิฐานวัย ๗๐ มีหนวดเคราขาวโพลน รูปร่างผอมสูงชายชราได้ทักทายอย่างสุภาพว่า "ท่านหญิง มาเยือนยามพายุโหมหนักเช่นนี้ หรือว่ามีธุระเร่งด่วนอย่างนั้นฤา?. จิตใจของเจิงจ้ายตอนนี้รุ่มร้อนดุจไฟสุมนางจึงเล่าถึงเจตนาการมาอย่างรวบรัด ชายชรามิพูดจาไถ่ถามอีก เขารีบจัดยาใส่เป้และตามเจิงจ้ายออกไปในทันที   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/07/2012, 18:42
  ครูคนแรก 4  : 

        ครั้นหมอมาถึง ขาของเมิ่งผีก็ออกอาการอักเสบบวมแดงเสียแล้ว
ชายชราคลำไปที่ขาของเมิ่งผี พลงเล่านิทานปรัมปราสมัยการเบิกฟ้าเบิกดินให้ฟัง เจิงจ้ายและทุกคนต่างงงวยกับพฤติกรรมของชายชรายิ่ง ขณะที่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พลันได้ยินเสียงของเมิ่งผีร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ชายชรายิ้มอย่างแช่มชื่นว่า "เอ้า ! เสร็จแล้ว !" เพลานั้นสีหน้าของเมิ่งผีได้คลายความเจ็บปวดลงไปอย่างมาก เจิงจ้ายและคุณแม่ของเมิ่งผีต่างกล่าวขอบคุณและมอบค่าตอบแทนให้แก่ชายชราอย่างมากมาย "ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของทุก ๆ คน เพียงไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของเมิ่งผีก็หายเป็นปกติและกิจวัตรของทั้งครอบครัวก้เข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง โดยเมิ่งผียังคงเรียนหนังสือกับเจิงจ้าย ส่วนขงชิวก็ยังบ่นว่าเรียนน้อยไป จนเจิงจ้ายต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นแบบแนะนำให้รู้จักวิทยาความรู้และจริยพิธีต่าง ๆ ของราชวงศ์โจว [/b]  ข่งชิวจึงรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตาและมุ่งมั่นต่อการเล่าเรียนด้วยความตั้งใจ เจิงจ้ายมักจะให้ข่งชิวอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้เรียนอยู่เสมอ ซึ่งข่งชิวล้วนสามารถตอบได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นางรู้สึกพอใจต่อผลการเรียนของบุตรชายเป็นอย่างมาก แต่เพื่อให้เด็กทั้งสองต่างมีพัฒนาการด้านการศึกษาและกระตุ้นความคิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น นางจึงให้ทั้งสองต่างตั้งคำถามกันไปมา หากคนใดตอบผิด นางก็จะทำการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง เจิงจ้ายทำการสอนเช่นนี้ตลอด ๓ ปีจน ข่งชิวอายุได้ ๙ ขวบ ในตอนนั้น เจิงจ้ายไม่อาจมีเวลามากพอสำหรับงานบ้านงานเรือนได้อีก นางจึงตัดสินใจส่งเด็กทั้งสองไปเรียนที่สำนักศึกษา เช่นนี้จึงจะทำให้เด็กทั้งสองสามารถเียนรู้มากยิ่งขึ้นได้  ห่างจากบ้านไปไม่ไกลนักมีสำนักศึกษาอยู่แห่งหนึง หลังจากเจิงจ้ายได้ไปปรึกษากับครูที่สำนักศึกษาแล้ว เช้าวันที่สองก็พาเด็กทั้งสองไปเรียนหนังสือที่นั่น ซึ่งครูได้อนุญาตให้เด็กทั้งสองได้เรียนด้วยกัน  ดังนั้นครั้งนี้เมิ่งผีจึงมีข่งชิวเป็นเพื่อน กอปรกับปุจจุบันมีอายุ ๑๕ ปีแล้ว  จึงทำให้เพื่อน ๆ ไม่กล้าหยอกล้อในความพิการของเมิ่งผีอีก  ๓ ปีให้หลัง ข่งชิวเริ่มรู้สึกว่าที่สำนักศึกษามีวิชาเรียนน้อยไป จึงไปขอร้องมารดาให้เปลี่ยนสำนักศึกษาแห่งใหม่ เจิงจ้ายได้เสาะหาอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็หาได้มีสำนักศึกษาที่เหมาะสมไม่ จึงกล่าวกับข่งชิวว่า "ลูกไปเรียนหนังสือที่ท่านตาเถอะ เพราะท่านตาเป็นผู้มีภูมิธรรมความรู้อย่างแท้จริง"  ข่งชิวพยักหน้ารับคำ ส่วนเมิ่งผียังรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเรียนอยู่ จึงไม่คิดจะย้ายสถานที่เรียนแต่อย่างใด บ้านเกิดของเจิงจ้ายอยู่ทางทิศอิสานของราชธานี ในเช้าวันที่สอง เจิงจ้ายได้พาลูกชายกลับไปที่บ้านบิดา ครั้นถึงแล้วก็เล่าถึงเจตนาการมาในครั้งนี้ให้บิดาทราบโดยละเอียด
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2012, 09:55
ครูคนแรก 5  :

     เหยียนเซียง ในปัจจุบันเป็นชายชราวัย 60
ที่มีหนวดขาวโพลน สวมชุดที่ตัดด้วยผ้าหยาบพอหลวมตัว ซึ่งโดยปกติเหยียนเซียงก็รักใคร่และเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว ครั้นได้ทราบจากลูกสาวว่าหลานรักเป็นคนที่รักเรียนใฝ่ศึกษา จึงรีบรับปากโดยไม่รีรอ พลางกล่าวว่า "การศึกษาแต่โบราณจะเน้นศึกษา ๖ แขนงวิชาคือ จริยา  คีตะ  เกาทัณฑ์  อาชายาน  นิรุกติ์  คำนวน หรือก็คือ ๖ วิทยาที่ในปัจจุบันเรียกกัน สำหรับหลานของพ่อคนนี้ พ่อก็รักดุจแก้วตาดวงใจอยู่แล้ว ฉะนั้นพ่อต้องถ่ายทอดความรู้ทั้งหมด เพื่อให้หลานคนนี้ได้เป็นสดมภ์หลักของชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน เพียงแต่พ่อจะสันทัดเพียง  จริยา  คีตะ  นิรุกติ์  และการคำนวน  ส่วนด้านอาชายานและเกาทัณฑ์ ลูกก็รู้ว่าพ่อไม่เคยฝึกวิทยายุทธมาก่อน จึงรู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น"  ข่งชิวรีบถามขึ้นทันทีว่า "หลานเคยได้ยินท่านแม่สอนถึง ๖ วิทยามาก่อน แต่หลานไม่ทราบรายละเอียดของ ๖ วิทยานี้เลย"  เหยียนเซียงพูดอย่างแช่มชื่นว่า "เอาไว้ตาจะค่อย ๆ สอนให้นะ"  ข่งชิวรบเร้าท่านตาใหญ่ว่า "หลานอยากจะฟังในตอนนี้จังเลย"  "ใจร้อนไปทำไม ยังมีเวลาอีกมากมาย" เจิงจ้ายรีบปรามขึ้นในทันใด  ข่งชิวจึงได้แต่สะกดเสียงด้วยสีหน้าอันผิดหวัง  ครั้นเหยียนเซียงได้เห็นความมานะใฝ่เรียนของข่งชิวก็รู้สึกสราญใจเป็นยิ่งนัก จึงดึงข่งชิวเข้ามาพลางกล่าวด้วยความปิติว่า "ตาจะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ก่อน แล้ววันหลังค่อยอธิบายในรายละเอียดต่อไปนะ"  สีหน้าของข่งชิวแช่มชื้นขึ้นในทันใด ได้ดึงมือของเหยียนเซียงส่ายไปมาว่า "ท่านตาอธิบายเร็ว ๆ หน่อยสิ"  เหยียนเซียงนั่งลงและกระแอมเสียงให้คล่องคอ กล่าวว่า "๖ วิทยาที่โบราณได้กล่าวถึง จะประกอบด้วย  จริยา ๕  คีตะ ๖  เกาทัณฑ์ ๕  อาชายาน ๕  นิรุกติ์ ๖  และคำนวน ๙ " เหยียนเซียงยังไม่ทันกล่าวจบ ข่งชิวก็รบเร้าถามต่อไปว่า "จริยา ๕ คืออะไรครับท่านตา?"  เหยียนเซียงตอบว่า  จริยา ๕ หมายถึงจริยพิธี ๕ ชนิด ประกอบด้วยพิธีที่เกี่ยวกับการบวงสรวงเรียกว่ามงคลพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับงานศพเรียกว่าอวมงคลพิธี   พิธีที่เกี่ยวกับการปริสัญญูเรียกว่าอาคันตุกะพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับกองทัพเรียกว่าพยุหพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่าวิวาหพิธี" ข่งชิวถามต่อไปอีกว่า "แล้วคีตะ ๖ คืออะไร?"  เหยียนเซียงสูดหายใจจนเต็มปอดแล้วพูดว่า "คีตะ ๖ หมายถึงศิลปะการร่ายรำและดนตรี ๖ ประการ  ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มโดยยึดตามรัชสมัยของแต่ละยุคคือดนตรีสมัยหวงตี้เรียกว่ายวิ๋นเหมิน   ดนตรีสมัยเหยาเรียกว่าเสียนฉือ   ดนตรีสมัยซุ่นเรียกว่าต้าเสา   ดนตรีสมัยอวี่เรียกว่าต้าเซี่ย   ดนตรีสมัยทังเรียกว่าต้าฮั่ว   ดนตรีสมัยอู่เรียกว่าต้าอู่" น้ำเสียงของเหยียนเซียงเพิ่งจะสงบ ข่งชิวตั้งท่าจะซักต่อ เจิงจ้ายจึงรีบยั้งว่า "ให้ท่านตาพักผ่อนก่อน" 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2012, 11:06
ครูคนแรก  6  :

      เหยียนเซียงกล่าวว่า 
"เดี๋ยวพ่อจะอธิบายให้หมดเลยก็แล้วกัน"
"อัน เกาทัณฑ์ ๕ หมายถึงวิธีการยิงธนู ๕ ประการ  ประกอบด้วยป๋ายซือ  ไซเหลียน  เอี่ยนจู้  เซียงฉื่อ  จิ่งอี๋ 
ส่วนอาชายาน ๕ หมายถึงการขับรถม้า ๕ ประการ  ประกอบด้วย หมิงเหอหล่วน  จู๋สุ่ยฉวี่  กั้วจวินเปี่ยว  อู่เจียวฉวี  จู๋ฉินจั่ว
ส่วนนิรุกติ์ ๖  หมายถึงวิธีการสร้างคำ ๖ ประการ อันประกอบด้วยสัญลักษณ์คติ  รูปคติ  สำเนียงคติ  สมาสคติ  หมวดคำคติ  ยืมใช้คติ  ส่วนสำนวน ๙ หมายถึงวิธีการคำนวณ  ๙ ประการคือ ฟังเถียน  ซู่หมี่  ชาเฟิน  เส้าก่วง  ชังจง  จวินซู  ฟังเฉิง  อิ๋งปู๋เย่า ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้น คงจะไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างในวันสองวันได้หรอกนะ"  เจิงจ้ายพูดว่า "ก็ใช่สิ"  นางดึงลูกไปอยู่ข้างกายพลางกำำชับว่า "เวลายังมีอีกนาน ไว้ค่อย ๆ ให้ท่านตนสอนให้ไม่ดีกว่าหรือ ?"  ข่งซิวพยักหน้ารับคำ ในใจพลางคิดว่า "คำแปลก ๆ ในวันนี้มีตั้งมากมาย คงต้องใช้เวลาในการเรียนและทำความเข้าใจไม่น้อย" จากนั้น ทั้ง ๓ คนต่างสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไปอย่างสนุกสนาน โดยเหยียนเซียงยังคงแอบสังเกตุหลานของตนอย่างพิเคราะห์ ได้เห็นถึงอุปนิสัยใฝ่เรียนและอากัปกิริยาอันสุภาพภูมิฐานในขณะเจรจา จึงทำให้ชายชรารู้สึกภูมิใจเป็นยิ่งนัก  ครั้นเสร็จจากการรับประทานอาหารกลางวัน เหยียนเซียงเริ่มทดสอบดูพื้นฐานของข่งชิว แต่แล้วก็ต้องตกตลึง เพราะสำหรับความรู้อันเข้าใจยากสำหรับเด็กโต ข่งชิวกลับสามารถโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉาน ครั้นถามถึงสิ่งใด ข่งชิวล้วนตอบได้อย่างถูกต้อง กระชับและแม่นยำ  ฉะนั้นทั้งสองตาหลานจึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเลยไปกว่า ๒ ชั่วโมง โดยที่เหยียนเซียงยังมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด หากแต่ยิ่งเพิ่มความปลาบปลื้มและความกระชุ่มกระชวยเป็นกำลัง จนในที่สุดได้ตบลงที่บ่าของข่งชิวและพูดกับลูกสาวว่า "หลานของพ่อคนนี้เป็นเสมือนหยกงามที่กำลังคอยการเจียระไนโดยแท้ !" เจิงจ้ายกล่าวว่า "ท่านพ่อ" ท่านพ่ออย่าเอาแต่ชมหลานสิ ท่านพ่อต้องเข้มงวดต่อหลานให้มาก ๆ นะ"  เหยียนเซียงตอบด้วยแววตาอันมุ่งมั่นว่า "แน่นอนอยู่แล้ว !  แน่นอนอยู่แล้ว !"  หลังจากได้ฝากฝังข่งชิวกับบิดาเสร็จ เจิงจ้ายได้อยู่ตออีกสองสามวันแล้วจึงอำลากลับ  แม้ข่งชิวจะเศร้าใจจากการที่ต้องห่างจากมาราดา อยู่บ้างก็จริง แต่ข่งชิวก็หาได้ละเลยการเรียนไม่ หากจะยิ่งเพิ่มความพยายามในการเรียนจนกระทั่งลืมเวลาพักผ่อนและเวลาอาหารไปเลยเช่นนั้น สำหรับอุปนิสัยของข่งชิวแต่เล็กมาคือชอบชักไซ้ให้ได้คำตอบจนถึงที่สุด โดยจะมิยอมให้ความสงสัยไหลเลยผ่านกระแสความคิดไปอย่างเด็ดขาด แต่ไม่ว่าข่งชิวจะเป็นคนชางซักปานใดเหยียนเซียงกลับยิ่งมีความชอบใจและจะอธิบายจนข่งชิวสิ้นกังขา ดังนั้นในตลอดระยะเวลา ๖ ปี ที่ผ่านมา ทั้งสองตาหลานจะใช้ชีวิตเช่นนี้เรื่อยมาอย่างมีความสุข  จนกระทั่งเหยียนเซียงได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ข่งชิวจนหมดสิ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหยียนเซียงพบว่าข่งชิวมีความจำอันเป็นเลิศ อีกทั้งยังมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงสอนข่งชิวให้ทำความเข้าใจในพระราชปณิธานของ ๓ กษัตริย์  ๕ ราชัน (สามกษัตริย์หมายถึง ฝูซี  เสินหนง  และฮ๋วงตี้  ส่วนห้าราชันหมายถึง เส้าคัง  จวนชวี  ตี้คู่  พระเจ้าเหยา   และพระเจ้าซุ่น) พร้อมทั้งยังคอยอบรมส่งเสริมข่งชิวให้เป็นธีรชนที่พร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถอยู่ทุกเวลา  แต่ก็ช่างน่าอัศจรรย์ หลังจากข่งชิวได้สดับพระจริยวัตรของพระมหาธีรราชเจ้าแต่ละพระองค์แล้ว ข่งชิวกลับรู้สึกว่ายังมีภาระกิจที่ต้องกระทำอีกมากมายและเพื่อให้บรรลุสู่จุดหมายที่วาดหวังไว้ ข่งชิวจึงยิ่งมานะเล่าเรียนและอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นกว่าเก่า
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ครูคนแรก 7
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2012, 03:03
ครูคนแรก  7  : 

     เมื่อ ๕๓๓ ปีก่อนคริสศักราช เดือน ๙ ตามจันทรคติ ข่งชิวอายุเพิ่งครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์
วันหนึ่ง เหยียนเซียงรู้สึกมึนงง จนมิอาจประคองสังขาร รู้ตัวว่าตนเองจะต้องวายชนในอีกไม่ช้า จึงเรียกข่งชิวมากล่าวสั่งเสียว่า "เสียทีที่ตาพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ แต่กลับมิมีโอกาสสนองคุณรับใช้ชาติ นี่คือสิ่งที่ทำให้ตาเสียใจจวบจนวันนี้ แต่ยังดีที่ตาได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้แก่หลาน หวังว่าในภายภาคหน้าหลานจะต้องคงมานะเล่าเรียน เพื่อสืบไปในอนาคตจะสามารถรับใช้ชาติอย่างสุดกำลัง หลานจะต้องจำไว้ คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นแบบอย่างอันอำไพแก่ชนรุ่นหลังสืบไป หากหลานสามารถทำได้ก็จะเป็นการเชิดชูเกียรติแห่งวงศ์ตระกูล และตาจะได้นอนตายตาหลับในปรภพเสียที" ข่งชิวเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะการใดก็จะมิยอมหลั่งน้ำตาโดยง่าย แต่ตอนนี้ข่งชิวกลับต้องร้องไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม  ครั้นเหยียนเซียงเห็นหลานรักเศร้าโศกเสียใจ จึงพลอยให้รู้สึกตื้นตันจนดวงตาแดงก่ำ แต่เหยียนเซียงยังคงตั้งสติกล่าวกำชับข่งชิวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "หลานอย่าได้ทำตัวอ่อนแอจนผิดวิสัยลูกผู้ชาย หลานจะต้องเข้มแข็ง  เพราะหนทางชีวิตของหลานยังอีกยาวไกล เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชีวิตคนเราจะราบเรียบดุจโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ฉะนั้น จึงต้องมีความพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสถานการณ์ จงจำไว้ว่า อุปสรรคเป็นสิ่งที่สร้างวีรบุรุษให้แกร่งกล้า อีกอย่างตาก็อายุปูนนี้แล้ว ชีวิตของตาก็เป็นเสมือนแป้งเปียกที่สิ้นความเหนียว  เหล้าเก่าที่สิ้นความหอม  มันก็ควรแล้วที่ต้องฝากชีวิตนี้ไว้กับผืนปฐพี" ข่งชิวยืนฟังด้วยอาการนบนอบ จิตใจรู้สึกฮึกเหิมด้วยพลังธรรมที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ แต่ครั้นได้ฟังสองประโยคสุดท้ายจบ ก็ถึงกับทะลักความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นมานานจนหมดสิ้น ข่งชิวได้แต่ร้องไห้จนมิอาจจับสุ้มเสียงใจความได้อีก  เหยียนเซียงจึงกำชับว่า "รีบไปตามแม่ของหลานมาเถอะ ตายังมีคำสั่งเสียกับแม่ของหลานอีก"  ข่งชิวห่มผ้าให้กับท่านตา และรีบเดินทางไปตามมารดาด้วยความรวดเร็ว ครั้นเจิงจ้ายทราบข่าว ก็บังเกิดความโทมนัสเสียใจและรีบเดินทางมาหาบิดาอย่างรีบร้อน  เหยียนเซียงกล่าวว่า "ความรู้ของข่งชิว ถือว่าเหนือกว่าพ่อมากมาย พ่อคิดว่าหลานคนนี้จะสามารถสร้างประวัติอันเกรียงไกรในอนาคตได้เป็นแน่ หากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะได้เห็นหลานคนนี้ประสบความสำเร็จ เพียงแต่ชะตาคงจะไม่อนุญาตให้อยู่จนถึงวันนั้นแล้วกระมัง ฮ่าย !ชีวิตคนเราฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว  หากพ่อตายไป ลูกจะต้องตั้งใจอบรมหลานคนนี้ให้จงดี เพื่อจะได้เชิดชูเกียรติประวัติอันยืนยงสืบไป"  กล่าวจบ ดวงตาก็ค่อย ๆ หรี่ลงและสิ้นใจไปในที่สุด  ข่งชิวได้อยู่ไว้ทุกข์เป็นเพื่อนมารดาตามจารีตประเพณีจนครบกำหนดร้อยวัน จากนั้นจึงได้ติดตามมารดาเดินทางกลับ หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งผีได้แต่งงานและแยกออกไปตั้งรกรากที่ต่างเมือง เวลานั้น ข่งชิวได้เติบโตเป็นหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง เอวกลม ใบหน้าคมสัน กิริยาภูมิฐาน วาจาสุภาพ  วันหนึ่ง เจิงจ้ายเรียกข่งชิวเข้ามาหา พลางพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า "ข่งชิวมานี่หน่อย แม่มีเรื่องจะปรึกษา"
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2012, 03:57
        เจิงจ้าย เรียกข่งชิวเข้ามาหา ได้กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า "ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่จึงอยากให้ลูกรีบมีครอบครัว เพื่อจะได้ให้แม่คลายความกังวลไปอีกเปราะหนึ่ง" ข่งชิวยืนตัวตรงอย่างสุภาพ พลางกล่าวอ้างตำราว่า "อันการสมรสนั้น ถือเป็นเรื่องปกติของบุตรที่ควรปฏิบัติตามโอวาทแห่งบุพการี เพียงแต่... การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงมิรอบคอบมิได้ โบราณกล่าวไว้ว่า "ชายครบ ๓๐ จึงแต่ง"  ซึ่งจารีตนี้เป็นกฏที่ท่านโจวกงได้กำหนดไว้ในวันวิวาพิธีมาแต่โบราณ ลูกเองจึงมิอยากละเมิดกฏนี้"  โจวกง แซ่จี  มีพระนามว่าตั้น เป็นพระราชโอรสแห่งโจวเหวินหวัง พระองค์เคยทรงช่วยพระเชษฐา (โจวอู่หวัง) ปรามซังโจ้วหวัง และสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น เล่าลือกันว่า ระเบียบแบบแผนแห่งจริยธรรมและคีตะได้ถูกร่างขึ้นโดยโจวกง ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นเสมือนสดมภ์เอกแห่งราชวงศ์ที่ยืนยงค้ำชูความมั่นคงแห่งชาติเสมอมา  โดยเฉพาะ เมื่อโจวอู่หวังเสด็จสวรรคตแล้ว ในครั้งกระนั้น พระยุวกษัตริย์ โจงเฉิงหวัง (จี้ทง) ยังทรงพระเยาว์ โจวกงมิอาจวางพระทัย ด้วยมาตรว่าพระองค์จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ไปกินเมืองที่แคว้นหลู่แล้วก็ตาม โดยพระองค์ได้ทรงละทิ้งโอกาสที่จะไปเสวยสุขเป็นเจ้าแคว้นที่เมืองหลู่ และอยู่ช่วยสำเร็จราชการที่ราชธานีห่าวจิงแทน ในเบื้องต้น ทุกคนต่างสงสัยว่าโจวกงจะคิดกบฏโค่นราชบัลลังก์ ดังนั้น ข่าวลือต่าง ๆ ที่ทำลายพระเกียรติยศจึงเกิดขึ้นจนกระทบกระเทือนถึงโจวกงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ครั้นโจวเฉิงหวัง ทรงเจริญวัยและสามารถออกมาว่าราชการด้วยพระองค์เองแล้ว ทุกคนจึงสิ้นสงสัยในโจวกง และต่างยกย่องสรรเสริญในความจงรักภักดีของโจวกงโดยทั่วกัน
        โจวกง คือบุรุษที่ข่งชิวให้ความเคารพนับถือมากที่สุด ในดวงใจของข่งชิว จึงเห็นโจวกงเป็นสัตบุรุษที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งคุณธรรมความสามารถเสมอมา ดังนั้น ข่งชิวจึงยกย่องใหเโจวกงเป็นครูบาอาจารย์ของตนไปโดยปริยาย และนี่จึงเป็นเหตุที่ข่งชิวได้ยกเอากฏระเบียบของโจวกงมาอ้างแก่มารดานั่นเอง แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงกล่าวกับลูกว่า "ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่เป็นเรื่องดีเพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า  "อดีตเป็นครูแห่งอนาคต" ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกต้องกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร"

หมายเหตุ   :  พระเจ้าโจวเหวินหวัง (ก่อน ค.ศ. ๑๒๒๓ - ๑๑๒๒) เป็นพระบิดาแห่งพระเจ้าโจวอู่หวัง ซึ่งเป็นผู้กรีธาทัพโค้นล้มทรราชซังโจ้วหวังและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น  พระเจ้าโจวเหวินหวังทรงเป็นเจ้าแคว้นโจว ผู้ทรงธรรมในสมัยโบราณ  แม้ซังโจ้วหวังจะทรงสั่งจำคุกพระองค์ถึง ๗ ปี อย่างไร้เหตุผลก็ตาม แต่พระเจ้าโจวเหวินหวังก็ยังทรงถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซังไม่เคยเปลี่ยน  คุณธรรมของพระองค์ขจรไกล จนสามารถครองใจเหล่าเจ้าแคว้นทั่วแผ่นดินได้ถึงสองในสาม  เคยมีสองแคว้นเกิดข้อพิพาทเรื่องดินแดน ทั้งสองเจ้าเมือง จึงต่างเดินทางมาขอให้โจวเหวินหวังเป็นผู้ตัดสิน ครั้นเข้าสู่แคว้นโจว ก็ได้เห็นชาวนาต่างยอมยกเขตนาให้กันและกัน  ได้เห็นคนสัญจรต่างเชิญฝ่ายตรงข้ามให้เดินนำหน้าตน ผู้เฒ่าได้รับความเคารพราชบุตรต่างสมัครสมานรวมกันเป็นหนึ่ง ครั้นสองเจ้าแคว้นได้ทอดพระเนตรดังนี้ ก็เดินทางกลับด้วยความละอายพระทัย จึงเห็นได้ว่า พระเจ้าโจวเหวินหวังทรงเป็นที่รักใคร่ของประชาชนมากเพียงใด
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2012, 12:36
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 1

     แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว
นางจึงกล่าวกับลูกว่า "ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า "อดีตเป็นครูแห่งอนาคต" ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกกำพร้าตั้งแต่เยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้ จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร" ข่งชิวเป็นผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ รู้ดีว่ามารดาต้องตรากตรำลำบากกับตนเสมอมา ดังนั้นจึงคิดแต่จะทดแทนพระคุณของมารดาอยู่ทุกขณะ โดยจะไม่ยอมให้มารดาต้องเดือดร้อนอนาทรแต่อย่างใด จึงพูดกับมารดาว่า "ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านแม่เช่นนี้ ก็ขอให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินให้ด้วยเถิด"  ครั้นเจิงจ้ายได้ฟัง ก็รู้สึกเปรมปรีดิ์ยิ่ง จึงรีบติดต่อแม่สือให้ช่วยเสาะหากุลสตรีที่เหมาะสม กระทั้่งได้พบฉีกวนซื่อ ชาวเมืองซ่ง สตรีผู้มีพร้อมด้วยคุณธรรม  โวหาร  โฉมพักตร์และความสามารถ ทั้งสองครอบครัวจึงแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิด ได้ทราบในภายหลังว่า ฉีกวนซื่อ มีอายุที่เท่ากับข่งชิวพอดี อีกทั้งยังมีดวงที่สมพงษ์กันอีกด้วย ดังนั้นจึงทำการหมั่นหมายและจัดงานวิวาห์ฤกษ์ในทันที หลังจากข่งชิวได้แต่งงานแล้ว ทั้งครอบครัวน้อยใหญ่ต่างอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ทว่า ข่งชิวเป็นคนที่มีความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ที่จะรับใช้ประเทศชาติอย่างแรงกล้า ด้วยความรู้ความสามารถที่มี ไฉนจึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอย่างไร้คุณค่าได้ โดยเฉพาะที่ทุกครั้งได้รำลึกถึงคำสั่งเสียของท่านตาว่า "๓ กษัตริย์ ๕ ราชันได้ทรงปราบกบฏ ทรงพิทักษ์ชาติราษฏรโดยยึดถือความยุติธรรมต่อปวงชนเป็นเอกหมาย" คำเหล่านี้ยังคงก้องอยู่ริมหูมิรู้คลาย ดังนั้น ข่งชิวจึงมีความตั้งใจจะอุทิศกายรับใช้ชาติบ้านเมืองในเร็ววัน  ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข่งชิวคิดแต่จะคบหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์เพื่อร่วมกันผดุงความยุติธรรมให้ปรากฏบนแผ่นดิน และถวายความรู้ความสามารถของตนเพื่อรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะสมัยนั้นยังมิได้ดำเนินระบบการบริหารคัดสรรปราชญ์โดยการสอบคัดเลือก ฉะนั้น ตำแหน่งต่าง ๆ จึงถูกผูกขาดโดยลูกหลานเรื่อยมา แต่สำหรับบิดาของข่งชิวเอง แม้นว่าจะเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองโจวอี้ ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ไพเราะแค่เปลีอกนอก โดยหาได้มีอำนาจทางการปกครองไม่ โดยเฉพาะ สูเหลียงเฮ่อ ได้ถึงแก่กรรมเมื่อตอนข่งชิวอายุเพียง ๓ ขวบเท่านั้น ด้วยสภาพสังคมอันโหดร้าย พวกเหล่าขุนนางอภิชนจึงลืมเขาไปจนหมดสิ้น  ในยามที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องตลาด มักจะได้เห็นพฤติกรรมการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบของเหล่าพ่อค้าวานิชอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งกระตุ้นให้ข่งชิวรู้สึกอัดอั้นใจเป็นอย่างยิ่ง หากสภาพสังคมยังเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยน อนาคตของเมืองหลู่จะไปอยู่ที่ไหน?" ข่งชิวคิดด้วยอารมณ์อันฉุนเฉียวและเดินกลับบ้านด้วยความหนักใจ
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2012, 13:36
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 2 

      นับแต่นั้น
ข่งชิวเริ่มนอนไม่หลับเพราะข่งชิวกำลังวาดภาพแผนงานที่จะกรอบกู้ความเกรียงไกรให้แก่เมืองหลู่ขึ้น เช่น  ผลักดันคุณธรรม  ปกครองด้วยจริยธรรม  การประกาศใช้กฏหมาย  หยุดเหล่าทรชน  เช่นนี้ก็จะทำให้มิเกิดโจรผู้ร้าย พ่อค้าวาณิชจะมิโลภมากเที่ยวหลอกลวง จนส่งผลให้อยู่เย็นเป็นสุขในที่สุด  แล้วจากนั้นจึงค่อยผลักดันไปสู่รัฐน้อยใหญ่ด้วยศักภาพการปกครองของเมืองหลู่ จนที่สุดการกอบกู้ความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจว และยังสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน แต่ข่งชิวรู้สึกมันเป็นเป้าหมายที่กว้างเกินไป ดังนั้นควรจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี? ในตอนนี้ข่งชิวยังมิอาจพบหนทางที่ตนมั่นใจได้ จึงได้แต่ให้กำลังใจตนว่า "อย่ายอมแพ้ สู้ชีวิตต่อไปเถอะ" ในสมัยนั้น เจ้าเมืองหลู่หวนกง ทรงอภิเษกสมรสกับเหวินเจียง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของเจ้าเมืองฉี คือฉีเชียงกง แต่เหวินเจียงได้แอบสมโยคกับฉีเจียงกงมาก่อนโดยที่หลู่หวนกงหาทรงทราบไม่ เมื่อ ๖๙๓ ปีก่อนคริสตศักราช วสันตฤดู หลู่หวนกงเสด็จเยือนเมืองฉี โดยมีเหวินเจียงตามเสด็จ ในครั้งกระนั้น เหวินเจียงทรงแอบสมโยคกับฉีเชียงกงอีก จนที่สุดก็ความแตก ฉีเชียงกงจึงทรงสั่งให้ทหารลอบปลงพระชนม์หลู่หวนกง  ดังนั้น บุตรที่เกิดแก่สนมเอกนามว่าจีถง จึงสืบขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองแทน โดยมีพระนามว่า "หลู่จวงกง" ทรงมีพี่น้องอยู่ ๓ พระองค์ พระเชษฐาที่เกิดแต่สนมโท มีพระนามว่า เซิ่งฟู่ พระอนุชาที่เกิดแต่สนมโทมีพระนามว่า สูหยา ส่วนพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า จี้หยิ่ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง ดังนั้นจึงต่างมีอำนาจกันพอสมควร หลังจากเจ้าเมืองหลู่จวงกงเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้มี  หมิ่นกง  หลีกง  เหวินกง  เซวียนกง  เฉินกงขึ้นสืบตำแหน่งการบริหารตามลำดับ ตราบจนหลู่เซียงกงสวรรคตเมื่อตอน ๕๔๒ ปีก่อนคริสตศักราช หลู่เจากง จึงสืบราชสมบัติแทน และด้วยการปรับเปลี่ยนอำนาจเรื่อยมาของรัฐหลู่ อนุชนเชื้อสายของ ซิ่งฟู่  สูหยา  และจี้หยิ่ว  จึงได้ขยายอิทธิพลมากยิ่งขึ้น  โดยต่างมีชื่อว่าเมิ่งชันซื่อ  สูชุนซื่อ  และจี้ชันซื่อ ซึ่งประวัติศาสตร์ได้ขนานนาม ๓ ตระกูลนี้ว่า "๓ อิทธิพล" ในสมัย ๕๓๗ ปีก่อนคริสตศักราช รัฐหลู่ถูกผูกขาดอำนาจบริหารโดย ๓ ตระกูลผู้มีอิทธิพลนี้ โดยผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งรัฐหลู่คือ จี้ซุนอี้หยู จี้ซุนอี้หยู ได้ทำการแบ่งอำนาจการทหารเป็น ๒ ส่วน โโยตนครอบครองอำนาจการทหารไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนอำนาจการทหารอีกส่วนหนึ่งก็ปันให้สองตระกูลคือ สูชุนเฉิงจื่อ และ เมิ่งสีจื่อ ดูแล ขณะเดียวกัน เขายังได้แบ่งประชากรและดินแดนของรัฐหลู่ออกเป็น ๔ ส่วน ตัวเขาครอบครอง ๒ ส่วน และให้ตระกูลสูชชซุนและตระกูลเมิ่งซุนครอบครองตระกุ,ละส่วน ด้วยการกระทำเช่นนี้ มิเพียงแต่ได้แขวนเจ้าเมืองจนสิ้นอำนาจเท่านั้น หากยังได้ทอนอำนาจของ ๒ ตระกูลจนลดน้อยลงไปอีกด้วย ดังนั้น ทั้งสามตระกูลจึงคอยหักเหลี่ยมหักคม จนทำให้รัฐหลู้เคราะห์ซ้ำกรรมกระหน่ำและมีแต่เสื่อมถอยลงทุกที  ครั้นข่งชิว ได้เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ อารมณ์ก็อัดแน่นในทรวงอก จนอยากจะเป็นขุนศึกที่แผ่สิงหนาทเข้าฟาดฟันศัตรูในสนามรบให้สิ้นซาก เพื่อกอบกู้ความเสื่อมทรามของชาติให้กลับสู่ความชัชวาลอีกวาระหนึ่ง แต่ทว่า ทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนี้ เขาก็ต้องแอบยิ้มให้กับความไร้เดียงสาและความอ่อนหัดของตนเสมอไป ในมโนภาพของข่งชิว เต็มไปด้วยความฝัน เขารู้ดีว่าการใหญ่ทั้งปวงจักต้องเริ่มจากรากฐานเป็นสำคัญ และด้วยการไตร่ตรองเป็นระยะเวลานาน ข่งชิวจึงเริ่มออกเผยแพร่อุดมการณ์ของตนกับเหล่าธีระผู้รักชาติในเมืองหลู่  วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องถนน เขาได้ยินผู้คนสนทนาโดยบังเอิญว่า "ท่านอุปราชจะรับปราชญ์อีกแล้ว" "เห็นได้ไฉน"  "ก็ท่านอุปราชกำลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับบัณฑิตกันอุตลุตเลยนิซิ"  "ก็อีแค่ผักชีโรยหน้าละกระมัง"  "แต่อาจจะจริงใจก็ได้นะ" ... สำหรับข่าวลือนี้ ข่งชิวเคยได้ยินมาอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเท่านั้น แต่เมื่อมีการร่ำลือกันอย่างหนาหูเช่นนี้ ข่งชิวจึงมั่นใจว่ามิใช่ข่าวลือเสียแล้ว ในวันนั้นจึงเดินทอดหุ่ยกลับบ้านด้วยความอิ่มเอม สายธารแห่งเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างเฉื่อยช้า ในที่สุด วันเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในเช้าตรู่ของวันนั้น ข่งชิวได้แต่งกายภูมิฐานและมุ่งหน้าไปที่จวนอุปราชด้วยสีหน้าอันสดใส ท่ามกลางสายรุ้งที่ลอยพาดขอบฟ้าอย่างตระการตา
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2012, 09:35
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 3   

     จวนอุปราช เป็นอาคารที่ก่อสร้างรายล้อมด้วยกำแพงสูงทะมึน
ตัวเรือนสูงตระหง่านอย่างวิจิตรท่ามกลางนิคมเมือง และที่ประตูทางเข้า มีเหล่าบัณฑิตนักศึกษาแต่งตัวเต็มยศด้วยสีเขียวแดงเข้าออกขวักไขว่ ดูเขาเหล่านั้นช่างภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ที่เบื้องหน้าประตูทางเข้าได้มีชายร่างใหญ่อายุประมาณ ๓๐ กว่า แต่งกายชุดโปร่งสีน้ำเงินเทา หนวดเครารุงรังยุ่งเหยิง ใบหน้ากลมดิก สีหน้าเดี๋ยวห่อไหล่ยิ้มประจบ อีกประเดี๋ยวก็ขึงขังแยกเขี้ยวตามแต่บุคลิกที่เดินเข้าออก ข่งชิวได้เห็นภาพนี้แต่ไกลทำให้อดหนาวสะท้านทั่วสรรพพางค์กายเสียมิได้ ในใจพลางคิดว่า "ช่างเป็นคนถ่อยสองหน้าเสียจริง ๆ " และครั้นได้เดินเข้าใกล้สังเกตดู "นั่น... นั่นมิใช่พ่อบ้านหยางหู่ของอุปราชจี้ผิงจื่อหรอกหรือ?"  คน ๆ นั้นคือหยางหู่ มิผิด ในยุคสมันชุนชิว ตำแหน่งขุนนางของเหล่าเจ้าแคว้นล้วนถูกแต่งตั้งด้วยระบบการตกทอด หากแต่พ่อบ้านของเหล่าขุนนางจะไม่สืบทอดโดยระบบอภิสิทธิ์ ซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดยขุนนางให้มีตำแหน่งเป็น โหย่วจ่าย  ซือถู  ซือหม่าต่าง ๆ และตำแหน่งเหล่านี้รวมเรียกว่า พ่อบ้าน   ครั้นข่งชิวได้เห็นใบหน้าที่ประจบชวนอาเจียนของหยางหู่ฝีเท้าก็เริ่มชะลอช้าลง ในตอนนั้น ข่งชิวเริ่มลังเลและคิดจะถอยกลับ แต่แล้วข่งชิวก็ต้องเปลี่ยนใจ "เพื่อเมืองหลู่ เพื่ออาณาจักรประชาราษฏร์ เพื่อเกียรติแห่งบรรพชน เราจะต้องฉวยโอกาสนี้ให้จงได้" ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ยืดอกมุ่งหน้าไปสู่จวนอุปราชอย่างองอาจ หลังจากถึงเชิงบันไดหิน ข่งิชวได้ประสานมือคารวะทักทาย แต่หยางหู่หาได้ใ่ใจไม่  หากยังอัดเสียงทางจมูกอย่างดูถูกดูแคลนว่า "เจ้าคือใคร?  มาที่นี่ทำอะไร?" ข่งชิวก้มศรีษะลงต่ำเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยความสุภาพตามประสาบัณฑิตว่า "ข้าน้อยชื่อข่งชิว ได้ทราบว่าท่านอุปราชกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าบัณฑิตทั่วพิภพ..."  "ฮ่า..." เสียงหัวเราะเหยียดหยามดังสนั่นอย่างน่าสยองของหยางหู่ดังขึ้น  "ท่านอุปราชเชิญแต่ปราชญ์บัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าก็คือนักศึกษาจน ๆ ก็อยากจะมาร่วมครื้นเครงในงานอันทรงเกียรตินี้ด้วยรึ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง ๆ" ครั้งข่งชิว ถูกวาจาลบหลู่ก็ได้สติขึ้นมามากมาย เขาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมองหยางหู่ ด้วยหมายจะเข้าปะทะคารมให้สิ้นอาย  หยางหู่รู้เจตนาของข่งชิวดี จึงไม่คอยให้ข่งชิวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากและชิงสะบัดแขน้เสื้อขับไล่ พลางกระโชกด้วยเสียงอันดังว่า "ยังไม่รีบถอยออกไปอีก ! มัวเกะกะที่นี่อยู่ได้ !" ข่งชิวเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อีกทั้งยังเป็นคนที่สุภาพถ่อมตน ครั้นถูกเหยียดหยามเช่นนี้ จึงรู้สึกอับอายจนอยากจะหาที่หลบซ่อนตัวในทันที อีกด้วยเพราะไม่อยากจะลดตัวมาต่อคำกับคนถ่อยสองหน้าเยี่ยงหยางหู่ ดังนั้นจึงได้แต่เดินกลับบ้านไปด้วยอารมณ์อันห่อเหี่ยว แม้นจะถูกปรามาสเหยียดหยามที่จวนอุปราช แต่ข่งชิวก็หาได้ท้อแท้ไม่  หากกลับยิ่งมีความเข้าใจต่อสัจธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ หนทางแห่งชีวิตจะเต็มไปด้วยหนทางคดเคี้ยวและกันดาร จะมีเพียงความอดทนต่อการเคี่ยวหลอมเท่านั้นจึงจะสามารถสรรค์สร้างการใหญ่ให้เกรียงไกร ฉะนั้น ข่งชิวจึงยิ่งมุมานะอดทนในการเรียนรู้ ๖ วิทยามากยิ่งขึ้นเพราะข่งชิวตระหนักดีถึงคุณค่าของเวลาในเวลานี้ ข่งชิวนอกจากจะเคร่งศึกษาจริยศาสตร์  คีตศาสตร์  และนิรุกติศาสตร์แล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังฝึกปรือการยิงธนูและการขับบังคับรถม้าอีกด้วย ในสถานที่ ๆ ห่างจากตัวบ้านของข่งชิวไปไม่ไกล มีสนามฝึกยิงธนู เจวี๋ยเซี่ยงฝู่ ที่ผู้คนใช้เป็นสนามฝึกซ้อมฝีมืออยู่เป็นประจำ ซึ่งข่งชิวก็ใช้เวลาฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ด้วยความมานะพยายาม วิชาธนูของข่งชิวจึงเริ่มพัฒนาจนสามารถยิงธนูทั้ง ๕ วิธีได้อย่างช่ำชอง และทุกครั้งที่ข่งชิวไปฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ผู้คนก็จะเบียดเสียดชมดูอย่างเนืองแน่นเป็นประจำ ในเวลานั้น ครอบรู้สารพันของข่งชิวได้เริ่มเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้ว และก็เริ่มมีผู้คนมาฝากตัวขอเรียนวิชามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2012, 10:32
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 4 

     วันหนึ่ง
เทศกาลการบูชาบรรพชนประจำปีที่วัดหลวงได้จัดขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันที่พิธีบูชาจะเริ่มต้น  ผู้คนก็มายืนเบียดเสียดจนเนืองแ่น่นประตูวัดหลวงไปเสียแล้ว ในหมู่นั้นได้มี ข่งชิวที่ยืนเบียดจ้องอย่างมิกระพริบตารวมอยู่ด้วย ครั้นได้ครวญแก่ลัคนาฤกษ์ เสียงกลองระฆังก็พร้อมสนั่น ในตอนนั้น พิธีกรประธานได้ป่าวประกาศนำพิธีกรสนาม คือหลู่เจากง พร้อมด้วยลูกขบวนทั้งฝ่ายดนตรี และฝ่ายรำ ก้าวเข้าสู่มณฑลพิธี มณฑลพิธีที่ว่านี้เป็นลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าศาลบรรพบุรุษโจวกง โดยมีระยะยามจากทิศบูรพาไปปัจฉิมและมีระยะแคบจากทิศอุดรไปทักษิณ ปริมณฑลแห่งนั้นล้วนปูลาดด้วยหินตัดรูปสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่อย่างเป็นระเบียบ หลังจากพิธีกรประธาน ได้หลั่งมัชธาราและอ่านบทสดุดีพระเกียรติคุณของท่านโจวกงจบ ได้ทำความเคารพด้วยเกียรติพิธีระดับสูงแล้วจึงก้าวถอยลงจากมณฑลพิธี ในตอนนั้น ลูกขบวนฝ่ายดนตรีที่ถือเครื่องดนตรีอย่างพร้อมสรรพก็เคลื่อยเข้าสู่ชายคาหน้าศาลบรรพบุรุษ โดยจัดขบวนเป็น ๖ จัตุรัส รวมทั้งสิ้น ๓๖ คน มืซ้ายแต่ละคนถือขนไก่ฟ้า มือขวาถือขลุ่ย ทุกคนเริ่มร่ายรำภายใต้เสียงเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ทำจากโลหะ หิน  ดิน  ไผ่  ไม้  หนัง  น้ำเต้าเป็นอาทิ  โดยบรรยายกาศการร่ายรำเต็มไปด้วยความสง่างาม  ท่วงท่าสุขุม  ลีลาพลิ้วพราย  จนผู้ชมล้วนเคลิบเคล้มไปตามทำนอง  ข่งชิวจ้องมองอย่างเคลิบเคลิ้มจนมือไม้เริ่มร่ายรำไปตามจังหวะและคลอเพลงแผ่วเบา อันเสมือนคนที่ต้องมนต์จนหลงใหลแลตกอยู่ในภวังค์ ในทันใด เสียงดนตรีได้หยุดลงจนทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน ลูกขบวนต่างถอยลงจากสนามพิธีอย่างเป็นระเบียบ พร้อมด้วยเสียงอันกังวานจากพิธีกรประธานว่า "จบพิธี" แต่ในโสตประสาทของข่งชิวยังคงติดตรึงภาพและเสียงของขบวนพิธีอยู่มิคลาย  ข่งชิวยังไม่อยากจะจากลา จึงรีบเข้าไปถามไถ่พิธีกรประธานท่านนั้นว่า "ขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ ไฉนพิธีเมื่อสักครู่จึงใช้ฉกสังคีต?"  พิธีกรท่านนั้นเป็นชายราววัย ๕๐ กว่า มีรูปร่างอันสมส่วน  มีหน้าขาวผ่อง  มีหนวดและจอนยาวพลิ้วสยาย  ดูแล้วสง่าน่านับถือ  ครั้นชายชราได้เห็นข่งชิวเดินเข้ามาถาม จึงเพ่งมองข่งชิวอย่างพิเคราะห์ พลางกล่าวด้วยลีลาสุขุมว่า "อัฏฐสังคีต จะใช้เฉพาะแต่องค์จักรพรรดิ  ส่วนฉกสังคีต จะใช้กับเหล่าเจ้าแคว้นของแต่ละนครรัฐ  โจวกงได้ทรงรับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กินเมืองหลู่ จึงถือว่าเป็นเจ้านคร ดังนั้นจึงควรใช้ฉกคีตในพิธีบูชา"  ข่งชิวกล่าวว่า "ตามหลักแล้วโจวกงได้ถวายความจงรักภักดีจนโจวอู่หวังทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติได้สำเร็จ ทั้งยังทรงปกครองอาณาประชาราษฏร์จนร่มเย็นเป็นสุข แล้วไฉนจึงไม่ใช้อัฏฐสังคีตล่ะ?"ชายชรากล่าวว่า "มาตรว่าโจวกงจะทรงมีคุณงามความดีเทียบดินฟ้าก็จริง แต่หากมิได้เป็นกษัตริย์ อย่างไรก็มิอาจใช้อัฏฐสังคีตได้อย่างเด็ดขาด และแม้นโจวเฉิงหวังจะเคยรับสั่งถึงคุณความดีที่โจวกงได้ทรงมีต่อประเทศชาติ และยังเคยทรงมีพระราชานุญาตให้โจวกงใช้อัฏฐสังคีตได้ก็ตาม แต่โจวกงทรงเห็นว่า เป็นการผิดต่อข้อบัญญัติแห่งจริยธรรม ดังนั้นจึงยืนกรานปฏิเสธการใช้พิธีนี้เสมอมา ด้วยเหตุนี้ การไม่ใช้พิธีอัฏฐสังคีตจึงสอดคล้องต่อเจตนาจริยธรรมแห่งโจวกงแล้ว"  ข่งชิวได้ไต่ถามข้อกังขา ที่มีต่อพิธีบูชาอีกมากมาย พิธีกรท่านนั้นล้วนตอบคำถามอย่างละเอียด ด้วยความอดทน  ครั้นจบคำถาม ข่งชิวได้โค้งคารวะว่า "ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ข้าน้อยขอรบกวนแต่เพียงเท่านี้ " ครั้นแล้วก็หันหลังกลับไปอย่างสุภาพ ชายชรารู้สึกชื่นชมในความใฝ่ศึกษาของข่งชิว จึงยืนส่งข่งชิวเดินกลับไปจนลับสายตา

หมายเหตุ !  ๖ จัตุรัส คือพิธีบูชา ที่ใช้ผู้คนร่ายรำตามเสียงดนตรี  โดยกษัตริย์จะใช้คนร่ายรำ ๖๔ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่า อัฏฐสังคีต เจ้าเมืองจะใช้คนร่ายรำ ๓๖ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่าฉกสังคีต  ส่วนขุนนางจะใช้คนร่ายรำ ๑๖ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่าจัตุสังคีต       
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2012, 17:55
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช  5

     ข่งชิวเดินออกจากอารามหลวงด้วยอารมณ์สุนทรีย์
แต่เขายังไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ดังนั้นจึงเดินเรียบไปตามถนนใหญ่จนถึงสี่แยก ข่งชิวกวาดสายตาไปทางทิศอุดร เห็นแท่นดินที่ตั้งอยู่บนทุ่งกว้างที่ห่างไปไม่ไกลนัก บริเวณนั้นร่มรื่นด้วยทิวสน ทุ่งหญ้าปลิวพลิ้วไปตามกระแสคลื่นแห่งสายลม ข่งชิวสาวเท้าก้าวมุ่งไปที่แท่นดินแห่งนั้น จำได้ว่านี่คือแท่นคอยพ่อแห่งป๋อฉิน ป๋อฉิน คือพระโอรสองค์โตของโจวกง ทรงเป็นเจ้าเมืองพระองค์แรกของรัฐหลู่ ในตอนนั้น ข่งชิวได้เดินวนแท่นดินหนึ่งรอบ  ได้เห็นแท่นดินแห่งนันถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และกอวัชพืช แม้แท่นดินนี้จะไม่เป็นที่สดุดตาของคนทั่วไป แต่มันก็ได้สกิดอารมณ์ความรู้สึกที่โหยหาบิดาของป๋อฉินในมโนภาพของข่งชิวขึ้น ป๋อฉินได้ทรงสร้างแท่นดินแห่งนี้เพื่อบ่ายหน้าไปทางวังหลวง ณ ทิศประจิมเพื่อเป็นการคลายความเจ็บปวดจากความคิดถึงที่ทรงมีต่อพระบิดา แต่บัดนี้ เจ้าเมืองหลู่ที่เป็นอนุชนของโจวกงกลับลืมบรพบุรุษไปเสียสิ้น ความเสื่อมโทรมแห่งแคว้นหลู่จึงสามารถเห็นได้จากจุดนี้อย่างมิอาจปิดบัง  เพราะแม้แต่พิธีอย่างี้ยังเป็นที่ลืมเลือน แล้วจะมีคุณค่าอะไรหลงเหลืออยู่อีกเล่า? หลังจากกลับถึงบ้าน ข่งชิวยังมุ่งมั่นในปณิธาน  และตั้งใจเล่าเรียน ๖ วิทยาอีกต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ  แต่นั้นไม่นาน เรื่องประหลาดขนาดที่ข่งชิวคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือหลังจากข่งชิวได้กลับจากพิธีบูชาโจวกงที่วัดหลวงแล้ว ชาวเมืองหลู่น้อยใหญ่ต่างร่ำลือเรื่องข่งชิวมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้ได้วิจารย์ข่งชิวว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความรู้คสามสามารถอะไรเลย  วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวกำลังฝึกปรือวิชาธนูกับบรรดาสหายที่สนามเจวี๋ยเซี่ยงผู่ ได้มีมาณพคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของข่งชิวว่า "ข่งชิว ทุกคนต่างลือเรื่องอขงเจ้าใหญ่เลย"  ข่งชิวถามด้วยความประหลาดใจว่า "ลือข้าว่าเป็นอย่างไรหรือ ?"  "พวกเขาลือว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไปที่วัดหลวงแล้วยังต้องซักไซร์เรื่องพิธีบูชาอีก"  "แล้วพวกเขายังว่าอย่างไรอีก"  "พวกเขาว่าเจ้าไม่มีความรู้เลยสักนิด"  ครั้นข่งชิวได้ฟังก็พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า "พวกเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด คนเราควรคล่องแคล่วใฝ่ศึกษา ไม่ละอายในการไต่ถามผู้ที่มีความรู้ดอยกว่า ข้าคิดว่าในโลกนี้มีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย สามคนร่วมเดินทางก็ยังต้องมีสักคนหนึ่งที่สามารถเป็นครูของเราได้อย่างแน่นอน มาตรว่าเราจะมีอัจฉริยภาพจนมีใครเทียมได้ก็จริง แต่ก็ยังต้องมีความถ่อมตนในการศึกษาวิชา เพราะขอบเขตความรู้ไม่มีที่สิ้น การศึกษาจึงไม่ควรมีการหยุดด้วยเช่นกัน"  มาณพคนนั้นฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วย จึงได้พยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่ ส่วนชายหนุ่มคนอื่น ๆ ก็ยังคงทยอยกันมาฟังคำปราศรัยของข่งชิวอย่างคับคั่งตามเดิม  กาลนทีว่องไวดุจกระสวยแล่น เพียงไม่นานก็ผ่านไปอีก ๑ ปี  ซึ่งตอนนั้น ข่งชิวมีอายุได้ ๑๙ ปีแล้วส่วนชื่อเสียงของท่านก้เริ่มโด่งดังจนสะพัดไปทั่วรัฐหลู่น้อยใหญ่  เช้าวันหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีออกขุนนางเช้า  หลู่เจากง ได้มีรับสั่งให้เรียกจี้ผิงจื่อ  สูซุนเฉิงจื่อ  และเมิ่งสีจื่อเข้าเฝ้า  ได้ตรัสขึ้นอย่างสราญพระทัยว่า "ท่านเสนาทั้งสาม ข้าได้ทราบมาว่า บุตรชายของสูเหลียงเฮ่อที่โจวอี้เป็นผู้ที่มีความรู้สูงส่ง มิทราบว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร? " จี้ผิงจื่อ เป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยและชอบมองคนด้วยหางตา  ส่วน สูซุนเฉิงจื่อ เป็นบุคคลที่มีรูปร่างปานกลาง หน้าตาแห้งตอบ เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงความคิดเห็น แต่ในตอนนั้นทั้งสองคนต่างจ้องมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แววพระเนตรอันกระหายคำตอบของหลู่เจากง ยังคงสอดส่ายไปมาที่บุคคลทั้งสองอยู่มิขาด  เมิ่งสีจื่อทูลขึ้นว่า "กระหม่อมก็เคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ยังมิได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมิกล้าด่วนสรุปเร็วไปนัก"  หลู่เจากงตรัสว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองเรียกตัวเข้าวังสักครา หากว่าเป็นจริงตามที่ล่ำลือก็จะได้มอบหมายตำแหน่งราชการให้"  ครั้งจี้ผิงจื่อได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก  ส่วนสูซุนเฉิงจื่อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียเลย  เมิ่งสีจื่อทูลว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระทัยเช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็จะให้คนไปเบิกตัวข่งชิวมาเข้าเฝ้าในทันที"     
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2012, 18:25
        ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช   6 

     ในตอนนั้นข่งชิวกำลังท่องซือจิง
อยู่ในบ้าน ข่งชิวจะชอบซือจิงมากเป็นพิเศษ เพราะซือจิงเป็นบทเพลงพื้นบ้านที่งามพร้อมด้วยอักขระและอรรถรสอันสุนทรีย์ ขณะที่เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ความคิด ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉีกวนซื่อจึงรีบไปเปิดประตู ครั้นเห็นเป็นทูตหลวงมือไม้ก็สั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก ข่งชิวรีบแต่งอาภรณ์และรับรองทูตหลวงเข้าในบ้าน  ทูตมิได้อ้อมค้อมมากพิธี ได้กล่าวถึงจุดประสงค์การมาอย่างตรงไปตรงมาว่า "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านรีบเข้าวังร่วมปรึกษาราชการโดยด่วน"  ครั้งข่งชิวได้ฟังก็รู้สึกปิติยินดียิ่ง จึงได้ตามทูตหลวงเข้าวังโดยมิทันได้บอกกล่าวให้มารดาและภรรยาทราบ วังหลวงเมืองหลู่ ดูโอ่อ่าอลังการ ประดับกระบวนด้วยศิลปะโบราณดูงามตา ทั้งปริมณฑลมีอาคารสูงต่ำที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน แม้นข่งชิวจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าสู่ตำหนักรโหฐานส่วนพระองค์  ข่งชิวจึงอดที่จะใจเต้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเสียมิได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามทูตหลวงอยู่ห่าง ๆ ครั้นถึงเบื้องพระพักตร์ก็รีบคุกเข่าถวายพระพร  พระพักตร์ของหลู่เจากงเต็มไปด้วยความปิติยินดี ทรงอนุญาตให้ข่งชิวนั่งสนทนาได้  ข่งชิวกลั้นลมหายใจอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกราบทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท" จากนั้นจึงพับแขนเสื้อและเดินสู่ที่นั่งชั้นสูงที่ตั้งอยู่ด้านข้างพระที่นั่ง หลู่เจากง ตรัสว่า " ข่งชิว ข้าได้ทราบมาว่าท่านมีความรู้ความสามารถในศิลปวิทยาทุกแขนง ข้าจึงอยากฟังทัศนะการปกครองจากท่านสักหน่อย"  ข่งชิวลุกขึ้นจากที่นั่ง และคุกเข่าลงกราบทูลว่า "กระหม่อมเป็นเพียงปุถุชนคนสามัญ จึงมิกล้าแสดงถ้อยความเห็นอันต้อยต่ำพ่ะย่ะค่ะ"  หลู่เจากงตรัสว่า "ลุกขึ้นก่อน"  ข่งชิวเพ็ดทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท"  หลู่เจากงตรัสถามว่า แก่นการปกครองแห่ง ๓ กษัตริย์  ๕ราชันคืออะไร ?" ข่งชิวทูลว่า "ความเสมอภาพเพื่อมวลประชา"  "ผลงานหลักของท่านโจวกงคืออะไร"  "กำหนดแบบแผนจริยธรรมและคีตศาสตร์"  "ตามสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เมืองฉีเข้มแข็งอุกอาจ เมืองหลู่อ่อนล้าโรยแรง ข้ามีประสงค์จะกอบกู้ความเข้มแข็งให้เมืองหลู่เหนือเมืองฉี  แต่ควรใช้วิธีเช่นใดดี"  ข่งชิวก้มหน้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทูลตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ตามความเห็นของกระหม่อมนั้น หากเมืองหลู่ประสงค์จะเข้มแข็งขึ้นมาควรเริ่มจากการฟื้นฟูธรรมครรลองแห่งราชวงศ์โจว ดำเนินการปกครองด้วยเมตตาธรรม ใส่ใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นำพาเหล่าพสกนิกรด้วยคุณธรรมความดีและรณรงค์ให้ทั้งหมดอยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมเป็นเบื้องต้น โดยเฉพาะเหล่าขุนนางราชบุรุษทั้งปวงจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่าง  ด้วยฉะนี้ หากมีคำสั่งทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม หากมีข้อห้ามทุกคนก็จะต้องงดเว้น และการที่จะทำเช่นนี้ได้ ก็ควรรู้จักเลือกใช้คนดีเป็นสำคัญ  แต่งตั้งเหล่าธีระที่ถูกหลงลืมขึ้นดำรงตำแหน่ง ฉะนี้ก็จะทำให้บุคลากรในราชสำนักกอปรด้วยคุณธรรมความสามารถ ฉะนี้ก็มิไยต้องกังวลว่าเมืองหลูจะด้อยกว่าเมืองฉีอีก?"  ครั้นหลู่เจากงได้ทรงสดับก็ปิติยินดียิ่ง จึงตรัสชมขึ้นว่า "ท่านฟูจื่อเป็นอริยชนโดยแท้ มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีประสงค์จะอยู่รับราชการเพื่อเสนอความเห็นต่อข้าสืบไปหรือไม่?" นี่มิใช่เป็นโอกาสงามที่จะประกาสศักดาและอุดมการณ์ของตนหรอกหรือ? เพียงแต่มันมาอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้ข่งชิวรู้สึกตะลึงจนตั้งตัวไม่ทัน

หมายเหตุ   :  ซือจิง เป็นหนังสือโบราณที่รวบรวมกลอนและบทเพลงที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีทั้งหมด ๓๐๕ บท รวบรวมโดยขงจื่อ  แต่เดิมมีชื่อว่า  ซือ  (กลอน)  อย่างเดียว แต่เนื่องจากสำนักปราชญ์ (หมายถึงสำนักขงจื่อ)  ยึดถือเป็นคัมภีร์ที่ศิษย์ทุกคนจะต้องศึกษา ดังนั้นจึงเรียกว่า  "ซือจิง" (จิง แปลว่า สูตร) ในคัมภีร์แบ่งออกเป็นสามหมวดใหญ่คือ หมวดฟง  หมวดอย่า  และหมวดซ่ง  ชนรุ่นหลังถือว่าคัมภีร์ซือจิงเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมจีนมาตลอดสองพันกว่าปี อีกทั้งยังเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่ามากเป็นอย่างยิ่ง     
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 7
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/09/2012, 13:40
        ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 7 

     ครานั้น  จี้ผิงจื่อ
ผู้มีรูปร่างม่อต้อและมีจิตใจริษยาคนเก่งเป็นอุปนิสัย ครั้นได้เห็นความปรีชาสามารถระดับปกครองใต้หล้าได้ของข่งชิว ทั้งยังได้ยินหลู่เจากงรับสั่งว่าจะประทานตำแหน่งหน้าที่ให้แก่ข่งชิวในทันใดอีกด้วยแล้ว จี้ผิงจื่อจึงรีบฉวยโอกาสที่ข่งชิวยังมิทันตั้งตัวชิงกราบทูลก่อนว่า "ฝ่าบาท ข่งชิวมีความรู้ความสามารถด้วยวัยวุฒิเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เพียงแต่การรับราชการประทานบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องใหญ่แห่งบ้านเมือง ดังนั้นจึงต้องตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินพระทัย เพื่อประโยชน์สุขจะได้เกิดขึ้นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์พ่ะย่ะค่ะ"  แม้หลู่เจากงจะทรงทราบดีว่าจี้ผิงจื่อมีใจริษยาแต่ก็ติดอยู่ที่จี้ผิงจื่อเป็นอุปราชผู้มีอำนาจราชศักดิ์ อีกทั้งยังมี สูชุนเฉิงจื่อ และเมิ่งสีจื่อ  ร่วมอยู่ด้วยเหตุการณ์อีกประการหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงไม่อยากโต้แย้งจนเกิดข้อบาดหมางโดยไม่จำเป็น กอปรกับพระองค์ยังไม่รู้จักข่งชิวดีพอ หากจะอาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำมาตัดสินประทานตำแหน่งราชการให้ ขุนนางน้อยใหญ่อาจจะไม่ยอมรับได้ จึงตรัสขึ้นว่า "คำพูดของท่านอุปราชนั้นชอบแล้ว ข้าควรตรึกตรองให้รอบคอบเสียก่อน"  ข่งชิวได้ยินกิตติศัพพ์ของ  ๓  อิทธิพลนี้มาพอสมควร รู้ว่าจี้ผิงจื่อเป็นคนยะโสโอหัง ได้กระทำการรวบอำนาจการบริหารบ้านเมืองไว้โดยอหังการ ส่วนสูซุนเฉิงจื่อเป็นคนโลเลไม่เด็ดขาด จึงมักจะโอนเอียงไปมาท่ามกลางตรกูลทั้งสอง ส่วนเมิ่งสีจื่อ เป็นคนซื่อไร้กลเหลี่ยม ไม่มีความมานะในการศึกษาเล่าเรียนวิชา ความรู้จึงดาด ๆ จนไม่สามารถบริหารราชการให้เข้มแข็ง อำนาจจึงมีน้อยที่สุดใน ๓ ตระกูล  ในสายตาของข่งชิว ตอนนี้เต็มไปด้วยแววตาที่ดูถูก เสียดายและแค้นใจระคนกัน ข่งชิวรู้สึกดูถูกพวกเหล่าขุนนางที่เอาแต่ละโมบบ้าอำนาจ ใช้แต่เล่ห์เหลี่ยมกลโกงโดยไม่นำพาในทุกข์สุขของประชาชน และรู้สึกเสียดายที่อำนาจทั้งหมดของเมืองหลู่ต้องตกอยู่กับทรชนทั้งสาม บ้านเมืองจึงมีแต่ความผุกร่อนลงทุกวัน ทั้งยังรู้สึกแค้นใจที่ฟ้าได้ปล่อยให้คนต่ำทรามเหล่านี้มาบริหารบ้านเมืองอย่างอยุติธรรม โดยเฉพาะคือจี้ผิงจื่อคนนี้  ข่งชิวอยากจะลุกขึ้นยืนปะคารมเพื่อฉีกหน้ากากอันอัปลักษณ์และตำหนิพฤติกรรมอันต่ำช้าสามานย์ของเขาให้เป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่า ข่งชิวคือผู้ที่มีการศึกษามาดี ดังนั้นจึงกลืนคำพูดที่แทบจะหลุดออกมาและฝืนยิ้มขึ้นว่า "ข่งชิวด้อยความสามารถ คาวมรู้ตื้นเขินจึงขอให้ฝ่าบาทและใต้เท้าโปรดชี้แนะสอนสั่ง" หลู่เจากงทรงเห็นกิริยาวาจาอันสุภาพของข่งชิวจึงรู้สึกโปรดปรานเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงลุกจากพระที่นั่งและเสด็จมาทักว่า "เจ้าคืออนุชนที่สืบเชื้อสายมาแต่อริยกษัตริย์เฉิงทัง ข้าหวังให้เจ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรคให้ก้าวหน้าพัฒนา จนที่สุดได้เป็นอริยชนของราชสำนักในภายหน้าอย่างแท้จริง"  ข่งชิวรีบจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยและคุกเข่ากราบทูลว่า "กระหม่อมจะขอจดจำพระโอวาทฝ่าบาทใส่เกล้าตลอดไป และกระหม่อมจะขอมานะพยายามเพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ"  ครั้นได้กราบอำลาแล้ว ข่งชิวได้ก้าวออกประตูวังด้วยใบหน้าอันหนักหน่วงแต่ครั้นออกนอกประตูวัง จิตใจจึงรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนวิหคที่สยายปีกโผบินสู่เวหา ข่งชิวรู้สึกปลื้อปิติที่ได้เข้าเฝ้าหลู่เจากง พลางคิดอยู่ใจในว่า "ต้องมีสักวันที่หลู่เจากงจะทรงรับความเห็นของเขาไปใช้ และได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของเมืองหลู่จนเข้มแข็งทัดเทียมเหล่าอารยรัฐที่รายล้อมอย่างแน่นอน" และโดยความจริงแล้วการที่ข่งชิวได้เข้าเฝ้าหลู่เจากงในครั้งนี้ก็มีสิ่งดีอยู่ไม่น้อย เพราะหลู่เจากงได้รับสั่งเรียกข่งชิวว่า ฟูจื่อ มิใช่หรือ?. ดังนั้นผู้คนน้อยใหญ่จึงเริ่มเรียกข่งชิวว่า ฟูจื่อ  นับแต่นั้นเป็นต้นมา

หมายเหตุ   :  ฟูจื่อ เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกบุคคลที่มีคุณธรรมความสามารถ   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 8
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/09/2012, 14:45
          ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 8 

     ครั้นข่งชิวกลับถึงบ้าน
พลันได้ยินเสียงทารกร้องอุแว้อยู่มิขาด จึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจ ได้เห็นฉีกวนซื่ออุ้มเด็กทารกชายที่ทั้งขาวและอ้วนท้วนแข็งแรงอยู่แนบอก  ข่งชิวรีบเข้าไปทักทายมารดาในเรือนแล้ววิ่งออกมาอุ้มบุตรของตนขึ้นเชยชมอย่างมิกระพริบสายตา จิตใจเจิงจ้ายตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยความปลาบปลื้อมปิติอย่างยากจะบรรยายเพราะในที่สุดนางก็หมดห่วงลงได้เสียที เธอภาวนาต่อสามีด้วยความดีใจว่า "ท่านพี่ที่อยู่สรวงสวรรค์คงจะวางใจได้แล้ว"  ในตอนนั้น ฉีกวนซื่อได้กล่าวกับสามีว่า "รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ" ข่งชิวอุ้มลูกเดินวนไปมาในห้องและลานบ้านอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยังมิอาจนึกชื่อที่ถูกใจได้สักที สุดท้ายจึงได้แต่เดินกลับเข้าบ้านนั่งคิดใคร่ครวญต่อไป ในคืนนั้น  ข่งชิวมีความรู้สึกปิติจนมิอาจข่มตาหลับลงได้ เพราะการได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า การทีบุตรชายได้ถือกำเนิด เหล่านี้นับเป็นเรื่องมงคลที่ประดังเข้ามาอย่างน่ายินดี  ข่งชิวคิดกลับไปกลับมาเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองและปัญหาการอบรมบุตรให้สามารถสานปณิธานของตนต่อไปในภายภาคหน้า จวบจนพระอุทัยสาดแสงอร่ามพาดขอบฟ้า จึงค่อยสลึมสลือหลับไปในที่สุด ในความฝัน ข่งชิวขับรถม้ามุ่งตรงไปยังพระมหาราชวังแห่งราชวงศ์โจว ที่นั่นมีถนนหนทางอันโอ่อ่า ตึกรามบ้านช่องล้วนประดับด้วยศิลปะสมัยโบราณอย่างวิจิตรพิศดาร ชายหญิงต่างแยกเดินมิเบียดเสียด ผู้คนล้วนอ่อนน้อมมีไมตรี  ผู้เยาว์ให้ความเคารพแก่ผู้สูงอายุ  พ่อค้าวาณิชสุจริตมิคดโกง ข่งชิวได้เที่ยวชมอารยบุรีแห่งนี้อย่างหลงใหล จนรถม้าได้นำพาเข้าสู่เขตพระราชฐานโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ข่งชิวกำลังจะกระโดดลงจากรถม้าเพื่อกล่าวขออภัยที่ล่วงล้ำ ได้มีชายชราท่านหนึ่งเดินตรงมาหาด้วยรอยยิ้มอันเมตตา พลางใช้มือพยุงข่งชิวขึ้นและกล่าวว่า "มิเป็นไร !  มิเป็นไร !" คาดว่าท่านคงคือข่งชิวแห่งเมืองหลู่กระมัง ?. ข่งชิวรู้สึกประหลาดใจ พลางประสานมือคำนับว่า "ข้าน้อยคือข่งชิว มิทราบว่าท่านอาวุโสรู้จักข้าน้อยได้อย่างไีร?"  อาวุโสท่านนั้นตอบว่า "ข้าคือโจวกงที่ท่านเฝ้าถวิลหาอยู่ทุกวันคืนไงล่ะ ข้าได้ประมาณไว้แล้วว่าท่านจะมาในวันนี้ ดังนั้นจึงมาคอยต้อนรับอยู่ที่นี่" ข่งชิวตั้งใจพิเคราำะห์ชายชราอีกครั้ง จึงเห็นว่าเป็นชายชราผมขาวโพลนทั้งศรีษะ หากแต่สุขภาพยังดูแข็งแรงและกำลังส่งสายตาอันอารีย์มาที่ตนอยู่มิขาด จึงรีบกล่าวทันทีว่า "ข้าน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ไฉนกล้ารบกวนให้อาวุโสมาต้อนรับได้  โจวกงตอบว่า "ข้ามิใช่มาต้อนรับท่านเพียงอย่างเดียวหรอก ห่กเป็นการต้อนรับความอุดมสุขแห่งเมืองหลู่ต่างหาก ได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้มีคุณธรรมความสามารถ ดังนั้นภารกิจแห่งความมั่นคงของชาติต้องมอบให้แก่ท่านแล้วล่ะ" ข่งชิวกล่าวว่า "ข้าน้อยยินดีถวายงานรับใช้เจ้าเมืองหลู่อย่างสุดกำลังความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยโดดเดี่ยวเปลี่ยวกำลัง จึงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ประการใดดี ?"  โจวกงรีบตีหน้าขึงขังขึ้นมาทันทีว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่นเสมอ" ในตอนนั้นข่งชิวมีประสงค์จะเรียนถามหลักการบริหารประเทศจากโจวกง แต่ทันใดก็ถูกเสียงเรียกของทารกปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความฝัน ยามนี้แสงอุทัยได้สาดส่องเข้ามาในลานบ้านโดยเฉพาะคือต้นจามจุรีเก่า ๆที่ต้องแสงอรุณจนเปล่งประกายลายกนกที่แซมด้วยสีเขียวหยกอย่างวาววับ หลังจากข่งชิวกวาดพื้นบ้านเสร็จ ท่านยังคงยืนประหวัดถึงความฝันยามเช้าอยู่มิาด ทันใดได้มีคนมาเคาะประตูปลุกข่งชิวให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด ข่งชิวจึงรีบไปเปิดประตูบ้านแต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้มาเยือน   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : แรกประกาศศักดา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/09/2012, 17:03
        แรกประกาศศักดา   

     ที่แท้ผู้มาเยือนคือ ทูตหลวงของเจ้าเมืองหลู่
นั่นเอง ในมือขอทูตหลวงได้ถือปลาหลี่ตัวใหญ่มาด้วย 2 ตัว ขงจื่อรีบเชิญผู้แทนพระองค์เข้าไปในบ้านทูตหลวงกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านมีบุตร จึงรับสั่งให้ข้านำปลานี้มามอบให้เพื่อเป็นศิริมงคล"   ขงจื่อกล่าวด้วยความตื้นตันว่า "ข่งชิวไร้คุณงามความดีใด ๆ จึงรู้สึกละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก" ทูตหลวงกล่าวว่า "ท่านฟูจื่อโปรดรับไว้ก่อน เรื่องตอบแทนพระคุณไว้ภายหลังค่อยหาโอกาสตอบแทนก็ได้"   ขงจื่อชูสองมือรับปลาจากทูตหลวง ส่วนทูตหลวงก็รีบขอตัวอำลากลับเพื่อนำความกราบบังคมทูลให้หลู่เจากงได้ทรงทราบ ขงจื่อยืนส่งทูตหลวงจนจากไปไกลแล้วจึงหิ้วปลาเข้าไปในบ้าน แต่แล้วพลันนึกได้ว่า "ได้แล้ว เราตั้งชื่อให้แก่ลูกชายว่า "หลี่  นามรองว่า ป๋ออวี๋  ดีกว่า"  ครั้นแล้วก็นำความคิดนี้มาร่วมปรึกษาด้วยมารดาและภรรยาว่า "เมื่อวานลูกได้บุตรชาย อีกวันนี้ยังได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทอีก สิ่งนี้จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ควรแก่การระลึกถึงยิ่ง ดังนั้นลูกจึงนึกถึงคำว่า  หลี่ นี้ขึ้นมาส่วนคำว่า ป๋อ จะมีความหมายว่า เติบโต  ดังนั้นการตั้งชื่อว่าป๋ออวี๋ จึงนับว่ามีความเหมาะสมที่สุดแล้ว"  ครั้นเจิงจ้ายและฉีกวนซื่อ ได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้าเห็นชอบด้วยความยินดี  การกำเนิดของข่งหลี่ ได้นำความสำราญมาให้แก่ครอบครัว นี้ได้ไม่น้อย แต่ความจริงก็ได้กลายเป็นภาระหนักสำหรับข่งชิวด้วยเช่นกัน เพราะข่งชิวจะต้องคำนึกถึงความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวทั้งหมด ในเมื่อตอนนั้นเมิ่งผีได้แยกออกไปตั้งรกรากต่างหากกับมารดาและภรรยานานแล้ว และปีนั้นก็ได้กลายเป็นจุดพลิกผันอันสำคัญบนเส้นทางชีวิตของขงจื่อ  ณ ตำบลที่อยู่ในอาณัติการปกครองของเมิ่งสีจื่อ แห่งหนึ่งได้เกิดการทุจริตอากามาเป็นเวลานานเมิ่งสีจื่อมีความคิดที่จะปลดเจ้าพนักงานที่นั่นมานานแล้ว เพียงแต่ยังมิอาจสรรหาบุคคลที่เหทาะสมไปแทนตำแหน่งได้สักที และนับแต่เมิ่งสี่จื่อได้เห็นความปรีชาสามารถของขงจื่อ ภายในใจก็รู้สึกชื่นชมในสติปัญญาของขงจื่อยิ่งนัก กอปรกับตอนนี้ได้เริ่มเข้าสู่การเก็บเกี่ยวในฤดูสารท  เมิ่งสีจื่อจึงตัดสินใจส่งขงจื่อไปรับผิดชอบการเก็บอากรที่นาแทนเจ้าพนักงานคนเก่าที่นั่น ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่สามารถปลดหัวหน้าอากรคนเก่าได้เท่านั้น หากยังสามารถทดสอบความสามารถด้านการบริหารของขงจื่อได้อีกทางหนึ่งด้วย ครั้นคิดได้ดังนี้ก็รีบส่งคนไปเชิญขงจื่อเข้าพบในทันที ครั้นผู้ส่งสาสน์ได้ถ่ายทอดเจตนาให้ขงจื่อทราบแล้ว ขงจื่อได้รีบออกเดินทางโดยมิรอช้า พลางคิดตลอดทางว่า "แม้นเมิ่งสีจื่อจะเป็นคนที่หามีความรู้ความสามารถไม่ แต่ก็เป็นบุคคลที่เคารพปราชญ์ผู้คงแก่เรียน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง หากเราได้รับการสนับสนุนจริง เราต้องตั้งใจทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อเป็นการปูหนทางในการประกาศอุดมการณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ให้จงได้" 

หมายเหตุ   :  ป๋อ มีความหมายว่าบุตรคนโต  ส่วน  อวี๋  มีความหมายว่า ปลา  ป๋ออวี๋ จึงมีความหมายว่า ลูกชายคนโตที่มีชื่อว่าปลา เหตุที่ขงจื่อและข่งหลีมีการออกเสียงนาสกุลไม่เหมือนกัน เพราะวิธีการอ่านออกเสียงภาษาจีนได้กำหนดไว้ว่า หากอักษรสองตัวมีวรรณยุกต์เหมือนกัน อักษรตัวหน้าจะต้องลดวรรณยุกต์หนึ่งระดับ เพื่อให้มีความไพเราะในการอ่าน 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : แรกประกาศศักดา 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2012, 14:14
           แรกประกาศศักดา  2

        ขงจื่อคิดอย่างเพลิดเพลินจนมาถึงหน้าบ้านของเมิ่งสีจื่อ
โดยไม่รู้ตัว ตัวบ้านของเมิ่งสีจื่อดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีความวิจิตรเท่าบ้านของจี้ผิงจื่อก็จริง แต่ก็นับเป็นบ้านที่มีการประดับอย่างหรูหรามากหลังหนึ่ง ในขณะที่ขงจื่อกำลังเพลิดเพลินกับความคิด เสียงคนใช้ก็มาขัดจังหวะขึ้นว่า "ขอเชิญท่านฟูจื่อเข้าข้างในก่อนเถอะ"  ทางเดินภายในบ้านปูลาดด้วยศิลาแลงที่วนเวียนคดเคี้ยวไปมาท่ามกลางรุกขชาติ ทางเดินอันลดเลี้ยวได้สิ้นสุดลงที่ห้องโถงภายใน  ขงจื่อต้องผ่านประตูใหญ่ถึง ๓ บาน จึงจะสามารถเข้าไปถึงส่วนรโหฐานของเมิ่งสีจื่อได้ ขงจื่อทราบดีว่า การที่เมิ่งสีจื่อได้ให้การต้อนรับที่หลังคฤหาสน์ นั่นหมายความว่า เมิ่งสีจื่อได้ให้เกียรติเขาเป็นแขกพิเศษแล้ว และก็หาได้ผิดจากที่คาดไว้ไม่ เพราะไม่นานนัก เมิ่งสีจื่อได้เดินออกมาต้อนรับเขาเข้าสู่ภายในเรือนด้วยความเป็นกันเอง หลังจากทั้งสองต่างคำนับให้กันตามธรรมเนียมจนเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงค่อยพากันก้าวเข้าสู่ห้องโถงภายใน ขณะที่ทั้งสองต่างโอภาปราศัยกันอย่างเพลิดเพลิน คนใช้ได้จัดแต่งโต๊ะอาหารเสร็จพอดี เมิ่งสีจื่อเชิญขงจื่อร่วมรับประทานอาหาร ขงจื่อกล่าวขอบคุณแล้วนั่งบนเก้าอี้สำหรับแขกบ้านอย่างสง่า ครั้นได้รับประทานจนพอประมาณ เมิ่งสีจื่อกล่าวขึ้นว่า "ด้วยคุณธรรมความสามารถของท่านฟูจื่อ หากจะให้ดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระยาก็ยังว่านับไม่ยาก เพียงแต่โอกาสยังไม่อำนวยให้เท่านั้น เหตุด้วยข้ากำลังต้องการผู้แทนตำบลที่รับผิดชอบการเก็บอากรที่นาพอดี มาตรว่าจะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่มิทราบว่าท่านฟูจื่อพอจะให้เกียรติรับงานนี้ได้หรือไม่?."  ขงจื่อตอบว่า "ได้รับความกรุณาจากใต้เท้าเช่นนี้ ข้าน้อยใยกล้าขัดศรัทธาของท่านได้"  ครั้นเมิ่งสีจื่อได้รับฟังก็ปิติยินดียิ่ง จึงรีบรินสุราให้ขงจื่อเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นจึงเล่าเรื่องการทุจริตของหัวหน้าอากรคนก่อนพร้อมทั้งกำชับวิธีการจัดการแก่ขงจื่อโดยละเอียด หลังจากขงจื่อได้อำลาเมิ่งสีจื่อ กลับถึงบ้านก็ได้รายงานเรื่องการรับราชการให้มารดาทราบ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมตัวสำหรับการรับตำแหน่งอย่างขะมักเขม้น  หัวหน้าพนักงานอากรคนก่อน เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาได้กระทำการทุจริตยักยอกอากรจากชาวนามาช้านาน  ดังนั้น ครั้นขงจื่อได้รับตำแหน่งนี้ก็ได้สั่งเรียกบัญชีมาตรวจดูโดยละเอียด พบว่าสมุดบัญชีได้ถูกเติมแต่งขีดฆ่าจนสับสนวุ่นวาย ขงจื่อจึงเรียกเจ้าพนักงานมาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นกันเองว่า "ข้าได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเมิ่งซุน ให้มารับตำแหน่ง เนื่องจากเจ้าพนักงานคนก่อนทำงานไม่เรียบร้อย จุดนี้จะต้องชำระสะสาง ส่วนเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ข้ายังจะรับไว้ทำราชการต่อไป หวังว่าพวกเจ้าจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ และร่วมแรงร่วมใจกันเก็บอากรที่นาในปีนี้ให้ลุล่วงโดยดี"  เหล่าเจ้าพนักงานต่างเห็นว่าหัวหน้าคนใหม่อายุยังน้อย จึงแสดงกิริยาดูถูกและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไยดีว่า "ขอเพียงใต้เท้ามีคำสั่ง พวกเราก็ต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว"  แม้นทุกคนกล่าวว่าจะขอน้อมรับคำบัญชา หากกิริยากลับแสดงอาการกระด้างกระเดื่องอย่างเห็นได้ชัด แต่ขงจื่อหาได้ใส่ใจไม่ โดยยังคงทำการแบ่งสรรหน้าที่การเก็บอากาออกเป็น ๕ ส่วน เพื่อกระจายให้เจ้าพนักงานแต่ละคนออกเก็บอากรในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึง หลังจากพวกเจ้าพนักงานได้ออกไปแล้ว ขงจื่อก็สวมชุดชาวบ้านออกตรวจราชการ ครั้งถึงริมท้องนาก็เดินตรงไปจับเข่านั่งคุยกับชาวบ้านที่พักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้อย่งเป็นกันเอง  ขงจื่อถามว่า "ผลผลิตปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง?"  ชาวนาตอบว่า "ผลผลิตปีนี้ดีมาก" "การเก็บอากรที่นามีปัญหาไหม?"  เพียงขงจื่อถามถึงเรื่องการเก็บอากร กลุ่มชาวนาก็หุบยิ้มและไม่ยอมพูดจาด้วยอีก  ขงจื่อได้พิจารณาสีหน้าของพวกเขาอยู่พักหนึ่งและนั่งรอคอยคำตอบจากพวกเขาด้วยความอดทน หลังจากได้เงียบเสียงอยู่พักใหญ่ ชาวนาคนหนึ่งได้จ้องสังเกตขงจื่ออย่างพิจารณา เห็นว่าขงจื่อมีลักษณะหน้าผากกว้าง  คิ้วดกตาโต  กิริยาสุภาพดูสง่าน่านับถือ จึงคิดว่าขงจื่อคงมิใช่คนที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกเป็นแน่ จึงกล่าวว่า "โดยความจริงแล้ว หากดูตามผลผลิตสำหรับปีนี้ ถ้าจะจ่ายให้คบตามเกณฑ์อากรคงไม่มีปัญหา เพียงแต่..."     
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : แรกประกาศศักดา 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2012, 14:50
          แรกประกาศศักดา  3

        ชาวนานิ่งสงบอยู่พักใหญ่
สายตากวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง "เพียงแต่เจ้าพนักงานอากรมันชั่วช้าจริง ๆ มันสมรู้ร่วมคิดกับลูกสมุนทุจริตโกงกิน พวกมันดัดแปลงถังตวงให้ใหญ่ขึ้น แล้วแจ้งจำนวนให้น้อยลง ขณะเดียวกันก็โกงกินพวกเราชาวนาโดยเก็บส่วนต่างไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ท่านก็คิดดูซิ แล้วอย่างนี้จะให้เรายอมจ่ายอากรได้อย่างไร?"  ชาวนาอีกคนหนึ่งสำทับขึ้นทันทีว่า "ข้าได้ข่าวว่าปีนี้ได้เปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงหรือคดกันแน่" อุว๊ะ ! ในวงราชการเห็นจะมีแต่คดมากกว่าตรงกระมัง สงสัยคนใหม่ที่มาก็คงจะไม่ผิดกันเท่าไหร่ดอก?"  "ไอ้พวกขี้โกงเห็นได้เป็นเอา สงสัยคราวนี้จะหนักกว่าคราวก่อนกระมัง"  "แต่ไม่แน่ เราอาจจะเจอตงฉินก็ได้นะ"  "หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดแล้ว"  ขงจื่อได้บอกลาชาวนาเหล่านั้น แล้วออกเดินตรวจงานต่ออีก ๓ หมู่บ้าน แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด คำบอกเล่าก็เหมือนกับออกมาจากคนเดียวกัน เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้เฝ้าสังเกตการเก็บอากรของเหล่าพนักงาน พบว่าถังตวงที่ใช้มีข้อพิรุธจริง ๆ จึงสั่งให้เจ้าพนักงานเปลี่ยนถังตวงลูกใหม่ต่อหน้าชาวนาที่มาจ่ายอากร แต่เมื่อลองตวงดูแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม ขงจื่อจึงสั่งให้นำถังตวงของชาวนาในละแวกนั้นมาตวงใหม่ ปรากฏว่าปริมาณที่ตวงได้ยังมากกว่าถังตวงของเจ้าพนักงานมากมาย  ครั้นขงจื่อกลับถึงจวนว่าการ ได้สั่งเรียกตัวเจ้าพนักงานที่เคยรับราชการกับหัวหน้าคนก่อนมาตำหนิว่า "เมื่อก่อนพวกเจ้าก็ใช้วิธีนี้เก็บอากรอย่างนั้นรึ ?" พวกเจ้าพนักงานเริ่มวิตกกันแล้ว จึงต่างชิงกันสารภาพเพื่อขอความเห็นใจว่า "ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว ! ขอใต้เท้าโปรดยกโทษให้ด้วย"  ขงจื่อพูดเสียงเข้มว่า "คนใจคดอย่างพวกเจ้า หากไม่มีการลงโทษให้หลาบจำก็คงไม่รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมายเป็นแน่"  ขงจื่อได้สั่งลงอาญาตามความผิดของแต่ละคน อีกทั้งยังสั่งปลดพวกที่ทำความผิดร้ายแรงให้ออกจากราชการ และยังได้ส่งตัวเจ้าพนักงานอีกสองคนให้ศาลตัดสินโทษต่อไป  หลังจากพิพากษาคดีเสร็จ ขงจื่อได้ประกาศให้คณะชาวนาเลือกบุคคลที่ทุกคนให้ความเชื่อถือมากที่สุดมารับผิดชอบการเก็บอากร ทั้งยังกำหนดเวลาการเก็บอากรไว้เป็นกฏหมายว่า หากผู้ใดสามารถจ่ายอากรเสร็จก่อนเวลากำหนดก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากจ่ายตามกำหนดพอดีก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙.๕ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากผู้ใดจ่ายค่าอากรล่วงเวลากำหนด ก็จะปรับให้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย ส่วนผู้ใดหลบเลี่ยงการจ่ายอากร ก็ละเวนคืนที่นามาแจกจ่ายให้ผู้อื่นทำกินต่อไป และหากปีใดเกิดภัยธรรมชาติจนทำให้ผลผลิตเสียหาย ก็สามารถทำเรื่องลดหย่อนอากรที่นาได้ ครั้นกลุ่มชาวนาได้เห็นขงจื่อตรากฏหมายอย่างยุติธรรม ทั้งเจ้าพนักงานอากรยังเป็นบุคคลที่ถูกเลือกมาจากกลุ่มชาวนาด้วยกันแล้ว ทุกคนจึงทยอยกันจ่ายอากรตามเวลากำหนดอย่างคับคั่ง 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : แรกประกาศศักดา 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2012, 15:15
              แรกประกาศศักดา 4

        ขงจื่อได้นำเสบียงข้าวสารที่เก็บได้มามอบให้แก่เมิ่งสีจื่อ
พร้อมทั้งอธิบายว่าได้เก็บอากรน้อยกว่าปกติ ๑ ส่วน  แต่หลังจากเมิ่งสีจื่อได้เทียบทะเบียนบัญชีกับปีก่อน ๆ แล้ว ยอดข้าวสารที่เก็บได้มิเพียงแต่ไม่ได้ลดลงเท่านั้น หากแต่ยังเพิ่มมากกว่าปีก่อนถึง ๒ ส่วนด้วยกัน เมิ่งสีจื่อจึงได้สติพลางกล่าวถอนใจขึ้นว่า "ที่แท้หัวหน้าอากรคนก่อนได้ทุจริตมากถึงเพียงนี้เชียว"  ขงจื่อได้นำกลวิธีที่เหล่าเจ้าพนักงานใช้ในการโกงอากรและมาตรการลงโทษรายงานให้เมิ่งสีจื่อฟังพอสังเขป ครั้นฟังจบ เมิ่งสีจื่อได้กล่าวชมขงจื่อว่า "จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ แม้นจะแรกเข้าสู่วงราชการ แต่ก็มิได้ถูกพวกเหล่าทรชนบดบังอำพรางได้สำเร็จ ถือว่าหาได้ยากยิ่งโดยแท้"  หลังจากได้บอกลาเมิ่งสีจื่อกลับขงจื่อก็ยังคงใชเวลาว่างออกตระเวน ขอความรู้และฝึกปรือศิลปวิทยาทุกแขนงอยู่มิขาด กระทั่งวันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เรียกขงจื่อเข้าพบและพูดด้วยความสนิทสนมว่า "ปัจจุบันทางกองปศุสัตว์มีภาวะตกต่ำ สถานการณ์มีแต่เลวร้ายลงทุกวัน ท่านเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถอีกทั้งยังทำงานได้อย่างแข็งขัน ข้าจึงคิดจะแต่งตั้งท่านให้ดูแลกองเกษตรา มิทราบท่า่นมีความคิดเห็นเป็นเช่นใด?."  กองเกษตราคือตำแหน่งราชการเล็ก ๆ ที่รับผิดชอบเรื่องการเลี้ยงดูปศุสัตว์เป็นหลัก ขงจื่อจึงนั่งคิดตรึกตรองโดยมิได้ให้คำตอบแต่อย่างใด เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า "การดูแลปศุสัตว์จะต้องคลุกคลีอยู่กับพวกม้า แกะ วัว ลาตลอดเวลามันจึงสกปรกและเสียพละกำลังมหาศาล ท่านคงจะต้องเหนื่อยขึ้นกว่าเก่าไม่น้อย"  "ข้าไม่รู้สึกหนักใจตรงนี้ เพียงแต่เกรงว่าจะบริหารได้ไม่ดีเท่านั้น"  เมิ่งสีจื่อยิ้มขึ้นว่า "ท่านมีอัจริยภาพด้านการเมืองไฉนต้องถ่อมตัวด้วยเล่า?"  ขงจื่อกล่าวว่า "ในเมื่อใต้เท้าเมิ่งเอ็นดู ข้าก็จะดูแลอย่างสุดกำลังความสามารถแน่นอน"  "แล้วท่านฟูจื่อจะเดินทางไปรับตำแหน่งเมื่อไรดี?"  "แล้วแต่ใต้เท้าจะกรุณา"  "ถ้าเช่นนั้น ก็รับตำแหน่งเสียพรุ่งนี้ไปม?."  ขงจื่อพยักหน้ารับคำ เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้ออกเดินทางไปรับตำแหน่งที่กองเกษตรา ครั้นขงจื่อเดินเข้าไปในสนามหน้าจวนว่าการ ก็ได้เห็นกอหญ้ารกรุงรังไปทั่ว  หินกรวดดินทรายกระจัดกระจายทั่วบริเวณอย่างน่ารำคาญตา ครั้นเดินเข้าไปในจวนก็เห็นหยักไย่รุงรังไปทั่วอาคาร ทุกสิ่งรกรุงรังจนมิอาจสรรหาคำใดมาพรรณาความได้อีก ขงจื่อถึงกับต้องถอนใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่กำลังหนักใจกับสภาพที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอยู่นั้น ทันใดก็ได้ยินเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ครั้นเหลียวหลังมองไปที่ประตู ได้เห็นชายชราคนหนึ่งเดินกระโผกกระเผกตรงมาหา ขงจื่อจึงรีบออกไปพยุงโดยมิรอช้า ชายชราถามว่า "ท่านคงเป็นหัวหน้าเกษตราคนใหม่กระมัง?."  ขงจื่อตอบว่า "ใช่"  ชายชรากล่าวว่า "ข้าน้อยเพิ่งได้ทราบข่าวเมื่อเช้านี้เองแต่พวกเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ยังไม่ทราบ มิเช่นนั้นปานนี้ก็คงมารับบัญชาท่านใต้เท้าแล้ว"  ขงจื่อทำหน้าขึงขังว่า "แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด?." ชายชราถอนหายใจยาวพลางกล่วว่า "นับแต่หัวหน้าคนเก่าถูกปลดใน ๒ เดือนที่ผ่านมา พวกเราเอาแต่รับเบี้ยหวัดโดยไม่สนใจธุระการงาน วัน ๆ เอาแต่ฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่กินโดยไม่สนใจในหน้าที่"  เพียงชายชรากล่าวจบ ก็มีชายล่ำสันสองคนวิ่งตะลีตะลานเข้ามาในจวน พลางถามชายชราว่า "หัวหน้าคนใหม่อยู่ไหน?."  ชายชราจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาอันขุ่นเคือง พลางชี้ไปทางขงจื่อว่า "ท่านนี้ก็คือหัวหน้ากองเกษตราคนใหม่"  ขงจื่อพูดด้วยเสียงอันเย็นเฉียบว่าแล้วเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด?."  ชายสองคนต่างอ้ำอึ้งมองหน้ากันไปมา ขงจื่อใช้แววตาอันทรงพลังจ้องมองไปที่ชายทั้งสอง เห็นพวกเขาต่างหลบสายตา และแสดงอาการวิตกจนใบหน้าแดงก่ำ กิริยาท่าทางดูเงอะงะจนวางตัวไม่ถูก ขงจื่อจึงถามพวกเขาว่า "พวกเจ้าชื่ออะไร?." ชายชราตอบแทนพวกเขาว่า "กราบเรียนใต้เท้า คนนี้ชื่อเหอจง  ส่วนคนนั้นชื่อผิงเฉิง  สองคนนี้มีนิสัยที่ใช้ได้ เพียงแต่กิริยาหยาบกระด้างและขี้โมโหไปหน่อยเท่านั้น"  "จุดนี้ข้าพอมองออก" ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ขงจื่อสั่งให้ชายทั้งสองรับผิดชอบตามเจ้าพนักงานทั้งหมดมารายงานตัวเพียงไม่นาน เหล่าเจ้าพนักงานทั้งหมดก็มายืนเรียงหน้ากระดานรายงานตัวอย่างเรียบร้อย ขงจื่อยืนอยู่บนเชิงบันไดหน้าจวนว่าการ ได้ปั้นสีหน้าให้ดูขึงขังและปราศรัยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "พวกเจ้าต่างกินเบี้ยหวัดของบ้านเมือง แต่เหตุใดจึงทิ้งที่ทำการไปเสียเช่นนี้?." เจ้าพนักงาน ๒๐ กว่าคนต่างแสดงอาการเลิ่กลั่ก ขงจื่อย้ำต่อไปอีกว่า "พวกเจ้าลองเบิกตาให้กว้าง ๆ ดูซิ ตอนนี้ที่ว่าการได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว"  ทุกคนยังคงเงียบกริบมิพูดจา ขงจื่อกล่าวว่า "ตอนนี้พวกเจ้าจงตามข้าไปที่คอกสัตว์ก่อน"  แต่ครั้นถึงคอกเลี้ยงสัตว์ก็ทำให้ขงจื่อยิ่งต้องหนักใจมากขึ้นกว่าเก่า เพราะรั้วทีขัดแตะด้วยไม้ไผ่ล้วนล้มระเนระนาด ส่วนปฏิกูลมูลสัตว์และปัสสาวะก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนแมลงวันบินหึ่ง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตัวหนอนชอนไชไปมาอย่าน่าสะอิดสะเอียนทั่วบริเวณล้วนส่งกลิ่นเหม็นคละึคลุ้งจนมิอาจทน ครั้นขงจื่อเดินวนไปตามคอก ก็ได้เห็นพวกเหล่าแกะ ม้า  ลา วัว ล้วนผอมโซจนเหลือเพียงกระดูก ขงจื่อมิอาจกลั้นอารมณ์ไว้ได้อีก "ใครรับผิดชอบที่นี่?."      
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : แรกประกาศศักดา 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2012, 16:16
                        แรกประกาศศักดา 5

        ชายร่างม่อต้อคนหนึ่งเดินด้อม ๆ มารายงานขงจื่อ
ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา "เรียนใต้เท้า ข้าน้อยรับผิดชอบที่นี่เอง" ชายคนนี้มีชื่อว่า กู่ฮว๋า  มีลักษณะปากแหลม จอนเคราาดังวานร ตาหรี่ดั่งมุสิก ขงจื่อดุเสียงเข้มว่า "ข้าจะให้เวลาเจ้าซ่อมรั้วกวาดมูลสัตว์นี้ให้เสร็จภายใน ๕ วัน และต่อไปจะต้องเก็บกวาดให้เป็นเวลา เข้าใจไหม !" ครั้นขงจื่อเดินไปดูที่คอกม้า ได้หยิบอาหารที่รางหินมาขยี้ดู พบว่ามีแต่หญ้าเปล่าโดยหาได้มีอาหารผสมอยู่ไม่ จึงถามว่า "ม้าที่นี่ไม่ต้องกินอาหารเลยหรืออย่างไร?." กู่ฮว๋าถึงกับอ้ำอึ้งมิอาจพูดจา ข่งจื่อกวาดตามองเหล่าเจ้าพนักงานโดยรอบ และสั่งการด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "เหอจง  ผิงเฉิง  ต่อไปเจ้าทั้งสองอยู่ช่วยกู่ฮว๋า รับผิดชอบดูแลคอกสัตว์เหล่านี้ให้เรียบร้อย และจะต้องเสร็จให้เร็วที่สุด !"  หลังจากขงจื่อได้เดินสำรวจโดยละเอียด ไม่นานก็สามารถร่างระเบียบการลงโทษและการให้รางวัลขึ้นมา และในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ขงจื่อก็สามารถบริหารงานปศุสัตว์ได้อย่างมีระเบียบ พวกสัตว์ทั้งหลายล้วนถูกเลี้ยงอ้วนพี  วันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เดินทางมาตรวจงาน ขงจื่อจึงนำเข้าชมงานปศุสัตว์ทั้งหมด เมิ่งสีจื่อยิ้มอย่างร่าเริงและชมมิขาดปากว่า "ท่านฟูจื่อช่างเป็นบุคคลที่มหัศจรรย์โดยแท้"  แต่ในทันใดก็หุบยิ้มและถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "สัตว์ต่าง ๆ ล้วนอ้วนพี แต่เหตุใดท่านจึงสั่งมาเพียง ๑๐ตัวเท่านั้นล่ะ?."  ขงจื่อรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ ได้กล่าวขึ้นว่า "ที่ผ่านมาก็ส่งสัตว์ไปให้ใต้เท้าตามที่กำหนดมิได้ขาด คือสุกรเดือนละ ๑๐ ตัว แกะเดือนละ ๑๐ ตัว "  เมิ่งสีจื่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า "แต่ข้าได้รับสุกรและแกะเพียงอย่างละ ๕ ตัวเท่านั้น" ในตอนนั้น ขงจื่อเข้าใจว่าจะต้องมีใครทำเรื่องไม่ซื่อเป็นแน่แล้ว อารมณ์จึงห่อเหี่ยวและพูดกับเมิ่งสีจื่อว่า "ใต้เท้า เรื่องนี้มีเงื่อนงำ รอให้ข้าน้อยตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วจะรีบรายงานให้ใต้เท้าทราบทันที"  เมิ่งสีจื่อมีความรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง จึงเดินทางกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว  ขงจื่อเดินทางกลับจวน แล้วเรียกตัวกู่ฮว๋า  เหอจง  ผิงเฉิงมาสอบสวนทันทีว่า "ใครรับผิดชอบส่งสัตว์ไปให้ใต้เท้าเมิ่งซุน?."  กู่ฮว๋าพูดตะกุกคะักักด้วยความหวาดวิตกว่า "ข้าน้อย...รับ...ผิดชอบ..ส่ง..ไปเอง"  ขงจื่อถามว่า "เจ้าส่งไปเดือนละเท่าไหร่?."  กู่ฮว๋ากะพริบตาปริบ ๆ และพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า "เดือน...ละ..๑๐ ตัว" ขงจื่อซักต่อไปว่า "สุกร แกะ อย่างละ ๑๐ ตัวหรือสองอย่างรวมกัน ๑๐ตัว"  กู่ฮว๋าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ และแข็งใจพูดว่า "สุ...ก..ร ๑๐ตัวแ..ก..ะ..๑๐ ตัว"  "แล้วทำไมใต้เท้าเมิ่งซุนจึงได้รับอย่งละ ๕ ตัว ?."  "คือ..." ขงจื่อตำหนิเสียงดังว่า "รีบสารภาพมาโดยดี" กู่ฮว๋ารีบคุกเข่าอย่างรู้ผิด ได้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ข้าน้อย...ขา..ยไป..หมด..แล้..ว  "แล้วเงินที่ได้ล่ะ?."  "ข้..าน้อยใช้จน...หม...ดแล้ว" ขงจื่อคิดหนักอยู่พักใหญ่ ได้กล่าวขึ้นว่า "คนถ่อยอย่างเจ้ายังจะทำงานหลวงได้อีกหรือ?."  ในตอนนั้นจึงตัดสินปลดกู่ฮว๋าและลงโทษให้หาเงินมาใช้คืนทั้งหมด หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ขงจื่อได้ตระหนักถึงความมืดมิดของวงราชการและจิตใจของคนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่า จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากอยู่ในวงราชการต่อไปอีก เพราะขงจื่อไม่เคยคิดมาก่อนว่า แม้แต่ในกองงานปศุสัตว์เล็ก ๆ ก็ยังมีคนถ่อยที่คอยกัดกร่อนสังคมถึงเพียงนี้ ด้วยความรู้สึกเสียดาย เจ็บแค้น และรู้สึกผิดที่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ จึงทำให้ขงจื่อเกิดความคิดใหม่ต่ออนาคตขึ้น        
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2012, 17:08
                    มารดาถึงแก่กรรม 

        ขงจื่อได้เดินทางเข้าพบเมิ่งสีจื่อ และนำความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกของกู่ฮว๋า รายงานให้ทราบตั้งแต่ต้น จากนั้นได้กล่าวขึ้นว่า "ข้าน้อยได้รับการสนับสนุนจากใต้เท้า พระคุณนี้จะมิมีวันลืมเลือน แต่หลังจากที่ได้ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าน้อยตัวสินใจว่า จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับงานการเมืองอีก"
ครั้นเมิ่งสีจื่อได้ฟังก็ตกใจยิ่ง จึงถามว่า "ท่านฟูจื่อได้ตัดสินคดีนี้อย่างเหมาะสมแล้ว สมควรที่จะได้รับรางวัลตอบแทนต่างหาก แต่ไยจึงคิดจะลาออกจากราชการเสียเล่า?."  ขงจื่อกล่าวว่า "ทำรชการเพื่อรับใช้ชาติ คือปณิธานของข้าน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงได้รับตำแหน่งเกษตราธิการ และดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินจนครบถ้วน บัญชีรายการมีความโปร่งใส ครั้นข้าน้อยรับผิดชอบงานปศุสัตว์ก็เลี้ยงดูจนวัวแกะอ้วนพี หากเจ้าพนักงานมีความเกียจคร้าน ข้าน้อยก็อบรมด้วยคุณธรรมความรู้ ครั้นผิดต่อกฏข้อบังคับ ก็จะทำการลงโทษด้วยกฏหมายบ้านเมือง สำหรับข้าน้อยเอง เมื่อได้ลองถามใจดูแล้วก็หาได้พบสิ่งทีต้องละอายต่อหน้าที่ไม่ เพียงแต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน บัดนี้ราชสำนักอ่อนระโหยโรยลา มหาธรรมไม่อาจขจรให้กว้างไกล ศีลธรรมจรรยานับวันมีแต่เสื่อมเสียหาย  ดังนั้น แม้ภาษีจะโปร่งใส คอกวัวปศุสัตว์จะสมบูรณ์ หรือกระทั่งเจ้าพนักงานจะสุจริตขันแข็งเพียงใดก็ตามแต่ก็หาได้จรรโลงให้เกิดความรุ่งเรืองแห่งราชสำนัก และความมั่นคงแห่งเมืองหลู่ ไม่เป็นดั่งสุภาษิตที่ว่า "น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" เมิ่งสีจื่อถามว่า "ในความเห็นของท่านฟูจื่อ คิดว่าควรทำประการใด?." ขงจื่อกล่าวว่า "เราต้องผลักดันระบบการปกครองโดยเมตตาธรรมของพระเจ้าโจวเหวินหวังและพระเจ้าโจวอู่หวังให้ปรากฏ ปลดล้างพวกเหล่าข้าราชบริพารที่ทุจริต ส่งเสริมเมธีปราชญ์เข้าบริหารแผ่นดิน เช่นนี้เมืองหลู่ก็จะเข้มแข็ง ประชาชนก็จะมั่งคั่ง ถึงครานั้น แม้แต่เหล่าปราชญ์วิญญูจากต่างแดนก็จะทยอยกันเข้าหา"  ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ทันใดได้มีคนใช้เข้ามารายงานว่า "ใต้เท้าเมิ่ง มีคนจะขอเข้าพบครับ"  ไม่นานได้มีเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาด้วยอาการตื่นตระหนก คน ๆ นี้มีรูปร่างปานกลาง ร่างกายกำยำ  ใบหน้าสีคล้ำอมแดง ขงจื่อจำได้ในทันทีว่าคือ เหยียนโจ้วนั่นเอง  เหยียนโจ้ว มีอีกชื่อหนึ่งว่า อู๋โจ้ว  ฉายา จี้ลู่ จึงมีคนเรียกอีกนามหนึ่งว่า  เหยียนลู่  มีความเป็นอยูอัตคัด เกิดเมื่อสมัยปีหลู่เซียงกงศกที่ ๒๗  (๕๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช)  ใช้ชีวิตกับการเลี้ยงโคกระบือ เป็นเพื่อนขงจื่อมาแต่เยาว์วัย ครั้นขงจื่อเห็นเหยียนลู่วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ จึงถามอย่างร้อนใจว่า "น้องรักเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงกระหืดกระหอบมาเช่นนี้ ?." เหยียนลู่กล่าวว่า "พี่ เมื่อสักครู่ข้าแวะไปที่บ้านของท่าน พบว่าแม่ของท่านนอนป่วยอยู่บนเตียง พี่รีบกลับไปเยี่ยมท่านจะดีกว่า"  ครั้นขงจื่อได้ฟังก็สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ จึงรีบคำนับอำลาเมิ่งสีจื่อ และเดินทางกลับบ้านอย่างร้อนรน เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นมารดานอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอันซีดเซียว ดวงตาปิดแน่น มีเพียงภรรยาที่ปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ อย่างตกอกตกใจ ในตอนนั้น ข่งหลี  มีอายุเพียง ๔ ขวบ กำลังโยกเตียงย้ายเก้าอี้อย่างซุกซน เสมือนว่าไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านทั้งสิ้น  ทั้งนี้ ขงจื่อยังมีลูกสาวที่เพิ่งกำเนิดได้ไม่นานอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า อู๋เหวย  ที่กำลังหัดพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพย์  ขงจื่อรีบโผเข้ากอดมารดาข้างเตียงว่า "ท่านแม่ !  ท่านแม่เป็นอะไรไป?. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?."   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/09/2012, 17:52
              มารดาถึงแก่กรรม  2 

        เจิงจ้่ายค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองข่งชิวด้วยน้ำตา
เสียงไอขอกแขกอย่างไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกว่านางกำลังจะสิ้นใจ "แม่รู้สึกหายใจอึดอัด คิดว่าแม่คงอยู่กับเจ้าไม่ได้นานแล้วล่ะ" ขงจื่อกล่าวว่า "ไม่ !  แม่อายุยังไม่ถึง 40 เลย แม่อย่าคิดในแง่ร้ายอย่างนี้ซิ เดี๋ยวลูกจะรีบตามหมอมารักษา อีกไม่นานแม่ก็จะหายเอง" เจิงจ้ายส่ายศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า "ไม่ทันแล้วล่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก" ขงจื่อลุกขึ้นเตรียมวิ่งไปหาหมอ แต่เจิงจ้ายได้ใช้สุดแรงที่มีคว้ามือขงจื่อไว้ "ลูก ! ในที่สุดลูกก็ไม่ได้ทำให้ท่านพ่อและท่านตาต้องผิดหวัง ลูกตั้งใจเล่าเรียนศึกษา ทั้งตอนนี้ยังมีตำแหน่งหน้าที่การงานอีก ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่อย่างน้อยก็เป็นตำแหน่งราชการ ลูกต้องจำไว้ว่าจะทำงานด้วยความสุจริตยุติธรรม อย่าได้คลุกคลีกับพวกคนพาลที่คอยกัดกร่อนประเทศชาติอย่างเด็ดขาด แม้จะไม่สามารถทำการอันใหญ่โต แต่ลูกก็จะต้องดำรงความเที่ยงธรรมอย่างที่ท่านตาของลูกได้สั่งเสียเอาไว้" ขงจื่อกล่าวว่า "ลูกจะจดจำโอวาทของท่านแม่ไว้" เจิงจ้ายกล่าวต่อไปอีกว่า "คำสั่งเสียของท่านตาจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดีเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับประกอบหน้าที่ต่อไปในภายหน้านะ"  เจิงจ้ายหลับตาคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อไปอีกว่า "พี่ของลูกพิการมาแต่เด็ก ลูกจะต้องดูแลเขาให้ดี"  ยังไม่ทันทีขงจื่อรับคำ เมิ่งผีก็วิ่งเข้ามาถึง ครั้นได้ยินเจิงจ้ายกล่าวเมื่อครู่ก็พิลาปคร่ำครวญว่า "ท่านแม่ !  ท่านแม่อย่าทิ้งพวกเราไปนะ !" เจิงจ้ายดึงมือเมิ่งผีและกล่าวว่า "แม่ไม่ไหวแล้วล่ะตระกูลของเรามีคุณต่อแคว้นหลู่มาก่อน พวกเจ้าทั้งสองจะต้องสานปณิธานของตระกูลสืบไป"  ในตอนนั้น  ราตรีเริ่มโรยเข้าปกคลุมภายในห้องเริ่มมืดมิดด้วยเงาดำแห่งรัตติกาล ฉิกวนซื่อจุดตะเกียงน้ำมันดวงน้อย แสงตะเกีบงสาดกระทบใบหน้าอันขาวซีดของเจิงจ้ายจนกลายเป็นสีเหลืองหม่น  ทุก ๆ คนต่างห้อมล้อมอยู่รอบเตียงนอน ขงจื่อกล่าวกับเหยียนลู่ว่า "ตอนนี้ข้าคงจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว น้องรัก ! คงจะต้องรบกวนให้น้องไปตามหมอให้แล้วล่ะ"  เหยียนลู่ รีบปราดออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานเหยียนลู่ได้กลับมาพร้อมกับหมอ  หลังจากหมอได้ตรวจชีพจรเสร็จ ได้ดึงขงจื่อออกไปพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักหน่วงว่า "ชีพจรอ่อนแรง ลมหายใจแผ่วเบา ท่านรีบ ๆ จัดการเรื่องที่เหลือเถอะ !" พูดจบหมอก็เดินจากไป  คนในครอบครัวน้อยใหญ่ต่งห้อมล้อมอยู่รอบเจิงจ้าย ทุกสายตาต่างภาวนาให้เจิงจ้ายมีเรี่ยวแรงพูดจาได้อีก และเพื่อที่จะฟังเสียงของเธอได้ถนัด ทุกคนจึงต่างเงียบสงบจนไม่อนญาตให้ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เวลาได้ผ่านไปอย่งเชื่องช้า พวกเขาต่างตั้งตารอคอยจวบจนรุ่งสาง ในที่สุดนางได้ลืมตาขึ้นมองอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง แสงตะวันได้สาดรอดหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เจิงจ้ายเผยอปาก ทำท่าจะพูดจา ขงจื่อรู้ดีว่านี่คือคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย จึงยืนตัวตรงเพื่อสดับโอวาทของมารดาอย่างเรียบร้อย เจิงจ้ายพูดอย่างตะกุกตะกักว่า "ลูกต้องมีเมตตาธรรม ต้องรับใช้ประเทศชาติ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม่ปิดบังลูกมาโดยตลอด พ่อ...พ่อ...ของเจ้า...ฝัง...อยู่...ที่..."  "พ่อฝังอยู่ที่ไหน ?. แม่ !  พ่อฝังอยู่ที่ไหน ?."  "อยู่ที่..." นางใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่ก็หาอาจพูดให้จบได้ไม่ นางค่อย ๆ หรี่ตาลงอย่างสงบ และอำลาทุกคนไปอย่างมิอาจหวนตืน เวลานั้นตรงกับปีหลู่เจากงศกที่ ๑๔ (๕๒๘ ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู  สิริอายุ ๓๙ ปี ทุกคนต่างร่ำไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ ขงจื่อมีความเห็นว่าจะฝังมารดาร่วมกับบิดา แต่สุสานของบิดาอยู่ที่ไหนเล่า?.   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/09/2012, 04:13
                     มารดาถึงแก่กรรม 3 

        ที่แท้หลังจากสูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรมแล้ว เจิงจ้ายเป็นห่วงว่าเมิ่งผี และ ข่งชิว จะวุ่นอยู่แต่การดูแลสุสานจนละทิ้งการเรียน ดังนั้นจึงปกปิดตำแหน่งสุสานมาโดยตลอด โดยตั้งใจจะบอกให้ทราบก่อนสิ้นใจ
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว อนึ่ง พวกเขาทุกคนต่างย้ายถิ่นฐานจากโจวอี้ไปที่ฉวี่ฮู่ หลังจากที่สูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรม ดังนั้นจึงไม่มีเพื่อนบ้านคนใดที่ทราบที่ตั้งของสุสาน ด้วยความจนใจ ขงจื่อจึงปรึกษากับพี่ชายว่าจะนำโลงศพของมารดาไปตั้งอยู่ที่ปากตรอกอู้ฟู่ เผื่อว่าจะมีคนสัญจรที่รู้ตำแหน่งสุสานจะกรุณาให้ความช่วยเหลือได้ ในขณะนั้นมีหญิงชราวัย ๕๐ คนหนึ่งเดินเข้ามาคำนับศพ หลังคำนับศพเสร็จได้หันมากล่าวกับขงจื่อและเมิ่งผีว่า "ข้าคือมารดาของวั่นฟู่มั่น เป็นเพื่อนสนิทกับคุณแม่ของเจ้า เรื่องตำแหน่งสุสานของพ่อเจ้า ข้าสามารถช่วยเจ้าได้"  ขงจื่อกับเมิ่งผีรีบก้มกราบหญิงชราท่านนั้นว่า "ขอให้ท่านป้ากรุณาด้วยเถิด"  หญิงชราได้บอกตำแหน่งสุสานของสูเหลียงเฮ่อแก่ทั้งสอง หลังจากทั้งสองได้กราบขอบพระคุณหญิงชราท่านนั้นแล้วก็ชะลอศพไปที่ภูเขาฝางซัน ภูเขาฝางซันได้ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก โโยมีลักศณะลาดต่ำจากตะวันออกไปสู่ตะวันตก ทั้งหมดจึงเริ่มเดินขึ้นสันเขาไปอย่างช้า ๆ บนสันเขาจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของภูเขาฝางซันที่คดเคี้ยวประหนึ่งมังกรที่นอนหลับใหล ณ ที่ราบบนสันเขาได้มีต้นสนขึ้นประปรายตามที่หญิงชราท่านนั้นได้พรรณา ทั้งหมดจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินทางต่อไป ครั้นมาถึงสุสานของสูเหลียงเฮ่อแล้ว ทั้งขงจื่อและเมิ่งผีต่างคุกเข่ากันกราบบิดา จากนั้นจึงยึดตามหลักภูมิโหราศาสตร์ โดยขุดดินให้ตำแหน่งสุสานหันไปทางทิศเหนือทิศใต้ จากนั้นจึงนำโลงศพมารดาหย่อนลงสู่พื้นพสุธาให้อยู่เคียงข้างบิดาตลอดกาลนาน หลังเสร็จสิ้นพิธีปลงศพไปแล้ว 3 วัน ขงจื่อยังคงนั้นเศร้าสร้อยเงียบ หงอยอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง เหยียนลู่ได้วิ่งพรวดพราดเข้ามาหา และพูดอย่างรีบร้อนว่า "เมื่อสักครู่ข้าเดินผ่านถนนใหญ่มา ได้ยินชาวบ้านโจษขานกันว่า พ่อบ้านที่ชื่อหนันขว่ายของอุปราชจี้ได้ก่อการกบฏที่บี้อี้แล้ว"  ครั้นขงจื่อได้สดับก็เพ่งมองเหยียนลู่ด้วยสีหน้าตกตะลึงเหยียนลู่เล่าต่อไปอีกว่า "ชาวเมืองปี้อี้ต่างรวมตัวกันต่อต้าน หนันขว่ายจึงพ่ายแพ้หลบหนีไป ตอนนี้ได้ลี้ภัยไปอยู่ที่แคว้นฉีแล้ว"  ครั้นทราบว่าสงครามได้สงบลง ขงจื่อจึงค่อยหายใจได้โล่งท้อง
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/09/2012, 11:02
                      มารดาถึงแก่กรรม 4 

     ขงจื่อได้ส่งเหยียนลู่กลับ จากนั้นได้เดินไปหยิบคัมภีร์อี้จิง *
และพยายามรวบรวมสมาธิอ่าน แต่ก็หาอาจรวบรวมสมาธิได้ไม่  เพราะคำพูดของเหยียนลู่ยังคงกึกก้องอยู่ในโสตประสาทมิคลาย  ภาพพฤติกรรมของจื้อผิงจื่อได้ลอยปรากฏออกมาในห้วงความคิด เมื่อหลายปีก่อน จี้ผิงจื่อเคยทำการอุกอาจเหยียดหยามจริยธรรม โดยไปบูชาเซ่นสรวงเทพเจ้าแห่งภูเขาไท่ซัน ซึ่งตามจารีตประเพณีของราชโจวได้กำหนดไว้ว่า มีเพียงพระมหากษัตริย์และบรรดาเจ้าแคว้นเท่านั้นที่สามารถกระทำได้  ขงจื่อรู้สึกเป็นห่วงว่า อาจมีสักวันที่จี้ผิงจื่อคงก่อการกบฏอย่างที่หนันขว่ายได้ทำแน่นอน ถึงแม้จะเป็นเพียงพฤติกรรมช่วงชิงอำนาจธรรมดาก็ตาม แต่ที่เดือดร้อนที่สุดก็คืออาณาประชาราษฏร์ ซึ่งสุดท้ายก็จะนำมาซึ่งความวิบัติของบ้านเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ขงจื่อรู้ดีว่าฐานะของตนในตอนนี้ก็คงทำได้แค่ร้อนใจเท่านั้น อย่างไรก็มิอาจพลิกผันสถานการณ์ได้ดังที่ใจหมาย แต่ขงจื่อก็ยังคงเฝ้าหวังให้มีโอกาสที่จะร่วมงานการเมืองมาถึงอยู่เสมอ ตามประเพณีในสมัยนั้น หากบุพการีได้ถึงแก่กรรม ผู้เป็นบุตรจะต้องไว้ทุกข์ให้กับบุพการีเป็นเวลาสามปี ในช่วงสามปีนี้ ขงจื่อจึงปฏิเสธการต้อนรับแขกและตั้งใจศึกษาตำราอยู่มิขาด แต่ก็มีเพียงเหยียนลู่เท่านั้นที่มักจะเป็นแขกประจำมาเยี่ยมหา อีกทั้งยังทำหน้าที่บอกเล่าสถานการณ์บ้านเมืองให้รู้อยู่เสมอ ถึงแม้เหยียนลู่จะมีชาติกำเนิดเพียงเด็กเลี้ยงวัว แต่ก็มีความห่วงใยบ้านเมือง ไม่ด้อยไปกว่าใคร ดังนั้น เขามักจะปะปนเข้าไปในฝูงชน และคอยสดับฟังคำวิจารณ์ปัญหาบ้านเมืองจากชาวบ้านอยู่มิขาด ปีหลู่เจากงที่ ๑๗ (๕๒๕ ปีก่อนคริสตศักราช)วสันตฤดู เจ้าเมืองแห่งเมืองถัน ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของแคว้นหลู่  ได้มาขอเข้าพบหลู่เจากง ที่เมืองถันแห่งนี้จะมีประเพณีที่นิยมวิหคเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นจึงมักจะนำวิหคมาทำเป็นเครื่องประดับหรือตั้งเป็นชื่อเมืองต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ขงจื่อมีความสนใจใคร่รู้ถึงความเป็นมาของประเพณีนี้มาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะได้ถามไถ่ข้อเท็จจริงนี้เสียที ดังนั้นครั้นเหยียนลู่ได้ทราบข่าวการมาเยือนของถันจื่อจึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าวให้ขงจื่อทราบทันที ในตอนนั้น ขงจื่อพึ่งไว้ทุกข์ครบสามปีพอดี ดังนั้น ครั้นทราบว่าเจ้าเมืองถันได้เดินทางมาเยือนก็รีบตามเหยียนลู่ไปที่วังหลวงโดยมิรอช้า แต่เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า "ช่างบังเอิญจริง ๆ พวกเขาเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี่เอง"  ครั้นขงจื่อได้สดับก็รู้สึกผิดหวังเป็นยิ่งนัก หลังเข้าสู่ฤดูสารทในปีเดียวกัน ถันจื่อได้มาเยือนเมืองหลู่อีกเป็นครั้งที่สอง เมิ่งสีจื่อจึงรีบส่งคนไปแจ้งให้ขงจื่อทราบ  ขงจื่อได้เดินทางเข้าคารวะถันจื่อ พลางถามขึ้นว่า "กระหม่อมได้ทราบมาว่าทางบ้านเมืองของฝ่าบาทมีความนิยมวิหคจนถึงกับนำมาตั้งเป็นชื่อของสิ่งต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย มิทราบว่าประเพณีนี้มีความเป็นมาเช่นไร?. จึงขอให้ฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วยพ่ะ่ย่ะค่ะ

หมายเหตุ   :  คัมภีร์อี้จิง (หมายถึงคัมภีร์พีจันทร์) เป็นชื่อของหนังสือปรัชญาในสมัยโบราณ ประพันธ์โดยกษัตริย์ฝูซี  คำว่าอี้ (     )  จะประกอบด้วยอักษรจีนสองตัวคือ............ (สุริยัน เป็นตัวแทนของหยาง) ..........(จันทรา เป็นตัวแทนของเหยิน)  คัมภีร์พีจันทร์ จึงหมายถึง คัมภีร์ที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งฟ้าดิน ได้อธิบายถึงความหมายของปากั้ว (          )  อันเป็นขันธ์ทั้งแปด  (อัฏฐขันธ์) ที่ประกอบกันเป็รูปแปดเหลี่ยม ซึ่งประกอบด้วยนภาขันธ์   ธาราขันธ์   อัคคีขันธ์   อสนีขันธ์   วายุขันธ์   วารีขันธ์   คีรีขันธ์   ธรณีขันธ์   ขันธ์ทั้งแปดยังสามารถผสมเป็น ๖๔ ขันธ์ ซึ่งต่างแฝงรหัสยนัยที่สามารถไขปริศนาของโลกได้อย่างมหัศจรรย์       
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/09/2012, 18:06
                    มารดาถึงแก่กรรม 5 

          ตามคำร่ำลือ เจ้าเมืองถันทรงเป็นอนุชนของพระอริยกษัตริย์หวงตี้ในสมัยโบราณ [/b]ด้วยความทนงในขัตติยมานะ พระองค์จึงทอดพระเนตรแลขงจื่อด้วยสายพระเนตรอันถือพระองค์ แลตรัสว่า "ในสมัยที่บรรพบุรุษของเราได้ทรงก่อรากสร้างฐานประเทศชาติใหม่ ๆ ได้มีนกหงส์บินมาเกาะทีต้นอู่ถง ๒ ตัวบรรพบุรุษของเราถือเป็นเรื่องสิริมงคล ดังนั้นจึงได้ถือนกหงส์เป็นนกมงคลนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้เรายังใช้ชื่อนกหลากชนิดมาตั้งเป็นชื่อตำแหน่งขุนนางอีกด้วย"  หลังเกริ่นจบก็ทรงแนะนำตำแหน่งขุนนางในสมัยนันให้ฟังโดยละเอียด แต่เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นขงจื่อให้ความสนใจอย่างนบนอบ ถันจื่อจึงทรงแนะนำวัฒนธรรมประเพณีของเมืองถันให้ฟังเพิ่มเติมด้วยความยินดี แต่หลังจากทรงทราบในภายหลังว่า ผู้ที่พระองค์สนทนาด้วยคือขงจื่อที่ใฝ่ฝันใคร่พบมานานกิริยามารยาทจึงสำรวมขึ้นอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ "ได้ยินกิติศัพท์ของท่านมานาน ขออภัยที่เสียมารยาท !  ขออภัยที่เสียมารยาท !" หลังจากทั้งสองสนทนาจบ ขงจื่อจึงกล่าวขอบคุณและคำนับลาจากไป ปีหลู่เจากงศกที่ ๑๘ (๕๒๔ปีก่อนคริสตศักราช)  เมืองซ่ง  เมืองเว่ย  เมืองเฉิน  เมืองเจิ้ง  ต่างเกิดอัคคีภัยกันตามลำดับ ที่เมืองเจิ้งมีคนเสนอให้ทำพิธีบูชาฟ้าว่า "หากเราได้ทำพิธีบูชาฟ้าเพื่อปัดเป่าเภทภัย เมืองเจิ้งจะต้องมีอัคคีภัยเป็นแน่"  ครานั้น อุปราชเมืองเจิ้ง นามว่าจื๋อฉั่น  ผู้อยู่ฝ่ายบริหารกล่าวค้านขึ้นว่า "การปกครองดูแลใต้หล้าของฟ้านั้นเป็นไปแบบเลือนลาง หากการปกครองของมนุษย์ต่างหากที่เป็นจริงและจับต้องได้ ในเมื่อเราไม่ได้เจริญตามครรลองฟ้าแล้วใยจะเข้าใจฟ้าได้ !"  จื๋อฉั่น เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รู้จักอุปถัมภ์คนดีผู้สามารถ ในยามที่ต้องตัดสินปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง จื๋อฉั่นมักจะขอความเห็นจาก กงชุนฮุย  ที่มีความเข้าใจสถานการณ์ของแต่ละแว่นแคว้น อีกคอยสดับความเห็นจากประชาชน แล้วจึงให้ เฝิงเจี๋ยนจื่อ ที่มีความสันทัดการวิเคราะห์เหตุผล เป็นผู้ตัดสิน สุดท้ายจึงจะให้  อิ๋วจี๋  ที่เชี่ยวชาญในการต่างประเทศไปดำเนินการ ด้วยการดำเนินการอย่างรัดกุมเช่นนี้ การตัดสินใจของ จื๋อฉั่น จึงไม่เคยพลาดแต่อย่างใด  เมืองเจิ้งอยู่ภายใต้การบริหารของจื๋อฉั่นเป็นเวลา ๓ ปี สังคมล้วนปกติสุข นโยบายต่างประเทศล้วนสประสบกับความำเร็จงดงาม ทัศนะการทำงานของจื๋อฉั่นที่มุ่งแน้นการทำงานอย่างรอบคอบ คอยห่วงใย  ทำนุบำรุงประเทศชาติ โดยวัดที่ผลของการกระทำแทนการพึ่งฟ้าอย่างเลื่อยลอยฉะนี้ ได้มีอิทธิพลต่อทัศนะความคิดของขงจื่อเป็นอย่างมาก ดังนั้น ทุกครั้งที่ขงจื่อได้ทราบข่าวความสำเร็จด้านการบริหารบ้านเมืองของจื๋อฉั่น ขงจื่อมักจะรู้สึกยินดีและเลื่อมใสในอาวุโสท่านนี้ จนถึงกับใฝ่ฝันให้มีโอกาสได้กราบจื๋อฉั่นเป็นอาจารย์เพื่อขอร่ำเรียนศิลปะการบริหารประเทศชาติให้ได้ในสักวันหนึ่ง ด้วยการศึกษาร่ำเรียนอย่างแข็งขัน  ภูมิความรู้ของขงจื่อจึงนับวันยิ่งแกร่งกล้าขึ้นตามลำดับ ในกิจวัตรประจำวัน ขงจื่อนอกจากจะสอนลูกชายคือขงหลี และลูกสาวคือข่งอู๋เหวย ให้ท่องศัพท์แล้ว ท่านก็จะขับลำทอดอารมณ์ไปกับเสียงพิณ ปล่อยให้ความรู้สึกได้ดื่มด่ำไปกับจังหวะทำนองเพลง ทำใจใหเกลมกลืนกับธรรมชาติแห่งดนตรี แต่ขงจื่อรู้สึกว่าเสียงพิณของตนยังขาดเสียงทุ้มสุขุมอยู่ ขงจื่อได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายดนตรีแห่งเมืองจิ้นนามว่า ซือเซียงจื่อ  ว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญในดนตรีประเภทเครื่องสาย ในใจจึงคิดจะหาโอกาสไปขอเรียนวิชาด้วยอยู่เสมอ ดังนั้น ในปีหลู่เจากงศกที่ ๑๙ (๕๒๔ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู ขงจื่อได้บอกลาเพื่อนสนิทมิตรสหายและออกเดินทางไปเรียนวิชาพิณ ด้วยซือเซียงจื่อ ที่แคว้นจิ้น เป็นเวลา ๑๐ กว่าวัน ก็ถึงเชิงเขาไท่หังซัน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาล้วนเป็นหนทางอันทุรกันดาร ภูมิประเทศมีความสลับซับซ้อน แต่หลังจากได้ข้ามภูเขาไท่หังซันไปแล้ว ความสลับซับซ้อนของภูมิประเทศกลับกลายเป็นที่ราบสูงดินเหลืองที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา ในช่วงวสันตฤดู  ที่ราบสูงดินเหลืองจะมีลมพัดกรรโชกแรง เม็ดทรายเหลืองที่ม้วนตัวมากับสายลมจึงมีอานุภาพเหมือนดั่งกระสุนที่พุ่งกรีดใบหน้าอย่างเจ็บปวด ขงจื่อมิอาจก้าวเดินหรือลืมตาได้แม้แต่น้อย  บ่อยครั้งจึงต้องหยุดป้องตารอให้ลมนิ่งจึงจะสามารถเดินทางต่อได้
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/11/2012, 14:07
                      มารดาถึงแก่กรรม 6

        ในวันนี้  ขงจื่อได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นจิ้น
เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ หนทางสัญจรกว้างขวางและเจริญรุ่งเรือง บ้านช่องห้องแถวล้วนประดับประดาด้วยศิลปะสมัยโบราณ แต่เนื่องจากจิตใจขงจื่อมุ่งแต่จะร่ำเรียนวิชาดนตรี ดังนั้น จึงหาได้มีใจหยุดชมความงามของตัวเมืองไม่ หากแต่เที่ยวเสาะหาที่อยู่ของซือเซียงจื่อ จนมาถึงตรอกเล็ก ๆ ที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง สุดตรอกคือบ้านของซือเซียงจื่อที่ปิดดานด้วยประตูสีดำบานเขื่อง มองลอดเข้าไปในช่องประตูจะสามารถเห็นอักษร ฮก ตัวใหญ่แขวนอยู่บนกำแพง ขงจื่อรีบปัดฝุ่นตามร่างกายให้สะอาด แล้วจับห่วงเหล็กที่เป็นหูประตูเค่าะเรียกเจ้าของบ้านบานประตูค่อย ๆ แง้มออกอย่างช้า ๆ  ขงจื่อสังเกตผู้เปิดประตูอย่างพินิจพบว่าเป็นชายชราหนวดเคราขาวโพลนที่มีใบหน้าอันอารียืนนิ่งอยู่ ขงจื่อรีบก้าวเดินขึ้นคำนับอย่งนบนอบว่า "มิทราบว่าท่านอาวุโสคือซือเซียงจื่อหรือไม่" ชายชราคำนับตอบและกล่าวว่า "ข้าก็คือซือเซียงจื่อ  มิทราบว่าท่านคือผู้ใด?. มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่?" ขงจื่อกล่าวว่า "ผู้เยาว์คือข่งชิวแห่งเมืองหลู่ เดินทางไกลมาในครั้งนี้เพื่อขอเรียนวิชาพิณ จากท่านอาวุโสโดยเฉพาะ" ซือเซียงจื่อพูดขึ้นด้วยใบหน้าอันอันแช่มชื่นว่า "ได้ยินกิติศัพท์ของท่านมาช้านาน ทราบว่าท่านคืออริยชนผู้มีภูมิธรรมความรู้อันสูงส่ง ข้ารู้สึกแค้นใจนักที่มิอาจไปคารวะท่านได้  แต่วันนี้ท่านกลับลดตัวมาเยือนข้าเสียก่อน จึงนับเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก" ขงจื่อกล่าวว่า "กิตติศัพท์ของท่านอาจารย์เลื่องลือไกล ทั้งสี่คาบสมุทรล้วนกล่วานในวิชาความรู้ของท่าน  ข้ารู้สึกเลื่อมใสท่านมานาน ดังนั้นจึงมาขอฝากตัวเรียนวิชาจากท่านในการนี้โดยเฉพาะ" ซือเซียงจื่อกล่าวว่า "เพียงคำร่ำลือ ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ในเมื่อท่านฟูจื่ออุตส่าห์รอนแรมมาแต่ไกล ก็ขอเชิญเข้ามาที่กระท่อมน้อยของข้านั่งจิบชาพักผ่อนก่อนถอะ" หลังจากทั้งสองต่างแยกนั่งกันตามธรรมเนียม ซือเซียงจื่อกล่าวขึ้นว่า "ท่านฟูจื่อบุกฝ่าลมฝนมาแต่ไกล เพียงแค่นี้ก็สามารถพิสูจน์ถึงความจริงใจของท่านได้แล้ว  ข้าจะต้องถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดที่มีให้แก่ท่านอย่างแน่นอน" ขงจื่อโค้งกายคารวะว่า" ขอบพระคุณเป็นยิ่งนัก" ซือเซียงจื่อกล่าวว่า"ข้ารับราชการอยู่ฝ่ายเครื่องตี ดังนั้นจึงพอดีดพิณได้บ้างเล็กน้อย เดี๋ยวข้าจะลองเล่นให้ฟังสักเพลงหนึงก็แล้วกัน"   พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยมุมห้อง ซือเซียงจื่อเอื้อมมือปลดผ้าคลุมสีดำออก ที่ปรากฏคือพิณโบราณสีดำขลับที่ต้องแสงไฟจนวาววับจับตา หลังจากได้ปรับสายพิณจนเรียบร้อยแล้ว ซือเซียงจื่อก็รวบรวมสมาธิและเริ่มกรีดนิ้วร่ายมือบนสายพณอย่างคล่องแคล่ว สายพิณสั่สสะท้านออกเป็นเสียงดนตรีตามจังหวะนิ้วมือ เดี๋ยวก็หนักแน่นทรงพลัง เดี๋ยวก็เชื่องช้าอย่างนุ่มนวล  ทั้งหมดได้ผสมผสานจนกลายเป็นมนต์ขลังที่สะกดใจขงจื่อจนเคลิบเคล้มไปตามทำนองอย่างไม่รู้ตัว  ทุกอนูขุมขนของขงจื่อได้ตื่นตัวดื่มด่ำกับความสุขแห่งเสียงเพลง  ทั่วทั้งสรรพางค์กายมีความรู้สึกซาบซ่านอย่งยากบรรยาย ความเหน็ดเหนื่อยหิวกระหายตลอดการเดินทางได้ถูกขับไล่ไปจนหมดสิ้น ซือเซียงจื่อ จะทำการอธิบายให้ฟังโดยละเอียดทุกครั้งที่จบเพลง ส่วนขงจือก็ตั้งใจจดจำอย่างแม่นยำ ครั้นซือเซียงจื่อได้เห็นขงจือมีความตั้งใจเรียนรู้อย่างนอบน้อม จึงรู้สึกปิติยินดีและถ่ายทอดวิชาความรู้ที่สะสมมาตลอดหลายสิบปีให้จนหมดสิ้น ขงจื่อรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทั้งสองจึงปฏิบัติต่อกันประหนึ่งว่าเคยเป็นสหายเก่ากันมานาน ในคืนวันนั้น ซือเซียงจื่อได้จัดเลี้ยงต้อนรับขงจื่ออย่างสมเกียรติ และเชิญให้ขงจื่ออยู่พักอาศัยด้วยกันที่บ้าน นับแต่นั้น ทั้งสองจึงต่างแลกเปลี่ยนวิชาให้กันทั้งเช้าแลค่ำ โดยมิรู้เหนื่อย
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : มารดาถึงแก่กรรม 7
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/11/2012, 14:49
                         มารดาถึงแก่กรรม 7

        นับแต่ขงจื่อได้รับการชี้แนะจากซือเซียงจื่อ วิชาพิณก็พัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว 
ฝ่ายซือเซียงจือก็ได้วิชาความรู้จากขงจือจนได้เปิดหูปเิดตาขึ้นอย่างมากมายด้วยเช่นกัน หลังจากทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความรู้กันเช่นนี้อยู่สิบกว่าวัน วิชาพิณของขงจื่อก็ชำนาญคล่องแคล่วจนสามารถเล่นได้ตามที่ใจปรารถนา วันหนึ่ง ขงจื่อยังคงวนเวียนเล่นแต่เพลงเดิม ๆ ซือเซียงจื่อได้กล่วชมขึ้นด้วยความดีใจว่า "ท่านได้เข้าถึงแก่นแท้ของวิชาพิณแล้ว ส่วนเพลงนี้ท่านก็ชำนาญพอแล้ว ท่านเปลี่ยนเพลงใหม่เล่นเถอะ" ขงจื่อกล่าวว่า "ข้ายังมิอาจเข้าถึงความหมายของบเพลงเลย" ผ่านไปพักใหญ่ ซือเซียงจื่อกล่าวขึ้นว่า "ท่านได้เข้าถึงความหมายของบทเพลงแล้ว เปลี่ยนเล่นเพลงใหม่เถอะ"  ขงจื่อกล่าวว่า"ข้ายังมิอาจเข้าถึงอุปนิสัยของผู้ประพันธ์เลย" ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ขงจื่อนิ่งตรองอย่างสงบ ใบหน้าปรากฏท่วงทีของผู้มองการณ์ไกล ชั่วขณะต่อมาได้อุทานขึ้นด้วยความดีใจว่า อา ! ข้าเข้าใจแล้ว เขามีจิตใจกว้างใหญ่ ปณิธานยาวไกล  บุคลิกสูงล้ำ  คุณธรรมขาวสะอาด นอกจากพระเจ้าโจวเหวินหวังแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถประพันธ์เพลงเช่นนี้ได้อีกเล่า ?. เพราะพระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลจนเสมือนหนึ่งมองกวาดตาไปทั่วหล้า ทรมีคุณธรรมอันบริสุทธิ์จนสามารถผดุงความสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน" ครั้นซือเซียงจื่อได้ฟังก็ก้มกราบขงจื่อ พร้อมทั้งชมว่า ท่านฟูจื่อสมเป็นอริยชนจริง ๆ เมื่อตอนที่ข้าเรียนวิชาพิณกับอาจารย์ ท่านได้บอกว่านี่คือเพลงคุณธรรมเหวินหวัง ช่างวิเศษจริงแท้ ท่านสามารถแตกฉานในความหมายของเพลงได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง ! ช่างหาได้ยากยิ่ง ! " ขงจือได้แลกเปลี่ยนวิชาพิณกับซือเซียงจื่อตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนที่สุดได้กลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจของกันและกัน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ขงจื่อได้รำลึกขึ้นว่า อยู่ร่ำเรียนวิชาพิณกับซือเซียงจื่อถึงเดือนกว่า วันหนึ่ง ขงจื่อได้กล่าวกับซือเซียงจื่อว่า "ข้าได้รับการชี้แนะจากอาวุโสอย่างมากมาย จวบจนวันนี้ก็ได้เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว  ข้าเองก็จะได้เวลากลับมาตุภูมิแล้วล่ะ" แต่ซือเซียงจื่อยังคงรบเร้าให้อยู่ต่อ ขงจื่อทนรบเร้าไม่ได้จึงอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง สามวันให้หลัง ซือเซียงจื่อได้จัดงานเลี้ยงให้แก่ขงจือ หลังจากเสร็จจากงานเลี้ยง ทั้งสองต่งร่ำลากันด้วยความอาลัย ครั้นขงจื่อก้าวเข้าสู่ประตูบ้าน ฉีกวนซื่อ ขงหลีและอู๋เหวย ่างรีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ ฉีกวนซื่อช่วยรับห่อผ้าจากขงจื่อ ส่วนลูก ๆ ก็ช่วยกันปักฝุ่นผงให้ขงจื่ออย่างขะมักเขม้น เพียงขงจื่อหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เหยียนลู่ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอันแช่มชื่น และกล่าวถามขงจื่อจนมิทันตั้งตัว เหยียนลู่กล่าวว่า "ท่านแตกฉานทั้ง ๖ แขนงวิชาแล้ว ตอนนี้ควรจะรับข้าเป็นศิษย์ได้แล้วสิ" ขงจื่อกล่าวว่า "สำนักศึกษาในอดีตล้วนต้องดำเนินการโดยรัฐจะให้สามัญชนทั่วไปเปิดสำนักรับลูกศิษย์นั้นไม่เคยปรากฏกรณีเช่นนี้มาก่อน พึงรู้ว่าการอบรมลูกศิษย์มิใช่เรื่องว่าเล่น หากสอนไม่ดีก็จะเป็นการำลายอนาคตของผู้อื่นได้" เหยียนลู่กล่าวว่า "ด้วยความรู้อันลุ่มลึกและความจริงใจต่อผู้คนของท่านเช่นนี้ เกรงแต่ว่าพอเปิดสอนก็จะมีฝูงชนหลั่งไหลจนอัดแนนเต็มสำนัก และลูกศิษย์จะพากันบ่นว่าเรียนไม่ทันเสียมากกว่า ไหนเลยที่ท่านจะทำลายอนาคตของนักเรียนได้" ขงจื่อกล่าวว่า "หามิได้ เพราะการตั้งสำนักศึกษาจะต้องตรึกตรองวางแผนอย่างรอบคอบจึงจะถูก"
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/11/2012, 13:32
                    ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา

        ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๐ (๕๒๒ ก่อนปีคริสตศักราช) ขงจื่ออายุ ๒๙ ปี หากนับตามจีนก็จะมีอายุครบ ๓๐ ปีพอดี ในเวลานั้น ขงจื่อมีความตั้งใจในการศึกษาร่ำเรียนอย่างวิริยะ ดังนั้น จึงมีความเกร่งกล้าในศิลปวิทยาทุกแขนง  ไม่ว่าจะเป็นด้านนิติศาสตร์  จริยธรรม  รัฐศาสตร์แลคุณธรรม  ต่างล้วนมีความแตกฉานอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านจึงมีปณิธานหมายมั่นว่าจะอุทิศตนรับใช้ชาติให้เป็นที่ประจักษ์ในโลกา แต่จะให้สังคมประจักษ์เลยยอมรับอย่างไรนัน ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เลือนลางสำหรับขงจื่อยิ่งนัก สำหรับเหยียนลู่
เองก็มักจะมาล้อมหน้าล้อมหลังสอบถามวิชาความรู้และอ้อนวอนขอกราบขงจื่อเป็นอาจารย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วันหนึ่ง เหยียนลู่ยังคงเกลี้ยกล่อมให้ขงจื่อเปิดสำนักรับลูกศิษย์อย่างไม่ลดละความพยายาม ขงจื่อกล่าวแต่เพียงว่า "หากอยู่ร่วมศึกษาขัดเกลาวิชายังพอทำเนา แต่ถ้าจะให้เปิดสำนักประสาทวิชาแล้ว ก็คงจะวุ่นวายมิใช่น้อย" เหยียนลู่กล่าวว่า "ครั้นครูประสาทวิชา จะก้าวหน้าก็อยู่ที่วิริยา ขอเพียงแต่ท่านสอนเท่านั้น ส่วนพวกลูกศิษย์จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบกันเอง"  ขงจื่อทำหน้าขึงขังขึ้นมาว่า "เมื่อข้าตั้งใจจะเปิดสอน ก็จะต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ พึงรู้ว่าพื้นฐาน อารมณ์และความสามารถของแต่ละคนนั้นร้อยแปดพันเก้า หากจะให้พวกเขาต่างประสบความสำเร็จ ก็จะต้องสอนไปตามจริตของแต่ละปัจเจก" "ท่านอาจารย์กล่าวถูกต้องยิ่งนัก" ครั้นเหยียนลู่พูดจบก็รีบคุกเข่าหมอบกราบว่า "ศิษย์ขอกราบคารวะท่านอาจารย์" ขงจื่อรีบจูงมือเหยียนลู่ขึ้นพลางพูดว่า "น้องรักไยต้องถึงกับพิธีรีตองเช่นนี้ด้วย?"  เหยียนลู่กล่าวด้วยความจริงจังว่า "ศิษย์ไหว้ครูไม่ใช้พิธีเช่นนี้ไม่ได้" ขงจื่อกล่าวว่า "หมายความว่าข้าจะต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ให้ได้ใช่ไหม?" เหยียนลู่กล่าวว่า "ความจริงข้าได้เป็นศิษย์ของท่านมานานแล้วล่ะ" นับแต่นั้นมา บ้านของขงจื่อจึงได้กลายเป็นสำนักศึกษา โดยมีต้นจามจุรีเก่าแก่ที่หน้าบ้านลานเฉลียงคอยให้ร่มเงา วันหนึ่ง ขณะที่ขงจื่อกำลังสอนลูกศิษย์อยู่นั้น ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูบ้านเข้าขัดจังหวะ ข่งหลีหูไวขาเร็วจึงรีบไปเปิดประตูต้อนรับ ปรากฏว่าเป็นชายแปลกหน้าอายุประมาณ ๒๐ กว่าคนหนึ่ง ชายคนนี้มีรูปร่างปานกลาง คิ้วดกตาโต ข่งหลีเพ่งพินิจด้วยความตะลึงอยู่พักใหญ่ จึงถามว่า "ท่านมาหาใคร?" แขกที่มาถามขึ้นอย่างสุภาพว่า "ขอถามว่า ที่นี่คือบ้านของท่านข่งฟูจื่อหรือไม่?" ข่งหลีกล่าวว่า "ใช่ เชิญท่านเข้ามาก่อน" ขงจื่อและเหยียนลู่ได้ยินเสียงจึงรีบตามไปดู ทั้งหมดต่างรวมกันที่ระเบียงบ้าน แขกผู้มาเยือนแนะนำตนว่า ข้าเจิงเตี่ยน (เจิงเตี่ยน เป็นบิดาของเจิงเซิน (เจิงจื่อ) ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นศิษย์ของขงจื่อเช่นกัน)ชาวเมืองอู่เฉิง ได้ยินกิติศัพท์ของท่านมาช้านาน วันนี้มาเพื่อขอ ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านฟูจื่อโดยเฉพาะ" ครั้นพูดจบก็มิคอยให้ขงจื่อต้องพูดต่อ เจิงเตี่ยนรีบวางสัมภาระบนไหล่กองกับพื้น  จัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ดี  แล้วหมอบกราบลงทันทีว่า "ศิษย์เจิงเตี่ยนขอกราบคารวะท่านอาจารย์" เจิงเตี่ยนมีฉายาว่าจื่อชี ชาวเมืองอู่เฉิง แคว้นหลู่ เกิดเมื่อปีหลู่เซียงกง ศกที่ ๒๗ (๕๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช)
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/11/2012, 05:44
                      ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 2   : 

        ครั้นขงจื่อได้เห็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีความใสซื่อบริสุทธ์คนนี้
ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบต่อภาระกิจก็พลุ่งพล่านขึ้นภายในใจ ตอนนั้นขงจื่อจึงตัดสินใจเปิดสำนักศึกษาเอกชนในที่สุด ครั้นคิดได้ดังนี้ ขงจื่อจึงพยุงเจิงเตี่ยนขึ้นและกล่าวว่า "เชิญเข้าในเรือนก่อนเถอะ" (เจิงเตี่ยนเป็นบิดาของเจิงเซิน (เจิงจื่อ) ซึ่งต่อมาได้เป็นศิษย์ของขงจื่อเช่นกัน) ครั้นเข้าสู่ภายในเรือน ขงจื่อได้แนะนำเหยียนลู่  ข่งหลี  ฉีกวนซื่อ  ข่งอู่เหวย  ให้ เจิงเตี่ยน ได้รู้จัก เจิงเตี่ยนคารวะฉีกวนซื่อ พลางเปิดห่อผ้าและหยิบเนื้อตากแห้ง ๑๐ ชิ้น ออกมาพูดว่า "ศิษย์อยู่ ณ ถิ่นทุรกันดาร จึงไม่มีของขวัญมีค่าเป็นค่าครูมอบให้ท่านอาจารย์ได้ จึงขอให้ท่านอาจารย์โปรดรับไว้เถิด"  หลังจากขงจื่อรับเนื้อตากแห้งไว้ ได้พูดด้วยความจริงใจว่า "ของขวัญเป็นเพียงของนอกกาย ไหนเลยจะสำคัญเท่าการประสิทธิ์วิชาได้ ในเมื่อข้าจะเปิดสำนักศึกษา ข้าก็จะขอขจัดประเพณีอันคร่ำครึของสำนักศึกษาราชการ ไม่ว่าผู้มาเรียนจะมีฐานะยากดีมีจนเช่นไร ขอเพียงเขายินยอมมาศึกษาวิชากับข้า  ยอมรับนับถือข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะประศาสน์วิชาให้เขาอย่างสุดกำลังความสามารถ"  ในสมัยก่อน ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาภาครัฐจะแพงมหาศาล ดังนั้น จึงมีเพียงบุตรหลานของบรรดาข้าหลวงและเหล่าธนบดีเท่านั้นที่มีสิทธิ์เล่าเรียนวิชาได้ แต่ขงจื่อกลับเก็บค่าเล่าเรียนเพียงเนื้อตากแห้ง ๑๐ ชิ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่มีฐานะยากจน กอปรกับขงจื่อมีกิตติศัพท์อันเลื่องลือไกล ซึ่งมีผู้คนมาศึกษาเล่าเรียนอย่างล้นหลาม ดังนั้น ขงจื่อจึงมีลูกศิษย์มากมายภายในเวลาไม่นานนัก วิธีการสอนของขงจื่อ จะเป็นการสอนตามจริตของแต่ละปัจเจก แล้วค่อย ๆ ให้พัฒนาก้าวหน้าอย่างเป็นลำดับ ท่านมักจะสอนหนังสืออยู่ใต้ร่มจามจุรีเก่าแก่ที่ระเบียงบ้าน ส่วนเนื้อหาที่สอนก็จะเป็นซือจิง  ซูจิง  จริยธรรม  คีตศาสตร์  คัมภีร์รพีจันทร์ต่าง ๆ บ่อยครั้ง ท่านจะเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ได้ถามคำถาม โดยท่านจะทำการอธิบายให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ท่านยังมักพาลูกศิษย์ออกไปทัศนศึกษาที่ชานเมือง เพราะส่วนหนึ่งจะได้ความเพลิดเพลิน อีกส่วนหนึ่งก็จะได้ชื่นชมทัศนียภาพแห่งธรรมชาติ วันหนึ่ง ขณะที่ขงจื่อกำลังสอนลูกศิษย์อยู่ในระเบียงบ้าน ทันใดได้มีชายผู้หนึ่งบุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายล่ำสัน เอวหมีพลังยักษ์ โครงหน้าทรงเหลี่ยม หน้าผากสูงงาม ศรีษะสวมหมวกนักรบ บนหมวกปักขนไก่โต้ง กายสวมเสื้อไหมคลุมชะลูดสีน้ำเงิน เอวคาดกระบี่ยาว ขาสวมรองเท้าทรงกระบอก ดูแล้วจะเหมือนเป็นนักรบก็ไม่ใช่ จะเป็นนักศึกษาก็มิเชิง จากการแต่งกายเหมือนคนไม่สมจริต เขาเดินปรี่เข้าหาขงจื่อและพูดขึ้นอย่างห้วน ๆ ว่า"ศิษย์ จื่อลู่ ขอกราบคารวะท่านอาจารย์"  จ้งอิ๋ว ฉายา จื่อลู่ ชาวเมืองเปี้ยนตี้ แคว้นหลู่ เกิดเมื่อปีหลู่เซียงกงศกที่ ๓๑ (๕๒๒ ปีก่อนคริสตศักราช)
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/12/2012, 11:38
                ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 3   : 

        ขงจื่อหยุดสำรวจจื่อลู่ ด้วยความฉงน
แล้วกล่าวตำหนิว่า "เจ้าใส่ชุดอย่างหรูหรา หยิ่งทะนงดั่งไม่มีใครในสายตา ดูแล้วช่างไม่มีบุคลิกแห่งผู้ศึกษาเอาเสียเลย อย่างนี้จะใช้ได้ที่ไหนกัน พึงรู้ว่าน้ำแห่งมหาธารล้วนเกิดแต่ภูเขาสูง แต่ต้นสายของมันกลับตื้นเขิลจนลอยแม้แต่จอกเหล้าก็มิได้ ครั้นกลางลำน้ำเป็นต้นไป มันกลับมีความยิ่งใหญ่จนต้องอาศัยเรือเท่านั้นจึงจะสามารถข้ามสู่ฝั่ง นี่มิใช่ความอ่อนน้อมแห่งสายน้ำที่สามารถรวบรวมอนุภาคจนกลายเป็นมหาสาครอันไพศาลดอกหรือ? แต่เจ้าวันนี้กลับสวมชุดอย่างหรูหราฟู่ฟ่า กิริยามีความผยองเหมือนไม่มีใครอยู่ในสายตา แล้วใครยังจะกล้าตำหนิสั่งสอนเจ้าได้อีก?."  จื่อลู่นิ่งเงียบมิอาจต่อคำ จึงได้แต่ก้มหน้าเดินออกไปอย่างสงบ แล้วเดินกลับเข้ามาในชุดนักรบทะมัดทะแมงอีกครั้ง  จื่อลู่ชักกระบี่ออกจากฝักและเริ่มร่ายรำเพลงกระบี่ท่ามกลางลานระเบียงอย่างคล่องแคล่ว ปลายกระบี่ของจื่อลู่ฉวัดเฉวียน ทรงพลัง ท่าร่ายเดี๋ยวโดดเดี๋ยวรับ เดี๋ยวผงาดเดี๋ยวรุก ว่องไวดุจวิหกสยายปีก ทรงพลังดุจมังกรโจนนภา และในขณะที่ทุกคนต่างชมกันอย่างไม่กระพริบตาอยู่นั้น จื่อลู่ก็ย่ำสามขุมบุกไปข้างหน้า ชิดขาและเก็บกระบี่อย่างงดงาม พลางกล่าวกับขงจื่อว่า "แต่โบราณกาลมา ไม่มีวิญญูชนคนใดที่จะไม่พกกระบี่ติดตัว ข้าได้ทราบกิติศัพท์ของบิดาท่านอาจารย์ว่าเป็นถึงทหารเสือตราบจนถึงปัจจุบันที่เมืองปี่หยางยังกล่าวขานกันอยู่มิขาด ส่วนร่างกายอันกำยำของท่านอาจารย์ ก็ควรจะเรียนกระบี่ฝึกวิทยายุทธเพื่อสืบสานปณิธานของบรรพชนถึงจะถูก"  ขงจื่อกล่าวว่า "นับแต่จำเนียรกาลมา วิญญูชนล้วนยึดหลักแห่งความซื่อสัตย์ภักดีเป็นรากฐาน อิงเมตตาธรรมเป็นศูนย์กลาง หากเห็นทรชนก็จะใช้ความจงรักภักดีไปอบรม  หากเห็นคนหยาบช้าก็จะใช้เมตตาธรรมออกกล่อมเกลา มีเพียงเช่นนี้จึงจะทำให้เกิดผลอันดีงามได้ แล้วใยยังต้องใช้กระบี่ป้องกันตัวอีกด้วยเล่า?."  จื่อลู่สดับฟังด้วยความตั้งใจ ขงจื่อกล่าวสำทับต่อไปอีกว่า "ข้าได้ยินมาว่า ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเฉิงทัง ที่ทรงปราบพระเจ้าเจี๋ย (เป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายในสมัยราชวงศ์เซี่ย ต่อมาได้ถูกโค่นพระราชอำนาจโดยพระเจ้าทังแห่งราชวงศ์ซัง) แห่งราชวงศ์เซี่ยก็ดี หรือพระเจ้าโจวอู่หวังที่ทรงปราบพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซังก็ดี ทั้งสองพระองค์ก็หาได้เคยพกพระแสงกระบี่แต่อย่างใดไม่ แต่ที่สุดก็ทรงสามารถสยบเหล่าทรราชได้มิใช่หรือ?. ฉะนั้น เรียกว่าสยบด้วยบารมี ในความเห็นของข้านั้น มีแต่เพียงการสยบด้วยบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถชนะใจคน เรื่องนี้ได้เป็นที่ประจักษ์แล้วในทุกยุคทุกสมัย แต่หากเป็นการสยบด้วยอำนาจ ก็จะมิอาจทำให้ผู้คนยอมรับได้ทั้งกายและใจ" ครั้นจื่อลู่ฟังจบ ก็เกิดความเลื่อมใสขงจื่อขึ้นจากใจจริง  จึงเจรจาด้วยขงจื่ออย่างนบนอบต่างจากก่อนว่า "วันนี้ได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องมืดเป็นเวลานานแล้วได้รับแสงประทีปสาดฉายในบัดดล ขอให้ท่านอาจารย์โปรดรอสักครู่ รอให้ศิษย์ได้เปลี่ยนชุดใหม่ก่อนแล้วค่อยมาคารวะท่านอาจารย์ใหม่" 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/12/2012, 12:36
                   ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 4

        ขงจื่อเห็นว่า แม้จื่อลู่จะมีนิสัยหยาบกระด้าง แต่ใจคอดูสัตย์ซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมกลโกง จิตใจจึงรู้สึกปิติยินดียิ่ง
จื่อลู่ได้เข้ามาภายในระเบียงอีกเป็นครั้งที่สาม หากแต่ครั้งนี้ได้สวมเครื่องแต่งกายเป็นนักปราชญ์ ลีลาการย่างก้าวดูอ่อนโยนนบนอบ ดวงตาไร้แววเย่อหยิ่งลำพอง อิริยาบถมีความสุภาพเรียบร้อยโดยหาได้มีกิิริยาหาญห้าวเหมือนเมื่อสักครู่ไม่  ขงจื่อกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า "จื่อลู่ จงฟังให้ดี ในสายตาของข้าแล้วพวกที่ชอบยกยอตนว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน พิเศษสุดไร้ใครปานนั้น เขาก็เป็นเพียงคนถ่อยที่ชอบอวดตัวเบ่งอำนาจ มีแต่คำโอ้อวดไร้แก่นสาร สำหรับพวกที่เอาแต่ทะนงตัวอวดฉลาด หากรู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ สิ่งที่ทำได้ก็บอกว่าทำได้  สิ่งที่ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ นี่จึงจะเป็นท่างทีที่พึงมีของวิญญูชน"  จื่อลู่รับคำไม่หยุดว่า "ครับ ! ครับ ! ศิษย์เข้าใจแล้ว"  ขงจื่อรู้สึกชอบความสัตย์ซื่อของจื่อลู่ขึ้นมาจากใจ จึงยิ้มและถามว่า "จื่อลู่ เจ้ามีความชำนาญอะไรเป็นพิเศษหรือ?"  จื่อลู่ตอบว่า"ท่านอาจารย์ก็ได้เห็นไปแล้วเมื่อสักครู่ ศิษย์มีความชำนาญด้านกระบี่เป็นพิเศษ"  ขงจื่อกล่าวว่า "ข้าหาได้หมายถึงเรื่องวิทยายุทธไม่ ข้าหมายถึงเรื่องศิลปวิทยาของเจ้าต่างหาก เพราะข้าเห็นว่าเจ้าจะต้องมีความสามารถพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ ในเมื่อเจ้าจะมาเรียนกับข้า แล้วเจ้าอยากเรียนอะไรล่ะ?"จื่อลู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ศิษย์ไม่รู้ว่าการศึกษาจะมีประโยชน์อะไร ขอให้ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยเถิด"  ขงจื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างสุขุมว่า "หากเจ้าแคว้นไร้ขุนนางที่ภักดีคอยทัดทานแล้ว ก็จะทรงดำเนินราชกิจอย่างบกพร่อง จนที่สุดจะกลายเป็นภัยแก่ประเทศชาติอย่างมิอาจประมาณ ส่วนบัณฑิตผู้เที่ยงตรงหากไม่คบศุภมิตร ก็จะมิอาจได้ฟังคำตักเตือนอันหวังดี ซึ่งที่สุดก็จะก้าวหน้าได้อย่างจำกัด  ส่วนอาชาหากไร้บังเหียนก็จะมิอาจควบคุม  ไม้ซุงหากไร้ด้ายสีก็ยากจะเกลาแต่งให้เที่ยงตรง ดังนั้นคนเราเมื่อมีความรู้จึงจะทำให้ใจแจ่มจิตกระจ่าง ทุกสิ่งสามารถราบรื่นสมดังประสงค์ แต่หากเราเกียจคร้านต่อการเรียน ไม่ขวนขวายใฝ่วิชา เช่นนี้ก็จะถอยหลังและทำผิด จนต้องได้รับโทษโดนอาญาในที่สุด ฉะนัน วิญญูชนจึงพึงเล่าเรียนใฝ่ศึกษา"  จื่อลู่ยังไม่ยอมแพ้ จึงค้านขึ้นว่า " ในโลกนี้มีอยู่หลายสิ่งที่มีหิตานุหิตเฉพาะตัว อย่างเช่นไม้ไผ่ในภูเขาหนันซัน แม้จะไม่มีใครเหลาแต่ง แต่มันก็ยังคงเหยียดผงาดท้าลมฝนได้อย่างมั่นคง และหากนำไม้ไผ่มาประดิษฐ์เป็นลูกธนู แม้แต่ความเหนียวอย่างหนังแรดก็ยังทะลุได้ นี่ไม่ใช่เป็นคุณประโยชน์ที่มีอยู่ในตัวหรอกหรือ?. แล้วมันได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนรู้ด้วยเล่า?." 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/12/2012, 08:07
                    ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 5

        ขงจื่อกล่าวว่า "ใช่ !
เจ้ากล่าวถูกต้อง แต่หากเรานำเหล็กแหลมสวมไว้บนลูกธนูแล้วนำไปยิงหนังแรด มันจะมิทะลวงได้ดียิ่งขึ้นดอกหรือ?" จื่อลู่รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่  ขงจื่อกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "แม้นจะมีความสามารถมาแต่กำเนิด แต่ก็ยังต้องพึ่งความเพียรในการเรียนรู้ประกอบเช่นนี้จึงจะก่อคุณประโยชน์มากขึ้นอย่างไพศาล อันเหมือนดั่งเช่นการนำเหล็กแหลมมาสวมที่ปลายธนูนั่นเอง"  จื่อลู่ถามว่า "หากมีคนหนึ่งที่สวมชุดมอซอ แต่เขาได้ครอบครองหยกงามไว้ เขาควรจะทำอย่างไรดี?"  ขงจื่อตอบโดยไม่ต้องตรึกตรองว่า "หากประสบเจ้านครโฉดเขลาไร้ครรลอง ก็จงนำหยกงามเก็บซ่อนไว้ในหุบเขา แต่หากประสบเจ้าเมืองที่ปรีชาแลคุณธรรมก็จงสวมชุดสง่า มือชูหยกงามและนำอวดให้ประจักษ์แก่ชาวโลก"  จื่อลู่กล่าวว่า "ศิษย์จะจดจำโอวาทของท่านอาจารยไว้ หากสบวิญญูชนก็จงเปิดเผย หากสบทรชนก็จงอำพราง"  ศิษย์อาจารย์ต่างสนทนาโต้ตอบกันไปมา ส่วนคนที่เหลือต่างก็ห้อมล้อมสดับฟังด้วยความตั้งใจ  ในเวลานั้นได้มีคนมาแจ้งว่า เหยียนลู่ได้บุตรชายแล้ว ขงจื่อจึงให้ฉีกวนซื่อนำเนื้อตากแห้ง ๖ แท่ง ไปมอบให้เป็นกำนัลครั้นเหยียนลู่ได้รับของขวัญ จึงโค้งคำนับขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง และอำลากลับบ้านไปด้วยความยินดี  เพียงไม่นานก็มีคนมาแจ้งข่าวว่า อุปราชจื๋อฉั่นแห่งแคว้นเจิ้งได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว จื๋อฉั่น เป็นบุคคลที่ขงจื่อให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ท่านจึงมักจะเฝ้าหาโอกาสไปเยี่ยมคารวะอยู่มิขาด  ดังนั้นข่าวการเสียชีวิตของจื๋อฉั่นจึงกระทบกระเทือนจิตใจของขงจื่ออย่างมิอาจบรรยาย ท่านรู้สึกเสียใจที่มิได้รักษาโอกาสไปเยือนจื๋อฉั่นเสียแต่แรก และรู้สึกโกรธสวรรค์ที่ไม่ยอมให้คนดี ๆ มีอายุที่วัฒนา ขงจื่อยืนนิ่งอยู่นานจนน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่รู้ตัว นับแต่นั้น ขงจื่อก็หม่นหมองซึมเศร้าติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จวบจนวันหนึ่ง หลังจากท้องฟ้าสีครามได้แผ่บรรยายกาศสดใสหลังพายุฝน บนขอบฟ้าได้ปรากฏสายรุ้งหลากสีสันพาดยาวอยู่กลางนภาจิตใจขงจื่อรู้สึกแช่มชื้นขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงคิดจะออกไปทัศนาทิวทัศน์ หลังจากได้ถูกกระหน่ำจากพายุฝนตลอดสองวัน  ท่านเคยได้ยินมารดาเล่าว่าตัวท่านเกิดที่ภูเขาหนีซัน จึงใคร่จะไปชมทิวทัศน์ภูเขาหนิวซัน ที่ใฝ่ฝันจะไปมานาน  ในระหว่างนั้น ขงจื่อได้รับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงในภายหลังอีกหลายคน โดยมี หมินสุ่น  ฉินชัง  หยั่นเกิง  และซีเตียวคาย เป็นอาทิ ขงจื่อได้นำความคิดที่จะท่องภูเขาหนีซันเล่าให้ศิษย์ทุกคนฟัง ทุกคนต่างเห็นชอบด้วยความดีใจ แต่เนื่องจากขงจื่อมีนิสัยที่ไม่เคยขาดสมุดไผ่ติดมือ ดังนั้นจึงเลือกสมุดไผ่ติดตัวไปด้วยผูกหนึ่ง
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/12/2012, 09:09
                      ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 6

        ฤดูคิมหันต์ที่ภูเขาหนีซัน
มีบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยความร่มรื่นน่าอภิรมย์ รอบภูเขามีต้นไม้เก่าแก่ขึ้นประปรายสูงชะลูด ตฤณชาติชอุ่มชุ่มทั่วผืนปฐพี เหล่ามอแมลงจักจั่นต่างส่งเสียงร้องก้องกังวานไปทั่วบรรยากาศ ขงจื่อนำลูกศิษย์ไต่ขึ้นไปถึงไหล่เขา และนั่งพักที่ศาลเทพเทวาแห่งภูผา หลังจากทุกคนได้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ขงจื่อได้แผ่สมุดไผ่ออกอ่าน ลูกศิษย์ทุกคนต่างมุงดูด้วยความสนใจ ปรากฏคือคัมภีร์ซือจิงนั่นเอง จื่อลู่รู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้นว่า "ท่านอาจารย์ ไฉนท่านจึงชอบคัมภีร์ซือจิงนัก?"  ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยความสดชื่นว่า "ซือจิงทั้ง ๓๐๐ บท สามารถสรุปได้ด้วยคำหนึ่งคือ ดำริไร้มิจฉา ฉะนี้แล้ว ไยจึงไม่ศึกษาคัมภีร์ซือจิงเล่า? อนึ่ง การอ่านคัมภีร์ซือจิงจึงจะสามารถฝึกหัดความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาทักษะ การสังเกต สามารถเพิ่มพูนความสามัคคีและการอ่านใจคน ทั้งยังสามารถเรียนรู้วิธีการเสียดสีคนได้อีกด้วย ทั้งนี้ ยังสามารถประยุกต์สาระแห่งคัมภีร์ซือจิงมาปรนนิบัติบุพการี ถวายงานรับใช้เจ้าแคว้นเจ้าแผ่นดิน แล้วยังสามารถรู้จักชื่อสกุณชาติ ตฤณชาติ  และรุกขชาติได้อย่างมากมาย คัมภีร์ซือจิงสามารถกระตุ้นจิตใจให้กระชุ่มกระชวย ดังนั้น ข้าจึงหมั่นศึกษาคัมภีร์ซือจิงอยู่เสมอ"  ครั้นกล่วจบ สายตาของขงจื่อก็เพ่งไปที่สายธารใต้ภูเขาหนิวซัน จากนั้นก็ตกสู่ภวังค์ความคิดอย่างลืมตัว สายน้ำฉีสุ่ยปกติจะใสแจ่มจนสามารถเห็นมัจฉาชาติแหวกว่ายไปมาอย่างเพลิดเพลิน สายน้ำไหลเลื่อนอย่างมีจังหวะ ประสานเป็นเสียงเพลงเย็นฉ่ำอย่างไม่มีดนตรีใด ๆ เสมอเหมือน  แต่หลังพายุฝนพัดผ่านไปไม่นาน สายน้ำกลับอึกทึกอย่างน่าเกรงขาม ขงจื่อถอนใจขึ้นว่า "เวลาดุจธารน้ำที่ไหลผ่านทั้งวันแลคืนมิรู้หยุด ศิษย์ทั้งหลาย พึงตระหนักว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น พวกเจ้าต้องรู้จักถนอมเวลาศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด"  ศิษย์ทุกคนต่างรับคำขึ้นอย่งพร้อมเพรียง ขงจื่อพินิจใบหน้าอันเปี่ยมพลังของศิษย์แต่ละคน และทำการสังเกตอุปนิสัยใจคอของทุกคนอย่างพิจารณา พบว่า เหยียนลู่มีความหนักแน่น ซื่อตรง   จื่อลู่มีความเถรตรง วู่วาม  หยั่นป๋อหนิวมีความภูมิฐานหนักแน่น  ซีเตียวคายมีไหวพริบฉลาดว่องไว  หมิ่นจื่อเซียนมีความสัตย์ซื่อกตัญญู...ขงจื่อได้ทำการพิจารณาหาวิธีการประสาทวิชาให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม เพื่อจะได้ให้ทุกคนเป็นปราชญ์คงแก่เรียนที่จะตอบแทนพระคุณประเทศชาติต่อไปในอนาคตเมื่อโอกาสอำนวย ในตอนนี้ ขงจื่อได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้แก่ศิษย์ทั้งหลายเหล่านี้  หลังจากได้ชมทัสนียภาพและเพลิดเพลินกับพฤกษชาตินานาพันธุ์แล้ว ทุกคนจึงเดินทางกลับด้วยความเบิกบาน
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 7
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/12/2012, 07:04
                  ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 7

        ในวันนั้น
หลังจากจี้ผิงจื่อได้เสร็จจากงานราชการก็เดินทางกลับสู่จวนอุปราช แต่ครั้นเห็นพ่อบ้านหยางหู่ก็พลันเกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหยางหู่ที่ทำการช่องสุมกำลังอำนาจมานานพอควร ดังนั้นจึงคิดจะหาขุนนางกลุ่มใหม่มาคานอำนาจของหยางหู่อยู่มิขาด แต่หลังจากได้ใคร่ครวญดูแล้ว จี้ผิงจื่อได้วางเป้าหมายไว้ที่เหล่าศิษย์ของขงจื่อ ดังนั้นจึงใช้ทนายไปเชิญขงจื่อมาพบที่จวน แต่ครั้งนี้จี้ผิงจื่อได้ละท่าทีอหังการที่เคยแสดงกับขงจื่อไปจนหมดสิ้น "ได้ยินมาว่าท่านฟูจื่อได้ตั้งสำนักอบรมศิาญืไว้มากมาย เหล่าปราชญ์ของแต่ละหัวเมืองต่างชุมนุมกันที่สำนักของท่านอย่างล้นหลาม ข้าจึงอยากให้ท่านฟูจื่อเสนอชื่อศิษย์ของท่านออกมารับราชการสักหน่อย มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีความเห็นเป็นเช่นไร?"  ขงจื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง พลางได้โค้งกายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "แม้ศิษย์ของข้าจะมีอยู่มากมายก็จริง แต่หากจะหาผู้ที่มีความสามารถและเหมาะกับการบริหารราชการนั้นยังถือว่าน้อยนัก ที่ดู ๆ ก็มีแต่จื่อลู่คนเดียวเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการบริหารบ้านเมืองได้" จี้ผิงจื่อถามขึ้นทันควันว่า "ถ้าอย่างนั้นให้เขารับตำแหน่งนายอำเภอเลยดีไหม?"  ขงจื่อกล่าวว่า "จื่อลู่มีความเที่ยงตรง ซื่อสัตย์และเด็ดเดี่ยว หากใช้ทำราชการก็จะสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่เขามีอุปนิสัยที่ค่อนข้างร้อนรน วู่วาม หากจะให้รับตำแหน่งในตอนนี้คิดว่ายังมิใช่โอกาส" จี้ผิงจื่อกล่าวว่า "หากเมื่อไรที่ท่านฟูจื่่อมีบุคคลากรที่เหมาะสม มิทราบว่าท่านพอจะกรุณาแนะนำให้ได้ไหม?"  ขงจื่อยิ้มอย่างสดชื่นว่า "จุดประสงค์ที่ข้าอบรมสั่งสอนศิษย์ก็เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ ในเมื่อได้มีผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้ว ข้าจะต้องแนะนำให้แก่ท่านอุปราชอย่างแน่นอน"  ครั้นอำลาจี้ผิงจื่อ ขงจื่อได้เดินทางกลับบ้านด้วยความเบิกบาน จนถึงกับรู้สึกว่าผืนนภาสีครามในเวลานี้มีความสวยงามผิดธรรมดา ท้องถนนที่สัญจรมีความกว้างขวางขึ้นต่างจากเดิม และนี่เป็นครั้งแรกที่ขงจื่อได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่แห่งภาระกิจที่ตนทำอยู่ หลังจากกลับถึงบ้าน หมินสุ่นได้ถามขึ้นว่า "ท่านอาจารย์ คนประเภทใดจึงสามารถรับราชการได้"  ขงจื่อตอบโดยไม่ตรึกตรองว่า "โบราณกล่าวว่า "เรียนแล้วชำนาญจึงรับราชการ" ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีความรู้ที่เยี่ยมยอดก่อนจึงจะรับราชการได้"  หมินสูถามขึ้นอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น การรับราชการจะต้องระวังอะไรบ้าง?" ขงจื่อกล่าวว่า "ผู้รับราชการ  ต่อส่วนบนจะต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และเจ้าแคว้น ต่อส่วนล่างจะต้องรับผิดชอบต่ออาณาประชาราษฏร์ ดังนั้นจึงต้องทุ่มเทใจต่อการบริหารประเทศ มีความรักใคร่ต่อมวลประชา ทนุถนอมเด็กเล็กคนชรา ซึ่งจุดนี้จะต้องคั้งเป้าหมายของชีวิตอย่างมุ่งมั่น มิเช่นนั้น ก็จะหามีความสำเร็จในชีวิตไม่ ทั้งนี้ยังต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของปราชญ์เมธีอย่างกว้างขวาง..."  ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างตั้งใจ ทันใดได้มีทูตแห่งแคว้นฉี มาขอพบ ขงจื่อจึงจัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วออกไปต้อนรับทูตแห่งแคว้นฉี
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 8
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/12/2012, 07:54
                   ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 8

        ทูตแห่งแคว้นฉีโค้งคำนับขงจื่อพลางกล่าวว่า "ท่านเจ้าเมืองฉีได้เสด็จเยือนเมืองหลู่พร้อมด้วยท่านอุปราช ตอนนี้จึงพำนักอยู่ที่จวนรับรอง พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะขอคำปรึกษาจากท่านฟูจื่อ จึงขอให้ท่านฟูจื่อโปรดเดินทางไปถวายคำชี้แนะด้วยเถิด"  อุปราชแคว้นฉีนามว่า "เยี่ยนอิง ฉายา ผิงจ้ง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของฉีกวงจง แต่หลังจากฉีกวงจงทรงเถลิงตำแหน่งเจ้าเมืองเมื่อตอน ๕๔๗ ปีก่อนคริสตศักราชแล้ว เยี่ยนอิงก็ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอุปราช หลังจากดำรงตำแหน่งได้ไม่นานก็สามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ อันได้สร้างคุโณปกรยิ่งใหญ่ทั้งระดับภายในและภายนอกรัฐได้อย่างงดงาม  ดังนั้นจึงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ขงจื่อให้ความเคารพนับถือ ด้วยเหตุนี้ ขงจื่อจึงติดตามทูตฉีไปด้วยความดีใจ หลังจากได้กราบเฝ้าจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีจิ่งกงได้มีรับสั่งว่า "ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านฟูจื่อมาช้านาน วันนี้ได้พบท่านจึงนับเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก"  ขงจื่อเพ็ดทูลว่า "กระหม่อมมีแต่เพียงชื่อเสียงที่เขาร่ำลือ หาได้เก่งกาจตามคำเหล่านั้นไม่" ฉีจิ่งกงรับสั่งถามอย่างตรงไปตรงมาว่า "ขอถามว่าเหตุใดฉินมู่กงในอดีตจึงสามารถดำรงความเป็นใหญ่ท่ามกลางสามนตรัฐได้?" ครั้งขงจื่อได้ฟังก็รู้สึกสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย พลางคิดไปว่า "หรือว่าพระองค์ทรงอยากจะประกาศศักดาต่อบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย?. มิเช่นนั้นใยจึงสนพระทัยเรื่องนี้เป็นพิเศษ" ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ได้ทำการพิจารณาฉีจิ่งกงโดยละเอียด พบว่าทรงมีชันษาประมาณ ๔๐ กว่า พระวรกายสูงโปร่ง  พระพักตร์แห้งตอบ พระเนตรมีประกายความลำพอง เมื่อสังเกตเห็นดังนี้ก็รู้สึกใจหาย จึงทำการตรึกตรอง อย่างรอบคอบแล้วกราบทูตว่า " เหตุที่ฉินมู่กงทรงเรืองอำนาจอยู่ท่ามกลางสามนตรัฐได้นั้น ก็เพราะฉินมู่กงทรงรู้จักใช้คน"  ฉีจิ่งกงตรัสว่า "ตามความเห็นของข้านั้น เจิ้งเจี่ยนกงทรงใช้จื๋อฉั่น ต่อมาเจิ้งติ้งกงก็ทรงใช้จื๋อฉั่นอีก เช่นนี้เรียกว่า ใช้คนได้อย่างเหมาะสมแล้ว แต่ไฉนแคว้นเจิ้ง จึงยังไม่สามารถยิ่งใหญ่เหนืออาณาจักรทั้งหลายได้ล่ะ?" ขงจื่อทูลตอบว่า "ทางตอนเหนือของแคว้นจิ้ง มีแคว้นจิ้นที่แข็งแกร่ง ส่วนทางตอนใต้ก็ยังมีแคว้นฉู่ที่เกรียงไกร อีกทั้งปัญหาการเมืองภายในก็ยังหมักหมมรุมเร้าจนวุ่นวาย ประชาชนได้หมดความศรัทธาต่อราชสำนักเสีย จึงเรียกได้ว่าแคว้นเจิ้งตกอยู่ในภาวะวิกฤติขั้นร้ายแรง แต่หลังจากจื๋อฉั่นได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง แคว้นเจิ้งจึงเริ่มผงาดในท่ามกลางสามนตรัฐ ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ต่างใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข นี่จึงนับเป็นผลงานที่เหล่าแว่นแคว้นแดนไกลต่างยกย่องสรรเสริญกันไปทั่ว หากมิใช่เพราะจื๋อฉั่นได้เข้ามาบริหารการปกคอง เกรงว่าแคว้นเจิ้งคงจะระส่ำระสายไปนานแล้ว"  เยี่ยนอิงนั่งฟังอย่างสงบ ครั้นขงจื่อกล่าวจบ เขาได้ค้อมกายน้อย และกล่าวว่า "ตามที่ข้าเยี่ยนอิงได้ยินและเห็นมา ท่านฟูจื่อเป็นผู้ที่แตกฉานทั้งเรื่องอดีตและปัจจับัน เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง  อีกยังมีความรู้ความกล้าหาญที่หาใครเทียบได้ยาก แต่ไฉนท่านจึงไม่รับราชการเพื่อทำนุบำรุงแคว้นหลู่ให้วัฒนาสถาพรเล่า?" ขงจื่อกล่าวว่า "ความรู้ที่ข้าน้อยได้เรียนมาก็แค่เป็นสมบัติที่บรรพชนตกทอดมาแต่โบราณ หากเป็นเรื่องการปกครองก็เกรงว่าจะมิอาจใช้การได้ดีเท่าที่ควร อีกทั้งสังคมในปัจจุบันก็มีสภาพเสือมโทรมอยางน่าใจหาย คนดีจึงมักถูกข่มเหงรังแก คิดดูแล้วข้ายังคงรับศฺษย์ประสาทวิชาจะดีกว่า"  เยี่ยนอิงกล่าวว่า "หรือว่าท่านจะยอมเป็นบัณฑิตถือสันโดษไปตลอดชีวิตอย่างนั้นฤา"  ขงจื่อยิ้มโดยมิตอบความ ส่วนเยี่ยนอิงเองก็รู้สึกฉงนมิเข้าใจ   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/12/2012, 14:36
                      เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม

        ฉีจิ่งกงและเยียนอิง ต่างซักถามเรื่องการปกคอง
นับแต่อดีตตราบปัจจุบันอีกทั้งยังขอความรู้เรื่องโหราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ซึ่งขงจื่อล้วนสามารถอ้างอิงและแนะนำได้อย่างแม่นยำ จนฉีจิ่งกงถึงกับทรงพยักพระพักตร์ตรัสชมขงจื่ออยู่มิขาด ส่วนเยี่ยนอิงนั้นถึงกับตกตะลึงจนมิอาจสกดความรู้สึกบนใบหน้า พลางคิดว่า "หากเจ้าเมืองหลู่ทรงใช้คน ๆ นี้แล้ว การที่จะแผ่แสนยานุภาพเหนือแคว้นน้อยใหญ่ ก็คงหาใช่เรื่องยากอีกต่อไปไม่"  หลังจากทั้งสามต่างสนทนาจนเวลาพลบค่ำ ขงจื่อก็ถือโอกาสกราบบังคมลา  ขงจื่อยังคงดำเนินกิจวัตรด้วยความมุ่งมั่นใฝ่เรียนและประสศาสน์วิชาให้เหล่ลูกศิษย์อย่างพากเพียรเช่นเดิม ท่านกลางกระแสธารแห่งเวลาที่พัดผ่าน ปีใหม่ได้มาเยือนทุกคนอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว เวลานั้นเหล่าลูกศิษย์ต่างทยอยลากันกลับไปฉลองตรุษจีนที่บ้านเกิด ขงจื่อจึงรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวขึ้นในทันใด แต่ก็ทำให้ขงจื่อได้มีเวลาทบทวนเหตุการณ์บ้านเมืองแต่ลำพัง เดือน ๓ ของปีนี้ ฉู่ผิงหวังทรงสังหารอู่เส่อสองพ่อลูก อู่เอวี๋ยนซึ่งเป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งของอู่เส่อ จึงหลบหนีลี้ภัยไปที่แคว้นอู๋ ในเดือน ๑๐ ฮว๋าไฮ่  เซี่ยงหนิง และฮว๋าติ้งแห่งแคว้นซ่ง ต่างคิดคดก่อการกบฏ หากแต่ความได้แตกเสียก่อน ฮว๋าไฮ่ และเซี่ยงหนิงจึงลี้ภัยไปแคว้นเฉิน ส่วนฮว๋าติ้ง ลี้ภัยไปอยู่แคว้นอู๋  ในเดือน ๑๑ ซุนตงกว๋อ แห่งแคว้นไซ๋ ได้สังหารพระยาไซ่ผิงโหว และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระยาไซ่เต้าโหว ขงจื่อรู้สึกว่าเหตุการณ์วุ่นวายต่าง ๆ ของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะความละโมบของบุคคลส่วนน้อย แต่กลับสร้างภัยมหันต์ให้กับประชาชนหมู่มาก จึงรำพันขึ้นอย่างเศร้าใจว่า "ช่างเป็นปีที่แสนวุ่นวายเสียจริง ๆ หากจื๋อฉั่นยังอยู่เหตุการณ์คงจะไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้แน่"  ทุกครั้งทีขงจื่อคิดถึงจื๋อฉั่น ท่านมักจะอกสะท้านน้ำตาซึมอย่งไม่รู้ตัว เพราะขงจื่อคาดหวังให้มีคนดีอย่างจื๋อฉั่น เข้ามาปกครองประเทศชาติ เพื่อให้จริยธรรมแห่งราชวศ์โจวได้รับการฟื้นฟู และสยบความอาเพศแห่งบ้านเมืองให้สิ้นจากแผ่นดินไปเสียเหลือเกิน
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/12/2012, 06:33
                    เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 2

        ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๑ (๕๒๑ ปีก่อนคริสตศักราช) ขงจื่อ อายุ ๓๐ ปี
ในเดือน ๓ ของปีนี้ พระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจว พระนามว่า โจวจิ่งหวังทรงมีพระบัญชาให้หล่อระฆังอู๋เนี่ยด้วยทองสัมฤทธิ์ ในคิมหันตฤดูของปีเดียวกัน ฮว๋าไฮ่ เซี่ยงเหนียนและฮว๋าติ้งที่ลี้ภัยในต่างแดนได้ยกกำลังเข้าบุกยึดอำนาจหนันลี่แห่งแคว้นซ่ง ทั้งนี้ยังขอกำลังสนับสนุนจากแคว้นอู๋ให้ร่วมสมทบอีกแรง แคว้นอู๋ได้ส่งกำลังทหารเข้าตีทัพซ่งจนต้องถอยร่นออกไป ในเดือน ๑๑ แคว้นจิ้น  แคว้นฉี  และแคว้นเหว่ยต่างกรีฑาทัพเข้าช่วยแคว้นซ่ง กองทัพของฮว๋าไฮ่ เซี่ยงหนิง และฮว๋าติ้งประสบกับความพ่ายแพ้ ปี หลู่เจากงศกที่ ๒๒ (๕๒๐ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู แคว้นฉียกทัพรุกรานแคว้นหลวี่  ส่วนฮว๋าไฮ่ เซี่ยงหนิง ฮว๋าติ้งแห่งแคว้นซ่ง ต่างลี้ภัยไปแคว้นฉู่ ในเดือน ๔ พระจักรพรรดิโจซจิ่งหวังเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงสถาปนาโจวเต้าหวังขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ แต่ภายหลัง พระเจ้าโจวเต้าหวัง ได้ทรงถูกมกุฏราชกุมารนามว่าจี้ฉาวปลงพระชนม์และสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เจ้าเมืองจิ้นฉิ่งกงจึงทรงกรีฑาทัพโค่นพระราชอำนาจและแต่งตั้งมกุฏราชกุมารพระนามว่าจี้ก้ายขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าโจวจิ้งหวังแทน ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๓ (๕๑๙ ปีก่อนคริสตศักราช) เดือน ๖ จี้ฉาวทรงยกพลโจมตีราชธานีจนพระเจ้าโจวจิ้งหวังต้องทรงอพยบลี้ภัยไปที่เมืองหลิวอี้ และทรงหลบซ่อนพระองค์อยู่ที่ตี้เฉวียน ในปีเดียวกัน พระยาไช่เต้าโหวถึงแก่กรรม น้องชายจึงขึ้นสืบตำแหน่งเป็นพระยาไช่เจาโหว  ในเดือน ๗ แคว้นอู๋กรีฑาทัพเข้ารุกรานดินแดนในอาณัติของพระเจ้าจักรพรรดิหลายแห่ง แคว้นซ่งจึงติดต่อแคว้นเฉินและไช่ร่วมกันโจมตีแคว้นอู๋  ทั้งสามกองทัพประจัญกันที่จีฟู่ แคว้นอู๋เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทุกครั้งที่ขงจื่อได้ยินข่าวนี้ จิตใจรู้สึกหดหู่ และห่วงใยทุกข์สุขของราษฏร์ยิ่งนัก เพราะเหล่าเจ้าเมืองที่ถือศักดินาต่างแย่งชิงดินแดนและแผ่แสนยานุภาพกันไปมา จนทำให้ไพร่ฟ้าต้องประสบกับความยากลำบากไปทั่วทุกหัวระแหง ขงจื่อได้เห็นความเสื่อมสลายของระบอบจริยธรรมทีนับวันยิ่งมีแต่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากระบอบการปกครองโดยกฏหมายกลับยิ่งเฟื่องฟูขึ้นมาแทนที่ นี่คือสัญญาณความพินาศแห่งศีลธรรม เพราะจิตใจแห่งมนุษย์มิอาจถูกควบคัมโดยมโนธรรมสำนึกที่มีมาแต่เดิม หากจะต้องถูกควบคุมด้วยกฏข้อบังคับที่ผ่่านการบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติของคนนั่นเอง โดยเฉพาะในปีหลู่เจากงศกที่ ๖ (๕๓๖ปีก่อนคริสตศักราช) แคว้นเจิ้งได้นำตัวบทกฏหมายจารึกไว้ที่กระถางทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ขงจื่อจึงยิ่งตระหนักชัดถึงความยากลำบากในการกอบกู้จริยธรรมมากยิ่งขึ้น ในปีหลู่เจากงศกที่ ๒๔ (๕๑๘ ปีก่อนคริสตศักราช) เมิ่งสีจื่อล้มป่วย เขามักจะล้มป่วยอยู่เป็นประจำ หากแต่ครั้งนี้หนักกว่าครั้งใด ๆ  ดังนั้นเขาจึงมีเวลาคิดทบทวนชีวิตของเขาอย่างมีสติ  และสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจมากที่สุดในชีวิตก็คือความไม่เอาธุระกับการศึกษาของตน  ดังนั้น จึงเรียกบุตรชายทั้งสองคือ เมิ่งซุนเหอจี้และหนังกงจิ้งสู มาสั่งเสียว่า "หลังจากพ่อตายแล้ว พวกเจ้าทั้งสองจะต้องไปกราบขงจื่อเป็นอาจารย์ คน ๆ นี้พ่อรู้จักเขาดี เขาเป็นคนที่มีความแตกฉานทั้ง ๖ วิทยา เขาเป็นผู้ที่มีความรอบรู้มากที่สุด" 
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/12/2012, 08:37
                    เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  3

        หลังจากเมิ่งสีจื่อถึงแก่อนิจกรรม บุตรทั้งสองจึงปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดา
ในเวลนั้นเป็นวสันตฤดูที่อบอุ่น ขงจื่อกำลังถ่ายทอดคัมภีร์หลี่จี้ให้แก่ลูกศิษย์ทุกคนอย่างเกษมสำราญ เมิ่งซุนเหอจี้และหนังกงจิ้วสูได้เข้ามากราบฝากตัวของเป็นศิษย์ ขงจื่อรีบเข้าพยุงทั้งสองขึ้น และพูดอย่างรู้สึกลำบากใจว่า"ไยคุณชายทั้งสองจึงลงกราบเช่นนี้ด้วย?" เมิ่งซุนเหอจี้กล่าวว่า "พวกเรามาขอฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านอาจารย์" ตามระเบียบราชการในยุคซุนชิวได้บัญญัติไว้ว่า ขุนนางผู้ใหญ่มีสิทธิ์ยกตำแหน่งให้แก่ทายาทสืบต่อไป ดังนั้นหลังจากเมิ่งสีจื่อถึงแก่อนิจกรรม บุตรคนโตคือเมิ่งซุนเหอจี้จึงมีความชอบธรรมในการสืยตำแหน่งต่อจากเมิ่งสีจื่อ ปกติขงจื่อจะเกลียดชังพวกไร้ความรู้แล้วทำตัวชอบอวดฉลาดเป็นอย่างมาก แต่ครั้นได้เห็นเมิ่งซุนเหอจี้และหนันกงจิ้งสูลดตัวคุกเข่าเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ จึงรู้สึกว่ากระแสสังคมเริ่มเปลี่ยนไป ฉะนั้น จึงรับเขาทั้งสองไว้เป็นศิษย์ด้วยความดีใจ เมิ่งซุนเหอจี้กำลังไว้ทุกข์ให้แก่บิดา จึงถามขึ้นว่า "ขอเรียนถามท่านอาจารย์ มิทราบว่าอย่างไรจึงเรียกว่ากตัญญุตาธรรมฤา ?"  ขงจื่อตอบว่า "ยามบิดายังอยู่พึงสังเกตปณิธานของบิดา หลังจากบิดาได้ถึงแก่อาสัญ พึงตั้งใจศึกษาในภาระกิจที่ท่านเคยกระทำมาแต่ก่อน หากสามารถปฏิบัติตามแนวคิดและปฏิปทาอันดีงามของท่านได้โดยตลอด เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นมรรคแห่งกตัญญูแล้วแล"  เมิ่งซุนเหอจี้ถามต่อไปอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น ควรทำอย่างไรจึงจะถึงขั้นกตัญญุตาธรรมได้?" ขงจื่อตอบว่า "ไม่ขัดต่อจริยธรรม จึงจะถึงขั้นกตัญญุตาธรรมได้"  เมิ่งซุนเหอจี้กล่าวว่า"ศิษย์จะขอน้อมปฏิบัติโอวาทของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน" นับแต่ขงจื่อได้รับศิษย์สองคนนี้ ขงจื่อก็ยิ่งทวีความมั่นใจต่องานด้านการศึกษา และเพื่อให้ศิษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้สิ่งที่ดี ๆ แล้ว ท่านจึงยิ่งตั้งใจศึกษามากยิ่งขึ้นกว่าเก่า วันหนึ่ง ขงจื่อได้ยินกิตติศัพท์ความปราดเปรื่องของท่านเหลาจื่อ จึงมีความประสงค์จะไปขอความรู้จากเหลาจื่อ หนังจิ่งกงสูจึงขันอาสากราบทูลหลู่เจากงให้ทรงทราบ หลู่เจากงได้มีพระราชานุญาตในทันที ทั้งนี้ยังทรงมีพระบัญชาให้หนังกงจิ้งสูร่วมเดินทางไปกับขงจื่อ พร้อมทั้งยังพระราชทานรถม้าและสารถีให้แก่ขงจื่ออีกด้วย ขงจื่อและหนันกงจิ้งสูเริ่มออกเดินทางในตอนเช้าและพักแรมในยามค่ำทั้งสองต่างพูดคุยกันและชื่นชมทัศนียภาพริมทางอย่างเพลิดเพลิน ในช่วงพลบค่ำของวันหนึ่ง ทั้งหมดได้เดินทางมาถึงเชิงเขาสูงลูกหนึ่ง ได้เห็นพรานนกกำลังกางแหจับนกกระจอก ซึ่งล้วนเป็นลูกนกที่ยังสลัดขนอ่อนไม่หมดทั้งสิ้น จึงถามเหล่าพรานนกว่า "ทำไมพวกท่านจึงจับแต่นกเล็ก ๆ ล่ะ?" เหล่าพรานนกเห็นขงจื่อมีความสุภาพเรียบร้อย จึงตอบว่า "นกใหญ่มันเฉลียวฉลาดกว่า จับได้ยาก ส่วนตัวเล็กมันตะกละ จึงจับได้ง่ายกว่า" ขงจื่อสะท้านใจยิ่งนัก จึงกล่าวกับหนังกงจิ้งสูว่า "มีความฉลาดก็จะพ้นภัย หากตะกละก็จะวายชีวัน และทุกข์ภัยเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเองทั้งสิ้น จากตัวอย่างนี้จึงเห็นได้ว่า คนเราไม่ควรโลภในผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยจนลืมซึ่งคุณธรรมอมตะนิรันดร คนเราหากไร้วิสัยทัศน์ที่ยาวไกล ก็จักต้องประสบภัยในกาลอันใกล้เป็นแน่ ขอให้เจ้าจดจำเอาไว้ให้มั่น"  ศิษย์อาจารย์ต่างขึ้นรถและเริ่มต้นหนทางอันวิบากต่อไป หลังจากได้เดินทางติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ทั้งหมดได้มาถึงเมืองลั้วอี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของราชธานีแห่งราชวงศ์โจวบูรพา ดังนั้นเมืองลั้วอี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองบูรพา ขงจื่อมองเห็นตัวเมืองลั้วอี้แต่เพียงเลือนลาง จิตใจก็รู้สึกแช่มชื่นจนอยากรีบเข้าสู่ประตูเมืองในทันที เวลานั้นกำลังย่างสู่สนทยา ทินกรแห่งประจิมทิศสาดแสงแยงตาจนมิอาจเห็นภาพเมืองลั่วอี้ได้ถนัด ดังนั้นจึงได้แต่ใช้มือป้องตาชมมเมืองเก่าแก่ที่เฝ้าหามานาน "เห็นแล้ว สมแล้วที่เป็นกรุงเก่าแห่งราชวงศ์โจว เมืองโบราณแห่งนี้ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก"  ม้านั้นดูเหมือนจะรู้ใจนาย แม้ไม่ต้องเร่งมันก็รีบกวดฝีเท้ามุ่งสู่ตัวเมืองไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเหลาจื่อทราบว่าขงจื่อกำลังจะมาถึง จึงขึ้นรถม้าออกไปต้อนรับที่นอกเมือง พร้อมทั้งสั่งคนใช้รีบทำความสะอาดเรือนรับรองให้เรียบร้อย ส่วนขงจื่อครั้นทราบว่าเหลาจื่อออกมาต้อนรับถึงนอกเมือง ก็รีบลงจากรถม้าและจัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นนำของขวัญมอบให้เหลาจื่อ เป็นกำนัลอย่างนอบน้อม
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/12/2012, 13:26
                    เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  4

        เหลาจื่อ แซ่หลี นามว่า เอ่อ มีอีกนามว่าเหลาจัน  ชาวเมืองฉุ่ รับราชการเป็นขุนนางอารักษณ์ที่รับผิดชอบด้านหนังสือสะสมในราชสำนัก เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังมีคุณะรรมอันเป็นที่เลื่องลือ ตอนนั้นสิริอายุได้ ๗๐ กว่าปี ผมเเผ้าหนวดเคราล้วนขาวโพลน
หลังจากทั้งสองต่างโอภาปราศรัยกันพอประมาณ ทั้งคู่จึงขึ้นรถม้าสู่ในเมือง ครั้นเข้าสู่ตัวเมือง ขงจื่อถึงกับตลึงในความวิจิตรด้วยยังไม่เคยเห็นบ้านเมืองที่เจริญถึงเพียงนี้มาก่อน ผู้คนบนท้องถนนต่างมีมารยาทอ่อนโยนต่อกัน มีผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินจูงอูฐม้าสวนมาอย่างไม่รีบร้อน เสมือนหนึ่งว่าพวกเขากำลังเพลิดเพลินอยู่กับชีวิต ที่หน้าร้านข้าวสารมีพวกแบกหามกำลังเดินขวักไขว่ไปมา รถเกวียนเทียมม้าจอดเทียบริมทงแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเป็นระเบียบ ที่ลานกว้างด้านหน้าเห็นฝูงชนกำลังห้อมล้อมปรบมือให้กับศีลปินสัญจรเป็นกลุ่ม ๆ  บ้างก็แสดงกระบี่กระบอง บ้างก็แสดงลูกดิ่งเวหา บ้างก็แสดงนาฏลีลา ส่วนร้านค้าแผงลอยก็จัดเรียงทั้งสองฟากฝั่งเป็นทิวแถว โดยบ้างก็ขายดอกไม้มาลัย บ้างก็ขายถ้วยโถโอชาม บ้างก็ขายศัตราอาวุธ บ้างก็ขายภาพวาดงานเขียน  บ้างก็ขายเกี้ยวเต๋ยวเกี้ยวนึ่ง ทั้งหมดดูดาษดื่นเจริญตายิ่ง  เหลาจื่อพักการสนทนาและส่งขงจื่อเข้าพักที่เรือนรับรอง  วันที่สอง ยามอรุณ ขงจื่อสั่งให้สารถีขับรถไปส่งที่บ้านของเหลาจื่อเพื่อคารวะทักทาย  เคหะสถานของเหลาจื่อห่างจากเรือนพักของขงจื่อไม่ไกลนัก  ดังนั้น เพียงไม่นานก็เดินทางมาถึงบ้านพักกของเหลาจื่อ  บ้านเหลาจื่อมิได้ปลูกสร้างอย่างโอ่อ่าหรูหรา  มิได้มิดชิดด้วยราวรั้วกำแพงกั้น  หากจะเปิดกว้างจนสามารถเห็นตัวบ้านได้อย่างง่ายดาย รอบบริเวณจะปลูกแซมด้วยพฤกษาชาตินานาพันธุ์จนดูร่มรื่นเจริญตา  ด้วยบ้านเป็นเรือนไม้ที่ฉลุลายอย่างเรียบง่าย  ขงจื่อเห็นเหลาจื่อเดินออกมาต้อนรับแต่ไกล จึงรีบเข้าไปคารวะว่า "ข้าน้อยข่งชิวพร้อมด้วยลูกศิษย์ขอคารวะท่านอาวุโส"  เหลาจื่อกล่าวว่า "ท่านทั้งสองรอนแรมมาแต่ไกล หวังว่าเมื่อคืนคงจะพักผ่อนได้เต็มที่นะ"   
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/12/2012, 17:40
                   เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  5

      ขงจื่อกล่าวว่า "ขงชิวรู้สึกชื่นชมท่านมานาน วันนี้จึงมาพร้อมด้วยลูกศิษย์จิ้งสู เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านโดยเฉพาะ จึงขอให้ท่านอาวุโสได้โปรดกรุณา" เหลาจื่อกล่าวว่า "ในเมื่อท่านทั้งสองต่างให้เกียรติ ข้าจะต้องนำสิ่งที่รู้ทั้งหมดถ่ายทอดให้อย่างแน่นอน เพียงแต่ข้าพอมีความรู้ในด้านคุณธรรมและจริยธรรมเท่านั้น หากเป็นเรื่องของคีตะก็หาได้เจาะลึกมาก่อนไม่ เอาไว้จะแนะนำเพื่อนข้าที่ชื่อฉางหงให้รู้จัก เพราะบรรพชนของเขาได้รับราชการฝ่านดนตรีมาถึงสามชั่วอายุคน เชื่อว่าคงจะเป็นที่พอใจของท่านทั้งสองเป็นแน่"
ขงจื่อกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นก็จักดียิ่ง แต่ขอถามท่านอาวุโส ในปัจจับันผู้คนต่างกล่าวว่าจริยธรรมในสมัยนี้หาอาจสู้จริยธรรมในสมัยก่อนไม่ จึงขอให้ท่านได้โปรดชี้แนะจริยธรรมในสมัยก่อนให้ฟังด้วยเถิด" เหลาจื่อกล่าวว่า "ทั้งหมดนั้นเพราะราชสำนักเริ่มเสื่อมโทรม เหล่าเจ้าเมืองต่างพากันแก่งแย่งชิงดี จริยธรรมสมัยก่อนล้วนเป็นจารีตที่โจวกงได้ทรงบัญญัติไว้เมื่อสมัยที่ทรงถวายงานกษัตริย์โจวอู่หวังและโจวเฉิงหวัง ในสมัยที่ราชสำนักแห่งราชวงศ์โจวเรืองบารมี  จริยระเบียบล้วนพร้อมพรั่ง ทุก ๆ ฝ่ายต่างนำพาไม่ขัดฝืน แต่หลังจากราชวงศ์โจวตะวันออก* เป็นต้นมา ราชสำนักเริ่มระส่ำระสาย ความบ้าอำนาจของเหล่าขุนนางศักดินาเริ่มทวีความรุนแรง จริยธรรมแต่โบราณจึงถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่โชคยังดีที่ในท้องพระโรง ศาลบูชาบรรพชนและตามวัดวาศาลเจ้ายังพอมีให้เห็นอยูบ้าง  โบราณกล่าวว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในเมื่อท่านทั้งสองประสงค์เรียนรู้บูรพจริยา ข้าก็จะพาท่านทั้งสองไปชมศาลบูชาฟ้าดินและศาลบูชาบรรพชนต่าง ๆ พอท่านดูแล้วก็จะเข้าใจได้เอง" ครั้นพูดจบก็นำหน้าขงจื่อและหนังกงจิ้งสูเข้าสู่ศาลบูชาบรรพชน

หมายเหตุ  : ๑. แต่เดิมราชวงศ์โจว ได้ตั้งราชธานีไว้ที่ฝั่งตะวันตกของประเทศจีน แต่เนื่องจากราชสำนักเริ่มเสื่อมอำนาจ กอปรกับการถูกรุกรานจากเหล่าอริราชศัตรู ราชวงศ์โจวจึงต้องถอยร่นย้ายราชธานีไปที่ฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ดังนั้นจึงเรียกว่า โจวตะวันออก

หมายเหตุ ๒. พระเจ้าเหยา (๒๓๕๓ - ๒๒๓๓ ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่ก่อตั้งราชวงศ์ถังสมัยโบราณ พระองค์ทรงส่งขุนนางสี่คนกระจายออกไปในดินแดนทั้งสี่ทิศเพื่อสำรวจงานด้านดาราศาสตร์  จากนั้นได้ทรงกำหนดวันวสันตวิษุวัต ราววันที่ ๒๐ มี.ค.) ศารทวัตษุวั ราววันที่ ๒๓ ธ.ต.) จากนั้นได้ทรงใช้วันที่ ๔ เหล่านี้มาคำนวณหาจำนวนวันในหนึ่งปีได้เท่ากับ๓๖๕.๒๕ วัน (มีความใกล้เคียงกับปฏิทินแบบสุริยคติในปัจจุบันมาก) ทั้งนี้ยังทรงมีผลงานด้านการปกครองแบบจัดสรรหน้าที่การบริหาร ทรงเลือกใช้ปราชญ์บัณฑิตทั่วแผ่นดินมาบริหาราชการ จึงทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข จนได้กลายเป็นสังคมอุดมคติที่ชนรุ่นหลังมักกล่าวขวัญถึงเสมอ แต่พระราชกรณียกิจที่ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างยิ่งก็คือ พระองค์ทรงเป็นกษัตรย์พระองค์แรกที่ทรงยกราชบัลลังก์ให้กับปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรมที่สุดในแผ่นดิน  โดยทรงยกราชสมบัติให้กับซุ่น  และต่อมาพระเจ้าซุ่น (ราชวงศ์อวี๋) ได้ทรงยกให้อวี๋ (ราชวงศ์เซี่ย)  นับแต่อวี๋แล้วก็เป็นการสืบราชสมบัติแบบยกให้ทายาท ซึ่งก็ยังคงใช้อยู่นานกว่า ๔,๐๐๐ ปี จนถึงราชวงศ์ชิง
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/01/2013, 12:03
                   เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  6

     ท้องพระโรงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระเจ้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวทรงประกาศราโชบายการปกครอง จึงเป็นสถานที่ที่ตกแต่งด้วยสีสันตระการตา หลังคามีลักษณะสูงโปร่งอย่างน่าเกรงขาม เสาเปขื่อคาล้วนสลักลงรักอย่างวิจิตร
ทั้งหมดต่างเดินเข้าสู่ภายใน ทุกอณูขุมขนต่างลุกซู่เสมือนว่ากำลังอยู่ในมหาพิธี ทุกคนต่างตกตะลึงกับความอลังการแห่งจิตกรรมฝาผนังรอบท้องพระโรง ทางด้านหน้าของท้องพระโรงได้วาดประดับด้วยพระบรมสาทิสลักาณ์แห่งบูรพากษัตริย์ นับจากฝั่งขวาขึ้นไปมี กษัตริย์ฝูซี  หนวี่วา  จู้หยง  เสินหนง  หวงตี้  จวนชวี่  ตี้คู่  ถังเหยา  *  อวี้ซุ่น*  ซึ่งทั้งหมดล้วนระบายเป็นภาพสีอันสดใส ในพระหัตถ์ของแต่ละพระองค์ล้วนถือพระราชกกุธภัณฑ์ประจำพระองค์ ส่วนพระราชอริยาบท ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะองค์อย่างสมจริง แต่กษัตริย์พระองค์อื่นล้วนมีพระวรกายเป็นมนุษย์ หากมีเพียงฝูซีและหนวีีวาเท่านั้นที่มีพระวรกายผิดแผกไป คือทรงมีหางมังกรติดอยู่ด้วย หนันกงจิ้งสู ชี้ไปที่หางมังกรแล้วถามว่า "ขอถามท่านอาจารย์เหตุใดฝูซีและหนวี่วาจึงมีหางมังกรล่ะ"  ขงจื่อเหลียวมองเหลาจื่อเพื่อขออนุญาตอธิบาย เหลาจื่อพยักหน้าเล้กน้อยเป็นการอนุญาต ขงจื่อกล่าวว่า "ตามที่ร่ำลือมาแต่อดีต ในสมัยที่ผีนแผ่นดินยังไม่มีมนุษย์ ฟ้าเบื้องบนทรงอนุญาตให้ฝูซีและหนวี่วาลงสู่แผ่นดินโลก ซึ่งพวกเขาต่างเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงมีรูปร่างที่แปลกออกไปคือมีพระวรกายและพระเศียรเป็นมนุษย์ หากแต่มีหางเป็นมังกร และด้วยการที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมอภิเษกสมรสกัน บุตรที่กำเนิดจึงมีลักษณะเป็นมนุษย์เช่นกาลปัจจุบัน ซึ่งก็คือบรรพบุรุษของเรานั่นเอง ดังนั้นจึงมีการกล่าวว่าเราคือทายาทแห่งมังกรไงล่ะ  ด้วยสำหรับพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ฝูซีก็คือการสอนผู้คนให้ถักแหจับปลา  เลี้ยงปศุสัตว์  อีกทั้งยังประดิษญ์คิดค้นปรัชญาปากั้ว* อีกด้วย และอีกคำบอกเล่าหนึ่งก็คือ หนวี่วาได้ทรงใช้ดินเหลืองปั้นรูปมนุษย์ จนในที่สุดได้เกิดมนุษย์นับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ในภายหลังฟ้าเกิดรั่ว จึงทำให้เกิดอุทกภัยไปทั่วทุกหัวระแหง อีกทั้งฝูงสัตว์ร้ายยังเข้าทำร้ายเข่นฆ่าประชาราษฏร์จำนวนมาก หนวี่วาจึงเสกหินห้าสีไปปะฟ้า ทั้งยังทรงหักกระดูกของปลาร้ายมาเป็นเสาค้ำนภาทั้งสี่ทิศ จึงทำให้แผ่นฟ้ารอดพ้นจากการพังทะลายในที่สุด จากนั้นพระองค์ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุข สังหารเหล่าสัตว์ร้าย จนทำให้ประชาราษฏร์ร่มเย็นเป็นสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา หนันกงจิ้งซูรู้สึกตะลึงงันด้วยเพราะได้ถูกสะกดด้วยมนตราแห่งเทพนิยายจนลืมหายใจ

หมายเหตุ  :  ๓  พระเจ้าซุ่น (๒๒๙๓ - ๒๑๘๔  ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่ก่อตั้งราชวงศ์อวี๋ในสมัยโบราณ เป็นกษัตริย์ที่ทรงมีพระราชบารมีและความกตัญญูเป็นเลิศ ดังนั้นจึงถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของ ๒๔ ยอดกตัญญูของจีน  มีคำกล่าวว่า การที่บุตรกตัญญูต่อบุพการีผู้เมตตายังไม่นับว่ายาก แต่หากบุตรยังสามารถกตัญญูต่อบุพการีผู้โหดร้ายด้วยความนบนอบได้ จึงนับว่าเป็นการกตัญญูโดยแท้ ในสมัยที่พระเจ้าซุ่นยังเป็นเพียงสามัญชน บิดาและมารดาเลี้ยงพร้อมด้วยน้องชายต่างมารดา ต่างเคยคบคิดวางแผนฆ่าท่านถึง ๓ ครั้ง แต่ท่านก็ยังคงกตัญญูเหมือนเดิมไม่บกพร่อง ดังนั้นคุณธรรมของท่านจึงเป็นทียอมรับของประชาและได้รับพระราชทานวโรกาสให้ทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเจ้าเหยา

หมายเหตุ  :  ๔  ปากั้ว (อัฏฐขันธ์) เป็นปรัชญาโบราณที่นำขีดหยิน (ขีดท่อน) และขีดหยาง (ขีดเต็ม) มาประกอบกันเป็นกลุ่ม ๘ กลุ่ม กลุ่มที่จัดเรียงกันเป็นรูปแปดเหลี่ยม เรียกว่าอัฏฐขันธ์ อันประกอบด้วย  นภาขันธ์  ธาราขันธ์  อสนีขันธ์  วายุขันธ์  วารีขันธ์  คีรีขันธ์  ธรณีขันธ์  ขันธ์ทั้ง ๘ ยังสามารถผสมเป็น ๖๔ ขันธ์  ซึ่งต่างแฝงรหัสยนัยที่สามารถไขปริศนาของโลกได้อย่างมหัศจรรย์
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 7
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/01/2013, 12:28
                  เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  7

     ณ กำแพงทิศตะวันตก มีภาพวาดอยู่สองภาพ
ต่างมีรูปร่างสันฐานอันอัปลักษณ์สุดประมาณ ขงจื่อเดินเข้าไปไกล้ จึงทราบว่าคือภาพว่าคืดภาพวาดของทรราชเซี่ยเจี๋ยและซังโจว้หวังนั่นเอง ครั้นหนันกงจิ้งสูได้เห็น ก็บันดาลโทสะจนหน้าตาแดงก่ำและส่ายหน้าเมินหนีไปอย่างไม่ไยดี ณ กำแพงทิศตะวันออกคือพระสาทิสลักษณ์ของโจวกง โจวกงในพระสาทิสลักษณ์ทรงมีพระวรกายที่สูงสง่า พระพักตร์เมตตา กำลังทรงโค้งคารวะตามพระราชพิธีอย่างนอบน้อมต่อพระยุวกษัตริย์โจวเฉิงหวังที่กำลังทรงสดับฏีกาบนพระบัลลังก์มังกร ครั้นขงจื่อได้เห็นวีรบุรุษที่ตนเคารพนับถือมานาน แม้นจะเป็นแค่เพียงภาพวาด แต่ก็มีความรู้สึกสนิทสนมจนทำให้ต้องยืนพินิจด้วยความเคารพอยู่เนิ่นนาน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ภาพโจวกงบนฝาผนังมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับที่ตนฝันเห็นเป็นอย่างมาก ขงจื่อจึงยิ่งรู้สึกได้รับกำลังใจขึ้นมาอย่างล้นหลาม และยืนชมอย่างเคลิบเคลิ้มในพระบารมีจนเหลาจื่อต้องเดินมาเรียกจึงได้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ครั้นก้มมองดูด้านล่าง ได้เห็นเครื่องทองสัมฤทธิ์โบราณตั้งอยู่มากมาย โดยแต่ละชิ้นล้วนปราณีตและงดงามอย่างลงตัว ขงจื่อยืนชมอยู่พักใหญ่จึงเดินออกจากท้องพระโรงแล้วมุ่งหน้าไปที่ศาลบรรพชนต่อไป ศาลบรรพชนแห่งนี้เป็นศาลบรรพชนโฮ่วจี้ ซึ่งเป็นประถมบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์โจวตามคำร่ำลือก็คือ  มารดาของโฮ่วจวี้นามว่าเจียงเอวี๋ยน ได้พบรอยเท้าขนาดใหญ่ที่นอกเมืองโดยบังเอิญ นางจึงลงไปย่ำรอยเท้านั้นด้วยความสนใจแต่จากนั้นไม่นาน นางกลับตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านต่างเห็นเป็นสิ่งอัปมงคล จึงนำเด็กไปทิ้งที่ตรอกเล็กแห่งหนึ่ง แต่ม้าและโคต่างหลบหลีกมิได้ก่ออันตรายให้แก่ทารกแต่อย่างใด จึงนำไปทิ้งที่ป่า แต่เด็กก็ยังสามารถแคล้วคลาดจากภยันตรายของสัตว์ร้ายได้อีก จึงนำไปทิ้งที่คูน้ำที่เย็นยะเยือกจนกลายเป็นน้ำแข็ง พญาวิหคก็ยังมากางปีกให้ความอบอุ่นจนคลายหนาว เจียงเอวี่ยนรู้สึกอัศจรรย์ใจจึงได้นำทารกกลับมาเลี้ยงดูตามเดิม โฮ่วจี้ ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่มาแต่เด็ก ขณะที่เด็กอืน ๆ กำลังสนุกสนานกันตามประสาเด็ก โฮ่วจวี้กลับปลีกตัวไปปลูกพืชพันธุ์ธัญหารแต่ลำพัง และพืชพันธุ์ธัญญาหารเหล่านั้นก็ยังสามารถเจริญงอกงามอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากโฮ่วจี้เจริญวัยก็มีความตั้งใจบริหารที่นาอย่างแข็งขัน ผลผลิตจึงเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเท่า กิตติศัพย์ของท่านขจรไกลจนพระเจ้าเหยาได้ทรงทราบ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นเกษตราจารย์ที่รับผิดชอบอบรมวิธีการเพาะปลูกให้กับประชาชน ประชาชนต่างปรับปรุงวิธีการเพาะปลูกตามที่โฮ่วจี้สอน ผลผลิตของประเทศจึงอุดมสมบูรณ์อย่างไม่เคยปรากฏ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าเหยาจึงทรงโปรดโฮ่วจี้เป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะในอดีตมักเกิดทุพภิกขภัยอยู่เสมอ แต่หลังจากประชาชนได้ปฏิบัติตามวิธีการเพาะปลูกของโฮ่วจี้แล้ว ปัญหาทั้งหมดล้วนคลี่คลายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นโฮ่วจี้จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ไปกินเมืองที่เมืองอี๋ มีพระนามว่าโฮ่วจี้ (แต่เดิมมีนามว่าซี่ หมายความว่าทอดทิ้ง เพราะเหตุในอดีตได้ถูกทอดทิ้งนั่นเอง) ขงจื่อได้คำนับอภิวาทต่อพระสาทิสลักษณ์ของโฮ่วจี้ด้วยความเคารพจากนั้นจึงเดินผละจากศาลบรรพชนไปด้วยความอาลัย แต่ครั้นหันหลังไปก็พบว่าที่เชิงบันไดฝั่งขวาได้มีรูปมนุษย์ทองสัมฤทธิ์ตั้งอยู่รูปหนึ่ง ปากถูกปิดด้วยผ้าไหมสามผืน ขงจื่อเดินเข้าไปชมด้วยความสนใจพบว่าที่แผ่นหลังของหุ่นมนุษย์ทองคำได้ถูกสลักด้วยตัวอักษรบรรจงว่่า "โบราณกล่าวว่า การเจรจาควรตรึกตรอง อันว่าคนนั้นไซร์ จะต้องระวังนักแล มิกล่าวมาก เพราะยิ่งถูกกล่าวจะยิ่งปราชัย มิทำมากเพราะยิ่งทำจักยิ่งเป็นภัย พึงตระหนักในกองสุข ก็จักมิทุกข์ในการกระทำ"
หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน : เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 8
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/02/2013, 15:38
                เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  8

     ขงจื่อรู้สึกชื่นชมคติพจน์ข้อนี้
เป็นอย่างยิ่ง จึงถ่ายทอกให้หนันกงจิ้งสูว่า "วันนี้ได้อ่านคติพจน์จากมนุษย์ทองคำนี้แล้ว จึงรู้ว่าคนเราไม่ควรพูดมาก เพราะยิ่งพูดจักยิ่งปราชัย มิควรทำมาก เพราะยิ่งทำจักยิ่งมีภัย ในคัมภีร์ซือจิงได้กล่าวไว้อย่างดีว่า "จงตื่นตัวทุกเพลา ให้ดุจเผชิญเหวลึก ดุจย่ำน้ำแข็งบาง"เจ้าจะต้องจดจำโอวาทของบูรพชนเอาไว้ให้จงดี พึงรู้ว่าภัยทั้งมวลล้วนกำเนิดจากวาจา ฉะนั้น จะต้องระวังวาจา แลรอบคอบในการกระทำ" หลังจากได้เยี่ยมชมเป็นเวลานาน เหลาจื่อรู้สึกท้องหิวเป็นกำลัง จึงเชิญศิษย์อาจารย์ทั้งสองไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน หลังทานอิ่ม ขงจื่อได้ถามขึ้นว่า "ข้าน้อยได้มีความเข้าใจต่อระเบียบจริยธรรมแต่ละชนิดเพียงผิวเผิน หากแต่ยังไม่อาจแตกฉานทั้งหมดได้ จึงขอให้ท่านอาวุโสช่วยชี้แนะให้ด้วยเถิด" เหลาจื่อกล่าวว่า "ระบอบจริยธรรมมีความเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ในสมัยกษัตริย์อวี่* เฉิงทัง โจวเหวินหวัง โจวอู่หวัง ตลอดจนโจวเฉิงหวังและโจวกง ล้วนทรงผลักดันระบบการปกครองโดยจริยธรรมทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำให้ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์อยู่เย็นเป็นสุข ทุกคนล้วนเปี่ยมด้วยความจงรักภักดี แต่ทรราชเซี่ยเจี๋ยและซังโจ้วหวังกลับทรงดำเนินในทางที่กลับกัน โดยทรงทำลายระบอบจริยธรรม ทำลายการปกครองแห่งเมตตาธรรม จนทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย ปวงชนประสบแต่ความเดือดร้อนทุกหัวระแหง จึงทำให้ประชาชนต่างพร้อมใจกันโค่นล้มพระราชอำนาจ ฉะนั้นเหล่าธีรราชแต่จำเนียรกาลมาล้วนต้องทรงดำรงการปกครองตามครรลองแห่งฟ้า เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนให้สถาพรสืบไป" ขงจื่อกล่าวว่า "ความหมายของการบูชากลางแจ้งนั้นเป็นเช่นไร?" "การบูชาที่ประกอบพิธีที่กลางแจ้งนั้น แท้ก็คือการบูชาฟ้าและดิน โดยจะบูชาฟ้าเมื่อเหมันตฤดู และจะบูชาดินเมื่อคิมหันตฤดู" ขงจื่อถามขึ้นอีกว่า "แล้วขั้นตอนที่พระมหากษัตริย์ทรงบูชาฟ้าดินนั้นเป็นอย่างไร?" เหลาจื่อตอบ "ก่อนอื่นจะต้องประกอบพิธีอ่านบทอาราธนาในศาล บรรพชนเพื่อเลือกลัคนาฤกษ์ จากนั้นอ่านบทอาราธนาการทำนาย โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทำนายมักจะใช้กระดองเต่าและหญ้าฉีเฉ่า ในวันที่ประกอบพิธีทำนาย พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่วังวารี ณ สนามยิงธนูเพื่อรับบทปฏิญาณตนจากผู้ประกอบพิธี หลังเสร็จสิ้นพิธี ก็จะนำบทปฏิญาณตนนี้ไปประกาศบนประตูเมือง นอกพระมหาราชวังเพื่อเป็นการประกาศแก่ข้าราชบริพารให้ทำการถือศีลกินเจ ครั้นถึงวันมหาพิธีบูชาฟ้า ผู้คนทั้งหมดจะต้องอยู่ในอาการสำรวม ด้วยมาตรว่าจะมีใครเสียชีวิตในวันนั้นญาติมิตรของผู้วายชนม์ก็ต้องห้ามแสดงอาการโศกเศร้าใด ๆ ทั้งสิ้น ในวันนั้นพระเจ้าแผ่นดินจะทรงฉลองพระองค์ชุดหนังยาว ทรงประทับพระราชรถที่ไม่มีการตกแต่ง และจะเสด็จภายใต้การนำขบวนของธงตราสัญญลักษณ์นาค พยัคฆ์ ตะวัน จันทรา ไปสู่พระแท่นบูชา จากนั้นจะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดปักลายมังกรสำหรับจอมขัตติยะที่ใช้เฉพาะในพิธีบูชาฟ้า อีกทรงสวมพระมาลาทรงแบนที่ประดับด้วยม่านหยกที่ห้อยย้อยมาบังพระพักตร์ ๑๒ เส้น จากนั้นจะทรงถวายธูปและอ่านบทพิธีอัญเชิญ"