นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => คัมภีร์ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2011, 06:47

หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2011, 06:47
                               คัมภีร์กรรม  ท่านเหลาจื่อ  ศาสดาแห่งเต๋า  
    
                     ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย

                                                     คำนำ
                                           พระมหาธรรมาจารย์จิ้งคง

        พุทธศาสนาก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าที่ทรงปรารถนาต่อเหล่าเวไนยสัตว์ให้ประชาคมมีการศึกษาให้ถึงความดีที่เต็มสมบูรณ์ ทรงแสดงธรรมทั้งหลายเท่าเทียมกันเป็นจิตเดิม เป็นคุณธรรมแท้ สอนมนุษย์โดยเอาลักษณะแท้จริงของชีวิตมนุษย์ในโลก ให้มาบำเพ็ญร่วมกัน ให้ใจประจักษ์แจ้งร่วมกัน ใจแผ่ไพศาลดุจอวกาศจนสามารถบรรลุจักรวาลที่มีปริมาณโลกธาตุดุจเมล็ดทรายในคงคานที มีความสะอาดหมดจดแท้จริงได้สัมมาตรัสรู้ มีใจเมตตามองทะลุจนปล่อยวางลงได้ มีความอิสระสบาย เข้าสู่โลกด้วยเหตุปัจจัย ฝึกเรียนจบเป็นครูบาของมนุษย์ ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างของโลก  ดังนั้น  พระศากยมุนีพุทธเจ้า ผู้เป็นโลกนาถเป็นพระผู้ทรงสั่งสอนประชาคมโลก  ผู้การุณย์อันเป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรมอันหลากหลาย  จึงขอให้มนุษย์ควรรู้จักควรศึกษาไว้

                                                          พระภิกษุ จิ้งคง
                                                 วันที่  ๓๑  ตุลาคท  ค.ศ. ๑๙๙๙  

                                                   บทบรรยาย...ธรรมาจารย์จิ้งคง
                                                       บทแปล...ธรรมบัญชา 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : คำนำมหาธรรมาจารย์อิ่งกวง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2011, 07:12

                          คำนำมหาธรรมาจารย์อิ่งกวง  (ปี ค.ศ. ๑๙๒๘)

        ธรรมเรื่องกรรม อริยเจ้าผู้พ้นออกจากโลกใช้เป็นเตาเอนกอนันต์ฝึกฝนต้มกลั่นจนได้มหาโอสถศักดิ์สิทธิ์ หากในระยะเริ่มต้นไม่ศึกษาเรื่องกรรมให้ถึงที่สุดแล้ว แม้จะเป็นผู้ปราดเปรื่องชาญฉลาดรอบรู้ศาสตร์ทุกศาสนาก็ตาม หากยังมีความผิดเรื่องกรรมแล้วก็จะร่วงหล่นตกลงไม่มีเหตุได้ขึ้นพ้น  อย่าได้ว่าหลักธรรมคัมภีร์กรรมนี้ง่ายตื้นเขินแล้วมองข้ามตถาคตผู้สำเร็จตรัสรู้ หรือสรรพสัตว์ผู้ตกอยู่ในไตรวัฏ ล้วนไม่พ้นไปจากกรรมทั้งสิ้น ด้วยปุถุชนจิตใจยังคับแคบอยู่ ก็เข้าไม่ถึงพระสูตรมหากรรม จึงควรเริ่มต้นด้วยหลักธรรมที่ง่ายเพื่อเอาชนะได้โดยง่ายก่อน อย่างคัมภีร์กรรม (ไท่ซั่งกั่นอิ้งเพียน) หรือ คัมภีร์ดวงชะตา (เหงินเซียงอินเซ่าเหวิน) อ่านให้ขึ้นใจแล้วพิจารณาให้ละเอียดนำไปปฏิบัติ แล้วทุก ๆคนก็จะเป็นพลเมืองดี ทุกคนก็จะสามารถสิ้นสุดการเกิดการตายได้
        คำนำในคาถาสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าก็เขียนไว้ว่า "บทนำถือปฏิบัติต้องมีความศรัทธามีปณิธาน สวดพุทธะเพื่อปฏิบัติให้ตรงความดีทั้งหลายพึงบำเพ็ญด้วยความเคร่งครัด"
        คำชี้แนะแก่ผู้ถือปฏิบัติที่บันทึกไว้ในคัมภีร์กรรมก็ดี คัมภีร์ดวงชะตาก็ดี คัมภีร์ตรัสรู้ก็ดี  และคัมภีร์สุขาวดีก็ดีต่างก็ให้แก้ความชั่วไปสู่ความดี เพื่อรับมงคล หลบอุบาทว์ พ้นปุถุสู่อริยะ เป็นวิถีกฏเกณฑ์แนวทางสิ้นสุดการเกิดพ้นการตาย หลุดพ้นไตรภูมิหกวิถีได้ในปัจจุบันชาติ ตรงเข้าภายในเก้าปทุมเจ็ดรัตนะ หวังให้ผู้บำเพ็ญเพิ่มความสนใจเถิด
                                                   พระภิกษุ อิ่งกวง
                                            สังฆบดีองค์ที่ ๑๓ นิกายสุขาวดี
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำโบราณ...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2011, 03:44

                    คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า  : 

                          คำนำโบราณ กั่นอิ้งเพียนของพระเจ้าเหวินเชียง

        พระเจ้าเหวินเชียงกล่าวว่า ข้าในชาติที่หนึ่งร้อยสิบเจ็ด ได้เป็นมหาบุรุษ ไม่เคยกดขี่ประชาราษฏร์ สงเคราะห์คนในยามคับขัน ฉุดช่วยคนให้พ้นทุกข์ อภัยความผิดของคน สงสารผู้กำพร้า ใจเป็นเช่นนี้มาตลอด จะฟังโองการฟ้า ดังนั้นจึงสามารถพิสูจน์ตำแหน่งสัจจะนี้ได้ยาวนาน ข้าขอเตือนชาวโลก แต่ละวันที่สวดไท่ชั่งกั่นอิ้งเพียนหนึ่งจบ ให้น้อมนำไปปฏิบัติหรือคัดลอกหนึ่งจบ ไว้อ่านเช้าเย็น แล้วปฏิบัติตามนี้ ถ้าปฏิบัติได้ ๒ ปี โทษภัยต่าง ๆ ก็สลายดับสิ้น ถ้าปฏิบัติได้ ๔ ปี  บุญบารมีมีพร้อม  ถ้าปฏิบัติได้ ๗ ปี บุตรหลานมีปัญญากระจ่าง สามารถสอบได้  ถ้าปฏิบัติได้ ๑๐ ปี อายุจะยืนยาว ถ้าปฏิบัติได้ ๑๕ ปี จะสมปรารถนา  ถ้าปฏิบัติได้ ๒๐ ปี บุตรหลานได้เป็นองคมนตรี ถ้าปฏิบัติได้ ๓๐ ปี จารึกชื่อเปลี่ยนภพภูมิ ถ้าปฏิบัติได้ ๕๐ ปี เทพเซียนร่วมแสดงความยินดี ชื่อเรียงในทำเนียบอริยเจ้า ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้ ทำบ้างหยุดบ้าง วันนี้ทำพรุ่งนี้เลิก การงานจะยุ่งยาก นาใจมืดบอด ถึงแม้จะสวดมนต์ แต่ใจไม่เข้าใจ เหมือนลบหลู่ฟ้่าโทษอภัยไม่ได้
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำโบราณ.. แปล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2011, 04:22

                    คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า  :

                          คำนำโบราณ กั่นอิ้งเพียนของพระเจ้าเหวินเชียง

                                   คัมภีร์กรรม (กั่นอิ้งเพียน) แปล

        ไท่ซั่งกล่าวว่า ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา บุญบาปตอบสนอง เหมือนเงาตามตัว ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำของมนุษย์หนักเบา เพื่อลงโทษตัดขัย (อายุ) ตัดขัยให้ยากจน ประสบทุกข์ลำบากบ่อย ผู้คนก็รังเกียจ ต้องโทษวิบัติตามา  มงคลโชคลาภหลบหาย ดาวร้ายภัยตาม ขัยสิ้นก็ตาย ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์ อยู่เหนือศรีษะมนุษย์ บันทึกชั่วบาป คอยตัดอายุขัย ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในตัวคน เมื่อถึงวันเกชิง (แกชิงทุก ๆ ๖๐ วัน จะมีวันแกชิง ๑ วัน) ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบน รายงานความชั่วบาปของมนุษย์ ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก็เช่นกัน ผู้มีความผิดมหันต์ตัดขัยหนึ่งรอบ (หนึ่งรอบ =สิบสองปี) ลหุตัดขัยร้อยวัน ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย
        เป็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย ไม่ดำเนินทางชั่ว ไม่แอบรังแกข่มเหง สั่งสมบุญกุศล ใจเมตตาต่อสัตว์ จงรักภัคดีกตัญญู ให้รักญาติมิตร ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้ เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์ ไม่ทำลายหนอนหญ้าต้นไม้ ต้องสงสารผู้เคราะห็ร้าย ยินดีกับผู้ทำดี ช่วยเหลือผู้คับขัน ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี เห็นเขาสูญเสียเหมือนตนสูญเสีย ไม่โพนทะนาความชั่วเขา ไม่โอ้อวดความดีตน  หยุดยั้งเรื่องชั่วเผยแพร่เรื่องดี ให้มากรับน้อย  รับอัปยศไม่แค้น รับความรักดุจความหวาดกลัว ทำคุณไม่หวังตอบแทน ให้เขาไม่นึกเสียใจ
        ที่ว่าเป็นคนดี คนให้ความเคารพ ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง บุญวาสนาตามมา ชั่วร้ายถอยห่าง เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง งานที่ทำก็สำเร็จ เป็นเทพเซียนปรารถนาได้ อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล อยากเป็นเทพเซียนดิน ต้องทำความดีสามร้อยกุศล
        หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม ถือชั่วว่าสามารถ ทนทำชั่วร้ายได้ แอบทำร้ายคนดี ข่มเหงราชาพ่อแม่ลับหลัง หยิ่งยโสครูบา ละทิ้งหน้าที่ หลอกคนไม่รู้ ลวงเพื่อนร่วมเรียน ใส่ร้ายล่อลวง โจมตีวงศ์ตระกูล อันธพาลไม่การุณย์ ป่าเถื่อนตามอารมณ์ ถูกผิดไม่ถูกต้อง เข้าหาชั่วหันหลังดี กดขี่เอาชอบเท็จนายพอใจ รับคุณทำไม่รู้ ถูกลบหลู่แค้นไม่เลิก ดูแคลนประชาชน ลบล้างการปกครอง รางวัลคนชั่ว ลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์ ฆ่าคนชิงทรัพย์ ใช้เล่ห์แย่งตำเหน่ง เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้ ขับคนดีไล่ปราชญ์  รังแกกำพร้า ข่มเหงหม้าย ละกฏรับสินบน เอาถูกเป็นผิด เอาผิดเป็นถูก โทษเบาเอาเป็นหนัก เห็นประหารทำโทสะ รู้ผิดไม่แก้รู้ดีไม่ทำ โยนผิดให้ผู้อื่น ปิดบังวิชา  เย้ยหยันใส่ร้ายอริยปราชญ์ ทำร้ายคุณธรรม ยิงนกล่าสัตว์ คุ้ยหนอนทำนกตกใจ อุดรูทำลายรัง ทำร้ายสัตว์ท้องทุบไข่แตก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำโบราณ.. แปล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2011, 05:16

                    คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า  :

                          คำนำโบราณ กั่นอิ้งเพียนของพระเจ้าเหวินเชียง

                                   คัมภีร์กรรม (กั่นอิ้งเพียน) แปล

        อยากให้เขามีความผิด ทำลายความสำเร็จของเขา ให้เขาอันตรายตนสุข กำจัดเขาเพิ่มประโยชน์ตน เอาชั่วไปแลกดี ดีตนทำลายส่วนรวม ขโมยผลงานเขา ปิดบังความดีเขา เปิดเผยเรื่องส่วนตัว  ผลาญทรัพย์สินค้าเขา  ทำให้พี่น้องเขาแตกแยก  แย่งของรักของผู้อื่น ส่งเสริมเขาทำชั่ว พอใจอวดอำนาจ ทำอัปยศเพื่อชัยชนะ ทำลายไร่นาเขา ทำลายการแต่งงานเขา โกงจนรวยหยิ่งยโส  หลบเลี่ยงไม่ละอาย  เหมาเอาคุณลบล้างความผิด โยนเคราะห็ร้ายผิด ซื้อยศจอมปลอม หน้าเนื้อใจเสือ  ขัดขวางความดีเขา ปิดความชั่วตน ใช้อิทธิพลข่มขู่ ทำลายฆ่าป่าเถื่อน ตัดผ้าไร้เหตุ  ฆ่าสัตว์ไร้เหตุ ทิ้งขว้างธัญพืช เคี่ยวเข็ญประชาชน ทำลายครอบครัวเขาเพื่อชิงทรัพย์สิน ปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำลายประชาชน ทำลายแผนให้เขาล้มเหลว ทำลายเครื่องมือไม่ให้เขาใช้  เห็นเขาได้ดีหวังเขาฉิบหายเห็นเขาร่ำรวยอยากให้เขาล้มละลาย เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน เป็นหนี้เขาหวังให้เขาตาย ไม่ได้ดั่งใจชั่วก็เกิดแค้นสาปแช่ง เห็นเขาล้มเหลวก็ว่าเขาทำชั่ว เห็นเขาไม่สมประกอบก็หัวเราะใส่  เห็นเขาสามารถควรยกย่องกลับทับถมใช้มนต์ดำฝังรูป  ใช้ยาฆ่าต้นไม้ โกรธแค้นครูอาจารย์ ขัดต่อพ่อแม่พี่น้อง
        ใช้แรงขู่เข็ญเอา บังคับแย่งชิง ปล้นจนร่ำรวย ใช้เล่ห์หาก้าวหน้า รางวัลโทษไม่เสมอกัน สบายจนเกินเลย ทารุณผู้ใต้บังคับ  ข่มขู่เขาให้หวาดกลัว โทษฟ้าโทษคน ด่าลมด่าฝน ยุแหย่ให้สู้คดี เที่ยวเข้าร่วมแก้ง ฟังเมียฝืนคำสอนพ่อแม่ ได้ใหม่ลืมเก่า ปากอย่างใจอย่าง  โลภทรัพย์ปกปิดข่มเหงหน่วยบน วาจาใส่ร้าย สร้างข่าวทำลายเขา ใส่ร้ายเขายกตนว่าตรง ด่าว่าพระเจ้าว่าตนดี ทิ้งธรรมทำชั่ว หันหลังญาติคบคนนอก กล้าชี้ฟ้าดินเป็นพยาน (ทั้งที่ชั่ว) ดึงพระเจ้าตรวจสอบให้แล้วเสียดาย ยืมทรัพย์สิ่งของไม่คืน ไม่เจียมตนหานอกลู่ ใช้จนหมดอำนาจ เสพกามเกินเลย หน้าขาวใจดำ ของกินสกปรกให้เขา  ใช้ทางมารหลอกประชาชน มาตรวัดสั้น โกงตาชั่งลิตรตวงเล็ก ปลอมปนสินค้า รีดนาทาเ้ร้น บังคับคนชั่วให้ดี  โป้ปดคนโง่  โลภละโมบไม่เบื่อ  แช่งชักว่าตนถูก  ติดสุราลวนลาม  สายเลือดทะเลาะกัน  ชายไม่ดีหญิงไม่น้อมตาม  สามีภรรยาไม่กลมเกลียว  ภรรยาไม่นับถือสามี  คุยข่มอวดดี  อิจฉาตาร้อน  สามีไม่ดีต่อบุตรภรรยา  ไร้มารยาทต่อพ่อปู่แม่ย่า  ดูถูกบรรพชน
        ขัดขืนคำสั่งผู้ใหญ่ ทำสิ่งไร้ประโยชน์ คับแคบนอกใจ สบถสาปแช่งผู้อื่น  ลำเอียงชังลำเอียงรัก โดดข้ามบ่อน้ำเตาไฟ ข้ามของกิน ข้ามตัวคน สูญเสียแท้งลูก ประพฤติมิชอบ สิ้นเดือนร้องรำ เช้าตรู่วันพระด่าทอ  ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ คร่ำครวญร้องไห้หน้าเตา จุดธูปจากเตาไฟ ฟืนสกปรกหุงหา เปลือยกายกลางคืน ประหารวันตรุษสารท  ถ่มน้ำลายดาวตก ชี้สามแสง (คือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว) จ้องอาทิตย์จันทร์นานไป ล่าสัตว์เผาป่า ฤดูใบไม้ผลิ ด่าทอทางทิศเหนือ ตีงูฆ่าเต่าไร้เหตุ
        อันบาปต่าง ๆ นี้ เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบ ขัยสิ้นก็ตาย บาปเหลือจากตาย ตกทอดบุตรหลาน พวกอันธพาลเอาเงินเขา ผลชั่วตกถึงลูกเมียคนในบ้านรับไป จนกว่าถึงตาย หากยังไม่ตาย ก็มีภัยน้ำไฟขโมย ของหายเจ็บป่วยคดีความตอบสนอง จนเท่าค่าที่โกงมา แล้วโทษฆ่าคนก็ถูกอาวุธฆ่าตอบ เงินทองได้ไม่ถูกต้อง ดุจน้ำรั่วแก้หิวเหล้่าแก้กระหาย ไม่เพียงไม่อิ่ม ความตายก็มาถึง หากใจเริ่มใฝ่ดี ดีแม้ยังไม่ทำ เทพดีก็ตามมา หากเริ่มใฝ่ชั่ว ชั่วแม้ยังไม่ทำ เทพชั่วก็ตามมา ผู้เคยทำชั่ว ภายหลังสำนึกผิด ชั่วทั้งหลายไม่ทำ ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ นานๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ ดั่งที่ว่าเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา
        ดังนั้น ผู้มงคล วาจาดี มองดี ทำดี วันหนึ่งมีสามดี สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา ผู้อุบาทว์ วาจาชั่ว มองชั่ว  ทำชั่ว วันหนึ่งมีสามชั่ว สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ !
                                                                               
                                                                            จบ           
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : อรรถกถา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/03/2011, 11:46

        คัมภีร์กรรม "กั่นอิ้งเพียน" เป็นคัมภีร์ของศาสนาเต๋า ถือเป็นปิฏกในหมวดวินัยปิฏก ที่ท่านศาสนาเหลาจื่อบัญญัติขึ้น เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ ไม่เพียงแต่ศาสนิกชนเท่านั้น ประชาชนทั่วไปก็ควรยึดถือนำไปปฏิบัติ คัมภีร์กรมเป็นบทธรมง่าย ๆ ธรรมดาและอยู่ในกรอบกฏแห่งกรรม คัมภีร์เล่มนี้ไม่ยาวเหมือนคัมภีร์เต๋า "เต้าเต๋อจิง" และเป็นบทสวดประจำของชาวเต๋า ผู้น้อยได้อ่านคัมภีร์นี้มานานพอสมควร จนกระทั่งมาเมื่อนเดือนกรกฏาคม ๒๕๔๖  เมื่อพระธรรมาจารย์จิ้งคงไต้ซือจากไต้หวัน ได้มาผูกบุญสัมพันธ์กับชาวไทย ท่านเมตตาบรรยายธรรมเป็นครั้งแรกที่โรงแรม เจดับริว  มาริออทถ.สุขุมวิท เพลินจิต  เป็นโอกาสที่ผู้น้อยได้ฟังธรรมจากท่าน ต่อมาก็ได้รับหนังสือธรรมหลายเล่มที่ท่านเขียนขึ้นบ้าง เรียบเรียงแปลเป็นภาษาปัจจุบันบ้าง หนึ่งในจำนวนนั้นมีอยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งมีความหนากว่า ๕๐๐ หน้า ซึือของหนังสือคือ " วิถีการสร้างสมบุญและสลายภัย"  ผู้น้อยอ่านแล้วรู้สึกชอบมาก ท่านไต้ซือได้อธิบายบทคัมภีร์ทีละคำ พร้อมยกตัวอย่างนิทานที่เข้ากับความหมายของคำ เพื่อใช้เป็นหลักประจักษ์ให้ผู้อ่านยอมรับ ท่านไต้ซือเป็นพระภิกษุชาวพุทธแท้ ๆ  ไม่แต่เพียงแค่ท่านองค์เดียวที่ยอมรับคัมภีร์นี้  แม้แต่ท่านธรรมาจารย์อิ่นกวง ซึ่งเป็นธรรมาจารย์รุ่นก่อน ๆ  และมีพระภิกษุอีกหลายรูปต่างชื่นชอบในคัมภีร์นี้ ท่านอิ่นกวงไต้ซือกล่าวว่า "หนังสือเล่มนี้วิจารณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่เพียงแค่สำเร็จเซียน แม้แต่พระโพธิสัตว์ที่ปฏิบัติได้ ก็จักหลุดพ้นสู่อริยะ พ้นการเกิดดับ สำเร็จสมบูรณ์แห่งวิถีพุทธ" ท่านอิ่นกวงไต้ซือจึงพยายามเผยแผ่หนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง ท่านจิ้งคงไต้ซือก็ยิ่งตักเตือนลูกศิษย์ของท่าน ให้เอาหนังสือเล่มนี้เป็นระเบียบวินัยที่ต้องท่องสวด ถึงกับตั้งชื่อใหม่ดังได้กล่าวมาแล้ว
        สมาคมผู้ค้นคว้าธรรมแห่งเหลี่ยวฝาน  ซึ่งกล่าวว่า เมื่อก่อนได้ปรับปรุงหนังสือ "โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน" และตอนนี้ก็มาปรับปรุงเรียบเรียงคัมภีร์เล่มนี้จนสำเร็จเป็นรูปเล่มน่าอ่านมาก ภายใต้การแนะนำของท่านจิ้งคงไต้ซือโดยถือหลักธรรมที่ว่า "สรรพธรรมล้วนว่าง เหตุต้นผลกรรมไม่ว่าง"   ผู้น้อยเห็นว่า ปัจจุบันวิทยาการยิ่งก้าวหน้า จิตใจคนยิ่งหลงใหล วัตถุยิ่งทันสมัย คุณธรรมยิ่งตกต่ำ จิตญาณยิ่งสกปรก ความสงบยิ่งเสื่อมลง  ที่สุดแล้วจะฉุดช่วยจิตใจชาวโลกได้อย่างไร ทำอย่างไร จึงจะสามารถลดโทษบาปให้น้อยลง  ทำอย่างไรจึงจะมีบุญวาสนาเพิ่มขึ้น  ทำอย่างไรจึงจะสามารถสลายภัยพิบัติลงได้ ตลอดจนประเทศชาติมีความสงบ ประชาชนมีความสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่มีภัยสงคราม ไม่มีภัยยาเสพติด ไม่มีอิทธิพล ใต้หล้ามีสันติภาพ คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่คนยุคปัจจุบันต่างเป็นห่วงเป็นใย
        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้คนจะทุกข์ห่วงใยกันแค่ไหน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน การแก้ไขก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ปัญหายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น   ผลการแสวงหาบุญวาสนาของชาวโลก กลับกลายเป็นการแสวงหาภัยพิบัติ ถ้นจะสรุปถึงสาเหตุ ก็เพราะคนปัจจุบันหลงใหลอยู่กับวิทธยาการ แต่กับระดับความรู้จักบาปบุญคุณโทษ และผลตอบสนองของกรรมกลับไม่ชัดเจน  กลับถลำลึกเข้าใจผิด ๆ ยิ่งขึ้น คิดว่าการเรียนเก่งมีความรู้สูง ก็จะสามารถเอาเปรียบผู้รู้น้อยเหมือนนักธุรกิจปัจจุบันที่ตั้งอยู่บนความคิดที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  มือใหญ่ยาวก็คว้าได้มากกว่า สร้างกลยุทธ์เอาเปรียบประชาชน คงลืมกฏธรรมชาติของเต๋าไปแล้วกระมัง
        คัมภีร์กรรม มีสาระที่ลุ่มลึกกว้างใหญ่ เป็นหลักธรรมที่พูดถึงความดีความชั่ว ภัยพิบัติและมงคล ถ้าวิภาควิจารย์ก็จะเห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวลือลั่นสะเทือนฟ้าดินกันเลยทีเดียว  เพราะทำให้เข้าใจถึงรากเหง้าของกรรมอย่างดีที่สุด อ่านแล้วจะเข้าใจเหตุผลต้นกรรม รู้จักว่า การเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ กลับกลายเป็นผู้ได้รับมหาภัยในที่สุด เมื่อทุกคนเข้าใจในความดีแล้วก็จะขยันหมั่นเพียรประกอบความดี เป็นการสั่งสมบุญวาสนาและสลายภัยพิบัติได้ หนังสือนี้จึงมีประโยชน์ต่อคนมาก และมีอิทธิพลกว้างไกลมาก  ในสมัยราชวงศ์ชิง ท่านยกย่องหนังสือนี้ว่า""ราชบัณฑิตต้องอ่าน"" ยังกล่าวอีกว่า "ไม่เพียงต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ ถ้าจะเป็นจอหงวนหรือมหาอำมาตย์ จะไม่อ่านหนังสือนี้ไม่ได้"" การกล่าวเช่นนี้ ท่านก็จะเข้าใจได้กระจ่างชัดเลยทีเดียว ถึงคุณค่าคัมภีร์กรรมเป็นอย่างดีผู้น้อยเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ล้วนกล่าวถึงการกระทำของมนุษย์และผลตอบสนองอันเกิดจากเหตุที่มนุษย์ก่อขึ้นเอง ผู้น้อยจึงขอเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า "คัมภีร์กรรม" เพื่อง่ายต่อการกล่าวถึงและได้ความหมายตรงทีเดียว
        คัมภีร์กรรม เป็นหลักฐานที่พื้นฐานของมนุษย์ควรน้อมนำไปปฏิบัติ เป็นหลักธรรมป้องกันปัญหา เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เหมือนตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ความเสียหายก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อวิบากกรรมที่จะเป็นต้นเหตุถูกป้องกันได้แล้ว ภันพิบัติอันเป็นผลตอบสนองทางวิบากกรรมไม่เกิดขึ้น ชีวิตมนุษย์ก็ไม่เกิดทุกข์  นอกจากสังสารทุกข์ซึ่งเป็นทุกข์ทางกายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทุกข์ทางใจตัดได้แล้ว ความสุขแห่งวิถีโลกคงไม่ไปไหนเสีย ยิ่งถ้าได้สั่งสมบุญกุศลด้วยแล้ว บุญวาสนาก็ตามสนองแน่นอน ดังนั้น ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญ  ถ้ามีความอดทนอ่านให้หมด หยุดความคิดตนไว้ ทำใจให้สงบ แล้วทำความเข้าใจในหลักธรรม แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ ก็จะเป็นผู้ที่มีบุญวาสนามาก  ถ้าหากสามารถวิริยะก้าวหน้าขึ้นไปอีก ก็จะเข้าถึงหลักธรรมของการสำเร็จเป็นปราชญ์ เป็นอริยะ เป็นพุทธะ  หนังสือเล่มนี้ื่ท่านธรรมาจารย์จิ้งคง และคณะต่างยกย่องว่าเป็นราชาแห่งหนังสือ โดยเฉพาะบทอธิบายที่แจ่มแจ้ง ละเอียดทะลุโปร่งใสและสุจริตจริงใจอย่างยิ่ง ดังนั้น  ผู้มีบุญสัมพันธ์ได้อ่านควรกลับใจทันทีจะมัวสงสัยอะไรอยู่อีก จึงหวังให้พวกท่านอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ

                                                    ด้วยความเคารพ
                                                       ธรรมบัญชา
                                                     ตุลาคม ๒๕๔๖ 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หนึ่ง ความหมาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/03/2011, 11:54

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                         บทที่หนึ่ง

                                         ความหมาย

 คัมภีร์  :  ไท่ซั่งกล่าวว่า ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา
อธิบาย :   ไท่ซั่งกล่าวว่า ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา

        ไท่ซั่ง คือ ไท่ซั่งเหล่าจวิน เป็นพระนามที่ได้รับสถาปนาท่านศาสดาเหลาจื่อ ท่านมีพระนามเดิมว่า เอ๋อ แซ่หลี่ฉายาว่า ป๋อหยาง  เป็นอริยบุคคลในสมัยราชวงศ์โจว ภายหลังสำเร็จมรรคผลแล้ว ได้รับการสถาปนาเป็นศาสดาแห่งศาสนาเต๋า เป็นพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน  คัมภีร์กรรมเล่มนี้เป็นคำสอนของพระองค์ที่ใช้สั่งสอนให้คนทำดีละชั่ว  สอนผู้คนว่า เอาความดีความชั่วเป็นเหตุ  ก็จะได้รับผลกรรมคือ ภัยพิบัติและบุญวาสนาจากฟ้า เพราะฉะนั้นเมื่อมีกรรมก็ย่อมมีการตอบสนอง ตามกรรมตอบสนอง เป็นหลักธรรมฟ้า ที่ให้กลับคืนมาอย่างแจ่มแจ้ง ช่วยฟื้นฟูจิตใจชาวโลกให้รู้จักเกรงกลัว ใหรู้ว่าก่อกรรมชั่วย่อมได้รับภัยพิบัติ การเจ็บป่วย การนับทอนอายุขัย และความทุกข์เป็นการตอบสนอง เหตุนี้ ถ้าจิตใจรู้สึกเกรงกลัวก็จะไม่กล้าไปกระทำความชั่ว ให้รู้ว่าการทำความดีย่อมได้รับบุญวาสนาอายุยืน และความสุขเป็นการตอบสนอง ดังนั้น ถ้าใจปรารถนาอย่างไรก็จะไปกระทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาของคัมภีร์กรรม
        ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา  บาปบุญตอบสนองเหมือนเงาตามตัว  สี่ประโยคนี้คือสาระสำคัญของคัมภีร์นี้ และเป็นจุดมุ่งหมายที่ท่านไท่ซั่งแสดงคำสอน พูดถึงใจของปราชญ์อริยะแล้ว ไม่ใช่เป็นผู้แสวงหาบุญวาสนาหรือหลบหลีกภัยพิบัติแล้วค่อยไปทำดีละชั่ว  พูดถึงหลักการสร้างสรรค์แปรเปลี่ยนก็ขึ้นอยู่กับการสั่งสมความดีหรือความชั่ว  ถ้าสั่งสมความดีบุญบารมีก้จะคุ้มครองลูกหลาน ถ้าสั่งสมความชั่วภัยพิบัติก้จะตกถึงลูกเช่นกัน ในคัมภีร์อี้จิงกล่าวว่า "บ้านที่สั่งสมความดี ย่อมมีงานฉลอง บ้านที่ไม่ทำความดี ย่อมมีภัย" หลักการนี้ไม่มีการผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
        กวักหา คือ สิ่งที่ตนเองกวักหามาเอง ดังคำที่ว่า ทำเองรับเอง เราต้องรู้ว่่าฟ้าดินไม่มีลำเอียงหรือเห็นแก่ตัว มงคลหรือเคราะห์เป็นสิ่งที่ใจคนกวักหามาเอง ตอนที่คนยังไม่เกิดความคิด ใจนั้นใจยังบริสุทธิ์ประดุจอวกาศ ความดีความชั่วมีอยู่ที่ไหนกัน พอใจนี้เคลื่อนไหวเริ่มคิด ถ้าสิ่งที่คิดเป็นเรื่องดีก็คือความดี  ถ้าสิ่งที่คิดเป็นเรื่องชั่วก็คือความชั่ว  เห็นไหมเพียงแค่เริ่มต้นของความคิดเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วก็ไปทำสิ่งที่คิดต่อมาภายหลัง ผ่านวันผ่านเดือนค่อย ๆ สะสม ก็มีความแบ่งแยก ระหว่างคนดีคนชั่ว  เพราะฉะนั้น  คน ๆ หนึ่งที่ได้รับบุญหรือภัยก็ล้วนเกิดจากความคิดแรกเริ่มทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แรกเริ่มท่านไท่ซั่งก็กล่าวว่า "ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา" จึงเป็นการปลุกให้รู้สึกตัวตื่น และตักเตือนให้สนใจการเคลื่อนไหวความคิดเริ่มแรก แต่ความแตกต่างทางความคิดเท่านั้น ผลตอบสนองก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่ ๑ ความหมาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2011, 05:16
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                         บทที่หนึ่ง

                                         ความหมาย
                                                         
        นิทาน ๑  :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง ธรรมาจารย์เซ็น หลินหยวน  ได้กล่าวกับนายอี้ชวนว่า "ภัยสามารถเกิดบุญ บุญก็สามารถเกิดภัยได้  สาเหตุของภัยสามารถเกิดบุญคือ เมื่อคนตกอยู่ในอันตรายหรือภัยพิบัติในขณะนั้น ถ้าเขาจริงใจคิดแสวงหาความสงบสุข ทั้งยังสามารถเข้าถึงหลักธรรมของความสงบสุขได้ โดยเฉพาะจิตใจเขายังมีความเกรงกลัวอยู่ และเฝ้าระมัดระวังการกระทำของตนอย่างนอบน้อมแล้ว บุญก็ย่อมเกิดขึ้นได้ สาเหตุที่บุญสามารถเกิดภัยได้คือ ขณะที่คนมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุข ก็จะไม่คิดถึงเรื่องภัยพิบัติ แถมยังเหลิงระเริงปล่อยตัวคิดแต่จะเสพสุขสุรุ่ยสุร่ายแต่อย่างเดียว พฤติกรรมก็หยิ่งทะนงและเกียจคร้าน งานต่าง ๆ ก็จะดูแคลน ท่าทางยโส  แถมยังรังแกผู้อื่นเป็นนิจ  "นี่แหละบุญก็สามารถเกิดภัยได้"

        นิทาน ๒ :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ปราชญ์จางจื่อ (จาง เหลียง) กล่าวว่า  "เริ่มต้นใจให้ตรง  ให้เอาใจของตนเป็นอาจารย์ผู้เคร่งครัด สิ่งที่กระทำก็จะรู้จักระมัดระวังเตือนตนได้ ฝึกฝนเช่นนี้สัก ๑ - ๒ ปี ก็เพียงต้องจริงใจขยันรักษาให้มั่น เช่นนี้แล้วใจก็จะตรงได้เอง"

        นิทาน ๓  :  สมัยก่อนที่วัดเจิ้นคง  พระภอกษุเฒ่ากล่าวว่า "ความคิดฟุ้งซ่านของปุถุชนไม่แน่นอน บางครั้งก็หวนคิดถึงอดีตย้อนหลังหลายสิบปี  มีทั้งเกียรติยศ อัปยศ  บุญคุณ  โกรธแค้น  ซึ่งเต็มไปด้วยความอิ่มใจ  เศร้าโศก  พบกัน  ตายจาก  และอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้คือความฟุ้งซ่านในอดีต บางครั้งปัจจุบันมีงานต้องไปทำ ในใจก็กลัวนั่นกลัวนี่ ตัดสินใจไม่ได้ นี่คือความคิดฟุ้งซ่านในปัจจุบัน บางครั้งก็คาดหวังถึงเกียรติยศ ความร่ำรวยในภายภาคหน้า ลูกหลานมีความเจริญ  และบางสิ่งก็มองไม่เห็นความสำเร็จ บางสิ่งก็มองเห็นความสำเร็จ นี่คือความคิดฟุ้งซ่านในอนาคต" ความคิดฟุ้งซ่านทั้ง ๓ นี้ บางทีก็เกิดขึ้นแล้ว บางทีก็ดับไปแล้ว เราเรียกมันว่าใจฟุ้งซ่าน  ถ้าเราสามารถส่องเห็นใจฟุ้งซ่านแล้วติดตามความฟุ้งซ่านนั้นไป ตอนที่มันเกิดขึ้น ก็ให้มันตัดเสีย นี่เรียกว่าใจรู้ (รู้ทัน) เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า "ไม่กลัวความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น แต่กลัวรู้สายไป"  หากใจนี้สะอาดใสดุจอากาศ กิเลสก็ไม่มีให้เกาะอยู่ใช่ไหม ?

        นิทาน ๔  :  สมัยราชวงศ์ซ้ง  นายเซียวคังจิ้ง เขาใช้ขวด ถั่วดำ ถั่วขาว มาใช้ฝึกใจ หากใจเกิดคิดในทางที่ดีก็หย่อนเมล็ดถั่วขาวลงไปในขวดใบหนึ่ง  ถ้าเกิดความคิดในทางชั่วก็หย่อนเมล็ดถั่วดำลงในขวดอีกใบหนึ่ง ตอนเริ่มต้นใหม่ ๆ ขวดที่ใส่ถั่วดำมีมากมาย ต่อ ๆ ไป ก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง พอฝึกไปนาน ๆ ความคิดทั้งสองก็ลืมหมดคือเข้าสู่ "ไม่คิดดีไม่คิดชั่ว"  ใจอยู่ในสภาวะไม่มีความคิด (จิตว่าง) สุดท้าย ทั้งขวดและถั่ว ก็โยนทิ้ง
       

หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หนึ่ง ความหมาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2011, 05:57
                 
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                         บทที่หนึ่ง

                                         ความหมาย

        นิทาน ๕  :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  นายเหว่ยต๋งต๋า เป็นข้าราชการในสำนักราชบัณฑิต มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาถูกยมทูตจับตัวไปยังยมโลก ยมบาลผู้ตัดสินความ สั่งให้ท้าวสุวรรณตรวจสอบบัญชีบาปบุญ เมื่อบัญชีบันทึกบาปบุญถูกส่งมาที่ห้องพิจารณาคดี บัญชีที่บันทึกความผิดมีมากมาย ส่วนบัญชีบันทึกความดีมีความหนาเท่ากับความหนาของตะเกียบเท่านั้น ยมบาลจึงส่งให้นำขึ้นชั่ง ปรากฏว่าบัญชีความผิดซึ่งมีมากมายกลับเบากว่าบัญชีบันทึกความดี  นายเหว่ยต๋งต๋าจึงถามขึ้นว่า "อายุฉันยังไม่ถึง ๔๐ ปี ทำไมจึงทำผิดมากมายเช่นนี้" ยมบาลตอบว่า "เพียงแค่เกิดความคิดชั่วเกิดขึ้นก็บาปแล้วไม่ต้องรอไปกระทำหรอก"  สมมุติเห็นหญิงสาว เกิดใจลามกก็มีความผิดแล้ว แล้วนายเหว่ยต๋งต๋า ก็ถามต่อว่า แล้วบัญชีบันทึกความดีนั้นคืออะไร  ยมบาลตอบว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้คิดจะสร้างสะพานหินบน  ๓ ภูเขา เจ้าก็ทูลฮ่องเต้ว่าอย่าไปสร้างเลย เพราะราษฏรจะได้รับความเหนื่อยยากทั้งแรงกายและเงินทอง นี่คือสิ่งที่เจ้าได้กราบทูล" แต่เหว่ยต๋งต๋าตอบว่า "ฉันเพียงได้กราบทูล แต่ฮ่องเต้ไม่ทรงฟัง และก็ได้ลงมือสร้าง การกราบทูลห้ามก็ไม่มีผลประการใด แล้วผลความดีทำไมจึงมีน้ำหนักมากนัก" ยมบาลตอบว่า "ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ฟังคำของเธอ แต่ความคิดของเธอนั้นจริงใจ จุดมุ่งหมายไม่อยากให้ประชาราษฏรต้องเหน็ดเหนื่อย ถ้าหากฮ่องเต้ฟังคำของเธอแล้ว ความดีของเธอก็จะยิ่งใหญ่กว่านี้มาก ถ้าเธอยอมเอาใจนี้มากล่อมเกลาผู้คนก็ไม่ใช่จะยากเย็ยอะไร ! น่าเสียดายที่ความคิดชั่วของเธอมีมากมาย เพราะฉะนั้น ปริมาณความดีจึงถูกลดไปกึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่มีโอกาสไปถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์"  ก็เป็นจริงดังว่า นายเหว่ยต๋งต๋ารับราชการไปถึงตำแหน่งบรรณาลักษณ์ด้านประวัติศาสตร์เท่านั้นไปไม่ถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์

        สรุป  :  ความคิดแค่เกิดขึ้นจากความคิดยังไม่ได้กระทำก็ยังถูกบั่นทอนบุญวาสนาแล้ว เช่นเดียวกัน ความคิดดี แม้ไม่ถูกนำไปกระทำ ก็ให้มีพลังมีอานุภาพมาก  ดังตัวอย่างในนิทาน ถ้าหากความคิดดี ความคิดชั่วถูกนำไปกระทำแล้ว พลังความดี ความชั่ว จะมีมากขนาดไหน จะเห็นว่า แค่เคลื่อนไหวทางความคิดเท่านั้น นี่คือ ทวารแห่งภัยพิบัติและบุญวาสนา

        คติพจน์  :  "ทำความดีเหมือนหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ คือ ไม่เห็นต้นหญ้าสูงรก แต่มีหญ้าเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำความชั่วเหมือนหินลับมีด คือ ไม่เห็นหินมันสึกกร่อน แต่นับว่าก็สึกกร่อนไป"  เพราะฉะนั้น บุญก็ดี  บาปก็ดี  มันเพิ่มลดโดยเราไม่รู้สึกตัว ผู้ไม่มีปัญญา  ไม่อาจจะเข้าใจได้ง่ายนัก
        ท่านเว่ยหล่าง (ฮุ่ยเหนิง) สังฆปรินายกในสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวไว้ว่า "เนื้อนาบุญ ไม่พ้นตารางนิ้ว"  ในพุทธธรรมก็ว่า "บาปบุญ  มงคลเคราะห์  สุดแต่ใจสร้าง"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : บุญบาปตอบสนอง เหมือนเงาตามตัว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/03/2011, 02:56

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่หนึ่ง

                                            ความหมาย

                     คัมภีร์ :  บุญบาปตอบสนอง  เหมือนเงาตามตัว     

        อธิบาย  :  การตอบสนองของบาปบุญ  ก็เหมือนเงาที่ติดตามตัว คนเดินไปถึงไหนเงาก็ตามไปที่นั่น มันไม่แยกจากกันเลยตลอดกาล  ความดีความชั่วก็คือการพูดถึงใจของคน การตอบสนองก็คือหลักธรรมฟ้า ถ้าร่างกายของคนตรงเงาก็ตรง ถ้าร่างกายเอียงเงาก็เอียงไป เป็นเช่นนี้อย่างไม่ผิดเพื้อน หากสร้างเหตุความดีไว้ ก็ย่อมได้รับผลของความสุข หากได้สร้างเหตุความชั่วก็ย่อมได้รับทุกข์เป็นผล เหตุผลเหล่านี้  อริยเจ้าได้พูดไว้ละเอียดมาก น่าเสียดายคนที่มีความรู้ คือมีการศึกษา ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อเหตุผลเหล่านี้ ส่วนคนโง่ที่ไม่มีปัญญาก็ไม่เชื่อเพราะมองไม่เห็น ดังนั้นจึงละดีทำชั่ว เพราะว่าพวกเขาเห็นคนที่มักทำความดี มักมีชะตาชีวิตที่ผกผัน กับคนที่เรื่องชั่ว ๆ ไม่เพียงมีอายุยืนยาวแถมร่ำรวยอีกต่างหาก เพราะปัจจุบันการรับกรรมสนองมีต่าง ๆ กัน ซึ่งความดีความชั่วกลับไม่เห็นการตอบสนอง ดังนั้น เหตุต้นผลกรรมจึงดูไม่มีเหตุผลเพียงพอต่อความเชื่อถือ  ทั้งนี้  เพราะคนโง่ผู้ไร้ปัญญา พวกเขาไม่รู้ว่า มนุษย์โลกไม่มีใครยืนหลายร้อยปี และสวรรคฺก็ไม่ได้คิดบัญชีในทันที  และคนในโลกนี้ดีบริสุทธิ์หรือชั่วบริสุทธิ์ก็มีน้อยมาก ดังนั้น โอกาสทำความดีความชั่วก็มีมากมาย เพราะว่าความคิดนี้ก็มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ผลตอบสนองก็ควรสลับไปสลับมา บางทีก็ตอบสนองบนตัวเขาเอง บางทีก็ตอบสนองกับลูกหลานเขา บางทีก็ตอบสนองในปุจจุบันชาติ บางทีก็ตอบสนองในชาติหน้า บางครั้งก็ตอบสนองก็มากบ้างน้อยบ้างเร็วบ้างช้าบ้าง ถึงแม้ในนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงแยกย้ายแต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีการผิดเพี้ยน ดังที่พูดกันว่า "ความดีความชั่วถึงที่สุด แล้วมีตอบสนองเพียงแต่เร็วหรือช้าเท่านั้น" "ไม่มีหรอกที่จะไม่ตอบ เวลายังมาไม่ถึง" เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรมองเฉพาะหน้า ควรจะติคตามให้ถึงที่สุด เพราะว่าการตอบสนองของความดีความชั่ว เป็นเหมือนเงาตามตัวแน่นอน  ถ้าว่าตามพุทธธรรม กฏแห่งกรรมต้องพูดถึง 3 ชาติ ชนิดแรกคือปัจจุบัน ก็คือจะได้รับผลตอบสนองในชั่วชีวิตนี้  ชนิดที่สองคือ ชาติหน้า คือได้ผลตอบสนองในชาติถัดไป  ชนิดที่สามคือชาติถัด ๆ ไปคือได้ผลตอบสนองในชาติอื่น ๆ ถัดไป  อาจเป็นสิบชาติร้อยชาติพันชาติก็ได้  เพราะฉะนั้น ถ้าปัจจุบันทำดีกลับได้รับภัยพิบัติ อันนี้เกิดจากกรรมชั่วที่เขาทำเมื่อชาติที่แล้ว มาถึงปัจจุบันก็ประจวบเหมาะกรรมตอบสนองพอดี  ผู้ที่ปัจจุบันทำชั่วกลับมีบุญวาสนา  อันนี้เกิดจากกรรมดีที่เขาทำไว้เมื่อชาติที่แล้ว มาถึงปัจจุบันก็ประจวบเหมาะกับกรรมดีตอบสนอง  เพราะฉะนั้น ในบุญมีเคราะห์  ในเคราะห็มีบุญ ก็เพราะว่าคนเราไม่มีใครดีบริสุทธิ์หรือชั่วบริสุทธิ์ บางคนเริ่มต้นก็มีบุญวาสนา สุดท้ายกลับมีภัยพิบัติ นี้เพราะใจอันดีงามของเขาถดถอยไป บางคนเริ่มต้นมีแต่ภัยเคราะห์ ต่อมาภายหลังกลับมีบุญวาสนา ทั้งนี้เพราะใจชั่วของเขาสำนึกผิด ถ้าหากผลตอบสนองไม่มีการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการตอบสนองโดยตรง ถ้าหากภัยพิบัติกับบุญวาสนาช่วยกันปรากฏให้เห็น ก็แสดงว่าผลตอบสนองคลุมเครือ และบังเอิญกับพอดี ยิ่งบางคนไม่เข้าใจกุศลลับ กับ อกุศลลับด้วยแล้ว มันไม่ใช่หูหรือตาของคนที่สามารถมองเห็นฟังถึงผลกรรมตอบสนองได้  จะต้องรู้ว่ากฏหมายในโลกยังมีรอยรั่วและไม่รัดกุม แต่การตอบสนองของธรรมแห่งฟ้าไม่มีการรั่วไหลหรือมีช่องโหว่ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า "สร้างความดีความชั่ว ตอบสนองเหมือนเงาตามตัว จงอย่าพูดว่าทำชั่วไม่ตอบสนอง รอให้ชั่วมันเอ่อล้น จงอย่าพูดว่าทำดีไม่ได้รับ รอผลดีสมบูรณ์ก่อน" ในพุทธธรรมก็ว่า "ถึงแม้จะเป็นร้อยพันกัป กรรมที่ทำไม่สลายเหตุสัมพันธ์ได้เวลา จงรับผลตอบสนอง" เหล่านี้ก็น่าจะรู้ว่า เราได้รับสุขทุกข์ในสามภพภูมิ วนเวียนอยู่ในวิถีหก ข้างบนก็คือภพภูมิสามที่ดี ข้างล่างคือภพภูมิบาปทั้งสาม ล้วนสุดแต่ใจคนจะกวักหามา ควรรู้เอาไว้ว่าตาข่ายฟ้าหลุดรอดยาก แม้คิดจะหลบหนีก็เหมือนเดินอยู่กลางทุ่งโล่ง เมื่อเกิดฝนตกหนัก มองไปทุกทิศล้วนแต่เปียกปอน ที่แท้ก็ไม่มีที่จะหลบฝนได้ แต่ชาวโลกไม่บรรลุรู้ จึงหมดทางสำเร็จถึงภาพลักษณ์ที่แท้จริงของการตอบสนอง หากผลตอบสนองยังอยู่ไกล แน่นอนเราก็จะมองไม่เห็น ผลตอบสนองที่มองเห็นได้ ก็ทึกทักเหมาเอาว่า มันเป็นไปตามสภาวะปกติที่ราบรื่นบ้าง ขรุขระบ้าง จึงไม่เพิ่มความสำคัญ  ยามปกติก็ดูแคลนกันแบบนี้ จึงไม่เอามาวินิจฉัย บางครั้งประสพกับมหาโชค หรือมหาภัยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะเชื่อถือได้ แต่กลับเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องน่าเชื่อถือมายอมรับ แบบนี้เป็นเรื่องตัวเองหลอกตัวเอง สงสัยตัวเอง ถึงแม้คนที่ผ่านชีวิตมายาวนาน บังเอิญบรรลุรู้หลักธรรมบ้าง แต่เพราะคนก็แก่ชราแล้ว นิสัยก็ยึดติดแน่นแล้ว ยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ยิ่งคนหนุ่มสาวที่แข็งแรงเลือดลมดี ก็ยิ่งยากที่จะเชื่อถือ นี่แหละที่ทำให้ในโลกนี้จึงมีคนหลงลืมตนเองจำนวนมาก จึงเดินไปสู่ทางสามแพร่ง เป็นเรื่องที่น่าเวทนานัก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หนึ่ง ความหมาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/03/2011, 05:42

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่หนึ่ง

                                            ความหมาย

                     คัมภีร์ :  บุญบาปตอบสนอง  เหมือนเงาตามตัว     

        นิทาน  ๑  :  ในราชวงศ์ชิง ที่เมืองฉงหมิง มีคนชื่อ  หวงย่งเจียะ มีหมอดูคนหนึ่ง ทายดวงชะตาของเขาว่า เขาจะมีอายุแค่ ๖๐ ปีต่อมามีเรือจากหนานหยางลำหนึงประสบกับพายุ เรื่อใกล้จะจมลง นายหวงย่งเจียะรีบเอาเงินสิบตำลึงซื้อเรือประมงให้ออกไปฉุดช่วย เขาฉุดช่วยคนมาได้ ๑๓ ชีวิต  ต่อมาเขาได้พบหมอดูคนนั้นอีก มองดูคนนั้นมองหน้าเขาแล้วประหลาดใจถามว่า "คุณหวง เส้นชะตาชีวิตบนหน้าท่าน สั่งสมบุญกุศลมามาก ไม่เพียงแต่ท่านจะได้บุตร บุตรของท่านยังจะสอบเข้าราชสำนักได้ ชีวิตของท่านก็จะยืนยาวขึ้น" ต่อมา นายหวงย่งเจียะก็ได้บุตรคนหนึ่ง ตังหวงย่งเจียะก็มีอายุยืนยาวถึง ๙๐ ปี และสิ้นขัยอย่างสงบ  นิทานนี้ก็ให้รู้ว่าธรรมแห่งฟ้าน่าเชื่อถือ แล้วคนทำไมไม่ยอมละชั่วทำดีน่ะ ?

        นิทาน  ๒  :  ที่เมืองซิ้วซุ่ย  มีคนชื่อเจ่อฟานฉี  เขาเป็นคนทำชั่วมาก ยุยงให้คนมีคดีความกัน ชอบด่าพระด่าเจ้า  มีอยู่วันหนึ่ง เขาก็ล้มตายฉับพลัน ผ่านไปคืนหนึ่งก็ฟื้นขึ้นมาใหม่  เขาจึงเรียกลูกเมียให้ไปเรียกชาวบ้านมารวมกัน แล้วเล่าว่า "ยมบาลบอกว่าคนตายในยมโลกต้องรับโทษตอบสนอง  คนบนโลกนี้ไม่รู้อะไร การได้รับการตอบสนองจะรู้สึกเจ็บปวดมาก ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว ที่น่าสมเพชคือชาวโลกไม่รุ้จักความน่ากลัวของนรก จึงยังทำความชั่วกันจริงจัง เจ่อฟานฉี มีโทษมหันต์ เพราะฉะนั้นจึงอาศัยพวกเจ้ามาบอกกล่าวตักเตือน "พุดจบเขาเอามีดเฉือนเจ้าโลกทิ้งพร้อมพูดว่า" นี่คือการตอบสนองล่วงประเวณี  "เขายังควักลูกตาออกพร้อมพูดว่า" นี่คือดูถูกลบหลู่เซียนพุทธะบิดามารดา" เขายังตัดมือของเขาแล้วพูดว่า "นี่คือมือที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต"  เขายังผ่าท้องควักหัวใจ พูดว่า "นี่คือกรรมตอบสนองความชั่วร้าย"  เขาตัดลิ้นแล้วพูดว่า "เพราะพูดจาหลอกลวง"  คนรอบข้างมองดูแล้วรู้สึกสะพรึงกลัว  เขาทรมานอยู่ถึง  ๖ วันจึงตายร่างกายไม่มีชิ้นดี  นี่คือทำเองรับเอง การตอบสนองช่างรวดเร็วจริงหนอ !

        สรุป   :  ที่ศาลเจ้าตงอี้  มีกลอนคู่เขียนไว้ว่า  :   "บนโลกอันธพาลฝืนหลักธรรม  ยมโลกตอบสนอง  อดีตมาเคยละเว้นใคร" ทำไมคนจึงต้องรู้อาญากรรม ด้วยก่อความทุกข์ไม่จบสิ้น
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/03/2011, 06:30

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        คัมภีร์  :  ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำของมนุษย์หนักเบาเพื่อลงโทษตัดขัย

อธิบาย  :   ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวัน ทุก ๆ นาทีข้างบนหรือข้างล่าง รอบ ๆ ทั้งสี่ด้าน ล้วนมีผู้ควบคุม คือมีเทพเจ้าควบคุมตรวจตราความชั่วของมนุษย์ และก็อิงตามความชั่วว่า  มีหนักเบาแค่ไหน เพื่อลงโทษตัดทอนอายุขัยของมนุษย์ (ถ้ามนุษย์มีอายุถึงหนึ่งร้อยวัน เรียกว่า หนึ่งช้วน  ความผิดเบาก็ตัดขัยน้อย  ความผิดหนักก็ต้ดขัยมาก
        ฟ้ามีตรีรัชภพห้าพระเจ้า  มีเทพเจ้าอีกนับร้อย ๆ  ดินมีห้า  มหาขุนเขาสี่  มหานที และ นครชุมชน ก็มีเทพที่มีหน้าที่จดความคิดดีคิดชั่วของมนุษย์  เจ้าผู้ทำหน้าที่ต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่าเทพเจ้าปกครอง  อันที่จริงแล้วเบื้องบนมีจิตเมตตาอารีย์ คิดอยากให้ชาวโลกรู้จักสัมผัสใจตนเอง ทำดีละชั่ว  ด้วยเหตุนี้จึงมีเทพเจ้าปกครอง คอยตรวจสอบคนที่ทำชั่วกับวัดระดับหนักเบาของความชั่ว  แล้วมาตัดอายุขัยของคนร้อยวัน  เพราะฉะนั้นที่ว่า "ชาวโลกแอบกระซิบส่วนตัว เบื้องบนได้ยินดังเหมือนสายฟ้า หากคนทำสิ่งที่เลวร้ายในพริบตา ก็หนีไม่พ้นตาอันแหลมคมดุจไฟฟ้าของเทพเจ้า"  ในคัมภีร์ซีจิงก็มีกล่าวว่า "พระเจ้าตรวจสอบทั้งกลางวันกลางคืนถึงการกระทำ คำพูด ความคิด ของมนุษย์" นี่แหละคือเหตุผลที่ในใจเราสัมผัสรู้ เทพเจ้าแห่งฟ้าดินก็ตรวจสอบเราเข้มงวดมากกว่าเราสัมผัสรู้เสียอีก และนี่คือหลักธรรมที่มนุษย์กับฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
        ในอวตังกสูตร กล่าวว่า ภายหลังที่แต่ละคนเกิดมา ก็จะมีเทพสององค์ติดตาม  องค์หนึ่งมีชื่อว่า ร่วมชีวิต  อีกองค์หนึ่งชื่อว่า ร่วมชื่อ  เทพทั้งสองนี้จะติดตามเราไปตลอดและพบเห็นได้บ่อย ๆ  แต่คนที่ถูกเทพติดตามก็จะมองไม่เห็นองค์เทพ "เทพทั้งสองก็คือเทพกุมารฝ่านดีกับฝ่ายชั่ว ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง จะคอยบันทึกการกระทำดีชั่วของเรา รวามทั้งความคิดในใจ  เพราะฉะนั้น  พอคนเคลื่อนไหวความคิด พูดคุยพบปะผู้คนต้องให้คิดถึงเทพทั้งสอง ที่คอยติดตามบันทึก อย่าให้ความคิดชั่วต้องคอยถูกบันทึกติดต่อกันไปไม่ขาดนะ !  ถ้าบังเอิญเจ้าความคิดชั่วเกิดขึ้นก็ให้ระงับเสีย แล้วพามันหวนกลับมา เพราะฉะนั้นการกดข่มตนเองต้องกดข่มจากตรงที่กดข่มยากเรื่อยไปจนกว่าความคิดนั้นจะดับไป ถ้าหากฝึกฝนได้เช่นนี้เรื่อยไป วิบากกรรมมากมายของเราก็สามารถที่ทำให้หมดจดบริสุทธิ์ดุจอวกาศได้ในขณะหนึ่ง ถ้าทำได้เช่นนี้ เจ้ามงคล  ภัยเคราะห์  บุญวาสนา  อายุสั้นยาว ก็สามารถควบคุมให้อยู่ในกำมือของเราเอง เทพเจ้าฟ้าดินก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยิ่งนับประสาอะไรกับเทพเจ้าปกครองที่คอยตัดอายุขัยเล่า
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/03/2011, 17:07
   
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        นิทาน  ๑  :  ในสมัยราชวงศ์หมิง เมื่อไท่หยวนซานซี  นายหวังย้งอวี่  เขาเป็นผู้มีคุณธรรมสูงต่อผู้อื่น เขาบูชาพระเจ้าเหวินเซียงอย่างนอบน้อม เขากับเพื่อนอีกหลายคนตั้งชมรมขึ้น พอถึงวันอริยสมภพของพระเจ้าเหวินเซียง พวกเขาก็จะผลัดกันรับหน้าที่ตกแต่งปะรำพิธีบนตำหนักยอดเขาเพื่อขอพร ในชมรมมีหนึ่งคนชื่อโถวหลิน เป็นผู้มีความกตัญญูยิ่ง มีหลายคนทั้งใกล้ไกลพากันมาศึกษากับเขา ไหว้เขาเป็นอาจารย์ ยังมีอีกคนชื่อฉงโจว  หน้าตาผึ่งผาย  ทะมัดทะแมง  รูปร่างสูงใหญ่  ศิลปการพูดการเขียนป็นหนึ่ง ทุกคนต่างชื่นชมนิยมบุคคลทั้งสองมาก ในปีฮ่องเต้เจิ้นถงครองราช  นายหวังย้งอวี่เตรียมตัวขึ้นเขาไปยังตำหนักพระเจ้าเหวินเซียง เช้าเป็นพิเศษ เพื่อจัดงานอริยสมภพ และ เตรียมค้างคืนบนเขาด้วย คืนนั้นเขาก็ฝัน  ฝันว่าพระเจ้าเหวินเซียงกำลังเสด็จขึ้นแท่นประทับ พวกศาลเจ้าเมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาเฝ้า เจ้าเมืองต่างรายงานบันทึกของประชาชนของตน มีเทพองค์หนึ่งสวมชุดข้าราชการสีแดง ในมือถือสมุดเล่มใหญ่ยื่นใหถวายให้พระเจ้าเหวินเซียงลงพระนาม หวังย่งอวี่จึงแอบถามเทพองค์นั้นว่า "มีรายชื่อสอบบรรจุข้าราชการเมืองซานซีหรือไม่ มีชื่อของหวังย่งอวี่  โถวหลิน  และฉงโจว ๓ คนสอบติดไหม เทพตอบว่า "ไม่มี"  สักครู่หนึ่ง พอบรรดาเทพศาลเจ้าเมืองกลับกันหมดแล้ว เทพเสื้อแดงก็ถวายรายชื่อขึ้นไป  พระองค์ก็ค่อย ๆ ตรวจรายชื่อและวงแต่ละชื่อ บางครั้งพระองค์ก็รีรอไม่ลงสักที เทพเสื้อแดงจึงประกาศต่อหน้าเทพศาลเจ้าเมืองแต่ละเมืองว่า ให้รีบไปตรวจสอบบุญกุศลของบุตรแต่ละครอบครัวเอารายชื่อพวกเขารายงานขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนชื่อที่พระองค์ไม่อนุมัติ"  ขณะนั้นนายหวังย้งอวี่ ที่หมอบอยู่ข้างเสาร์ได้พระแท่น ก็ได้ยินเสียงขานเรียกจากด้านในของพระแท่น  ให้หวังย้งอวี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเหวินเซียง  หวังย้งอวี่จึงเข้าไปคุกเข่าบนเบาะใต้พระแท่น พระองค์ตรัสว่า " เรื่องการสอบ เป็นความลับของสวรรค์ จะแพร่งพรายไม่ได้ เพราะเจ้าเคารพบูชาข้ามาตลอด  ๑๐ ปี ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามาชำระความ  ปู่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ หากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน  และก็ไม่เคยรังแกใครตอนนั้นก็ได้บันทึกให้เจ้าสอบได้เป็นที่หนึ่งของเมือง เพื่อเป็นการประจักษ์ถึงคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของบ้านเจ้า และเป็นเพราะเมื่อเจ้าพบปะพระเจ้าก็ก้มหัว  แต่ว่าแต่ละครั้งที่เจ้าภาวนา เจ้าก็ขอให้ตนเองประสบความสำเร็จ และขอให้เมียเจ้าหายจากเจ็บป่วย ขอให้สามีภรรยามีอายุยืนยาวจนแก่เฒ่า แต่กลับมารดาของเจ้าที่ยังอยู่ เจ้าไม่เคยขอภาวนาให้พระคุ้มครองมารดาเลย ด้วยเหตุนี้ จึงลดขั้นบุญวาสนาลงไป ๒ ขั้น เจ้าจะสอบได้อันดับที่ ๕๓  เจ้าต้องแก้ไขพฤติกรรมของเจ้า จงอย่าได้ละเมิดใจฟ้าอีก" หวังย้งอวี่ฟังคำวินิจฉัยของพระองค์แล้ว ก็ได้แต่ก้มกราบขอประทานอภัย พระองค์ตรัสต่อว่า " กับคนในชุมชนของเจ้านายโจวจี๋เป็นผู้สอบไล่ได้ที่หนึ่งของชุมชนเจ้า" ขณะนั้นในสมาชิกชมรม นายโจวจี๋เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด ความรู้วิชาก้ด้อยกว่าผู้อื่น  นายหวังย้งอวี่ฟังแล้วรู้สึกตกใจหวาดหวั่น ดังนั้นจึงก้มกราบทูลถามพระองค์ถึงสามเหตุการสอบไล่ได้ของนายโจวจี๋ พระองค์ตรัสว่า " พ่อและปู่ของโจวจี๋เป็นคนเรียนหนังสือตลอดมาก็ไม่เคยมีคดีความ และก็ไม่เคยล่วงประเวณี  ตระกูลโจว ๓ ชั่วคน ไม่เคยพูดถึงความชั่วของผู้อื่น หรือ เปิดเผยความเลวของผู้อื่นเลย โดยเฉพาะปู่ทวดของโจวจี๋ เคยนำเอาหนังสือ "ร้อยขันติ" ไปตักเตือนกล่อมเกลาชาวบ้าน เขาได้กล่อมเกลาคนไปไม่น้อย เพราะฉะนั้น ตระกูลโจวหลายชั่วคนช่วยกันสั่งสมบุญกุศลมาอย่างเงีบย ๆ  เป็นเวลานานถึง ๖๐ ปีแล้ว ถือเป็นกุศลลับสูงสุด คนอื่นไม่มีใครรู้  พระเจ้าจึงพอพระทัยเป็นพิเศษ  จึงกำหนดให้ตระกูลโจวมีความเจริญถึง ๓   ชั่วคน ตอนนี้โจวจี๋ก็สอบได้ที่หนึ่ง  นี่คือจุดเริ่มต้นบุญวาสนาของตระกูลโจว" นายหวังย้งอวี๋ทูลถามพระองค์ต่อไป "เพื่อนในชมรม นายโถวหลิน  นายฉงโจว   ไม่ทราบว่าเขาทั้งสองสอบได้ไหม" พระองค์จึงตรวจสมุดของเมืองไท่หยวนดู พระพักตร์ไม่สู้พอพระทัยตรัสว่า "โถวหลินเดิมทีต้องสอบได้ แต่เขาดูแลบิดามารดา มีโทษกลับกลอก และมักจะนินทาผู้อื่นบ่อย ๆ ไม่มีเหตุผล ฟุ้งเฟ้อว่าตนเป็นบัณทิต เพราะฉะนั้น จึงลบชื่อออก ทำให้ชีวิตเขาต้องยากจนลง"  หวังย้งอวี่กราบทูลถามพระองค์ว่า "อะไรคือกลับกลอก"  พระองค์ตรัสว่า "โถวหลินประพฤติต่อบิดามารดาของเขา ถึงแม้คำพูดและกิริยา แสดงถึงความกตัญญู แต่ภายในใจของเขากลับไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฝืนปั้นสีหน้าภายนอกดูเหมือนเชื่อฟังบิดามารดา แต่จิตใจกลับแย่ลงไปทุกวัน ๆ  การแสร้งทำเป็นกตัญญู  เป็นการข่มเหงตนและผู้อื่น คือเห็นบิดามารดาเหมือนคนร่วมโลก ต้องรู้ว่าการใช้วาจาการกระทำมาหลอกลวงโลกเพื่อให้ได้ชื่อนั้น เป็นการจุดความโกรธเทพเจ้าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงลงโทษเขา
        สำหรับนายฉงโจว  ที่จริงฟ้าให้เขาเป็นวีรชน อายุ ๒๖ ควรสอบได้จิ้นสือ (ราชบัณทิตอันดับสองรองจากจอหงวน) อายุ ๓๐ ปีก็จะโดดเด่น ควรเลื่อนยศถึงอันดับกลาง พออายุ ๔๕ จะได้ถึงอันดับราชมนตรี ปกครองการเกตษร  พอ ๕๔  ก็ยังรักษาอันดับไว้ได้จนเกษียณ อายุถึง ๖๙ ปี  สิ้นขัย แต่เพราะเขาเข้าเรียนอายุได้ ๑๗ ปี ก็ทรนง วาจาเสียดแทงคน พูดจาสองง่ามสองคม ถากถางผู้อื่น ยมบาลได้บันทึกความผิดทางวาจามากมาย ๒,๔๗๐ กว่าคดีแล้ว  พระเจ้าโกรธจัด จึงกำหนดให้เขาอยู่สัญชาติมืด ลบบุญวาสนาของเขา ถ้าหากเขายังไม่รู้สำนึกผิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข เมื่อไรความผิดของเขาถึง ๓ พัน เรื่อง  ก็ตัดอายุขัยสิ้น ทั้งยังจะลงโทษให้ลูกหลานเขาเป็นขอทาน เพราะวจีกรรมทำผิดทำลายปราการละมุนละมัยของฟ้าดิน ซึ่งกระทบขัดแย้งกับเทพเจ้า เพราะฉะนั้นวจีกรรมนี้ก็คือ โทษบาปเทียบเท่ากับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและล่วงประเวณีเลยทีเดียว พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ"  เวลาผ่านนานมาก  พระองค์จึงสอนต่อว่า การล่วงประเวณี  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  วจีกรรม  แม้ล่วงละเมิดเพียงเล็กน้อย ก็มีผลตอบสนอง คงไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่การล่วงประเวณีกับฆ่าสัตว์ กรรมชั่วทั้งสอง คนที่รักตัวเอง ก็ต้องรู้จักหักห้ามไม่ล่วงละเมิด แม้แต่พูดเยาะเย้ย  พูดจาเสียดแทงผู้อื่น การช่อนมีดในรอยยิ้ม เหมือนโจรทำลายใจเขา ถ้าทำจนเป็นนิสัย ก็จะรู้ตัวตรวจสอบเองได้ลำบาก ในที่สุดทั้งคำพูดหน้าตาและจิตใจก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนหยิ่งยโส ความชั่วทางวจีกรรมก็จะถูกเทพเจ้าบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นภัยเคราะห็เรื่องร้ายก็ตามมา ที่จริงพื้นดวงชะตาควรได้เสวยสุข เพียงไม่นานก็กลายเป็นคนชั่วยากจน น่าเสียดายอย่างยิ่ง  และก็เป็นเรื่องน่ากลัว เจ้าต้องไปตักเตือนคนให้มาก เอาสิ่งเหล่านี้เป็นศีล  อย่าให้เขาต้องยุ่งยากตอนจะเซ็นชื่อ ต้องรีรอเสียการ" หวังย้งอวี๋กราบลงแล้วถอยออก ขณะนั้นเสียงระฆังในตำหนักดังขึ้น หวังย้งอวี๋ตกใจตื่น ไก่ด้านนอกขันถึง  ๓  ครั้ง หวังย้งอวี๋ก็ไปถึงตำหนักแล้วก้มกราบขอบคุณพระเจ้าเหวินเซียง จากนั้นก็รีบบันทึกความฝัน รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ประกาศผลสอบ ปรากฏว่าโจวจี๋สอบได้ที่ ๑  ของเมืองซานซี  หวังย้งอวี๋จึงเอาบันทึกฝันนี้เปิดเผยแก่ชาวบ้าน เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/03/2011, 17:28

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        นิทาน  ๒  :  ธรรมาจารย์เซ็นกวงเชี้ยวอัน ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ขณะเข้าสมาธิ  ได้เห็นภิกษุ ๒  รูปคุยกัน  ตอนแรกก็มีเทพเจ้าคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ  ทั้งยังฟังพวกเขาคุยกัน พอนานไป เทพเจ้าก็จากไป ผ่านไปไม่นาน ก็มีผีร้ายถ่มน้ำลายด่าว่าพวกเขา ทั้งยังเอาไม้กวาดไล่กวาดรอยเท้าของพวกเขา ทั้งนี้เพราะตอนเริ่มต้นภิกษุนั้นคุยธรรมกัน ต่อมาก็พูดถึงเรื่องครอบครัว ตอนหลังก็พูดถึงเรื่องชือเสียง และผลประโยชน์ ควรรู้ว่าผู้ออกบวชมาคุยเรื่องทางโลก  ผีเจ้าก็รำคาญ  ไม่พอใจ   คนปัจจุบัน ชาวโลกไม่เพียงสร้างแค่กาย  วจี  ใจ กรรมสามเท่านั้น ยังทำเบยเถิดไปอีก พวกเขาจะต้องถูกผีเจ้าลงโทษ แล้วจะเป็นเช่นไร  คิดแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : ตัดขัยให้ยากจน ประสบทุกข์ลำบากบ่อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/03/2011, 09:37
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

        คัมภีร์  :  ตัดขัยให้ยากจน  ประสบทุกข์ลำบากบ่อย

อธิบาย  :  อายุขัยของคน เพราะละเมิดความผิดจึงถูกตัดลดอายุ ทั้งยังต้องถูกลงโทษให้ชีวิตยากจน ครอบครัวแตกสลาย แล้วยังจะประสบกับทุกข์ภัยพิบัติจนลำบาก
        คนที่ถูกตัดขัยอายุจนตาย ก็เพราะการกระทำที่รังแกหลอกลวงผู้อื่น เทพเจ้าตรวจสอบก็จะตัดทอนอายุขัย จนครอบครัวยากจนแตกสลาย ความทุกข์ก็ติดตามมา เรื่องบุญวาสนาหรือภัยพิบัติเป็นหลักธรรมที่สร้างสรรค์ หากคนคิดอยากได้โชคลาภ หลบพ้นภัยเคราะห์ ก็ต้องแก้ไขทำความดี ถ้าอย่างนั้นความสำคัญของมัน ควรอยู่ที่การรักษาใจ ตรวจตรากรรมสามของตน ปล่อยปละละเลยตามใจไม่ได้ มิฉะนั้นก็จะตกสู่ตาข่ายกรรม จึงควรช่วยเหลือกัน ตักเตือนให้อยู่ในทำนองคลองธรรม เช่นปากกับใจต้องช่วยกันตักเตือน ใจต้องบอกกับปากว่า "เจ้าปากเอ๋ย !  เธอต้องพูดแต่เรื่องที่ดี ๆ พูดเพราะ ๆ อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด"  ใจก็ต้องบอกกับกายว่า "กายเอ๋ย ! เธอต้องวิริยะอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญอย่าได้ขี้เกียจนะ" ถึงแม้จะเป็นวันหนึ่ง เวลาหนึ่ง ขณะหนึ่ง  แม้จะเป็นแค่วินาทีเดียว  ก็ต้องหักห้ามกดข่มใจตนเอง ตนเองต้องระมัดระวังปากของตนเอง  ตนเองต้องรักษากายตนเองให้ดี  ไม่ให้ขาดตอน เรื่อยไปนาน ๆ เราก็จะไม่ถูกอิทธิพลภายนอกกระทบไปเอง ใจก็จะไม่เคลื่อนไหว  จึงตอนนี้ก็จะใสสงบไม่มีภาวะที่คาดหวัง หรืออยากได้ ทั้งกายใจก็จะเป็นกุศล เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีหรือจะถูกเทพเจ้าตัดทอนอายุขัย  ตลอดจนตกสู่ความยากจนบ้านแตกสลาย

        นิทาน ๑  :  นายอำเภอเมืองฟ่งหู่ ชื่อเฉียนหยังหวี่  เป็นคนโหดเหี้ยม ในตอนหนุ่มก็ได้รับตำแหน่งนี้ หน้าที่การงานก็ทำไม่ได้ดีในที่สุดก็ต้องลาออก  บั้นปลายชีวิตตกทุกข์ได้ยาก ทั้งลูกชายลูกสาวก็ตายไปก่อน ชีวิตตกอยู่ในฐานะลำบาก ดังนั้นเขาจึงไปอ้อนวอนเทพเจ้า เขาก็ได้ฝันเห็นเทพเจ้าบอกกับเขาว่า "เฉียนหยังหวี่  เธอทำกรรมชั่วไว้มาก มาถึงบัดนี้  หลังจากตัดทอนอายุขัยแล้ว ตอนนี้ขัยหมดสิ้นแล้ว ชีวิตก็ยากจน  บ้านแตกสลายชีวิตสิ้นแล้ว มาอ้อนวอนข้า ช่างงี่เง่าที่สุด ! "
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ผู้คนก็รังเกียจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/03/2011, 10:25
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ผู้คนก็รังเกียจ

อธิบาย  :  ทุกคนต่างก็รังเกียจคนที่ทำความชั่ว ในคัมภีร์อี้ชวีจิง กล่าวว่า "หากมนุษย์ไม่ทำกรรมดี  เบื้องบก้จะตัดเทพของเขา ดึงสังขารของเขา ให้วิญญาณของเขาผันผวน ถูกคนรังแกทอดทิ้งเหยียดหยาม" อย่างตอนนี้  โกรธแค้นคนอื่นรังแกคนของเรา  เราจะรู้ได้อย่างไร เป็นเพราะเบื้องบนได้ตัดดึงเทพวิญญาณของเขา ทำให้เขาไปถึงที่ไหนก็ถูกเขารังแก ตอนนี้เราโชคดีที่รู้ความจริงเรื่องนี้ ก็ควรรีบชำระใจแก้ไขความชั่วไปสู่ความดี ใจของฟ้าเมตตาอภัยให้เช่นนี้ คือจะไม่กล่าวโทษผู้สำนึกผิดและแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่ทำผิดมาแล้ว  ก็สามารถที่จะแก้ไขฉุดช่วยได้ จากนี้ไปก็แก้ไขทำความดี อนาคตก็ยังสดใสได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะรู้ตัวตอนยังมีชีวิตหรือรู้ตัวตอนทุกข์ยาก ขอเพียงให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขมุ่งสู่ความดี ความสำเร็จก็ได้เหมือนกัน จงอย่าหุนหันพลันแล่นละเลยไม่สนใจ
        คนที่ทำเรื่องชั่ว ๆ  ผู้คนทำไมถึงรังเกียจเดียดฉันท์เล่า ทั้งนี้เพราะใจธรรมมีอยู่ในใจของคน และจิตอันดีงามเดิมเป็นจิตที่ดี จิตสำนึกดีทุกคนมีอยู่พร้อม จึงอยากให้ทุกคนผลักดันความคิดนี้ เมื่อพบความดีก็กลัวว่าจะร่วงหล่นไปอยู่ด้านหลังคนอื่น  พอพบความไม่ดีก็เหมือนกับเอามือจุ่มลงไปในเดือดที่น่ากลัว เราต้องให้กำลังใจตนเอง ต้องบำเพ็ญไปจนถึงสภาวะที่ไม่มีทั้งความดีความชั่ว ถ้ามัวแต่รังเกียจความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ขจัดความชั่วของตน อย่างนี้จะหลบหลีกพ้นที่ผู้อื่นรังเกียจความชั่วของตนได้อย่างไร           
        นิทาน  ๑  :  ในสมัยราชวงศ์ถัง มีตุลาการที่รับผิดชอบตัดสินคดีชื่อ ไล้จุ่นเฉิน  ฉ้อราษฏร์ตัดสินคดี ทำให้คนไม่ผิดต้องตายไปมาก ต่อมาถูกราชสำนักจับได้ เขาจึงถูกนำตัวแห่ไปตลาดและถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะ  หลังจากถูกตัดห้ว คนที่โกรธแค้นจำนวนมาก ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปทึ้งดึงศพ บ้างก็ควักลูกตา บ้างก็ฉีกเนื้อกิน  บ้างก็ดึงแขนขาทึ้งจนศพไม่เหลืออะไรเลย ดูซิผู้คนรังเกียจเขาขนาดไหน

        นิทาน  ๒  :   ในสมัยราชวงศ์ซ้ง ข้าราชการผู้ใหญ่สองคน คนหนึ่งชือเติ้งเหว่ย  อีกคนชื่อกวนไหลกง  ประชาชนในสมัยนั้น พอพูดถึงกวนไหลกง ทุกคนก็ว่าเขาเป็นตงฉิน (ข้าราชการซื่อสัตย์)  พอพูดถึงเติ้งเหว่ย คนก็ตราหน้าว่าเป็นกังฉิน (โกงกิน) เมื่อประชาชนได้ฟังข่าวดี พวกเขาก็ยกให้เป็นความดีของกวนไหลกง  อันที่จริงบางเรื่องก้ไม่ใช่เป็นผลงานของกวนไหลกง  แต่พอประชาชนได้รับฟังเรื่องไม่ดี พวกเขาก็เหมาเอาว่าเป็นเรื่องของเติ้งเหว่ย  ซึ่งบางทีเติ้งเหว่ยก็ไม่ได้ทำ นี่แหละความไม่ดีที่คนเขาดูมาครั้งหนึ่ง ก็มักเป็นที่รังเกียจตลอดไป

        นิทาน  ๓  :  ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ราชอำมาตย์ฉินขุ้ย เป็นทรราชขายชาติ ทำลายผู้จงรักภัคดีต่อชาติ ประวัติศาสตร์จารึกไว้มานานนับพันปี ทุกวันนี้ประชาชนก็ยังนึกรังเกียจฉินขุ้ย เขาปลอมราชโองการประหารเหย้เฟย ขุนพลผู้ปกป้องแผ่นดิน ที่ทะเลสาบซีหูเมืองหังโจว มีศาลเจ้าของเหย้เฟย และหน้าศาลเจ้าก็มีรูปปั้นเหล็กของฉินขุ้ยและภรรยา คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ จะมีฝ่ามือทำด้วยไม้แขวนไว้ พอประชาชนมากราบไหว้ท่านเหย้เฟยแล้ว ก็ออกมาที่หน้าศาลเจ้า จะคว้าฝ่ามือไม้ฟาดที่รูปปั้นของฉินขุ้ย และภรรยา พร้อมสาบแช่ง
        นิทานทั้ง  ๓  เรื่องนี้ ประชาชนไม่มีใจลำเอียง ทุกคนนิยมความดี  และรังเกียจความชั่ว นี่คือสิ่งสะท้อนจากใจของคนล่ะ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/03/2011, 17:28
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ต้องโทษวิบัติตามมา

อธิบาย  :  ท่านอริบเจ้าไท้ฮือ กล่าวว่า  "ถ้าหากผู้อื่นเอาภัยวิบัติย้ายมาให้กับอาตมา  ถ้างั้นอาตมาก็จะเอาบุญวาสนาตอบแทนไป ถ้าหากว่าสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว ที่สุดแล้วปราณแห่งบุญวาสนาก็เริ่มต้นมาจากที่เรานี่เอง  ส่วนปราณร้ายภัยพิบัติก็ออกมาจากคนชั่วแน่นอน"  ท่านพูดถึงโทษบาปภัยวิบัติย่อมติดตามคนชั่ว ดังนั้นโทษบาปภัยพิบัติจึงติดตามคนชั่ว
        อวตังกสูตรว่า "เวไนยสัตว์แห่งชมพูทวีป เป็นทวีปแห่งความเลวร้าย เวไนยสัตว์แห่งทวีปนี้ ไม่ยอมบำเพ็ญกุศลกรรมบทสิบ หากแต่มีความชำนาญในการก่อกรรมชั่ว  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักขโมย  ล่วงประเวณี  พูดส่งเดช  พูดหลอกลวง  พูดหยาบคาย  ลิ้นสองแฉก  โลภโกรธ  เห็นผิด  ไม่กตัญญูพ่อแม่  ไม่นับถือไตรรัตน์  ชอบอาฆาตมาดร้ายต่อสู้กัน หลอกลวงกล่าวร้ายซึ่งกันและกันชอบแสดงความเห็นตามอารมณ์  แสวงหาอย่างผิดกฏหมาย  ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้  จึงเป็นการกวักหาคมดาบ  ความอดอยาก  เจ็บป่วย  ความตาย  ภัยธรรมชาติ  ภัมนุษย์  ต่าง ๆ ตอบสนอง" จะเห็นได้ว่า เป็นการทำเองรับเอง รับผลชั่วเองล้วนแต่แต่ตนเป็นผุ้แสวงหา ไม่ใช่ผู้อื่นสร้างให้เลย !  ถ้าหากต้องการมงคลพ้นเคราะห์ละก็  ก้ต้องเริ่มต้นจากใจคิดชั่วขณะหนึ่งนี่เอง  นรกหรือสวรรค์ก็อยู่ต่อหน้าเราแล้ว  ถ้าสมมุติมีคนยอมบำเพ็ญกุศลธรรมบทสิบ  แล้วได้รับผลตอบสนองชั่วละก็ คงจะเป็นไปไม่ได้ หลักธรรมแบบนี้ไม่มีแน่นอน !

        นิทาน   :  ในสมัยราชวงศ์ฮั่น  นายเหลียงจ้ง  ได้ขอให้ราชสำนักเพิ่มบทลงโทษในกฏหมายให้มากขึ้น แต่ทางราชสำนักไม่ได้เห็นตามข้อเสนอของเขา  ต่อมานายเหลียงจ้งก้ได้ฝันว่า ในความฝันเทพเจ้าได้พูดกับเขาว่า "เหลียงจ้งเอ๋ย !  ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่ทางราชสำนักไม่รับฟังความคิดเห็นของเจ้าก็ตามที  แต่ทางยมโลกได้บันทึกโทษบาปของเจ้าไว้แล้ว เพราะเจ้าคิดจะทำบทลงโทษมาทำร้ายประชาชน นับว่าใจของเจ้านี้โหดเหี้ยม  ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกหลานของเจ้าจะขจัดลบโทษบาปได้อย่างไร  การกระทำของเจ้าละเมิดเบื้องบนไปแล้ว ถึงแม้เจ้าจะภาวนาร้องขอก็ไม่มีประโยชน์"  ต่อมา ลูกของนายเหลียงจ้ง ก็ไม่ได้ตายดี  สืบต่อถึงนายเหลียงพี  ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น  ในที่สุดฮ่องเต้ก็ลงโทษประหารทั้งตระกูล
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน มงคลโชคลาภหลบหาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/03/2011, 18:10
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  มงคลโชคลาภหลบหาย

อธิบาย  :  ความสิริมงคลและงานมงคลต่าง ๆ ล้วนพากันหลบหายไปไกล ๆ ควรจะรู้ว่า "ธรรมแห่งฟ้าไร้ญาติ  ญาติดีกับคนดีเท่านั้น"ถ้าหากคนเราสามารถละชั่วทำดี  ระมัดระวังตนเอง คล้อยตามหลักธรรมฟ้า  แน่นอนในขณะที่สงบเงียบ ใจก็จะหลอมรวมกับธรรมแห่งฟ้า ขณะการเคลื่อนไหว  การกระทำก้จะพบกับความสิริมงคล ถ้าหากมีคนที่ใจตรงกันข้าม  เราก็มักจะพบเห็นได้ ว่าเขามักจะไม่รอดพ้นโทษกรรม  ที่ไม่เห็นก็แสดงว่าเขาได้ถูกเทพหรือผีทำโทษ  โดยคนชั่วจะถูกเทพหรือผีตัดอายุขัย จึงตายอายุสั้น  มงคลโชคลาภก็ห่างหายหลบไปไกล  ทั้งโทษภัยเคราะห์บาปก็ตามมาคอดบัญชี ยังไงเสียก็หลบไม่พ้นหรอก  !

        นิทาน  :  ในสมัยก่อน มีนักศ฿กษาคนหนึ่งชื่อ หวังเซิน  เป็นคนใจร้ายคับแคบ เรื่องที่ทำด้วยละเมิดหลักธรรมฟ้า  มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเข้าสอบแข่งขันเพื่อรับราชการ  บทความของเขาเยี่ยมมาก อาจารย์ผู้ควบคุมการสอบคิดจะใส่ชื่อเขาไว้เป็นอันดับต้น ๆ   แต่พอถึงตอนจะเขียนชื่อลงในประกาศ ปรากฏว่าบทความของเขาหายไป  หลังจากประกาศชื่อผู้สอบได้ออกไปแล้ว ก็พบบทความของเขาร่วงออกมาจากแขนเสื้อ ผู้คุมสอบรู้สึกเสียใจอย่างมาก  ถึงกับนัดพบกับหวังเซิน แล้วให้คำสัญญาว่า หากมีโอกาศก็จะเอาเขาบรรจุเข้าในตำแหน่งว่าง เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก ผู้คุมสอบก็ถูกย้ายไปที่อื่น หวังเซินจึงหมดโอกาศไป  รอจนถึงวาระสอบรอบใหม่    ผู้คุมสอบเดิมก็ได้ย้ายกลับมาคุมสอบใหม่  ผู้คุมสอบได้พบหวังเซินอีกครั้ง ก็รู้สึกดีใจ  ถึงกับรับปากจะหาตำแหน่งดี ๆ ให้ เพื่อชดเชยโอกาสครั้งก่อนที่พลาดไป  พอมาถึงตอนคัดเลือก บิดาของผู้คุมสอบตายลง  ผู้คุมสอบจึงลาพักกลับไปต่างจังหวัดเพื่อจัดงานศพและไว้ทุกข์เป็นเวลาถึง  3  ปี  ตามประเพณี  หลังจากไว้ทุกข์ก้กลับมาที่ราชสำนัก และรับตำแหน่งผู้คุมสอบตามเดิม แต่ถึงตอนนี้นายหวังเซินก็อายุมากขึ้น  อันที่จริงเขาควรได้รับตำแหน่งและมีเงินเดือนรวมหนึ่งหมื่นตำลึงทองเชียวละ และวันเวลาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว  แต่ชั่วไม่กี่วันมารดาเขาก็เสียชีวิต  จึงอยู่กับบ้านไว้ทุกข์จึงพลาดโอกาสอีก  นายหวังเซินผ่านอุปสรรคมากครั้ง ผู้คุมสอบก็รู้สึกสงสารถึงชะตากรรมที่ตกอับของเขา  จึงพาเขาไปฝากเป็นครูประจำบ้านของข้าราชการผู้ใหญ่  ในเวลาสามปีเขาก็ได้รับเงินตอบแทนสักหนึ่งพันตำลึงทอง  แต่เขาทำงานไปยังไม่พอเดือนหนึ่ง  ข้าราชการผู้นี้ก็มีเรื่องต้องออกจากราชการ เขาจึงตกงานไป ตลอดชีวิตของหวังเซิน  ประสบแต่เหตุการณ์ประหลาด มองเห็นอนาคตสวยหรูอยู่แค่เอื้อมก็ให้มีอันเป็นไป  จิตใจหวังเซินจึงหาความสงบสุขไม่ได้ ทำให้ล้มป่วยลงนานถึง  ๓  ปี   วันหนึ่งหวังเซินก็บรรลุว่า  เขาพูดว่า  "เหล่านี้เพราะตนสั่งสมแต่กรรมชั่ว  เพราะฉะนั้นจึงได้รับแต่ผลร้าย ! " ภายหลังที่หวังเซินสำนึกผิดและแก้ไขเรื่อยมา  ความเจ็บป่วยของเขาจึงหายได้  เหตุนี้หวังเซินจึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี

คำคม  :  นายซิซีหยวน  กล่าวว่า  "บุญวาสนาในโลก  หากไม่มีใจที่ดีหมั่นตักเตือนตนแล้ว บูญวาสนาไม่มีทางเอามาได้  หากไม่ทำเรื่องสงเคราะห์ช่วยเหลือคนแล้ว  บุญวาสนาก็ไม่มีทางคู่เคียงได้" ช่างมีเหตุผลน่าฟังมาก !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน : ดาวร้ายภัยตาม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2011, 21:25
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ดาวร้ายภัยตาม

อธิบาย  : 

        ดาวร้าย คือ เทพที่ดูแลภัยพิบัติ ฆาตเคาระห์ทั้งหลายของมนุษย์ อยากจะรู้ชีวิตคนบนโลก ในแต่ละวันหรือแต่ละสารท ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของแสงดาว ผู้ที่ทำชั่ว  เพราะใจจะมืดมัวเสมอเพราะปราณสีดำของตัวเขาจะพวยพุ่งสู่ข้างบน เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับร้ายกวักร้าย เพราะฉะนั้น ดาวร้ายจึงลงมาบนหัวของเขา ภัยพิบัติจึงติดตามตัว สำหรับคนที่ทำดี  เพราะว่าพื้นจิตใจสว่าง ปราณชั่วร้ายจึงค่อย ๆ จางหายไป ดาวร้ายก็ต้องหลบเขา แล้วจะส่งภัยพิบัติให้เขาได้หรือ ที่จริงแล้ว คนต่างหากที่สร้างวิบากกรรมดาวร้ายจึงส่งภัยพิบัติให้เขา  มิใช่ดาวร้ายไม่ดี ตนเองไม่ดีต่างหากเล่า !  เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว คนจะไม่กลัวเกรงได้อย่างไร ทำตัวให้ดี สำรวจความชั่วของตน เพื่อดึงใจฟ้ากลับมา ! 

นิทาน  :  ที่มณฑลซานตง เมืองลี่เฉิน มีคนหนึ่งชื่อหม่าฉางชื่่อ อาศัยว่าตนมีความฉลาดสามารถ จึงอันธพาลไปทั่ว ไม่ชั่วไม่ทำ มีอยู่วันหนึ่งดาวปัญญาก็ลงมาจากฟ้าสู่ลานบ้าน กลายเป็นหินก้อนใหญ่ จากนั้นบ้านของหม่าฉางชื่อ มีคดีความไ่ม่หยุดหย่อน โรคภัยก็ถามหา  การทะเลาะเบาะแว้งในบ้านเกิดขึ้นเป็นประจำ เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปี  หม่าฉางชื่อก้ตายลง คนในบ้านก็แตกไปคนละทิศคนละทาง กลายเป็นบ้านร้างไป รอบ ๆ ก้อนหินใหญ่มีแถบกว้างเป็นฟุตสีม่วง และปรากฏเหมือนมีอักษร หินก้อนนั้นยังอยู่มาถึงปัจจุบัน
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สอง ตักเตือน ขัยสิ้นก็ตาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2011, 22:48
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ขัยสิ้นก็ตาย

อธิบาย  :   ทำให้อายุขัยของคนชั่วถูกตัดทอนไปเรื่อย ๆ  จนหมดอายุขัยคนชั่วก็ตายลง  นี่คือคำห้ามปรามของ  ท่านไท่ชั่ง ที่พร่ำบอกแก่ชาวโลก นิสัยที่ชาวโลกทำจนเคยตัว ยากลำบากที่จะถอดถอนขจัดให้หมดลง ล้วนเกิดจากการก่อเรื่องไม่ดีจนกลายเป็นวิบากกรรม วิญญาณกรรม ที่กองสุมเป็นภูเขา  ความร้อนแรงค่อยเผาชีวิตของเรา วันแล้ววันเล่า จนกว่าชีวิตขัยจะหมดสิ้น นั่นคือวันตายก็มาถึง ความชั่วที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นวิบากกรรมที่ติดตามวิญญาณไปเสวยทุกข์ ไปเกิดป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง  เป็นผีนรกที่ต้องรับทุกข์ ทุกข์ที่ได้รับในตอนนี้จะทุกข์ทรมานเหลือประมาณ ไม่ใช่ว่าตายแล้วจะจบสิ้นกันไป หมดเรื่องกันเลย ไม่ง่ายเช่นนั้น คนที่ทำชั่วแล้วมารู้เช่นนี้ คงต้องร้องไห้อย่างโหยหวนเป็นแน่แท้ ควรรู้เอาไว้ว่า "ร่างกายสลายง่ายวิบากกรรมหลบหลีกยาก" นอกเสียจากผู้ใจการุณย์ที่ใจมั่นคง ต้องเชื่อมั่นในหลักธรรมนี้ ใช้โอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่สำนึกผิดเพื่อขจัดโทษกรรม ถ้าหากยังเฉยเมยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ใส่ใจไยดีที่จะแก้ไขความผิด เวลาร้อยปีก็ผ่านรวดเร็วเหมือนจรวด เมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ดิน น้ำ ลมไฟ แยกสลาย ค่อยมากังวลเป็นทุกข์ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

นิทาน  :  สมัยก่อนมีคนแก่คนหนึ่ง ตายไปพบกับยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า ทำไม่ไม่เขียนจดหมายเตือนล่วงหน้าเสียก่อน ยมบาลพูดว่า "ตอนที่เธอสายตายาว ก็คือจดหมายฉบับแรกที่ฉันเขียนให้เธอ  ตอนที่เธอหูตึงก็เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ฉันเขียนให้เธอ  ตอนที่เธอฟันเสียฉันก็เขียนจดหมายฉบับที่สามแล้ว   ตอนที่ร่างกายนับวันอ่อนแอลง ไม่รู้ว่าเป็นจดหมายฉบับที่เท่าไรแล้ว  ที่ฉันเขียนให้เธอรู้ล่วงหน้า จะมาว่าข้าไม่ได้เขียนจดหมายให้เธอไม่ได้นะ !   ก็มีคนหนุ่มที่ตายไปพบยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า " ตาของฉันยังดีอยู่  หูก็ยังฟังชัด  ฟันก็ยังคมอยู่  ร่างกายหรือก็แข็งแรงมาก  ท่านยมบาลเอาฉันมาทำไมไม่เขีนยจดหมายเตือนให้ฉันรู้ล่วงหน้า"  ยมบาลตอบว่า  "ข้าก็เคยมีจดหมายเตือนเจ้าล่วงหน้าอยู่นะ !  เธอไม่เห็นหรือ บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันออก  อายุแค่ ๓ - ๔๐ ก็ตาย   บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันตก อายุแค่ ๑๐-๒๐ ปี ก็ตายแล้ว  บางคนแค่ขวบเดียวยังเป็นเด็กอยู่เลยก็ตายแล้ว พวกนี้แหละเป็นจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอไงเล่า !" เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า ชีวิตคนไม่เที่ยง เหมือนน้ำค้างในตอนเช้าแค่ลมหายใจไม่มา ร่างกายก็เป็นซากศพแล้ว ในพระสูตร  ๔๒ บท ก็มีเขียนไว้ พุทธองค์ถามสาวกว่า"ชีวิตคนยาวแค่ไหน" สาวกคนหนึ่งตอบว่า "ชีวิตคนอยู่ในช่วงวัน" พุทธองค์ตรัสว่า "เธอยังไม่รู้จัก" สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า "ชีวิตคนอยู่ในระหว่างรับประทานอาหาร" พุทธองค์ตรัสว่า "เธอยังไม่รู้จัก" สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า " ชีวิตคนอยู่ในชั่วลมหายใจเข้าออก" พุทธองค์ตรัสว่า " เจริญพร !  เจริญพร ! เธอรู้จักแล้ว"     

คติพจน์   :  ในราชวงศ์หยวน พระธรรมาจารย์เทียนหยู เคยพูดว่า " การที่พุทธองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้ ก็เพื่อพวกเราทุกคน ให้ทุกคนมีความตั้งมั่นอยู่ในช่วงหนึ่งแห่งการเกิดดับ เป็นเรื่องสำคัญ ก็อย่างที่พูดว่า " เกิดมาไม่รู้ว่ามาจากไหน ตายไปก็ไม่รู้จะไปที่ไหน" นี่เป็นเรื่องสำคัญ !  ถ้าหากยังเกิดอย่างนี้ตายอย่างนี้ ทั้งหมดของมหาปฐพีก็ถูกกรงครอบไว้ ตั้งแต่โบราณมา ไม่เคยแม้แต่คนเดียวที่ถูกมหาสมุทรแห่งการเกิดการตายกลืนหมดสิ้น จงอย่าได้พูดว่า เอาตั้งแต่โบราณมาเลย พูดเอาแค่ตั้งแต่เธอมีชีวิตอยู่มา ให้หวนคิดถึงเมื่อ ๑๐-๒๐ ปีก่อนโพ้น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเธอได้ตายไปกี่มากน้อยแล้ว กล่าวไปไยกับผู้อื่น พูดเอาแต่ตัวเองเถอะ ตอนนี้ก็หยิบยืมดินน้ำลมไฟสี่มหาภูติรูปแล้วก็หลงคิดว่า รูปกายนี้เป็นฉัน เช้าจรดเย็นหาวิธีต่าง ๆ มาคอยรักษามัน เอาของต่าง ๆ มาเลี้ยงดูมันแต่มันก็ไม่หยุดที่จะโรยลา ค่อยเสื่อมทรามลงไม่ทันรู้ตัววันสิ้นสุดของอายุก็มาถึงแล้ว มาถึงขณะนี้ก็ชุลมุนวุ่ยวายขนาดใหญ่ เหมือนปูที่ตกลงในหม้อน้ำเดือดที่ทุกข์ทรมาน !  ดูซิ  อุดมการณ์อันมั่นคงของวีรชน ปัจจุบันไปอยู่เสียที่ไหน โดยเฉพาะหลังการตาย ร่างกายสีสันเปลี่ยนแปลง ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ใครก็ทนรับไม่ไหว ถึงแม้จะเป็นญาติสนิทสายโลหิตก็เถอะ จะมองให้เต็มตาก็ไม่อยากเลย แล้วที่พูดว่าความรักผูกพันบุญคุณเหล่านี้เล่ามันหายไปอยู่ที่ไหน  เพราะว่าเหตุปัจจัยเหล่านี้ ดังนั้นพระธรรมาจารย์จึงพูดว่า เพียงลมหายใจหนึ่งขาดลง ก็เหมือนดินฝุ่นไอแล้ว หนทางข้างหน้าอันเวิ้งว้างไม่รู้จะไปที่ไหนอย่างไร หรือเพียงตายแล้วก็เผาเท่นั้นน่าสมเพชนักแต่มิใช่อย่างนั้น ภายหลังการตายยังต้องไปรับโทษตามกรรม ที่ตนก่อไว้ นี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญล่ะ !  ต้องรู้จักว่าผลตอบสนองติดตามแรงกรรมมา เหมือนเงาที่ติดตามกายสังขาร ถึงแม้ร่างกายนี้จะตายแล้วก็ตาม แต่วิญญาณนี้อาจจะตกนรก หรือไม่เกิดเป็นเปรต  หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปหมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เช่นนี้ก็จะได้รับการเจ็บปวดทรมานอย่างเหลือประมาณได้ นี่คือสภาวะของกรรมตอบสนอง  นี่คือรากกรรมของการเกิดการตาย และรากกรรมอันนี้ก้อยู่ที่หนึ่งขณะจิตก่อนหน้านั้น  เธอมาตั้งแต่สมัยยังไม่เริ่มต้นอวิชชาที่ทุกข์กังวล ความคิดที่เพ้อเจ้อ ใจที่ฟุ้งซ่าน  สัมผัสกับสภาวะภายนอก หรือพบกับปัจจัยภายนอก ก็หลงติดในรูปในเสียง ทำให้เธอฟั่นเฝือ  ไม่มีกรรมใดที่ไม่กระทำ เหล่านี้กลายเป็นรากเหง้าของวัฏสงสาร !  เพราะฉะนั้นเมื่อมาคิดถึงการเกิดการตายเป็นเรื่องใหญ่ต่อให้เป็นบุรุษเหล็กก็ยังครั่นคร้าม เพราะเหตุปัจจัยนี้เอง พระพุทธองค์จึงเกิดมหาเมตตาสงสาร สอนให้เธอเรียนพุทธธรรมและปฏิบัติบำเพ็ญ เรียนธรรมพิจารณาเซ็น เพื่อให้เธอขจัดล้างความคิดเพ้อเจ้อใจฟุ้งซ่านให้รู้จักเจ้านายตนเอง ให้รู้จักหน้าตาตนเองก่อนที่พ่อแม่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ต้องมีวิสัยทัศน์ยืนให้มั่น รีบเร่งทำตัวให้ใสสะอาดหลุดพ้นอย่างนี้แล้วเหมือนถึงคราวชีวิตจะดับลง ก็จะได้รับผลมาก ก็อย่างที่พูดว่า การเกิดการตายมีอิสระ ไม่มีติดขัด  การมาการไปมีเสรีอย่างนี้เรียกว่า หลุดพ้นการเกิดการตาย คนแบบนี้ซิจึงจะนับว่าเป็นมหาบุรุษที่แท้จริงล่ะ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สาม ตรวจสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/04/2011, 03:12
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์  อยู่เหนือศีรษะมนุษย์  บันทึกชั่วบาป  คอยตัดอายุขัย

อธิบาย   :  นี่เป็นการพูดถึงร่างกายของมนุษย์ อิริยาบถเดินหยุด นั่งนอน  ล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ เป็นเทพเจ้าสามองค์ ซึ่งเป็นดาวเทพเจ้าของกลุ่มดาวเหนือ จะลอยอยู่เหนือศีรษะของมนุษย์ คอยบันทึกการกระทำว่าทำบาปชั่วอะไรบ้าง กรรมที่ทำมีหนัก มีเบาแล้วนำมาตักทอนอายุขัย  พูดถึงอายุขัยของมนุษย์ ๑๒ ปี เรียกว่าหนึ่งรอบ (อิจี่) หนึ่งร้อยวันเรียกว่า  อิช้วน  ดาวเทพทั้งสามจะคอยควบคุมอายุขัยของคนว่าสั้นหรือยาว  เทพเจ้าดาวเหนือจะคอยควบคุมความดีความชั่วของคน ในพระสูตรเหตุปัจจัยว่า "ปราณของดาวเจ็ดดวงรวมกันเป็นดาวหนึ่งดวง อยู่เหนือศีรษะของคนประมาณ ๓ นิ้ว หากคนนั้นเป็นคนที่ทำความดี บนศีรษะจะมีแสงสว่าง ถ้าหากคนนั้นทำความชั่ว แสงที่ออกมาจะเป็นแสงสีเทา ถ้าหากเป็นคนที่ทำมหากุศล แสงบนศีรษะยิ่งสว่างไสว  ถ้าเป็นคนทำความชั่วมาก แสงบนหัวจะไม่มีเลย  แสงชนิดนี้จะมองไม่เห็นตัวแสง เทพเจ้าจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นิทาน   :  ในสมัยราชวงศ์ถัง มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ โหลวซือเต๋อ  ได้รับความพอใจจากฮ่องเต้ถังเกาจงมาก เขาจึงได้สนองพระเดชพระคุณต่อราชสำักมาก ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่โหลวซือเต๋อลุกจากที่นอน ก็พบดาวเทพพูดกับเขาว่า "เธอได้พลาดฆ่าชีวิตคนไป ๒ ชีวิต  โทษครั้งนี้ควรตัดอายุขัย  ๑๒ ปี  แสงบนศีรษะเธอใกล้จะดับลงแล้ว"  โหลวซือเต๋อ รู้สึกว่าดวงวิญญาณมึนงงไปบ้าง เพราะเหตุนี้เขาจึงบอกแ่ก่คนรอบข้างของเขาว่า "ตลอดชีวิตการทำงานของข้าจะระมัดระวังมาก แต่เพราะพลาดจนทำให้ชีวิตคน ๒ คนต้องตายไป ตอนนี้ก็จะให้ข้าตายเร็วขึน ๑๒ ปี ต่อมาไม่นาน  เขาก็ตายจากไปจริง ๆ

สรุป   :  ท่านจางหงจิ้งกล่าวว่า  "ตลอดชีวิตของโหลวซือเต๋อ ก็ทำงานเพื่อคนอื่น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่สำคัญต่อราชสำนัก แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นความผิดจนถูกตัดขัยไป ๑๒ ปี แล้ว  นับประสาอะไรกับบุคลทั่วไป ไม่รู้ว่าได้ทำวิบากกรรมอะไรเอาไว้มากมายแค่ไหน ขอให้ดูโหลวซือเต๋อเป็นตัวอย่าง จะไม่พยายามระมัดระวังเลยหรือ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สาม ตรวจสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/04/2011, 03:39
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในกายคน เมื่อถึงวัน แกชิง ก็ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบน รายงานความชั่วบาปของมนุษย์

อธิบาย   : 

        มีเทพสามตนที่อยู่ในกายคน ไม่ว่าจะเป็น ใจ ปาก ความคิด และ คำพูด  ไม่อาจจะปิดบังเทพทั้งสามได้  พอถึงวันแกชิง ก็คือวันที่พระเจ้าจะตัดสินความดีความชั่วของคน เทพทั้งสามนี้ก็ขึ้นไปที่ทำการของพระเจ้า รยงานความดีความชั่วของคนตามความเป็นจริงพูดถึงใจคน  ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็อยู่ในความควบคุมของเทพ  เทพสีฟ้าด้านบนชื่อ เผิงจี  สถิตอยู่บนศีรษะของคน เทพตนนี้ทำให้คนคิดคำนึงมาก  มีความอยากมาก  ทำให้คนตาลาย หน้ามืด ผมร่วง    เทพสีขาวกลางตัวชื่อ เผิงเจ๋อ  สถิตอยู่ในท้องของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบดื่มกินแล้วลืมงานมาก  และก็ทำให้ชอบความชั่ว  เทพสีเลือดทางตอนล่างของตัวชื่อ เผิงเฉียว  สถิตอยู่ที่ขาของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบกามารมณ์  ชอบฆ่าคน  ทำให้คนอยู่ไม่เป็นสุข  การกระทำของเทพ  ๓ ตนนี้ มีจุด
มุ่งหมายทำให้คนตายเร็วขึ้น จะได้ไปกินของที่เขานำมาเซ่นไหว้ เพราะฉะนั้นในวันแกชิง ตอนคนกำลังหลับสนิท ก็จะนำพาเจตภูตของคนขึ้นไปหาพระเจ้า ไปรายงานความชั่วบาปของคน เพราะฉะนั้น   เวลา ใจ ปาก ความคิด และ คำพูดของคนเพียงขยับความเคลื่อนไหว เทพทั้งสามจะได้ยินชัดเจน   คนในปัจจุบันไม่รู้จักสำรวจตนเอง ไม่รู้จักกดข่มตนเอง ไม่ทำให้จิตใจใสสะอาด มักน้อยในกามารมณ์  ท่านเฉินจื่อ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขียนกลอนไว้ว่า " ไม่เฝ้าวันแกชิง ไม่สงสัย ให้ใจนี้พึ่งธรรมเป็นนิจ พระเจ้าก็รู้การกระทำตน ต่อให้สามเทพพูดเหลวไหล"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สาม ตรวจสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/04/2011, 08:31
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

               คัมภีร์  :  ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก็เช่นกัน

อธิบาย   :  วันสุดท้ายของปฏิทินจันทรคติเช่น  เทพแห่งเตาไฟก็เหมือนกัน วันนี้เป็นการพูดถึงครอบครัวของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์ล้วนอยู่ในการเฝ้ามองของเทพ เทพแห่งเตาไฟจะควบคุมชะตากรรมของคนทั้งบ้าน เพราะฉะนั้น จึงเรียกผู้บัญชาการ ไม่ว่าชายหญิงเฒ่าวัยในบ้าน ที่ทำบาปไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เทพเตาไฟจะตรวจสอบหมด พอถึงวันสิ้นเดือน ก็จะขึ้นไปรายงสนสองเทพ คือ สุริยันจันทรา ทั้งยังไปบันทึกความผิดลงในสมุด การกระทำของชาวโลกรู้เพียงความสุขเฉพาะหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องถามว่าเทพเจ้าแห่งเตาไฟคอยจดความผิดหรือไม่

นิทาน   :  แถวเมืองจุ่นจวิน มีนักศึกษาคนหนึ่ง แต่ละครั้งที่เมาสุราเขาก็จะลวนลามสาวใช้ในบ้าน สาวใช้รู้สึกอับอาย ก็จะแข็งขืนต่อการลวนลาม ด้วยเหตุนี้เธอก็จะหาโอกาสหลบหนีจากเจ้านาย  ขณะนั้น  พอดีเป็นวันสิ้นเดือนพอดี นักศึกษาคนนั้นกำลังนอนถึง ตี ๔  ภรรยาเขาตื่นขึ้นมาเรียกเขาให้ตื่นแล้วก็เล่าให้ฟังว่า "เมื่อครู่ฉันได้เห็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง  บนศรีษะสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยม กายสวมเสื้อสีดำ ทรงม้าวิ่งไปทั่ว พกสมุดติดตัวแล้วก็มุ่งมาทางฉัน ชี้มาที่ฉันแล้วก็ขีดลงในสมุดจากนั้นก็วิ่งออกไป ฉันฟังไม่ชัดเจนและก็ไน่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน เพียงรู้สึกว่านาเกรงขาม ฉันก็ตกใจตื่นขึ้นมา" นักศึกษาคนนี้ฟังภรรยาเขาพูดเช่นนี้ ทำให้รู้สึกขนลุกซู่ซ่านเข้าไปในกระดูก แล้วก็พูดกับภรรยาว่า เทพเจ้าองค์นี้คงจะเป็นเทพเจ้าแห่งเตาไฟ  ต่อมาภายหลังเขาก็แต่งงานให้กับสาวใช้ให้กับผู้อื่นไป หลังจากนั้นก็พูดกับภรรยาเขาว่า "เมื่อก่อนโน้นที่เธอได้ฝันว่าเทพเตาไฟชี้มือมาที่เธอนั้น เป็นเพราะฉันเมื่อก่อนชอบลวนลามสาวใช้คนนี้ แต่เป็นเพราะเธอแข็งขืนต่อต้านจึงรอดตัว ไม่คิดว่าวันนี้เทพเจ้าก็มาตักเตือน ฉันคิดว่าเรื่องนี้แม้จะยังไม่สำเร็จล่วงละเมิด แต่ในใจก็มีบาปบันทึกแล้ว เพราะฉะนั้นจึงถูกเทพเจ้าเตาไฟ  จดบันทึกลงสมุดเพื่อรายงานเบื้องบน เมื่อก่อนนีฉันไม่กล้าบอกกับเธอ เป็นเพราะกลัวเธอจะระแวงและกลัว่าเธอจะทำสาวใช้คนนี้เดือดร้อน วันนี้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของสาวใช้ประการหนึ่ง  และแสดงถึงความผิดที่ฉันได้ล่วงละเมิดไปแล้วอีกประการหนึ่ง เป็นการสำนึกผิดต่อเธอด้วย ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สาม ตรวจสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/04/2011, 09:43
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ผู้มีความผิด มหันต์ตัดขัยหนึ่งรอบ  ลหุตัดขัยร้อยวัน

อธิบาย   :  ใครก็ตามที่เคยทำความผิดมาแล้ว ก็ยากที่จะหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเทพเจ้าได้ คนที่ทำความผิดไว้มากก็จะถูกตัดอายุขัยหนึ่งรอบ คือ ๑๒ ปี   คนที่ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกตัดอายุขัยครั้งละหนึ่งร้อยวัน อันนี้เป็นการกำหนดบทลงโทษ ประโยคนี้มีความหมายคือ ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกาย ใจ หรือครอบครัว ทุกหนแห่งล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้คนระมัดระวัง ภายหลังคนปฏิสนธิขึ้นในครรภ์แล้ว  ช่วงอายุขัยจะเพิ่มหรือลดล้วนมีบันทึกไว้แล้ว ท่านไท่ซั่งได้บัญชาให้เทพเจ้าทั้งหลายว่า "พวกท่านที่เข้าตรวจสอบความดี ความชั่วของคน ต้องกำหนด ๓ วันพูดหนึ่งครั้ง ๑๐วันกราบทูลครั้งหนึ่ง  ๑๐๐ วัน หนึ่งสรุปยอดครั้งหนึ่ง หากเป็นการทำความดีสร้างกุศล คน ๆ นี้ก็สามารถที่จะยึดอายุให้ยาวขึ้น หากเป็นการทำชั่วก็ให้ตัดทอนอายุขัยทันที" เพราะฉะนั้น  โทษเบาโทษหนัก ก็ตัดทอนร้อยวันหรือหนึ่งรอบ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากนะ !

นิทาน  ๑   :  ในสมัยราชวงศ์หมิง มีพระภิกษุนิกายเทียนไถ คือ พระธรรมาจารย์หวังปี้หยู ในสมัยหนุ่มเขาสามารถสอบบรรจุรับราชการได้ จึงถูกส่งไปเป็นนายอำเภอชินจิน เขาเป็นผู้รักษาศีลมาแต่เด็กแล้ว เขาจะไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักขโมย  ไม่ละเมิดกาม  ไม่พูดหลอกลวง ศีล ๔ ข้อนี้เขารักษามาตลอด จนกระทั่งเข้ารับราชการเขาก็เลิกรักษาศีล ต่อมาเขาได้รับคำสั่งให้เ้ข้าเฝ้า  เขานั่งเรือมาในระหว่างทาง ขณะที่เรือแวะพักที่ทะเลสาบบู่หู วิญญาณถูกยมทูตพาไปยังยมโลก เขาเห็นเจ้ายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ข้าง ๆ มียมทูต ๒ ตนอยู่ซ้ายขวา เจ้ายมบาลเรียกชื่อของเขา และก็ดุใส่เขาว่า "หวังปี่หยู อายุขัยของเจ้าจบลงแค่เดือน ๘ เมื่อปีก่อนเท่านั้น แต่ที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ก็ด้วยแรงกุศลที่ถือศีลเจมา แล้วทำไมตอนนี้จึงเลิกเสียเล่า" เจ้ายมบาลพูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำสมุดบันทึกให้หวังปี่หยูดู  หวังปี่หยูเห็นชื่อเขาและบันทึกรายการของวันเดือนปีต่าง ๆ แต่พอถึงเดือน ๘ ปีกลาย ก็จบลง เขาเห็นแล้วก็ก้มกราบยมบาลว่า "ตอนรับราชการไม่มีความสะดวกในการกินเจ เลยเลิกถือศีลเจ อันนี้เป็นเพราะจำใจ"  เจ้ายมบาลว่า "เจ้าพูดพอมีเหตุผลบ้าง แต่อายุขัยของเจ้าหมดแล้ว" พูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำเขาเข้าไปในนรก ตอนนี้ผีร้ายต่าง ๆ ก็รุมเข้ามา ทำท่าจะเข้ามาจับอย่างนั้น ขณะนั้นยมทูตที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของยมบาลก็พูดขึ้นว่า "หากไม่เป็นไรก็เอาเรื่องต่างๆ ที่หวังปี่หยูเลิกถือศีลมาสำรวจดูบ้าง" ไม่นานนัก เหล่าสมุนยมทูตกนำเอาหีบใหญ่ ๆ ๒ หีบยกมา ล้วนเป็นงานที่หวังปี่หยูทำภายหลังรับราชการ ไม่ว่าจะเป็นจดหมาย หรือบทความ หรือข้อเขียนต่าง ๆ ในแต่ละวัน ล้วนปรากฏมีปราณกระเพื่อมขึ้นมา บ้างสีเขียว สีดำ สีแดง สีขาว แตกต่างกัน เจ้ายมบาลสั่งให้แยกเป็นพวก ๆ แล้วตรวจสีเขียวกับสีดำก่อน วางไว้กองหนึ่ง ต่อไปตรวจสีขาวแล้ววางไว้อีกกองหนึ่ง ตรวจดูสีแดงแล้วไว้ที่เดียวกัน  ตอนนี้สีเขียวอันตธานหายไป สีดำก็หดเล็กจนเหลือแค่ตะเกียบอันหนึ่ง ส่วนสีแดงกลับปรากฏเด่นชัดขึ้น หวังปี่หยูเห็นกองสีแดงชัดเจน ที่แท้เป็นบทวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร คัมภีร์ปฏิสนธิดี เมื่อสมุนยมทูตตรวจเสร็จ ตอนนี้น้ำเสียงของเจ้ายมบาลนุ่มนวลขึ้นจึงพูดกับยมทูตซ้ายมือว่า "เอ้อ ! เจ้ายังรู้จักสั่งสมบุญกุศล พอมีเหตุผลให้มีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทำลายอวัยวะของเขาให้กายสังขารเขาอยู่ได้ ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ !  พูดจบก็ให้สมุนยมทูต เข้ามาควักลูกตาสองข้าง แล้วเอาวางไว้บนหัวเสาบนบัลลังก์ แวตาก็ยังแวววับส่องได้รอบ ๆ ตอนนี้หวังปี่หยูนึกขึ้นได้ "ตาของฉันถูกควักออกไป จะมองเห็นได้อย่างไร" แค่พริบตาเขาก็เป็นลมล้มลง ยมบาล ยมทูตก็หายวับไป ต่อมาก็มีใครตบหลังเขาเบา ๆ พูดว่า "หวังปี่หยู เดินเถอะไปได้แล้ว ! " แพล็บเดียวเขาก็ล้มลงตกใจตื่นขึ้นมา วันรุ่งขึ้นตาเขาก็บอดทั้งสองข้าง  ดังนั้น  เขาจึงละทิ้งครอบครัวไปปฏิบัติธรรม ต่อมาเขาก็บรรลุธรรม ตาทั้งสองก็กลับมองเห็นได้อีก หวังปี่หยูก็ออกจาริกไปทั่ว เห็นสัจธรรมประจักษ์แจ้ง บำเพ็ญวิถีมหาเมตตา จึงมีชีวิตต่อมาอีก ๑๒ ปี   จากชีวะประวัติของหวังปี่หยู นอกจากปราชอริยเจ้าแล้ว คนต้องรู้ว่าแต่ละวันไม่มีหรอกที่ไม่ทำผิด หากสามารถหันกลับแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็สามารถแก้ไขความผิดได้ มิฉะนั้นแล้วเหตุที่ก่อไว้อยู่ไม่ไกลนักหรอกทั้งวิบากกรรมที่สร้างเพิ่มอีกในภายหลัง แม้จะมีบุญตอบสนองที่มีมากหรือลูกหลานมีมากก็ตามเถอะ เมื่อลมหายใจขาดผึงลง อะไร ๆ ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ มีแต่เวรกรรมที่ตนทำเอาไว้ติดตามตัวไป ตอนนั้นก็จะเห็นเจ้ายมบาลตรวจสอบก็ทุกข์ลำบากเสียแล้ว สมบัติเอาไปได้ไหม ลูกหลานรับหนี้แทนเธอได้ไหม เราต้องคิดใคร่ครวญให้ดี ๆ !

นิทานที่  ๒   :  ในสมัยราชวงศ์ซ่ง นางหูจงสิ้ง  มีฐานะร่ำรวยและชอบบริจาคมาก แต่พออายุได้ ๓๕ ปี เขาก็ล้มป่วยกะทันหัน การเจ็บป่วยทรุดหนักจนอันตราย ทั้งตนเองก็พูดถึงเรื่องยมโลก เขาได้พบกับเพื่อนเก่า ๆ หลายคนถามเขาว่า "ท่านผู้มีพระคุณ ! ทำไมท่านจึงมาถึงที่นี่เล่า ! เพื่อนเก่า ๆ ต่างพากันช่วยก้มคำนับต่อยมทูตตนหนึ่งเพื่อไต่ถาม ยมทูตพูดว่า "หูจงสิ้ง คนนี้เดิมทีมีดวงชะตาเป็นผู้อดอยากเพราะว่าเขาเป็นผู้ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้น จึงตั้งตัวได้และจะมีอายุขัยถึง ๕๙ ปี แต่ว่าตนเองไม่จุดธูป นอนดึก  บุ,กุศลหมดสิ้นแล้วตอนนี้" เพื่อนเก่ายังพูดว่า "ไม่จุดธูปเพราะใจไม่เคารพฟ้าดิน นอนดึกเพราะมีใจหมกมุ่นในกาม ทำไมจึงว่าเป็นเรื่องที่ผิดเล็ก ๆ " พอพวกเขาได้ยิน ต่างพากันตกใจมองมาทางหูจงสิ้งแล้วพุดว่า "ผู้มีบุญกุศลเช่นหูจงสิ้ง เป็นเพราะแค่เรื่อง ๒ เรื่องก็ถูกตัดอายุขัย แล้วคนทั่ว ๆ ไปจะปล่อยปละละเลยตนเองได้หรือ"  ต่อมาไม่นานนัก หูจงสิ้งก็ตายไป

สรูป   :  ควรรู้ว่าอายุขัยเป็นสิ่งที่คนได้มาด้วยยาก มักถูกตัดอายุขัยไปโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงสอนหลักธรรมเหล่านี้ให้ฟังก็เพื่อตักเตือนชาวโลก ต้องสนใจระมัดระวังความคิดของตน อย่าได้คิดผิดไปนิดเดียว บุญวาสนาที่สามารถเสวยได้ก็จะหลุดลอยไป ท่านไท่ชั่งมีมหาเมตตาต่อชาวโลกเสียจริงเลย   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สาม ตรวจสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/04/2011, 14:40
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ
                                     
            คัมภีร์  :   ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

อธิบาย  :  เรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นโทษบากเป็นเวรกรรม ทั้งบาปมาก บาปน้อย  มีเป็นร้อย ๆ เรื่อง คนที่คิดจะมีอายุให้ยืนยาวก็ต้องหลบเื่ิลี่ยงเวรกรรมเหล่านี้  ท่านไท่ชั่งจะสอนคนให้หลีกเลี่ยงการทำความผดไว้ก่อน บอกด้วยว่ามีมากมายเป็นร้อยเรื่อง  ก็มีการยกตัวอย่างไว้บ้างในคัมภีร์เริ่มต้นจาก  "อะไรไม่ถูกต้องไม่กระทำ"  ถึง  "ตายก็ยังเกินเลย"  บาปกรรมที่ทำดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นที่พูดถึงการตัดทอนอายุขัย ซึ่งสอนคนให้ณุ้จักระมัดระวัง พอมาถึงตอนนี้ก็มาพูดถึงการมีชีวิตยืน เป็นการสอนคนให้รู้จักนิยมชมชอบ กล้าหาญที่จะแก้ไขความผิดหันมาทำความดี ถึงแม้จะเป็นความผิดเล็ก ๆ น้อยๆ ก็ไม่กล้าทำ อย่างนี้ก็ต้องอายุยืนยาวเป็นผลตอบแทน  โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ล้วนต้องสั่งสมบุญกุศล อบรมตนเองด้วยคุณธรรมเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐาน ถ้านำเอาหลักปฏิบัติของท่านขงจื่อมีหลัก "สี่ตรงร้อยกระทำ"  ในพุทธธรรมมี "บารมีหก"  ทางลัทธิเต๋ามี "สามพันบุญแปดร้อยกุศล"  เหล่านี้ล้วนเป็นการสั่งสมบุญกุศล หลบเลี่ยงบาปทั้งสิ้น ดังนั้น  การที่จะคิดสั่งสมบุญกุศลเพื่อแก้บาป ก็ต้องเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด หากจะเรียนรู้ถึงธรรมอันสูงสุด ก็ต้องมีความเข้าใจแจ่มแจ้งในใจตน เพราะว่าใจคือองค์ธรรม  และธรรมก็คือกิริยาของใจ หากคนสามารถสำรวตรวจตราใจเพ่งจิต จนเห็นองค์ธรรมกลมสว่างจนปรากฏตรงหน้า เป็นกิริยาที่ไม่มุ่งหวังไม่กระทำ ก็สำเร็จได้เอง ไม่ต้องอาศัยบารมีอะไรก็จะสามารถหลุดฉับพลันถึงฝั่งโน้น นี่ถ้าไม่ใช่บำเพ็ญจนใจโปร่งใสแล้ว จะสามารถทำให้ความคิดต่าง ๆ ห่างหายไปฉับพลันได้หรือ ฝุ่นกิเลสไม่อาจเปรอะเปื้อนได้ มูลใจอิสระ ตั้งใจไม่เกิดแน่นอน เพราะฉะนั้น คนที่บำเพ็ญจนองค์ธรรมสว่าง ไม่ทำให้กายสังขารไปถ่วงจิตเดิมไม่ถูกสภาวะภายนอกมาทำให้ใจจริงของตนสับสน สามารถตอบรับกับสรรพสิ่งตามกลไกลสัมพันธ์ ก็จะมีหลักธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับเหลืออยู่นี่ก็คือการเข้าถึงธรรมอันสูงสุด
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สาม ตรวจสอบ นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/04/2011, 15:00
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ
                                     
            คัมภีร์  :   ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

นิทาน   :  มีเทพธิดานางหนึ่งนามว่า  หยางเจิ่นเจี้ยน  นางบำเพ็ญบารมีอีกไม่นานนักก็จะได้สัจจะแล้ว  แต่พระเจ้าติเตียนนางว่าตอนยังเป็นเด็ก พ่อแม่ของนางกำลังเตรียมเงินจะไปเสียภาษี  หยางเจิ่นเจี้ยน เห็นเข้า นางก็เลือกเอาเหรียญที่กลมและดีที่สุด แค่ 2 อีแปะเท่านั้นเก็บซ่อนไว้ นี่เรียกว่าเก็บซ่อนของทางการ เพราะฉะนั้น  พระเจ้าจึงมีบัญชาทำโทษให้นางต้องอยู่ในโลกมนุษย์อีกหนึ่งปี พระจื่อชวีหยวนจวิน กับ เหมาจวิน  ซึ่งสถิตอยู่ที่ประสาทชิงชวี มีหน้าที่ตรวจสอบกำหนดความได้เสียเรื่องราวต่าง ๆ ของเทพเซียนใต้หล้า เพียงรอบตัวก็ลบเทพเซียนออกไปถึง ๔๗  คน  หลังจากลบออกไปแล้วก็ตรวจสอบใหม่ มีแค่  ๒  คน  ที่ผ่านได้และถูกเขียนชื่อบนกระดาน นี่ก็คือพวกเขายังมีใจใคร่อยากในกามแล้วมาบำเพ็ญสัจจะ อย่างนี้จึงมีความผิดแล้ว อย่าว่าเก็บซ่อนเงินแค่ ๒ อีแปะ  ที่เป็นความผิดเล็กน้อยมาก โดยเฉพาะการบำเพ็ญของเซียนอยู่ที่ผลความดีความชั่วที่เทียบปริมาณกันแล้ว ยังถูกกล่าวโทษตำหนิติเตียนอย่างเข้มงวด นับประสาอะไร  กับคนที่ทำผิดตามอำเภอใจ โดยไม่รู้จักหลีกเลี่ยง
        ในสมัยราชวงศ์หมิง  โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน  มีวิธีแก้ไขความผิดพูดไว้ละเอียดอยู่  หากยังมีความก้าวหน้้าก็เอาเป็นตัวอย่างไปแก้ไขได้
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/04/2011, 07:18
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   เป็นธรรมให้เดินหน้า  ไม่ใช่ธรรมให้ถอย

อธิบาย  :   จะทำเรื่องสักอย่างหนึ่ง ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะลงมือทำว่าเรื่องที่จะทำมีหลักธรรมหรือไม่ ถ้าถูกหลักธรรมก่อนเดินหน้าทำต่อไป ถ้าไม่ถูุกหลักธรรมก็ให้ถอยเลิกทำเสีย  ข้อความตอนนี้คือ เริ่มจากคำนี้จนถึง ทำความดีสามร้อยกุศล  เป็นหลักการสำคัญที่ท่านไท่ชั่งเหลาจวิน ให้กระทำความดีเพื่อสั่งสมบุญกุศล เป็นการสอนให้คนน้อมนำไปปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติได้ก็เป็นการกวักบุญวาสนามาเป็นผลตอบสนอง ธรรมก็เหมือนถนนใหญ่ เป็นไปตามหลักธรรมฟ้า เข้ากับใจคน ต้องเป็นทางเรียบและตรงจึงเป็นทางธรรม หากเป็นการฝืนหลักธรรมฟ้า ขัดใจคร ทิ่มแทงติดขัดนั่นไม่ใช่ธรม  ในคัมภีร์ตั้งแต่คำว่า "ไม่ใช่เดินทางชั่ว"...จนถึง...ให้เขาไม่นึกเสียใจ"  ล้วนเป็นทางธรรมทั้งสิ้น แลก็เป็นการสร้างกุศลซึ่งเป็นบทที่สี่ทั้งบท และตั้งแต่ "หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง...จนถึง...ฆ่าเฒ่าฆ่างูไร้เหตุ ซึ่งเป็นทางชั่วบาป จัดเอาไว้ในบทที่หกคือชั่วบาป
        เป็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย  คำ  "ให้"  นี้แสดงถึงความหนักแน่นมีกำลัง เพราะว่าความผิดความถูกอยู่ที่ความคิดที่รู้จักแยกแยะ จะเดินหน้าหรือถอยก็ให้ตัดสินทันที จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ต้องตัดสินใจให้แน่วแน่ลงไปเลย ห้ามมีใจที่ลังเลไม่แน่ใจ เพียงแค่ความคิดที่เปลี่ยนเท่านั้นก็จะตกอยู่ในกำมือมาร จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ ทุกเรื่องต้องระมัดระวัง สมมุติคนในบ้านไม่เห็นตามความคิดของตนเอง จะเกิดความกังวลไหม จะมีชีวิตที่สุขสบายหรือไม่ เกิดความโลภหรือไม่ ถ้ารายได้เข้าบ้านไม่มาก รู้จักไปหาวิะ๊หาเงินหรือไม่ ถ้าเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันจากไป เราจะเกิดเบื่อหน่ายท้อถอยหรือไม่ เหล่านี้เป็นต้น ล้วนทำให้สูญเสียธรรมทางใจไป แล้วก้เข้าสู่ทางไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยปละดูแคลน
        คำว่า "ธรรม"  ในคัมภีร์ทางสายกลาง (จงหยง) ของท่านขงจื่อที่กล่าวไว้ว่า "โองการฟ้าคือจิต คล้อยตามจิตเรียกว่าธรรม" ธรรมนี้ก็อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือนิ่งเฉย หรือเคลื่อนไหว หรือเงียบ ล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น  เพียงต้องเข้าใจหลักธรรมของมันให้ถูกต้อง พอนำไปปฏิบัติก็มีความก้าวหน้าชาญชัย คุณธรรมโบราณก็กล่าวไว้ "มหาธรรมอยู่ตรงหน้า มองไปเห็นยาก  อยากเห็นองค์แท้ของมหาธรรม ไม่ห่างจากรูปเสียงวาจา"  ในคัมภีร์เต๋า (ต้าเต๋อจิง) กล่าวว่า "คนในระดับสูงได้ฟังเต๋า ก็มานะปฏิบัติตาม (บทที่๔๑)" คัมภีร์มองภายใน (เน้ยกวงจิง) กล่าวว่า "รู้ธรรมง่ายเชื่อธรรมยาก เชื่อธรรมง่าย ปฏิบัติธรรมยาก" อวตํสกสูตร (ฮั่วเอวียนจิง) กล่าวว่า " ศรัทธาเพื่อธรรม คือแม่บุญ เจริญเลี้ยงรากกุศลทั้งปวง ขจัดตัดสงสัย หลุดพ้นตะข่ายนทีรัก แนะนำนิพพานธรรมสูงสุด" เพราะว่าองค์ธรรมของทุก ๆคน บริบูรณ์พออยู่แล้ว ถึงแม้จะจมปลักอยู่ในกามคุณนานาชนิด ถ้าหากยอมเอาใจย้อนแสงส่องตน เช่นนี้แล้วภายในจะเป็นจริงหรือปลอม จะปกปิดสักนิดก็ไม่อยู่ นี่แหละที่เรียกว่า "หลักธรรมฟ้าองค์ธรรมไม่หยุด" ถ้าหากสามารถขยายทำให้มันเต็มเปี่ยม ถึงแม้จะผ่านไปเป็นหมื่นกัป หรือเกิดสักพันครั้ง มันก็จะไม่ร่วงตกอีก เพราะฉะนั้น หากมนุษย์สามารถรู้จักปฏิบัติเข้าเป็นที่หนึ่ง ก็จะหลุดพ้นปุถุชนสู่อริยชน ก็คงไม่ยากใช่ไหม  !  นี่เป็นสัจจริงนะ  !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/04/2011, 08:30
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   เป็นธรรมให้เดินหน้า  ไม่ใช่ธรรมให้ถอย

นิทาน ๑   :  สมัยก่อนมีชาวนาคนหนึ่ง ถูกเสือดัดเอาจนบาดเจ็บสาหัส พอมีคนพูดถึงเสือกัดคน ทุกคนฟังแล้วก็มีการหวาดกลัว แต่ชาวนาคนนี้ถึงกับมีสีหน้าถอดสี ซึ่งไม่เหมือนกับคนทั่วไป การที่เสือกัดคน ทุกคนก็พอที่จะเข้าใจถึงอันตรายของมัน แต่สำหรับคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาจะเข้าใจลึกซึ้งกว่า ดังนั้นเมื่อมีผู้พูดถึงเสือกัดคน คนทั่วไปก็พากันหวาดกลัวเท่านั้น แต่สำหรับชาวนาผู้นี้แล้ว เขาจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการกัดของเสือเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นหน้าตาก็จะถอดสีเมื่อได้ยินคนพูดถึงเสือ

นิทาน  ๒  :  ในสมัยฮั่น  มีมหาบัณฑิตนามว่า  กวนหนิง และ ฮั่วอิน  ทั้งสองทำไร่อยู่ด้วยกัน กวนหนิงขุดดินพบก้อนทองอยู่หลายครั้ง เขาก็ไม่สนใจแม้จะมองดู  แต่ฮั่วอินเก็บมันขึ้นจากดิน แล้วโยนออกไปข้างทาง ต่อมาเกิดสงคราม กวนหนิงจึงย้ายหนีสงครามไปอยู่ที่เหลียวตง ท่านกงซุนตู้แห่งเหลียวตง ให้ความนับถือต่อกวนหนิงมาก กวนหนิงก็วางตนเฉย ท่านกวนหนิงอาศัยอยู่ที่บนเขา และก็มีหลายคนติดตามขึ้นไปอยู่บนเขาด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง วัวของคนใกล้เคียงเขาไปย่ำเหยียบนาของกวงหนิงเสียหาย กวนหนิงจึงจูงวัวออกไปเลี้ยงตามทุ่งหญ้า ทางเจ้าของวัวรู้เข้าจึงรู้สึกขายหน้า ก็มาขอโทษกวนหนิง บริเวณที่กวนหนิงอาศัยอยุ่ชักจะมีผุ้คนพากันมาอยู่มากขึ้น กวนหนิงจึงเปิดการอบรม อบรมคนแถวนั้นให้รู้จักจริยธรรม รรู้จักรักษาตนให้ซื่อสัตย์สุจริตและมีความละอาย หากผู้ที่มาขอพบไม่ได้มาเพื่อเข้าอบรม เขาก็จะไม่ให้พบหน้า จากการอบรมของกวนหนิง ไม่นานนักก็แพร่กระจายไปทั่วเหลียวตง ชาวบ้านที่ได้รับการอบรมก็มีคุณธรรมสูง จนมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงนิสัยอันไม่ดีของชาวบ้านได้ แต่ละครั้งที่กวนหนิงได้พบหน้ากับกงซุนตู้ ก็จะพูดคุยกันแต่เรื่องคุณธรม เรื่องทางโลกเขาจะไม่พูดถึงกันเลย  กงชุนตู้เห็นความเป็นนักปราชญ์ของกวนหนิง เป็นเวลายาวนานถึง ๓๗ ปี ต่อมากิตติศัพท์ได้ยินไปถึงราชสำนัก ทางราชสำนักจึงมีราชโองการให้กลับมาที่เมืองหลวง โดยทางเรือ เดินสมุทร พอดีกเิดลมพายุ เรือใกล้จะจมลง ชาวเรือต่างร้องขอฟ้าช่วย ส่วนกวนหนิงก็ได้แต่นั่งนิ่งเฉยกล่าวว่า "ข้ากวนหนิงตลอดชีวิตเคยทำผิดครั้งหนึ่งคือไม่ได้สวมหมวกในตอนเช้า เข้านอนดึกมี ๓ ครั้ง ครั้งหนึ่งเข้าห้องส้วมไม่ได้สวมหมวก ที่ทำผิดมาตลอดก็มีเพียงเท่านี้ !"  (คงเป็นกฏระเบียบของลัทธิขงจื่อ)  เรือลำอื่น ๆ ที่แล่นมาด้วยกันล่มจมหมด  มีแต่เรือของกวนหนิงที่นั่งมาเพียงลำพังลำเดียวที่ไม่จม เมื่อมาถึงราชสำนัก ทางราชสำนักจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เขาไม่ยอมรับ แม้แต่ท่านฮั่วอิน จะยกตำแหน่งของตนให้  เขาก็ปกิเสธไม่ยอมรับ  กวนหนิงมีชีวิตถึง  ๘๔ ปี ม้านั่งไม้กับบริเวณที่คุกเข่าล้วนทะลุเป็นรูแล้ว เพราะกวนหนิงไม่ได้ใช้นานถึง  ๕๐ ปีเลยทีเดียว  ญาติหรือเพื่อนบ้านที่ยากจนไม่มีข้าว กวนหนิงก็จะแบ่งปันให้เพื่อจุนเจือพวกเขา ถ้ากวนหนิงได้พบลูกหลานของชาวบ้าน ก็จะพูดหลักกตัญญูแก่พวกเขา  ถ้าพบคนที่เป็นน้องเขา ก็จะพูดหลักความรักในสายเลือด หากพบกับผู้ทำราชการก้พุดถึงเรื่องจงรักภักดีให้ฟัง หน้าตาของกวนหนิงไม่เพียงน่านับถือ แม้แต่วาจาก็นิ่มนวล ถ้าหากสามารถชักจูงคนมุ่งสู่ความดี ก็จะสามารถกล่อมเกลาคนได้มากทีเดียวนะ  !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/04/2011, 01:33
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   
                                     
            คัมภีร์  :   ไม่ดำเนินทางชั่ว  ไม่แอบรังแกข่มแหง

อธิบาย  :  สถานที่ที่ไม่ดี อาทิเช่น บ่อนการพนัน  โรงอาบอบนวด ซ่องโสเภณี ดิสโก้เทค  ร้านคาราโอเกะ เป็นต้น  สถานที่เหล่านี้ต้องถือว่าเป็นทางชั่ว  จะต้องหลบเลี่ยงไม่ไป ในสถานที่มืดสลัว คนอื่นมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน  หรือในที่ลับตาซึ่งง่ายต่อการทำชั่ว สถานที่เหล่านี้คือ เขตแบ่งระหว่างความดีความชั่ว ต้องรู้จักหักห้ามใจไม่ก้าวล่วงเข้าไป และก็ไม่ยอมข่มเหงรังแกใครเป็นอันขาด คัมภีร์สองคำนี้ บอกให้รู้จักหลบเลื่องแล้ว ที่สำคัญก็คือ ตักเตือนคน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการทำดี "ไม่ดำเนินทางชั่ว"  เป็นความสง่าผ่าเผยของจิตใจ ถึงแม้จะเป็นทางชั่วเล็ก ๆ  เช่น ร้านคาราโอเกะ มีความผิดเล็กน้อยก็ตามถ้าตัดขาดได้ไม่ไปเสีย ทางชั่วใหญ่ เช่นบ่อนการพนัน โรงอาบอบนวด โสเภณี  เราก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี แน่นอนยิ่งต้องละเว้น ในที่ลับตาไม่มีคนเห็นก็เป็นที่ทำชั่วได้ง่าย ถ้าในใจเราสามารถปัดกวาดให้สะอาดโปร่งใส ถึงเห็นจะอยู่ในห้องที่ผู้อื่นไม่เห็น นอกจากตนเอง เราก็จะไม่ยอมทำเรื่องชั่วร้ายเป็นอันขาดได้แล้ว ยิ่งในที่แจ้งก็ไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วมาทำบุญสร้างกุศล มาทำเรื่องดีงามต่าง ๆ ได้ก็จะทำได้ตลอดไม่ติดขัด  เราต้องรู้ว่าบุญวาสนามาจากการให้ทดแทนคุณ หากใจเราคิดแสวงหาบุญวาสนา แม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นทางชั่วแล้วนะ ! เพราะฉะนั้น การจะสร้างบุญวาสนาให้กับลูกหลาน จึงไม่ควรที่จะอธิษฐานขอให้ลูกหลานมีบุญวาสนา เช่น สะสมที่ดินสร้างบ้านใหญ่โต ผูกพันจับแต่งงาน ดิ้นรนยื้อแย่ง ซื้อเกียรติยศ  เหล่านี้เป็นการทำแทนลูกหลาน ช่วยหาบุญวาสนาให้ ต้องรู้ว่ารูปลักษณ์การสร้างบุญวาสนา หากมองภายนอกแล้ว ถึงแม้จะดูเงียบ ๆ เฉย ๆ แต่ก็สามารถทำให้ลูกหลานยืนยาวและเจริญนาน  ถ้ารูปแบบการสร้างบุญวาสนาดูภายนอกเห็นเป็นเอิกเกริกฟู่ฟ่า การตอบสนองบุญวาสนาของลูกหลานก็จะสั้นลง
        การมีชื่อเสียงเกียรติยศ ถ้ามีชื่อแท้จริงสมลักษณะก็ไม่เป็นไร คือดีจริงมีคุณสมบัติจริง  หากใจอยากให้ดังทั่วเมือง ให้คนตีร้องป่าวประกาศ อย่างนี้เป็นทางชั่ว เพราะฉะนั้น ควรรู้จักถนอมชื่อไม่ใช่เป็นการสร้างชื่อสร้างภาพ หากรู้จักเรียนวรรณกรรม มีสมบัติผู้ดี เตือนให้ระมัดระวังการรับการให้ พึงใส่ใจความสง่าผ่าเผย  เช่นนี้ถือเป็นการถนอมชื่อ ถ้าวิ่งเต้นให้มีชื่อในบอร์ด เบ่งอำนาจอิทธิพลแสดงความหยิ่งยโส  ออกกีริยาไพร่สามัญ อย่างนี้เป็นการสร้างชื่อ เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ถนอมชื่อจะปรากฏความนิ่งเงียบสงบและดูเป็นมงคล ส่วนคนที่สร้างชื่อก็เห็นอึกทึกครึกโครม ดูกะเร่อกะร่า !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/04/2011, 14:27
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน ๑  :  ในสมัยหมิง มีคนชื่อหยางจื่อ เป็นชาวอำเภออู๋ เมืองเจียงซู เป็นข้าราชการตำแหน่งช่างชู คืนหนึ่งเขาก็ฝันว่า เขาไปเที่ยวสวนแห่งหนึ่ง แล้วก็เด็ดผลไม้ติดมือมาสองผล กินเข้าไป พอตื่นขึ้นมาก็ให้รู้สึกเจ็บใจตัวเองแล้วพูดว่า "นี่แสดงว่ายามปกติฉันขาดความซื่อสัตย์ เห็นแก่ได้ รู้สึกไม่ลึกซึ้งดี จึงเป็นเหตุให้ฉันต้องขโมยผลลี้ของคนอื่นกิน" ด้วยเหตุนี้เขาจึงลงโทษตนเอง โดยไม่กินข้าวอยู่หลายวัน

นิทาน  ๒  :  เมื่อก่อนโน้นมีสามเณรรูปหนึ่งอายุ ๘ ปี นามว่า เหมี่ยวหยวน  เขามีภิญญาาได้มรรคผลแล้ว ครั้งหนึ่งเขาลอยเข้าไปในราชวัง ฮองเฮาต้องการอุ้มเขา สามเณรเหมี่ยวหยวนไม่ยอม จึงทูลฮองเฮาว่า " อุ้มหม่อมฉันไม่่ได้ ฮองเฮาไม่ควรเข้ามาใกล้หม่อมฉันหม่อมฉันออกบวชแล้ว"  ฮองเฮาก็ตรัสว่า " เจ้ากับลูกชายข้าเล็กเท่ากัน ให้ข้าอุ้มเจ้าหน่อยจะเป็นไรไป" เหมี่ยวหยวนทูลว่า "เราเอาเรื่องมิตรไมตรีมาเปรียบเทียบ ก้อย่่างที่ฮองเฮาตรัสเมื่อครู่นี้ แต่มิตรไมตรีเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ  ก็เหมือนเชื้อไฟเล็ก ๆ ขนาดดาวก็สามารถเผาผลาญป่ากว้าวใหญ่ไพศาล ถ้าเปรียบเหมือนหยดน้ำ ก็ยังสามารถผ่านซึมขุนเขาใหญ่โตได้ อะไรที่เป็นเรื่องอารมณ์ ก้เริ่มจากทีละน้อย จากเล็กก็กลายเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญาก็จะหลบหลีกการติเตือนสงสัย นี่ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าป้องกันเรื่องเล็กไว้ก่อน

นิทาน ๓  :  ในสมัยฮั่น นายหยางจิ้น เป็นผุ้ว่าราชการเมืองตงไหล มีครั้งหนึ่งผ่านมาที่อำเภอที่ตนปกครอง นายอำเภอหวังมี่่ ก็เป็นบุคคลที่เขาคัดเลือก ตกกลางคืน นายอำเภอหวังมี่ ก็นำเอาทองคำเข้ามาหานายหยางจิ้น หวังมี่พูดว่า "ค่ำมืดอย่างนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้" หยางจิ้นว่า "ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ ทำไมจึงพูดว่าไม่มีใครรู้" หวังมี่ได้ยินแล้วรู้สึกอับอายมาก  ต่อมาหยาง
จิ้นได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงซันกง

นิทาน  ๔  :  แพทย์เหอเติ้ง เป็นหมอที่มีวิชาสูง เขามีผู้ป่วยแซ่ซุนคนหนึ่ง ป่วยมานานแล้ว  ภายหลังที่แพทย์เหอเติ้งไปดูไข้ที่บ้านหลายครั้งแล้ว ภรรยาผู้ป่วยจึงพูดกับเหอเติ้งว่า "สามีฉันป่วยมานาน เงินทองก็ใช้จนหมดแล้ว ฉันยอมอุทิศกายเป็นค่าหมอค่ายา"เหอเติ้งฟังแล้วก็พูดกับเธออย่างจริงจังว่า "คุณนายชุนทำไมจึงพูดเช่นนี้ แต่ขอให้สบายใจได้อย่ากังวล ฉันจะรักษาคุณชุนอย่างเต็มที่ ถ้าหากฉันถือโอกาสลวนลามเธอ อย่างนี้ทำให้ข้านี้ต้องเป็นคนต่ำทรามไปตลอด คุณนายจะสูญเสียความเป็นกุลสตรี ถึงแม้เราจะหลบพ้นการด่าทอของคนอื่นได้ แต่ต้องรู้ว่า หลบสายฟ้าได้ยากนัก !  ต่อมาเหอเติ้งก็มีความฝัน ฝันว่าตนเองได้รับราชการตำแหน่งใหญ่ มีเทพธิดาองค์หนึ่งพูดกับเข่าว่า เหอเติ้ง เจ้ารักษาคนช่วยเหลือคนมีบุญกุศลโดยเฉพาะภายใต้การตกอับของผู้อื่น ไม่ลวนลามหญิงชาวบ้าน ดังนั้น พระเจ้าจึงประทานตำแหน่งแก่เจ้ากับเงินอีก ๕ หมื่นพวง เหมือนกับในฝันไม่ผิดเพี้ยน  !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/04/2011, 02:59
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

                                คัมภีร์   :  สั่งสมบุญกุศล

อธิบาย  :  สั่งสมบุญก็เหมือนสะสมเงินทอง ค่อย ๆ เก็บก็จะเพิ่มมากขึ้น สั่งสมกุศลก็เหมือนการก่อกำแพง ก่ออิฐขึ้นทีละก้อน กำแพลก็ค่อย ๆ สูงขึ้น  บุญไม่รู้สั่งสม บุญก็จะไม่เพิ่มขึ้น  กุศลไม่ไปทำ บารมีก็ไม่มากขึ้น ก็เหมือนชาวนาที่ขยันไถหว่านก็จะเก็บเกี่ยวได้ในฤดูสารท  เหมือนพ่อค้าที่ขยันค้าขายหวังเก็บเงินไว้มาก  วันเก็บได้หนึ่งบุญ  พรุ่งนี้ก็เก็บอีกหนึ่งบุญ  วันนี้สั่งสมได้หนึ่งกุศล  พรุ่งนี้ก็เพิ่มได้อีกหนึ่งกุศล  อยากคิดจะเป็นเทพเซียนก็ไม่ใช่เป็นเรื่องลำบาก  หากจะเป็นเซียนฟ้า ต้องทำเรื่องบุญกุศลหนึ่งพันสามร้อยเรื่อง ทำไปทุกวัน แค่ 4 ปี ก็สำเร็จแล้ว ถ้าจะเป็นเซียนดินก็ทำกุศลแค่สามร้อยเรื่อง วันละหนึ่งเรื่องเพียงหนึ่งปีก็ได้แล้ว  กลัวแ่คนไม่กล้าเปิดใจไปทำหรือทำไปครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็เลิกแล้ว  เพราะฉะนั้น  เมื่อตั้งปณิธานก็มีความตั้งใจศรัทธา  มีใจกล้าหาญ  ใจวิริยะ  ใจแน่วแน่ ไม่ใช่ตระหนี่เงินแล้วหยุดไปเลย  หรือถูกคนอื่นเขาหัวเราะก็เกิดคลางแคลงสงสัย  อย่าได้เอาแต่ความสบายจนเคยตัว  จนไม่สามารถบังเกิดความกระตือรือร้น  อย่าให้ความอยากส่วนตัวเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง  จนกระทบกับมรรคผล อย่าเห็นว่างานใหญ่กลัวลำบาก อย่าเห็นว่าบุญเล็กจึงดูแคลน อย่าให้เรื่องงานไม่ว่างเป็นเหตุผลในการบอกปัด อย่าให้รักชื่อเสียงจึงไม่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์  สรุปคือ  อย่าหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิติเตียน  อย่าหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหา  อย่าเพราะเลยตามเลย  อย่างขาดตอน  อย่าตระหนี่  อย่าหวังตอบแทน  อย่าหวังชื่อเสียง  อะไรเป็นเรื่องกุศลก็ให้ไปทำอย่างยินดี  ความสำเร็จที่ได้จากอุปสรรค  จึงจะเป็นการสั่งสมบุญกุศลอย่างแท้จริง
       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/04/2011, 11:49
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

                                คัมภีร์   :  สั่งสมบุญกุศล

นิทาน ๑  :   พระเจ้าจืิชวีหยวนจวิน กล่าวว่า "เมื่อก่อนมีคุณหูชอบเรียนธรรมตั้งแต่เด็ก เขาเข้าไปอยู่ในห้องศิลาบนเขาเจียวชัน เวลาผ่านไป 3 ปี  ทันใดก็ได้พบท่านอริยะเจ้าไท่จี๋ ให้สว่านไม่แก่เขาอันหนึ่ง  ต้องการให้เขาไปเจาะก้อนหินก้อนใหญ่ให้ทะลุ ทั้งยังบอกเขาว่า "ถ้าหากเจ้าใช้สว่านไม้เจาะทะลุหินก้อนใหญ่นี้ได้ ฉันก็จะมาฉุดช่วยเจ้า"    คุณหูก็เจาะหินก้อนนั้นนานถึง ๔๗ ปี ทันใดนั้นก้อนหินก็ทะลุ แล้วอริยะเจ้าไท่จี๋ก็มาฉุดช่วยเขาจริง ๆ ด้วย ต้องรู้ว่าการสั่งสมบุญกุศล ไม่ได้อยู่ที่เจาะก้อนหิน เพียงแต่อาศัยเป็นกรณีอธิบาย คือคนก็กลัวที่จะไม่ทำ หรือทำไปแค่ครึ่งเดียวก็หยุด เพราะฉะนั้น  ผู้ที่ตั้งใจงานก็สำเร็จ การเจาะก้อนหินของคุณหู ก็คือประจีกษ์พยานที่แจ่มชัด

นิทาน ๒  :  สมัยช้ง  ที่เจิ้งเจียงมีผู้ว่าราชการคนหนึ่งชื่อ เก๋อชี้  แต่ละปีจะทำความดีไว้หลายเรื่อง ติดต่อกันมาไม่มีหยุดนานถึง๔๐ ปี  มีคนไปขอคำชี้แนะ เก๋อชี่พูดว่า "ฉันไม่มีเวลาพิศดาร  ทุกวันจะทำเรื่องให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นสักหนึ่งสองเรื่องเท่านั้น"  แล้วเขาก็ชี้ให้ดูที่แผ่นกระดาน  ที่วางไว้ให้เหยียบขึ้นที่นั่งว่า "ถ้ากระดานที่เหยียบวางไม่ตรง ก้อาจกระแทกจนเท้าบาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้น ฉันก็เอามันวางให้ตรงเสีย คนที่คอแห้งฉันก็เรียกเขามาดื่มน้ำ  เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  นับตั้งแต่มหาอำมาตย์จนถึงขอทาน ก็สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้  ทำไปนาน ๆ ก้จะได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง"

นิทาน ๓   :  นายเจียวกง เป็นชาวตงจิง เพราะบ้านสามชั่วคนมาแล้วที่ภรรยาคนแรกไม่มีบุตรชายสืบสกุล เขาจึงเที่ยวสอบถามผู้รู้ไปทั่ว  เพราะเขาเป็นพ่อค้าที่เดินทางค้าขาย ต่อมาเขาได้พบกับพระภิกษุเฒ่ารูปหนึ่ง พระภิกษุเฒ่าบอกเขาว่า "สาเหตุของการไม่มีบุตรชาย มี ๓ อย่าง ๑. บรรพชนไม่ได้สั่งสมบุญกุศล  ๒.ชะตาอายุของสามีภรรยา อาจละเมิดข้อห้ามบางอย่างไว้  ๓.ตนเองไม่รักษาสุขภาพ ภรรยามีโรคเลือดเย็น"  เจียวกงตอบว่า  เรื่องสั่งสมบุญกุศลกับชะตาอายุของสามีภรรยา ล้วนสามารถปฏิบัติได้ แต่เรื่องโรคเลือดเย็นนี่มีวิธีรักษาอย่างไร"  ภิกษุผู้เฒ่าตอบว่า  "อันนี้ไม่ยาก แต่เธอต้องไปสะสมบุญกุศลก่อน ภายหลังก็เสริมสร้างสุขภาพให้ดีสามปีให้หลัง ก็มาถึงอู่ไถ่ชัน ข้าจะให้ตำหรับยาแก่เจ้า" จากนั้นจวงกงก็เริ่มสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบุญลับต่าง ๆ  เขาสั่งสมบุญกุศล ๓ ปีแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปอู่ไถชัน เพื่อหาพระภิกษุเฒ่า ก็เห็นลูกศิษย์วัด ในมือถือม้วนกระดาษ เขาพูดกับเจียวกงว่า "หลวงพ่อบอกให้ฉันมาบอกท่าน ท่านได้สั่งสมบุญกุศลมาครบ ๓ ปีแล้ว ก็ให้ไปหายาตามใบยา แล้วก็กินอย่างนอบน้อม จะได้ลูกหลานที่ดีร่ำรวยตามแต่ใจที่ท่านคิด"  ต่อมาเจียวกงได้ลูกชาย คือเศรษฐีเจียง แต่ลูกของเศรษฐีเจียงไม่ดี เศรษฐีเจียงถึงกับเสียใจว่าบุญกุศลของตนจึงเสียหายถึงขนาดนี้  จึงไปที่อู่ไถชัน พบแต่ลูกศิษย์  ลูกศิษย์ว่า " "หลวงพ่อให้ฉันมาบอกท่านว่า จะมาถามทำไม  แต่ทำไมไม่เจริญรอยตามพ่อของท่าน  สร้างบุญกุศลยังจริงใจซิ แล้วบุตรที่โง่เขลาก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ฉลาด มีความสามารถ ที่ยากจนก็จะร่ำรวยขึ้น เศรษฐีเจียงพูดว่า " ยากจนแล้วเปลี่ยนเป็นคนรวยนี่เป็นชะตาชีวิตของเขาเอง แต่ที่โง่เขลามันเป็นธรรมชาติจากสมองของเขา อันนี้ไม่มีทางช่วยเหลือ !" ลูกศิษย์ว่า "ท่านพูดอะไรโง่ ๆ อย่างนั้น เขาเปลี่ยนแปลงได้ซิ"  ยังพูดต่อว่า  "สมัยก่อนตู้อวี่เกิง มีบุตรชาย ๕ คน เกิดแรกๆ สุขภาพไม่ค่อยดี รูปร่างก้ไม่ครบถ้วน ต่อมาตู้อวี่เกิงจึงไปที่โจวเอี้ยนซันตั้งใจสร้างบูยสร้างกุศล บุตรชายทั้งห้ากลับกลายเป็นคนดี และยังสอบได้ตำแหน่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงร้อนเปอร์เซ็นต์ ! "  เศรษฐีเจียงฟังแล้วก็ขอบคุณลูกศิษย์แล้วกลับบ้าน ตั้งใจทำดีสร้างกุศลโดยไม่ลังเลสงสัย  ๒๐ ปีต่อมา  ลูกชายก็ดีขึ้นหลายคนและทุก ๆ คนก็ได้บุตรดีด้วย
        คนในปัจจุบันก็รู้เรื่องนี้ดีว่า ตู้อวี่เกิง แห่งเอี้ยนซัน มีบุตรชาย ๕ คน ล้วนมีความร่ำรวยติดต่อกันเป็นที่กล่าวขาน และต่างก็รู้ว่าบุตรของเขาเกิดมาแรก ๆ สุขภาพก็ไม่ดี บ้างก็ไม่สมประกอบ ด้วยความมุ่งมานะทำความดีสั่งสมบุญกุศลของนายตู้อวี่เกิงเรื่อยมา จนบุตรของเขาหายจากสุขภาพไม่ดี ทุกคนสุขภาพดี ว่องไว เป็นคนดี !  จะเห็นได้ว่า ฟ้ากับมนุษย์ผสานกันได้ง่ายเช่นนี้ เพียงขอให้มนุษย์มีใจทำงานแน่วแน่และศรัทธา สร้างบุญกุศล อย่าได้เกียจคร้านเลย !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรมไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ใจเมตตาต่อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/04/2011, 01:42
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

                                คัมภีร์   :   ใจเมตตาต่อสัตว์         

อธิบาย  :  คนดีที่สั่งสมบุญกุศล ไม่เพียงแต่เมตตาให้ความสนิทแก่ประชาชนทั่วไปแล้ว  โดยเฉพาะใจเมตตาของเขายังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์อีกด้วย   เมตตาก็คือ ใจกรุณา  เป็นพื้นฐานของความดีทั่วไป ความเมตตามีความหมายสองประการ  ๑. ช่วยเหลือสงเคราะห์คนจนปัดเป่าความทุกข์  ๒.  ละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งยังต้องปล่อยสัตว์เป็นหลักในการสั่งสมบุญกุศล และเป็นพื้นฐาฯของการเป็นคนดี   ในพระไตรปิฏกว่า  "หากมนุษย์ไม่ฆ่่าชีวิต รักและดูแลชีวิตสัตว์กับปล่อยสัตว์ ให้อาหารเป็นทาน ก็จะได้มีอายุยืนยาวตอบสนอง"  ปัจจุบันพวกเด็ก ๆ ที่ชอบเล่น มักจะทำร้ายสัตว์ เช่น แมลงปอ  นกกระจอก  นกเล็ก ๆ และสัตว์เล็ก ๆ อื่น ๆ เป็นต้น เหล่านี้ผู้ปกครองต้องรู้สึเจ็บปวดและห้ามปราม อย่าให้เด็ก ๆ ต้องทำร้ายสัตว์เล็ก ๆ  อย่างนี้ไม่เพียงทำร้ายชีวิตสัตว์แล้วก็ไม่ทำร้ายบุญวาสนาของเด็กด้วย  มิฉะนั้นแล้ว  ถ้าสนับสนุนให้เด็กฆ่าสัตว์  พอเด็กโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาก็ไม่รู้จักเมตตากรุณาให้อภัยเลย  !  ตลอดจนคนรับใช้ในบ้านยังชอบเอาน้ำร้อนมาลาดพื้น หรือเวลาเผาฟืน  กวาดบ้าน ก็มักจะทำร้ายพวกมด  แมลง  หนอนเล็ก ๆ   
นี่ก็ต้องเป็นสิ่งละเว้นนะ  !  ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อะไรที่ตกลงมาตาย เช่น แมลงเม่าบินเข้าหาตะเกียง  หนอนติดตาข่ายใยแมงมุม
นกเล็ก ๆ ถูกทำลาย มดถูกเหยียบ ปลาปูกุ้งหอยถูกติดแห ก็ควรเข้าไปช่วยปลดปล่อยมันไป ให้มันมีชีวิตรอด เหล่านี้ล้วนเป็นมีผลตอบสนองให้ชีวิตยืนยาว เป็นเรื่องของการทำความดี
        ปณิธานของพระโพธิสัตว์สมันตราภัทร กล่าวว่า  "หากสามารถทำให้เวไนยสัตว์ยินดีแล้ว ตถาคตทั้งหลายก็ยินดีด้วย นี่เป็นเหตุอะไร  เหตุก็คือตถาคตทั้งหลาย มีมหาเมตตาจิตเป็นพื้นฐาน เป็นปัจจัย เพราะสรรพสัตว์เป็นปัจจัย จึงเกิดมหาเมตตา เพราะมหาเมตตาเป็นปัจจัยจึงเกิดโพธิจิต เพราะมีโพธิจิตเป็นปัจจัย จึงสามารถสำเร็จมรรคผล อันเวไนยสัตวทั้งหลาย สิ่งที่รักที่สุดคือชีวิตของตน กับเหล่าพุทธเจ้าทั้งหลาย  เวไนยสัตวเป็นสิ่งที่เหล่าพุทธเจ้ารักที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถช่วยชีวิตสรรพสัตว์ได้ ก็ทำให้ปณิธานของเหล่าพุทธองค์สำเร็จลุล่วง"  บทธรรมตอนนี้ จะเห็นได้ว่าวาจาที่พร่ำสอนของบรรดาพุทธเจ้าโพธิสัตว์ มิใช่หรือที่สอนคนให้ช่วยถอดถอนความเจ็บปวดของเวไนยสัตว์ พวกนอกรีตที่พร่ำพูดสอนคนให้กินเนื้อของเวไนยสัตว์ใช่ไหมล่ะ  !  เพราะฉะนั้น เรารู้จักตักเตือนคนให้ปล่อยชีวิต ก็คือการฟื้นฟูใจเมตตาของคน นี่ก็คือการสร้างเหตุกุศล เพื่อเป็นสุขเป็นนิจทุก ๆ กัป  การสอนคนฆ่าชีวิตก็เป็นการปลูกฝังใจโหดเหี้ยม  ก็เป็นรากวิบากกรรมที่ต้องพบกับการแก้แค้นทุก ๆ กัปไป เพราะฉะนั้น เพียงแค่วจีเดียวกัน สามารถสร้างบุญได้ก็สามารถสร้างภัยได้  เพราะฉะนั้น เวลาเราพูดจะไม่ระมัดระวังหรือ  ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/04/2011, 10:49
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

                                คัมภีร์   :   ใจเมตตาต่อสัตว์         

นิทาน  ๑  :  สมัยฮั่น  หยางเป่า อายุเพียง ๙ ขวบ  ได้เห็นนกกระจาบเหลืองตัวหนึ่งถูกนกใหญืจิกบาดเจ็บตกลงที่พื้นดิน บรรดามดก็เข้ามารุมกัด  หยางเป่าจึงเข้าไปช่วยเหลือ เอามันใส่ลังไว้ ดูแลมันเอาดอกไม้เหลืองป้อนมัน จนกระทั่งนกกระจาบหายแล้วก็ปล่อยมันไป ค่ำของคืนวันหนึ่ง ก็มีเด็กคนหนึ่งสวมเสื้อสีเหลือง เข้ามาขอบคุณไหว้หยางเป่า เด็กเสื้อเหลืองพูดว่า " ฉันเป็นทูตของพระแม่ชีหวังหมู่ระหว่างทางไปยังพ้งไล้ พอผ่านมาแถวนี้ก็พบกับภัยลำบาก โชคดีที่ท่านมาช่วย เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ ฉันเอากำไลหยกให้ท่าน  ๔ อัน  มันสามารถทำให้ลูกหลานของท่านได้รับราชการ ได้ตำแหน่ง ถึงซัมกงอันเป็นตำแหน่งสูงสุด ถ้าความประพฤติของเขาเรียบร้อยดีก็จะเหมือนกำไลหยกขาวที่สะอาด"  หลังจากเด็กเสื้อเหลืองพูดจบก้ไม่เห็นเสียแล้ว ต่อมาหยางเป่ามีบุตรคือ หยางจิ้ง บุตรของหยางจิ้งคือหยางปิ่น บุตรของหยางปิ่นคือหยางสู้   บุตรของหยางสู้คือหยางปิง  สืบรุ่นกันมาถึง ๔ รุ่น ล้วนได้รับราชการเป็นถึงตำแหน่งซัมกง แต่ละคนก็มีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยม สมัยนั้นไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้เลย ! 

นิทาน  ๒  :  นายเชิ้นวั่นชัน เป็นคนสมัยหมิง ครั้งหนึ่งเขาเห็นคนจับกบจำนวนหลายร้อยตัวเตรียมนำไปฆ่า เชิ้นวั่นชันเห็นแล้วก็ทนเห็นพวกกบเหล่านี้ถูกฆ่าไม่ได้ จึงซื้อกบขึ้นมาทั้งหมดแล้วนำมันไปปล่อยไว้ที่สระน้ำ ให้พวกมันมีชีวิตอิสระสบาย อยู่มาวันหนึ่ง เชิ้นวั่นชัน เดินผ่านสระน้ำนั้น เห็นกบขี่กันเป็นกองใหญ่ ล้อมกันเป็นวงกลม พวกมันอยู่บนอ่างกระเบื้องใบหนึ่ง พวกมันร้องอ๊อบ ๆ เหมือนกับพูดว่า "เชิ้นวั่นชัน ๆ เอาอ่างกระเบื้องไปด้วย ! " เชิ้นวั่นชันจึงนำเอาอ่างกระเบื้องกลับบ้านไป และใช้เป็นอ่างล้างหน้า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาล้างมือในอ่างใบนี้ แหวนบนนิ้วก็บังเอิญหลุดลงในอ่างโดยไม่รู้ตัว  พอถึงรุ่งเช้าเขาถึงรู้ตัวจึงไปหาที่อ่าง ตอนนี้เขาเห็นแหวนเต็มอ่างไปหมด เวิ้นวั่นชันรู้สึกตกใจประหลาดใจ เขาจึงเอาก้อนทองบ้าง เงินบ้างใส่ลงไปลองดู ก็พบว่าทั้งทองและเงินเต็มอ่างไปหมด !  ที่แท้อ่างนี้จึงเป็นของวิเศษ  !  เชิ้นวั่นชันจึงกลายเป็นมหาเศรษฐีหาคนเปรียบไม่ได้

นิทาน  ๓  :  พระธรรมาจารย์เซ็นเอี๋ยงโซ่ว อยู่่ในสมัยซ่ง เดิมทีแซ่หวัง เป็นชาวเมืองตันหยาง เริ่มแรกรับราชการแผนกภาษีของอำเภออวี่เถา เพราะว่าเขามักซื้อปลาปล่อยเป็นประจำ เงินเดือนใช้จนหมดจึงไปเอาในส่วนกองคลังมาใช้ ในที่สุดเจ้านายตรวจพบ จึงรู้ว่าเขาได้ใช้เงินกองคลังไปถึงสิบหมื่น ตามกฏหมายสมัยนั้น เขาต้องโทษประหารชีวิต ขณะที่จะถูกตัดหัว สีหน้าของนายหวังไม่เปลี่ยนเลย ทั้งยังพูดกับเพื่อนของเขา ซึ่งจะเป็นผู้ประหารเขา ชื่อ สี่จื้อชินว่า  "ฉันได้ปล่อยชีวิตนับร้อยล้านชีวิตแล้ว วันนี้ฉันตายก็ไม่เสียใจ เพราะใจฉันตั้งใจจะไปเกิดแดนสุขาวดี นี่จะไม่สุขสบายกว่าหรือ" พูดจบเขาก้พนมมือท่องนามพระพุทธ ไม่กลัวตายแม้แต่น้้อย เพชฌฆาตก็แกว่งดาบฟันลงที่คอของนายหวัง ได้ยินแต่เสียงแชะ  ดาบก็ขาดเป็น ๓ ท่อน เพชฌฆาตสี่จื้อชินรีบทำรายงานเหตุการณ์ทูลพระเฉียนเหลียวอ๋อง  ท่านพระเฉียนเหลียวอ๋อง ก็เป็นคนนับถือพุทธศาสนา และมีความเมตตา เมื่ออ่านรายงานจบก็สั่งให้ปล่อยตัวนายหวัง แล้วคืนตำแหน่งให้ แต่นายหวังปล่อยวางทางโลก ออกบวชศึกษาพระธรรม มีความวิริยะ บำเพ็ฯศีลสมาธิปัญญา มีครั้งหนึ่งเขาฝันว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมเอาน้ำมนต์กรอกใส่ปากเขา  ดังนั้น ปัญญาเขาก็สว่างขึ้น  ได้แต่งคัมภีร์หมื่นกุศลไว้ ๖ เล่ม  และประจำอยู่วัดหย่งหมิง ภายหลังได้เป็นสังฆปริณายกสายสุขาวดี  อันดับที่ ๖  อายุได้ ๗๒ ปี ก็นั่งสมาธิมรณภาพไป ต่อมามีพระสงฆ์รูปหนึ่ง จะเดินรอบเจดีย์ที่เก็บกระดูกของธรรมาจารย์เอี้ยงโซ่วทุกวัน มีผู้ถามถึงสาเหตุ พระสงฆ์ตอบว่า  "ฉันเป็นคนบู๋โจว เพราะว่าเคยป่วยหนักมาแล้ว ถูกยมทูตจับตัวไปยังยมโลก เห็นที่ยมโลกมีรูปภาพรูปหนึ่งแขวนไว้ ฉันเห็นยมบาลยังไหว้รูปภาพนั้นอย่างนอบน้อม ฉันรู้สึกแปลกใจจึงถามยมทูตที่ยืนข้าง ๆ ว่า "ภาพในรูปเป็นใคร"  ยมทูตตอบว่า "ภาพในรูปคือ อาจารย์เอี้ยงโซ่วแห่งวัดหย่งหมิง คนที่ตายแล้วก็ต้องมาที่ตรงนี้ มีแต่ท่านธรรมาจารย์เอี้ยงโซ่ว ไปปฏิสนธิแดนสุขาวดีโดยตรง ทั้งยังได้อยู่ขั้นหนึ่ง เกรดหนึ่ง ดังนั้น  ท่านยมบาลจึงนับถืออาจารย์ท่านนี้มาก เพราะฉะนั้นจึงไหว้รูปนี้"   จะเห็นได้ว่า เมตตาปล่อยสัตว์ ตั้งใตไปเกิดแดนสุขาวดี แม้ยมบาลในยมโลกก็นับถือกราบไหว้เลย !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คำคม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/04/2011, 11:03
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล  

                                คัมภีร์   :   ใจเมตตาต่อสัตว์          

คำคม  :  อาจารย์เหลียนฉือไต้ซือ ในสมัยหมิง ได้นิมนต์บทละเว้นฆ่าชีวิต เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก ท่านพูดว่า "แต่ละคนก็รักชีวิตสัตว์ก็เหมือนกันต่างอยากมีชีวิต กลัวตาย  แล้วจะไปฆ่าพวกเขาได้อย่างไร  เพื่อบำเรอปากท้องของเรา ตอนจะฆ่าก็ต้องเอามีดคมเฉียนเปิดพุงของมัน เอามีดแหลมทิ่มแทงคออวัยวะของมัน บ้างก็ลอกเอาหนัง บ้างก็ถอดเกล็ด เชือดเฉียนออกเป็นชิ้น หรือเอาหอย ปู ปลา โยนลงในหม้อน้ำเดือด หรือใช้เกลือบ้าง เหล้าบ้าง ดองหอยปูและกุ้ง น่าสงสารมาก !  พวกมันต้องพบกับความเจ็บปวดทรมาน หมดหนทางที่จะแก้แค้น ความเจ็บปวดสุดยอดเช่นนี้ อดทนได้ยากยิ่ง มนุษย์สร้างบาปกรรม ฆ่าตัดวิญญาณอันเป็นวิบากกรรมท่วมฟ้าเช่นนี้ กับเหล่าวิญญาณที่ถูกทำลาย จึงเป็นเหตุที่ได้ผูกเวรที่ต้องจองล้างจองผลาญกันไปเป็นหมื่อน ๆ ชาติ เมื่อไรที่อนิจจังมาถึงก็ต้องตกสู่ขุมนรก ต้องรับโทษในนรก ไม่ว่าจะน้ำทองแดงเดือด เตาไฟ เนินมีด ต้นงิ้ว ฯ  รับโทษจนเจ็บปวดจนกว่าโทษในนรกจะหมดลง หลังจากนั้นให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพื่อชดใช้หนี้ให้เขากินเนื้อ เป็นผลตอบสนอง ชดใช้หนี้ชีวิตจนหมดจึงกลับมาเกิดเป็นคนใหม่ ก็มักเจ็บป่วยบ่อย ๆ หรือไม่ก็ตายแต่เยาว์วัย  ด้วยเหตุนี้ ฉันโอดโอยบอกเล่าชาวโลก เพื่อให้ชาวโลกละเว้นฆ่าสัตว์ ทั้งยังต้องอาศัยตามแรงของตนไปปล่อยสัตว์  เพิ่มการสวดพุทธะ เช่นนี้มีเพียงเพิ่มบุญวาสนาของตนเอง ก็ยังสามารถตั้งปณิธานไปเกิดแดนสุขาวดีได้ จะได้พ้นจากวัฏสงสาร การฉุดช่วยเวไนยสัตว์  บุญกุศล เหลือคณานับ"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ จงรักภักดี กตัญญู
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/04/2011, 09:50
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

                                คัมภีร์   :   จงรักภักดี  กตัญญู

อธิบาย  :  คนที่เป็นข้าราชการ ก็ต้องมีความจงรักภักดีให้ถึงที่สุด ผู้ที่เกิดมาเป็นบุตรก็ต้องมีความกตัญญูถึงที่สุดเหมือนกัน  บ่าวสุดภักดี  บุตรสุดกตัญญู เป็นกฏของหลักธรรมฟ้า และก็เป็นพื้นฐานของมนุษย์สัมพันธ์ ถ้าหากขุนนางข้าราชการไม่จงรักภักดีแล้ว  การเป็นเจ้ากับขุนนางจะมีความหมายอะไร คนที่เป็นบุตรแล้วไม่มีความกตัญญู พ่อแม่ก็จะมีความหวังอะไร ต้องรู้ว่า การไม่จงรักภักดีไม่กตัญญู เทียบสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน แล้วจะเรียกว่าเป็นคนได้อย่างไร  แม้คนที่สามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนได้ แต่ก็ต้องผ่านการบำเพ็ญสั่งสมบุญกุศลมาเป็นเวลายาวนาน คนที่มีมหากตัญญู  ถ้าวันนี้ตายพรุ่งนี้ก็ไปเกิดบนสวรรค์  คนทั่วไปล้วนรู้ว่า ความจงรักภักดีกตัญญูเป็นงานมหกรรมของข้าราชการ รู้หรือไม่ว่าความจงรักภักดี ยิ่งเป็นเหตุปัจจัยในการเลื่อนสู่ภพภูมิสวรรค์ด้วยนะ ! บุตรกตัญญูต้องทำให้ประเทศมีความสงบก่อน เพราะเมื่อประเทศชาติสงบได้แล้ว ครอบครัวถึงจะมีความสงบ เมื่อครอบครัวสงบแล้ว บุตรกตัญญูจึงสามารถดำเนินการกตัญญูได้ดี เพราะฉะนั้นคนสมัยก่อนแสวงหาขุนนางจงรักภักดี ก็ต้องไปแสวงหาเอาจากบุตรกตัญญู ถ้ามีความสมบูรณ์ ทั้งจงรักภักดีและกตัญญูได้ ก็ถือเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงสุด  อย่างไรก็ตาม  บางทีทั้งจงรักภักดีและกตัญญู ไม่อาจทำได้พร้อมกัน  เพราะฉะนั้น  จึงควรแยกกันวิจารณ์ จึงจะทำให้เราได้รับรู้ตามแต่เหตุการณ์ที่ไม่เหมือนกัน เพื่อให้ถึงที่สุดของใจตนเอง  อันการจงรักภักดี ก็คือ  ความจริงใจที่ไม่คิดข่มเหง  เป็นหลักมนุษย์สัมพันธ์  ตัวอย่างเช่น  ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานให้ผู้บังคับบัญชา หรือ ผู้น้อยทำงานให้ผู้ใหญ่  หรือเป็นเพื่อนเสมอกัน   การคบค้าสมาคมติดต่อปฏิบัติ ต้องมีความจริงใจที่ไม่คิดข่มเหง ไม่คิดทรยศหักหลัง  หลักธรรมจงรักภักดี  มีไว้สำหรับผุ้เป็นขุนนางข้าราชการ  หรือ ผู้ใต้บังคับบัญชา  แม้แต่ความสัมพันธ์ของบิดา  บุตร  พี่น้อง  สามีภรรยา  ทุก ๆคนก็รู้เองว่าควรที่จะนับถือรักใคร่ซึ่งกันและกัน  แม้แต่ความสัมพันธ์ระหว่างราชากับขุนนาง  ความหมายของหลักธรรมก็ผู้กพันเข้าไว้ด้วยกันได้  คนทั่วไป  ในจุดนี้อาจเกิดความคิดเห็นที่ไม่มีวิสัยทัศน์  คนที่เป็นขุนนางข้าราชการ ก็จะมีเหตุปันใจไม่จงรักภักดีถึงที่สุด สาเหตุก็มาจากตนเองและครอบครัว  ตำแหน่งการงาน  อำนาจอิทธิพลบุญคุณความแค้น เกียรติยศ  อยู่ในทั้ง ๕ อย่างนี้  ถ้าคิดถึงตนเองกับครอบครัว  ตำแหน่ง  ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป แต่จะกระทบกระเทือนเสียหายไม่มากนัก  แต่ถ้าเป็นอำนาจอิทธิพล ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกกังฉิน คือพวกทรราช  อย่างนี้จะกระทบกระเทือนเสียหายมากกับประเทศชาติ  พวกขุนนางกังฉินเหล่านี้ ในที่สุดแล้วภัยพิบัติก็ย้อนเข้าตัว ตัวอย่างเช่น หลี่หลุนปู  หยางกั๊วตง  ฉินไกว เหล่านี้เป็นต้น  กับเรื่องบุญคุณ ความแค้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของราชาเจ้านาย ซึ่งก็หลีกเลี่ยงได้ยาก  ตั้งแต่ราชวงศ์ถัง  ซ่่ง  เป็นต้นมา  มีสาเหตุมาจากการแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า  จนเกิดภัยพิบัติ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คำคม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/04/2011, 09:58

                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

คำคม  :  ท่านอวี่เถี่ยเจียว พูดว่า  "การที่ประชาชนอยู่ได้อย่างสงบสุขก็พึ่งอาศัยทหารตำรวจคอยคุ้มครอง  ถ้าหากไม่มีทหารตำรวจคุ้มครอง  ขโมย  โจร  อันธพาล  ฆ่าชิงวิ่งราว  ชีวิตทรัพย์สินประชาชนก็ตกอยู่ในอันตรายทั้งเช้า - ค่ำ  เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไม่ว่าเสณษฐีหรือยาจก ล้วนได้รับการดูแลจากชาติทั้งนั้น  เหตุฉะนี้  แต่ละคนต้องทำหน้าที่ของตน คือ จงรักภักดีต่อชาติให้ถึงที่สุด  นับประสาอะไรกับพวกมีการศึกษา  หรือ ข้าราชการรับเงินเดือนของชาติ  โดยเฉพาะผู้อาสาเข้ามารับใช้ชาติ  หากไม่รู้จักคำว่าจงรักภักดี  เป็นคนที่น่าละอายอย่างยิ่ง  !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/05/2011, 01:46
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

นิทาน  ๑  :  สมัยถัง ขุนนางเหว่ยเติ้ง มีความกล้าหาญ มีแผนการชอบที่จะเหนี่ยวรั้งฮ่องเต้ที่ทำสิ่งไม่ควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ถ้าหากฮ่องเต้ทำไม่ถูก เหว่ยเติ้งก็จะไม่ตามพระทัย จะทัดทานตักเตือนอย่างยากลำบากก็ยอม ถึงแม้จะทำให้ฮ่องเต้โกรธมาก เหว่ยเติ้งก็ไม่ยอมตามพระทัย มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ถังไถ่จงได้รับเหยี่ยวรุ้งมาตัวหนึ่งชอบมาก  มักจะให้เจ้าเหยี่ยวรุ้งเกาะอยู่บนไหล่ ครั้งหนึ่งพอเห็นเหว่ยเติ้งเข้ามา กลัวเขาเห็นเข้า ก็รีบยัดเจ้าเหยี่ยวรุ้งเข้าไปในอกเสื้อ เหว่ยเติ้งมีแผนการ ก็จะถ่วงเวลากราบทูลเรื่องราวต่าง ๆ ให้ช้าลง ดังนั้นเจ้าเหยี่ยวรุ้งจึงอบตายในอกเสื้อ  (ทั้งนี้เหว่ยเติ้งรู้ว่าฮ่องเต้ไม่สนใจทำงาน เอาแต่สำราญกับนกเหยี่ยวรุ้ง ถึงใช้วิธีการเช่นนี้ตักเตือนพระองค์)  ต่อมา ฮองเฮาเหวินเต๋อสวรรคต ถังไถ่จงทรงคิดถึงฮองเฮาไม่หยุด และสร้างหอขึ้นในอุทยาน เพื่อขึ้นไปส่องดูสุสานฮองเฮา  พระองค์เชิญเหว่ยเติ้งขึนไปบนหอด้วย  แล้วเรียกเหว่ยเติ้งมองดูสุสานฮองเฮา  เหว่ยเติ้งส่องดูอยู่เป็นนานเท่านานแล้วทูลว่า " ฝ่าบาท !  หม่อมฉันอายุมากแล้ว ตาก็ลายแล้ว มองไม่เห็นหรอก !"  ฝ่าบาท !  ถังไถ่จงจึงชี้นิ้วไปยังสุสานให้เขาดู  เหว่ยเติ้งทูลว่า  "หม่อมฉันหวังให้ฝ่าบาทมองเห็นสุสานของบรรพชน เหมือนมองสุสานของฮองเฮาแล้ว หม่อมฉันก็จะมองเห็นสุสานของฮองเฮาได้ !"  ถังไถ่จงฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหล จึงสั่งให้ทุบหอทิ้ง เลิกส่องสุสานฮองเฮาแล้ว เหว่ยเติ้งแนะนำให้ถังไถ่จงหันมาสนใจเรื่องการศึกษา  หยุดขยายการทหาร เพิ่มความรู้ให้ประชาชน ประเทศชาติก็จะมั่นคง  ศัตรูรอบข้างก็จะสวามิภักดิ์ ไม่ต้องเอาอาวุธไปปราบพวกเขา ถังไถ่จงรับฟังข้อเสนอของเหว่ยเติ้ง  ในที่สุดก็บังเกิดผลเกินคาด นี่คือรอยประวัติความจงรักภักดีของเหว่ยเติ้ง แล้วลูกหลานของเหว่ยเติ้ง  รุ่นที่ ๕ ชื่อ เหว่ยหมอ  เป็นผู้มีความชาญฉลาด เก่งกาจได้เป็นถึงมหาอำมาตย์

นิทาน ๒   :  มหาอำมาตย์ซือหม่าอุน เป็นผู้มีความขยันทำงานและรักประชาชน พลีกายให้กับชาติ เพราะตรากตรำทำงานเกินไป ร่างกายจึงเจ็บป่วย ขณะนั้นขุนนางหวังอันสือ ได้แต่งตั้งชิงเหมียว  เหมี่ยนเจอะ  ทหารเลวซึ่งยังไม่ทันได้กำจัดไป  ยังมีเมืองเซี่ยทางตะวันตก ที่ยังไม่สวามิภักดิ์แก่ซ่ง  ซือหม่าอุนถึงกับรำพึงว่า "สี่อันตารยนี้ยังไม่ถูกกำจัด ข้าตายก็นอนตาไม่หลับ"  คนที่มาเยี่ยมไข้ เห็นร่างกายเขาผ่ายผอมลงทุกวัน จึงใช้คำขอขงเบ้งที่ว่า "กินน้อยงานหนัก อายุไม่ยืน"  มาเตือนซือหม่าอุน เพื่อจะได้หักห้าม ซือหม่าอุนตอบว่า  "เกิดตายเป็นดวงชะตา ไม่ต้องห่วงใย"   เขากลับยิ่งทำงานมากขึ้น อาการป่วยของเขาก็ยิ่งหนักลง แม้สมองก็ฝ้าฟาง แล้วก็ยังครุ่นคิดถึึงราชสำนัก แม้แต่ในความฝัน  ก็ยังเป็นเรื่องราชสำนัก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/05/2011, 02:19
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

นิทาน  ๓  :  ฮ่องเต้เหวยเกาจง  ตรัสกับบรรดาขุนนางว่า  "การปฏิบัติต่อราชาควรเหมือนการเคารพบิดาของตนเอง ถ้าบิดาทำผิด ผู้เป็นบุตรมิใช่จะเขียนบอกให้ชาวบ้านมาตักเตือนบิดาหรอกนะหากแต่อยู่ในที่่ส่วนตัวไม่มีใครเห็น แล้วเตือนบิดาจึงถูก จุดมุ่งหมายก็คือไม่ต้องการเปิดเผยความผิดของบิดาออกไปภายนอก ตัวอย่างเกาชงที่เมื่อข้าได้ทำผิดเขาก็จะเข้ามาพูดกับข้าจำเพาะหน้า ตลอดจนบางครั้งก็ทำให้ข้ายอมรับไม่ได้ แต่การเตือนของเกาชง ก็ทำให้ข้าได้รู้ความผิดของตนเอง แต่คนอื่นจะไม่รู้ความผิดของข้าเลย เพราะฉะนั้น เกาชงนับว่าจงรักภักดีต่อข้าจริง ๆ การจงรักภักดีต่อข้าอย่างจริงใจนี้ ไม่แค่เพียงเอาวิธีที่กดดันมาตักเตือนคน  ถ้ายังมีที่ยังทำไม่ได้ ก็จะใช้วิธีเปรียบเทียบเสียดสี มาตักเตือนทักท้วงคน  นับว่าเป็นวิธีที่ดีทึ่สุดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว"

นิทาน  ๔  :  ชู  เป็นขุนนางผู้ใหญ่สมัยซ่ง เขียนบทความถวายราชสำนัก วิจารณืเรื่องประเทศชาติไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักแต่ยังถูกลดขั้นให้ไปทำงานที่เยี่ยวโจว  ระหว่างทางไปเมืองเยี่ยวโจว ผ่านเมืองลั่วหยาง ก็พักอยู่ที่บ้านเพื่อนชื่อ อี่ตุ้น  จึงระบายทุกข์ให้อี่ตุ้นฟังว่า  ตนเองจงรักภักดีต่อราชสำนัก กลับตกต่ำลงถึงเพียงนี้ ถูกขับไปอยู่เยี่ยวโจว  อี่ตุ้นฟังแล้วก็พูดกับเขาว่า"ตอนที่ท่านถวายรายงานแก่ราชสำนักนั้น จุดมุ่งหมายท่านเพื่อชาติบ้านเมือง หรือเพื่อชื่อตนเองและตำแหน่ง หากทำเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว ท่านก็ควรไปรับหน้าที่่ที่เยี่ยวโจวอย่างยินดี ถ้าหากเป็นการทำเพื่อตนเอง การทำโทษของราชสำนักครั้งนี้นับว่าเป็นโทษเบา"ชูฟังแล้วรู้สึกประทับใจ ก็ไม่กล้าที่จะกล่าวหาอะไรกับราชสำนักอีก

คำคม   :  ท่านจางเค่ออัน กล่าวว่า "บัณฑิตผู้รับราชการ หากในใจคิดแต่จะสร้างชื่อเสียงเพื่อตนเอง มีใจหาความดีความชอบแล้วละก็ จะไม่สามารถทำอะไรให้ประโยชน์แก่ประชาชนได้"  นี่เป็นเรื่องจริง
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล สรุป
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/05/2011, 03:00
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

สรุป   :  ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุับัน  ขุนนางข้าราชการที่จงรักภักดีถึงที่สุด ล้วได้รับผลดีตอบสนอง ยังมีขุนนางที่ได้รับความดีความชอบแต่ไม่รับ  เมื่อมีอันตรายก็ยอมรับชะตากรรม ตลอดจนยอมฆ่าตัวตาย มองดูแล้วพวกเขาเหมือนกอดความแค้นไปตลอด เหมือนกับว่าฟ้าตอบแทนเขาไม่เหมือนกัน ควรรู้เอาไว้ว่า ข้าราชการที่ตายเพื่อชาติ ตอนที่เขายังไม่ตายก็ได้ชื่อในตอนนั้น เมื่อตายแล้วยังได้รับการกราบไหว้จากประชาชน เพราะฉะนั้น การตอบสนองของฟ้า อันที่จริงยังดีกว่าพวกคนร่ำรวยเป็นร้อย ๆเท่า สำหรับคนที่ไม่จงรักภักดี และทำลายล้างประชาชน ฟ้าขะตอบสนองพวกเขาอย่างสาสม จึงไม่ต้องพุดว่ามีการตอบแทนหรือไม่กับคนที่ภักดีกับไม่ภักดี ดูคนทั่ว ๆ ไป ข้าราชการที่ไท่สนใจประชาชน ก็มักจะได้รับผลที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น  ท่านผู้เป็นข้าราชการทั้งหลาย จงอย่าได้ละเมิดต่อความจงรักภักดีเลย !  พูดถึงความกตัญญู คุณหยวนกวงชง เขียนวิจารณ์ไว้ว่า "ในโลกนี้มีคนที่ไม่กตัญญู ถึงแม้จะเป็นลูกไม่กตัญญู ถ้ามีใครเขาว่าเป็นลูกกตัญญู เขาจะพอใจมาก หากมีใครว่าเขาเป็นลูกไม่กตัญญูเขาก็จะโกรธและอับอาย โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ก็จะเสร้างทำเพื่อรักษาหน้าตนเอง ไม่กล้าที่จะทำตามอำเภอใจ นี่ก็เป็นเพราะจิตสำนึกดีของเขายังไม่มืดบอด เพราะฉะนั้น  จึงเพียงแค่การให้รู้จักขยายจิตสำนึกดีนี้กว้างขึ้น  ซึ่งจะเป็นต้นกล้าของความกตัญญู ถ้าหากยังไม่มีความจริงใจกลับใจตรวจสอบแก้ไขนิสัยเลวออกไป ยังไม่กตัญญูเหมือนเดิม ก็คือคนไม่กตัญญู ตรงจุดนี้ควรอธิบายให้ชัดเจน เข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นคนที่เป็นพ่อ ก็จะรู้จักอบรมสั่งสอนลูก สำหรับผู้ที่เป็นลูกก็ต้องเข้าใจรู้จักจะกดข่มตนเอง ก็เหมือนการจับขโมยต้องรู้ว่าขโมยอยู่ที่ไหน แล้วตั้งสติจับขโมย วันข้างหน้าก็หวังเอาได้ !  ทั้งยังอธิบายอีกว่า สาเหตุของอกตัญญู มีการปลูกฝังมาถึง 4 แบบ
       
        แบบที่ 1  ตามใจ   คนที่เป็นพ่อแม่รักลูกสงสารลูกมากเกินไปจนลูกเคยตัว มีอะไรที่ขัดใจลูกเพียงเล็กน้อยก็ทนไม่ได้คือยอมลูกไปทุกอย่าง จะเอาอะไรก็เป็นได้ หากสอนลูกให้ยอมเหน็ดเหนื่อย เลี้ยงดูพ่อแม่ เขาก้จะไม่เคยชิน ต่อหน้าคนอื่นถ้าลูกทำผิด พ่อแม่ก็ไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน กลัวลูกอับอายทนไม่ได้ อย่างนี้ลูกก็กล้าที่จะลำเลิกดุว่าพ่อแม่  การที่พ่อชมเชยความรู้ความสามารถของลูก โดยกลัวว่าลูกจะไม่เก่งกว่าตน อย่างนี้ก็ทำให้ลูกคิดว่าความรู้ความสามารถของพ่อต้องด้อยกว่าตน เป็นการสั่งสมนิสัยความหยิ่งทะนง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ไม่แสดงออก แต่พออยู่หน้าพ่อแม่ก็คุยโอ้อวด ทำให้เข้าใจว่าเป็นจริง โดยที่ผู้ใหญ่ก็ไม่รู้เรื่อง

        แบบที่ 2  นิสัย   เด็กที่พูดจาหยาบคายจนเป็นนิสัย ก็กล้าที่จะพูดใส่พ่อแม่ กิริยามารยาทที่ต่ำทรามทำจนชิน ก็จะเป็นคนที่ไม่รู้จักรักษามารยาท ทำตามอำเภอใจ  พ่อแม่สู้อุตสาห์เก็บของดีของชอบที่ลูกชอบกินไว้ให้จนลูกเคยชิน เด็กจะลืมพระคุณที่พ่อแม่สู้เก็บถนอมไว้ให้ไป บางทีพ่อแม่มีอาการเจ็บป่วยทนทุกข์ทนเจ็บ ไม่ปริปากบ่นให้ลูกฟัง ลูกก็จะไม่ถามไถ่ดูแลการเจ็บป่วยของพ่อแม่ไป

        แบบที่ 3  รักสบาย   ลูกพอได้พบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็ให้รู้สึกสนิทสนมพอใจ แต่กับพ่อแม่ก็ไม่มีความหมาย พอเข้าไปในห้องภรรยาให้มีอาการพอใจ  แต่พออยู่นอกห้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็ดูเบื่อหน่าย บางครั้งก็กล้าพูดออกมาตรง ๆ  พ่อแม่พี่น้องกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อไม่อยากพูดคุย ในใจเขาจะมีความคิดเรื่องกตัญญู หรือความรักในสายเลือดอย่างไร

        แบบที่ 4   ลืมบุญคุณจำความแค้น    มักพูดกันว่า "บุญคุณยิ่งนานยิ่งลืม  ความแค้นยิ่งนานยิ่งสะสม"  เป็นปกติวิสัยของคน เพราะฉะนั้น ถ้าเลี้ยงข้าวคนอื่นมื้อหนึ่ง เขาจะจดจำได้ แต่ถ้าเลี้ยงข้าวจนเคยแล้ว การติเตียนโทษแค้นก็เิกิดขึ้นได้เช่นกัน ถ้าบริจาคให้ครั้งหนึ่งคนอื่นรู้สึกขอบคุณ ถ้าหากสงเคราะห์เป็นประจำ ก็จะเกิดการแยกแยอะว่ามากว่าน้อย ถ้าหากว่าพบหน้ากันครั้งเดียวก็ทำให้เขารู้สึกยกย่อง ถ้าพบติดต่อกันการคาดเดาสงสัยก็จะเกิดขึ้น นับประสาอะไรกับพ่อแม่พี่น้องที่คุ้นเคย  เคยชิน  ก็จะเห็นความรักของพ่อแม่พี่น้องคงจะเป็นของที่ไม่เปลี่ยนแปลง  ดังนั้น  พระคุณอันยิ่งใหญ่จำเพาะหน้าพ่อแม่ก็เลยไม่รู้จัก มีหรือที่จะนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ตั้งครรภ์เลี้ยงดูเวลาลูกเจ็บป่วยพ่อแม่ก็ตกใจเป็นทุกข์กังวล  เพราะฉะนั้น บางครั้งอารมณ์ความรักของคนจึงสับสนกลับตาลปัตร ลูกจึงไม่รู้สึกตัวสำนึกคุณ ทั้งยังเคียดแค้นพ่อแม่อีกด้วย

        ที่กล่าวมาแล้วหลายรูปแบบ ล้วนเกิดจากนิสัยที่เคยชินจนเคยตัว ทั้งยังไม่เคยรับรสของความขมขื่นอันแท้จริง  เมื่อสั่งสมนิสัยนี้ไปนาน ๆ ก็เลยไม่รู้จักความผิดพลาดว่าอยู่ตรงไหน เพราะฉะนั้น จึงสมควรที่จะรีบ ๆ ปลุกให้ตื่น  รีบ ๆ รักษาโดยเร็ว ให้ตรึกคิดเป็นนิจ อย่าเห็นว่าอย่างไรเสียพ่อแม่ก็เมตตายอมอภัยให้ฉัน อย่าเห็นว่าสังคมข้างนอกเลวร้ายอย่างนี้  ฉันยังดีกว่าคนอื่น ต้องรู้ว่าการไม่รู้จักกตัญญู เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะกลายเป็นไม่รู้จักกตัญญูมาก ๆ ไปเลย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล สาเหตุของการไม่รู้...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/05/2011, 03:48
                    คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

ท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า   สาเหตุของการไม่รู้จักกตัญญูมาก ๆ  ก็มี  ๔  อย่าง

        ๑.   เห็นแก่ทรัพย์   พอเงินทองตกถึงมือฉันก็เป็นของฉัน  แม้แต่เงินทองของพ่อแม่ก็เข้าใจว่าเป็นเงินของฉัน เมื่อตนเองมีเงินมากพอก็ลืมพ่อแม่ แต่ตอนที่ตนเองเงินทองไม่พอก็กล้าจะไปเอาเงินทองของพ่อแม่ ยามที่พ่อแม่เลี้ยงดูตนเองไม่ได้  ต้องไปพึ่งพาให้ลูกเลี้ยงดูก็จะเคียดแค้นพ่อแม่ แม้แต่ครอบครัวที่มีลูกคนเดียว ก็ยังเกิดปัญหาเรื่องเงินทองถึงกับจะฆ่าแกงกัน นับประสาอะไรกับครอบครัวพี่น้องต่างเกี่ยงกันเลี้ยงดูพ่อแม่ !  พวกเขาคงลืมไปกระมังว่า กายสังขารนี้มาจากไหน เงินทองของเรามาจากไหน ตอนเราเกิดมามีเงินทองติดตัวมาหรือไร  ตั้งแต่ทารกจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยขัดสน  ใครช่วยเหลือเธอ แต่ตอนนี้ตนเองไม่อยากสิ้นเปลืองจึงคิดถือสากับพ่อแม่ ! 

        ๒.   หลงเมีย    หลงลูกเมียมากจนเป็นเหตุไม่กตัญญู พอมีเงินทองอาหารดี ๆ ก็จะเอาไปปรนเปรอลูกเมีย เวลามีวันหยุดวันนักขัตฤกษ์ ที่คิดจะพาลูกเมียไปให้พ่อแม่เชยชม ก็ยิ่งนับวันลดน้อยถอยห่างลงไป ไม่คิดว่าลูกเป็นลูกของฉัน แล้วฉันจะเป็นลูกของใคร พ่อแม่เลี้ยงดูฉันแล้วฉันไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ แล้วลูกที่ฉันเลี้ยงจะมีประโยชน์อันใด  สามีภรรยารักใคร่กันเป็นเรื่องดี  แต่ตอนที่ฉันยังอุแว้กินนมขี้เยี่ยวปนเป เมียเราตอนนั้นเลี้ยงดูเราหรือ  ทีตอนนี้ก็รู้จักรักลูกหลงเมีย พ่อแม่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ แต่งเมียได้ก้ดีใจเป็นที่สุด แต่ทำไมพอมีเมียแล้ว ก็ทำให้พ่อแม่ต้องเสียลูกไปปานนั้น

        ๓.   สำมะเลเทเมา   ไฟสุมอกร้อนแรง  บวกกับถูกฝ่ายตรงข้ามเป่าหูอย่างรุนแรง  ตอนนั้นคนในบ้านก็ทำร้ายจิตใจ เขาก็รับไม่ได้จึงออกจากบ้าน ไปสำมะเลเทเมาหมดเงินหมดทอง ระหว่างแม่กับเมียจึงเกิดปากเสียงกันเพราะเรื่องนี้ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันเขาก็แก้ไขไม่ได้  เมียก็กอดลูกนอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงสามีที่สำมะเลเทเมาอยู่ข้างนอก แม้แต่ลมฝนนอกบ้านก็ทำให้เธอเสียใจร้องไห้ พ่อแม่ที่แก่ผมหงอกก็ไม่มีใครดูแล กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเป็นห่วงลูกชายที่สำมะเลเทเมาอยู่นอกบ้าน จะได้รับอันตราย จิตใจที่บ้าคลั่งเช่นนี้จะหยุดลงได้เมื่อไร ทนได้หรือที่ให้คนที่ตนรักที่สุดต้องเสียใจ  ! 

        ๔.   แก่งแย่งอิจฉา    ด้วยฟ้าดินไม่เห็นแก่ตัว แต่คนกลับมีความรู้สึกเสียใจ ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ๆ จะมีเหตุผลที่ไม่ลำเอียง หรือบรรดาลูก ๆ แย่งชิงให้พ่อแม่รัก หรือพี่น้องมีเรื่องขัดใจกัน ต่างถือสาหาความ พูดจาใส่ร้ายกัน บ้านใครก็เป็นเช่นนี้ก็จะสั่งสมแต่ความโกรธแค้น ใจที่กตัญญูก็พลอยจืดจางลง

        ทั้ง ๔ อย่างเป็นสภาพธรรมดาของมนุษย์ ที่น่ากลัวคือลูกที่กตัญญูก็หลบเลี่ยงได้ยาก จนกลายเป็นคนไม่กตัญญูไป   สมัยซ่ง หันเหว่ยกัง กล่าวว่า  "พ่อเมตตาลูกก็กตัญญู" เป็นเรื่องปกติ ถ้าพ่อแม่เมตตาต่อลูก มีหรือลูกจะไม่กตัญญู เป็นสมัยกษัตริย์ต้าซุ่น แต่โบราณมา"  หากในสภาวะที่พ่อแม่ไม่พอใจลูก ในใจขอลูกจะต้องไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย จะต้องเพิ่มความระมัดระวังปรนนิบัติพ่อแม่ ถึงแม้จะเกลี้ยกล่อมท่านไม่ได้ ก็ไม่ให้ล่วงเกินท่าน มีแต่บุตรต้องทำหน้าที่กตัญญูให้ถึงที่สุด อย่าต้องล่วงละเมิดจนกลายเป็นลูกอกตัญญูไป  ถ้าหากยังมองพ่อแม่ว่าไม่ถูกต้อง ในใจก็มีแต่อารมณ์โกรธแค้น จนไม่สลายหมด หรือละวางไม่ลง ก็จะส่งให้เกิดการระงับชั่งใจไม่อยู่ คือไม่สามารถตัดรากถอนโคนความแค้นได้ อันเป็นเหตุให้ละเมิดผิดจนกลายเป็นพิษภัย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นละก็ โทษบาปที่ดุด่าว่าพ่อแม่ไม่เมตตาจะหนักมาก เป็นโทษมหันต์ที่อกตัญญูู ก็คงหมดทางหลบหลีกจากโทษบาปที่ก่อไว้   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คำคม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/05/2011, 10:31
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล 

คำคม  :  ท่านหลอ เคยกล่าวไว้ว่า "บุตรกตัญญูที่ปรนนิบัติบิดามารดา จะทำให้บิดามารดามีใจเย็ยชาไม่ได้ มีกังวลใจไม่ได้ มีใจหวาดกลัวไม่ได้ มีความกลุ้มใจไม่ได้ ทำให้บิดามารดาไม่อยากพูดไม่ได้ ทำให้บิดามารดามีใจละอายแค้นไม่ได้" 
        ท่านถัง ได้เขียนบทเพลงพระคุณบิดามารดาว่า  :-

ฉันยังไม่ทันเอ่ยก็น้ำตาร่วงริน             ไม่อาจตอบแทนพระคุณเลี้ยงอบรม
ตื้นตันจนพูดไม่ออก                           ตื้นตันพูดให้พวกท่านฟัง
ทนทุกข์ทรมานยามตั้งท้อง                  ดุจผจญมารเอาชนะยาก                   
การให้กำเนิดนั้นมีอันตราย                   ระหว่างความเป็นความตาย
เจ็บปวดท้องสุดจะทนได้                     ดุจให้เขาถอดกายสังขาร
จะตายจะเกิดนับครั้งไม่ถ้วน                  อาศัยเทพเทวาเป็นที่พึ่ง
ลูกคลอดออกมาเลือดกระจาย               กัดฟันหลับตาดุจเกิดใหม่
จวบจนตัดสายใส่เสื้อแล้ว                    ผ่านไปสามวันค่อยเป็นคน
ขี้เยี่ยวรดเปื้อนเต็มตัว                          เหม็นควาสกปรกกลิ่นไม่ไหว
ใจไม่เคยนึกติโกรธเคือง                      จะอาบล้างเปลี่ยนแสนลำบาก
ได้ยินเสียงลูกน้อยร้องแว้                     พลิกตัวเอามือมาช้อนอุ้ม
คิดว่าเธออายุได้ครึ่งขวบ                     สะดุ้งตื่นไม่เป็นอันหลับ
ยามหิมะตกฟ้าปลายปี                         พันหัวพันเท้าอุ้มลูกนอน
เพราะลูกน้อยยังกินนม                        ยามดึกเปิดอกออกข้างนอก
พอลูกออกหัดอีสุกใส                          ใจแม่อกสั่นขวัญแขวน
ภายหลังอาการบรรเทาแล้ว                 คอยจะดื่มกินอาหารได้
จุดธูปเทียนกราบเจ้าเตาไฟ                 พร่ำเรียกเจ้าแม่อีสุกใส
ถ้าหากเกิดมีเสียงเจ้าแม่                      คงอกสั่นจนขนหัวลุก
โชคดีเลี้ยงลูกได้ถึงสองขวบ               อาศัยปีนป่ายเดินเตาะแตะ
ห่วงก็เพียงจะชนหัวหน้าแตก               อย่างไรเสียก็ไม่ปล่อยวางใจ
มีลูกก็มักปล่อยตามใจ                        เสียนิสัยบ่มอนาคต
ทำไมพ่อแม่รักลำเอียง                       ปากก็ว่าลูกดีเด็กดี ๆ
ลูกโตผมยาวปะไหล่                          ชั่วพริบตาเติบโตผู้ใหญ่
เจ็บปวดยามปู่ย่าจากไป                     ไม่อาจเฝ้าดูแลอยู่ข้างกาย 
แบ่งได้ไร่นาเพียงเล็กน้อย                  ก็หนักใจทำกินลำบาก
ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ลูกหรือไร               ตนเองกินได้สักกี่อีแปะ
แม่ดูพ่อ ๆ ส่องมองดูแม่                     ทำไมหน้าตาซีดเซียว   
เป็นเพราะลูกต้องแต่งงาน                 คิ้วขมวดเติมห้องหนึ่งห้อง
แต่ละนิ้วคืบล้วนบุญคุณ                    ใครสามารถพรรณนาได้สักครึ่ง
เก่งแค่ไหนที่พรรณนาออกมา             ก็แค่หกเจ็ดส่วนเท่านั้นเอง
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คำคม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/05/2011, 10:56
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล         

คำคม   : 

        คุณจินเช้าเกา กล่าวว่า  "ความเสื่อมในประเพณีงานศพ"  ปัจจุบันถึงจุดเสื่อมสุดแล้ว คนปัจจุบันมักเข้าใจว่า คนสมัยก่อนทำงานศพไม่ถูกต้อง ปัจจุบันไว้ทุกข์กันภายในแค่เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันเท่านั้น เพื่อให้จบสิ้นแล้วไปจัดงานแต่งงาน อย่างนี้ถือเป็นการไม่มีอารยธรรม ในสมัยโบราณผู้เป็นบัณฑิตจะไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูเป็นระยะเวลา ๓ ปี  ขนาดรับประทานอาหารประณีตก็ไม่รู้สึกรสอร่อย ฟังดนตรีก็ให้รู้สึกไม่สบาย ชีวิตประจำวันก็ยังมีความรู้สึกอาลัยอาดูรการจากไปของพ่อแม่ เป็นเวลาเช่นนี้นานถึง ๓ ปี ปัจจุบันจิตสำนึกของคน ไม่สนใจหลักธรรมฟ้า บางทีก็ยังแต่งงานภายใน ๔๙ วันก็มี แม้แต่งานศพพ่อแม่ก็ยังไม่สนใจ กับแต่จะหาความสุขระหว่างสามีกับภรรยากัน การเป็นลูกของคน หากเป็นเช่นนี้ลวก ๆ ง่าย ๆ เช่นนี้ถือว่าไม่กตัญญูอย่างยิ่ง หากพ่อแม่สอนลูกให้ทำเช่นนี้ก็คือ การสอนลูกให้ไม่กตัญญูโดยเฉพาะอยู่ในช่วงอุบาทว์แต่ไปทำงานมงคล มันจะไม่ดีกับสามีภรรยาทั้งสองฝ่าย ประเพณีที่ไม่ดีอย่างนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เริ่มต้น พอมาถึงปัจจุบันกลายเป็นเรื่องถูกต้องไป แม้แต่ในครอบครัวที่มีการศึกษาก็ยังเป็นเช่นนี้ คงเป็นคนบาปของโจวกงและท่านขงจื่อ ประเพณีที่เลวแบบนี้ ควรรีบแก้ไขเสียโดยรีบด่วน ! 
        คุณเสิ่นหลงเจียง  กล่าวว่า  "การปรนนิบัติพ่อแม่ยังเทียบไม่ได้เท่ากับงานวาระสุดท้ายของพ่อแม่ งานวาระสิ้นบุญของพ่อแม่ถือเป็นงานใหญ่ ถ้าปฏิบัติไม่ได้แล้ว งานอื่น ๆ ก้ถือว่าไม่จริงใจแล้วในครอบครัวที่มีพี่น้องมาก พี่น้องมักจะเกี่ยงกันไปมา เหตุนี้จึงจัดงานศพลวก ๆ เพทื่อให้เสร็จสิ้น ก่อให้เกิดนึกเสียใจภายหลัง สำหรับฉันแล้วการเป็นลูกคนโต ถ้ามีกำลังทำได้ก็ควรทำเสียคนเดียว ไม่จำเป็นต้องผลักให้น้อง ๆ ไปทำ ถ้าเป็นน้องเขามีกำลังทำได้ตามลำพัง ก็ควรรับเป็นหน้าที่ของตนเอง ก็ไม่ต้องให้พี่ต้องแบกรับจนเกินกำลัง แต่ละคนทำสุดกำลัง ให้แบ่งกันทำ อย่างนี้จึงสมเหตุผลที่เกิดเป็นลูก !  หากคิดอยากพึ่งคนอื่นอีกส่วนหนึ่ง มันก็จะเกิดขึ้นอยู่ในใจเราส่วนหนึ่ง ก็จะกลายเป็นไม่ทำสุดกำลังไปส่วนหนึ่ง !"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/05/2011, 03:10
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน  ๑.  :  หยางปู่เป็นชาวเมืองไห่เหอ ร่ำลาแม่เฒ่าที่บ้านแล้วเดินทางไปเสฉวน  เพื่อไปกราบอาจารย์อู๋จี้ไต้ซือ ระหว่างทางได้พบภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งพูดกับเขาว่า "จะไปไหน"  หยางปู่ตอบว่า "ไปกราบอาจารย์อู๋จี้ที่เสฉวน" ภิกษุเฒ่าพูดว่า "เจ้าไปกราบอาจารย์อู๋จี้ ยังสู้ไปหาพระพุทธะไม่ได้" หยางปู่จึงถามว่า "อย่างนั้นพระพุทธะอยู่ที่ไหน"  ภิกษุเฒ่าตอบว่า "เพียงเจ้ากลับบ้านก็จะเห็นคนหนึ่งที่พาดเสื้อสีเหลืองไว้บนบ่า เท้าก็ใ่ส่รองเท้ากลับข้าง คน ๆ นั้นคือพระพุทธะ !"  หยางปู่ฟังแล้วก็รีบกลับบ้าน ตอนที่กลับมาบ้านก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน ปิดประตูนอนกันหมดแล้ว หยางปู่เคาะประตูบ้านรออยู่ข้างนอก ขณะนั้นแม่เฒ่าได้ยินเสียงลูกชายร้องเรียกอยู่ข้างนอก ด้วยอารามดีใจที่จะไปเปิดประตู จึงฉุกละหุกคว้าเสื้อได้ตัวหนึ่งสีเหลืองพาดไว้บนไหล่ ด้วยอาการรีบร้อนที่จะเห็นหน้าลูก จึงใส่รองเท้าสลับข้างวิ่งไปที่ประตูบ้านพอเปิดประตู หยางปู่เห็นสภาพมารดาตรงกับที่พระภิกษุเฒ่าบอกทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงตื่นบรรลุฉับพลัน จากนั้นมาเขาก็จะอยู่ที่บ้านคอยดูแลปรนนิบัติมารดาสุดกำลัง ทั้งยังได้เขียนคำอธิบายในคัมภีร์กตัญญูไว้เป็นหมื่น ๆ ตัวอักษร ขณะที่หยางปู่เขียนคำอธิบายคัมภีร์กตัญญูอยู่นั้น พอน้ำในที่ฝนหมึกใกล้จะแห้ง ทันใดนั้นน้ำก็เต็มขึ้นมาเอง คนอื่นต่างยอมรับว่า เพราะความกตัญญูของหยางปู่ เป็นเหตุซาบซึ้งถึงฟ้าดิน เทพจึงมาเติมน้ำให้ตลอดเวลา

คำคม  :   พระโพธิสัตว์เมตตรัย กล่าวไว้ว่า "ในบ้านมีพุทธะ  ๒ องค์  เจ็บใจที่ชาวโลกไม่รู้จัก ไม่ต้องใช้โลหะหล่อ ไม่ต้องใช้ไม้กฤษณามาแกะนั่นคือ พ่อแม่ทั้งสอง  ก็คือศากยะเมตตรัย  หากสามารถตั้งใจเคารพปรนนิบัติ ไม่ต้องไปหาบุญกุศลที่ไหน"

นิทาน  ๒.  นายไอ้เหมี่ยน มีนิสัยกตัญญูมาก แม่ตาบอดทั้งสองข้าง เขายอมขายทรัพย์สมบัติเพื่อรักษาตาของแม่ เขาปรนนิบัติแม่เขานานถึง  ๓๐ ปี  เขาระมัดระวังเคารพมาก แม้ตกกลางคืนเขาก็จะไม่ถอดหมวกและเสื้อคลุมออกเลย เมื่อถึงเทศกาลตรุษสารท
เขาก็จะพาแม่ออกไปรับประทานอาหารข้างนอก เพื่อได้สนุกสนานกับผู้คนข้างนอก เพื่อให้คุณแม่ลืมความทุกข์  ต่อมาเมื่อแม่ถึงแก่
กรรม นายไอ๋เหมี่ยน เสียใจจนกระอักเลือด แล้วตั้งปณิธานทานเจตลอดชีวิต เขาจะรักพี่ชาย พี่สาว เหมือนรักแม่ เขาดีต่อหลานยิ่งกว่าลูกของตน เงินที่เขาหาได้ก็จะแบ่งปันให้กับญาติพี่น้อง ทั้งพูดว่า "ถึงแม้คุณแม่จะจากไปแล้ว ข้าก็มิอาจไม่แสดงความกตัญญูไม่ได้ คิดถึงเมื่อครั้งคุณแม่ยังอยู่ คุณแม่ห่วงใยพี่ชาย  พี่สาว และหลาน ๆ มากที่สุด ๔-๕ คนนี้  เพราะฉะนั้น  ฉันจะต้องดูแลเขาอย่างดี การทำแบบนี้ จึงจะปลอบประโลมคุณแม่บนสวรรค์นั้นได้"  ต่อมาไอ๋เหมี่ยน ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึงราชเลขา บุตรชายของเขานายอิ้งปู่ มีความสามารถมากเป็นถึงมหาอำมาตย์  โอ้ !  คนเช่น ไอ๋เหมี่ยน นี้จึงนับเป็นบุตรกตัญญูที่แท้จริง ขณะแม่มีชีวิตอยู่ก็ทำให้แม่ดีใจ ภายหลังแม่สิ้นบุญไปแล้ว ก็ยังสามารถทำความหวังของแม่ได้ เมื่อมาย้อนดูชาวโลกที่ร่ำรวยมีอำนาจ กลับปฏิบัติต่อพ่อแม่พี่น้องเหมือนคนเดินถนนทั่วไป เมื่อมองดูใจกตัญญูของนายไอ๋เหมี่ยน แล้วจะรู้สึกละอายใจบ้างไหม ? 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/05/2011, 03:39
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สี่

                                         สั่งสมกุศล   

นิทาน  ๓.  :  หลี่เซิน สูญเสียแม่ตั้งแต่เด็ก จึงปรนนิบัติพ่ออย่างดีเพราะว่าพ่อมีอายุมากแล้ว กลางคืนก็จะลุกขึ้นปัสสาวะบ่อย หลี่เซินจึงนอนกับพ่อเพื่อคอยดูแล ทุกคืนหลี่เซินต้องลุกขึ้นถึง ๔-๕ ครั้ง เพื่อพาพ่อไปปัสสาวะ อยู่มาหนึ่งปีเกิดสงคราม ขโมยโจรปล้นจี้เต็มบ้านเต็มเมือง หลีี่เซินแบกพ่อขึ้นหลังหนีเข้าป่า ระหว่างทางพบกับพวกโจร พวกโจรเห็นหลี่เซินมีความกตัญญูจนเป็นที่ประทับใจจึงไม่ทำร้ายทั้งสองคน ยามปกติพ่อของเขาชอบผลไม้ลูกเห็งมาก นายหลี่เซินจึงปลูกต้นเห็งไว้ในที่ดินใกล้ ๆ บ้านหลายต้น แ๖่ก็ถูกเพื่อนบ้านยึดครองเอาไป หลี่เซินหมดท่า จึงเขียนใบฏีการายงานเทพเจ้าให้ช่วยเหลือ เทพเจ้าก็ลงโทษเพื่อนบ้านที่ยึดครองโดยทำโทษให้เกิดหลังโกงขึ้น ทั้งยังพูดกับพวกเขาว่า "เธอต้องคืนที่ดินกัับต้นเห็งให้แก่หลี่เซินให้หมดโดยเร็ว"  เพื่อนบ้านที่ใช้อำนาจยึดครองที่ดินของหลี่เซินไป ต่างพากัันไปคืนที่ดินและต้นเห็งแก่หลี่เซินจนหมด เทพเจ้าจึงเลิกลงโทษ

นิทาน  ๔  :  หลี่หุยซิ้ว เป็นคนในสมัยถัง  มีนิสัยกตัญญู มารดาของเขายากจนมาก่อน พอภรรยาของเขาด่าว่าคนใช้ แม่ของหลี่หุยซิ้วได้ยินแล้วรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยสาเหตุนี้หลี่หุยซิ้วจึงเลิกกับภรรยา มีคนถามเขา "มีสาเหตุอะไรกันแน่ จึงเลิกกับภรรยา" เขาตอบว่า " จุดมุ่งหมายของการแต่งภรรยา ก็เพื่อให้ภรรยาปรนนิบัติมารดา ถ้าหากภรรยาไม่สามารถยิ้มแย้มปรนนิบัติอย่างจริงใจได้ สะใภ้แบบนี้จะเอาไว้ได้อย่างไร" ความกตัญญูของหลี่หุยซิ้ว ซาบซึ้งสวรรค์ ดังนั้นที่หน้าบ้สนของเขาจึงมีต้นหญ้าจืองอกขึ้น ฮ่องเต้ถึงกับมีราชสาสน์ประกาศความกตัญญูของเขาส่งมาถึงบ้าน

นิทาน  ๕  :  ในสมัยฮั่น  เมืองเจอะเจียง บ้านช่างอู้ มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ เฉาง้อ พ่อของเธอชื่อเฉาอวี่ เป็นอาจารย์ทำพิธีกรรมในวันเทศกาลขนมจ้าง วันที่ ๕ เดือน ๕  วันนั้นเขาโดยสารเรือไปที่กลางแม่น้ำเพื่ออัญเชิญเทพเจ้า   ไม่ทันระมัดระวังจึงพลาดตกน้ำตาย เฉาง้ออายุเพียง ๑๔ ปี  เธอเดินเลาะตลิ่งเพื่อหาศพของพ่อ แต่ก็หาไม่พบ เฉาง้อร้องไห้ที่ริมแม่น้ำถึง ๗ วัน ๗ คืน ในที่สุดเธอก็กระโดดลงแม่น้ำ ผ่านไป ๕ วัน  เฉาง้อก็แบกศพพ่อลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ คนในละแวกนั้นพากันตกตะลึง นายอำเภอช่างอู้จึงจัดทำศพให้แล้วรายงานสู่ราชสำนัก ฮ่องเต้เห็นความกตัญญูของเฉาง้อ จึงมีประกาศเกียรติคุณและสร้างศาลเจ้าเฉาง้อไว้ข้างแม่น้ำนั้นที่ศาลเจ้ามีคนไปไหว้ไม่ขาดสายมาจนถึงทุกวันนี้
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ให้รักญาติมิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/05/2011, 12:08
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

คัมภีร์   :  ให้รักญาติมิตร

อธิบาย  :  เมื่อเป็นพี่ชายเขาก็ต้องรัก  หากเป็นน้องชายเขาก็ต้องรักพี่ พี่น้องเปรียบเหมือนแขนขา จึงเหมือนคน ๆ เดียวกันในสายตาของพ่อแม่ พี่น้องก็เป็นคนเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในระหว่างพี่น้องมีเรื่องทำให้ไม่รักใคร่กัน ใจของพ่อแม่ก็จะอยู่ไม่เป็นสุข ถ้าพ่อแม่เห็นพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนแขนขา ใจจะมีความรู้สึกสบายปานไหน !  ดังนั้นจึงมักยกย่องให้พี่น้องเป็นแขนขา ในพี่น้องถ้ามีความเจ็บไข้หรือลำบากเพราะเกี่ยวพันกัน ควรที่จะช่วยเหลือดูแลกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่แขนขาจะมาชกต่อยแย่งชิงกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดอยู่เสมอว่า พี่น้องคลานตามกันมา จึงเหมือนเป็นร่างเดียวกัน เหมือนเนื้อติดกับกระดูกที่แยกกันได้ยาก หากเข้าใจเหตุผล เวลามีเรื่องเข้าใจผิดจนทะเลาะกัน ก็จะต้องอดทน มีขันติธรรมหยุดทะเลาะกัน กับเงินทองก็จะเห็นไม่สำคัญ อาจารย์เซ็นฝาเจียง ได้เขียนกลอนไว้บทหนึ่งว่า "ร่วมต้นแตกกิ่งต่างเจริญ วาจาอย่าล่วงเกินทำร้ายน้ำใจ พบครั้งหนึ่งก็แก่ลงทุกครั้งไป
มีโอกาสใดจะได้เป็นพี่น้องกัน พี่น้องร่วมชายคาอดทนไว้ อย่าเพราะไร้สาระทะเลาะกัน ลูกที่เกิดมาก็พี่น้องกัน สมานฉันท์เป็นตัวอย่างลูกหลานดู"   โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝานว่า  "พ่อรักลูก พี่รักน้อง เป็นส่วนของพ่อแม่ อย่าไปตำหนิลูก และน้องว่าต้องคล้อยตาม ถ้าอย่างนั้นผู้เป็นลูกหรือเป็นน้อง ที่จริงควรรักพ่อและพี่ของตน ก็ไม่ควรไปตำหนิพ่อหรือพี่ที่ไม่เมตตารักตน เพียงแต่ละฝ่ายต้องทำส่วนของตนให้ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นนิสัยที่ชอบกล่าวหาเขาก็จะไม่มีเอง แต่ต้องเคร่งครัดต่อคนในบ้านหรือบ่าวในบ้าน ที่ถ่ายทอดคำพูด เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด คำพูดของลูกเมียมักจะมีใจเห็นด้วย ถึงแม้จะฟังก็เหมือนไม่ฟัง เช่นนี้แล้วคำพูดที่เห็นด้วยระหว่างพ่อลูกพี่น้องก็จะไม่มี ถึงแม้จะมี ก็ไม่เท่าให้เป็นเรื่องได้ !"  ท่านหวังหยางหมิงเคยพูดว่า "กษัตริย์ซุ่นสมัยโบราณ ที่สามารถอบรมเรียกช้างมาช่วยไถนา เคล็บลับก็คือ ไม่มองจุดด้อยของช้าง เพราะฉะนั้น ระหว่างสายเลือด ควรพูดโดยมีน้ำใจเยื่อใย ไม่ควรใช้เหตุผลมาพูด ถ้าไม่ยึดเหตุผลก็จะทำร้ายน้ำใจ ถ้าเน้นการทำร้ายน้ำใจ ก็หาใช่เหตุผลไม่ !    ท่านเฉินจื่อในสมันซ่ง มีคนถามเขาว่า "ฉันมีเรื่องเรียนพี่ชาย ฉันก็ได้ใช้เหตุผลของน้องจนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความยินดีจากพี่ชาย ควรมีใจเคารพนับถือ โดยเฉพาะต้องมีความจริงใจถึงจะใช้ได้ ไม่ใช่มีใจที่จะกดข่ม  แล้วไประบายทุกข์กับผู้อื่น"  คนนั้นก็ถามต่อไปว่า  "ถ้าอย่างนั้นพี่ชายควรปฏิบัติต่อน้องอย่างไรบ้าง"  เฉินจื่อตอบว่า "ผู้เป็นพี่ชาย ควรรักใคร่ต่อน้องชาย จึงจะเป็นหลักธรรมของพี่ชาย"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/05/2011, 12:48
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้รักญาติมิตร

นิทาน  ๑ :  ในสมัยฮั่น มีคนชื่อเถียนจิน มีพี่น้อง 3 คน  พ่อแม่ก็ตายจากกันแล้ว พี่น้อง 3 คนก็ปรึกษากัน แบ่งมรดก 3 ส่วนเท่า ๆ กัน แต่ละคนได้หนึ่งส่วน แม้แต่ต้นไม้จื่อที่อยู่หน้าบ้านก็จะผ่าเป็น 3 ส่วน พูดแล้วก็แปลก ภายหลังที่พี่น้องตกลงกันแล้ว ต้นไม้ต้นนี้ก็เหี่ยวเฉาลง เถียนจินเห็นเข้ารู้สึกตกใจกลัว จึงพูดกับน้องทั้งสองว่า "แม้แต่ต้นไม้พอได้ยินว่าจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เพราะมันก็ตรอมใจเหี่ยวเฉา หรือว่าเรา 3 คนยังสู้ต้นไม้ไม่ได้"  เถียนจินพูดแล้วพูดอีก อดไม่ได้จึงร้องไห้ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้พี่น้อง 3 คนจึงตกลงใจไม่แบ่งต้นไม้จื่อแล้ว พูดแล้วก็แปลก ต้นไม้นี้พอได้ยินว่าพี่น้องเถียนจินจะไม่แยกมันแล้ว ก็ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้พี่น้องทั้งสามคนจึงเข้าใจไม่คิดแบ่งมรดก พี่น้องอยู่รวมกันอย่างมีความสุข คนละแวกบ้านยกย่องว่า "พี่น้องเถียนจินเป็นบ้านกตัญญู"  ควรรู้ว่าพี่น้องเป็นหนึ่งในสัมพันธ์สวรรค์ นับพ่อลูกกับสามีภรรยา จัดไว้เป็นวินัยสาม เพราะฉะนั้น คนโบราณจึงยกพี่น้องเหมือนแขนขา หมายความว่าแขนขานั้นอยู่แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันก็แยกสลาย แยกสลายจะโดดเดี่ยวอับเฉา  อับเฉาแล้วก็ใกล้จะดับสิ้นลง

นิทาน ๒  :  ซือหม่ากวง เป็นมหาอำมาตย์สมัยซ่ง มีพี่ชายชื่อซือหม่าคัง อายุแปดสิบปี  ซือหม่ากวงปฏิบัติต่อพี่ชายเหมือนปฏิบัติต่อบิดา และก็จะดุแลพี่ชายเหมือนเด็กทารก ทุกครั้งที่รับประทานอาหาร พอทานไปได้สักครู่ ซือหม่ากวงก็จะถามว่า "พี่ชาย ! พี่ต้องทานให้อิ่มนะ ไม่งั้นเดี๋ยวก็จะหิวนะ  !"  ถ้าอากาศเริ่มเย็น เขาก็จะลูบหลังพี่ชายพูดว่า "พี่ชาย ใส่เสื้อผ้าหนาพอไหม  !  ระวังหน่อยนะอากาศหนาวแล้วนะ ! "

นิทาน ๓  :  โจวเหวินซ้ง มีนิสัยรักญาติมิตร พี่ชายเขาชอบดื่มสุรา และก้อาศัยอยู่กับโจวเหวินซ้งด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ชายดื่มสุราจนมึนเมา แล้วก็จะไปทุบตีโจวเหวินซ้ง บ้านเคียงข้างได้ยิน พวกเขารู้สึกไม่พอใจถึงความไม่ชอบธรรมของพี่ชาย จึงด่าว่าพี่ชายของโจวเหวินซ้งว่า "น้องของคุณดีกับคุณเช่นนี้ คุณกินของเขา ดื่มของเขา อยู่กับเขา พอดื่มสุราเมาแล้วยังจะตีเขาอีก คุณนี่เป็นพี่ชายอะไร มีสำนึกจิตอันดีงามหรือไม่ ! " แต่ทว่าโจวเหวินซ้งกลับไม่พอใจคนข้างบ้าน รู้สึกโกรธมากจึงพูดกับคนข้างบ้านว่า "พี่ชายไม่ได้ตีฉันเลย ! ทำไมพวกท่านจึงต้องมากีดกันความรักระหว่างพี่น้องของเราด้วยละ"

นิทาน ๔  :  ในสมัยซ่ง มีพี่น้อง 2 คน  เจิ้นเต๋อกุ่ย  กับ  เจิ้นเต๋อจาง ทั้งสองรักใคร่กันมาก ทั้งสองเรียนหนังสือด้วยกัน กลางคืนก็นอนด้วยกัน เต๋อจางมีนิสัยตรงแข็ง  เป็นคนไม่ค่อยประนีประนอม มักทำให้คนอื่นแค้น พวกแค้นก็วางแผนทำลายเต๋อจาง ดังนั้นจึงถูกทางอำเภอตัดสินลงโทษประหาร ทางอำเภอก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาจับตัวที่บ้านเต๋อจาง  เต๋อกุ่ยรู้ว่าน้องชายถูกใส่ร้าย จึงรู้สึกทุกข์เวทนา จึงแกล้งพูดกับน้องชายว่า "ที่จริงพวกเขาต้องการใส่ร้ายฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับน้อง ฉันจะไปที่อำเภอไปรับโทษเอง พูดแล้วก็ไปที่อำเภอ  เต๋อจางรีบตามไป  พี่น้องพบกันระหว่างทางกอดกันร้องไห้ ต่างแย่งกันไปรับโทษประหาร เต๋อกุ่ยก็เตรียมแผนถ่วงน้องชายไว้ หลบไปที่อำเภอตอนมืดค่ำ วันรุ่งขึ้น ไม่เห็นพี่ชายจึงตามไป ไปถึงที่ประหาร เต๋อกุ่ยตายอยู่ในคุกแล้ว เต๋อจางเห็นศรีษะพี่ชาย เสียใจร้องไห้จนเป็นลมไปถึง 4 ครั้ง เต๋อจางจัดการเผาศพพี่ชายแล้ว ก็เก็บกระดูกพี่ชายกลับบ้านจัดการฝัง ทั้งยังเฝ้าสุสานอยู่หลายปี แต่ละครั้งที่เต๋อจางร้องไห้ และก็ไม่กินอะไร ลูกของเต๋อกุ่ยยังเล็กมาก เต๋อจางเลี้ยงลูกพี่ชายเหมือนลูกของตน
หัวข้อ: คัมภีร์กรรมไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : บทที่สี่ : สั่งสม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/06/2011, 00:04
               คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้รักญาติมิตร

นิทาน ๕ :  ในสมัยเว่ยจิ้ง ที่เมืองไป่ยฉี มีคนชื่อ พู่หมิง ระหว่างพี่น้อง เพียงแย่งมรดกจึงมีคดีความมาหลายปี ต่างฝ่ายก็มีพยาน ในที่สุดคดีก็มาถึงศาลเมืองซิงเหอ ผู้ว่าราชการชูควน ผู้ว่าซูเรียกพู่หมิงสองคนพี่น้องขึ้นศาล แล้วก็ตักเตือนพวกเขาว่า "ในโลกนี้ที่หาได้ยากก็คือความเป็นพี่น้อง ที่หาได้ง่ายก็คือดินไร่นา ถ้าหากได้ที่ดินไร่นามาแล้วสูญเสียพี่น้อง พวกเธอใจจะรู้สึกอย่างไร"  ผู้ว่าพูดแล้วพูดอีก พูดจนน้ำตาไหล คนที่มาฟังที่จะเป็นพยานก็ถูกความจริงใจของผู้ว่าประทับใจจนน้ำตาร่วง พี่น้องพู่หมิง ๒ คน ก้มลงกราบยอมรับผิด จากนี้ไปทั้งสองจะผ่อนปรนเคารพกัน  ไม่แย่งชิงมรดกกันอีกแล้ว

นิทาน ๖ :  คุณอูเถี่ยเจียว กล่าวว่า  "ที่เหวยอิน มีข้าราชการคนหนึ่ง เขามีลูกชายสองคน ทั้งสองคนไม่ค่อยลงรอยกันตั้งแต่เล็กแล้ว แต่ละปีพบหน้ากันน้อยมาก ต่อมาพี่ชายป่วยหนักจึงเรียกคนไปตามน้องชายมาที่ข้างเตียง เขาจับมือน้องชายแล้วพูดว่า "ฉันแต่งงานอายุ ๑๙ ปี  ตอนเป็นหนุ่มก็ไม่ได้ความรักจากลูกเมีย พออายุ ๓๘ พ่อแม่ก็จากไป เพราะฉะนั้นในบั้นปลายก็ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ตลอดชีวิตอยู่ด้วยนานที่สุดคือเราพี่น้อง ๒ คน แต่เรา ๒ คน ก็เข้ากันไม่ค่อยได้ วันนี้จะเริ่มรู้สึกสำนึกผิดและเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ของฉันก็ใกล้จบลงแล้ว คนที่ได้ฟังก็ควรมีความรู้สึกประทับใจบ้าง"

อธิบายเพิ่ม : ปัจจุบันการแย่งชิงมรดก จนไม่นึกถึงความสัมพันธ์ของแขนขามีมากมายนัก ! พี่น้องคลานตามกันมายังเป็นแบบนี้ นับประสาอะไรกับน้องต่างแม่ยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้าพี่น้องร่วมท้องยังแย่งมรดกกัน พี่น้องที่ห่างกันออกไปยิ่งมิร้ายแรงยิ่งขึ้นหรอกหรือ จะมีใครเหมือนจางสือซ่วนบ้างไหม คนโบราณว่า "เย็นชากับพี่น้องก็เหมือนเย็นชากับบรรพชนนะ ! " ถ้าหากต้นไม้มีการสูญเสียของลำต้นและรากแล้ว กิ่งใบก็สูญเสียไปด้วย นี่คือหลักธรรมของการลืมต้นสายธาร พวกเราควรตรึกตรองให้มาก !

สรุป : ใครก็ตามถ้าเคารพนับถือ หรือข่มเหงรังแกพี่น้องตนเอง เมื่อเทียบกับการเคารพนับถือหรือข่มเหงรังแกคนแล้ว จะมีบุญหรือเคราะห์ตามสนองเพิ่มมากถึงสิบเท่าเชียวนะ ! ถ้าหากเคารพนับถือพ่อแม่ตนเอง หรือขัดขืนข่มเหงพ่อแม่ตนเอง สิ่งที่ได้รับผลตอบสนองจะเพิ่มเป็นร้อยเท่า หลัดธรรมเช่นนี้พวกเราต้องจดจำให้ดี ค่อยตักเตือนระมัดระวังตนเอง !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : บทที่สี่ ให้ตน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2011, 00:49
                 คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น

        อธิบาย  :  ต้องให้ตนเองซื่อตรงก่อน แล้วค่อยไปตักเตือนอบรมผู้อื่น ร่วมกันมีใจที่ดีงาม ร่วมกันไปทำเรื่องที่ดีงาม ที่กล่าวกันว่า "จะทำให้คนอื่นซื่อตรง ต้องให้ตนเองซื่อตรงก่อน" "กายตนตรงไม่สั่งก็ทำ" หากคนสามารถทำให้ตนตรงได้แล้ว ไม่มีไม่สามารถทำให้คนอื่นตรงหรอก !เพราะว่าเมื่อคน ๆ หนึ่งสามารถทำให้ตนประพฤติตรงได้ ทุกคนก็รู้จักเคารพเขา แล้วหากคนรู้จักหลักธรรมของการเคารพนับถือแล้ว ก็หมายความว่าในใจเขาก็สามารถรับการอบรมได้นะ !  ในใจคนที่สามารถอบรมได้ ใช้ความตั้งใจจริง ค่อย ๆ ไปประทับใจเขา เพียงแค่ผลักก็สามารถเคลื่อนหมุน เพียงแค่หนึ่งขยับ ก็สามารถเผยปรากฏ ไม่มีหรอกที่เขาจะไม่คล้อยตาม แต่ถ้าเอาความซื่อตรงของเขาไปกระแทกเปิดเผยความไม่ซื่อตรงของผู้อื่น จะกลายเป็นการตำหนิที่หยาบกระด้าง เขาก็ไม่ยินยอมที่จะรับการสอน กับจะโต้ตอบรุนแรงกับเธอมากขึ้น การหักหาญแย่งชิงความถูกผิด จะกลับกลายเป็นการทำลายล้างใจที่ดีงามไป ! ซึ่งเป็นนิสัยป่วยของคนรักดีในปัจจุบัน แต่ละครั้งที่อบรมเขามักออกตัวรุนแรงไป และก็ยึดติดว่าตนถูกไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักใช้วิธีที่ดีที่ง่าย ๆ อย่างนี้ ต้องหักห้ามนิสัยป่วยอย่างขมขื่นทรมาน ! เพราะฉะนั้น การตนตรงก็ต้องใจตรงก่อน เพราะใจเป็นนายของกาย และเป็นรากฐานการกระทำทั้งหมด ถ้าใจไม่บรรลุรู้ ใจที่คิดเหลวไหล และอารมณ์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อใจคิดเหลวไหลและอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหลักธรรมที่เห็นก็ไม่เข้าใจชัดแจ้งได้ ความถูกผิดก็จะสับสนฟั่นเฟือนไป เพราะฉะนั้นการักษาใจ ต้องให้ได้บรรลุรู้ เมื่อบรรลุรู้แล้ว ความคิดเหลวไหลอารมณ์ตรึกคิดก็จะละลายเป็นจริงใจไป ! นี่คือวิถีทางของใจตรง !
หัวข้อ: Re: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่ 4 สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/08/2011, 14:12
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น

นิทาน  ๑  :  ในสมัยซ่ง ซือหม่ากวง เป็นคนซื่อตรงและจริงใจต่อคน ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองลั่วหยาง ประเพณีนิสัยของชาวลั่วหยาง ถูกเขาอบรมจนเปลี่ยนแปลงไปไม่มีใครที่ไม่เคารพชื่นชมเขา ชาวเมืองรู้สึกละอายที่พูดถึงเรื่องเงินทองผลประโยชน์ ทุก ๆ คนมีทัศนคติของความซื่อสัตย์สุจริต มความละอายที่ีจะทำชั่ว และรู้จักระวังตักเตือนตน ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อคนหนุ่มคิดจะทำงานสักชิ้นหนึ่ง ก้จะช่วยกันตักเตือนซึ่งกันและกัน จนพูดกันติดปากว่า "ยังไง ๆ ก็อย่าทำเรื่องชั่วนะ กลัวว่าถ้าซือหม่ากวงรู้เรื่องเข้าจะแย่ ! "

นิทาน ๒   :  ในสมัยฮั่น มีคนชื่อ เฉินสือ เป็นคนตรงมีอัธยาศัยดีกับทุกคน ทำงานก็ซื่อตรง ในหมู่บ้านถ้าเกิดเรื่องทะเลาะกันก้จะเชิญเฉินสือมาช่วยตัดสิน ที่สุดว่าใครถูกใครผิด เฉินสือก็จะตัดสินได้ถูกต้อง ทั้งยังอธิบายเหตุผลของการทำผิดจนทำให้ทุกคนจำนน ไม่มีคำโต้แย้ง พอนาน ๆ ไปก็มีคำคมว่า "ให้ทางอำเภอลงโทษตีก้นดีกว่า อย่างเสีย ก็อย่าให้เฉินสือขึ้นบัญชีพูดจุดเสียเลย ! "  มีอยู่คืนหนึ่ง ขโมยเข้าบ้านซ่อนตัวอยู่บนขื่อ เฉินสือรู้แล้วก็ลุกขึ้นจุดเทียน เรียกลูกหลานในบ้านมาอบรม เฉินสือพูดว่า "เป็นคนต้องพากเพียร คนที่ไม่ดีก็อย่ากล่าวหาว่าเขาไม่ดี เป็นเพราะเขทำเรื่องเลวบ่อย ๆ จนเคยตัวเป็นนิสัย ถ้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็จะเหมือนเจ้าขโมยบนขื่น ! " เจ้าขโมยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ จึงกระโดดลงมาจากขื่อ ยอมรับโทษจากเฉินสือ เฉินสือจึงพูดจาดียิ้มแย้มกับเขา แล้วอบรมตักเตือนเขาให้เขาแก้ไขให้ดี  อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ทั้งยังให้ผ้าต่วนกับเขา 2 ชิ้น แล้วส่งเสริมให้เขาแก้ไขความผิด รู้เ็จ็บที่ทำผิด การกระทำของเฉินสือมีอิธิพลต่อคนทั้งอำเภอ จากนั้นมาก็ไม่มีขโมยอีกเลย

นิทาน ๓  :  ในสมัยอู๋ไต้ ฝังอิ่งป๋อ เป็นผู้ว่าราชการเมืองชิงเหอ มารดาของอิ่งป๋อเป็นคนมีความรู้ ทั้งเป็นคนเห็นอกเห็นใจรู้หลักธรรม ที่เมืองเป่ยคิว มีแม่บ้านคนหนึ่ง ยกตัวอย่างที่ลูกไม่กตัญญู มีคดีมาถึงผู้ว่าราชการ มารดาของอิ่งป๋อพูดกับอิ่งป๋อว่า "ประชาชนยังไม่เข้าใจหลักธรรม ไม่รู้จริยธรรม อย่าลงโทษพวกเขาให้เกินเลย"  แล้วมารดาของอิ่งป๋อก็พูดกับแม่บ้านที่บอกว่าลูกไม่กตัญญู  ให้พาลุกมาที่จวนผู้ว่า ให้นางมาทานข้าวด้วยกัน  เวลาผ่านไป 10 วัน ลูกที่ไม่กตัญญูก็พูดกับแม่ว่า "คุณแม่ ! ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะแก้ไขกตัญญูต่อท่านแน่นอน เรากลับบ้านกันเถอะ ! " มารดาของอิ่งป๋อก็พูดว่า "เด็กคนนี้ภายนอกดูเหมือนละอายใจ แต่ภายในยังไม่รู้สึดละอายใจจริง ๆ ! " ดังนั้นจึงให้สองคนแม่ลูกอยู่ต่อไปอีก 20 วัน ตอนนี้ลูกของนางก็ลงไปคุกเข่าก้มกราบสำนึกผิด เขาโขลกจนหน้าผากเลือดไหล แม่ของเด็กก็พลอยน้ำตาไหล จึงยอมขอท่านผู้ว่าราชการอนุญาตให้สองคนแม่ลูกกลับบ้าน ต่อมาลูกของนางเป่ยคิว ก็กลายเป็นลูกกตัญญูที่ขึ้นชื่อ     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ คัมภีร์สงสารผู้หม้ายกำพร้ายาก..
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/08/2011, 14:33
                     คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้ เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์

อธิบาย  :  การสงสารคนกำพร้าโดยเฉพาะเด็กกำพร้า ต้องเลี้ยงดูเขาอย่างเต็มที่ และให้เขามีอาชีพมีความสำเร็จในชีวิต การเวทนาแม่หม้ายก็ต้องปกป้องคุ้มครองเธอให้ถึงที่สุด ให้เธอได้ชื่อว่าเป็นหญิงหม้ายที่บริสุทธิ์ การเคารพผู้มีอายุมากกว่า หรือผู้เฒ่า ให้พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูและมีความสงบสุข การรักใคร่ห่วงใยผู้เยาว์ ต้องให้การศึกษาแะคุ้มครอง  ชีวิตคนที่อับโชคที่สุดก็คือ ลูกกำพร้าและหญิงหม้าย โดยเฉพาะถ้ายากจนด้วยก็ยิ่งน่าสงสาร เกรงว่าชีวิตจะดำรงอยู่ได้ยาก เพราะฉะนั้น การบริจาคเพื่อให้พวกเขาอยู่ได้ในสังคมแล้ว ต้องช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงหม้ายเป็นอันดับแรก พ่อแม่ของเด็กกำพร้าก็ดี  สามีของแม่หม้ายก็ดี  เชื่อว่าวิญญาณของพวกเขาในปรโลก คงณุ้สึกขอบพระคุณเป็นแน่แท้  ผู้เฒ่าและผู้เยาวว์ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หากยากจนหรือเจ็บป่วยก็ยิ่งเป็นทุกข์  จะให้ชีวอตเขาดำรงอยู่ได้ก็ใช่ว่าจะง่ายนัก เพราะฉะนั้น ในอดีตโบราณอริยราชา เช่น โจวเหลินอ๋อง การปกครองของพระองค์จึงให้ความสำคัญที่จุดนี้แม้แต่อุดมการณ์ของท่านขงจื่อ ยังเคยกล่าวเอาไว้ว่า "ให้ผู้เฒ่สุข ผู้เยาว์ดูแล" อันนี้เป็นเพราะเหตุอันใดหรือ  จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้จิตดีงามได้เผยออกมาได้ง่าย
เมื่อมีจิตดีงามแล้ว เรื่องดี ๆ ที่จะทำก็มีมาก ซึ่งปกติก็ยากที่จะทำได้สมบูรณ์  สำหรับคนที่ไม่มีแรงทรัพย์ ก็ต้องใช้แรงกายไปทำดีที่สุด แต่สำหรับผู้มีแรงทรัพย์ก็ควรทำสุดเวทนาสงสาร  การเคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์ก้เช่นเดียวกัน อย่าเพียงแต่พูดว่า "ฉันสงสารอยู่ในใจก็พอแล้ว" อันนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบและเป็นการผลักภาระ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : บทที่สี่ สั่งสมกุศล : นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2011, 02:20
                             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล       

                              คัมภีร์   :  สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้ เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์

        นิทาน  ๑.  ในสมัยโจว ขณะที่เมืองฉีเข้าตีเมืองหลู่ ที่นอกเมืองก็มีหญิงชาวหลู่คนหนึ่ง ในมืออุ้มเด็กคนหนึ่ง และจูงเด็กอีกมือหนึ่ง ขณะหนีเอาชีวิตรอดนางจึงวางเด็กที่อุ้มลง และไปอุ้มเด็กที่จูงอยู่แทน นายทหารเมืองฉีเห็นเข้าก็สงสัย จึงเข้าไปถามนาง ๆ ตอบว่า "เด็กที่อุ้มเป็นบุตรของพี่ชาย  แต่เด็กที่วางลงเป็นลูกแท้ ๆ ของฉัน" ทหารเมืองฉีก็ถามต่อไปอีกว่า "ทำไมจึงทิ้งลูกของตัวเองแล้วไปอุ้มลูกของพี่ชายเล่า"  นางตอบว่า "ลูกกับแม่เป็นความรักส่วนตัว แต่หลานกับอาถือเป็นสัจจะส่วนรวม หากฉันละเมิดสัจจะส่วนรวมและลำเอียงเห็นแก่ความรักส่วนตัวแล้ว ลูกกำพร้าของพี่ชายก็จะจบลง จึงเป็นสิ่งที่ฉันไม่ยอมทำ" เมื่อนายทหารเมืองฉีได้ฟังวาจาเช่นนั้น จึงพูดว่า "พวกเมืองหลู่ยังมีหญิงที่ถือสัจจะเช่นนี้ แล้วเจ้าเมืองหลู่จะเป็นเช่นใด" พูดจบจึงถอยทหารกลับไป ไม่ตีเมืองหลู่อีก เมื่อเจ้าเมืองหลูได้ยินเรื่อนี้ จึงปูนบำเหน็จรางวัลแก่หญิงผู้นั้น  พร้อมกับยกย่องให้เธอ "คุณอาสัจจะแห่งเมืองหลู" การที่หญิงเมืองหลู ยอมสละความรักส่วนตัวเพื่อช่วยชีวิตลูกชายของพี่ชายที่เป็นลูกกำพร้า เพียงคำพูดของนางที่สามารถรักษาเมืองหลูให้ปลอดภัยได้ หยุดการสงครามได้ครั้งหนึ่ง แล้วพวกหนุ่มชายฉกรรจ์ล่ะ ถ้าหากประเทศชาติตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงละเมิดสัจจะแล้วยังกลัวตายหนีเอาชีวิต เมื่อมาเห็นคุณอาสัจจะแห่งหลู จะรู้สึกละอายบ้างไหม ?.

        นิทาน  ๒.  หยางต้าเหนียน อายุ ๒๐ ปี ก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวน ได้ร่วมงานกับโจวอู๋ และ จูเอี๋ยน ซึ่งทั้งสองก็มีอายุมากแล้ว อยู่ในวัยชรา หยางต้าเหนียนมักจะดูแคลนและชอบทำอัปยศพวกเขา โจวอู๋คิดจะตักเตือนหยางต้าเเหนียนว่า "เธออย่าได้ข่มเหงคนแก่เลย สักวันหนึ่งเธอก็ต้องแก่เหมือนกัน!" จูเอี๋ยนแกว่งศรีษะพูดกับโจวอู๋ว่า "อย่าไปพูดกับเขาเลย อย่าไปพูดกับเขาเลย เดี๋ยวจะถูกเขาเย้ยหยันเอาอีก"  ปรากฏว่าหยางต้าเหนียก็ตายในขณะที่ยังหนุ่มอยู่  มีคำกล่าวว่า "เคารพแก่ก็ได้แก่" ควรรู้ว่าคนแก่ผ่านประสบการณ์มามาก มีชีวิตอยู่จนแก่ชราได้ถือว่าเป็นหนึ่งในห้าบุญวาสนา จึงมีคุณค่าที่คนหนุ่มสาวจะต้องเอาอย่างมาเคารพผู้อาวุโส  จะไปดูแคลนคนแก่ได้อย่างไร แต่ชาวโลกมักเห็นว่าคนแก่ตาลาย เดินเหินไม่คล่อง ถ้าไม่เบื่อหน่ายก็จะข่มเหง จะมีใครยอมเคารพปรนนิบัติคนแก่เล่า  เมื่อมาเห็นหยางต้าเหนียนที่เหงคนแก่แล้วตายเร็วเป็นตัวอย่าง ก้หวังว่าพวกหนุ่มสาวจะกลับใจแก้ไขสำนึกผิดมีน้ำใจ เมื่อพบคนแก่ต้องมีความเป็นธรรม ถ้าเช่นนี้ตนเองก็จะมีอายุยืน อย่าได้ข่มเหงคนแก่เป็นอันขาด เพราะจะถูกตัดทอนอายุขัยและบุญวาสนาของตนเองนะ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ ไม่ทำร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/10/2011, 02:58
                       คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล

                     คัมภีร  :  ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้

        อธิบาย  :  ถึงแม้หนอนจะตัวเล็ก ๆ หรือต้นหญ้าต้นไม้ที่ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ควรทำร้าย คนในปัจจุบันชอบทำร้ายชีวิตและสิ่งต่าง ๆ ตามชอบใจ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ มีวิญญาณ มีอารมณ์ มีชีวิต  สิ่งเหล่านี้ล้วนมีพุทธจิต ชาวหยูก็มีกล่าวไว้ "ต้นไม้ที่กำลังเติบโตไปตัดมันไม่ได้" เป็นโอวาท นับอะไรกับหนอนซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีความรู้สึก ต้นไม้ไม่มีความรู้สึก เราก็ไปทำร้ายตามอำเภอใจไม่ได้  ในพระสูตรบรรลุสมบูรณ์พูดไว้ว่า "อะไรที่มีเลือดลม ต้องมีความรู้สึก สิ่งที่มีความรู้สึก ต้องเหมือนเป็นร่างเดียวกัน" ในศุรางคมสูตรก็ว่าไว้ "ตถาคตเจ้าตรัสเป็นประจำว่า สรรพสิ่งที่สำเร็จเป็นรูปในจักรวาลล้วนเปลี่ยนแปลงออกมาจากใจเราเอง เหตุและผลทั้งปวงที่เกิดมาในโลกนี้ ตลอดจนถึงฝุ่นเล็ก ๆ ล้วนเป็นผลที่ใจนี้สร้างขึ้น ตลอดจนหญ้า ๑ ต้น ใบไม้ ๑ ใบ ใยหนึ่งเส้น ปมหนึ่งปม ติดตามถึงต้นมูลแล้ว ล้วนมีองค์จิตทั้งนั้น"  ตัวอย่างพี่น้องเถียนจิน ที่คิดจะแบ่งต้นไม้หน้าบ้าน ต้นไม้ได้ยินก็เหี่ยวเฉาทันที จึงสะเทือนใจพี่น้องเถียนจิน เลยเลิดคิดแบ่งแยก ต้นจือได้ยินก็ฟื้นชีวิตทันที แล้วจะพูดว่าต้นไม้ไม่รู้ได้หรือ จุดมุ่งหมายที่ท่านไท่ชั่งห้ามปรามก็ต้องการให้คนกระทำต่อสิ่งที่มีอารมณ์ทั้งหลายก็ดี กับสิ่งที่ไม่มีอารมณ์ทั้งหลายก็ดี ต้องบ่มเลี้ยงใจให้มีเมตตานั่นเอง

        นิทาน  ๑.  ในสมัยพุทธองค์ ขณะที่พุทธองค์กำลังบรรยายธรรมอยู่ ที่บ่อน้ำมีคงาคกตัวหนึ่ง ชอบกระโดดขึ้นมาอยู่ข้างบ่อน้ำ ตั้งใจฟังธรรม ก็ให้บังเอิญเจ้าคางคกก็ถูกไม้เท้าของคนที่มาฟังธรรมกระแทกตาย เนื่องจากตั้งใจฟังธรรมจึงมีอานิสงค์มาก เพราะฉะนั้น เมื่อคางคกตายแล้วก็ไปปฏิสนธิบนดาวดึงษ์ได้เป็นถึงท่านท้าวสักกเทวราช เมื่อพุทธองค์บรรยายธรรมก็ลงมาฟังธรรมอีก ภายหลังฟังธรรมแล้วก็บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน อันเป็นอริยบุคคลอันดับแรกของสาวกยาน คางคกเป็นสัตว์เล็ก ๆ ก็ยังสามารถไปถึงขั้นอริยบุคคลได้ จะเห็นได้ว่า สัตว์เล็ก ๆ เช่น หนอน ก็จะไปทำร้ายไม่ได้

        นิทาน  ๒.  สมัยก่อนมีผู้ออกบวชคนหนึ่ง บำเพ็ญยังไม่ได้มรรคผล ดังนั้น การได้รับการอุปัฏฐากจากสองคนพ่อลูก จิงเต๋อ ก็ว่างเปล่า ภายหลังเมื่อตายแล้วเขาก็กลายเป็นจำพวกเห็ดชนิดหนึ่ง ในสวนดอกไม้ของบ้านจิงเต๋อ ไปเป็นผักหญ้าให้ครอบครัวจิงเต๋อรับประทาน พอคนอื่นคิดจะไปเด็ด ทำเท่าไรก็เอาไม่ได้  ซึ่งเห็ดหญ้าชนิดนี้เป็นต้นเล็กมาก เป็นเพราะมีเหตุปัจจัยเป็นพิเศษเช่นนี้ ตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะเป็นต้นหญ้าที่ไม่มีอารมณ์ ก็ไม่ควรไปทำร้ายนะ               
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/12/2011, 09:07
                     คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                             บทที่สี่

                                           สั่งสมกุศล

                     คัมภีร  :  ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้

นิทาน   ๓  :  ที่เมืองหันโจว มีหญิงนางหนึ่ง นางมีนิสัยโหดร้าย ทุกครั้งที่เห็นมดเดินข้างเตาไฟ ก็จะเอาไฟไปเผา ไม่รู้เผามดไปจำนวนมากมายเท่าใด และมักชอบเอาขี้เถ้าไปยัดรูของไส้เดือน นางเพิ่งคลอดลูกชายคนหนึ่งยังกินนมอยู่ มีวันหนึ่งนางมีธุระออกไปข้างนอก พอกลับมาถึงบ้าน เห็นบนเตียงมีกระจกสีดำใหญ่ นางตกใจมาก พอมองดูอีกที ที่แท้ก็เป็นลูกชายของนาง ลูกชายถูกฝูงมดกัดตายแล้ว นางเสียใจมาก ไม่นานก็ตายตามกันไป

นิทาน   ๔  :  ที่เมืองไท่อั่งโจว มีคนหนึ่งชื่ออู๋อี่ คืนหนึ่งเขาฝันเห็นชายฉกรรจ์ 2 คน ใส่เสื้อสีเขียวมาขอร้องให้เขาช่วยเหลือ พออู๋อี่ ตื่นขึ้นมาก็พูดว่า  "ต้องมีอะไรถูกฆ่าแน่ ๆ ! ฟ้าสางแล้ว เขาก็ออกไปเดินรอบ ๆ เห็นมีชายหลายคนถือขวานและเลื่อย เตรียมจะโค่นต้นเทิงเงิน 2 ต้นที่เพิ่งซื้อมา  อู๋อี่จึงเข้าใจรู้ทันทีถึงความฝันเมื่อคืน จึงรีบเอาเงินออกมาซื้อต้นไม้เทิงเงิน 2 ต้น ต้นเทิงเงินจึงรอดพ้นจากการถูกโค่นไป 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : ต้องสงสารผู้เคราะห์ร้าย ยินดีกับผ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/12/2011, 09:50
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                          คัมภีร์  :  ต้องสงสารผู้เคราะห์ร้าย ยินดีกับผู้ทำดี

อธิบาย   :  คนที่เคราะห์ร้าย มักเป็นผู้ที่ทำชั่วจึงเป็นผู้กวักภัยเคราะห์มาหา ควรให้ความสงสารกับบุคคลพวกนี้ ตักเตือนชักนำเขา อบรมเขา เพื่อให้เขาสามารถแก้ไขความชั่ว มุ่งสู่ความดี เปลี่ยนเคราะห์ร้ายเป็นบุญวาสนา  สำหรับคนดี ก็มักเป็นผู้ที่ทำความดีเสมอ ๆ จึงกวักบุญวาสนามาหา เราก็ควรยินดีกับเขา ส่งเสริมเขา ผลักดันเขา เพื่อให้เขายิ่งทำดีมากขึ้น  คุณเหอหลงกู กล่าววา "คนที่เริ่มทำชั่วแรก ๆ นั้น เป็นเพราะความคิดของเขาคลาดเคลื่อนไปแล้วก้ไม่สามารถยับยั้งได้ แม้หลังจากทำชั่วไปแล้วก็ตาม ก็ยังมีจิตสำนึกดีที่ยังไม่มอดดับ ซึ่งก็ยังพอแก้ไขฉุดช่วยได้  ชาวโลกที่กีดกันคนที่ทำชั่ว ก็เหมือนการปิดกั้นศัตรูอย่างนั้น ถึงแม้พวกเขาขอแก้ตัวกลับใจใหม่เป็นคนใหม่ ก็มักไม่ได้รับการตอบรับจากผู้อื่น จึงหมดกำลังใจไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง"  การทำความดีสร้างกุศล ทุกคนก็สามารภคิดได้ แต่คนที่มัวยังถือสาแบ่งแยกชนชั้น อย่างคนที่มีความรู้ความสามารถ ก็หวังว่างานดี ๆ ต้องเป็นตนเท่านั้นที่ทำ
คนที่ด้อยกว่าก็ไม่คาดหวังที่จะได้งานดี ๆ  คือต้องให้ผู้อื่นทำเช่นนี้ ทำให้เกิดการสร้างสถานการณ์เพื่อทำลายงานดี ๆ ของคนอื่น อย่างเป็นเป็นความชั่วของตนเอง  เป็นการทำร้ายจิตใจของตนเองด้วย กับคนอื่นแล้วไม่มีการสูญเสียอะไร โดยไม่รู้ว่า ถ้าคนอื่นมีความคิดดี มีเรื่องดี แล้วเขาสามารถผลักดันส่งเสริมเขา ชมเชยเขา จนทำให้เขาทำได้สำเร็จสวยงาม เช่นนี้แล้วความดีของผู้อื่นก็เป็นความดีของตนด้วย อย่างนี้ซิจึงเป็นบุญกุศลที่เหลือคณานับ

        จากปุถุชนสู่อริยชน เป็นวิถีแห่งกุศลทั้งมวล การบังเกิดจิตโพธิเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุด ใจโพธิก็เป็นเหมือนเมล็ด เพราะสามารถให้กำเนิดกุศลธรรม ใจกุศลจึงเป็นเนื้อนาบุญ เพราะทำให้เวไนยสัตว์เจริญกุศลธรรม ใจโพธิเหมือนน้ำที่สะอาด เพราะสามารถชำระล้างความกังวลในใจของเวไนยสัตว์  ใจโพธิเหมือนไฟดวงใหญ่ ที่สามารถเผาไหม้ความเห็นผิดได้  ต้องรู้ว่าเรื่องดีทั้งหลายเกิดจากหนึ่งความคิดที่ชอบความสบายของพวกเรา แต่เมื่อใจที่ดีทั้งหลายเผยปรากฏออกมาหมด ก็คือผลแห่งโพธิที่สมบูรณ์ของพวกเราที่สำเร็จ

นิทาน  ๑  :  นางอูหลิงอี๊ จับขโมยที่เข้ามาในบ้านได้ ที่แท้เจ้าขโมยก็เป็นเด็กข้างบ้าน  อูหลิงอี๊พูดกับเขาว่า "เจ้าถูกความจนบีบบังคับจึงมาเป็นขโมย ฉันจะให้เธอหนึ่งหมื่นเป็นต้นทุนในการดำเนินชีวิต แล้วก็อย่าได้ทำชั่วอีกเลย !   พอเจ้าขโมยได้เงินก็จะออกไป อูหลิงอี๊เรียกเขากลับมาว่า "เจ้าเป็นคนจนแบกเงินมากมายกลับบ้าน ก็กลัวว่าจะถูกเจ้าหน้าที่สอบถาม เจ้าอยู่ที่บ้านจนกว่าจะเช้าก่อนค่อยไป"  เรื่องนี้อูหลิงอี๊ไม่เคยพูดให้ใครฟัง จนกระทั่งลูกหลานเขาสอบได้จินสือติดต่อกัน คนอื่นว่าเขาเป็นคนชอบสงสาร ตักเตือนแนะนำ อบรมคนชั่ว จึงได้รับผลตอบสนอง ! 

นิทาน  ๒  :  ในสมัยฮั่น  มีคนหนึ่งชื่อ หลงท่ง  ชอบยกย่องคนอื่น ทำความดี ซึ่งล้วนพูดเกินจริง คนอื่นให้รู้สึกแปลกใจ จึงถามหาสาเหตุ  หลงท่งตอบว่า "ปัจจุบันคนดีมีน้อย  คนชั่วมีมาก  อยากคิดแก้ไขวัฒนธรรมที่ไม่ดีได้ ต้องเพิ่มงานธรรมตนเอง หากไม่ไปทำเต็มที่ไปยกย่องคนอื่น ไปยกย่องงานธรรมของคนอื่น ยกย่องว่าเขาทำดีแล้ว คนที่คิดจะทำดีก็จะลดน้อยลง ถ้าการยกย่องชมเชยคนสัดก 10 คน ถ้ามีผิดพลาดไป 5 คน  ก็ยังมีอีก 5 คนไม่ผผผิด ก็ยังทำให้ได้ใจของคนทำดี เขาจะได้เพิ่มความพากเพียรของการทำดียิ่งขึ้น  อย่างนี้ก็ใช้ได้แล้วล่ะ"  โอวาทของท่านกอบฟูจื่อ ก็เคยกล่าวว่า  "ขอให้ฟ้ากำเนิดคนดี ขอให้คนทำดีเสมอ ขอให้ปากพูดดีเสมอ"  คุณหลงท่งอาจพูดได้ว่าเข้าใจโอวาทนี้เป็นอย่างดี และก็ขยันไปทำ มีประโยชน์ต่อใจธรรมของคนมากเลย !               
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : ช่วยเหลือผู้คับขัน ฉุดช่วย ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/12/2011, 10:22
                        คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                          คัมภีร์  :  ช่วยเหลือผู้คับขัน  ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย

อธิบาย   :  เมื่อพบคนที่อยู่ในภาวะคับขัน เช่น เจ็บป่วยต้องการยารักษา หรือคนที่หิวโหย  หนาวสั่น  ต้องการอาหาร  เสื้อผ้า  ก็ควรที่จะใจกว้างช่วยเหลือทันที  หรือกรณีตกอยู่ในอันตราย เช่น เกิดภัยธรรมชาติ  ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย  อัคคีภัย  หรืออุบัติเหตุ  เราก็ควรเข้าไปช่วยเหลือตามความสามารถ ไปดูแลขจัดภัยให้เขาพ้นอันตราย   หากพบคนตกทุกข์อยู่ในอาการวิตก  คับขัน  แม้ใช้เพียงคำพูดที่ดีก็อาจฉุดช่วยเขาได้ บุญกุศลเช่นนี้ส่งผลถึงบรรพชนและคุ้มครองถึงลูกหลานได้ ควรรู้ไว้ว่า ผลักเขาทีหนึ่งกับพยุงเขาทีหนึ่งก็คือมือคู่นี้  การให้ร้ายกับการสรรเสริญผู้อื่น ก็คือปากอันนี้ เพราะฉะนั้น พยุงคนด้วยมือดีกว่า อย่าใช้ปากทำร้ายคน ถ้าหากทำได้ก้อย่าได้ถามถึงกาลข้างหน้า กาลข้างหน้าย่อมดีแน่นอน  การช่วยชีวิตคน ตนเองสิ้นเปลืองไม่มากเท่าไร แต่
เป็นเพราะเขาเป็นคนมีกินมีใช้สมบูรณ์ จึงไม่รู้จักความหิวและความหนาวทุกข์ทรมานเป็นอย่างไร เข้าใจว่าไม่มีอะไรจึงไม่ให้ความสนใจ เมื่อมีอาหารก็ไม่ใส่ใจที่จะไปช่วยเหลือคนจน รอจนกระทั่งพวกเขาหิวโหยจนล้มป่วย จึงยอมรับเป็นเวลาที่จะต้องเข้าไปช่วยแล้ว แบบนี้ก็หมดหวัง ได้แต่ลืมตาปริบ ๆ ดูพวกเขาตาย แม้แต่คนที่มีกระใจเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ได้แต่เวทนาถอนหายใจเท่านั้น กับคนทั่วไป ไม่ใช่เรื่องของตน เดินหลีกไปไกล ๆ จะต้องรู้ว่า คนที่กำลังหิวเจ็บป่วยง่าย เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่มีแรงไปหากิน อย่างนี้ยิ่งหนาวก็ยิ่งอาการหนัก เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือผู้หิวโหยต้องยิ่งเร็วยิ่งดี แรก ๆ ก็หมดข้าวคนละไม่กี่ขีด ก็สามารถทำให้เขาฟื้นคืนกำลัง ถ้าเป็นคนรวยการใช้จ่าย คืนหนึ่งก็ช่วยชีวิตได้ถึง 10 ชีวิต  ถ้ารวมพลังกันมาก การช่วยเหลือก็จะง่าย ๆ หากหาบ้านว่าง ๆ สักหลังหนึ่ง มีอาหาร เสื้อผ้า เก็บเอาไว้ก็จะช่วยให้คนหิวและไม่มีที่นอน ต้องทนทุกข์หนาวสั่นอยู่ข้างนอก การเลี้ยงเขาแบบนี้ทำให้สุขภาพของเขาฟื้นขึ้นมาได้ง่าย โดยเฉพาะในหน้าหนาว ยิ่งจำเป็นมาก แบบนี้จะช่วยให้พ้นจากการตาย จากการอดตายและหนาวได้มากทีเดียว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : บทที่สี่ สั่งสมกุศล : นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/12/2011, 10:53
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

นิทาน   1  :  นายหวังหุ้ย  ในสมัยซ่ง ระหว่างทางไปสอบที่เมืองหลวง ได้ยินเสียงร้องไห้สองคนแม่ลูก เสียงร้องไห้ฟังแล้วน่าเวทนายิ่งนัก  หวังหุ้ยจึงไปถามคนใกล้เคียง คนใกล้เคียงบอกว่า  "แม่ลูกคู่นี้ยากจนมาก เป็นหนี้เงินหลวง ทางการก้เร่งรัด จึงคิดพาลูกสาวไปขายใช้หนี้ จึงร้องไห้อย่างนี้"  หวังหุ้ยจึงไปที่บ้านนาง ก็เห็นว่าเป็นจริง หวังหุ้ยก็พูดกับผู้เป็นแม่ว่า  "เธอเอาลูกสาวขายให้ฉัน เพราะฉันเป็นข้าราชการ ต้องผ่านมาแถวนี้อยู่แล้ว อย่างนี้เธอกับลูกก็ได้เห็นหน้าประจำ"  แล้วก็ให้เงินไปไถ่หนี้จากราชการ แล้วก็นัดว่าอีก 3 วัน  จะมาพาลูกสาวไป ผ่านไป 3 วัน  หวังหุ้ยก็ไม่ได้พาลูกสาวนางไป ผู้เป็นแม่ก็แปลกใจ จึงไปหาที่หวังหุ้ย ตอนนี้หวังหุ้ยก้ไม่อยู่ แต่ทิ้งจดหมายไว้บอกกับคุณแม่ว่า ให้หาลูกเขยที่พึ่งพาได้และแต่งงานลูกสาวเสีย เมื่อหวังหุ้ยไปสอบที่เมืองหลวง เขาสอบติดประกาศอันดับหนึ่งถึงสามครั้ง ได้รับตำแหน่งสูงมาก และฮ่องเต้ก็สถาปนาเป็นจินกั๊วกง

นิทาน   2  :  ที่ซินเจี้ยน  มีช่วงข้าวยากหมากแพง มีครอบครัวหนึ่งจนถึงที่สุด ทั้งบ้านเหลือข้าวแค่ขีดเดียว จึงหุงข้าวแล้วใส่ยาพิษลงไป หวังว่าสามีภรรยากินอิ่มสักมื้อแล้วค่อยตาย กำลังจะกินข้าวอยู่พอดี  ผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามาทวงเงินหลวงที่ยืมไป  เห็นข้าวสุกพอดี คิดจะลงไปกินข้าว คนจนผู้นี้จึงเข้าห้ามผู้ใหญ่บ้านแล้วว่า "ข้าวนี้ไม่ใช่ข้าวที่ท่านควรกิน"  ว่าแล้วร้องไห้เล่าสาเหตุให้ฟัง ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วก็ให้สงสาร จึงพูดกับเขาว่า  "ทำไมเจ้าถึงจนขนาดนี้ ถึงแม้บ้านข้าจะขาดแคลน แต่ก็ยังมีข้าวอยู่ห้าถัง เอาอย่างนี้ เจ้าตามไปที่บ้านข้าแบ่งข้าวมากิน พออยู่ได้อีกหลายวัน"  คนจนผู้นั้นแบกข้าวกลับมาบ้าน พบว่าในถุงข้าวมีทองอยู่ 50 ตำลึง คนจนคิดว่านี่คงเป็นเงินหลวง จึงรีบนำกลับไปคืนที่บ้านผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่พูดว่า "นี่ไม่ใช่เงินหลวง เบื้องบนคงประทานให้เจ้า"  เขาจึงแบ่งทองให้ผู้ใหญ่ไปครึ่งหนึ่ง  ทั้งสองบ้านจึงผ่านช่วงข้าวยากหมากแพงมาได้

นิทาน   3  :  นายต่วนเอ้อปา  มียุ้งเก็บข้าวนับ 10 ห้อง พอถึงช่วงข้าวยากหมากแพง ก็คิดฉวยโอกาสทำกำไร ขึ้นราคาข้าวเสียสูงลิ่ว ทางการส่งคนมาขอยืมข้าวเพื่อช่วยเหหลือประชาชน ต่วนเอ้อปา ตอบรับคำแล้ว พอรุ่งขึ้นเช้า เห็นคนหิวโหยมาเข้าแถวรออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อรอรับข้าว ต่วนเอ้อปา รู้สึกเสียดาย จึงไม่ยอมจ่ายข้าวให้ประชาชน ประชาชนก็ชุลมุนร้องโวยวาย  ต่วนเอ้ปาสั่งลูกน้องให้ปิดประตูบ้าน ไม่ให้คนเข้ามา  ในทันใดนั้นฟ้าก็เปลี่ยนปรวนแปรเกิดลมพายุฝน  สายฟ้าคำราม พูดแล้วก้แปลก ข้าวในยุ้งของต่วนเอ้อปา  ไม่รู้ทำอีท่าไหน หลุดออกมากองอยู่บนถนนเป็นกอง ๆ  ประชาชนต่างกรูเข้าไปแย่งเอา  แค่พริบตาก็หมดเกลี้ยง  ต่วนเอ้อปาก็ถูกฟ้าผ่าตายไป
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่งกั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี เห็นเขาส
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/12/2011, 08:20
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

         คัมภีร์  :  เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี  เห็นเขาสูญเสียเหมือนตนสูญเสีย

อธิบาย  :  เมื่อเห็นคนอื่นดวงดีกำลังได้ีดี ก็เหมือนตนกำลังได้ดีทั้งยังต้องไปช่วยพยุงให้เขาดีขึ้นไป ถ้าเห็นเขาดวงตกก็ให้เหมือนตนดวงตก จึงต้องฉุดช่วยคุ้มครอง  แต่คนปัจจุบัน เห็นผู้อื่นตกอับก็ไม่รู้สุกเหมือนตนตกอับ สาเหตุเพราะความเห็นแก่ตัว หวังเอาแต่ได้กลัวการสูญเสีย ทั้งยังกล่าวว่า ผู้อื่นจะได้ ทั้งยังสบายใจถ้าทำให้ผู้อื่นสูญเสีย เริ่มแรกก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเท่านั้น ต่อมาก็ค่อย ๆ ระวังทำร้ายเขา ด้วยความอิจฉาความสำเร็จของคนอื่น อันที่จริง คนกับงาน จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ไม่เกี่ยวกัน ที่เป็นเช่นนี้ ตนเองเป็นผู้ทำลายจิตใจของตนเอง เป็นการปลูกเหตุแห่งความชั่ว ที่สุดเป็นการทำลายตนเอง เขาไม่รู้ถึงการบำเพ็ญของปราชญ์อริยะ ก็คือการขจัดทำลายความเป็นตัวตน เพื่อให้เขาถึงผู้อื่น จึงจำเป็นต้องตัดอารมณ์ปุถุชน หากสามารถเข้าถึงว่าผู้อื่นกับตนเองเป็นกายเดียวกัน การได้เสียล้วนเป็นเรื่องของชะตาฟ้า เช่นนี้แล้วเมื่อเห็นการได้ของเขาก็จะไม่อิจฉา แล้วยังจะไปผดุงเขาช่วยเหลือเขา อย่างนี้จึงจะเป็นประโยชน์ที่แท้จริง

คำคม  :  ธรรมาจารย์เหลือนฉือ ในสมัยหมิง กล่าวว่า "มนุษย์ถูกรูปสมบัติ เกียรติ  ลวงหลอกเอา แต่ละคนมีพลังสติที่จะเผชิญหน้าต่อการลวงหลอกนี้ไม่เท่ากัน อาตมาจะเปรียบเทียบอธิบายให้ฟัง  "สมมุติว่าที่นี่มีกองไฟ  ข้างกองไฟมีสิ่งของวางไว้  5  ชนิดไม่เหมือนกัน  มีฟางแห้ง พอเจอไฟก็ไหม้ทันที  มีท่อนไม้ ต้องมีลมช่วยกระพือก็จะติดไฟ   มีท่อนเหล็กเผาไม่ไหม้ แต่พอเผาไปนาน ๆ ก็จะหลอมละลายได้  มีน้ำแม้ยังไม่ติดไฟ แต่ไฟก็ทำให้น้ำแห้งได้ แม้เอาใส่หม้อก็ยังถูกไฟเผาจนแห้ง  มีอากาศในอากาศไม่มีสิ่งของ ไฟจะเผาเท่าไรมันก็ไม่กระทบอะไร แม้ไฟจะเผานานแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดไฟก็มอดไปเอง" เพราะการทำให้ใจสงบ ก็ต้องมองให้เห็นเช่นนี้

นิทาน   :  แซว่เวี่ยน  เป็นมหาอำมาตย์ของเมืองเอี้ยน ไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเสมอภาคกันได้ หากยังเกิดอิจฉา ชอบใจที่คนอื่นสูญเสีย ไม่ยอมส่งเสริมนักปราชญ์ที่สามารถ ทั้งยังอิจฉาเคลือบแคลงพวกเขา เพื่อกีดกันไม่ให้ฮ่องเต้เรียกหามาใช้งาน ในที่สุดบุตรชายคนหนึ่งของเขาก็ตายในคุก  ลูกที่เหลือก็กลายเป็นคนไม่สมประกอบ ท่านกงหมิงจื่อ จึงเอาคัมภีร์ศีลให้เขาอ่าน ภายหลังการอ่านคัมภีร์แล้ว แซว่เวียนรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตนเอง จึงสาบานจะปฏิบัติตามคัมภีร์ศีลสั่งสอน ในที่สุดก็สามารถรักษาลูกไว้ได้คนหนึ่ง
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่งกั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : ไม่โพทนาความชั่วเขา ไม่โอ้อวดความด
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/12/2011, 08:53
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

         คัมภีร์  :  ไม่โพทนาความชั่วเขา  ไม่โอ้อวดความดีตน

อธิบาย  :  จงอย่าได้เปิดเผยโพนทะนาความชั่วหรือจุดด้อยของคนอื่น สมควรอย่างยิ่งที่จะเก็บงำความไม่ดีของผู้อื่นให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ควรโอ้อวดหรือคุยถึงความดีของตน ยิ่งต้องเก็บซ่อนความเด่นบ่มเลี้ยงความซื่อ เป็นการอบรมจิตธรรมของตนเอง  เมื่อได้ยินความไม่ดีงามของผู้อื่น ก็ให้เหมือนพวกเราได้ยินชื่อของพ่อแม่ คือหูได้แต่ฟังเท่านั้น แต่ปากพูกออกมาไม่ได้ เมื่อปากพูดไม่ได้แล้ว ถ้าหูไม่ไปฟังเสียได้ก็จะยิ่งดี เราต้องรู้บ้างว่ามีใครบ้างที่ไม่มีข้อบกพร่อง ถ้าไปโพนทะนาข้อบกพร่องของผู้อื่นก็หลีกไม่ได้ที่จะถูกถ่ายทอดออกไป เป็นการเสียหายชื่อเสียงของผู้อื่น อาจทำให้เขาต้องตกต่ำ บาปกรรมอันนี้ใครกันต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่เป็นคนใจแคบชั่วช้าแล้วก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ !  สิ่งที่เป็นปมเด่นความดี ก็ควรให้เหมือนนักธุรกิจที่มี
ปัญญา คือจะเก็บซ่อนทรัพย์สินไม่เปิดเผย ถ้าหากเปิดเผยเงินทองให้คนรู้ก็จะมีอันตราย คนเราทุกคนก็ต้องมีจุดดีของเขา ที่สำคัญต้องรู้จักเก็บซ่อนความเด่น บ่มเลี้ยงจิตธรรมเช่นนี้ทุกวันไปก็จะสำเร็จในจริยวัตรของตนได้  ท่านเหลาจื่อว่า  "ผู้มีบุญอิ่ม  หน้าของเขาดูแล้วเหมือนคนเซ่อ ๆ"   ท่านจื่อซือก็กล่าวว่า  "ธรรมเพื่อผู้อื่น บัณฑิตจะไม่เผย เก็บความงามอยู่ภายใน นาน ๆ ไปสักวันหนึ่งฟ้าก็จะแจ้งชัด"  โอวาทของปราชญ์ชัดเจนออกอย่างนี้ เราควรนำมาพิจารณาให้ละเอียด ! 

คำคม   :  คุณจางหงจิ้ง กล่าวว่า  "อย่าหูเบาโยนทิ้งความดีของคน  อย่าหูเบาเชื่อคำพูดของคน  อย่าหูเบาพอใจคน  อย่าหูเบาพูดความชั่วคน"  นี่คือวิธีปฏิบัติตนที่ดี การเปิดเผยความไม่ดีของผู้อื่น เป็นรากฐานของการโหดเหี้ยม

นิทาน   :  โอวหยางซิว ในสมัยซ่ง เป็นผู้เขียนบทความยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงในวรรณกรรม แต่เขาต้อนรับแขกก็พูดเรื่องการเมืองไม่พูดเรื่องวรรณกรรม แต่นายฉายหย้าง ผู้รู้เรื่องการปกครอง แต่พูดคุยกับแขกจะพูดเรื่องวรรณกรรม ไม่พูดการเมือง ทั้งสองเป็นผู้ซ่อนเร้นปมเด่นของตนดีมาก ต่อหน้าผู้อื่นจะไม่อวดอ้างความดีของตน เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้มีชื่อเสียง มีตำแหน่งข้าราชการก็สูงมาก

สรุป   :  จากเรื่องเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า ความสามารถสู้วิชาการไม่ได้  ศักดิ์ศรีสู้คุณธรรมไม่ได้  วรรณกรรมสู้การปฏิบัติมิตรไมตรีไม่ได้  คนสมัยก่อน ก็เอาเหตุผลเหล่านี้พูดไว้ชัดเจนแล้ว  เพราะฉะนั้น การอวดความดีของตน บัณฑิตจะไม่กระทำ แต่คนสมัยนี้ มักพูดว่า  "น่าภาคภูมิ"  ติดปาก  ทุกคนฟังจนเป็นคำธรรมดาไป พวกเขาไม่ถือเรื่องผิด ต้องรู้ว่าเป็นการกวักหาความสูญเสีย ขาดผลประโยชน์ มีแต่ความนอบน้อมคนเท่านั้น จึงจะได้รับผลบุญตอบสนองที่แท้จริง
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล : คัมภีร์ หยุดยั้งเรื่องชั่วเผยแผ่เรื่องดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/12/2011, 16:21
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                             คัมภีร์ :  หยุดยั้งเรื่องชั่วเผยแผ่เรื่องดี

อธิบาย  :  เราควรห้ามปรามหยุดยั้งคนไปทำชั่ว   เพื่อไม่ให้เขาแปรเปลี่ยนไปเป็นอันธพาล  ผู้อื่นก็จะไม่ต้องรับการทำร้ายจากเขา ขณะเดียวกันก็ต้องสรรเสริญสนับสนุนให้คนทำดี เพื่อให้เขาทำดีไม่เบื่อ นอกนี้แล้วคนอื่นก็พลอยให้ถูกชักนำไปในทางดีด้วย คนที่ทำชั่ว ไม่ใช่จิตวิสัยของเขาที่ทำขึ้นมาแต่แรก แต่ถ้าคน ๆ หน่งทำชั่วจนเคยตัว ชั่วขนาดหนัก ก็ฉุดช่วยลำบาก หรือว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชั่วก็ยังทำ หรือว่าไม่รู้หรือเข้าใจผิด ในที่สุดก็สร้างเวรกรรมทั่วเมือง ถ้าเรามาวิเคราะห์ตอนเริ่มต้น ก็เกิดจากความคิดที่ผิดพลาดไป อย่างไรเสีย ทุกคนก็มีจิตสำนึกที่ดี ขณะที่เขาเริ่มต้นทำชั่ว ความคิดชั่วเพิ่งจะเริ่มต้นใหม่ ๆ  หากเราพร่ำพูดตักเตือนชักจูงเขา ปลุกให้รู้ตื่น และห้ามปรามเขาจนถึงที่สุด ถ้าคนนั้นไม่มีจิตสำนึกดี ได้ผ่านการตักเตือนห้ามปรามขนาดนี้แล้ว เขาจะไม่สามารถแก้ไขความผิดไปสู่ความดีหรือ ถ้าหากโชคไม่ดี เขาได้ทำผิดมหันต์ไปแล้ว หากเราสามารถกล่อมเกลาเขาอย่างจริงใจ  ห้ามปรามเขา ขัดขวางเขา เช่นนี้แล้วใจที่ดีของเขาจะไม่เผยออกมาหรือ อาจจะตัดสินแก้ไขชำระจิตทันทีก็ได้ ในเมื่อเขาไม่ใช่ปราชญ์อริยะ จะสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างดีไปหมดได้ ถ้าหากเขามีความประพฤติหรือคำพูดที่พอจะรับฟังได้ เราก็ควรที่จะยกย่องสรรเสริญเขาทันที  ถ้าเขาเป็นคนที่ทำดีแล้ว ความศรัทธาของเขาก็จะมั่นคง ก็จะขยันทำดีเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นคนที่ยังไม่เคยทำดี พอได้ยินเราชมเชยเขา เขาก็จะชื่นชมเอาอย่างตัดสินใจไปปฏิบัติ อย่างนี้แล้ว จะไม่ใช่คล้อยตามชะตาฟ้าหรอกหรือ  ชาวเต๋าพูดว่า  "หยุดชั่วเผยดี"  ชาวพุทธว่า  "หยุดชั่วทำดี"  ชาวหยูว่า  "เก็บชั่วเผยดี"  หลักธรรมทั้ง 3 ศาสนาเหมือนกัน พูดออกมาจากปากเดียวกัน ทำให้รู้ว่า กายใจของอริยเจ้าเป็นญาณที่บริสุทธิ์โปร่งใส  ขอเพียงเป็นความหวังแค่เส้นใยเล็ก ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ไป ดุจกระจกใสส่องของ ส่องทันทีที่เห็นภาพออกมาทันที การที่สามารถเห็นภาพทันทีก็แสดงว่า เราสามารถกล่อมเกลาแปรเปลี่ยนได้ทันที เพราะฉะนั้น เมื่ออริยเจ้าเห็นความชั่วก็จะสามารถเอาความชั่วออกให้ละลายหายทันที  พอเห็นความดีก็จะสามารถขยายให้สว่างได้ทันที  เพราะฉะนั้น อริยเจ้าที่หยุดยั้งเรื่องชั่งเผยแผ่เรื่องดีก็คือการฟื้นฟูองค์จิตที่สมบูรณ์อยู่แล้วของเวไนยสัตว์ ให้กลับคืนมาใหม่นั่นเอง

คำคม   :  " หยุดยั้งความชั่วของตนได้ ก็ไปหยุดยั้งความชั่วของผู้อื่นได้ เผยแผ่เรื่องดีของผู้อื่นได้ ภายหลังก็สามารถตักเตือนคนให้ทำดีได้"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล : คัมภีร์ ให้มากรับน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/12/2011, 17:16
                           คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                                      คัมภีร์  :  ให้มากรับน้อย

        อธิบาย  :  ไม่ว่าพี่น้องที่แบ่งสมบัติ หรือเพื่อนที่ติดต่อการเงินกัน ล้วนต้องรู้จักให้และผ่อนปรนทั้งนั้น  เอาส่วนที่มากให้แก่พี่น้องหรือเพื่อน  ตนเองรับแต่ส่วนเล็ก ยอมให้คนอื่นได้เปรียบ สะดวกสบาย คนเองยอมเสียเปรียบขาดทุน  ระหว่างพี่น้องมีความเกี่ยวข้องทางสายโลหิต อันเป็นความสัมพันธ์ธรรม           
ชาติ เงินทองเป็นของนอกกาย จึงควรที่จะให้ได้ผ่อนปรนได้ พระพุทธองค์ก็เคยตรัสไว้  "คนที่หวังมาก เพราะเขาโลภในทรัพย์สมบัติมาก เพราะฉะนั้น ความทุกข์และความกังวลของเขา เมื่อเทียบกับคนอื่นก็จะมาก ส่วนคนที่หวังน้อย ตลอดจนคนที่ไม่หวัง ก็ไม่โลภอยากได้อะไร ก้จะไม่มีทุกข์กังวลมากมาย
นัก ใครก็ตามที่จะพ้นห่างจากทุกข์กังวล ต้องรู้จักพอ วิธีการรู้จักพอ ก็จะมีความมั่นคงในความร่ำรวยสงบสุข คนที่รู้จักพอถึงแม้จะนอนอยู่บนพื้นดิน เขาก็สุข
ใจอย่างยิ่ง คนที่ไม่รู้จักพอ ถึงแม้เขาจะอยู่บนตึกระฟ้าก็ไม่สบายใจไม่มีความสุข เช่นนี้ก็พอจะรู้ว่า หากคนสามารถเป็นผู้ให้มากรับน้อยได้แล้ว ใจเขาก็จะราบเรียบเอง สภาวะอะไรภายนอกก็ไม่สามารถที่จะรบกวนใจเขาได้ เพราะว่าเขารู้จักพอตลอดเวลาจึงสุขเสมอ ! 
        คุณอู่เถี่ยเจียงพูดว่า  "เงินทองเป็นมูลอากาศของโลก คนที่อยู่บนโลกไม่มีเงินทองก้อยู่ไม่ได้ ดังนั้นโลกนี้จึงไม่มีคนที่ไม่ชอบเงิน และก็ไม่มีวันไหนที่ไม่ใช้เงิน เพราะฉะนั้นเงินจึงเป็นของที่ขาดไม่ได้ แต่การมีเงินของแต่ละคนมีกำหนด คิดอย่างได้มากอีกหน่อยก็เป็นไปไม่ได้  และการใช้เงินของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คนที่สุรุ่ยสุร่ายเวลาหยิบก็เป็นพัน  คนตระหนี่บาทหนึ่งก็หยิบยาก คนที่สุจริตบริสุทธิ์ กลางคืนดึก ๆ มีคนเอาเงินมาให้โดยไม่มีเหตุ เขาก็จะไม่รับเป็นอันขาด คนโลภมีอิทธิพลกลางวันเสก ๆ ก็กล้าที่จะไปแยกชิงเอามา ควรต้องรู้ว่าคนตระหนี่ ความรู้น้อย เงินแต่ละบาทเหมือนมณีมีค่า เหมือนผึ้งที่เฝ้าน้ำผึ้ง เหมือนเด็กที่หวงขนม จะไม่ยอมแบ่งให้ใคร แต่ทว่านี่ก็ยังเป็นสิ่งที่เขารักษาส่วนที่เขามี  เพียงแต่ทำให้คนอื่นเบื้อหน่ายเท่านั้น  แต่ฟ้าเบื้องบนก้ไม่โกรธเขา เพราะเขาตระหนี่หรอก  แต่คนที่เป็นอันธพาลโลภเอาของคนอื่น เขาคิดจะเอาส่วนที่ไม่ใช่เป็นของเขา ทั้งยังโลภไม่เบื่อ ก็เหมือนปลาที่กลืนเรือ งูกลืนช้างที่โลภเกินไป พี่น้องแย่งชิงกัน เพื่อนชิงแค้นกัน โจรฆ่าคนชิงทรัพย์ เอาตำแหน่งไม่ชอบธรรม กังฉินขายชาติ เหล่านี้ล้วนเกิดจากความโลภสร้างขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่ง จึงตักเตือนถึงภัยเคราะห์ที่มาจากความโลภ สอนไม่ให้เอาเงินทองโดยไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากสอนคนไม่ให้หาเงินเลยนี่ซิคงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงพูดคำว่า  "มากกับน้อย"  สามารถทำให้คนสามารถได้ตามส่วนที่ควรได้ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง ตัวเลขมากน้อยก็ไม่ใช่เป็นการตายตัว คนที่จน ทองหนึ่งตำลึงก็ถือว่าไม่น้อย สำหรับคนที่มีเงิน หมื่นตำลึงทองก็ไม่ใช่ของมาก สำหรับคนที่สะอาดบริสุทธิ์ เขาควรได้หนึ่งร้อยแต่กลับได้หนึ่งพัน เขาก็ยังไม่รู้สึกว่ามาก นอกเสียจากคนที่เป็นธรรม ปริมาณที่ตนเองควรจะได้ เวลาไปเอาก็จะไม่เอาเกินส่วนปริมาณที่ควรจะได้ นี่ก็คือวิธีการที่เอาน้อย ถึงอย่างไรก็ตาม ใจคนที่ป่วยมีน้อยอยากได้มาก อันนี้เป็นธรรมดาของคน ถ้าให้เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่ไปแย่งชิงก็ไม่เป็นการสร้างบาป แต่ถ้าหากเห็นว่ามากแล้วกลับให้ไปนี่ซิ จะไม่ขัดอารมณ์ไปหน่อยหรือ
        ควรรู้ว่า เงินทองที่ได้มามีเหตุปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน  เงินที่อยู่เฉพาะหน้าที่จะเอา  ก้ไม่แน่ว่าในดวงชะตาเราควรจะได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในทางลึกลับจำนวนที่เราจะมีเราก็ไม่สามารถรู้ได้และก็ไม่มีปัญญาตรวจสอบ แต่ถ้าไปเอาเงินที่ดวงชะตาของเราไม่มีก็เหมือนไปเอาเหล้าพิษ หรือเนื้อเน่ามากินซึ่งก็กินไม่ได้ไม่มีสุขอยู่แล้ว  สู้ให้แก่ผู้อื่นไปมิปลอดภัยกว่าหรอกหรือ ถ้าหากเป็นการให้ในส่วนที่ดวงชะตามีอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นการขจัดบาปที่มีอยู่ เงินที่ให้ไปโดยผิดพลาดทั้ง ๆ ที่ในดวงชะตาเรามีอยู่ก็ไม่เป็นไร เพราะเงินที่ให้ไปอาจได้กลับมาจากที่อื่น
        ขณะมองเห็นเงินทอง ต้องมีความอดทน ไม่ใช่เห็นเงินก็ตาโตแล้วทำส่งเดช สำหรับคนร่ำรวยก้พอทำได้ง่าย ถ้าเป็นคนจนอาจทำได้ยากกว่า ถ้ารู้ว่าทำใจได้ยาก แต่ก็อดทนทำจนได้ อันนี้เทพเจ้าที่ตรวจสอบเราอยู่ก็คงไม่ปล่อยตามเลย แม้ชีวิตกำลังลำบาก ก็จะบันดาลให้เกิดเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตเราอยู่รอดได้ หลักธรรมเหล่านี้ต้องเชื่อว่าเป็นจริง รักษาสติเอาไว้ เช่นนี้ วิถีแห่งการนับน้อยก็คือ วิถีแห่งการร่ำรวยนั่นเอง
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : รับอัปยศไม่แค้น
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 01:01
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                    คัมภีร์  :  รับอัปยศไม่แค้น

อธิบาย  :  ถึงแม้จะได้รับอัปยศจากคนอื่น ก็ควรที่จะโทษตนเอง ที่มีบุญน้อยกุศลเบาบาง  ไม่สามารถทำให้คนเขาเกรงใจ ด้วยเหตุนี้ควรที่จะสั่งสมบุญกุศลจะไปแค้นเคืองผู้อื่นไม่ได้ ต้องรู้ว่า เมื่อได้รับความอัปยศจากผู้อื่น เราต้องรีบกลับมาสำรวจตนเอง เป็นความผผิดของเราเองใช่หรือไม่  ถ้าใช่ก็เป็นเหตุผลพอที่คนอื่นจะทำอัปยศเรา เราควรยอมรับโดยดี ถ้าความชั่วอยู่ที่ผู้อื่น การทำอัปยศก็ไม่สมควร ถึงแม้จะอับอายมาถึงตนก็เหมือนไม่มีความอับอาย ไม่เพียงไม่ควรโกรธ แค้นเพราะไม่มีที่จะแค้น ตั้งแต่โบราณมา คนที่มีปัญญามีความกล้าหาญ  ก็สามารถอดทนต่อความเล็ก ๆ นี้ได้ จึงจะสามารถทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้  คนที่มีใจคับแคบความรู้น้อยก็จะไม่สามารถที่จะเข้าใจหลักธรรมนี้ได้  ในสมัยซ่ง  นายหยวนโม่วอิ๋ว เป็นชาวอำเภอติงหู มณฑลเจ๋อเจียง เขาสอนลูกหลานเขาว่า  "คนที่ไม่มีประสบการณ์ต่อความอดทน ฝึกฝนมาก่อน ก็จะไม่รู้จักคำว่า  อดทน  นี้มีความยากลำบากแค่ไหน  ถ้าในใจมีความดีความชั่วต่อสู้กันแล้ว ก็จะไม่เข้าใจได้  ความลึกซึ้งของตัวอักษรอดทนนี้ล้ำลึกนัก  คนเราถ้าไม่สามารถอดทนต่ออัปยศได้ ถ้าจะเป็นคนมีใจดี แต่พอถูกคนกระทุ้งก็ดีแตก  พอถูกคนหักหน้าก็ร่วงหล่นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านเมิ่งจื่อจึงกล่าวว่า  "เมื่อเบื้องบนจะให้ภาระหนักแก่ใครแบกรับ ก็ต้องให้เขาฝึกฝนใจเสียก่อน ให้ฝึกฝนใจที่เคลื่อนไหวว่ามีบารมีของจิตขันติหรือไม่ นั่นคือต้องการให้คนพิจารณาด่านอันนี้ ส่วนใหญ่แล้ว การให้ทานสงเคราะห์ผู้อื่น ถ้าไม่ระวังก็จะได้รับการโกรธแค้นกล่าวโทษจากคนอื่น ต้องยอมรับการกล่าวโทษ ทำงานต้องขยันชี้นำอบรมโดยไม่หนีการนินทาว่าร้ายของใคร ต้องจริงใจอภัยคนอื่น หรือได้รับการเยาะเย้้ยถากถางจากคนอื่น วิสัยอันธพาลต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนติดมากับใจที่ดี การกระทำที่ดี หากไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมนี้ ก็ไม่ใช่คนดีที่เพียงพอแท้จริง"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : รับความรักดุจความหวาดกลัว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 01:19
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                           คัมภีร์  :  รับความทุกข์ดุจความหวาดกลัว

อธิบาย   :  ขณะที่ได้รับความรักความชอบให้เลื่อนยศเป็นรางวัลนั้น ไม่อาจแบกรับไม่ได้ หากแต่ให้คิดหวาดหวั่นเอาไว้  กลัวว่าตนเองบุญบารมีน้อย บุญตอบสนองไม่พอ ไม่สามารถรักษาความรักความชอบนี้ได้ยาวนาน  ใครคนหนึ่งเมื่อได้รับเกียรติความรักใคร่ ถึงแม้เขามีส่วนควรได้ก็ตาม แต่ก็ควรรักษาส่วนนั้นให้ดีรู้จักพอ ให้รู้สึกหวาดกลัวที่ได้รับความรักใคร่นั้น เพราะว่า  "บุญเอยวาสนาเอย ด้วยเคราะห์นั้นถูกสยบไว้"  เป็นโอวาทโบราณ คนส่วนใหญ่ตอนมีบุญวาสนาก็ได้ใจจนลืมตน เพราะว่าสาเหตุตอนนี้ภัยเคราะห์ถูกกลบไว้ให้อยู่ห่าง ๆ ด้วยขณะนี้ดวงกำลังขึ้นเหมือนพระจันทร์เต็มดวง จากนั้น ดวงจันทร์ก็จะค่อย ๆ แหว่งลง เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักหวาดกลัว วันใดที่ความรักใคร่หมดไป ภัยเคราะห์ที่กลบห่างก็จะผุดขึ้น  เพราะฉะนั้น เมื่อได้รับเกียรติยศแล้ว ก็ควรที่จะสั่งสมบุญกุศลให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น ขยันตอบแทนพระคุณ อย่าได้ขี้เกียจแม้แต่น้อย

คำคม  :  เจิ้นชวงพูดว่า  "เงียบ ๆ ๆ เทพเซียนเหลือคณานับเป็นตรงนี้ ปล่อย ๆ ถัยเคราะห์เป็นหมื่นละลายทันที ทน ๆ ๆ เจ้ากรรมนายเวรหลบซ่อนตรงนี้หยุด ๆ ๆ เกียรติยศทั้งโลกไม่อิสระเสรี" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่สี่ สั่งสมกุศล คัมภีร์ : ทำคุณไม่หวังผลตอบ ให้เขาไม่นึกเสี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 01:56
                          คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                  บทที่สี่

                                                สั่งสมกุศล

                      คัมภีร์  :  ทำคุณไม่หวังผลตอบ ให้เขาไม่นึกเสียใจ

อธิบาย  :  การบริจาคหรือการให้ทาน เป็นการทำคุณกับผู้อื่น อย่างไรเสียเราจะไม่หวังผลตอบแทน การมอบของให้กับผู้อื่นก็จะไม่นึกเสียใจในภายหลัง การทำบุญคุณให้แก่ผู้อื่น  หากยังหวังให้เขาตอบแทน แสดงว่าในใจของเรายังมีความโลภอยู่ คือยังไม่ลืมคุณที่เราทำ การให้สิ่งของแก่ผู้อื่นไปก็เช่นกัน ต่อมากลับรู้สึกนึกเสียใจ นี่ก็แสดงถึงใจที่เป็นตระหนี่ คือยังไม่แปรเปลี่ยน ควรรู้ว่าความโลภกับตระหนี่เป็นสิ่งที่บัณฑิตไม่กระทำ ในวัชรสูตรว่า  "โพธิสัตว์ที่มีต่อคน เรื่องและสิ่งของ คือไม่มีอุปาทานติดยึดแล้วให้ทานไป" พูดอีกว่า "หากโพธิสัตว์สามารถไม่ยึดติดในรูปให้ทานแล้ว บุญกุศลของเขาก็ไม่อาจนับประมาณได้"  ทำให้รู้ว่า หากคนสามารถเอาทรัพย์สิ่งของช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว สามารถทำจนภายในไม่เห็นฉันผู้ให้ทาน นี่เรียกว่ารูปทั้งสามว่าง ก็เรียกได้ว่าใจสะอาด  ถ้าหากสามารถให้บริจาคทานได้แบบนี้ ถึงแม้จะบริจาคท่านแค่หนึ่งถัง ก็สามารถสร้างบุญได้เอนกอนันต์ แม้การให้ทานแค่บาทเดียวก็จะสามารถจะขจัดมลายบาปกรรมเป็นพันกัปได้ ถ้าหากในใจยังมีความหวังตอบแทนแม้เพียงเล็ก ๆ อยู่ ถึงแม้จะใช้เงินถึงสองแสนตำลึง ไปช่วยเหลือคน ก็ยังไม่ได้รับบุญกุศลที่สมบูรณ์ตลอดจนการนึกเสียใจ โดยเฉพาะความสำคัญของชีวิตที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปุถุกับอริยะ ความชั่วที่ทำถ้านึกเสียใจได้แล้ว อนาคตความคิดชั่วก็จะค่อย ไ หยุดลง ส่วนความดีที่ทำถ้านึกเสียใจแล้วอนาคตความคิดดีในใจที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ หายไปไม่เกิดขึ้น  ถ้าหากภายหลังการให้ทานแล้วก็เกิดเสียใจในภายหลังถ้าอย่างนั้นก็สู้ไม่ไปให้บริจาคทานก็จะปลอดภัยกว่า !
        ชาวโลกคิดอยากให้ยุ้งฉางมีข้าวเต็ม และไม่ขาดพร่องเลยสักปี ถ้าต้องการเช่นนั้น ก็ต้องเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้และขยันไปไถหว่าน เอาเมล็ดพันธุ์หว่านลงในแปลงนา ถ้าเมล็ดไม่ไปปลูก ข้าวในยุ้งฉางก็จะใช้หมดไปโดยเร็ว หลักธรรมก็เช่นเดียวกัน เอาใจที่กตัญญู  เมตตา  เคารพเป็นเมล็ดพันธุ์ เอาเสื้อผ้าอาหารเงินทองกับชีวิตมาเป็นวัวและคันไถ เอาพ่อแม่คนจนที่ป่วย กับพระรัตนตรัยมาเป็นไร่นา หากเป็นพุทธบุตรคิดจะได้บุญสะอาด ทุก ๆ ชาติก็จะมีบุญตอบสนองไม่สิ้นสุด จึงจำเป็นต้องอาศัยใจที่เมตตา เคารพกตัญญู  เอาเสื้อผ้าอาหารเงินทองตลอดจนชีวิตไปเคารพบูชา เลี้ยงพ่อแม่และคนที่เจ็บป่วยกับรัตนตรัย อย่างนี้เรียกว่าปลูกบุญ หากไม่ปลูกบุญก็จะยากจน ไม่มีทั้งบุญและปัญญา  ตกสู่หนทางเลวร้ายของการเกิดการตาย ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็คือ การปลูกเนื้อนาบุญ ก็เหมือนปลูกข้าวในนา จึงเรียกว่า  นาบุญ 
        การให้ทานก็มี ๓ อย่าง  ให้ธรรมเป็นทาน  ทรัพย์เป็นทาน  และใจเป็นทาน  ด้วยความสะดวกต่าง ๆ มากล่อมเกลาตักเตือนคน  การให้ทานเป็นธรรม ได้กุศลมาก ทรัพย์เป็นทานก็ใช้สงเคราะห์เขา  ใจเป็นทานคือเอาใจเราไปเห็นอกเห็นใจผู้ตกทุกข์ได้ยาก คือคิดจะช่วยเหลือเขาแต่ไม่มีกำลัง อย่างนี้ก็เป็นการให้ทานแล้ว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่ห้า กรรมดีตอบสนอง คัมภีร์ : ที่ว่าเป็นคนดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 14:52
                           คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                   คัมภีร์  :  ที่ว่าเป็นคนดี

อธิบาย   :   คือบุคคลที่สามารถนำเอาความดีที่กล่าวมาแต่ต้นทั้งหมด สามารถนำมาปฏิบัติได้  ก็เรียกว่าเป็นคนดี จากนี้เป็นต้นไป... จนถึงเป็นเทพเซียนปรารถนาได้ เป็นการพูดถึงบุญวาสนาที่ตอบสนองคนดี ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก ต้องรู้ว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนดีที่แท้จริงนั้น เริ่มแรกต้องสามารถแยกแยะเรื่องถูกผิดให้ชัดเจนเสียก่อน อย่าเข้าใจผิด  ต้องมีทั้งปัญญาและความกล้าหาญ สุดท้ายก็ไปถึงจุดที่เป็นสภาวะ  "ลืมทั้งฉันและเขา"   การปฏิบัติต่อโลกด้วยความเมตตาและอภัย ความหมายก็คือ การปฏิบัติตนและปฏิบัติต่อผู้อื่น จะต้องไม่ละเมิดขืนจิตฟ้าและใจคน ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นกษัตรืย์เหยากษัตริย์ซุ่น เจ้าโจวกง และท่านขงจื่อกลับฟื้นคืนชีพ ดังนั้น ที่ว่าเป็นคนดี ก็คือเอาใจฟ้าที่ชอบดีแล้วห่างไกลชั่ว โดยที่ใจคนจะทำดีได้อย่างไร โโยไม่มีความชั่วเล่า เพราะว่าผู้คนมักจะละเลยตนเองที่ฝึกฝนนิสัยไม่ดี เหมือนเป็นโรคจิตติดตัว จนทำให้สูญเสียใจฟ้าที่มีมาแต่เริ่มแรก เพราะฉะนั้น มนุษย์ควรมีความดีและวิริยะก้าวไป มีความชั่วก็ให้แก้ไขสำนึกผิด เช่นนี้แล้ว สภาวะของมีความดีไม่มีชั่วก็ทำได้
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่ห้า กรรมดีตอบสนอง คัมภีร์ : คนให้ความเคารพ ธรรมแห้งฟ้าคุ้มฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 15:09
                             คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                 คัมภีร์   :  คนให้ความเคารพ ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง บุญวาสนาตามมา ชั่วร้ายถอยห่าง เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

อธิบาย   :  ตลอดชีวิตของคนดีที่ทำเรื่องดี ทุกคนพอใจ  เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะเคารพนับถือเขา และเข้ากับหลักธรรมฟ้าเบื้องบน  เพราะฉะนั้น เทพเจ้าบนสวรรค์ต่าง ๆ ก็จะปกปักรักษาคุ้มครองเขา ทำให้เขาได้มีอายุยืน  ร่ำรวย สุขภาพดี เป็นบุญวาสนาตอบแทน เขาไม่ต้องไปแสวงหาก็มีมาเอง ผีร้ายต่าง ๆ ก็ถอยห่างหลบหลีกเขาหมด ไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาหมด ไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาอย่างลับ ๆ คอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลา  "คนให้ความเคารพ"  ความดีมีอยู่ในจิตเดิมของทุกคน เป็นจิตฟ้าคือจิตสำนึกดี จิตนี้เมื่อเคลื่อนไหวหรือมีการกระทบ ก็จะมีการตอบสนอง ถึงแม้จะเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่พอได้ยินเรื่องดี ๆ เข้า  พวกเขาก็สรรเสริญยกย่อง ไม่ว่าเธอจะเป็นคนอำมหิตชั่วร้ายยิ่งปานไหน  แต่พอเห็นคนดีเข้าก็ไม่กล้าไปรุกรานเขา ทั้งนี้เพราะจิตสำนึกดีเผยปรากฏ ก็จะบังเกิดแรงระงับไม่มุ่งร้ายเอง ทำไมจึงพูดว่าทุกคนให้ความเคารพคนดี ทั้งนี้เพราะคุณธรรมของเขามีจุดที่ควรเคารพอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครไม่เคารพคนดี
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่ห้า กรรมดีตอบสนอง คัมภีร์ : งานที่ทำก็สำเร็จเป็นเทพเซียนปรารถ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 15:41
                         คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                   คัมภีร์   :  งานที่ทำก็สำเร็จ  เป็นเทพเซียนปรารถนาได้

อธิบาย   :  ทำให้การงานธุรกิจที่คนดีทำประสบผความสำเร็จแน่นอนและอยู่ได้ยั่งยืน ทั้งยังปรารถนาจะสำเร็จเป็นเทพเจ้า หรือเป็นเซียนก็ได้ มีชื่อจารึกอยู่บนสวรรค์  การงานทุกอย่างในโลกไม่มีหรอกที่ทำไม่สำเร็จ และคนที่ไปทำสำเร็จได้ก็ต้องเป็นคนที่มีความจริงใจทำดี เช่นนี้ทั้งคนและงาน ก็จะเข้ากับใจฟ้าได้ จะมีหรือที่ใจฟ้าจะขัดขวางปณิธานคน จะมีก็แต่คอยช่วยเหลือคนดีอย่างเงียบ ๆ ก็จะไม่มีงานดีที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ราบรื่น   

        ท่านไท่ซั่งเหล่าจวิน เป็นบรรพจารย์องค์แรกของศาสนาเต๋า เพราะฉะนั้นจึงบรรยายหลักธรรมของเซียนโดยเฉพาะ ท่านเมิ่งจื่อกล่าวว่า  "มนุษย์ล้วนเป็นเช่นกษัตริย์เหยา - ซุ่นได้"  พระสังฆปรินายกองค์ที่หกแห่งเซ็น  พุทธศาสนามหายาน ท่านฮุ่ยเหนิง (เหว่ยหล่าง)  กล่าวว่า  "แต่ใช้ใจนี้ ตรงจุดสำเร็จพุทธ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามศาสนา  พูดถึงเรื่องราวกับว่าออกมาจากรอยล้อเดียวกัน  อยากเป็นเทพเซียนก็ปรารถนาเอาได้  จะสำเร็จเป็นพุทธก้ได้  แม้แต่จะเป็นกษัตริย์เหยา - ซุ่น ยังเป็นได้ นับประสาอะไรกับชื่อเสียงร่ำรวยอายุยืนชายหญิง ก็เป็นได้แล้วจะมีอะไรอีกที่จะเป็นไม่ได้ เพียงแต่มาดูที่คนแสวงหา มีความจริงใจไปทำหรือไม่เท่านั้น

        พระพุทธองค์สอนสาวกว่า  "พวกเธอภิกขุ ควรจะขยันมุ่งวิริยะก็จะไม่มีเรื่องอะไรยาก ! สมมุติว่าสายน้ำเล็ก ๆ ไหลไม่หยุด ผ่านเวลาอันยาวนานก็จะสามารถผ่านหินที่แข็งได้ หากใจของผู้ปฏิบัติขี้เกียจหยุดนิ่งบ่อย ๆ เหมือนการปั่นไม้เอาไฟยังไม่ทันปั่นจนไม้ร้อนก็หยุดไปพัก คิดอยากได้ไฟใช้คงเป็นไปไม่ได้ ! "

        ในสมัยหมิง ท่านธรรมาจารย์เหลียนฉือ กล่าวว่า  "วิทยาการแต่ละแขนงบนโลกนี้ ตอนเริ่มต้นเรียน แรกดูเหมือนยากมาก เหมือนกับว่าเรียนไม่สามารถสำเร็จได้ ด้วยเหตุนี้จึงหยุดเสียกลางคัน  ถ้าเช่นนั้นก้จะไม่มีวันสำเร็จได้  เพราะฉะนั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญต้องมีใจแน่วแน่ไม่สงสัย ถึงแม้จะตัดสินใจไม่เคลือบแคลงใจ แต่ถ้าอืดอาดอุ้ยอ้าย ไม่จริงใจเรียนก็ไม่สำเร็จเหมือนกัน ขั้นต่อไปต้องมีความวิริยะอุตส่าห์ ถึงแม้จะมีวิริยะแต่พอมีความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็รู้สึกพออิ่มแล้ว หรือเป็นเพราะเวลาเนิ่นนานเกินไป จนเหนื่อยอ่อน หรือพบกับความราบรื่นเลยหลงฟั่นเฟือน หรือพบกับอุปสรรคจนร่วงหล่น อย่างนี้ก็เรียนไม่สำเร็จ ขั้นต่อไป ที่สำคัญต้องมีความบริสุทธิ์แรงกล้าไม่ถดถอย อย่างนี้จึงเรียกว่าใจของวีรบุรุษที่แท้จริง  คนต้องมีใจแบบนี้ จะมีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จ พวกเราต้องพากเพียรด้วยตนเองนะ !" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่ห้า กรรมดีตอบสนอง คัมภีร์ : อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความด
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/12/2011, 16:07
                            คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื้อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                                   บทที่ห้า

                                               กรรมดีตอบสนอง

                คัมภีร์  :  อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล  อยากเป็นเทพเซียนดิน ต้องทำความดีสามร้อยกุศล

อธิบาย   :   คิดอยากเป็นเทพเซียนบนฟ้า ก็ควรทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล ทำความดีวันละหนึ่งกุศล ก็ใช้เวลาสักสี่ปี ก็สามารถสำเร็จได้ หากคิดจะเป็นเพียงแค่เซียนดิน ก็ให้ทำความดีสามร้อยกุศล  วันหนึ่งทำหนึ่งกุศล เพียงหนึ่งปีก็สำเร็จแล้ว

        คัมภีร์ตอนนี้เป็นบทสรุปจากเริ่มต้นมา พูดถึงวิธีการทำความดี เป็นรากฐานของการสำเร็จเป็นเทพเซียน ตรงพูดจำนวนหนึ่งพันบ้าง  สามร้อยบ้าง  เป็นการกำหนดปริมาณการทำความดี  เพียงต้องจริงใจไปทำดีก็กำหนดแน่ว่าสำเร็จ และก็ไม่คิดท้อถอย ความแตกต่างระหว่างเทพเซียนฟ้ากับดิน ก็อยู่ที่คนทำดีมากน้อย ในศุรางคมสูตรว่า  "เซียนมี  ๑๐ ชนิด 

ชนิดที่หนึ่ง     เซียนเดินดิน
ชนิดที่ ๒       เซียนเดินเหิน   
ชนิดที่ ๓       เซียนท่องเที่ยว
ชนิดที่ ๔       เซียนเหินอากาศ
ชนิดที่ ๕       เซียนเหินฟ้า
ชนิดที่ ๖       เซียนเหินทะลุ
ชนิดที่ ๗       เซียนเหินธรรม
ชนิดที่ ๘       เซียนเหินส่อง
ชนิดที่ ๙       เซียนเหินชำนาญ
ชนิดที่ ๑๐     เซียนเหินเยี่ยม
   
        อายุขัยแม้จะยืนยาวได้ถึงร้อยล้านปีก็ตาม  ก็ยังอยู่ในหกทางไป เพราะฉะนั้นภายหลังสำเร็จเทพเซียนแล้ว ก็ยังต้องไปวิริยะขึ้นอีกก้าวหนึ่ง จึงจะไม่ร่วงหล่น คืนให้เลื่อนพ้นสามภพหกทางไป  สิ้นสุกวัฏฏะ ก็จะเป็นอย่างเช่นวิสุทธิเทพ อย่างเซียนหลี่ตงปิง ในวัชรปรัชญาปรามิตตาสูตรว่า  "ควรไม่มีที่ยึดอยู่แล้วบังเกิดใจนั้น"  ซึ่งก็เป็นการตรัสรู้ ต่อมาก็ได้พบกับธรรมาจารย์เซ็นหวงหลง มายืนยันเขา อริยเจ้าซุนซือเหมา ก็มักจะถามพุทธธรรมกับอาจารย์เต้าชวนหลี่  ในสมัยถังเป็นประจำ ต่อมาก้ไปที่เสฉวน  ได้ฟังธรรมพระสูตรบทอนันต์รัตนเจดีย์จากภิกษุอู่หมิง จึงได้รับการยืนยันสำเร็จเป็นอริยเจ้า ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการก้าวขึ้นอีกก้าวหนึ่ง เป็นวิสุทธิเทพพ้นสามภพ

                          ~ จบเล่มที่ ๑ ~
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน เหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ คำนำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/01/2012, 16:01
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                       คำนำ

        หลังจาก คัมภีร์กรรม เล่ม ๑  ได้แปลเรียบเรียงและพิมพ์เผยแผ่ออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว หลายท่านมีความชื่นชอบมาก เพื่อเป็นการตอกย้ำว่ากรรมนี้มีจริง เป็นกฏธรรมชาติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผู้ใดทำกรรมไว้ ผลกรรมนั้นย่อมตอบสนองเสมอไป ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  คัมภีร์กรรมเล่มนี้ เป็นบทนิพนธ์ของท่านเหลาจื่อพระศาสดาแห่งเต๋า พระธรรมาจารย์จิ้งคง ประเทศไต้หวัน ได้อธิบายความหมายของคัมภีร์แต่ละคำ พร้อมยกนิทานประกอบ เพื่อเป็นประจักษณ์หลักฐานว่า กรรมย่อมตอบสนองเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้  คัมภีร์กรรมของท่านเหลาจื่อ คงจัดพิมพ์เป็น ๔ เล่ม ในเล่ม ๒ เริ่มต้นของบทที่ ๖ ชื่อว่า ชั่วบาป  เฉพาะบทนี้บทเดียวก็ต้องพิมพ์ถึง ๒ เล่มจึงจะจบ ท่านคงได้อ่านเล่ม ๓ ในปีหน้า 

        ท่านที่ได้ร่วมทำบุญบริจาคทรัพย์ ในการทำพิมพ์หนังสือธรรมก็เป็นหนึ่งเหตุแห่งความดี จะเป็นเมล็ดกุศลที่ปลูกลงในเนื้อนาบุญจะเพิ่มทวีคูณเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ท่านก็จะได้เก็บเกี่ยวในอนาคต แม้ท่านกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้วผลกุศลก็ยังมีอานิสงส์ตกถึงลูกหลานสืบไป จงอย่าประมาทรีบสร้างกุศลเมื่อยังมีโอกาส และสร้างด้วยความปิติยินดี อย่าสร้างเพราะความจำใจ ผลบุญจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

        สุดท้าย  ขออำนาจกุศลที่ท่านได้สร้างไว้แล้ว ปฏิบัติแล้ว จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านได้ลุถึงฝั่งพระนิพพานเทอญ.

                               ด้วยความเคารพ
                             
                                 ธรรมบัญชา

                         ๓๑  กรกฏาคม  ๒๕๔๗                         
                         
                             วันอาสาฬหะบูชา                   

               ไท่ซั่ง  กั่นอิ้งเพียน                               

               พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย                   

                              ธรรมบัญชา                       

                             แปลเรียบเรียง                         
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่งกั่นอิ้งเพียน บทที่หก : ชั่วบาป คัมภีร์ : หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/01/2012, 16:31
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

               คัมภีร์  :  หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม 

        อธิบาย   :  หากมีคนฝ่าฝืนสัจธรรม แล้วบังเกิดความคิดชั่วแล้วละเมิดหลักธรรมฟ้า ไปกระทำเรื่องชั่วร้ายขึ้น บทชั่วบาปนี้จะยาวมาก เฉพาะบทที่หกนี้ยาวมาก อาจแบ่งเป็นเล่มไม่น้อยกว่าสองเล่ม เริ่มต้นจากข้อความว่า  "หากทำสิ่งไม่ถูกต้องเรื่อยไป ... จนถึงความตายก็มาถึง"  ล้วนเป็นรายละเอียดของการทำชั่วบาป ถือเป็นการกวักภัยเคราะห์มาหาทั้งหมด หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม ซึ่งจะตรงข้ามกับคำว่า  "เป็นธรรมให้เดินหน้า"  (คำแรกของบทที่ ๔)   โบราณว่า  :  "อารมณ์ของคนเหมือนน้ำ ต้องใช้กฏระเบียบมารยาทและธรรมมาคอยป้องกันเหมือนเขื่อนที่ก่อสร้างไม่แข็งแรง  สุดท้ายก็พังทลายลงได้  น้ำก็จะไหลทะลักจนกลายเป็นอุทกภัย อารมณ์ของคนหากไม่เพิ่มการควบคุม คอยระมัดระวัง ก็จะเสียหาย ทำให้ขัดขืนหลักธรรมจนเกิดความวุ่นวาย โลกทั้งโลกก็จะเกิดมหาจลาจลได้นา !  เพราะฉะนั้น  การขจัดความกังวลอารมณ์อยาก หยุดใจที่บ้าคลั่ง ระงับหยุดทำชั่ว หยุดเดินทางบาป ถ้าจะให้ได้ฉับพลัน จะต้องไม่ลืมกฏระเบียบกติกามารยาท"  ยังกล่าวต่อว่า  ม้าที่พยายามมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กล้าวิ่งตามอำเภอใจ เพราะว่ามีเชือกร้อยจมูกคอยบังคับมันอยู่ พวกอันธพาลที่เกกมะเหรกไร้เหตุผล แต่ที่มิกล้าปล่อยตามอำเภอใจทำส่งเดชก็เพราะมีกฏหมายมีบทลงโทษที่คอยควบคุมอยู่ และที่พวกเรามีมโนวิญญาณ ไม่กล้าเกิดความคิดตามอำเภอใจไปทำชั่ว ก็เพราะในใจมีบารมีรู้ตัว คอยส่องควบคุม เพราะฉะนั้นภายในใจของคน ๆ หนึ่ง ถ้าหากไม่มีพลังบารมี รู้ตัวคอยส่องควบคุมแล้ว ก็เหมือนม้าที่พุ่งทะยานโดยปราศจากเชือกคอยเหนี่ยวรั้ง ก็เหมือนไม่มีกฏหมายควบคุมอันธพาลทำอย่างไรจึงจะสามารถขจัดความใคร่อยากในใจได้ ก็ต้องรักษาใจไม่ให้เกิดความคิดฟั่นเฟือนซิ"

            คำคม   :  คนในปัจจุบันกล้าที่จะละเมิดสัจธรรม และบังเกิดความคิดชั่ว ขัดขืนหลักธรรมฟ้าไปทำเรื่องเลว ก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจสัจธรรมและหลักธรรมฟ้าได้ชัดเจน ทำไมไม่มาเรียนกับท่านซู้จิ่งซวี บ้างเล่า !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หก วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ คัมภีร์ : ถือชั่วว่าสา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/01/2012, 11:05
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                คัมภีร์  :  ถือชั่วว่าสามารถ

อธิบาย  :  เป็นผู้กระทำความชั่วแล้วถือตนทำชั่วได้ว่า มีความสามารถกว่าแน่กว่า  ว่าคำถือชั่วว่าสามารถ เป็นคำพูดของผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ศาสตร์ว่าจิตของคนเดิมทีนั้นสวยงาม แต่ก็มีคนกลับทำชั่ว แล้วเข้าใจว่าการกระทำนั้นเป็นความสามารถ นี่เท่ากับเขาได้สูญเสียองค์จิตอันดีงามของเขาไปแล้ว โดยเฉพาะการถือชั่วว่าสามารถนี้เป็นมูลเหตุการทำชั่วของคนชั่วนับพัน ๆ ปีมาแล้ว ดังนั้นจึงเรียงอันดับความชั่วไว้ในอันดับต้น ๆ ถึงแม้ว่าคนที่โง่ถึงจุดต่ำสุดก้ไม่ยอมที่จะเป็นคนชั่ว แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่คาดหวังในตัวเองกลายเป็นคนที่มีความสามารถ เพียงแต่เข้าใจผิดของคำว่า "สามารถ" นี้ เพราะฉะนั้นยิ่งทำก็ยิ่งเลยเถิด  เริ่มแรกก็พูดว่า  "คนที่สามารถมีประโยชน์ คนที่ไม่สามารถไม่มีประโยชน์ ไปถึงไหนก็ถูกเขาข่มเหงรังแก พอนาน ๆ ไปก็รู้ว่าตนเองทำสิ่งที่ไม่ดีในที่สุดก็ยืดอกว่าเป็นคนชั่วโดยไม่ต้องปกปิด อย่างเช่นพวกผู้มีอิทธิพล มีอำนาจ  มีชื่อว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย กลายเป็นชื่อที่โก้หรูไป ตัวอย่างเช่น คนที่โลภ อาศัยโอกาสอิทธิพลและกลโกงไปแย่งชิงเงินทองของผู้อื่นมาได้ ถือเป็นเรื่องความสามารถ แล้วก็พูดอย่างโก้หรูว่า เป็นอุบายชาญฉลาด เช่นคนใจสุนัขจิ้งจอก ใช้แรงบีบบังคับที่โหดเหี้ยม ด้วยการใส่ร้ายคนอื่น ถือเป็นเรื่องสามารถ แล้วก็เรียกอย่างโก้หรูว่ามือโหด ถ้าเป็นคนที่ชอบลวนลามเสพกาม ก็จะใช้วิธีข่มเหงหลอกลวงค้ากาม เที่ยวหลอกล่อลูกเมียคยอื่น แล้วก้เรียกอย่างโก้หรูว่าจอมเจ้าชู้ คนที่ปลิ้นปล้อนอาศัยช่องโหว่หลอกลวง เป็นความสามารถ แล้วก็พูดอย่างโก้หรูว่า พวกคล่องแคล่ว  พวกที่ชอบยุแย่ เอาการสร้างข่าวลือเป็นความสามารถ แล้วก็พูดอย่างโก้หรูว่าเป็นคนปากเก่ง คนจำพวกเหล่านี้ พูดได้ไม่มีหมด ทุกคนแข่งขันชิงความพิศดาร การแข่งขันชิงเด่นกันเช่นนี้ ดูว่าใครจะสูงกวาร้ายกว่า  พวกไม่ซื่อตรงกับสภาพการณ์เหล่านี้ เขาจะไม่รู้สึกสงสัย บางคนได้ยินเรื่องแบบนี้เข้าก็ยังว่าเป็นเรื่องดีเลย  ถ้าบังเอิญเจอะคนที่ไม่ฉลาด ไม่มีอุบาย ไม่เป็นมือโหด  ไม่เจ้าชู้  ไม่คล่องแคล่ว ไม่พูดเก่งก็จะไม่มีใครที่จะไม่หัวเราะว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ เป็นกากเดน ของยุคสมัยไป รอจนกว่าทำเรื่องชั่ว ๆ จนหมดแล้ว  กรรมตามสนองนอนอยู่ในโลงศพแล้วก็วิจารณ์กันว่า สู้อยู่หดหัวชั่วคราว ยอมเป็นของกากเดนในสายตาของผู้อื่น ตนเองแน่วแน่บำเพ็ญภายในใจลึก ๆ ถึงแม้มันจะจืดชืด แต่ก็มีรสชาด และก็มั่นคงมาก ไม่มีวันพ่ายแพ้ หากท่านไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นหลักธรรม อย่างนั้นก็ขอเชิญท่านลองสำรวจคนที่ว่าเป็นคนดีในโลกนี้ดู ไม่มีสักคน ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากเบื้องบนไหม หากแต่ทุก ๆคนก็เคารพ และคนชั่วก็ไม่มีสักคนที่เบื้องบนไม่ลงโทษไหม  และทุก ๆ คนก็เกลียดชังด้วย  พุทธองค์ตรัสว่า  "คนชั่วทั้งหมดบนโลกนี้ ตายแล้วตกนรกหมด ในนรกมีผีอยู่ตนหนึ่ง เรียกชื่อว่า ไอ้ข้างหัววัว โหดเหี้ยมชั่วร้ายมาก ไม่มีความเมตตาและไม่อดทนเลย เขาเห็นเวไนยสัตว์ที่ตกนรกได้รับความเจ็บทุกข์ต่างๆ มากมาย เขายังเป็นห่วงว่าเจ็บปวดไม่พอยังโหดร้ายไม่พอ มีผู้ถามยมทูตเหล่านี้ว่า "เวไนยสัตว์ในนรกได้รับความเจ็บปวดไม่มีขีดจำกัดแล้ว คนเขาเห็นอกเห็นใจสงสารจริง ๆ แต่ท่านทำไมยังมีจิตใจโดหเหี้ยมร้ายกาจนัก ไม่มีใจที่สงสารเมตต่เลยหรือ! ยมทูตว่า "เวไนยสัตว์ที่รับทุกข์ในนรกนี้ ล้วนไม่กตัญญูพ่อแม่ ใส่ร้ายไตรรัตน์ ด่าทอญาติพี่น้อง ดูถูกครูอาจารย์ ใส่ร้ายคนดี ฆ่าทำร้ายสรรพสัตว์ ทำกรรมชั่วไว้มากมาย ถ้าหากพวกนักโทษที่มาถึงนรกก็เพื่อมารับการลงโทษ แต่ละคนเมื่อถึงคราวที่จะพ้นจากนรกไปเกิดใหม่ พวกเราถวายชีวิตตักเตือนชักนำเขาว่า ในนรกได้รับความทุกข์ทรมานต่าง ๆนั้น  มันได้รับยากยิ่งจริง ๆ ตอนนี้รับโทษจนหมดแล้ว สามารถพ้นจากนรกได้แล้ว หวังว่าพวกเธอออกไปแล้ว อย่างไรเสียก้อย่าได้ทำชั่วอีกเลย แต่นักโทษเหล่านี้ ก็ยังไม่สำนึกผิดยอมแก้ไข  วันนี้ออกจากนรก ผ่านไปไม่นานก็กลับลงมาอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ ยังไม่รู้จักทุกข์เลย เพราะเหตุนี้แหละฉันกับนักโทษก็ไม่มีใจเมตตาสักนิดเดียว"   เหตุนี้จึงรู้ว่าคนทำชั่วต้องตกนรกแน่ ตอนนี้พวกเรา ที่อยู่ในโลกนี้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ควรขยันมีเมตตา มีกรุณา บำเพ็ญความดีทั้งหลาย เพื่อขจัดกิเลส อุปสรรคสาม  บำเพ็ญอายตนะหกให้บริสุทธิ์  สวดมนต์ถือศีลเจ  พิจาาญาณฝึกธรรม กระโดดพ้นหกช่องหมุนเวียนแห่งทะเลทุกข์  ปล่อยละความโลภโกรธหลง กิเลสพิษทั้งสาม ตลอดจนไม่ฆ่าชีวิต ลักขโมย ละเมิดประเวณี เป็นความชั่วทั้งนั้น ต้องรู้ว่าการทำเรื่องชั่วย่อมได้รับผลชั่วตอบสนอง สิ่งที่พุทธองค์ตรัสเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น เราควรเข้าใจความจริงและเชื่อถือนำไปปฏิบัติ ซิ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป : คัมภีร์ :ทนทำช
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/01/2012, 23:06
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                 คัมภีร์  :  ทนทำชั่วร้ายได้

อธิบาย   :  ใจอดทนที่ไปทำร้ายคนและสัตว์ได้  ประโยคนี้ถ้าพูดจำเพาะชีวิตสัตว์ ฟ้ามีคุณธรรมให้กำเนิด แต่ก็มีคนใจร้ายทนทำชั่วร้ายทำลายชีวิตสัตว์ได้ ต้องรู้ว่าการทำลายชีวิตสัตว์ในบรรดาความชั่ว ถือว่าเป็นบาปหนักที่สุด พฤติกรรมชอบทำร้ายชีวิตสัตว์ตามอำเภอใจเช่นนี้ ถือว่าเป็นคนที่ไม่มีใจเมตตากรุณาเลยสักนิดหนึ่ง มุลรากของความดีทั้งหลายก็อยู่ที่ใจเมตตา และมูลรากของความชั่วทั้งหลายหก็อยู่ที่ทนทำความชั่ว เพราะฉะนั้น ให้ละทิ้งความโหดเหี้ยมแล้วเหลือใจที่กรุณาไว้ ซึ่งก็เป็นบารมีที่เหล่าเทพเซียนพุทธต้องบำเพ็ญทั้งสิ้น !  รักตัวกลัวตาย รักใคร่ญาติสนิทของตนเอง มีความรู้สึกเจ็บปวดแทนคน รักลูกหลาน รู้ไหมว่าสัตว์ก็มีความรู้สึกเดียวกับมนุษย์ แต่เพราะมนุษย์มีปัญญา แต่สัตว์ขาดแคลนปัญญา มนุษย์ชาติพูดคุยกันได้ สัตว์พูดคุยกันไม่ได้ มนุษย์มีพลังแรงมากและสามารถใช้เครื่องทุ่นแรงได้ แต่สัตว์แรงน้อยกว่า เราลองมาดูอาหารบนโต๊ะซิ มื้อหนึ่งอย่างน้อยก็หนึ่งชีวิต  เช่น ปลาตัวหนึ่ง ไก้ตัวหนึ่ง บางคั้งต้องฆ่าถึงสิบชีวิต จึงจะได้อาหารจานอร่อย  ถ้าเป็นพวกหอยหรือกุ้ง ก็ต้องฆ่าถึงร้อยชีวิตทีเดียว ยิ่งคนที่ชอบอาหารปราณีตอร่อย ก็จะหาทางกินอย่างพิศดาร  จับมาย่างอย่งเป็น ๆ ผ่าท้องถลกหนัง  ล้วนเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดแล้ว อิ่มไปมื้อหนึ่งก็พอใจมีความสุข ถ้าหากพ่อครัวทำชักช้าไปหน่อยก็จะเกิดอารมณ์ว่าร้ายทางครัว เพราะฉะนั้นควรใจเย็น ๆ แล้วคิดดูสักหน่อยหนึ่ง ว่าเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวสุดเศร้าหรือเปล่า ! 

        ในพระสูตร  "สัตว์ทั้งหลายล้วนกลัวเจ็บที่ถูกมีดฟันแทงทั้งปวง ไม่มีหรอกที่ไม่รักชีวิต ! " นายหวังเจียะ ต้องการฆ่าแพะเพื่อเลี้ยงแขก แพะวิ่งไปที่แขกแล้วคุกเข่าลงร้องขอชีวิต  นายฉูเชินจะฆ่ากวาง กวางคุกเข่าลงน้ำตาไหล นายเซิ่นเน้อยอู้มาสืบคดีที่เจียหนิง ทางครัวต้องการฆ่าแพะแต่ก็หามีดไม่พบภายหลังพบว่ามีดถูกแพะคาบไปซ่อนที่ใต้ผนัง พระเจ้าอโศกมหาราชออกท่องเที่ยว เกิดงีบหลับตอนกลางวัน ฝันเห็นผู้หญิงร้อยกว่าคนมาหาพระองค์  เหมือนกับจะบอกอะไรแก่พระองค์ หลังจากตื่นขึ้นก็แอบไปสำรวจที่โรงครัว จึงเข้าใจดีที่แท้คือหอยมาเข้าฝันพระองค์ขอให้ช่วยชีวิตเหล่านี้ พวกเราก็รู้ว่าสัตว์ก็รักตัวกลัวตายเหมือนกับคนไม่มีผิด ! ถ้าบังเอิญถูกคนมีดบาด น้ำร้อนลวก หรือถูกเข็มแทง ก็จะร้องลั่นให้คนช่วยหรือไปหาแพทย์ บางรายก็ถึงกับเป็นลม คนยังรักชีวิตร่างกายเช่นนี้ แล้วทำไมกับชีวิตสัตว์กลับไม่มีใจสงสารรักเขา ทำลายพวกเขาตามอำเภอใจ ไม่เสียดาย ที่จะผูกเวรกรรมกับพวกเขาโดยก่อกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะฉะนั้น กรรมชั่วนี้ การฆ่าชีวิตเป็นเรื่องที่เจ็บปวดน่าเวทนาที่สุด พุทธองค์และเทพเซียนต่างก็ตักเตือนพวกเราไม่ให้ฆ่าสัตว์จะต้องรู้ว่าผลกรรม ตอบสนองไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย ควรเอาใจเราเปรียบใจเขา  และคิดคำนึงให้ยิ่งยวด เหตุที่พูดละเอียดเช่นนี้คือ เหตุผลที่ห้ามฆ่าสัตว์ขอร้องท่านผู้เมตตาต้องปฏิบัติอย่างแข็งขัน ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป : วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ คัมภีร์ :ทนทำช
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/01/2012, 11:16
                                คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                    คัมภีร์   :  ทนทำชั่วร้ายได้

        อันที่ ๑  วันเกิดไม่ควรฆ่าสัตว์ ในพระสูตรซีจิงว่า  "พ่อแม่เหน็ดเหนื่อยที่ให้กำเนิดฉัน"  วันที่แม่ให้กำเนิดฉัน การจะเป็นแม่นี้ยากนัก เพราะฉะนั้นวันเกิดในวันนี้ ควรที่จะถือศีลเจงดฆ่าสัตว์ ทำกุศลให้มาก เพื่อเป็นการเพิ่มบุญให้แม่มีอายุยืนยาวขึ้น หากพ่อแม่สิ้นไปแล้วก็สามารถอุทิศส่วนกุศลนี้ ให้ดวงวิญญาณของพ่อแม่เลื่อนสูงขึ้น จะลืมวันเกิดที่แม่ฟันฝ่าชีวิตได้อย่า่งไร แล้วตามใจตนเองเพื่ออร่อยปากได้อย่างไร การฆ่าสัตว์เพื่อกินเนื้อ ก็รังแต่จะดึงให้พ่อแม่ตกต่ำลง และไม่ดีกับตนเองด้วย แต่เรื่องเช่นนี้กับสภาพสังคมปัจจุบัน กลายเป็นธรรมเนียมต้องฆ่าชีวิตมาเลี้ยงฉลองไปแล้ว ทั้งยังไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ทำให้ใจนี้เจ็บปวดน้ำตาไหลเศร้าใจยิ่งนัก ! 

        อันที่ ๒  เวลาคลอดบุตรไม่ควรฆ่าสัตว์  หากเป็นคนที่ไม่มีบุตรเป็นของตนเอง ก็จะรู้สึกเศร้าเสียใจ สำหรับคนที่มีบุตรของตนเองก็จะให้รู้สึกยินดี แต่ก็ไม่คิดว่าสัตว์ทั้งหลายมันก็รักลูกของมันนา !  มาตอนนี้ต้องการฉลองที่ได้ลูก ก็จะมาฆ่าแกงลูกของพวกมัน ใจคอกินมันได้ลงหรือ ลูกเพิ่งคลอดออกมา แทนนี่จะทำบุญให้เขามีอายุมั่นขวัญยืน กลับมาสร้างบาปกรรมด้วยการฆ่าสัตว์ เป็นการสร้างวิบากกรรมให้กับลูก ช่างโง่เขลาเสียจริง ๆ  แต่คนทั้งโลกก็เคยชินกันแล้ว โดยไม่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ทำให้คนที่มีน้ำใจเมตตาต้องเจ็บปวด เสียน้ำตา ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์:ทนทำชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/01/2012, 11:40
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                    คัมภีร์   :  ทนทำชั่วร้ายได้

        อันดับที่ ๓  การเซ่นไหว้บรรพชนหรืองานศพ หรือวันเช็งเม้ง ควรอย่างยิ่งต้องงดฆ่าสัตว์ เพื่อเพิ่มบุญกุศลให้กับบรรพชนและผู้จากไป ถ้าหากยังฆ่าสัตว์เอามาเซ่นไหว้หรือเลี้ยงแขกในงานศพ ก็จะเป็นการเพิ่มวิบากกรรมให้กับคนตายและบรรพชนเท่านั้น ไม่เพียงไม่มีประโยชน์แต่กลับมีโทษ ถ้าเป็นผู้มีปัญญาก็จะไม่ทำเด็ดขาด แต่เรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องเคยชินของชาวโลกไปแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าผิด ผู้มีน้ำใจก็จะเศร้าเสียใจเสียน้ำตา ! 

        อันดับที่ ๔  งานแต่งงานไม่ควรฆ่าสัตว์  การแต่งงานทำให้ชีวิตสัตว์ตายไปไม่รู้เท่าไร น่าจะรู้ว่าสามีภรรยาที่แต่งงานก้เริ่มต้นให้กำเนิดบุตรมาสืบต่อวงศ์ตระกูล ในวันฉลองอันเป็นมงคลฤกษ์นี้ กลับกลายเป็นวันอุบาทว์ฆ่าชีวิตมาเลี้ยงแขก  เป็นการปลูกฝังเหตุแห่งบาปไป !  เป็นการเอาความโกรธแค้นรวมเข้ามาในบ้าน พฤติกรรมเหล่านี้เป็นภาวะปกติของคนปัจจุบันนานแล้ว โดยไม่รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจนัก ! 

        อันดับ  ๕   การภาวนาขอพรไม่ควรฆ่าสัตว์  คนที่กำลังเจ็บป่วย ก็มักจะฆ่าสัตว์เอามาเซ่นไหว้เจ้า เพื่อภาวนาขอให้เทพเจ้าประสาทพรและคุ้มครองแต่ไม่ได้คิดว่าจุดมุ่งหมายของการเซ่นไหว้คืออะไร ถ้าจะให้ขจัดความตาย มีอายุยืนแล้ว  แล้วฆ่าเอาชีวิตของมันมาต่อชีวิตของเรา มันเป็นการละเมิดหลักธรรมฟ้าอย่างยิ่ง ไม่มีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงขนาดนี้แล้ว ควรรู้ว่า   "ผู้ตรงซื่อมีปัญญาจึงเป็นเทพเจ้า"  มีหรือที่เทพเจ้าจะเห็นแก่ตัว การภาวนาขอพรแบบนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถต่ออายุได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่งวิบากกรรมให้แก่ตนเองอีกด้วย

        อันดับที่  ๖  การแก้บนห้ามฆ่าสัตว์  ควรรู้ว่า  "นิจจังคือพุทธะ ซื่อตรงคือเทพเจ้า"  หลักธรรมนี้เหล่าพุทธะโพธิสัตว์และเทพเจ้าไม่รับสินบลนแล้วให้พรกับคนให้สินบนหรอก !  ปัจจุบันคนชอบมาบนบานหน้าเทพเจ้า แล้วฆ่าสัตว์ตัดวิญญาณ การบนแบบนี้เรียกว่า บนบาป !  ถึงแม้จะเป็นการบนแต่วิบากกรรมตอบสนองกำลังจะตามมา !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทนทำชั่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/01/2012, 12:05
                                คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                    คัมภีร์   :  ทนทำชั่วร้ายได้

        อันดับ ๗   การจัดงานเลี้ยงไม่ควรฆ่าสัตว์   ฤกษ์ดีเช่นนี้ ทั้งเจ้าภาพและแขกผู้มีเกียรติ มาชุมนุมกันมาเลี้ยงกัน การใช้อาหารเจคงไม่ทำให้เจ้าภาพกับแขกที่มีความสัมพันธ์กันที่ดีต้องเสียหายหรอก !  ทำไมต้องถวายชีวิตไปฆ่าสัตว์มากินมาดื่มกัน น่าจะรู้นะว่าขณะที่เจ้าภาพกับแขกกำลังสนุกสนานร่าเริงกัน แต่ในครัวสัตว์ที่ถูกฆ่า  ถูกสับ  ถูกตุ๋น  ถูกนิ่ง  ถูกย่าง   พวกมันกำลังร้องไห้ปล่อยโฮ  ทั้งเจ้าภาพและแขกหูตึงไม่ได้ยิน มีหรือจะเห็นใจความเจ็บปวดที่อยู่ในหม้อในกะทะหรอก ! 

        อันดับ  ๘  ผู้ดำรงชีวิตไม่ควรฆ่าสัตว์  ชาวโลกต่างต้องการดำรงชีวิตอยู่ แต่การไปทำกิจกรรมฆ่าสัตว์ เช่น ล่าสัตว์  จับปลา  หรือฆ่าสัตว์เป็นอาชีพหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ควรรู้ว่าเบื้องบนจะไม่ให้กำเนิดคนที่ไม่รู้จักหากิน ขอเพียงมีเทคนิค มีศิลปะบ้าง ก็สามารถหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ทำไมต้องไปทำอาชีพที่ต้องฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต  สร้างบาปกรรมมาเลี้ยงครอบครัว แบบนี้ไม่เพียงละเมิดหลักธรรมฟ้า ถ้ายิ่งฆ่าก็ยิ่งยากจน เพราะฉะนั้น ผู้มีอาชีพฆ่าสัตว์แล้วร่ำรวยได้ ในร้อยคนหาไม่ได้สักคน ยังเป็นการปลูกเหตุที่ลูกหลานไม่กตัญญูแล้ว ยังมีนรกเป็นที่ไปอีกด้วย กรรมตอบสนองไม่มีอะไรรุนแรงกว่านี้อีกแล้ว ทำไมไม่เปลี่ยนอาชีพเล่า ! 
        การให้ของกินที่เป็นมารยาทที่ดี แต่ของกินที่ให้ ถ้ายังมีชีวิต เช่นไก่เป็น ๆ  ปลาเป็น ๆ เป็นต้นล้วนก่อกลไกการฆ่าขึ้น การให้ของมีชีวิตก็เหมือนกับการฆ่าชีวิตให้เขา อย่างนี้ก็รับบาปไปเต็ม ๆ ส่วนคนรับก็แค่กินอิ่มสักมื้อ ทั้งสองฝ่ายไม่มีบุญกุศล ตลอดจนการเลี้ยงปลาสวยงาม อาหารที่เลี้ยงอาจเป็นพวกหนอน คิดคำนวนให้ดี ๆ บางคนเลี้ยงนกกระเรียนต้องใช้ปลาตัวเล็ก ๆ ดูซิว่าหมดชีวิตไปเท่าไร บาปการฆ่าชีวิตจะไม่สนใจไม่ได้ ! 

       คำคม  :  คุณหวงหลูจื๋อ เขียนโฉลกบทหนึ่งว่า  "เนื้อฉันเนื้อเวไนย ชื่อต่างกันกายไม่ต่างกัน จิตแหล่งเดียวกัน เพียงรูปร่างต่างกัน วิบากเขารับไป อร่อยพลีเป็นของฉัน อย่าว่ายมบาลไม่มี คอยดูว่าเป็นไฉน"  ท่านเซียนลี่ตงปิง ก็เคยเขียนโฉลกไว้ว่า  "เธออยากมีอายุยืนให้ฟังข้า เรื่องราวเฉียบแหลมให้อภัยตน อยากอายุยืนต้องปล่อยสัตว์ เป็นหลักธรรมแท้ตามครรลอง ถ้าหากเขาจะตายเธอช่วยเขา ถ้าเธอจะตายฟ้าช่วยเธอ ยืดอายุต้องการบุตรไม่มีวิธีอื่น หยุดฆ่าปล่อยชีวิตเท่านั้นเอย !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์:ข่มเหงรา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/01/2012, 15:28
                               คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

               คัมภีร์   :  ข่มเหงราชา  บิดา มารดาลับหลัง 

อธิบาย  :  กับพระราชาผผู้เป็นประมุขของชาติ  และบิดามารดา ควรจะต้องซื่อสัตย์จงรักภักดี มีกตัญญูและเคารพนับถือ ในทางกลับกัน กลับแอบทำร้ายข่มเหง การกระทำไม่จงรักภักดีไม่กตัญญู   การแอบทำร้ายราชา บิดามารดา เป็นการกล่าวถึงจำเพาะ กับคนที่มีชื่อเสียงดีที่เสแสร้งแกล้งทำ สำหรับประเทศชาติกับบิดามารดา  ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณต่อเราประดุจเช่นฟ้ากับดิน  ถ้าหากรับเงินเดือนของหลวงแล้วขี้เกียจปฏิบัติงานหลวง เอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ฉ้อราษฏร์บังหลวงเป็นการข่าเหงเบื้องสูง ปิดบังเบื้องล่างคือประชาชน  คนจิตใจแบบนี้มีหรือที่จะยอมให้รู้ถึงพระราชาหรือประมุขของชาติ นี่แหละคือการแอบทำร้ายข่มเหงพระราชานั่นเอง !  กับบิดามารดาที่ต้องสนองงานเลี้ยงดูอย่างศรัทธาจริงใจ การทำงานดูแลไม่จริงใจ หรือแอบกระทำต่อบิดามารดาด้วยการแข็งขืน ซึ่งเป็นความผิด  คนจิตใจแบบนี้มีหรือที่จะให้บิดามารดารู้เข้า นี่คือการแอบทำร้ายข่มเหงบิดามารดานั่นเอง !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์:แอบทำร้า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/01/2012, 15:36
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                    คัมภีร์   :  แอบทำร้ายคนดี

อธิบาย   :  กับคนดีที่ซื่อสัตย์ภักดี ควรที่จะรักและปกป้องเขา สนับสนุนเขา แต่กลับวางแผนทำร้ายเขา การวางแผนทำร้ายเขาก็เหมือนกับแอบซุ่มยิงเขาหรือจ้างวานมือปืนไปยิงเขา ซึ่งป้องกันได้ยาก เมื่อผู้อื่นถูกเราทำร้ายโดยที่เราอยู่เบื้องหลัง จึงไม่ต้องรับสนองกับการกระทำ ได้ชื่อว่าเป็นคนชั่ว นี่เป็นเรื่องที่เลวมาก บุคคลโดยทั่วไปไม่ควรวางแผนทำร้ายใคร หากวางแผนแอบทำร้ายคนดีแล้วด้วย ยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนที่ดีเป็นบุคคลที่ประชาชนฝากความหวังไว้ คนดีของประเทศ ก็เป็นคนดีที่ประชาชนให้ความสำคัญจับตามอง ถ้าคนดีในหมู่บ้านก็เป็นทั้งหมู่บ้านให้ความสำคัญจับตามองเพราะฉะนั้นจะไปแอบทำร้ายคนดีได้อย่างไร ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : หยิ่งยโสครูบา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/01/2012, 01:00
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                          คัมภีร์  :  หยิ่งยโสครูบา

อธิบาย   :  กับครูอาจารย์ที่ถ่ายทอดธรรม  วิชาความรู้ แก้ไขหลงผิด ควรที่จะเคารพนับถือรับการสั่งสอน แต่กลับหยิ่งยโสดูแคลน นั่นเป็นศิษย์ผู้บกพร่องหลักการเคารพบูชาครูบาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อบิดามารดาให้กำเนิดร่างกายเราแล้ว ยังต้องอาศัยครูอาจารย์แนะนำสั่งสอน จึงจะเป็นผู้มีความรู้ เพราะฉะนั้นกับครูอาจารย์ ก็เหมือนกับพระราชาและบิดามารดา ที่ต้องให้ความเคารพนับถือ คนในปัจจุบันที่เชิญครูมาสอนลูกของตน ก็มักจะแสดงเหมือนดูถูกเงินทอง ทั้งตระหนี่แถมยังขาดมารยาท พูดจาไม่รื่นหู กิริยาไม่ปกติ  ใจดูแคลนครูอาจารย์ แบบนี้ก็ไม่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานมากนัก !  รู้ไหมว่าผู้เป็นครูอาจารย์นั้น จุดมุ่งหมายก็ต้องการให้คนรุ่นน้องเกิดปัญญา ทำตัวเป็นคนดี ตลอดจนได้สำเร็จเป็ปราชญ์อริยะ บุญกุศลประดุจฝนแรกในฤดูใบไม้ผลิยิ่งใหญ่นัก การจะรับการเลี้ยงดูค้ำชูจากผู้ปกครอง แล้วปล่อยปละละเลยบุตรหลานชาวบ้าน ไม่ควบคุมดูแลสั่งสอนให้เข้มงวด ทำให้บุตรหลานเขาตกอยู่ในอันตราย ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ให้มีครูอาจารย์บางคนช่วยทำการบ้านให้กับลูกศิษย์ อย่างนี้เท่ากับแอบข่มแหงปิดบังผู้ปกครอง ด้วยเห็นแก่เงินทองและใช้เงินซื้อเกียรติบัตร โทษตอบสนองความคิดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะหนักหน่วงสาหัสแค่ไหน

วิเคราะห์   :  หลักธรรมและวิธีการดูแลครูอาจารย์ ควรเหมือนกับลูกดูแลบิดามารดา เวลาเดินก็ต้องติดตามอยู่ข้างหลังของอาจารย์ เวลานั่งก็ต้งนั่งอยู่ข้าง ๆ อาจารย์ พบอาจารย์ระหว่างทางก็ต้องยืนตรงแล้วยกมือขึ้นถามทุกข์สุขของอาจารย์ เวลาอาจารย์พูดคุยควรจะนิ่งตั้งใจฟัง  ถึงแม้จะผจญกับภยันตรายหรือลำบาก ก็จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะโชคดีมงคลหรือทุกข์อุบาทว์ ก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับอาจารย์ กิริยามารยาทต่ออาจารย์จะขาดตกบกพร่องไม่ได้  แม้อาจารย์จะจากไปแล้ว ก็ยังต้องไว้ทุกข์ทางใจให้อาจารย์สัก ๓ ปี  ถ้าหากทำได้เช่นนี้ก็นับว่าได้ทำหน้าที่ของศิษย์อย่างสมบูรณ์แล้ว

วิเคราะห์   :  ปัจจุบันอาจารย์ยิ่งวันยิ่งตกต่ำ ตกต่ำจนถึงขั้นทำให้ชาวบ้านเจ็บปวด ชื่อว่าเป็นครู บาปกรรมที่ทำให้ลูกชาวบ้านเสียหายต้องได้รับโทษจากเทพเจ้าแน่นอน สมัยก่อนมีครูคนหนึ่ง พอมีอายุได้หกสิบกว่าปี  ก็พูดกับภรรยาของเขาว่า "ชั่วชีวิตของข้า ถึงแม้จะไม่เจริญรุ่งเรือง ก็ยังนับว่าโชคดีที่ได้มีอาชีพเป็นครู  จึงสามารถสร้างครอบครัวได้สำเร็จ"   พูดจบแล้ว คืนนั้นก็ฝันว่า ฝันเห็นบิดาของเขาด่าว่าเขาว่า "ชะตาของเจ้า !  เดิมทีสามารถมีชื่อเสียงได้ แต่เพราะอาชีพครูแล้วไม่ทำหน้าที่สุดความสามารถ แถมนับวันยิ่งขี้เกียจ พระเจ้าเหวินเซียงจึงลบชื่อเจ้าออกไป เธอก็ยังไม่รู้ตัว แถมยังคุยโอ้อวดว่าสมหวังอีก จากตัวอย่างนี้ ก็ให้รู้ว่าบาปกรรมที่ทำให้ลูกชาวบ้านเสียหาย เป็นเรื่องอันตรายยิ่งนัก ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ละทิ้งหน้าที่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/01/2012, 01:16
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                         คัมภีร์   :  ละทิ้งหน้าที่

อธิบาย   :  หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาหรือเจ้านาย เป็นผู้ไม่จงรักภักดีเพียงพอ ถือว่าเป็นผู้ละทิ้งหน้าที่  ผู้ที่ละทิ้งหน้าที่ หมายเอาผู้ใต้บังคับบัญชาที่สนองงานต่อน่วยเหนือ อย่างเช่นเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ทำงานให้กับหัวหน้า พลทหารที่ทำงานให้กับนายพล บ่าวที่ทำงานให้เจ้านาย เหล่านี้คือผู้ทำหน้าที่  การละทิ้งก็มิใช่การละทิ้งหรือขัดขืนอย่างโจ่งแจ้งทีเดียว ถือว่าขณะที่งานกำลังเร่งรัด ตนเองละทิ้งไปไม่สามารถเป็นที่พึ่งของเขาได้ หรือในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่อันตราย ก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือเกื้อหนุน เช่น การสู้รบที่ติดพันและอันตราย พลทหารที่ทำการรบกลับละทิ้งหน้าที่ไม่อยู่ช่วยเหลือนายทหารสู้รบ นี่คือการละทิ้งหน้าที่
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป : คัมภีร์ หลอกคน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/02/2012, 11:04
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                            คัมภีร์  :  หลอกคนไม่รู้

อธิบาย  :  กับคนที่ไม่มีวิชาความรู้ไม่เข้าใจหลักการทำงาน เรากลับใช้วาจาเท็จมาหลอกลวงเขา ทำให้เขาหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจนทำให้งานเสียหายคนที่ไม่มีความรู้ควรที่จะแนะนำเขาให้ถูกต้อง บอกเขาให้รู้จักแยกแยะความดีความชั่ว เข้าใจหลักธรรมจนทำให้เขาได้รู้ ไม่หลงมัวเมาสับสน อย่าเห็นว่าเขาหลอกลวงง่าย จึงไปหลอกลวงเขา ในศรางคมสูตรว่า  "อวดอ้างหลอกลวงกับคนที่ไม่มีความรู้ไม่เข้าใจหลักธรรม ทำให้ปัญญาชีวิตของเวไนยเข้าใจผิด คนพวกนี้เมื่อตายไปแล้วก็ต้องตกสู่นรกอเวจี รับทุกเหลือคณานับ !  "ทำไมหนอ !  มนุษย์จึงต้องทนทุกข์ด้วยการสร้างวิบากกรรมเช่นนี้เล่า
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่ หก ชั่วบาป : คัมภีร์ กล่าวร้ายเพื่อนร่วมเรียน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/02/2012, 11:44
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                          คัมภีร์  :  กล่าวร้ายเพื่อนร่วมเรียน

อธิบาย  :  กับเพื่อนร่วมเรียนที่มีมากมาย แทนที่จะให้ความสนิทสนมกลับติฉินนินทากล่าวร้าย ทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของเขา เพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนฝูงมีความสัมพันธ์เหมือนกับพี่น้อง เพื่อนเป็นหนึ่งในมนุษย์สัมพันธ์ห้า แล้วจะไปกล่าวร้ายทำลายเพื่อนทำไม เหมือนกับแอบซ่อนอาวุธอยู่ข้างหลัง  พุทธองค์ตรัสว่า "การคบค้าสมาคมกับมิตรระหว่างกัน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ 
ข้อที่หนึ่ง  ระหว่างกัน ที่ทำเรื่องชั่ว ต้องช่วยกันตักเตือนประคองห้ามไปทำชั่วอีก
ข้อที่สอง  ระหว่างกัน หากมีการเจ็บไข้ได้ป่วย ควรช่วยเหลือกันสอดส่องดูแลรักษาการเจ็บป่วย
ข้อที่สาม  ระหว่างกัน ถ้ารู้ความลับส่วนตัว ไม่ควรพูดไปสู่บุคคลภายนอก
ข้อที่สี่     ระหว่างกัน ต้องให้ความเคารพนับถือยกย่องซึ่งกันและกัน ไม่ขาดการติดต่อ และก็ไม่จดจำความแค้นเคือง
ข้อที่ห้า   ระหว่างกัน ถ้าฐานะไม่เสมอกัน ก็ควรช่วยเหลือพยุงเกื้อหนุนกัน ไม่ควรกล่าวร้ายทำลายกัน 
        อาจมีผู้ถามว่า  "ภายหลังคบค้าสมาคมกันแล้วจึงพบว่า เขาไม่ใช่คนดี คิดอยากจะตัดขาดไม่สมาคมกัน ก็กลัวว่าจะทำร้ายน้ำใจระหว่างกัน ถ้าไม่ไปตัดการคบกันกับเขา ก็จะเกิดการเคืองแค้นที่คบค้ากับเพื่อนได้"  ท่านจูจื่อตอบว่า "นี่มิใช่เกิดการเคืองแค้นที่คบค้ากับเพื่อนหรอก แต่ในใจมีความเคืองแค้นอยู่ก่อน ต่อหน้าก็แสดงว่าคบค้ากัน อย่างนี้จึงไม่ใช่เกิดการเคืองแค้น !  ถ้าหากเพื่อนไม่ดี มิตรไมตรีก็จะห่างเหินกันบ้าง แต่ต้องค่อย ๆ ห่างเหิน ถ้าหากเขาไม่เสียหายอย่างร้ายแรง ทำไมจึงต้องตัดเขาให้ห่างกันถึงพันลี้เชียวเล่า ถ้าหากใช้ความจริงใจเรื่อย ๆ ไป ก็สามารถจะกล่อมเกลาเขาได้  ทำให้เขารู้สึกสำนึก อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ญาติก็ไม่เสียหลักความเป็นญาติ  เพื่อนก็ไม่เสียหลักความเป็นเพื่อน
        ในสมัยหมิง นายหวังหยางหมิงกล่าวว่า "การคบค้าระหว่างเพื่อน การถ่อมตนเป็นสิ่งสำคัญมาก !  เมื่อเพื่อนคบค้ากัน ระหว่างกันต้องบริสุทธิ์ใจ ถ่อมตัว นับถือเก็บความลับระหว่างกัน ส่วนใหญ่ก็คือตักเตือนห้ามปราม ชี้แนะบ้างนิดหน่อย หากแต่จริงใจเตือนกัน ยกย่องสนับสนุนจะมากหน่อย" 
        คุณอุนเจวียะเสี้ยวกล่าวว่า  "คบเพื่อนต้องสรรเสริญความดีของเขา อย่าถือสาด้านเสียของเขา คบกับเพื่อนที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ก็ต้องอดทนอารมณ์ร้ายของเขา  เจอะเพื่อนที่นุ่มนวลลอยชาย ก็ต้องอดทนอารมณ์ที่รวนเรของเขา  พบกับเพื่อนที่ซื่อตรงจริงใจ ก็ต้องอดทนอารมณ์ยืดยาดของเขา  พบกับเพื่อนที่ตุ้งติ้งโอบอ้อม ก็ต้องอดทนอารมณ์โกรธง่ายของเขา  เช่นนี้ไม่เพียงได้สิ่งดี ๆ จำนวนมาก และก็เป็นวิธีที่คบเพื่อนที่ดีที่สุด !"

        วิเคราะห์   :  ด้วยเหตุนี้ ต่อมาคนรุ่นหลังจึงมีคำพูดประโยคหนึ่ง เกี่ยวกับการคบเพื่อนตายว่า  "เป็นตายน้ำใจเซียนไต้"  คำพูดนี้ไม่ใช้โอ้อวดเกินเลย ! คุณเซิ้นตงฮ้วงกล่าวว่า  "การกล่าวหาเพื่อนที่ตายแล้วเทียบกับการกล่าวหาเพื่อนที่ยังมีชีวิต หนักหน่วงร้ายแรงกว่า เป็นการทำลายสัตย์ธรรมของมิตรนะ !  ปัจจุบันการคบเพื่อน ต้องถามตนเองว่า สามารถทำได้โดยไม่เปลี่ยนแปลงตราบจนตัวตายได้หรือไม่เล่า !

        สรุป   :  จากนี้ก็จะเห็นว่า การทำร้ายคนอื่น คู่กรณีไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างไร ตนเองเท่านั้นที่ตกต่ำเพราะถูกกรรมตอบสนอง !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป : คัมภีร์ ใส่ร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/02/2012, 00:37
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                          คัมภีร์   :  ใส่ร้ายล่อลวง

อธิบาย   :  ใช้วิธีการใส่ร้ายป้ายความผิด หลอกหลวง ปลอมแปลง  ปล่อยข่าวสารไร้สาระไม่มีหลักฐานเรียกว่าใส่ร้าย  มุสาป้ายสี  ให้ร้าย เรียกว่าป้ายความผิด  วางแผนเล่ห์เพทุบาย เรียกว่าหลอกลวง  แอบอ้างฉ้อฉลลวงโลก เรียกว่าปลอมแปลง  รูปแบบทั้งสี่รวมความก็คือ ไม่ซื่อสัตย์ !  ต้องรู้ว่า  "ผู้ซื่อสัตย์คือธรรมแห่งฟ้า  ส่วนความคิดที่ซื่อสัตย์นั้นเป็นธรรมแห่งมนุษย์"  แต่เมื่อละทิ้งความซื่อสัตย์แล้ว ใช้วิธีการใส่ร้าย  ป้ายความผิด  หลอกลวง  ปลอมแปลง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ละเมิดธรรมแห่งฟ้า  ขาดธรรมแห่งมนุษย์ หรือขาดมนุษยธรรม  จิตใจเช่นนี้แย่มาก  การกระทำแบบนี้อันตรายมาก หากเป็นคนแบบนี้ ก็เป็นคนที่มีบุญวาสนาต่ำต้อยที่สุด คนแบบนี้ชาติต่อไปต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ผีเปรตและผีนรก อยู่ในสามช่องทางไป เขาจะร่วงหล่นไปถึงไหนนั้น  คุณซุนถิงฉวน เมืองเอี่ยะโจว สมัยชิง เป็นคนที่ซื่อ ๆ เรียบง่าย และให้ความจริงใจกับคนอื่น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เพราะฉะนั้นฮ่องเต้ซื่อจูสมัยซิงก็มักจะยกย่องเขาว่า ซุนซื่อสัตย์ แต่ละครั้งเมื่อหน่วยงานไหนขาดแคลนคน ฮ่องเต้ก็มักพูดว่า "ก็ให้ซุนซื่อสัตย์ไปแทนก็แล้วกัน !"  เป็นเช่นนี้อยู่ถึง ๓ ครั้ง  ในที่สุดซุนซื่อสัตย์ก็ได้ตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี !  เพราะฉะนั้น ความเป็นคนซื่อสัตย์มีธรรมสูง ก็จะไม่ทำให้เป็นคนผิดหวัง ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป : คัมภีร์ โจมตีวง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/02/2012, 00:52
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                           คัมภีร์   :  โจมตีวงศ์ตระกูล

อธิบาย   :  ติเตียนวงศ์ตระกูลและญาติในเรื่องส่วนตัวหรือข้อเสีย ทังยังโจมตีให้เสียหาย  อันที่จิงคนในวงศ์ตระกูลหรือญาติ เราควรให้ความสนิทสนมถึงจะถูก !  ควรมีความรักใคร่จริงใจต่อพวกเขาจึงจะถูก หากตกทุกข์ได้ยากก็ควรร่วมกันค้ำชู ถ้าประสบกับภาวะขาดแคลน ก็ควรช่วยเหลือให้ทันการ ความไม่งามของครอบครัวต้องช่วยกันปกปปิด ถ้าได้รับการเยาะเย้ย ก็ให้ร่วมกันต่อต้าน แล้วทำไมจะต้องแบ่งเขาแบ่งเรามาแย่งชิงกันเล่า  แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังมาถือสา ตลอดยังช่วยกันปัดแข้งปัดขาระหว่างกัน  ถ้าหากมีโอกาสก็โจมตีตอบโต้ คำคติว่า  "ตัดกิ่งไม้ยังบาดเจ็บถึงแก่น ตักรากขากเท่ากับตัดชีพจรของต้นไม้ ! "  คำพูดนี้มีค่าควรแก่การสังวร

อธิบายเพิ่ม   :  ท่านอันเอาบำเหน็จที่อ๋องฉีประทานให้มาแบ่งปัน โดยเฉพาะบิดาซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของวงศ์ตระกูล ต่อไปก็เป็นมารดา ต่อจากนั้นจึงจะเป็นภรรยาและลูก  คนในตระกูล สุดท้ายก็ให้กับคนที่เกี่ยวดองที่ห่างออกไป นี่คือความรักของคนโบราณ ที่พูดว่า  "เอาสิ่งที่รักให้กับที่ไม่รัก !" ท่านอันถือว่าเป็นคนดีอันดับหนึ่ง  ที่มีต่อญาติวงศ์ตระกูล ที่ไม่มีเรื่องความรักความสัมพันธ์เกิดขึ้นเลย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป อันธพาลไม่การุณ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/02/2012, 03:42
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                                อันธพาลไม่การุณย์

อธิบาย  :  คนที่มีนิสัยอารมณ์แข็งกระด้างระเปิดเปิดปังนั้น การกระทำต่อบุคคลสิ่งของของเขา ก็ไม่อาจมีความอบอุ่นละมุน มีความเมตตากรุณาเพียงพอ ท่านขงจื้อกล่าวชมคนที่กล้าแข็งมีความอดทนว่า เพราะว่าเขามีอุดมการณ์แข็งแกร่งตรง  และเป็นผู้มีเหตุมีผล  ส่วนท่านเหลาจื้อที่สั่งสอนคนแข็งแกร่งว่าเพราะว่าเขาเป็นคนโกรธง่าย แพทย์จีนพูดว่าเป็นโรคอัมพาต  คือไม่การุณย์ เพราะว่าคนที่เป็นโรคนี้จะไม่รู้สึกเจ็บแค้น  คนที่ชอบโกรธง่าย เวลากระทำต่อคนอื่นก็จะไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดเป็นอย่างไร จึงมักเป็นคนมีวิสัยเพชฌฆาต คนทั่วไปเรียกคนพวกนี้ว่า ใจหินใจเหล็ก  คนแบบนี้จะมีความเมตตากรุณาได้อย่างไร แต่ผลสุดท้ายของการแข็งแกร่ง ไม่มีหรอกที่ไม่ถูกทำลายจนหัก ถ้าหากได้รับการสั่งสอนบ้างสักหลายครั้ง  ก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่ม ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของเขา ! 

อธิบายเพิ่ม  :  คนที่แข็งกล้าแต่โหดเหี้ยม มักไม่ได้ตายดี เหตุผลอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูด แม้พวกเขาตายแล้วก็ยังต้องตกนรก โดยไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงได้ผผุดได้เกิด เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นตัวอย่าง กับความโหดเหี้ยมป่าเถื่อนของเขา จึงควรรู้ตัวตื่นได้แล้ว !                 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป : วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ ป่าเถื่อนตามอา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/02/2012, 03:54
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป   

                             ป่าเถื่อนตามอารมณ์

อธิบาย  :  นิสัยที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อน  ทั้งยังชอบดันทุรังดื้อร้นคิดว่าตนเองถูกต้อง คนที่มีปัญญาทำงานก็จะรู้จักใช้คนอย่างไร คนที่ไม่มีปัญญาก็จะทำเสียเองทั้งหมด น่าจะรู้ว่าคนโง่เขลาที่ทำเองยังไม่พอ ทั้งยังชอบดื้อรั้นทุรังเอง แบบนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ! 

พทุธพจน์  :  คนที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนก็เหมือนม้าเลวที่ดุร้าย ซึ่งจะปราบให้เชื่องได้ยาก ถ้าหากเป็นคนโหดเหี้ยมป่าเถื่อนแล้ว ก็มักยึดถือในความคิดเห็นของตนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและไม่ยอมคน ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีเพื่อนดีเป็นกัลยาณมิตร  หรือมีความรู้อยากเข้าใกล้  ยิ่งหาคนที่ยอมบอกเขาถึงหลักการเป็นคนให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น คน ๆ หนึ่ง ที่ไปก่อเหตุวิบากกรรมเลวร้าย ที่สาหัสสากรรจ์เทียบเท่าเขาคงไม่มีอีกแล้ว !" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ถูกผิดไม่ถูกต้อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/02/2012, 03:06
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป

                        คัมภีร์  :  ถูกผิดไม่ถูกต้อง

อธิบาย  :  คนเลวทำชั่วกลับพูดว่าเขาทำถูก คนดีทำดีกลับพูดว่าเขาทำไม่ถูก การกำหนดความถูกผิดแบบนี้ ถือว่าไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง  บัณฑิตผู้มีคุณธรรมแท้จริงเป็นผู้มีปัญญาเพียงพอที่สามารถแยกแยอะดีชั่ว เข้าใจเรื่องถูกผิดได้อย่างถูกต้อง  เรื่องถูกผิดนี้ สำหรับบุคคลที่จะเกี่ยวพันเรื่องบุญบาปของแต่ละคน  หากเป็นระดับหมู่บ้านก็จะเกี่ยวพันเรื่องผลได้ผลเสียของหมู่บ้าน ถ้าเป็นระดับชาติก็จะเกี่ยวพันเรื่องความสงบและภัยอันตรายคุกคาม  เพราะฉะนั้น  เรื่องถูกผิดจะไม่ระมัดระวังไม่ได้  หากประมาทปล่อยให้เข้าใจถูกผิดไม่ถูกต้องแล้ว ก็เป็นเรื่องน่ากลัวอันตรายยิ่ง ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เข้าหาชั่วหันหลังดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/02/2012, 03:17
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป   

                        คัมภีร์ : เข้าหาชั่วหันหลังดี

อธิบาย  :  กับคนชั่วควรหลีกหลบให้ไกล  กลับกันมีใจเข้าหา กับคนดีควรเข้าใกล้ กลับกันมักหันหลังให้ ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่สมควรอย่างยิ่ง การมุ่งเข้าหาชั่ว และ หันหลังให้กับดี  เป็นการชักนำตัวให้ตกต่ำเสียชื่อ เพราะฉะนั้น  การหันหลังดีเข้าหาชั่ว ต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก 

อธิบายเพิ่ม   :  ท่านหลูพูดว่า  "สิ่งที่ควรรายงานก็ต้องรายงาน มิใช่เห็นแก่ตัวจึงไปรายงาน  สิ่งที่ควรคัดค้านก็ต้องคัดค้าน อย่างนี้จึงทำเพื่อสาธารณะ  เพื่อประชาชน  เดิมทีก็ไม่มีใครวางแผนเรื่องบุญวาสนาหรือภัยพิบัติ แต่บุญวาสนากับภัยพิบัติก็มาจากเหตุ นี่เป็นการตักเตือนคนที่ไม่ยอม
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : กดขี่เอาชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/02/2012, 03:31
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป   

                         คัมภีร์  :  กดขี่เอาชอบ

อธิบาย  :  พวกที่รับราชการ วางแผนการณ์บริหารราชการแผ่นดิน ด้วยวิธีรุนแรงกดขี่ประชาชน ด้วยความโลภหาประโยชน์เอาความดีความชอบ  ในความมืดของกลางคืน แสงเทียนมีความดีความชอบในการทำลายความมืดนั้น  น้ำมีความหนาแน่นผลักดันให้เรือลอยอยู่เหนือมันได้ มันมีความดีความชอบในการขนส่ง เมื่อมีน้ำก็มีสะพาน  ความดีความชอบสามารถปรากฏออกมาได้เอง  ตามจริงแล้วก็ไม่ต้องไปหาความดีความชอบเลย !  เพราะฉะนั้น  อะไรก็ตามที่ต้องไปแสวงหาความดีความชอบแล้วละก็  ถ้าเช่นนั้น นายพลกำเริบเหิมเกริม ปล่อยกองทหารออกไปปล้นสะดมภ์ พวกข้าราชการก็เก็บภาษีตามอำเภอใจ  ผู้พิพากษาก็เพิ่มโทษผู้ต้องหาให้หนักขึ้น  เหล่านี้เป็นการกระทำตามใจ โดยไม่มีการไตร่ตรองเลย  เช่นนี้เป็นการรีดนาทาเร้นประชาชน แม้จะได้ชื่อเสียง ความดีความชอบ หารายได้เข้ารัฐได้มาก ผลตอบแทนคือ ได้เลื่อนตำแหน่งเท่านั้นเอง  แต่ว่าจะได้เคราะห์ภัยตามมาเป็นการก่อวิบากกรรม เนื่องจากต้องขูดรีดประชาชน  ทำให้ประชาชนเดือดร้อน  ภัยพิบัติจะไปตกอยู่กับใคร ถ้าไม่ใช่ข้าราชการที่ลุแก่อำนาจออกคำสั่งนั้น 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภัร์ : ประจบน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/02/2012, 02:13
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ประจบนายพอใจ

อธิบาย   :  ประจบสอพลอเจ้านายเพื่อให้คล้อยตามใจ ผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงกว่า ในขณะที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ถ้ามีผู้ตักเตือนก็ยังมีโอกาสเหนี่ยวรั้งกลับมาได้ แต่ในขณะเดียวกันหากมีคนคอยประจบเห็นดีเห็นงามด้วย เขาก็จะตัดสินใจแน่วแน่ยิ่งขึ้น จนถึงขั้นไม่อาจเหนี่ยวรั้งได้อีกแล้ว อย่างนี้ ไม่ใช่แต่ข้าราชบริพารกับกษัตริย์เท่านั้น  ข้าราชการชั้นผู้น้อยประจบเจ้านายที่ปกครองตน ตลอดจนบ่าวประจบเจ้านายเป็นต้น

        ไม่ว่าเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชา การงานใด ๆ ควรมีหลักเหตุผลนำไปปฏิบัติ ไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนบุคคล ทำให้คนมีโอกาสเลยถือโอกาส มาประจบประแจงตนเอง ผู้ใต้บังคับบัญชา  ทำไมต้องแสวงหาชื่อเสียงที่ไม่มีเหตุผล หวังเงินทองที่ไม่ถูกต้องเช่นนั้นเล่า  ควรรู้ว่าการประจบประแจงคล้อยตามให้นายพอใจ  การคุกเข่าประจบนาย  เป็นเรื่องป่วยการ  เป็นการสูญเสียมโนธรรมและคุณสมบัติของตนไปเปล่า ๆ และเป็นการผูกเวรกรรมกับผู้อื่นไม่รู้จักจบสิ้น
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : รับคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/02/2012, 02:25
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภัร์  :  รับคุณทำไม่รู้

อธิบาย   :  ได้รับบุญคุณจากผู้อื่น เพีบงไม่รู้จักขอบคุณตอบแทน กลับลืมคุณเนรคุณอีก  คนสมัยโบราณ เพียงได้รับคุณข้าวมื้อหนึ่งที่เขาบริจาคก็ต้องตอบแทนคุณ ถึงแม้จะไม่มีปัญญาตอบแทน ก็จะจดจำไว้ในใจ คิดจดจำไม่กล้าลืมคุณ ในคัมภีร์จือตู้ว่า  "ได้รับคุณจากผู้อื่น หากไม่รู้จักขอบคุณตอบแทนคนแบบนี้เหมือนสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน"  คำพูดประโยคนี้กินใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในบรรดาบุญคุณที่เรียกว่า มหาบุญคุณมี  ๔ ชนิด  หนึ่งคือ ฟ้าดิน  สองคือพ่อแม่  สามคือประเทศชาติ  สี่คืออาจารย์   หากเกิดมาแล้วผ่านไปโดยไม่รู้ไม่ชี้  บุญคุณใหญ่  ๔ อย่างคงไม่ได้ตอบแทน แล้วกับบุญคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ตอบแทนแล้ว ก็กลับรู้สึกยิ้มย่องพอใจ  อย่างนี้เรียกว่า ทิ้งต้น จับปลาย  มิใช่เป็นการตอบแทนคุณ 

อธิบายเพิ่ม  :  ภาษิตว่า  "สัตว์ยังรู้ตอบแทนคุณ"  เราจะเห็นสัตว์หลายชนิดตอบแทนคุณในนิทานต่าง ๆ แล้วทำไมเป็นคนแท้ ๆ กลับไม่รู้จักคุณ แถมยังเนรคุณอีกด้วย  เหมือนเสือบ่ออุ้ยทีต้องกลายเป็นวัวไงเล่า ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : บ่นแค้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/02/2012, 02:38
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  บ่นแค้นไม่หยุด

อธิบาย  :  คนที่มีความแค้นเคืองไม่คิดจะเอาคุณธรรมตอบแทนความแค้น กลับเก็บความแค้นไว้ในใจและหวังจะแก้แค้น และบ่นเรื่อย ๆ ไม่ลืม  ไม่ยอมหยุด  อย่างแค้นใหญ่ ๆ ที่ฆ่าพ่อแม่  การพรากเลืดอเนื้อเชื้อไข  สัตบุรุษความแค้นแบบนี้ มันมีวิถีทางตอบสนองของมันโดยตรงอยู่แล้ว ไม่ต้องไปจดจำ แต่ความแค้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแต่ละบุคคล ก็สามารถใช้เหตุผลมาระบายทิ้งไป สามารถใช้ความสัมพันธ์มาอภัยกันได้  ความแค้นเล็ก ๆ เช่นนี้ ก็จะแก้ไขละลายหมดไปได้  ถ้าหากยังบ่นอุบอิบไม่ลืม และคิดแก้แค้นแล้วก็ไม่มีวันได้จบสิ้น

คำคม  :  คุณอูเที่ยเจียวกล่าวว่า  "ผู้อื่นใช้อำนาจอิทธิพลมาที่ฉัน ฉันก็เปิดใจกว้าง อดทนรองรับอันธพาลนั้น  แบบนี้ก็จะขจัดปัดกวาดเมฆดำเป็นชั้น ๆ ในใจ ดับความคิดแก้แค้นที่เป็นดวงไฟไปได้"  เพราะฉะนั้น สัตบุรุษจะไม่บ่นถึงความเลวร้ายเก่า ๆ เลย !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ดูแคลนประชาชน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/02/2012, 05:07
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์  :  ดูแคลนประชาชน

อธิบาย   :  เมื่อคนชั่วรับราชการ ไม่เพียงไม่รักชาติรักประชาชน  แล้วยังกล้าทำตามอำเภอใจ ทั้งยังข่มเหงดูแคลนประชาชนด้วย  ฮ่องเต้ถังไท้จงตรัสว่า "ประชาชนเป็นฐานรากของประเทศ  คุณธรรมเป็นรากฐานของคน  หากคุณธรรมของคน ๆ หนึ่งสูงส่งก็จะเป็นที่กล่าวขานของคนทั่วไป ถ้าประชาชนสา
มารถอยู่เย็นเป็นสุข ประเทศชาติก็มีความแข็งแรงปลอดภัย"  เพราะฉะนั้น หากกษัตริย์ราชามีคุณธรรมสูง ประชาชนก็จะเคารพรัก ก็เหมือนลูกที่รักพ่อแม่ ! เรามองย้อนอดีตจนถึงปัจจุบัน มีอริยกษัตริย์ล้วนกรุณาต่อประชาชน เห็นประชาชนเหมือนผู้บาดเจ็บ รักและดูแลประชาชนเหมือนดูแลลูก ๆ นับประสาอะไรที่ข้าราชการช่วยกษัตริย์บริหารราชการ ควรที่จะเข้าใจถึงหลักการอันนี้นะ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิธีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ก่อกวนก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/02/2012, 05:19
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ก่อกวนการปกครอง

อธิบาย   :  เมื่อคนชั่วรับราชการ ไม่เพียงไม่รักประชาชน ยังก่อกวนการบริหาร ทำให้ระเบียบสังคมเสื่อมทรามเสียหาย  ประเทศชาติควรบ่มเพาะสันติภาพ เพื่อธำรงความสุขของปวงชาชน  ไม่ใช่จะมาเปลี่ยนแปลงสร้างกฏใหม่ตามใจชอบ ถึงแม้จะเป็นการสร้างสรรเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ดีขึ้น ก็ควรระมัดระวังอย่างรอบคอบ  ถ้าเป็นความเห็นส่วนตัว คิดจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงง่าย ๆ  ถ้าหากการออกคำสั่งอย่างส่งเดชง่าย ๆ อย่างนี้ก็จะก่อความวุ่นวายเสียหาย ระเบียบที่สมบูรณ์ที่บรรพชนสร้างสมมาแล้ว และข้าราชการทุกระดับชั้นก็ถือปฏิบัติ และใช้มาเป็นเวลานานแล้ว ประชาชนก็ให้ความคุ้นเคยแล้ว  รู้สึกสะดวกสบายดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องเปลี่ยนของเก่าที่มีอยู่เดิม มิเป็นการก่อกวนการปกครองไปเปล่า ๆ หรอกหรือ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน วิถ๊สร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : รางวัลค
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/02/2012, 12:38
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รางวัลคนชั่ว

อธิบาย  :  หากไม่สามารถให้รางวัลคนดี ลงโทษคนชั่ว เพื่อความกระจ่างชัดในกากรเตือนคนให้มุ่งดีและละชั่วแล้ว กลับให้รางวัลคนชั่วที่ใช้ธรรม การให้รางวัลก็เพื่อจะตอบแทนความเหนื่อยยากแก่ผู้มีคุณธรรม  "รางวัล"  จึงเป็นระบอบที่โน้มน้าวใจคนอย่างสำคัญ สิ่งที่ไม่ควรให้รางวัลก็ให้รางวัล จึงเรียกว่าไม่ยุติธรรม  เป็นการละเมิลหลักทำลายกฏกติกา เป็นการเกื้อหนุนให้กระทำชั่ว เกิดความลำเอียงเห็นแก่ตัว  เป็นการเอาคนชั่วมาเปลี่ยนคนดี การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดฟ้า ให้พิโรธ เพราะฉะนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบให้รางวัล จะไม่ระมัดระวังหน่อยหรือ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/02/2012, 12:58
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์

อธิบาย  :  การลงโทษผู้ไม่มีความผิด  ทำให้เขาถูกปรักปรำ การลงโทษทัณฑ์มีเป้าหมายเพื่อสั่งสอนคนชั่ว ให้เข็ดและหลาบจำ อริยเจ้าจำใจสร้างกฏมาลงโทษ เพราะฉะนั้น การลงทัณฑ์จึงเป็นเรื่องไม่มงคล และก็ไม่ใช่เรื่องดี ปริมาณการลงโทษและระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับจำนวนโทษของคนผิด ก็ยังต้องมีความเหมาะสมและยังต้องใช้ความเมตตาสงสารพวกเขาด้วย เป็นเพราะว่าไม่เข้าใจเหตุผลจึงล่วงละเมิดกฏหมาย อย่าเป็นเพราะหลุดคดีแล้วก็ดีใจ อย่างนี้เกรงว่าอาจเป็นรูปคดีผิดพลาดก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น คนสมัยโบราณที่วางกฏเกณฑ์การลงทัณฑ์ จะระมัดระวังอย่างมาก แม้คดีก็จะตรวจสอบให้ชัดเจน ถ้าหากการลงทัณฑ์ไม่เหมาะสม ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับการทำร้าย อย่างนี้ไม่เพียงผู้พิจารณาคดีจะไม่ยุติธรรม มีบกพร่อง ทั้งยังละเมิดถึงฟ้าเบื้องบน ที่มีคุณธรรมให้กำเนิดเกิดมา หากเป็นการฆ่าคนตาย กฏหมายก็กำหนดไว้ชัดเจน ถ้าอันนี้เป็นเพราะตนเองสับเพร่าผิดพลาดไปลงโทษผู้บริสุทธิ์เข้า การประหารก็คงไม่ใช่มีเพียงคนเดียว อนาคตผู้รับกรรมตอบสนองก็จะมีแต่ข้าเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้น การฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ก็ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรจึงจะมีความยุติธรรมได้ !  เฮ้อ !  วิบากกรรมอันนี้ แม้จะนับว่าเป็นปกติที่เป็นผู้พิพากษาจะตรงและโปร่งใส แต่ก็หลีกไม่พ้นข้อสงสัยในรูปคดีมากมาย แม้จะมีหลักฐานที่คล้าย ๆ กัน และเอาความเห็นตนเองมากำหนดโทษอย่างลำเอียงหรือยึดถือ ไม่ตรวจตราให้ละเอียดและวางใจเป็นกลาง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อาจนำมาซึ่งความแค้น และเสียใจในภายหลังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตาย วิบากกรรมก็จะตอบสนองติดตามไม่ละเว้น  นับประสาอะไรกับขุนนางที่ไม่ใส่ใจในการตรวจสอบรูปคดี ผลตอบสนองจะยิ่งหนักหน่วงไม่ละเว้น เมื่อคิดมาถึงจุดนี้แล้ว จะไม่หกลัวบ้างหรือ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ฆ่าคนชิงทรัพย์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/02/2012, 13:38
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ฆ่าคนชิงทรัพย์

อธิบาย  :  ตั้งใจฆ่าคนทำลายเขา เพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติของเขา  ผู้ที่ฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ การกระทำบาปเช่นนี้ ไม่ใช่ต้องเป็นโจรเสมอไป เช่นข้าราชการที่ฉ้อราฏร์บังหลวง มีความโลภที่จะเอาทรัพย์ในส่วนที่ไม่ใช่เป็นของตน จึงใช้วิธีลงโทษทัณฑ์ผู้ที่ถูกต้องขัง ถูกฆ่าตายในคุก  ยังพวกเศรษฐีที่โลภไม่รู้จักเบื่อ คนที่เป็นหนี้เขา  เมื่อถึงคราวตกอยู่ในภาวะขัดสนลำบาก พวกเศรษฐีเหล่านี้ก็มีมโนธรรมมีดบอด บังคับให้พวกเขาชำระเงินตามกำหนด ทั้งยังเพิ่มดอกเบี้ยหนักขึ้น คนใจเหี้ยมมืออำมหิตพวกนี้ ด้วยความโลกที่ต้องการเอาทรัพย์ของผู้อื่น จึงใช้โอกาสที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายแย่งชิงเอามา และก็ไม่สนใจชีวิตคนอื่น ว่าจะเป็นหรือตาย นายแพทย์ที่โลภเงิน ไม่ใส่ใจชีวิตของผู้ป่วย รอเวลาที่อาการป่วยตกอยู่ในภาวะคับขัน ก็จะเรียกร้องขูดรีดค่ารักษา คนเหล่านี้ก็เพราะความโลภทรัพย์ จึงกระตุ้นให้เกิดกลไกการฆ่าขึ้น จึงลงมือกระทำ  อย่างไรก็ตาม คนที่ฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์เหล่านี้ ไม่มีใครสักคนที่จะถูกผีร้ายตามมาทวงเอาชีวิต แล้วเงินทองที่พวกเขาแย่งชิงมา ในที่สุดก็ละลายหายไป
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ใช้เล่ห์แย่งตำแหน่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/02/2012, 09:43
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ใช้เล่ห์แย่งตำแหน่ง

อธิบาย  :  ทำร้ายคนอื่นเพื่อแย่งชิงตำแหน่งของเขา  ในโลกนี้ตำแหน่งหน้าที่  ถึงแม้จะมีกำหนดแล้วในดวงชะตา แต่ถ้าขยันในการทำดี บำเพ็ญกุศลละเว้นการทำชั่ว  โอกาสการเลื่อนตำแหน่งก็ยิ่งสูงขึ้น  โดยปกติคนทั่วไปเพียงแต่ยอมทำกุศลให้มาก ก็มีโอกาสมีตำแหน่งในราชการอยู่แล้ว  แต่ถ้าคิดแต่หวังเลื่อนตำแหน่ง โดยวิธีใช้เล่ห์ทำลายเขา เพื่อแย่งตำแหน่งเขา แต่กฏแห่งกรรมตอบสนอง หลักธรรมชัดเจน  คนที่ทำร้ายผู้อื่น ในที่สุดแล้วก็ถูกผู้อื่นทำร้ายเอา  แย่งตำแหน่งเขาในที่สุด ตำแหน่งของตนก็จะถูกผู้อื่นแย่งชิงไป การตอบสนองนั้นเร็วมาก และสามารถเห็นได้ในปัจจุบัน !

คติ  :  คนสมัยก่อนพูดว่า  "ถึงแม้ถวายตนรับใช้เจ้าเหนือหัว ดังนั้น ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของตนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงควรคิดเสมอว่า ทำเพื่อเจ้าเหนือหัว ทำไมยังมัวห่วงชีวิตตนอีกเล่า ?. ขุนนางแบบนี้ ทำไมไม่จงรักภักดีต่อประเทศชาตินะ ?"  คำพูดของคนสมัยก่อนแบบนี้ ต้องถือเป็นวลีทองของคนเหล่านี้ดี ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/02/2012, 10:14
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้

อธิบาย  :  ถ้าโจรผู้ร้ายยอมแพ้แต่กลับฆ่าทิ้งพวกเขาเสีย เป็นการละเมิดหลักธรรมฟ้าอย่างยิ่ง  การสงครามเป็นเรื่องอัปมงคลและอันตรายที่สุด ปราชญ์จำยอมต้องใช้ทหารออกศึก เพราะว่าในสมัยโบราณเมื่อมีสงครามศัตรูก็จะถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก จึงทำให้รู้สึกเศร้าสลดกับพวกเขา  สงสารพวกเขาที่ต้องตายในสงคราม ฝ่ายที่ชนะสงครามก็อาจช่วยพิธีศพให้ทหารที่ตายไป กับศัตรูที่แพ้สงคราม ก็ควรที่จะให้ความสงสาร ปลอบประโลมตักเตือนพวกเขา  เมื่อศัตรูยอมแพ้แล้ว กลับเอาพวกเขาไปฆ่าทิ้ง จิตใจเช่นนี้ช่างโหดเหี้ยมเหลือทน  เป็นการสร้างวิบากกรรมอย่างมาก เพราะฉะนั้น  การได้รับกรรมตอบสนองจึงมากมายกว่านี้อีกมาก  คุณหยวนโม่วอิ๋ว ในสมัยหมิงกล่าวว่า  "ผู้มีจิตใจเมตตายิ่งก็จะไม่สามารถนำทหารไปออกศึก เป็นขุนพลไม่ได้ !  หรือที่พูดกันว่าถ้าหากเป็นขุนพลก็จะตายลูกเดียวอย่างนั้นหรือ ?.  ที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น ถ้าหากขุนพลสามารถช่วยเหลือราษฏร ปราบจลาจลให้สงบ ทำให้ประเทศชาติอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าเช่นนี้ การเป็นขุนนพลก็มีทางรอดอยู่ได้ เป็นเพราะว่าต้องฉุดช่วยมวลมนุษย์ จึงจำยอมต้องมีการฆ่าฟัน เช่นนี้บุญคุณไหนจะยิ่งใหญ่เท่าขุนพลเป็นไม่มี  ทำไมหรือ ?. เพราะได้อุทิศคนส่วนน้อย แต่สามารถช่วยชีวิตคนได้เป็นเรือนพันเรือนหมื่น  ถ้าเทียบกับการทำความดีปกติก็มีที่ไม่เหมือนแน่นอน  ถ้าหากเป็นการทำเพื่อความสำเร็จของตนเองให้ตนมีเกียรติยศ แล้วใช้มาตรการมาเข่นฆ่าทำร้ายมวลชน บาปกรรมก็จะมากมายยิ่งกว่าขุนพลอีก ทำไมหรือ ?.  เพราะเมื่อรบแพ้คนใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าไปมาก ถ้าหากรบชนะก็ฆ่าศัตรูไปมาก การรบถ้าวินัยไม่เคร่งครัด ก็จะเที่ยวเข่นฆ่าประชาชนที่ไม่มีความผิด เหล่านี้เป็นหน้าที่ของขุนพล เพราะฉะนั้น การส่งขุนพลไปจะไม่ระมัดระวังไม่ได้ และทหารใต้บังคับบัญชาของขุนพลก็ยิ่งจะไม่ระมัดระวังไม่ได้เลย ! คนโบราณว่า "สามชั่วโตรเป็นขุนพล ชาวพรตจะหลีกเลี่ยง" 

        อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบฆ่าฟันเป็นเรื่องที่อาจมีขึ้น แต่เราจะวางใจใช้ได้หรือ ?. เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวต้องใช้ทหาร ก็ควรเคารพ ๓ ประการ ซึ่งไม่สามารถจะละเลยได้

ข้อที่หนึ่ง   ต้องกลัวว่า ไม่มีเรื่อง แล้วเกิดเรื่อง การอุทิศชีวิตคนจำนวนทหารเป็นร้อยเป็นพัน เพื่อนำมาบำเหน็จคน ๆ หนึ่งให้เป็นเจ้าเป็นจอมพล
ข้อที่สอง   ต้องกลัวเอาความรุนแรงทำให้ยิ่งรุนแรง ทำให้ฆ่าผู้คนไปจำนวนมาก เพื่อความดีความชอบแล้วตัดหัวคนไปมาก
ข้อที่สาม   ต้องกลัวว่า ทหารทั้งสองฝ่ายต้องรบกันด้วยความลำบากทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเรา ต้องเข่นฆ่าล้มตายเป็นจำนวนมาก คนที่รับหน้าที่ทำสงครามก็อาจพูดว่า "ฆ่าคนแล้วแต่ข้า  แบบนี้ถึงจะถึงเป้าหมายของอำนาจ !"  ควรจะรู้ว่าวิถีแห่งขุนพลที่สำคัญต้องมีวินัยเคร่งครัด ห้ามทหารฆ่าส่งเดช ถ้ามีวินัยเคร่งครัด ทหารก็ไม่ถูกใส่ร้าย ทั้งยังได้ผลงาน  นี่คือวิธีรอดที่เป็นเหตุเป็นผลของการดำเนินด้วยการฆ่าฟัน !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ขับคนดีไล่ปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/02/2012, 02:14
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ขับคนดีไล่ปราชญ์

อธิบาย  :  การติเตียนกล่าวโทษข้าราชการที่ดี  ขจัดผู้มีความรู้เพื่อให้เขาพ้นจากตำแหน่ง หรือถูกย้ายไปที่ทุรกันดาร เป็นการขับคนดีไล่ปราชญ์  นักปราชญ์บัณฑิตถือเป็นบุคลากรของประเทศชาติ ควรที่จะรู้จักใช้พวกเขาให้ถูกต้อง  ในคณะรัฐบาลก็จะมีผู้มีความสามารถหลากหลาย  ต่างชาติล่วงรู้ก็จะให้ความเคารพนับถือ ไม่กล้าที่จะเอารัดเอาเปรียบ  อย่าเป็นเพราะอิจฉาในความรู้ความสามารถของเขา หรือเป็นผู้ที่ไม่ลงรอยกับตนก็คิดหาวิธีขจัดพวกเขาให้พ้นตำแหน่งหน้าที่ หรือไม่ก็กล่าวโทษแล้วโยกย้ายพวกเขาไปในที่ไกล การทำร้ายชนิดนี้ เป็นผู้ทำลายประเทศชาติ เป็นผู้ก่อวิบากกรรมน่ากลัวจริง ๆ !

        ควรรู้ว่า ต้องมีผู้ชำนาญม้าเสียก่อน ภายหลังจึงจะมีม้าดี  ม้าดีมีบ่อยแต่ผู้ชำนาญม้ามีไม่มาก การที่ได้ผู้สามารถก็เหตุผลเดียวกัน  ถ้ามีผู้อำนาจปกครองประเทศเหมือนผู้ชำนาญม้า รู้จักสรรหาคนมีความรู้เอามาทำงาน  เช่นผู้มีคุณธรรมสูง มีใจกว้าง ก็ให้เขารับตำแหน่งมหาอำมาตย์ คนที่ซื่อสัตย์สุจริตก็ให้เขารับผิดชอบเรื่องการคลัง คนที่รักประชาชนก็ให้เขาไปเป็นผู้ว่า เป็นนายอำเภอ  คือรู้จักใช้คนให้ถูกงาน คนดีมีความสามารถก็ไม่เปล่าประโยชน์ อย่างนี้ประเทศชาติเจริญเป็นแน่แท้ ! 

        ในสมัยหมิง คุณหยวนโม่วอิ๋วกล่าวว่า  "ผู้กล่าวโทษคนดี ขับไล่ปราชญ์นั้น กับผู้โอบอุ้มคนดีนั้น อันที่จริงก็แตกต่างกันไม่ไกล แต่เป็นเพราะว่าถูกความเห็นของฉัน กระทบเอา สมมุติว่า "เมื่อได้ยินกิติศัพท์ของปราชญ์แล้วรู้สึกชื่นชมเขา เมื่อเขามาอยู่ต่อหน้าแล้วมีเรื่องบางอย่างที่ทนเขาไม่ได้ เมื่อสั่งสมนาน ๆ เข้าก็จะกลายเป็นความแค้น ดังนั้น การโอบอุ้มปราชญ์ที่อยู่กับตัวเรานั้นยากกว่า และการโอบอุ้มในเวลาช่วงสั้น ๆ ง่ายกว่าการโอบอุ้มในช่วงเวลายาว ๆ นี่เป็นเพราะอะไรหรือ ?.  เป็นเพราะว่าอารมณ์ระหว่างเขากับเราที่กระทบกัน  ความสามารถระหว่างเขากับเราที่เปรียบเทียบกัน  ชื่อเสียงระหว่างเขากับเราที่กล่าวตำหนิกัน เป็นอิทธิพลที่ก่อให้เกิดการโจมตีซึ่งกันและกัน และเหล่าปราชญ์ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติตัวระดับใจเสมอภาค  และภาพลักษณ์ไม่มีตัวฉันได้  เพราะฉะนั้น เมื่อการคบหากันระหว่างเขากับเรานาน ๆ ไปก็ทำให้เห็นจุกบกพร่องของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น เมื่อก่อนที่เคยชื่นชมนิยมเขา มาบัดนี้กลายเป็นว่าเคารพยกย่องผิดคนไป ปัจจุบันที่อิจฉาริษยาคนดี กลับทำให้รู้สึกว่าในใจตนเองไม่มีความคลาดเคลื่อน  ที่จริงก็เป็นที่จิตใจของเราไม่กว้างที่จะยอมรับปราชญ์คนดีได้ต่างหากเล่า !  เพราะฉะนั้น การพบปะกันฉันบัณฑิต สุดท้ายกลับกลายเป็นศัตรู  ก็เป็นสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นยามปกติควรฝึกฝนให้กดข่มอดกลั้นไม่หวังชื่อเสียง  ไม่ยึดติดในรูปลักษณ์  และทำเพื่อประชาชน  ต่อการกล่าวหาทำลายหรือยกย่อง ก็ไม่เก็บไว้ในใจ เช่นนี้ก็สามารถสร้างบุญวาสนาให้กับลูกหลานได้ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : รังแกกำพร้าข่มเหงหม้าย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/02/2012, 02:35
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รังแกกำพร้า ข่มเหงหม้าย

อธิบาย  :  รังแกลูกกำพร้ากดดันบังคับแม่หม้าย ในบทก่อนหน้า (เล่ม ๑)  มีคำว่า สงสารกำพร้าเวทนาหญิงหม้าย ท่านไท่ชั่งก็กล่วครั้งหนึ่งมาแล้ว มาถึงตอนนี้ก็กล่าวถึง "รังแกกำพร้าข่มเหงหญิงหม้าย"  จึงเป็นการกล่าวย้ำเตือนอย่างหนักแน่นว่า เพราะว่าลูกกำพร้ากับหญิงหม้ายเป็นคนที่ไร้วาสนาของชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้นฟ้าดินจึงเพ่งมองหนัก ทำอย่างไรจะให้โอกาสพวกเขาอย่าถูกข่มเหง  ถูกทำร้าย  ตลอดจนถูกแย่งชิงเอาทรัพย์ ของพวกเขาไป หรือใช้วิธีหลอกลวงส่งพวกเขาไปถูกใช้งาน หรือใช้อิทธิพลกดดันบังคับลูกกำพร้าหญิงหม้ายให้พลัดที่อยู่อาศัย  ถูกปรักปรำจนไม่มีทางต่อสู้ !  เรายังคงไม่พูดถึงผีถึงเจ้าที่ตรวจตราและการตอบสนอง ที่ไม่คลาดเคลื่อน  แต่ให้คิดคำนึงถึงว่า ลูกกำพร้าก็เป็นลูกของชาวบ้าน แล้วเอาลูกของตน ภรรยาของตนไปแทนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา  ก็จะทำให้เราไม่คิดรังแกข่มเหง ทำร้ายเขา อันเป็นการละเมิดหลักธรรมของฟ้าได้

คติ  :  เมื่อเห็นเคราะห์กรรมที่ตายทั้งบ้านแล้ว พวกที่กล้ารังแกกำพร้าข่มเหงหญิงหม้าย ก็ควรที่จะสำนึกผิดแก้ไขเสีย !  ตลอดจนพี่น้องร่วมตระกูล  ที่กล้ารังแกกำพร้าหญิงหม้าย ก็คือคนที่ไม่ใช่คน ที่คิดทำสิ่งที่ละเมิดธรรมสัมพันธ์ สิ่งที่ได้รับคือโศกนาฏกรรมที่ตอบสนอง ซึ่งร้ายแรงยิ่งนัก !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ละกฏรับสินบน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/02/2012, 05:08
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  ละกฏรับสินบน

อธิบาย  :  ข้าราชการที่กล้าละทิ้งกฏหมาย และรับสินบนจากชาวบ้าน เริ่มจาก  "ละทิ้งกฏรับสินบน"  มาถึง  "เห็นประหารเพิ่มโทสะ"  เป็นการพูดถึงข้าราชการสอบสวนคดี รวมถึงฝ่ายเอกสารธุรการด้วย มิใช่จะเป็นการบ่งชี้แต่ฝ่ายตุลาการเพียงอย่างเดียว หรือฝ่ายกฏหมายเท่านั้น  ท่านไท่ชั่งกล่าวว่า   "คดตรงเบาหนัก"  ต้องเริ่มจากละกฏรับสินบน เพราะว่า  "คดตรงเบาหนัก"  มันต้องอาศัยวิธีการทางกฏหมาย แต่ที่จุดเพียงมุ่งหมายทางเดียวคือคิดอยากได้เงิน เพราะฉะนั้นจึงรับเอาตามอำเภอใจ  คนให้สินบนก็มีข้อเงื่อนไขร้องขอ ที่ผิดข้อกำหนดของกฏหมาย ถ้าเป็นฝ่ายตุลาการ ที่ละทิ้งกฏหมายไม่ทำตามระเบียบแล้วอาศัยความดีชั่วของตนเอง มาตัดสินคดีนักโทษถึงความเป็นความตาย เช่นนี้ประชาชนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หรือว่าไม่รู้ที่ทำด้วย พวกเขาคงคิดไม่ถึงว่าการกระทำแบบนี้ อาจทำให้ฟ้าโกรธ คนกล่าวโทษแล้วตนเองต้องได้พบกับภัยพิบัติที่แปลกประหลาด

        คุณหยวนโม่วอิ๋วกล่าวว่า  "พวกที่สอบเป็นขุนนางได้ ก็คือพวกที่อ่านจนขึ้นใจ ถึงกลอนจริยาและดนตรีแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าควรต้องสุจริตโปร่งใส ! หรืออาจเป็นเพราะเห็นจนเคยชินถึงวัฒนธรรมของการแสวงหาตำแหน่ง ขอให้คนช่วยสนับสนุน ถ้าไม่ใช่ของขวัญหรือไม่มีเงิน  มันก็จะไม่ลื่นไหล ตอนเริ่มต้นจะคอรัปชั่นใหม่ ๆ ก็ยังยับยั้งชั่งใจบ้าง ใจยังรู้จักอับอายไม่สบายใจ พอนานวันเข้ากลายเป็นความเคยชินกลับตัวยาก ยิ่งโลภยิ่งร้ายแรง ตอนนี้ทั้งสกปรกและเหม็นคาวอย่างยิ่ง แต่ใจคนโลภไมไ่เบื่อ ได้ร้อยตำลึงก็คิดว่าถ้าได้พันตำลึงก็จะดีกว่า การได้พันตำลึงก็คิดอยากได้หมื่นตำลึงก็จะยอดกว่า ยิ่งร้ายแรงก็คืออิทธิพลและอำนาจ  เมื่อได้แล้วเงินทองก็เต็มบ้าน เงินทองได้มากแล้วก็ว่าเท่าเก่าไปไม่พอใจ อยากได้อยู่เรื่อยไป คนข้าง ๆ เขาก็หัวเราะเอาเพราะเห็นว่าเขากำลังหลงไม่รู้ตัว ที่จริงเขารักเงินมาก จนกลายเป็นเสพติด

        พวกคอรัปชั่นนี้ ส่วนใหญ่ก็อยากให้ลูกหลานร่ำรวยเสพสุขได้นาน แต่หารู้ไม่ว่าลูกหลานกลับโง่เขลาของบรรดาเศรษฐีด้วยสาเหตุอันนี้ ซึ่งต้องพบกับภัยพิบัติที่ดับสลายกลายเป็นจุดจบ แต่ลูกหลานครอบครัวสุจริตยากจน  กลับมีความเจริญร่ำรวยขึ้น  ต้องรู้ไว้ว่า บุญวาสนามีกำหนด ถ้าหากได้เงินที่สกปรกไม่ถูกต้อง ก็เป็นการสั่งสมวิบากกรรมให้ลูกหลาน ต้องชดใช้ อย่างนี้ไม่ใช่บุญวาสนาแล้ว ตลอดจนผู้ได้เป็นข้าราชการ ก็จะสร้างวัดวาอารามช่วยเหลือวงศ์ตระกูล  ช่วยเหลือญาติพี่น้อง มันเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อใจรีบร้อนอยากทำเรื่องดีเหล่านี้ให้สำเร็จจริง ๆ เลยยิ่งต้องคอรัปชั่นยิ่งมากจึงยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น อย่างนี้สู้การมีคุณธรรมทำความดีก็เพียงพอที่จะได้มงคล ทำราชการไปนานแล้วก็สามารถร่ำรวยได้ บุญวาสนาตอบแทนเช่นนี้ จะมิเป็นการยืนยาวกว่าหรือ !  ถ้าเป็นข้าราชการที่ชอบดื่มเหล้า  ชอบเที่ยวผู้หญิง  ชอบฆ่าสัตว์  ล้วนเกิดจากความโลภเป็นเหตุ  ความโลภก็คือการปล่อยตัวตามใจตัวจนกลายเป็นนิสัย  พอเคยตัวนานเข้า ใจก็เปลี่ยนทำให้ทิ้งตัวทั้งชีวิต เอาแต่โลภเงินดีกว่า เขาก็จะไม่สนใจดูแลเงินทองที่ได้มา สุดท้ายมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์เล่า !  คนเป็นข้าราชการใหม่ ๆ ไม่กล้าคอรัปชั่น พอพรรษามากเข้าก็ยับยั้งใจไม่อยู่ ปล่อยเลยตามเลย เขาเอาสถานที่ราชการเป็นบ้านตนเอง เอาเงินทองเป็นชีวิตตนเอง !  คนแบบนี้เมื่อเทียบกับคนบางคนที่พอเป็นข้าราชการทันที ก็เร่งรีบคอรัปชั่น หาคอรัปชั่นก้อนโต ก็ยังดีกว่าแยะ ! 

        อีกอันหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าข้าราชการซึ่งคิดว่าตนเองโปร่งใส ไม่คอรัปชั่น รู้แต่รักษาตนรอดเป็นยอดดีก็เพียงพอแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาจะคอรัปชั่นก็ไม่ใส่ใจเคร่งครัด เพราะคนเป็นหัวหน้ามีหูตาจำกัด ทุกอย่างต้องอาศัยผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชารับสินบนแล้วตนเองไม่ใส่ใจ โทษหนักจะตกอยู่กับหัวหน้าข้าราชการนั่นเอง ! 

วิจารณ์  :  โฮวเจี้ยนรับสินบนแค่ ๖๐ ตำลึง พระเจ้าก็จะลดตำแหน่งที่เขาควรจะได้เป็นถึงเสนาบดีเลย  การกระทำของโฮวเจี้ยน ไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่กันแน่โดยที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่เอาเรื่อง  ภัยเคราะห์หรือโชควาสนาไปแจ้งให้คนทำงานรู้ชัด ๆ ด้วย !  ด้วยเหตุนี้คนที่รับสินบนโดยไม่รู้ว่าได้ถูกลดบุญวาสนาไปแล้วมีมากมายเท่าไร !  ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง นายเหว่ยเจา มีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษา เป็นเพราะรับสินบนมา ๔๐๐ ตำลึง จึงจงใจตัดสินประหารนักโทษและปล่อยตัวคนทำผิดไป คนที่ตายก็โกรธแค้นที่ถูกปรักปรำ พระเจ้าจึงลบบุญวาสนาและอายุขัยของเหว่ยเจา ผ่านไปเพียงหนึ่งปี เหว่ยเจาก็ตายไป ในปัจจุบันคนที่ไปปลดโทษให้คน ไม่สมควรเปรียบเทียบกับจงใจเพิ่มโทษคนผิด ก็ต้องเอาเรื่องนี้มาอ้างอิง กลับไม่รู้หลักธรรมที่ว่า "กฏหมายนั้นละเลยไม่ได้ คนก็ไม่อาจปรักปรำได้" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เอาตรงว่าคด เอาคดว่าตรง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/02/2012, 05:20
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  เอาตรงว่าคด  เอาคดว่าตรง

อธิบาย  :  เอาหลักการตรงให้กลายเป็นหลักการคด เอาหลักการคดถือว่าเป็นหลักการตรง คนทำงานสองฝ่าย ต่างก็เขียนคำร้องเสนอต่อทางการ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาฝ่ายตรงกันข้าม  ณ จุดนี้หลักการตรงคดของทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน การแย่งชิง มีความผิดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่คำพิพากษาของศาล เพราะฉะนั้นศาลจะตัดสินส่งเดชได้อย่างไร ?. แต่ปัจจุบันข้าราชการตุลาการกลับเอาหลักการตรงตัดสินให้เป็นหลักการคด แล้วก็เอาหลักการที่คดตัดสินให้เป็นหลักการตรง ข้าราชการที่ตัดสินกลับตาลปัตรอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับสินบนแล้ว เขาก็ลำเอียงเห็นแก่ตัว ถ้าหากเละเทะถึงระดับนี้ จะเป็นข้าราชการศาลยุติธรรมได้อย่างไร ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : โทษเบาเป็นหนัก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/02/2012, 10:05
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  โทษเบาเป็นหนัก

อธิบาย  :  การตัดสินผู้ลงโทษกระทำผิด เป็นโทษเบาแต่จงใจลงโทษหนัก  ในหนังสือซูจิงกล่าวว่า "การตัดสินคดีความ ถ้าในใจมีความสงสัย ก็ควรตัดสินให้เบาไว้"  การตัดสินลงโทษสามารถตัดสินให้เบาได้ ก็ไม่ให้ตัดสินโทษหนักกว่าที่เขาควรจะได้"  แต่ผู้พิพากษาจงใจลงโทษที่ควรเป็นโทษเบาให้กลายเป็นหนักแล้ว ก็จะเป็นการละเมิดใจของอริยเจ้าอย่างมหันต์ ที่ทรงเมตตากับนักโทษอยู่แล้ว โดยเฉพาะชีวิตคนเกี่ยวข้องกับฟ้า เกี่ยวข้องกับความเป็นตายแล้ว ภารกิจหนักหนวงมากยิ่งใหญ่ ผู้รับผิดชอบหน้าที่พิพากษา ควรที่จะใส่ใจให้มาก ให้ค้นหาหลักฐานให้รอบคอบ ประมาทไม่ได้แม้แต่้น้อย มิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นช่วงว่างให้โจทก์ได้ประโยชน์  ทำให้รูปคดีผิดพลาดไป ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นประหารเพิ่มโทสะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/02/2012, 10:46
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  เห็นประหารเพิ่มโทสะ

อธิบาย  :  เห็นผู้อื่นตัดสินลงโทษประหาร ขณะกำลังจะประหารชีวิต ไม่รู้สึกสงสารกลับเพิ่มความโกรธ คนแบบนี้เป็นคนเหี้ยมโหดมาก  ท่านจ้งจื่อกล่าววา"หากประสบเรื่องเช่นนี้ ต้องเศร้าเสียใจไม่ยินดี"  นี่หมายถึงเมื่อเห็นนักโทษที่กำลังจะถูกประหาร เราควรให้อภัยด้วยความเห็นอกเห็นใจที่เขาต้องโทษเช่นนี้ ไม่ควรรู้สึกสะใจสมน้ำหน้า และคิดว่าโทษเท่านั้นยังน้อยไป แม้ผู้ถูกประหารไม่อาจฟื้นคืนชีวิตด้วยก่อกรรมเองจึงต้องรับโทษเองก็ตามที เมื่อได้เห็นเขาถูกประหารใจควรรู้สึกเจ็บปวดจนต้องก้มหน้าจะน้ำตาจะไหลอยู่แล้วเช่นนี้ มีหรือจะเพิ่มความโกรธแค้นเพิ่มโทษอีก ถ้าเป็นคนแบบนี้ ถือว่าเป็นคนโหดเหี้ยมมาก แม้แต่สัตว์เลี้ยงในบ้าน ถ้าถูกเขากำลังฆ่าก็ยังต้องสงสารพวกเขาที่ไม่มีโทษมีความผิดอะไร ถ้าหากมาเห็นพวกมันถูกฆ่า ก็ยังพูดจาเดือดดาลด้วยอารมณ์แค้นละก็ คนแบบนี้ย่อมเป็นคนโหดเหี้ยมร้ายกาจแน่นอน เขาเป็นคนชั่วร้ายแท้จริง !

ขยายความ   :  เรื่องที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า การสวดพระพุทธสามารถฉุดช่วยวิญญาณที่ตายได้ ทั้งตนเองก็มีบุญกุศลเพิ่มขึ้นด้วย และเมื่อหมดอายุขัยในโลกนี้แล้ว ก็ยังได้ไปเกิดในแดนสุขาวดีอีก ถ้ามีคนถามว่า "เพียงแต่สวดพระนามพระพุทธะเท่านั้น ทำไมทั้งเขาและเราก็ได้ประโยชน์เล่า ?."  ฉันตอบว่า "เวไนยสัตว์ตั้งหลายกัปกัลป์มาแล้ว จิตเดิมมืดมัวหมมดแล้ว คิดที่จะรู้สึกลุรู้ มันห่างไกลไร้กำหนดจริง ๆ ยากยิ่งจริง ๆ แต่เมื่อได้ยินพระนามพระพุทธะ จิตเดิมก็อาจจะตื่นจากความมืดมัวได้ ส่วนเขาผู้เป็นเพชฌฆาตโหดเหี้ยมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อถูกเราที่บังเกิดใจเมตตา ช่วยโปรดทุกข์ให้กับสัตว์ที่ถูกฆ่าด้วยการสวดพระพุทธะ ก็อาจทำให้เขาละบาปหันสู่กุศลก็ได้นะ !  เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นเวไนยสัตว์ถูกฆ่า แล้วสวดพระพุทธะให้ ก็อาจกล่าวได้ว่ากุศลเหลือคณานับ ! "  ในสมัยหมิง มหาธรรมาจารย์กลั่นซัน กล่าวว่า "อาตมาเมื่อยามปกติเมื่อได้ยินเสียงสัตว์เดรัจฉานถูกฆ่า ก็ให้รู้สึกว่าใจฉันปวดยิ่ง ก็จะรีบ ๆ สวดพระพุทธะและคาถาปฏิสนธิให้แก่พวกเขา อาตมาทำเช่นนี้ก็เพื่อวิญญาณสัตว์ที่ถูกฆ่าเหล่านั้น ทำสุดใจของอาตมาส่วนหนึ่ง"  เมื่อเห็นเรื่องราวสองเรื่องนี้ จึงรู้ว่าสัตว์ที่ถูกฆ่าได้รับความเจ็บปวด หากได้ยินเสียงสวดพระนามพระพุทธะ พวกมันก็จะได้ประโยชน์์มาก และสบายขึ้น ดังนั้น ถ้าพวกเราได้เห็นหรือได้ยินเสียงสัตว์ถูกฆ่า เห็นพวกเขาอยู่บนเขียง อยู่ในหม้อต้มหรือทอด ก็ควรให้รีบ ๆ มีจิตเมตตาสวดพุทธะแก่พวกเขา อย่างนี้จึงจะเป็นผู้ถึงความเมตตาอยางแท้จริงที่จะปลดทุกข์ ขจัดความเจ็บปวดให้แก่เวไนยสัตว์จักเป็นกุศลยิ่งนักแล !

สรุป   :  ผู้พิพากษาและผู้สัสดี ถือเป็นผู้ทำงานใหญ่ของประเทศ ความเป็นความตายของประชาชนก็จะเกี่ยวข้องกันโดยตรง เพราะฉะนั้น ท่านไท่ชั่งก็ตั้งวาจาว่า  ก่อนอื่นต้องเคร่งครัดห้ามรับสินบน ตลอดจนหลักการคตหลักการตรง การตัดสินโทษหนักโทษเบา โดยเฉพาะตุลาการที่ทำการพิพากษามีความสำคัญมาก เพราะว่าพวกเขามีอำนาจอยู่ในมือ สามารถช่วยเหลือคนให้ได้รับความสะดวก อย่างไรก็ตาม หูตาของผู้พิพากษาก็มีความจำกัดมาก เพราะฉะนั้น พนักงานที่ทำเรื่องคดีความ ถ้าสามารถขจัดทิ้งนิสัยชั่วของตนได้้และทำดีร่วมกับตุลาการ ฉุดช่วยคนจากทุกข์ร้อน ถ้าทำเช่นนี้ได้กุศลจะเหลือคณานับ  ควรรู้ไว้ว่า การแบ่งแยกบาปกับบุญ ก้อยู่ที่ความคิดหนึ่งพอใจตนเอง  เหมือนอาศัยลมแล้วกางใบขึ้น ทำได้ง่ายมาก คนเขาว่า  "อย่าขึ้นศาล"  ข้าว่า  "ศาลบำเพ็ญดี"  คนโบราณว่าไว้จะหลอกเราหรือ ?. ตลอดจนการฆ่าคนฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นฆ่าหรือเราฆ่าเอง ก็เป็นการฆ่าทั้งนั้นนะ !  ถึงแม้จะไม่สามารถทำจนไม่ให้ถูกฆ่าได้แล้วก็ให้ตั้งใจสวดพระพุทะะให้แก่พวกมัน มันจะเสียเงินทองเราหรือ ?.  มันจะเปลืองแรงเรานักหรือ ?.  หลักการเช่นนี้ ขอให้พวกเราตรึกตรองละเอียดสักนิด !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร : รู้ผิดไม่แก้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/02/2012, 08:32
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รู้ผิดไม่แก้

อธิบาย  :  รู้ดีว่าตนเองมีความผิด แต่ไม่ยอมสำนึกแก้ไข พระมัญชูศรีโพธิสัตว์กราบถามพระพุทธองค์ว่า  "วัยหนึ่งสร้างวิบากกรรม  พอมาถึงวัยชราค่อยบำเพ็ญธรรม แบบนี้สามารถสำเร็จพุทธะได้ไหม ?."  พระพุทธองค์ตอบว่า  "ทะเลทุกข์ไร้ฝั่ง กลับใจคืนฝั่ง"  ธรรมาจารย์เซินหยวนอู้กล่าวว่า  "มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด มีความผิดแล้วแก้ไข ก็คือความดีที่ยิ่งใหญ่ ! "  เพราะฉะนั้น สุภาพชนแก้ไขความผิดสู่ความดี อย่างนี้แล้วคุณธรรมของเขานับวันยิ่งใหม่แล้วใหม่อีก ส่วนคนพาลจะปกปิดซ่อนเร้นความผิด เพราะฉะนั้น บาปกรรมที่เขาทำนับวันยิ่งเผยปรากฏ เพราะคนพาลเมื่อทำผิดแล้วจะหาเหตุผลมากมายมาอ้าง เพื่อลบล้างความผผิดของตน เพื่ออธิบายให้สมเหตุผล นี่แหละว่าทำไมท่านไท้ลิ้วจุงพร่ำพูดถึงมูลเหตุ  คุณเหอหลงกูกล่าวว่า "คนที่ทำผิดแบ่งเป็นสามจำพวก  มีวาจาทำผผิด  มีกายทำผิด  และมีใจทำผิด  คนที่เอาความดีแก้ไขความผิด ก็เพียงตนเองสามารถมีญาณฉลาดรู้ตัวแล้วจริงใจไปละทิ้งอุปนิสัยที่ติดยึดต่าง ๆ กับหลักธรรมก็ต้องศึกษาค้นคว้าให้ลึกซึ้งถึงที่สุด อย่างนี้ก็จะสามารถเข้าถึงความตั้งใจจริงได้  ศาสตร์ของปราชญ์  พุทธ  ศักดิ์สิทธิ์ ล้วนมีความลึกล้ำยิ่งใหญ่มาก ไม่อาจบรรยายโดยชัดเจนได้ง่าย อย่างไรก็ตาม วิธีการเรียนขั้นพื้นฐานก็สามารถทะลุถึง  หยู  พุทธ  เต๋า  แห่งสามศาสนาได้ ก็ถือว่าได้แก้ไขแล้ว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : รู้ดีไม่ทำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/02/2012, 08:56
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                         คัมภีร์   :  รู้ดีไม่ทำ

อธิบาย  :  ทั้ง ๆ ที่เห็นงานกุศลอยู่ตำตา กลับไม่กล้าหาญไปทำ โบราณว่า "สะสมน้อย จึงมีมากได้  สะสมหนึ่ง จึงเป็นล้านได้" เพราะฉะนั้น การทำกุศลสำคัญอยู่ที่ต้องสะสมทุกวัน เพิ่มพูนไปเรื่อย ๆ  เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องกุศลก็ต้องรีบไปทำ ทั้งยังต้องไปทำด้วยความขยันจริงใจ ท่านเหลาจื่อว่า  "หอสูงเก้าชั้น เริ่มต้นจากก้อนดินที่เพิ่มขึ้นจนสูง  ไกลพันลี้ เริ่มต้นจากการก้าวขาทีละก้าวเดินไป"   ถ้าหากคนสามารถแก้ไขความบกพร่องหนึ่งในแต่ละวัน ก็สามารถขจัดโทษกรรมทั้งหมดได้  ถ้าหากสามารถกระทำความดีหนึ่งในแต่ละวัน ก็สามารถเพิ่มพูนถึงขั้นบุญตอบสนองได้ พระเจ้าจื่อซวีกล่าวว่า "ธรรมะเกิดจากความสงบ คุณธรรมเกิดจากความถ่อมตน บุญเกิดจากความสะอาดมัธยัสถ์ ชีวิตเกิดจากความนุ่มนวล ถัยส่วนใหญ่เกิดจากความใคร่อยาก  ความผิดพลาดเกิดจากความดูแล เพราะฉะนั้น ต้องมีศีลห้ามตา ตาไม่ให้ไปดูความผิดพลาดของผู้อื่น ต้องมีศีลห้ามปาก ปากต้องไม่พูดความบกพร่องของผู้อื่น  ต้องมีศีลห้ามใจ ต้องไม่ปล่อยใจคิดโลภโกรธ  ต้องมีศีลห้ามกาย  กายต้องไม่เป็นเพื่อน ติดตามความชั่วร้าย ชีวิตก็เหมือนเทียนต้องลม ซึ่งจะถูกเป่าดับได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ต้องคิดถึงความตาย ตายไปแล้ว วิญญาณจะไปที่ไหน ร่างกายนี้เพียงเป็นที่ฝากในโลกชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรเสียต้องไม่ไปสร้างวิบากกรรมท่ามกลางวิบากกรรมนั้นอีก !  ต้องรู้เอาไว้ว่า บุญบาปคงเหลือค้างอยู่ในใจ และก็ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากคนยังมีเล่ห์เหลี่ยมแผนการณ์ ถ้างั้น ฟ้าก็ยิ่งมีเล่ห์เหลี่ยมที่จะตอบสนอง" 

        ดังนั้น  ถ้าดูตามนี้ ในวันหนึ่งถ้าคนสามารถฟังคำดี หรือได้เห็นการกระทำดี หรือได้ทำเรื่องดีสักเรื่องหนึ่ง อย่างนี้แล้วเราก็จะไม่ผ่านเวลาไปเสียเปล่าหากมีคนรู้ว่างานกุศลเห็นชัดเจนอยู่ต่อหน้าแต่กลับไม่ไปทำ คนแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใจของเขาเป็นอย่างไร พูดตรง ๆ ก็คือ ระเบิดเองเพราะทิ้งเอง ยอมตกต่ำเอง ชีวิตเสียไปเปล่า ๆ ยอมมอดไหม้อยู่ในโลกนี้ ซึ่งถือว่าโง่เสียยิ่งกระไร !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ รู้ดีไม่ทำ : คติพจน์ สาเหตุที่ใจธรรมท้อถอย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/02/2012, 10:17
                               คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  รู้ดีไม่ทำ

                                  คติพจน์

        ธรรมาจารย์เซ้นเทียนหยูหยุย ในสมัยหยวน ตักเตือนชาวโลกว่า "ในคุณธรรมโบราณพูดอยู่บ่อย ๆ ว่า "เมื่อฉันเห็นผู้ตายไป ใจของฉันก็ถูกร้อนรนเหมือนไฟเผา ฉันไม่ได้ร้อนรนเพราะคนอื่นหรอก แต่มองออกใกล้จะถึงคิวของฉันแล้วนะ ! " เหมือนคำพูดทำนองนี้ คนไหนนะที่ไม่รู้ ?. แต่รู้แล้วก็รู้เท่านั้น ก็ยังไม่ยอมปฏิบัติธรรม จะพูดว่าเธอไม่ยอมปฏิับัติธรรม ก็จะเป็นการกล่าวหาเธอเปล่า ๆ ท่านผู้มีคุณธรรมทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งนั้นเพียงแต่ยังไม่ถึงที่สิ้นสุดแห่งไร่นาร้อย ๆ ไร่ ความผิดพลาดนี้อยู่ที่ตรงไหนเล่า?.  ความผิดพลาดอยู่ที่ยังไม่กล้าหาญรุนแรง  ไม่วิริยะเพียงพอ  ไม่แข็งแรงพอ  และไม่นานพอ เพียงแค่บังเกิดใจยินยอมชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานก็ท้อใจแล้ว เพราะฉะนั้น จึงพูดว่า "พุทธธรรมไม่มีบุตรมาก ยากที่จะได้คนมาอยู่ยาวไกล" ถ้าหากคนที่เรียนธรรม มีความจริงใจเหมือนตอนแรกที่บังเกิดใจละก็ การจะเป็นพุทธะก็เหลือเฟือ ! เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากต้นจรดปลาย จึงเป็นสัตบุรุษแท้จริง !  ปัจจุบันมีสักกี่คนที่ทำได้ไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจรดปลาย ในจำนวน ๑๐ คน ก็มีห้าคู่ล้วนท้อถอยใจธรรมแล้ว เมื่อค้นหาถึงสาเหตุการท้อถอยใจธรรมของพวกเขา ส่วนใหญ่แต่ละคนก็มีการสั่งสมสร้างเสร็จมานานแล้ว !  ที่มีการสั่งสมมาคืออะไร ?. ที่สั่งสมมามีการสั่งสม ๓ อย่าง  อย่างแรก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นสงฆ์หรือคนสามัญ แต่ละคนก็สั่งสมเพื่อปากท้องแต่ละคน  อย่างที่สอง คนที่มีวงศ์ญาติ ก็สั่งสมเพื่อวงศ์ญาติ คนมีครอบครัว ก็ถูกแผนการณ์ครอบครัว ทำให้สั่งสมเป็นอย่างที่สาม  การสั่งสม ๓ ประการนี้  ได้เข่นฆ่าคนในโลกนี้ไปเท่าไร คนทั้งหมดโลกนี้กระมัง ล้วนรับการสั่งสม พูดง่าย ๆ คือ คนในโลกนี้ล้วนเกิดมาเพื่อถูกเคี่ยวกรำด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ว่าง วุ่นวายทั้งชาติ ทุกข์ไปทั้งชาติ สูญเปล่าผ่านไปทั้งชาติ ! ด้วยเหตุการณ์สั่งสมทั้ง ๓ อย่างนี้ จึงบังเกิดกิเลสโลภโกรธหลง จำนวนนับไม่ได้ เป็นเหตุให้ก่อวิบากกรรมใหญ่น้อยนับจำนวนไม่ได้นี้ จึงมีผลกรรมตอบสนอง จึงตกสู่อบายภูมิสามและทะเลทุกข์ทั้งแปด วนเวียนเกิดตาย ต้องทนรับทุกข์ไม่สิ้นสุด ไม่ได้หลุดพ้นเลย !  ถ้าแม้จะได้รับความทุกข์นับจำนวนไม่หมดเช่นนีก็ตาม ก็ยังไม่รู้สึกตัวตื่นไปตลอดกาล คนที่ไม่รู้สึกตัวตื่นก็เป็นเพราะไม่รู้สึกรู้เป็นเหตุ !  พวกเขาไม่รู้สึกรู้คืออะไร ?. พวกเขาไม่รู้สึกว่า ร่างกายวงศ์ญาติแผนการณ์ครอบครัวเหล่านี้มันไม่ใช่เป็นของเรา !  อย่างเช่น ตอนนี้พูดว่าร่างกายไม่ใช่ของเธอ เธอก็ยังไม่เชื่อ พระป่าก็พูดให้เธอรู้จนหมดเปลือก !  แรกสุดที่เธอจะมาสู่ครรภ์มารดานั้น เป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่ง แล้วจะมีร่างกายนี้ได้อย่างไร?. ร่างกายนี้ก็คือ อสุจิขาวกับไข่แดงของพ่อแม่ที่ผสมกัน กลายเป็นเนื้อก้อนหนึ่ง ที่แรกก็ยังไม่มีความรู้สึก  ไม่รู้จักเจ็บ  ไม่รู้จักคัน  ไม่รู้จักหนาว  ไม่รู้จักร้อน  ไม่รู้จักหิว  ไม่รู้จักอิ่ม  ไม่รู้จักทุกข์  ไมู่้รู้จักสุข  ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น !  รอจนกว่าเธอคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว จิตก็เริ่มยึดติดว่านี่คือร่างกายของฉัน เมื่อครู่นี้ที่พูดว่าร่างกายนี้มิใช่สิ่งที่ฉันมีอยู่ นี่แหละหรือ เหตุผลจริงเป็นอย่างนี้ก็ไม่ยอมที่จะเชื่อ ด้วยเหตุนี้ พุทธองค์ทรงเมตตาสงสารความโง่เขลาของเวไนยสัตว์ จึงพร่ำพูดกับเธอว่า "สิ่งนี้มิใช่ร่างกายของเธอนี่คือเลือดอสุจิที่ผสมเป็นถุงหนังเหม็น ไม่อยู่ในความควบคุมของเธอ ไม่อยู่ในอำนาจให้เธอจัดแจงได้  แม้แต่เกิดแก่เจ็บตาย เธอก็ไม่มีส่วนในการจัดการ ทำไมจึงรู้ว่าเป็นเช่นนี้เล่า ?. ก็เหมือนครั้งแรกสุดที่เธอเข้าสู่ครรภ์แล้ว ในครรภ์มารดาเจ็ดวันเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่ง  ระยะต่อไปคือการเจริญเติบโต มีอวัยวะครบ มีกระดูก  มี ๙ ทวาร  ๔ แขนขา  ๖ อายตนะ มีเอ็นหนังเนื้อค่อย ๆ เป็นรูปร่างขึ้น ตลอดจนถึงวาระออกจากครรภ์ล้วนเป็นการขับเคลื่อนจากลมร้อน แรงกรรมผลักดันโดยที่เธอก็ไม่รู้สึกตัว แล้วเธอจะควบคุมจัดการได้อย่างไร !  แม้ภายหลังเกิดมาแล้ว โตถึงอายุ ๓๐ - ๔๐ ปี ผมเริ่มหงอกขาว ฟันโยก หน้าเหลือง ผอมซูบ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ค่อย ๆ แก่ลง อ่อนแอชรา จะเห็นรูปลักษณ์ได้ชัดต่อไปก็เจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วยมาถึงความตาย ก็ถามหาการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมทรามอย่างนี้ล้วนไม่ตามใจเธอเลย เธอเองก็ไม่ยินยอมให้เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะควบคุมมันไม่ได้ ถ้าวิจารณ์เธอตั้งแต่เกิดจนถึงตายกับถุงเนื้อหนังเหม็นอันนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้ความรัก ความซื่อสัตย์ต่อมันไปมากน้อยแค่ไหน รักษามันเลี้ยงดูต่าง ๆ นา ๆ รักใคร่เฝ้าถนอมมันขนาดไหน ต้องหาหมอรักษาจัดแจงมันแค่ไหน แต่ว่ามันกลับลืมบุญคุณ ตัดเยื่อใย อย่างนี้ไม่ทำให้คนน่าเบื่อระอาหรอกหรือ ! 

         จุดที่ทำให้คุณยิ่งน่าเบื่อระอา ถ้าหากมีไอ้หนุ่มแข็งแรงเกิดเป็นโรคปัจจุบันทันด่วนตายลงในหน้าร้อน พอตายไปไม่พอข้ามคืนศพก็เริ่มเหม็นขึ้นมาจะเข้าไปใกล้ก็ไม่ไหว  ต้องรีบ ๆ หาโลงมาใส่ให้เอาศพใส่ปิดฝาโลง พอฟ้าสางก็ยกไปเผาทิ้งแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นญาติสนิทรักใคร่ขนาดไหน ก็ไม่ยอมให้เขาอยู่ต่อไป !  ตัวอย่างเรื่องนี้ เมื่อวานเขายังเป็นหนุ่มที่แข็งแรง มาถึงเช้าวันนี้กลายเป็นกองขี้เถ้าแล้ว !  ไม่รู้ว่าวิญญาณของเขาไปที่ไหน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างนี้ มันไม่ตามใจเธอใช่ไหม !  ถึงแม้ถ้ามันเป็นร่างกายของเธอ มันควรให้เธอควบคุมมันได้ เมื่อมันไม่ยอมให้เธอควบคุม แล้วมีหรือที่เธอจะยอมฟุ้งซ่านไปยอมรับมันว่าเป็นร่างกายของเธอ !  อย่างนี้ไม่ใช่ถูกมันทำให้เหน็ดเหนื่อย ถูกมันสั่งสมเอา เป็นเหตุให้ใจธรรมท้อถอย แม้แต่วงศ์ญาติก็เหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนมาจากถุงหนังเหม็นอันนี้ ไม่มีอิสรภาพ ควบคุมไม่ได้ เมื่อถึงวาระสุดท้ายมาถึง อะไรก็ทดแทนไม่ได้ !  ขณะยังมีชีวิตอยู่ทั้งฉันและเขาถูกบุญคุณผูกรัด  ที่เรียกว่าวงศ์ญาติ เมื่อตาหลับลงแล้ว ฉันและเขาก็ไม่รู้จักกันแล้ว แล้วจะฟุ้งซ่านยอมรับเขาเป็นวงศ์ญาติหรือถูกมันสั่งสมเอา เป็นเหตุให้ใจธรรมท้อถอย !  แม้แต่แผนการณ์ครอบครัวก็เหมือนกัน ขณะที่ตายังเปิดยังแข็งแรงอยู่ ตรงไหนที่ถือสาตระหนี่เฝ้ารักษา แผนการครอบครัว มัวแต่คิดสะสมไว้ใช้นานเป็นร้อย ๆ ปี ใครจะรู้เมื่อลมหายใจขาดผึงลง สลึงเดียวก็เอาไปไม่ได้ แล้วยังจะฟุ้งซ่านรับมันเป็นแผนการณ์ครอบครัวให้มันเหน็ดเหนื่อย ถูกมันสั่งสม จนทำให้ใจธรรมท้อถอย 

        วันนี้ แม้พวกเธอจะได้ฟังเหตุผลอย่างนี้ ก็ควรย้อนส่องมองให้ทะลุ เมื่อทะลุได้ก็จะตื่นลุรู้  การถูกเจ้า ๓ อย่างสะสมเอา ไม่ไปยึดติดเอา ไม่ไปหลงรักเอา ไม่ไปโลภเอา อยู่สงบในส่วนตน ผ่านชีวิตตามกรรมสัมพันธ์ ต้องที่จะคิดกลับ กับความตายเป็นเรื่องใหญ่ บังเกิดความกล้าหาญรุนแรงไปวิริยะใจธรรมที่เกิดขึ้น ก็มั่นคงและยาวไกล เรื่องที่พูดมาควรศึกษาให้เข้าใจ"   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : โยนผิดให้ผู้อื่น
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/03/2012, 01:05
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  โยนผิดให้ผู้อื่น

อธิบาย  :  ตนเองมีความผิดไม่ยอมรับ กลับดึงผู้อื่นมารับผิด เพื่อตนเองจะได้รอดพ้นความผิด ความผิดเป็นของตนเอง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็โยนความผิดให้ผู้อื่น ที่พูดกันจนติดปากว่า  ดึงคนอื่นลงน้ำด้วย ความคิดของเขานั้น มิใช่เป็นการอำพรางความผิดของตนเอง หากแต่คิดจะโยนภัยให้ผู้อื่น เพื่อแก้แค้น โดยไม่รู้ว่า ในที่สุดแล้ว ความผิดของตนเองก็ปิดไม่อยู่แล้วไปใส่ร้ายผู้อื่น สุดท้ายก็ใส่ร้ายไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นการเพิ่มพูนโทษของตนเอง ถึงแม้จะโชคดีรอดพ้นกฏหมายไปได้ แต่ก็ยากที่จะรอดพ้นตาข่ายฟ้าไปได้ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ปิดบังวิชา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/03/2012, 01:16
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปิดบังวิชา

อธิบาย  :  ตั้งใจปิดบังวิชาการ เช่น การแพทย์  การพยากรณ์  หรือจิตรกรรมต่าง ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้วิชาหรือความรู้ไปเลี้ยงครอบครัว  หรือฉุดช่วยผู้อื่น  วิชาการแพทย์  การพยากรณ์  หรือกลวิธีตำรา  ล้วนเป็นวิชาทั้งนั้น  คนที่มีความสามารถน้อยก็สามารถอาศัยกลวิธีมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ ส่วนคนที่มีความสามารถสูง ก็สามารถใช้มาช่วยเหลือคนได้  หากเราตั้งใจปกปิดหรือปิดบังวิชา ทำให้พวกเขาไม่สามารถนำไปใช้ ก็แสดงว่าจิตใจเราคับแคบ  คนในชาติก็อดอยากตกงานกันมาก ตลอดจนอาจารย์เลวหรือแพทย์ชั่ว  ก็ทำให้การศึกษาตกต่ำ ชีวิตคนตกอยู่ในอันตราย อย่างพวกเล่นแร่แปรธาตุ  กลวิธีเหล่านี้เป็นกลวิธีที่เลว ต้องห้ามปราม  ครอบครัวที่มีการศึกษา ควรมีความเข้มงวดระวังระไว อาจมีนักต้มตุ๋น ควรตัดขาดไม่คบหา
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ใส่ร้ายอริยปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/03/2012, 02:02
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใส่ร้ายอริยปราชญ์

อธิบาย   :  กับปราชญ์อริยเจ้าโบราณ ไม่นับถือกราบไหว้แล้วยังกล้าที่จะใส่ร้ายตามอำเภอใจ มีคนอยู่สองประเภทที่ชอบใส่ร้ายอริยปราชญ์ ประเภทหนึ่งก็คือ ความโง่เขลาของตนเอง ไม่รู้ความยิ่งใหญ่ของอริยเจ้าที่สั่งสอน ซึ่งมีผลกระทบกว้างไกลต่อโลก คนประเภทนี้ก็เหมือนมุดอยู่ในรู แล้วมองฟ้าทางรูปล่อง ก็ยังโทษว่าฟ้าทำไมจึงเล็กนัก  อีกประเภทหนึ่งก็คือ พวกเก่งฉลาดในการวิจารณ์คน ยึดเอาความฉลาดมีความสามารถในวิจารณ์ ชอบตีกลองหลอกชาวบ้านใส่ร้ายภัทรปราชญ์ คนแบบนี้เหมือนจับดวงจันทร์ในน้ำ เหนื่อยเปล่าไม่ได้งาน  แต่อริยปราชญ์มิใช่เพราะเขาตีกลองหลอกชาวบ้านใส่ความ จนได้รับความเสียหายแต่อย่างไร ที่พูดถึงอริยปราชญ์ในที่นี้ หมายถึง หยู  พุทธ  เต๋า  ปราชญ์  ของสามศาสนา  หยูเอาความ "ตรง" มาตั้งศาสนา  พุทธเอาความ "ใหญ่" มาตั้งศาสนา  เต๋าเอาความ "นอบน้อม" มาตั้งศาสนา เราจะเห็นว่าทั้งสามล้วนดี ในทางคุ้มครองชีวิตวิญญาณ เกลียดการฆ่าทำลายเวไนยสัตว์ แสดงออกถึงความกรุณาแบบเดียวกัน  ล้วนขอให้ตนเองกระทำต่อผู้อื่นเหมือนกระทำต่อตนเอง มีความเสมอภาคไม่เห็นแก่ตัว  ห้ามหยุดโกรธแค้น กดข่มความใคร่อยาก  หยุดทำชั่วหรือระวังไม่ให้ทำผิด ทั้งสามศาสนาล้วนให้ตนเองเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติเหมือนดังสายฟ้าที่ปลุกให้เวไนยสัตว์ตื่นจากหลง เพิ่มพูนปัญญาของเวไนย ทั้งยังสามารถแสดงวัฒนธรรมได้ดีด้วย  พูดย่อ ๆ คือ หลักธรรมในโลกนี้ ก็ไม่พ้นไปจากดีและชั่วสองทาง ทั้งสามศาสน์ล้วนสอนคนให้แก้ไขชั่วไปสู่ความดี !  แต่การบำเพ็ญภายในทั้งสามศาสน์ก็รวมสู่หนึ่งเดียว !  เพราะฉะนั้น ฮ่องเต้ซ่งเลี้ยงจง เคยวิจารณ์งานที่หันหยูเขียนวิจารณ์พุทธธรรม แก้ไขเขียนใหม่ว่า  "เอาพุทธธรรมมารักษาใจ เอาเต๋ามารักษากาย เอาหยูมารักษาหลักธรรมโลก"  ถือว่าฮ่องเต้ซ่งเลี้ยงจงเป็นฮ่งเต้ที่เข้าใจ ใจ  กาย  และโลก  ล้วนมีความสำคัญเสมอกัน  ไม่ให้อย่างใดอย่างหนึ่งขาดการรักษา ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว ทั้งสามศาสนาจะยอมให้ศษสนาหนึ่งหมดไปหรือ ล้วนควรให้อยู่พร้อมกันนา ! 

        ปัจจุบัน พวกบัณฑิตหยู ถ้าเอาอริยปราชญ์มาโต้เถียง เพื่อกำหนดเอาพุทธศาสนา หรือเอาพุทธศาสนาแล้วมาข่มเหงอริยปราชญ์ ปัจจุบันพระสงฆ์หรือนักพรต ถ้าเอาพุทธแล้วมาขจัดศาสนาเต๋า หรือเอาศาสนาเต๋าแล้วมาวิจารณ์พุทธ  สรุป  ล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลที่ยึดติด จึงผิดพลาดแบ่งแยกมหาธรรม ทำไมจึงไม่เข้าใจว่า สามศาสนาไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนกัน ที่น่ากลัวคือ ความคิดผิดพลาดในส่วนบุคคล เอาความคิดตนเองมาคาดคะเน เอาใจที่ร้อนรุ่มมาโต้เถียง คนที่มีปัญญาสูงจริง ๆ ก็จะสามารถสงบใจระงับอารมณ์ได้ เอาหลักธรรมหลอมธรรมทะลุก็ได้ สู่ต้นมูล ตรงลึกถึงต้นตอ ก็จะเข้าใจว่าพุทธศาสานาพูดถึงสว่างใจแจ้งจิต  ละหลงสู่รู้  ศาสนาเต๋าพูดถึงใจใสอยากน้อย  สั่งสมบารมี  ศาสนาหยูพูดถึง ใจตรงศรัทธา ก็สามารถรับการสั่งสอนกล่อมเกลาเวไนย ไม่มีที่ขัดแย้งกันเลย สรุปคือ ก็เป็นการดึงคนเข้าสู่ธรรมทั้งนั้น  ยังจะมีรูปลักษณ์อะไรให้ยึดติดอีก น่าจะรู้ว่า ทั้งสามศาสนาล้วนเป็นธรรมแท้ ล้วนทำเพื่อจิตวิญญาณทั้งหลายของชีวิต ผู้มีอารมณ์นานนับพัน ๆ ปี เป็นมาตรฐานของสัจธรรม แล้วทำไมจึงโง่เขลาไปใส่ร้ายอริยปราชญ์ เป็นการสร้างวจีกรรมตกนรกถอนลิ้นเปล่า ๆ แม้แต่คัมภีร์พระสูตรเป็นที่ฝากจิตวิญญาณของอริยปราชญ์ คนที่ทำลายคัมภีร์พระสูตร ก็มีบาปเช่นเดียวกับใส่ร้ายอริยปราชญ์นะ !

 คติ  :  การสวดมนต์ของอริยเจ้า จะให้มีการรบกวนสวดแทรกไม่ได้ ซึ่งเป็นการลบหลู่อริยเจ้า
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ทำร้ายคุณธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/03/2012, 10:05
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำร้ายคุณธรรม

อธิบาย  :  พบปะผู้มีธรรม ไม่เคารพเขา ไม่อยู่ใกล้เขา กลับจะทำร้ายเขา ข่มเหงรังแกเขา  ผู้มีคุณธรรม เช่น นักปราชญ์ บัณฑิต  พระสงฆ์  นักพรต  ที่บำเพ็ญด้วยความอดทน วาจาของพวกเขาสามารถให้ชาวโลกเอาอย่างการกระทำของพวกเขา สามารถเป็นแบบอย่างให้กับชาวโลก ผู้มีคุณธรรมเหล่านี้เป็นผู้คนที่โดดเด่นเหนือมวลชน ก็เพราะเป็นปูชนียบุคคล เป็นคุณธรรมของฟ้าดิน เราจะมาเคารพนับถือเขาก็ยังน้อยไป ทำไไมจะยังไปทำร้ายรังแกเขาได้อีก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ยิงนกล่าสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/03/2012, 10:15
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ยิงนกล่าสัตว์

อธิบาย  :  การยิงไม่ใช่เพียงใช้ธนูยิงเท่านั้น จะเป็นปืน  หน้าไม้  ลูกดอก  แม้แต่หลุมพราง  บ่วงแร้ว ฯ เป็นต้น  ก็ถือว่าเป็นการยิงล่า ทั้งนั้น อาจเป็นเพราะต้องการเงินหรือเพื่ออาหารปากท้อง ก็เป็นการทำให้สัตว์ตายลง ถูกยิงถูกตัดหัว  เหล่านี้ไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดมากเท่าไร  อันที่จริงเราควรมีเมตตาดูแลปกป้องช่วยเหลือพวกมัน คนที่กินเนื้อมันจะยินยอมผูกเวรกับพวกมัน  ที่ต้องชดใช้กรรมจากความแค้น การที่เราต้องการฆ่ามันเพื่อชดเชยเป็นอาหาร หรือเพื่ออาชีพ นี่เป็นการสร้างเวรกรรมที่ไม่รู้จักจบสิ้น เพื่อหาประโยชน์อันจำกัดจำเขี่ยเท่านั้นหรือ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : คุ้ยหนอนทำนกตกใจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/03/2012, 10:21
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  คุ้ยหนอนทำนกตกใจ

อธิบาย  :  การขุดคุ้ยหาหนอนที่อาศัยอยู่ในดิน ถ้าหากเราขุดมันขึ้นมาจากดิน โดยเฉพาะในฤดูหนาวแล้ว มันก็อาจหนาวตายได้ หรือไปรังแกทำให้พวกนกที่พักผ่อนบนต้นไม้ตกใจกลัวจนถึงแก่ความตายได้  ท่านไท่ชั่ง เขียนไว้พิเศษ เพื่อห้ามคนไม่ให้ทำก็ดุจเดียวกับพระพุทธโพธิสัตว์ ที่มีความเมตตาสงสารสัตว์เล็กสัตว์น้อย  หลักธรรมเช่นนี้ทำไมคนจึงไม่เข้าใจ  เป็นศีลข้อแรกในศาสนาพุทธด้วย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : อุดรูทำลายรัง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/03/2012, 04:11
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  อุดรูทำลายรัง

อธิบาย  :  พวกหนอนมดและแมลงหลายชนิดอาศัยอยู่ตามรูในดิน เราไปอุดรูทำให้มันไม่มีทางออก พวกมันก็อาจอดตายอยู่ในรูได้ รังนกที่อยู่บนต้นไม้ซึ่งนกใช้เป็นที่กกไข่เลี้ยงลูกนก ถ้าเราไปทำลายรังหรือสอยรังลงมา ก็เหมือนบ้านคนที่ถูกลมพายุหรือไฟไหม้บ้าน ขาดที่อยู่อาศัย บางครั้งก็ทำให้พวกมันถึงแก่ความตาย จนท่านไท่ชั่งถึงกับเขียนไว้ว่า "หากคนที่รุ่นลูกหลานล้มเหลวแตกดับล้วนเป็นเพราะเหตุจากชาติก่อนเขาได้อุดรูทำลายรังมาก่อนทั้งนั้น พวกที่จุดไฟเผาป่าหรือฆ่าสัตว์ หรือวิดน้ำให้หนองแห้งเพื่อจับปลาหรือทำลายลูกสัตว์ เป็นโทษกรรมที่นำมาถึงลูกหลานให้เสื่อมทราม  ล้มเหลว  ซึ่งเป็นผลกรรมตอบสนองทั้งนั้น !"   อาจมีผู้ถามว่า "ควรที่จะกรุณาคนเสียก่อน ภายหลังจึงไปรักสัตว์ถึงจะถูก ทำไมเดี๋ยวนี้จึงสอนคนให้รักสัตว์ก่อน มีเหตุผลใดหรือ" เราควรตอบว่า "การกรุณาคนนั้นง่ายกว่า ทำได้ง่าย  แต่การรักสัตว์ ทำได้ยากกว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งกล้าที่จะไปทำลายสัตว์ เขาก็กล้าพอที่จะทำร้ายคนแต่ถ้าเขาไม่กล้าที่จะไปทำลายสัตว์ ดังนั้นใจของเขาที่กระทำต่อคนจะเป็นเช่นไรก็พอรู้ได้ !" ในพระสูตรฮ้อเอี๋ยนกล่าวว่า "ฉันทนไม่ได้ที่จะเรียกมดสักตัวหนึ่งไปทนลำบาก ไฉนจะเรียกคนไปทำได้เล่า !" 

        ในสมัยซ้ง  ฮ่องเต้เฉินถัง ได้สอบถามนายพรานว่า การใช้ตาข่ายดักสัตว์ให้กางตาข่ายแค่ ๓ ด้าน ปล่อยเว้นเสียด้านหนึ่ง ทำให้เหล่านายพรานซาบซึ้ง ฮ่องเต้เฉินถังได้ผลักดันความกรุณาต่อสัตว์แก่ประชาชน เพราะฉะนั้นบุญบารมีแห่งความกรุณาได้ปกคุ้มเหล่าสัตว์ใต้หล้า 

        ฮ่องเต้ฉีซวงอ๋องมีอยู่คราวหนึ่ง ทนไม่ได้ที่เห็นวัวตัวหนึ่ง ที่ถูกจูงผ่านหน้า  สั่นกลัวมาก เหมือนคนไม่มีความผิดแต่ถูกส่งไปฆ่าตาย ดังนั้นจึงให้เปลี่ยนเป็นแพะตัวหนึ่งเสีย  ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่า ฉีซวงอ๋องตระหนี่เอาแพะมาแลกวัวที่ตัวโตกว่า ท่านเมิ่งจื่อกล่าวชมถึงความกรุณาของฉีซวงอ๋อง เหมาะที่จะปกครองประเทศ ถ้าหากฉีซวงอ๋องสามารถกระจายความกรุณานี้ให้กว้างไกลก็สามารถที่จะรักษาประเทศไว้ได้

        ถ้าทำให้ขุนพลไป่ยฉีแห่งเมืองเฉิน ที่มีใจกรุณารักสัตว์ ก็จะไม่สั่งฆ่าทหารเมืองจ้างไปถึงสี่แสนคน !  เพราะฉะนั้น การรักสัตว์กับรักคนก็เป็นใจกรุณาอันเดียวกัน  พุทธองค์ขณะบำเพ็ญอยู่นั้นสงสารนกพิราบตัวหนึ่ง กำลังจะถูกนกเหยี่ยวตัวหนึ่งจิกตีเอา จึงปกป้องนกพิราบ  นกเหยี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ต่อว่าพุทธองค์ว่าช่างโหดร้ายเพียงเพื่อช่วยเหลือนกพิราบตัวเดียว ต้องทำให้เหยี่ยวต้องอดตาย ดังนั้น พุทธองค์จึงหยิบมีดตัดเนื้อที่ต้นแขนไปเลี้ยงเหยี่ยว โดยใจของพุทธองค์ไม่นึกเจ็บแค้นแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เนื้อที่ต้นแขนจึงงอกขึ้นมาใหม่ทันที การที่พุทธองค์มีใจมหาเมตตาตัดเนื้อเลี้ยงเหยี่ยว ไม่เพียงร่ำลือไปทั่วทุกทิศแต่เอ่อล้นมาทุกกัปกัลป์ ใครล่ะที่พูดว่า คนที่รักสัตว์จะไม่รักคนด้วย !  เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่สามารถทำถึงใจที่จะฉุดช่วยทุกข์ เขาก็คือภาพปรากฏของพระโพธิสัตว์กวนอิม ใครก็ตามถ้าทำให้ทุกขณะจิตมีเมตตา เขาก็คือพระโพธิสัตว์เมตไตรยลงมาเกิด ! 

 คำคม  :  ธรรมาจารย์เซ็นฉือโซ้ว กล่าวว่า "ชาวโลกฆ่าสัตว์กันมาก จึงมีเคราะห์ภัยจากอาวุธสงครามเพื่อชดใช้หนี้ชีวิต ทำลายทรัพย์สินบ้านช่องพรากลูกแยกภรรยา ที่เคยทำลายรังของมัน การตอบสนองต่างรับกันไป ให้ชำระหูฟังคำพระบ้าง"  ความหมายของโศลกนี้ "ชาวโลกมีเหตุจากการฆ่าตัดชีวิต จึงมีเื่องเคราะห์ภัยของอาวุธสงคราม เป็นผลกรรมตอบสนอง เพราะว่าเธอได้ฆ่าตัดชีวิตพวกเขาไว้ เพราะฉะนั้น เขาจึงมาฆ่าพวกเธอบ้างให้เธอชดใช้ชีวิต ถ้าเธอเป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืน เขาก็มาเผาบ้านของเธอ ทำให้เธอเสียหายทรัพย์สิน การที่เธอสูญเสียลูกเมีย เหตุมาจากเธอเคยทำลายรังของพวกผึ้งพวกนกไว้ นี่คือผลกรรมตอบสนอง การตอบสนองเสมอกัน เพราะฉะนั้น ของให้พวกเราล้างหูแล้วฟังคำพุทธองค์ให้ดี ๆ !"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ทำร้ายครรภ์ทุบไข่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/03/2012, 04:22
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำร้ายครรภ์ทุบไข่

อธิบาย  :  การทำร้ายสัตว์กำลังตั้งท้องหรือทุบไข่แตก ถึงแม้สัตว์ยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหมือนกัน เพราะทั้งสัตว์ตั้งท้องและไข่ภายในล้วนมีชีวิตแล้ว ก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีครรภ์  เพราะฉะนั้นการทำร้ายครรภ์หรือทำให้ไข่ของมันแตก ก็เท่ากับการฆ่าตัดชีวิต พุทธองค์ตรัสว่า "หากเห็นคนชั่วโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน  ไม่เชื่อหลักธรรมของการตอบสนองแล้วกล้าที่จะไปจับลูกนกหรือเอาไข่ของมันมากิน ทำให้พวกมันสูญเสียลูก ๆ ไป มันก็จะร้องกุ๊ก ๆ ด้วยความเจ็บปวด บ้างก็ถึงกับมีเลือดออกในตา เพราะความเจ็บปวด คนพวกนี้อาจจะถูกโดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่มีลูกหลาน อันเป็นผลกรรมตอบสนอง !" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : อยากให้เขาเสียหาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/03/2012, 08:47
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  อยากให้เขาเสียหาย

อธิบาย  :  อยากให้เขาเสียหายประสบกับเคราะห์ภัย ผู้ที่เสียหายถือเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคล ไม่รู้สึกสงสารเวทนาเขากลับอยากให้เสียหายฉิบหายเป็นดีที่สุด ดังคำพูดที่ว่าเคราะห์สะใจ คนแบบนี้เห็นภัยเคราะห์แล้วก็มีความสุข  เพราะว่าเคราะห์ไม่ตกกับเขา ถ้าคนล้มเหลวไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นตนเองละก็จะมีความสุขหรือ ดังนั้น คนที่แม้จะโง่ก็ไม่ควรเป็นอย่างนี้ ! 

คติ  :  เป็นเพราะความคิดเห็นแก่ตัว จึงเกิดความเสียหายมาถึงตนเอง ในนิพพานสูตรว่า  "ผู้บำเพ็ญธรรม  ต้องเอาปัญญามาใช้กับธรรมหก  ให้กดข่มใจตนขณะที่ใช้ใจทำงานต้องให้มีความเสมอภาค"  ( ธรรมหก คือ  กายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม  มีธรรมบ่ม  ถือศีล  และมีสัมมาทิฐิ )  ในสมัยซ่ง นายเช้าคังเจี๋ยะ กล่าวเป็นโศลกว่า  "ทุกเช้าธูปหนึ่งดอก ขอบคุณฟ้าดินกษัตริย์ แต่ขอให้นามีรวงสุก  ให้ทุกคนอายุยืน  ให้ประเทศมีขุนนางดี  ให้บ้านไร้บุตรอกตัญญู  สี่ทิศสงบหมดรบอาวุธ  แม้ว่าข้าโลภก็ไม่เป็นไร"  จะเห็นได้ว่า ทั้งพุทธ เต๋า และหยู ล้วนสอนให้คนเสมอภาคกัน เพราะฉะนั้น พวกเราควรมีใจนี้มากดข่มรักษาใจตน อย่าให้ตนมีใจเห็นแก่ตัวเป็นอันขาด ซึ่งจะเป็นการสร้างวิบากกรรมหนัก 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ทำลายความสำเร็จของเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/03/2012, 08:58
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายความสำเร็จของเขา

อธิบาย  :  ทำลายความสำเร็จของผู้อื่น ให้ผลงานของเขาเสียหายล้มเหลว คนที่อยากประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ก็ต้องใช้ความสามารถเจต็มที่  ถ้าหากเราไปรบกวนทำลายเขาทำให้เขาเสียหาย  จิตใจเช่นนี้ ก็เหมือนดังใจอสรพิษ !

        ท่านจินชีชานพูดว่า  "หากเราได้ยินคนทำเรื่องดี เราก็ควรยกย่องชมเชยเขาและร่วมมือกับงานของเขา หากเราได้ยินคนทำเรื่องชั่ว เราควรปิดบังความชั่วของเขา !  การทำให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จก็ไม่ทำให้ตนเองเสียคุณธรรม นี่คือการมีน้ำใจของคนโบราณ แล้วคนที่ประสบความสำเร็จแล้วยังกล้าที่จะไปทำลายความสำเร็จของเขาหรือ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป : คัมภีร์ ให้เขาอันตรายตนสุข
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2012, 15:49
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ให้เขาอันตรายตนสุข

อธิบาย   :  ทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในอันตราย  แต่แสวงหาให้ตนมีความสุข พระสูตรนับร้อยพัน ก็พูดแต่เรื่องของใจ ขณะที่เรากับผู้อื่นอยู่ในสถานที่มีจลาจล แล้วอยากให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายแต่ให้ตนเองปลอดภัยใจก็คิออย่างนี้เป็นคนที่สูญเสียมโนธรรม ท่านอวี่เถียะเจียว กล่าวว่า  "การหลบอันตรายถือเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุใดฟ้าเบื้องบนจึงเห็นเป็นชั่วเล่า ?.  เบื้องบนมิใช่เห็นเป็นเรื่องชั่วที่พวกเขาแสวงหาความปลอดภัยแต่อย่างไร แต่ที่เห็นเป็นเรื่องชั้่วเพราะเขาผลักอันตรายไปให้แก่ผู้อื่นรับไป ประสบการณ์ของชีวิตก็ผ่านมามากมายก็แยกระหว่างอันตรายกับปลอดภัย  ถ้าหากเธอรู้แต่ให้ตนเองมีความปลอดภัยโดยไม่ห่วงใยว่าผู้อื่นจะมีอันตรายหรือไม่  นั่นก็หมายความว่า กลไกแห่งการฆ่าถูกหมกเม็ดเอาไว้ ซึ่งมันจะสามารถเกิดระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สมมุติให้แผนอันตรายนี้ได้รับความสำเร็จแล้ว คนที่คดในข้องอในกระดูกก็นอนหลับได้อย่างสบายใจ แต่กับคนที่มีใจเมตตากรุณากลับอยู่นิ่งเฉยไม่ได้เลย !  เพราะฉะนั้นทิศทางของพวกเขาที่มุ่งสู่ หรือผู้ตรงข้ามกันที่มุ่งสู่อันตราย พวกที่หลบหลีก  หรือผู้อยู่ตรงข้ามกลายเป็นหลบหลีกจากทางเรียบ !  ถ้าหากเป็นคนสามารถทำให้ระหว่างเขากับเรามีใจเสมอภาคกันแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ปลอดภัยทั้งหมด ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ลดเขาประโยชน์ตน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2012, 16:01
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ลดเขาประโยชน์ตน

อธิบาย   :  ขัดขวางลดประโยชน์ของผู้อื่น เพียงเพื่อผลประโยชน์ตน ในโลกนี้ผู้ที่มีประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นจึงจะสมควรได้ผลประโยชน์ตน ถ้าหากไม่มีผลประโยชน์ต่อผู้อื่นมีแต่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น  ยังไม่ใช่ผลประโยชน์ที่แท้จริงยิ่งกว่านั้นยังไปกดลดผลประโยชน์ผู้อื่นให้เสียหาย แต่ตนเองกลับได้ผลประโยชน์มหาศาล !  คนพวกนี้ที่เขาพูดกันว่า  "ห่วงแต่ความร่ำรวยของตนเอง  ไม่ห่วงความยากจนของคนอื่น"   ท่านอวี่เถียะเจียว กล่าวว่า  "คนปัจจุบันที่มุ่งกับทรัพย์สินไร่นา บ้านช่องเป็นต้น ล้วนเป็นคนที่ลดเขาประโยชน์ตนทั้งนั้น พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร สิ่งที่เขาทำก็เข้าทำนองขอยืมเงินแต่ไม่เขือนหลักฐานยืมเงินเช่นนี้เป็นต้น !  ถึงแม้ทรัพย์สินเขาจะเพิ่มขึ้นทุกวันก็ตาม แต่ว่าชีวิตมีจำกัด ด้วยเหตุนี้อายุขัยนับว่ายิ่งสั้นเข้ามาทุกที !  นี่แหละ ผลประโยชน์ ! " 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เอาชั่วไปแลกดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/03/2012, 07:31
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เอาชั่วไปแลกดี

อธิบาย   :  ขณะจะมอบสินค้าจะแอบเอาของเลวไปเปลียน การแอบเปลี่ยนสินค้าเป็นกลวิธีชั่วของพ่อค้าชั่ว ซึ่งมักพบเห็นได้กับพ่อค้าแม่ค้าที่ชั่วโดยเฉพาะมักแอบเอาของเลวให้กับลูกค้าโดยเฉพาะลูกค้าจร การกระทำแบบนี้ใกล้เคียงกับการลักขโมย ท่านสังฆราชองค์ที่ ๔ พูดว่า "สภาวะภายนอกไม่ได้แบ่งแยกว่าีดีชั่ว ดีชั่วนั้นเกิดจากใจ ถ้าใจไม่ฝืนแบ่งแยก การคิดฟุ้งซ่านหรือยึดติด ก็ไม่มีที่ ๆ จะเกิดขึ้นได้" 

        สมัยก่อน พระธรรมาจารย์หยวนเย้า เดินทางมาประเทศจีนด้วยหนทางนับเป็นพัน ๆ ลี้ เพื่อมาสืบหาอาจารย์ดัง ๆ จะได้เรียนพุทธธรรม มีอยู่คืนหนึ่ง หลังเดินทางไกลมาเหน็ดเหนื่อย ค่ำลงจึงหลับนอนอยู่แถวหลุมฝังศพ ขณะนั้นทั้งเหนื่อยและคอแห้ง คิดอยากดื่มน้ำ เขาเห็นข้างกายมีหลุมน้ำใสจึงเอาบาตรไปตักมาดื่มจนหมดบาตร ขณะนั้นรู้สึกดื่มด้วยความสดชื่นสบายใจ !  พอถึงตอนเช้ามองดูน้ำนั้นอีกครั้ง ที่แท้ก็เป็นน้ำที่ไหลจากศพในบริเวณนั้น พระหยวนเย้า มีอาการกระอักกระอ่วน จึงพยายามอาเจียนเอาน้ำที่ดื่มออกมา หลังจากอาเจียนแล้วก็ให้บรรลุฉับพลันว่า  "ภูมิทั้งสามอยู่ที่ใจ ธรรมทั้งหลายอยู่ที่รู้  ภูมิสามหกวิถีหมุนเวียน  ล้วนอยู่ที่ใจก่อขึ้น  ธรรมทั้งหลายในจักรวาลนี้ล้วนสุดแต่ใจของเราไปแบ่งแยก เพราะฉะนั้นความรู้สึก สวยหรือชั่วอยู่ที่เวทนาใจเราไม่แบ่งแยก มันไม่เกี่ยวอะไรกับน้ำนั้นเลย !" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ตีตนทำลายส่วนรวม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/03/2012, 07:42
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ตีตนทำลายส่วนรวม

อธิบาย   :  เอาแต่ใจตนไปทำลายหลักการส่วนรวม เอาความพอใจ  ความโกรธ  บุญคุณแค้นเคือง  ไปทำลายความเป็นธรรมของส่วนรวม หากเป็นผู้มีอำนาจเป็นผู้นำแล้วเอาความเห็นดีของตนไปทำลายส่วนรวมแล้วเช่นนี้ ก็จะไม่สามารถแบ่งแยกดีชั่ว เพื่อนฝูงพรรคพวกที่รวมแก๊งรวมหมู่ ก็จะเกิดความระแวงสงสัยขึ้น ใครก็ตามถ้าคิดแต่จะตีตนทำลายส่วนรวมแล้ว จะรักจะโกรธก็รับไม่ได้ แม้แต่คนในครอบครัว  พ่อลูก  สามี  ภรรยา  ก็จะเกิดบาดหมางเป็นอริกัน ความสัมพันธ์ถูกทำลายลงได้ ไม่ว่าผู้รากมากดีหรือไพร่ ทุกคนล้วนเจ็บป่วยด้วยโลกนี้ทั้งนั้น  เพียงแต่ที่จะหนักหรือเบากว่าแตกต่างกัน เมื่อรู้ถึงอันตรายของการเจ็บป่วยแล้วก็ควรต้องให้เข้าใจหลักธรรม  เพื่อขจัดควมเห็นผิดของตน ทำใจสงบแล้วมาทำลายอาณาจักรใจลงเสีย ถ้าทำได้แบบนี้ก็จะเป็นผู้มีความรู้มาก เป็นผู้มีพลังมาก !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ขโมยผลงานเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2012, 09:18
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ขโมยผลงานเขา

อธิบาย   :  นำเอาผลงานของคนอื่นแล้วอ้างว่าเป็นของตน การนำเอางานเขียนของผู้อื่นแล้วอ้างเป็นงานของตน รวมไปถึงงานจิตรกรรมว่าเป็นภาพวาดของตน  เป็นการขโมยแรงงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตนเอง บางทีนำเอาโอวาทของอาจารย์มาตู่ว่าเป็นความคิดเห็นของตน แบบนี้เป็นการข่มเหงตนและข่มเหงผู้อื่นด้วย จะต้องได้รับการลงโทษ

ข้อคิด  :  ขโมยคำพูดของคนอื่นมาก็ยังถูกฟ้าลงโทษอย่างหนัก ถ้าอย่างนั้นคนที่โหดเหี้ยม ผลตอบสนองคงไม่ต้องพูดก็คงรู้อยู่แล้ว !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน : บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ปิดบังความดีเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/03/2012, 09:31
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปิดบังความดีเขา

อธิบาย  :  ปกปิดการกระทำความดีของผู้อื่นเพื่อไม่ให้ผู้อื่นรู้  พุทธสูตรว่า  "กุศลนี้ สามารถทำให้คนชำระปณิธานได้สำเร็จ"  เพราะฉะนั้น หากคนใช้คำพูด
ที่ดี  กระทำเรื่องที่ดี  ก็ควรที่จะแสดงออกมาจึงจะถูกต้อง กลัวว่าจะแสดงออกมาไม่พอคือสามารถสำแดงการกระทำความดีของเขาให้เปิดเผย ให้เป็นที่รู้จักกันพอ การกระทำเช่นนี้ มิใช่เป็นเพียงทำให้ความสง่างามของเขาได้สำเร็จลงเท่านั้น ยังจะเป็นการปลูกให้คนอื่นให้เกิดความคิดดีตามไปด้วย และก็สามารถทำให้ทุกคนต่างชักจูงตักเตือนกันเผผยแพร่ เช่นนี้แล้ว คนที่ทำความดี นับวันก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งดีน่ารื่นรมย์ ทำไมจะต้องไปปกปิดซ่อนเร้นเล่า ? !  เพราะฉะนั้นคนที่ปกปิดการกระทำดีของผู้อื่นนั้น ใจของเขาต้องไม่มีความดีหลงเหลืออยู่เลย  เกรงว่าจะมีความคิดอิจฉาริษยาแน่นอน !  เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมที่จะเผยแพร่ความดีงามของผู้อื่นซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่สวยงาม คงเกรงว่าความดีงามของเขาจะเป็นการเปิดเผยความชั่วช้าของตนกระมัง คนเช่นนี้ถือเป็นคนที่ไม่มงคลเลย !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เปิดโปงความชั่วเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/03/2012, 04:10
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เปิดโปงความชั่วเขา

อธิบาย  :  การวิจารณ์เรื่องไม่ดีของผู้อื่นทั้งยังประกาศให้รู้ไปทั่วในเรื่องไม่ดีไม่งามของผู้คน  เป็นเรื่องอัปยศที่ควรไม่ฟัง แต่กลับมีผู้กล้าเอาเรื่องชั่วของผู้อื่นมาวิจารณ์  ให้รู้การกระทำชั่วของเขาเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้มันเป็นการทำลายคุณธรรมของตนเอง ทำให้บุญกุศลที่สู้สั่งสมมาตลอดก็ต้องพลอยละลายสูญหายไปด้วย ในบันทึกฟั่นซานว่า  "เป็นข้อห้ามอย่างยิ่งของผู้บำเพ็ญ  ก็คือการวิจารณ์ความชั่วทรามของผู้อื่น ตลอดจนทางโลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ไม่เพียงพูดไม่ได้ แม้แต่ใจก็ไปคิดไม่ได้ ถ้าหากปากพูดใจคิดก็เป็นการปิดบังจิตเดิมของตน ผู้ที่ตั้งใจฝึกฝนบารมีใจแล้ว จะต้องตรวจสอบความผิดของตนเองอยู่เสมอ ที่ไหนจะมีเวลาไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน  แม้ว่ามันจะบดขยี้กายกระดูก ก็ต้องไม่ให้ใจเราหวั่นไหว ต้องเอาใจของเราชำระให้สะอาด ทุก ๆ ขณะต้องตั้งใจศึกษาค้นคว้า ถึงบ่อเกิดของจิตเดิม" 

        จะเห็นได้ว่า คนควรต้องรักษาตนเป็นหน้าที่เร่งด่วน ทุก ๆ ขณะเกรงว่าตนจะมีความผิด ที่ไหนจะมีเวลาว่างไปมองเรื่องของชาวบ้านเขา ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เปิดเผยความลับเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/03/2012, 04:21
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เปิดเผยความลับเขา

อธิบาย  :  เปิดเผยความลับส่วนตัวของผู้อื่น แถมยังพูดไปทั่วด้วยคนเราไม่ใช้อริยปราชญ์ จะมีใครบ้างที่ไม่มีเรื่องส่วนตัวที่ซ่อนเร้นบ้าง เราไม่ควรที่จะไปสืบฟังเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ในที่ ๆ ไม่มีผู้คนไปเห็นความลับของคนอื่นแล้ว ก็ยังเอาเรื่องของผู้อื่นไปเป่าประกาศ ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนแทบไม่ได้ ทำให้เขาไม่มีที่จะซ่อนตัวในสังคม  คนประเภทนี้ใจคอนับว่าโหดเหี้ยม  คงได้รับการลงโทษจากฟ้าและความแค้นของคน

แง่คิด  :  คนเราแค่คำพูดเท่านั้น ก็ทำลายความปรองดอง เพียงเรื่อง ๆ เดียวก็ทำให้เกิดภัยเคราะห์ไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตัวต่อสังคม ไม่ควรใช้คำพูดที่รุนแรง หรือเสียดสีเขาทำให้เกิดความแค้นเข้ากระดูก คติว่า  "ตีคนอย่าตีเข่า ว่าเขาอย่าว่าเรื่องจริง"   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ผลาญทรัพย์สินเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/03/2012, 04:20
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ผลาญทรัพย์สินเขา

อธิบาย  :  ล้างผลาญทรัพย์สมบัติผู้อื่น เก็บเกี่ยวประโยชน์จากแผนการณ์ หมายถึงคนชั่วที่อันธพาลหลอกลวงลูกหลานชาวบ้าน หรือไม่ก็หลอกลวงคนโง่พาเที่ยวซ่องโสเภณี  บ่อนการพนัน  หลอกให้ค้าความเล่นแร่แปรธาตุ ฯ เป็นต้น เพื่อตนเองจะได้หาโอกาสปอกลอก ดังนั้นบรรดาที่ลูกไม่ดีทั้งหลายก็จะถูกคนชั่วลวงหลอก ลูกพวกนี้จะไม่สนใจ ถึงความยากลำบากของบรรพบุรุษที่สร้างสมกิจการมา จะผลาญทรัพย์สมบัติของตระกูลจนกว่าจะล้มละลาย บางทีแม้แต่ชีวิตก็รักษาไม่อยู่ เราลองมาสืบเสาะหาถึงสาเหตุต้นตอดูว่า มันเป็นความชั่วของใคร ?. เขาจะสามารถรอดพ้นกรรมสนองได้ไหม ?.

        ในสมัยหมิง นายเหมาฉี่จง ชาวเมืองเจียงซู ได้เคยเขียนบทความตักเตือนชาวโลก เขาพูดว่า "แต่ละครั้งที่ฉันเห็นบ้านผู้ดีมีตระกูลลูกหลานจะไม่รักดีเล่นการพนัน  เที่ยวโสเภณี  ประพฤติตัวเสื่อมทราม พวกเขายังไม่ทันตายจากโลก แต่ทรัพย์สมบัติก็ขายกินจนเกลี้ยง หรือไม่ก็ตายไปตัวยังไม่ทันเย็น ผู้คนก็เข้าบ้านยึดเอาทรัพย์สินเสียแล้ว คนรุ่นก่อนลำบากแค่ไหน  สะสมออมริบมาทีละน้อยจึงจะร่ำรวยขึ้น คนรุ่นหลังก็ผลาญเสียจนหมดสิ้น เหมือนกับดินทรายที่ละลายหายไป ไม่รู้จักรักถนอมไว้แม้สักนิด ลูกไม่รักดีเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนฉลาด แล้วเหตุใดเล่าจึงเป็นเช่นนี้ ?. ที่แท้เริ่มแรกก็แสดงอำนาจใช้กลวิธีทุกอย่าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลที่จะล้างผลาญทรัพย์สินของผู้อื่นอันเป็นเหตุต้น ต่อมากรรมตอบสนอง ทรัพย์สินของตนจึงถูกผู้อื่นมาล้างผลาญบ้าง !  สุภาษิตว่า ! "ที่ได้มาไม่โปร่งใส  ไปได้ก็ดี"  ดูอย่างนี้แล้วทำให้รู้ว่า ปัจจุบันถูกผู้อื่นมาล้างผลาญทรัพย์สินก็เพราะครั้งกระโน้นได้เคยล้างผลาญทรัพย์สินผู้อื่นมาแล้ว ถ้าเช่นนั้น ถ้าตอนนี้ไปล้างผลาญทรัพนย์สินเขา อีกไม่นานนักต้องถูกผู้อื่นมาล้างผลาญเอาบ้าง

คติ  :  ต้องรู้ว่าซ่องโสเภณี (อาบ อบ นวด) เป็นธุรกิจที่ก่อวิบากกรรม หญิงงามเมืองแต่งเต้มทาปากก็คือทะเลวิบากกรรม ที่ทำให้ครอบครัวล่มสลาย ก็เป็นเหตุผลที่ทุกคนรู้ดี เมื่อโสเภณีติดโรค ปัจจุบันคือโรคเอดส์มันทำลายทุกอย่าง รักษาก็ไม่หายตายลูกเดียว แถมยังเอาโรคไปติดลูกเมียอีกด้วย เวรกรรมตกถึงลูกเมีย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ยังจะกล้าไปเที่ยวโสเภณีอีกหรือ ?. 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัต : ที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/03/2012, 04:32
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                   ที่หนึ่ง  :  การพนันเล่ห์เหลี่ยมร้าย

        เมื่อเดินเข้าสู่บ่อนการพนัน ซึ่งเป็นสถานที่แข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ ในใจต้องมีเล่ห์เหลี่ยมร้ายวางแผนการณ์ร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม ทั้งหมดเกิดจากใจละโมบ คือ คิดจะต้องเอาชนะได้เงินเขา ในใจถึงบังเกิดความคิดชั่วนับจำนวนไม่ได้ แม้จะเป็นญาติสนิทที่อยู่ในวงพนันก็ตาม ในใจจะวางแผนใช้อาวุธลับ เพื่อเอาชนะให้ได้ แม้คนในวงไพ่จะเป็นเพื่อนรักกันแค่ไหนก็ตามก็เหมือนศัตรูกัน เพียงเพื่อตนหวังชนะ มีหรือจะห่วงเขาจะล้มละลาย ใจเช่นนี้มิใช่เล่ห์เหลี่ยมร้ายหรือ ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป : ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ ที่สอง : การพนันทำลายฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2012, 03:47
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                   ที่สอง  :  การพนันทำลายคุณสมบัติคน 

        คุณสมบัติของคนไม่ว่าผู้ดีสูงศักดิ์ หรือ ไพร่สามัญก็ตามล้วนมีความแตกต่างกันตามฐานันดร แต่เมื่อย่างก้าวสู่บ่อนการพนันเท่านั้น ความถือสาผู้เป็นผู้ดีหรือไพร่ก็หมดไปเพราะต่างพูดแต่เรื่องเงินว่ามีมากน้อยแค่ไหน ในวงพนันตำแหน่งนั่งก็ไม่ได้แบ่งแยกว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ทั้งบ่าวทั้งนายกลายเป็นเพื่อนกัน หัวหน้าลูกน้อง  เจ้านายคนรับใช้  ต่างยอมรับเรียกพี่เรียกน้องกันได้  ต่างหัวเราะต่อกระซิก  จะเรียกกันอย่างไรก็ได้มันเป็นพวกเดียวกันหมด นี่แหละมันทำลายคุณสมบัติของคนหมด
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ ที่สาม : การพนันทำร้ายฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2012, 03:57
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                   ที่สาม  :  การพนันทำร้ายชีวิตจิตใจ

        คนที่เล่นได้ก็ปลื้มอกปลื้มใจอยากจะไปอีก  ไม่รู้กลางวันกลางคืน คนที่แพ้ก็ขนขวายดิ้นรนจะไปเอาคืน ไม่ห่วงปากท้องทั้งคนได้คนเสียก็ต่างขับเคี่ยวเหน็ดเหนื่อยประสาทจิตใจ พอไปบ่อย ๆ ก็ทำให้สุขภาพแย่ลง ลางคนถึงกับสูญเสียชีวิต เมื่อหนี้สินเพิ่มพูน ไม่มีเงินจะใช้หนี้  เห็นเจ้าหนี้ก็อับอายเสียหน้าต้องอดทนอดกลั้นอารมณ์ นานไปก็ล้มป่วย ในที่สุดก็ตายไปเป็นการล้างหนี้ปิดบัญชี  เพราะฉะนั้นในนรกตายโหงกลายเป็นหมู่บ้านของผีพนันทั้งนั้น !  นี่ไม่ใช่้เพราะการพนันทำร้ายชีวิตหรอกหรือ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ ที่สี่ : วงศ์ตระกูลด่างพ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/03/2012, 04:08
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                   ที่สี่  :  วงศ์ตระกูลด่างพร้อย

        การพนันไม่ใช่เพียงแต่ยกเงินให้เขาไปเท่านั้น ยังถูกคนหัวเราะเยาะว่าเป็นคนจรจัด การพนันไม่เพียงทำให้ล้มละลายเท่านั้น ยังถูกชาวบ้านว่าเป็นลูกหลานโง่ไม่รักดีไปก่อวิบากกรรม !  ไม่เพียงไม่ทำให้วงศ์ตระกูลมีหน้ามีตามีเกียรติยศ กลับเป็นการทำอัปยศอดสูแก่บ้านตนเอง บ้านใกล้เรือนเคียงญาติพี่น้องต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บรรพบุรุษไม่มได้สั่งสมบุญบารมี จึงทำให้เกิดมีลูกทรพีล้างผลาญในบ้าน เพราะฉะนั้น ปู่  ย่า  ตา  ยาย  พ่อแม่ตายไปแล้วก็ต้องตกนรกเจ็บแค้นไม่เลิก !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ : ที่ห้า สูญเสียการสั่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/03/2012, 11:11
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                   ที่ห้า  :  สูญเสียการสั่งสอนที่บ้าน

        การพนันเสพติดได้ง่าย ยิ่งในบ้านยิ่งเห็นได้ยินจึงเรียกได้ง่าย ปกติพ่อแม่ก็จะสั่งสอนลูก ๆ ให้เอาอย่างที่ดี ถ้ากหากในบ้านมีการเล่นการพนัน ลูก ๆ ก็แอบเห็นพ่อแม่หรือพี่ชายจึงเรียนเอาอย่าง พวกเขาก็จะพูดว่า  "ก็เห็นผู้ใหญ่ทำได้ก็เอาอย่างบ้าง"  จึงกลายเป็นเล่นการพนันกันทั้งบ้าน นับตั้งแต่พ่อพี่เรื่อยมาจนถึงคนใช้  ครอบครัวอย่างนี้จะมีธรรมในบ้านได้อย่างไร ในที่สุด การพนันก็เล่นกันทั้งกลางวันกลางคืนแอบเล่นกันในห้องลับ ซึ่งก็ง่ายต่อการล่วงละเมิดทางเพศ การสั่งสอนของบ้านก็เสียไป  คิดแล้วก็ใจหาย !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ : ที่หก ล้มละลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/03/2012, 11:18
                                คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                              ที่หก  :  ล้มละลาย

        เริ่มแรกเล่นได้ก็เห็นท่าทางสง่าผึ่งผาย ตีหน้าตาเขม็ง พอเล่นไปแพ้พนันอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ เอามรดกที่บรรพชนให้ไว้ขายมาเล่น ความลำบากของพ่อแม่ปู่ย่าที่ก่อร่างสร้างตัวมาถึงลูกหลาน เพียงไม่นานก็ล้มละลาย เสียชื่อเสียงของตระกูล บางคนถึงกับเสื้อผ้าก็เอาไปจำนำมาเล่นเหลือแต่ตัว ถึงตอนนี้ เพื่อนฝูงญาติพี่น้องจะมีใครมาสงสาร ไร่นาสาโทบ้านช่องขายหมด หนี้สินก็ยังให้ไม่หมด ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่จะไปอยู่ที่ไหน นึกมาถึงจุดนี้แล้วก็น่าสงสารยิ่ง ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ : ที่เจ็ด เป็นบ่อเกิดเรื่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/03/2012, 11:27
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                           ที่เจ็ด  :  เป็นบ่อเกิดเรื่อง

        การพนันมักจะเล่นกันตลอดวันตลอดคืน บ้านช่องก็ไม่ได้ปิด ขะโมยขะโจรก็ถือโอกาสแอบเข้ามาขโมย  ฟืนไฟก็ไม่ได้ดับ บางครั้งก็ก่อให้เกิดไฟไหม้ขึ้น พวกคนร้ายก็อาศัยโอกาสวางแผนเข้ามาดับไฟมาเคาะประตู ทั้งเจ้าบ้านกับแขกผู้มาเล่นต่างวุ่นวายสับสน บ้างก็ถอดเสื้อผ้าเล่นสัปดนไร้ยางอาย นี่แหละที่ว่าเคราะห์ภัยก็ถือโอกาสเข้ามาเยือน ทำไมคนจึงคิดไม่รอบคอบนา !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐บัญญัติ : ที่แปด แยกความรักฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/03/2012, 06:03
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                           ที่แปด  :  แยกความรักความสัมพันธ์

        ทุกคนต่างมีอาชีพทำมาหากิน ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ลูกเมียต่างรักใคร่กลมเกลียว ต่างห่วงใยซึ่งกันและกัน นี่คือความสุข ของมนุษยสัมพันธ์ที่ธรรมชาติให้มา นับตั้งแต่ย่างเข้ามาบ่อนการพพนันแล้วความสุขของมนุษยสัมพันธ์ก็สูญหายไป กลายเป็นทะเลทุกข์ ทองหยองของลูกเมียถูกนำไปขายจำนำ ลูกเมียทำอะไรไม่ได้แต่ทนกล้ำกลืนเก็บอารมณ์ โกรธแต่พูดไม่ออก ไร่นาบ้านช่องถูกขาย พ่อแม่ก็เศร้าเสียใจ หน้าย่นคิ้วขมวดตรอมใจ เพราะลูกเอาแต่สนุกไม่ห่วงครอบครัว ถามใจตนเองหน่อยเถิด สบายใจไหม ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ ที่เก้า : ละเมิดกฏฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/03/2012, 18:57
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                           ที่เก้า  :  ละเมิดกฏหมายบ้านเมือง

        กฏหมายสมัยก่อนมีโทษหนักกว่าสมัยนี้มาก โทษเล่นการพนันถ้าเบาก็โบยหนึ่งร้อยทีจำคุกสองเดือน โทษหนักก็จำคุก ๓ ปี  ทั้งยังต้องเนรเทศจากบ้านเกิดไปอยู่ไกลเป็นพัน ๆ ลี้ในถิ่นถุรดันดาร ผู้ถูกจับต้องโทษกลับมาก็ให้อับอายขายหน้าไม่กล้าพบเพื่อนฝูง หากเป็นเจ้าหน้าที่เล่นการพนันถูกจับได้ก็เพิ่มโทษหนักเป็น ๒ เท่า  เพราะฉะนั้นหน้าที่การงานก็ไม่มี ลูกเมียก็หมดที่พึ่ง เมื่อถูกจับแล้วก็มาสำนึกผิดเสียใจ ทำไมจึงไม่คิดเสียแต่แรกเล่า ?.

        สมัยนี้โทษเล่นการพนันแม้จะเบากว่าก็ตาม แต่โทษทางสังคมก็หนักอยู่แล้ว คนเล่นการพนันสังคมจะไม่เชื่อถือเครดิต หมดอนาคตเหมือนกัน
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ ที่สิบ : ได้รับผลลงโทษฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/03/2012, 19:05
                                คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                           ที่สิบ  :  ได้รับผลลงโทษจากฟ้าดิน

        พวกเราลองดูก็ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่เปิดบ่อนพนันส่วนใหญ่จะได้รับภัยพิบัติทั้งนั้น คนที่ชนะการพนัน ภายหลังก็จะจบลงจนเห็นได้ชัด สรุปคือ เพราะพวกเราได้สูบเลือดกินเนื้อของชาวบ้านเพื่อให้ตนร่ำรวย แต่ทำให้ผู้อื่นเจ็บแค้นทุกข์ยาก ตนเองสนุกสนานเฮอา แต่ผีเทพจะโกรธแค้นคนประเภทนี้ เพราะฉะนั้นการตอบสนองจึงไม่มีการให้อภัยแม้แต่น้อย ต้องรู้ว่าธรรมแห่งฟ้า คืนสนอง กรรมตามสนองไม่มีผิดเพี้ยน ทำไมจึงไม่เลิกเสียเล่า
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ : สรุป
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/03/2012, 19:15
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           ห้ามการพนัน ๑๐ บัญญัติ

                                     สรุป

        เมื่อเห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงเช่นนี้แล้ว การพนันมีดีตรงไหน สิบข้อบัญญัติที่กล่าวมา แม้หลักการจะไม่ละเอียดนักแต่ความหมายก็ถึงแก่น จึงขอเตือนและตั้งความหวังว่า  ชาวโลกต้องใคร่ครวญด้วยความสงบ ตรึกตรองให้เข้าใจละทิ้งนิสัยการพนันตัดขาดเสีย แล้วตั้งปฏิญาณว่าจะไม่ไปเล่นอีกเพราะการพนันเหมือนตกสู่หลุมของสัตว์ร้าย เพียงกลับตัวก็ฟื้นขึ้นมาได้ก็จะถือเป็นโชคดี  การพนันนั้นร้ายกว่าภัยจากน้ำ ไฟ หรือ ขโมยเสียอีก  เพราะฉะนั้นคนจึงหลงใหลกับมันมากและยึดติดจนถอนไม่ขึ้น บ้างถึงกับต้องสังเวยด้วยชีวิตแบบจำยอม น่าสงสารจริง ๆ  น่าเวทนายิ่งนัก !  ทำไมอาตมาจึงเจ็บปวดต้องร้องไห้ขี้มูกโป่ง เพื่อบอกเล่าถึงสาเหตุให้พวกท่านฟัง ถ้าหากได้ฟังแล้วยังไม่ยอมกลับตัว ก็นับว่าเขานี่ช่างโง่เขลานัก !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : พรากสายเลือดเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/03/2012, 05:24
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  พรากสายเลือดเขา

อธิบาย  :  ทำให้สายเลือดเขาแตกแยกไม่ปรองดองกัน คำว่า พราก นี้คือ ทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก บ้างก็กดดันบังคับให้ขายลูก บ้างก็หาเรื่องทำให้พี่น้องเขาต้องแตกแยก  พี่น้องทะเลาะกัน พ่อลูกหรือแม่ลูกไม่รักใคร่กัน เหล่านี้คือการพรากสายเลือดทั้งนั้น เป็นการทำลายความดีงามของฟ้า เพราะว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดคือความสุขของมนุษยสัมพันธ์ที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ได้ชื่อว่ามีเมตตา เมื่อเห็นครอบครัวเขาตกระกำลำบากจนดำรงชีพอยู่ไม่ได้ ก็จะเอาเงินไปช่วยเหลือให้เขาผ่านพ้นอุปสรรค ให้พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันได้ปลอดภัย การที่สายเลือดไม่ปรองดองกันก็ต้องเข้าไปตักเตือนแนะนำให้ทัั้งสองฝ่ายที่เข้าใจผิดกันให้อภัยกัน จะได้กลับมาสามัคคีปรองดองกันใหม่ นี่คือวิถีของผู้บำเพ็ญธรรมต้องปฏิบัติ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : แย่งของรักเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/03/2012, 05:43
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  แย่งของรักเขา

อธิบาย  :  แย่งชิงสิ่งของที่เขารักหวงแหน ของรักของหวงแหนของผู้อื่นเช่น ที่ดิน  บ้าน  หนังสือ  ของเล่น  เครื่องใช้ไม้สรอย ฯ  เป็นต้น  เราคิดหาวิธีที่จะไปยึดครองมาเป็นของตนเอง การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนโจรที่แย่งชิงปานกัน  คุณอูเถียเจียวกล่าวว่า  "สิ่งของโดยตัวของมันเองไม่มีคำว่าสวยไม่สวย ถ้าหากมีคนชอบก็จะถูกดูว่าเป็นของมีค่า หากคนอื่นมาแย่งชิงไป ใจเราจะรู้สึกว่าอย่างไร ?. หยูจื่อจิ้น กล่าวว่า " ตอนนี้ถ้าเป็นของที่ฉันรักแล้วถูกผู้อื่นแย่งไปก็กลัวใจจะคิดไม่หยุด !"

        นิทาน  :  สมัยก่อน จางไกมีห้องชุดใหญ่ห้องหนึ่งสวยงามมาก เป็นเพราะร้อนเงิน จึงเอาห้องไปจำนองไว้หนึ่งพันเหรียญ ไว้กับจางจุ่น  จางจุ่นคิดอยากได้ห้องนี้อยู่แล้ว จึงหาวิธีครอบครองเอาห้องนี้ให้ได้  จึงเอาของขวัญอันมีค่ามากไปให้นายหน้าคนที่แนะนำมาจำนอง โดยให้เขาปลอมใบซื้อขายห้องเป็นสัญญาเก็บไว้ ต่อมาจางไกเดือดร้อนมาก ก็มาหาจางจุ่นเพื่อหยุดสัญญาจำนองแก้ไขมาเป็นซื้อขายขาด จะได้มีเงินมาหมุนให้คล่องขึ้น ขณะนั้น จางจุ่นจึงหยิบสัญญาซื้อขายปลอมมาให้จางไกดู  จางไกพูดไม่ออกเป็นใบ้ รู้ว่าสัญญาจางจุ่นแก้ไขไป จึงหลั่งน้ำตาสบถต่อฟ้าว่า "ขอให้ลูกของเธอให้เหมือนข้าและก็ให้ลำบากเหมือนข้า ! "  ต่อมาลูกหลานของจางจุ่นก็กลายเป็นใบ้ ในที่สุดป่วยหนักก็ตายไป

       โอ้ !  ที่ดินบ้านช่องเป็นของนอกกาย คิดจะแย่งมาครอบครองเป็นของตนเอง แล้วต้องมาให้ลูกหลานที่ตนรักไปใช้หนี้กรรมอันนี้ ทำไมจึงกระทำโง่เขลาเช่นนี้ คนที่ชอบแย่งของรักของคนอื่น ควรเอาเรื่องนี้เป็นสังวร       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ช่วยเหลือเขาทำชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/03/2012, 09:11
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ช่วยเหลือเขาทำชั่ว

อธิบาย  :  ช่วยเหลือเขาไปทำชั่ว หรือร่วมกันไปทำชั่ว ช่วยเหลือส่งเสริมเขาไปทำชั่ว โดยที่ไม่สามารถชักจูงเขาไปทางดี ล้วนถือว่าช่วยเหลือให้เขาทำช่วย พุทธองค์ว่า  "การพูดธรรมสั่งสอนกล่อมเกลาเวไนยเรียกว่าการให้ธรรมทาน การให้ธรรมทานสามารถทำให้เวไนยได้ฟังพุทธธรรม เพราะเหตุปัจจัยนี้ก็จะได้รับกุศลตอบสนองจำนวนนับไม่ได้"  ในบันทึกบาปบุญเขียนไว้ว่า  "สอนคนไปทำชั่ว ทำให้คนอื่นได้ไปทำชั่ว ตนเองก็มีบาปหนึ่ง ถ้าเรื่องชั่วนั้นใหญ่ บาปของคนสอนก็ใหญ่ตามไปด้วย เมื่อสั่งสมบาปไว้เป็นเหตุปัจจัย ก็จะได้ชั่วตอบสนองนับจำนวนไม่ได้  อาตมาคิดว่า การเตือนให้คนทำดี วานดีที่เขาทำก็เหมือนกับเราได้ทำเอง เพราะฉะนั้นกุศลที่ตนทำก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ถ้าชั่วให้ผู้อื่นทำก็เหมือนตนได้ทำ เพราะความชั่วที่ทำก็นับวันเพิ่มขึ้น พอถึงผลสรุปบาปบุญก็จะห่างกันราวฟ้ากับดิน ผลบาปบุญตอบสนองก็เทียบได้กับเมฆกับตมเลน !  เพราะฉะนั้นพวกเราควรต้องรู้จักคัดเลือก

คติ  :  มหาปณิธาน ๑๐ ของภัทรโพธิสัตว์มีข้อหนึ่งว่า  "เห็นผู้อื่นทำกุศลแล้วก็ดีใจอนุโมทนาด้วย"  พุทธสูตรว่า "ผลบุุญตอบสนองที่ร่วมอนุโมทนาก็เหมือนคนที่กำลังขายธูป เมื่อมีคนหนึ่งมาซื้อธูป คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ได้กลิ่นหอมของธูปรมไปด้วย กับคนสองคน ๆ หนึ่งขายธูป อีกคนซื้อธูป บุญกุศลของพวกเขาก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป เพราะฉะนั้น คนที่ร่วมอนุโมทนาจะมีผลบุญตอบสนอง ดีเหลือหลายอย่างนี้ ทำไมต้องไปช่วยเขาทำชั่ว ต้องย้อนพิจารณาให้ดี หวนคิด ๆ เถิด ! "
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : อวดอำนาจข่มขู่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/03/2012, 09:22
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  อวดอำนาจข่มขู่

อธิบาย  :  พอใจอวดอำนาจเพื่อข่มขู่ผู้อื่น บัณฑิตเป็นคนซื่อตรง มีระเบียบเคร่งครัดตน และกับผู้อื่นจะผ่อนปรนนุ่มนวลน่าใกล้ชิด คนอื่นก็จำนับถือยำเกรงรักใคร่และชื่นชม หากใครก็ตามพอขยับตัวก็อวดอำนาจข่มขู่ผู้อื่น ถึงแม้จะสามารถทำให้คนกลัวถูกทำร้ายจึงยอมอ่อนให้ แต่ใจและปากนั้นไม่ยอมอ่อนให้ทั้งไม่สำนึกคุณด้วย คนที่ชอบอวดอำนาจข่มเหงคนอย่างนี้ มันจะอยู่ในใจคนได้อย่างไร ?. 

คติ  :  โคว่ไหลกง ในสมัยซ่งกล่าวว่า  "ขุนนางกระทำคต ยามหมดอำนาจก็เสียใจ ร่ำรวยไม่ประหยัดใช้ ยามจนแล้วก็เสียใจ ฝีมือไม่เรียนตั้งแต่เด็ก ยามเวลาผ่านไปแล้วก็เสียใจ เวลาเห็นไม่เรียน ยามจะใช้ก็เสียใจ  ตอนเมาอาละวาด ยามสร่างก็เสียใจ  ตอนสบายไม่พักผ่อน ยามป่วยก็เสียใจ"  คำพูดแบบนี้เป็นเรื่องที่สามารถลดความเสียใจได้ดี พวกเราควรจำจำไว้ในใจ และตักเตือนตนเองบ่อย ๆ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทำเขาอัปยศเพื่อชนะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/03/2012, 11:04
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :   ทำเขาอัปยศเพื่อชนะ

อธิบาย   :  ทำเขาให้อัปยศอดสูเพื่อชัยชนะ การใช้เหตุผลทำให้เขายอมรับ บางครั้งก็เกรงว่าเหตุผลนี้จะไปกระตุ้นให้ใจเขาอยากเอาชนะ ตลอดจนเหตุผล
ที่ใช้ ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกันจนยอมรับไม่ได้ ยิ่งเป็นเหตุผลของตนเองแล้วก็ยังไม่เพียงพอ จึงไปใช้ความรุนแรงด่าทอหรือทุบตีทำให้เขาได้รับความอัปยศเพียงเพื่อเอาชนะหรือ ?  หลูจื่อจิ้นพูดว่า  "ใจที่อับอายมีอยู่ในแต่ละคน  ใครบ้างจะยินยอมรับความอัปยศจากผู้อื่นเล่า ?  ให้บังเอิญมีคนใช้ความอัปยศทำกับผู้อื่น  เพียงเพื่อให้ตนได้ชัยชนะแล้วควรรู้ว่าธรรมแห่งฟ้าตอบแทนได้ดี การทำอัปยศคนอื่นถึงที่สุดแล้วกลายเป็นอัปยศตนเองนะ !"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทำลายไร่นาเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/03/2012, 11:15
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายไร่นาเขา

อธิบาย  :  การทำลายพืชผลการเกษตรของผู้อื่น  ที่เกษตรกรอาศัยผลิตผลดำรงชีพ ชาวนาไถหว่านในฤดูร้อนเพื่อหวังเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เขาทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยทุกข์ยาก ยิ่งสำหรับชาวนาที่ต้องอาศัยผลิตผลเลี้ยงชีพอย่างเดียว เราจะไปทำลายเขาโดยการกั้นน้ำไม่ให้เข้านาเขา ให้ต้นกล้าต้องแห้งตาย หรือไม่ก็พังทำนบให้น้ำท่วมต้นข้าว หรือปล่อยวัวควายเข้าไปเหยียบย่ำกินต้นข้าวเขา ทำให้เขาเก็บเกี่ยวได้ไม่พอเพียง ชาวนาเหน็ดเหนื่อยแล้วยังไม่ได้เก็บเกี่ยว คนทำได้แบบนี้นับว่าโหดร้ายมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่ชลประทานที่ไม่เห็นความสำคัญของการเกษตรว่าระยะไหนเวลาใด เกษตรกรต้องการน้ำ แล้วก็จะกระทบกระเทือนถึงการเก็บเกี่ยว อย่างนี้ก็ถือเป็นการทำลายไร่นาเขาด้วย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๒ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทำลายการแต่งงานเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/03/2012, 11:44
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๒

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายการแต่งงานเขา

อธิบาย  :  ทำลายการแต่งงานทำให้เขาไม่ได้แต่งงานกัน เมื่อมีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา  จึงจะมีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก เพราะฉะนั้น การแต่งงานจึงเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต  การทำลายการแต่งงานมีหลายวิธีซึ่งก็มีการวางแผนการณ์ได้ร้อยแปด เช่นการทำลายก่อนแต่งงาน ขณะแต่งงานและหลังแต่งงาน ตั้งแต่ไม่มีเรื่องราวสร้างเรื่องขึ้น เป็นต้น  หารู้ไม่ว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของฟ้ากำหนด คนจะไปทำลายเขาได้อย่างไร ? การแต่งงานที่ถูกทำลายไปแล้ว ที่สุดการแต่งงานนี้จึงมิใช่การแต่งงาน !  อย่างไรก็ตามการแต่งงานจะแยกหรืออยู่ด้วยกันเป็นเรื่องของฟ้ากำหนด หากคนตั้งใจไปทำลายการแต่งงานของผู้อื่น บาปกรรมอันนี้เหมือนบาปกรรมฆ่าคน  ผู้ทำชั่วทำไมจึงต้องทำลายมโนธรรมของตนเองเล่า !  อันที่จริงสามีภรรยาปรองดองกัน อาจเป็นเพราะผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เห็นเขยเป็นคนจนต้อยต่ำจึงเกิดแตกต่าง หรือพ่อแม่สามีเห็นลูกสะใภ้ยากจนจึงฟังคำยุแหย่นี้ก็คือโจรฆ่าญาติ เมื่อเทียบกับการใช้อาวุธฆ่าคนยังน่ากลัวกว่าอีก จึงควรเป็นข้อห้าม การติเตียนความยากจนแยกทาง โดยใช้อิทธิพลไปฉุดเอา เหล่านี้คือการทำลายหลักธรรมฟ้าทั้งสิ้นหรือ
การใช้กฏหมายอำนาจตำแหน่งราชการไปข่มเหงบังคับให้เขาแยกทาง ก็เป็นการสูญบุญกุศลอย่างมหาศาล อาจต้องได้รับโทษจากฟ้า อันที่จริงควรใช้ตำแหน่งข้าราชการชักจูงตักเตือนห้ามปรามจึงจะถูกต้อง

คติ  :  ซือหม่าอุน สมัยซ่ง เขียนคำสอนครอบครัวไว้ว่า  "เมื่อจะหมั้นหมายก็ควรสืบสวนคุณสมบัติทั้งสองฝ่ายและประเพณีให้ดีก่อน ทุกอย่างต้องถามให้รู้ชัด อย่าเพียงพอใจความร่ำรวยของฝ่ายตรงข้าม ถ้าหากเขยมีศักยภาพ แม้ตอนนี้จะยังจนอยู่ จะรู้ได้อย่างไรว่าวันข้างหน้าจะไม่ร่ำรวย ?.  ถ้าหากเขยไม่รักดี แม้ตอนนี้จะร่ำรวยจะรู้ได้อย่างไรว่าวันข้างหน้าจะไม่ยากจน ยิ่งผู้หญิงมีความสำคัญต่อครอบครัว ต่อความเจริญหรือเสื่อมอย่างยิ่ง ถ้าหากเห็นแก่ความรวยของฝ่ายเธอแล้วเลือกมาเป็นภรรยา แล้วเธอยังติดความรวยของพ่อแม่มาดูถูกสามี ไม่เคารพพ่อแม่สามีกลายเป็นนิสัยหยิ่งทะนง บ้านก็จะไม่มีความสงบสุข ถึงแม้จะอาศัยฝ่ายหญิงร่ำรวยหรือได้ตำแหน่งข้าราชการ เลื่อนตำแหน่ง ฝ่ายชายก็มีอุดมการณ์จึงไม่รู้สึกละอายบ้างหรือ ! 

        ชาวโลกที่ชอบคลุมถุงชนหมั้นหมายไว้ตั้งแต่เด็ก พอภายหลังเติบโตแล้ว เป็นคนไม่รักดีก็พึ่งพาไม่ได้ หรือเจ็บป่วย หรือยากจน  หรือโยกย้ายไปต่างถิ่น และไม่รักษาสัญญา ละเมิดการแต่งงาน  ดังนั้น  จึงเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นเป็นต้น แบบนี้มีมากให้เห็น ทำไมไม่รอให้พวกเขาเติบโตกันก่อน จึงค่อยหมั้นหมาย ต่อไปก็ให้ติดต่อคบหากัน ฝ่ายชายอาจส่งของขวัญมาบ้านฝ่ายหญิง เพื่อแสดงหใายของแต่งงาน ดูกันไปมาหลายเดือนแล้วจึงแต่งงาน อย่างนี้ก็จะไม่เกิดเรื่องเสียใจในภายหลัง แบบนี้เป็นเรื่องของคนรุ่นหลังควรศึกษาไว้ ! "

                                            จบเล่ม ๒
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ กั่นอิ้งเพียน กรรมสนอง พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย : คำนำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/03/2012, 09:41
                             คัมภีร์กรรม ๓ กั่นอิ้งเพียน กรรมสนอง 

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                      พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                       คำนำ

        คัมภีร์กรรม  หรือ  กั่นอิ้งเพียน ในภาษาจีน เป็นคัมภีร์ของท่านเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า พระนามตามอริยฐานะของท่านเหลาจื่อ คือ ไท่ซั่งเหล่าจวิน
แต่ชาวบ้านมักเรียกสั้น ๆ ว่า ท่านไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของท่านไท่ซั่ง แม้จะเป็นคัมภีร์ศาสนาเต๋า แต่ความเป็นสัจอมตะของนิพนธ์นี้ เป็นที่ซาบซึ้งจนพระ                         
ธรรมาจารย์จิ้งคง สงฆ์ในพุทธศาสนา รู้สึกประทับใจจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ ท่านจิ้งคงจึงนำเอาคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนมาบรรยายให้สานุศิษย์ฟัง และเหล่าศิษย์
ของท่านจิ้งคงจึงรวบรวมจัดพิมพ์เป็นเล่มหนากว่า  ๕๐๐  หน้า                                     

        กระผมอ่านแล้วก็ให้ประทับใจ จนอดที่จะถอดความเป็นภาษาไทยไม่ได้ และเนื่องด้วยเป็นคัมภีร์เล่มหนาจะรอให้แปลจนหมดคงต้องใช้เวลาหลายปีจึงดำริแบ่งเป็น ๔ เล่ม เล่มแรกก็ออกเผยแผ่ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๖  เล่ม ๒ กรกฏาคม ๒๕๔๗  และ เล่ม ๓ นี้ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๘ และ เล่ม ๔ คงแปลเสร็จในปี ๒๕๔๙ หลังจากจบแล้วถ้ามีผู้สนใจ ก็อาจรวมเล่มปกแข็งก็ได้  คัมภีร์กรรม ๓ ก็ยังเป็นเรื่องของชั่วบาป ต่อจากเล่ม ๒

        กระผมหวังว่า  ท่านผู้อ่านยังคงได้อรรถรสและคติที่เป็นอุทาหรณ์  เป็นศีล  ข้อห้ามไม่ให้ท่านทำผิด ในเล่ม ๓ นี้ จะเน้นเรื่องการล่วงละเมิดกาม ซึ่งตรงกับศีลข้อ ๓ ของชาวพุทธ ตัวอย่างนิทานและบทอธิบาย จะช่วยให้ท่านเห็นชัดเจนถึงกรรมตอบสนองที่เป็นเหตุเป็นผล ท่านไม่สามารถนำเอาหลักการพาณิชย์หรือการสมยอมมาเป็นเหตุผลได้เลย

        ขออำนาจกุศลที่ท่านได้สร้างแล้ว  ปฏิบัติแล้ว  จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านได้ลุถึงฝั่งนิพพานเทอญ.

                                                 ด้วยความเคารพ
                                                   ธรรมบัญชา
                                                  แปลเรียบเรียง     
                                              ๑๘ กันยายน ๒๕๔๘         

        บทบรรยาย ... ธรรมาจารย์จิ้งคง
            บทแปล ... ธรรมบัญชา                   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/03/2012, 02:55
                        คัมภีร์กรรม ๓ กั่นอิ้งเพียน กรรมสนอง 

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                      พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย

                             คัมภีร์กรรม (กั่นอิ้งเพียน)

        ไท่ซั่งกล่าวว่า  ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา บาปบุญตอบสนอง เหมือนเงาตามตัว ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำของมนุษย์หนักเบา เพื่อลงโทษตัดขัย ตัดขัยให้ยากจน  ประสบทุกข์ลำบากบ่อย  ผู้คนก็รังเกียจต้องโทษวิบัติตามมา มงคลโชคลาภหลบหาย ดาวร้ายภัยตาม ขัยสิ้นก็ตาย ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์ อยู่เหนือศรีษะมนุษย์บันทึกชั่วบาป คอยตัดอายุขัย  ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในตัวคน เมื่อถึงวันแกชิง ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบน รายงานความชั่วบาปของมนุษย์ในวันสิ้นเดือน เทพเจ้าแห่งเตาไฟก็เช่นกัน ผู้มีความผิดมหันต์ตัดขัยหนึ่งรอบ ลหุตัดขัยร้อยวันความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย

        เป็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย ไม่ดำเนินทางชั่ว ไม่แอบรังแกข่มเหง สั่งสมบุญกุศล ใจเมตตาต่อสัตว์ จงรักภักดีกตัญญู ให้รักญาติมิตร ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น สงสารแม่หม้ายกำพร้ายากไร้ เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์ ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้ ต้องสงสารผู้เคราะห์ร้าย ยินดีกับผู้ทำดี ช่วยเหลือผู้คับขัน ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี เห็นเขาสูญเสียเหมือนตนสูญเสีย ไม่โพนทนาความชั่วเขา ไม่โอ้อวดความดีตน หยุดยั่งเรื่องชั่วเผยแผ่เรื่องดี ให้มากรับน้อย รับอัปยศไม่แค้น รับความรักดุจความหวาดกลัว ทำคุณไม่หวังผล ให้เขาไม่นึกเสียใจ ที่ว่าเป็นคนดี คนให้ความเคารพแห่งฟ้าคุ้มครอง งานที่ทำก็สำเร็จ เป็นเทพเซียนปรารถนาได้ อยากเป็นเทพเซียนฟ้า ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล อยากเป็นเทพเซียนดิน ต้องทำความดีสามร้อยกุศล

        หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง กระทำละเมิดธรรม ถือชั่วว่าสามารถ ทนทำชั่วร้ายได้ แอบทำร้ายคนดี ข่มเหงราชาพ่อแม่ลับหลัง หยิ่งยโสครูบา ละทิ้งหน้าที่หลอกคนไม่รู้ ลวงเพื่อนร่วมเรียน ใส่ร้ายล่อลวง โจมตีวงศ์ตระกูล อันธพาลไม่การุณย์ ป่าเถื่อนตามอารมณ์ ถูกผิดไม่ถูกต้อง เข้าหาชั่วหันหลังดี กดขี่เอาชอบ ประจบนายพอใจ บ่มแค้นไม่หยุด ดูแคลนประชาชน ก่อกวนการปกครอง รางวัลคนชั่ว ลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์ ฆ่าคนชิงทรัพย์ ใช้เล่ห์แย่งตำแหน่ง เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้ ขับคนดีไล่ปราชญ์ รังแกกำพร้าข่มเหงหม้าย ละกฏรับสินบน เอาตรงว่าคด เอาคตว่าตรง โทษเบาเป็นหนัก เห็นประหารเพิ่มโทสะ รู้ผิดไม่แก้ รู้ดีไม่ทำ โยนผิดให้ผู้อื่น ปิดบังวิชา ใส่ร้ายอริยปราชญ์ ทำร้ายคุณธรรม ยิงนกล่าสัตว์ คุ้ยหนอนทำนกตกใจ อุดรูทำลายรัง ทำร้ายครรภ์ทุบไข่

        อยากให้เขาเสียหาย ทำลายความสำเร็จของเขา ให้เขาอันตรายตนสุข ลดเขาประโยชน์ตน เอาชั่วไปแลกดี ดีตนทำลายส่วนรวม ขโมยผลงานเขา ปิดบังความดีเขา เปิดโปงความชั่วเขา เปิดเผยความลับเขา ผลาญทรัพย์สินเขา พรากสายเลือดเขา แย่งของรักเขา ช่วยเหลือเขาทำชั่ว อวดอำนาจข่มขู่ ทำอัปยศเพื่อชัยชนะ ทำลายไร่นาเขา ทำลายการแต่งงานเขา พอรวยก็หยิ่งยโส หลบเลี่ยงไม่ละอาย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/03/2012, 03:37
                        คัมภีร์กรรม ๓ กั่นอิ้งเพียน กรรมสนอง 

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                      พระสูตรสั่งสมบุญวาสนาสลายเคราะห์ภัย

                             คัมภีร์กรรม (กั่นอิ้งเพียน)

        เหมาเอาคุณป้ายความผิด โยนเคราะห์ขายชั่ว ซื้อยศจอมปลอม หน้าเนื้อใจเสือ ขัดขวางความดีเขา ปิดบังความชั่วตน ใช้อิทธิพลข่มขู่ ทำลายฆ่าป่าเถื่อน ตัดผ้าไร้เหตุ ฆ่าสัตว์ไร้จริยธรรม ทิ้งขว้างธัญพืช เคี่ยวเข็ญประชาชน ทำลายครอบครัวเขาเพื่อชิงทรัพย์สิน ปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำลายประชาชน ทำลายแผนการณ์ให้เขาล้มเหลว ทำลายเครื่องมือไม่ให้เขาใช้ เห็นเขาได้หวังเขาฉิบหาย  เห็นเขาร่ำรวยอยากให้เขาล้มละลาย  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน เป็นหนี้เขาหวังให้เขาตาย ขอร้องเขาไม่ได้ก็เกิดสาปแช่ง  เห็นเขาล้มเหลวก็ว่าเขาทำชั่ว เห็นเขาไม่สมประกอบก็หัวเราะใส่ เห็นเขาสามารถ
ควรยกย่องกลับทับถม ใช้มนต์ดำฝังรูป ใช้ยาฆ่าต้นไม้ โกรธแค้นครูอาจารย์ ขัดต่อพ่อพี่

        ใช้แรงขู่เข่นเอา ชอบรุกรานชอบแย่งชิง ปล้นจนร่ำรวย ใช้เล่ห์หาก้าวหน้า ให้รางวัลลงโทษไม่เสมอกัน เสพสุขเกินเลย ทารุณผู้ใต้บังคับ ข่มขู่เขาหวาดกลัว โทษฟ้าโทษคน ว่าลมด่าฝน ยุแหย่ให้สู้ความ เที่ยวเข้าร่วมแก้ง ฟังเมียพูดปด ฝ่าฝืนโอวาทพ่อแม่ ได้ใหม่ลืมเก่า ปากอย่างใจอย่าง โลภแอบอ้างทรัพย์ ฉ้อโกงตบตาหน่วยบน สร้างข่าวใส่ร้ายทำลายเขา ใส่ร้ายเขายกตนตรง ด่าเทพเจ้ายกตนดี ทิ้งธรรมทำชั่ว เมินญาติคบคนนอก  ชี้ฟ้าดินเป็นพยานทั้งที่ชั่ว ท้าพระเจ้าตรวจสอบ ทำทานแล้วเสียดาย ยืมทรัพย์ไม่คืน ไม่เจียมตนหานอกลู่ ใช้จนสุดอำนาจ เสพกามเกินเลย หน้าซื่อใจอำมหิต ให้ของกินสกปรกเขา ใชทางมารหลอกประชาชน มาตราชั่งตวงวัดโกง ปลอมปนสินค้า รีดนาทาเร้น บังคับคนดีให้ชั่ว โป้ปดคนโง่ โลภละโมบไม่เบื่อ แช่งชักว่าตนถูก เมาสุราลวนลาม สายเลือดทะเลาะกัน ชายไม่ซื่อภักดีหญิงไม่อ่อนน้อมตาม บ้านไม่กลมเกลียว ไม่นับถือสามี คุยข่มอวดดี อิจฉาตาร้อน ไม่ดีต่อบุตรภรรยา ไร้จริยาต่อพ่อปู่แม่ย่า ดูถูกบรรพชน

        ขัดขืนคำสั่งเบื้องบน ทำสิ่งไร้ประโยชน์ คับแค้นนอกใจ สบถตนสาปแช่งผู้อื่น ลำเอียงชังลำเอียงรัก ก้าวข้ามบ่อน้ำเจ้าที่ ข้ามอาหารข้ามคน ฆ่าลูกทำแท้ง ชอบแอบทำชั่ว  วันสิ้นเดือนร้องรำ ด่าทอเช้าตรู่วันพระ ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ ร้องเพลงหน้าพระ จุดธูปจากเตา ใช้ฟืนสกปรกหุงหา เปลือกกายกลางคืน ประหารวันตรุษสาร์ท ถ่มน้ำลายดาวตก ชี้รุ้งชี้สามแสงบ่อย  จ้องอาทิตย์จันทร์นาน ล่าสัตว์เผาป่า ฤดูใบไม้ผลิ ด่าทอทิศเหนือ ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ

        อันบาปต่าง ๆ นี้ เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบขัยสิ้นก็ตาย หนี้เหลือจากตาย ตกทอดบุตรหลาน พวกอันธพาลเอาเงินเขา ผลชั่วตกถึงลูกเมียคนในบ้านรับไปจนกว่าถึงที่ตาย หากยังไม่ตาย ก็มีภัยจากน้ำไฟโจรของหายเจ็บป่วย คดีความตอบสนอง จนเท่าค่าที่โกงมา โทษบาปฆ่าคนก็ถูกอาวุธฆ่าตอบ เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง ดุจเนื้อเน่าแก้หิวเหล้าแก้กระกาย ไม่เพียงไม่อิ่มความตายก็มาถึง  หากใจเริ่มใฝ่ดี ดีแม้ยังไม่ทำ เทพดีก็ตามหา หากเริ่มใฝ่ชั่ว ชั่วแม้ยังไม่ทำ เทพชั่วก็ตามหา ผู้เคยทำชั่ว ภายหลังสำนึกผิดชั่วทั้งหลายไม่ทำ ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภดังว่าเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา

        ดังนั้น ผู้มงคล วาจาดี มองดี ทำดี วันหนึ่งมีสามดี สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา ผู้อุบาทว์ วาจาชั่ว มองชั่ว ทำชั่ว วันหนึ่งมีสามชั่ว สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ ! 
                                                     จบ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : บังเอิญรวยก็หยิ่งยโส
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/03/2012, 05:36
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  บังเิอิญรวยก็หยิ่งยโส

อธิบาย  :  จับพลัดจับผลูส่งเดชก็บังเอิญรวยขึ้นมา หรือเสี่ยงโชค จนร่ำรวยขึ้น ก็เกิดหยิ่งยโสทำใหญ่โต คำว่า บังเอิญ ซึ่งก็มีความหมายว่า "เกิดบังเอิญ" มิใช่เกิดจากความสามารถของตน เช่น บังเอิญถูกลล๊อตเตอรี่ มีเงินร่ำรวยขึ้น การรวยโดยบังเอิญนี้ ไม่ต้องรวยมหาศาลแค่รวยเป็นล้าน ก็ทำตัวหยิ่งยโส ทำอวดเบ่ง ในที่นี้จะเห็นได้ชัดกับคนจนทั่ว ๆ ไป พอมีเงินเข้าหน่อยก็ลืมตัว ทำฟุ้งเฟ้อ ทำหยิ่ง ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย คนที่ฟุ่มเฟือยก็มักจะมีความโลภ หาเงินโดยมิชอบ กระทั่งคดโกงเงินผู้อื่นเพื่อให้ตนมีใช้จ่าย คนพวกนี้จะเห็นเป็นสำคัญจนสามารถทำความชั่วมหันต์ เอาเปรียบรังแกคนร่วมหมู่บ้าน ดูถูกญาติพี่น้อง ตนเองก็จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่กับคนอื่นแดงเดียวก็ไม่ให้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังวางอำนาจข่มขู่แต่ก็อยู่ได้ไม่นานก็หมดตัว นั่นเพราะหลักธรรมฟ้า มักจะเป็นอริกับเต็มล้น เพราะฉะนั้น การหยิ่งยโสที่ยังแสดงได้ไม่เต็มที่ ตนเองนั่นแหละเป็นผู้พบกับภัยพิบัติเสียก่อน สภาพเช่นนี้ลองดูได้ไม่ผิดหรอก ! 

นิทาน  :  เมื่อก่อนมีเศรษฐีอยู่คนหนึ่ง ชื่อ หยางชี นิสัยเป็นคนละโมบ ความรู้ตื้นเขิน จิตใจก็คับแคบ สะสมเก็บหอมรอมริบเงินทองจนทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทุกวัน เพื่อนของเขาชื่อเฉินตงถัง ก็เตือนเขาว่า  "คำว่า หมดสิ้น คือ การสะสมจนร่ำรวย แต่ไม่รู้จักการให้ทาน ต้องได้พบกับภัยประหลาด เธอทำไมไม่ทำความดีเช่นการให้ทานบ้าง เพราะความดีจึงจะสามารถรักษาทรัพย์ของเธอได้ยาวนานขึ้น !"  แต่หยางชี ไม่สนใจฟังคำตักเตือนของเฉินตงถังเลย เวลาผ่านไปอีก 2 - 3 ปี เฉินตงถังก็บอกกับคนอื่นว่า "ตามที่ข้าได้สำรวจตรวจตรา เคราะห์ภัยของหยางชีใกล้จะถึงแล้ว เมื่อก่อนนี้เพียงแต่ใจละโมบตระหนี่เท่านั้น ทำให้คนพากันดูแคลนเขาเท่านั้น มาระยะหลัง ๆ นี้ ได้ข่าวว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก ยิ่งถี่ยิ่งนับวันจะยโสและอันธพาลขึ้นทุกที ทำตัวเหยียดหยามผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล เรื่องชั่วร้ายต่าง ๆ ก็ทำนี่เป็นเพราะตนเองเร่งหาเคราะห์ภัยใส่ตัวเร็วเข้ามิใช่หรือ หลังจากเฉินตงถังพูดไว้ได้ไม่นานนัก หยางชีก็ถูกพวกโจรปล้นและฆ่าตาย

คติ  :  คนโบราณว่า "ประหยัดอ่อนน้อม คือการเริ่มต้นของคนมีบุญวาสนา ตระหนี่ หยิ่งยโส คือลางบอกเหตุของคนที่จะมีเคราะห์ภัย เพราะฉะนั้น คนที่บำเพ็ญบุญวาสนาก็จะค่อย ๆ ได้รับโชคมงคล กับคนที่กล้าทำเรื่องชั่ว ที่สุดก็จะล้มฟุบไม่เป็นท่า ตั้งแต่โบราณมาถึงกาลปัจจุบัน ตัวอย่างแบบนี้ มีมากมายก่ายกองนัก !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : หลบเลี่ยงไม่ละอาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/03/2012, 05:56
                                คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  หลบเลี่ยงไม่ละอาย

อธิบาย  :  การไม่เผชิญหน้ากลับหลบเลียง ทั้งหาทางหลบเลี่ยงโดยหวังโชคช่วย ใจไม่มีความละอายเลยสักนิด พระพุทธองค์ว่า "อาตมามีธรรมสองคำสามารถช่วยเหล่าเวไนยได้ อะไรคือธรรมสองคำ คำหนึ่งเรียกว่า  "ละ"  อีกคำเรียกว่า "อาย"  ท่านขงจื่อว่า "การกระทำตนเองมีความละอาย" หมายความว่า "การกระทำนอกลู่นอกทางของตนเอง ใจต้องมีความรู้สึกละอาย !" ในบทบันทึกจริยธรรมว่า "เผชิญความลำบากห้ามหลบเลี่ยง" หมายถึง"ขณะที่กำลังเผชิญกับภัยและความลำบาก อย่าได้เผื่อใจหาทางให้ตนเองได้โชควาสนา หลบหลีกความทุกข์ยากและเคราะห์ภัยได้"  สมัยนี้คนส่วนมาก เป็นคนที่ไม่ห่วงศีลธรรมหรือกฏหมายที่กำหนดไว้โดยหวังให้ตนเองมีโชควาสนา หลบเลี่ยงเคราะห์ภัยได้เป็นพอ ทั้งยังไม่รู้สึกละอายใจเลย คนแบบนี้ไม่มีคุณสมบัติห่างไกลจากความเป็นคนยิ่งนัก ! 

นิทาน  :  ในสมัยถัง ทั้งเกอฝู่อวี่และอันหลู่ชัน ต่างเป็นขุนพลในราชวงศ์ถัง ทั้งสองมักมีเรื่องที่ต้องกระทบกระทั่งชิงดีกัน ไม่ยอมลงให้แก่กัน เมื่อครั้งที่อันหลู่ชันเกิดกบถ เกอฝู่อวี่ถูกทหารของอันหลู่ชันจับได้ ถูกพามาอยู่ต่อหน้าอันหลู่ชัน  อันหลู่ชันก็พูกกับเกอฝู่อวี่ว่า "เมื่อก่อนนี้เจ้าดูถูกข้าบ่อย ๆ ตอนนี้เจ้าพูดซิจะทำอย่างไรดี ?" เกอฝู่อวี่ก็หมอบลงตรงหน้าอันหลู่ชัน กล่าวว่า "ตาเนื้อของบ่าว ไม่สามารถรู้จักผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างท่านได้ !"  อันหลู่ชันได้ฟังก็หัวเราะใหญ่ แล้วก็แต่งตั้งให้เขาเป็นชีคง (หัวหน้ากองที่ดิน)  ต่อมาอันหลู่ชันก็ฆ่าพวกขุนพลของถังที่มาสวามิภักดิ์ทั้งหมด เกอฝู่อวี่ก็ถูกฆ่าด้วย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เหมาเอาคุณ ป้ายความผิด
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/03/2012, 10:09
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เหมาเอาคุณ  ป้ายความผิด

อธิบาย  :  เอาความดีความชอบของผู้อื่นมาเป็นคุณของตน เพื่อสร้างภาพพจน์ของตนให้ดูดี แล้วเอาความผิดของตนป้ายไปให้ผู้อื่น มุ่งหวังผลประโยชน์ของหน้าที่การงาน ไม่ใช่สิ่งที่ตนได้ให้คุณแต่กลับเหมาเอา (ขี้ตู่)  เป็นคุณของตนเอง อย่างนี้เป็นการดูดีชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามได้ศึกษาสืบลึกลงไปก็จะรู้ความจริง ไม่เพียงฝ่ายตรงข้ามจะไม่ขอบคุณตนแล้ว กลับจะดูถูกตนว่าเป็นผู้สร้างเรื่องไม่มีก็ว่ามี อันที่จริงความผิดที่ตนสร้างขึ้นก็คิดที่จะป้ายไปให้คนอื่น ความจริงแล้ว แผนการณ์โยนความผิดให้ผู้อื่นได้ผลแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อฝ่ายตรงข้ามสืบค้นก็จะพบความจริง เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะไม่อภัยให้เราแล้ว กลับเพิ่มความเกลียดชังเบื่อหน่ายและเขี้ยวกับตนมากยิ่งขึ้น นี่เพราะคนใจคับแคบทำเรื่อง คับแคบเห็นแก่ตัวโดยแท้ ! 

นิทาน  :  หวังหุ้ย มหาอำมาตย์สมัยซ่ง มึคนมาไหว้วานเขา หวังใหห้ช่วยเหลือตนให้เลื่อนยศ หรือไม่ก็หางานที่ดีให้ทำ หวังหุ้ยจะทำหน้าเคร่งครัดแล้วบอกปัด ถ้าหากมีใครที่ถูกหวังหุ้ยช่วยเหลือหรือได้งานเขาก็จะปกปิดไม่บอกให้เจ้าตัวได้รู้ บุตรชายของหวังหุ้ยพูดกับเขาว่า  "พ่อท่าน ท่านทำไมไม่บอกคนเหล่านั้นว่า พวกเขาเป็นคนที่ท่านได้ช่วยเหลือเล่า ?."  หวังหุ้ยตอบว่า  "ลูกเอ๋ย !  การใช้คนดีคนเก่งเป็นธุระของพระเจ้าอยู่หัว หากไปบอกพวกเขา ทำให้เขารู้ว่าใครเป็นผู้สนับสนุน ใครเป็นผู้ช่วยเหลือ ก็จะเป็นการอคติเห็นแก่ตัว เป็นการขายคุณส่วนตัวไป" 

อธิบาย  :  การนิ่งเฉยรับเป็นความผิดของตน โดยไม่ป่าวประกาศความผิดของเพื่อน จิตใจที่ได้บ่มเลี้ยงเช่นนี้ จึงไม่นับว่าอยู่เหนือคนทั่ว ๆ ไปเป็นหมื่น ๆ เท่าหรอกหรือ ?.  คนที่ได้รับการบ่มเลี้ยงเช่นนี้ ไฉนเลยจะเอาความผิดของตนป้ายไปให้ผู้อื่นเล่า ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : โยนเคราะห์ขายชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/03/2012, 11:03
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  โยนเคราะห์ขายชั่ว

อธิบาย  :  เอาเคราะห์ภัยตนเองโยนไปให้ผู้อื่น เหมือนแต่งลูกสาวไปกับคนอื่น ความชั่วบาปถ่ายโอนไปให้ผู้อื่น เหมือนการขายของให้ผู้อื่นต้องมีคนรับซื้ออันที่จริงคนแบบนี้ในเมืองมีไม่น้อย จิตใจเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจมาก คนแบบนี้ผลลัพธ์สุดท้ายน่ากลัวนัก เพราะในที่สุดแล้วเคราะห์ร้ายที่โยนออกไป ความผิดที่ขายไปก็ย้อนกลับมาสู่ตัว เพราะฉะนั้น การกระทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีเลย ! 

นิทาน  :  ที่เมืองเจ๋อเจียง มีคนชื่อ เฉินชี เป็นคนที่ไม่เอาถ่าน ขอเพียงในหมู่บ้านเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกัน เขาก็จะไปหาฝ่ายหนึ่งแล้วพูดว่า "พวกท่านหาเหล้ามาให้ข้า ๆ จะดื่มจนเมา เอาเงินมาให้ข้า ๆ จะไปแก้แค้นมัน ข้าจะเอาความยุติธรรมมาให้"  ก็ให้มีคนตอบรับ เขาก็อาศัยความเมาไปคิดบัญชีฝ่ายตรงข้าม  ไปด่าทอ ไปตบตี เขาทำเต็มที่ เขายังช่วยวางแผนแก้แค้น ขอเพียงได้เงินก็ทำให้ เรื่องเลวทั้งหลายรับทำหมด มีอยู่วันหนึ่ง เขาก็ถูกคนจ้างให้ไปรับโทษที่จวนอำเภอ ในที่สุดก็ถูกลงโทษตีจนตาย แถมศพถูกโยนอยู่ข้างถนนหน้าจวน คนมาเห็นเข้าก็ด่าว่าและหัวเราะเขาว่า "เฉินชีเอ๋ย !  ชั่วก็ขายได้ มิน่าชีวิตก็ขายได้ใช่ไหม ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ซื้อยศจอมปลอม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/04/2012, 07:52
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ซื้อยศจอมปลอม

อธิบาย  :  ยศฐาบรรดาศักดิ์ซื้อหาเอาได้ เพื่อจะได้รับการสรรเสริญจากผู้อื่น ท่านเมิ่งจื่อว่า "สิ่งมีอยู่ภายใน ย่อมเป็นรูปภายนอก"  ท่านวงจื่อว่า "นามนั้น ที่แท้เป็นอาคันตุกะ"  เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนจึงสามารถซื้อหาเอามาทำไม ?. การซื้อหามาต้องใช้เงินทองหรือไม่ก็ต้องวางแผนเกี่ยวเอามา คือ ต้องใช้วิธีการกล่อมเอาด้วยเล่ห์กระเท่ห์ พวกเรามักพบเห็นได้เสมอ ๆ ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีหรือบุตรกตัญญู หรือหญิงหม้ายผู้สงวนตัวตลอดจนสุภาพชน เมื่อถึงคราวที่พวกเขามีเกียรติยศเสวยสุข ก็ต้องพบกับสภาพความลำบาก ได้รับอันตรายอุปสรรคมาบ้าง เช่นนี้เป็นเพราะเหตุใด ?. อันที่จริงแล้วชื่อเสียงเป็นบุญตอบสนองอีกชนิดหนึ่ง แต่ฟ้าดินผีสางเทวดาจะไม่ยอมปล่อยให้คน ๆ หนึ่งได้รับบุญตอบสนองครบสมบูรณ์หมดหรอก เพราะฉะนั้นถ้าด้านหนึ่งอุดมสมบูรณ์ ก็ต้องให้อีกด้านหนึ่งพร่องขาด  มันเป็นหลักธรรมที่แน่นอน ตามความเป็นจริงแล้ว การซื้อที่ได้มาไม่เป็นไปตามความจริง แต่ดันทุรังไปซื้อหาเอามาเช่นนี้  ดังนั้น อุปสรรคที่เขาจะต้องเจอะเจอเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ถึง ท่านอูเถี่ยเจียวกล่าวว่า  "ปัจจุบันมีนักศึกษา บทความของเขาสามารถพิมพ์เป็นเล่มเผยแพร่ไปได้ทั่ว แต่ทุกครั้งที่สอบเขากลับสอบไม่ติด ข้าราชการบางคนมีชื่อเสียงมากในหมู่ชาวบ้าน ประชาชนต่างสรรเสริญถึงการปกครองของเขาว่ามีคุณธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็ยังรั้งอยู่กับตำแหน่งเก่านานนับสิบปี โดยไม่มีโอกาศได้เลื่อนยศเลย คงเป็นเพราะเขาขาดการซื้อยศตำแหน่งกระมัง ! 

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ฉินซีอี๋ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ได้เคยกล่าวเตือนจ้งฝั้งว่า "นับตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ชื่อเสียงเป็นเครื่องเล่นสวยงาม ที่ผู้คนยินดีชื่อชอบแต่กลับผีสางเทวดากลับเป็นเรื่องอริยอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นใต้ฟ้าดินนี้ จะไม่มีใครมีชื่อที่งดงามสมบูรณ์ได้ !  ตอนนี้ชื่อเสียงของเธอกำลังมาแรง แต่ต้องมีอะไรมาทำลายเธอแน่นอน ทำให้เธอล้มเหลว เพราะฉะนั้น เธอต้องระมัดระวังเป็นพิเศษนะ !"  ต่อมาชีวิตช่วงปลายของเขารักษาไม่อยู่ เป็นจริงดังว่า เป็นเพราะที่เขาใช้รถนั่งตกแต่งหรูหราฟุ่มเฟือยเกินไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงสูญเสียชื่อเสียงที่งดงามนั้นไป 

        ด้วยความสามารถของจ้งฝั้ง แต่เป็นเพราะตนเองเสวยสุขในวัตถุเกินไปจนล้มละลาย แล้วปัจจุบันพวกที่มีชื่อเสียงจอมปลอม  บทนิพนธ์ปลอม  เรียนธรรมจอมปลอม  เป็นผู้ดีจอมปลอม  ทั้งที่นั่นที่นี่ต่างช่วยกันกระพือแบรนแนมสร้างระดับกัน เมื่อความล้มสลายของอนาคตมาถึง เมื่อน้ำลดตอผุด คิดไม่ถูกเหมือนกันว่าจะออกมาในรูปแบบไหน พวกเราก็พบกันได้บ่อยไป เมื่อคนระดับมีชื่อเสียงได้รับภัยเคราะห์ เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้วแย่กวากันมากนักเพราะฉะนั้น พวกมีชื่อจอมปลอม ควรเอามาเป็นอุทาหรณ์สอนตัว คนที่สร้างชื่อจอมปลอม ไม่เพียงตัดบุญของตนเท่านั้น ยังเป็นการชักนำภัยเคราะห์ที่ร้ายแรงมาถึงตัว เพราะฉะนั้น การทำความดีสร้างกุศล ที่มีค่ายิ่ง คือไม่ต้องให้ใครรู้ จึงจะเป็นกุศลลับแท้ เบื้องบนจะสนองตอบไม่เหมือนกันแน่นอน
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : หน้าเนื้อใจเสือ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/04/2012, 08:09
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  หน้าเนื้อใจเสือ

อธิบาย  :  ใบหน้าจะยิ้มแย้มต้อนรับคนอย่างดี เหมือนคนใจดี แต่ภายในกระดูกจะคตงอ เต็มไปด้วยอันตราย ใจเหี้ยมกว่าเสือ  ศุรางคมสูตรว่า "พื้นใจราบเรียบแล้ว โลกนี้ก็มีสันติภาพ"  หมายความว่า จะรู้สภาพทุกสิ่งอย่างก็อยู่ที่ใจสร้างขึ้น เมื่อถึงคราวที่ใจของพวกเราสามารถทำให้เสมอภาคกันได้อย่างแท้จริงแล้ว ก็สามารถที่จะโดนใจโน้มน้าวให้โลกเปลี่ยนแปลงมีสันติภาพได้  เพราะว่าคนที่มีจิตใจเลวทรามโหดเหี้ยม ในทรวงอกจะเก็บซ่อนอาวุธร้าย เพราะรอคอยจนคนไม่ระวังสังเกต ระหว่างที่พูดจายิ้มแย้ม เขาก็สามารถปล่อยอาวุธร้ายออกมาได้ยามคนเผลอ คนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ แม้ภูเขาสูง สันเขาชัน  แม่น้ำลึกที่ไหลเชี่ยวกราก ก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านเหลี่ยวฝานกล่าวว่า "ผีสางเทวดาฟ้าดินเบื่อหน่ายที่สุดก็คือ คนที่โหดเหี้ยม  เพราะฉะนั้น การตอบสนองของฟ้าดินต่อคนโดหดเหี้ยม การลงโทษจึงมักหนักเป็นพิเศษ  เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะ ! 

นิทาน  :  ขุนนางใหญ่ ลี่อี่ปู่ ในสมัยถัง เป็นผู้ร่วมบริหารราชการแผ่นดิน ตำแหน่งคล้ายมหาอำมาตย์ ใบหน้าของเขาละมุนละมัยและอ่อนน้อม เวลาเจรจากับใครใบหน้าเขาจะยิ้มเล็กน้อย แต่ความเป็นจริงแล้วเขาคตในข้องอในกระดูก โหดเหี้ยมมาก อิจฉา ใจแคบ ชอบใส่ร้ายทำลายคน คนในสมัยนั้นต่างเรียกเขาว่า "มีมีดในรอยยิ้ม"  และเนื่องจากมือสังหารของเขาจะนิ่มนวล คนในสมัยนั้นจึงเรียกเขาว่า "แมวลี่"  ตอนหลังเกิดเรื่องขึ้นถูกราชสำนักปลดออกจากตำแหน่งและเนรเทศไปอยู่ที่กันดารจนตาย ลูกหลานก็ตายสาปสูญ !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ขัดขวางความดีเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/04/2012, 08:11
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ขัดขวางความดีเขา

อธิบาย  :  ขัดขวางความดีผู้อื่น ทำให้เขาไม่ก้าวหน้า  บัณฑิตย่อมยินดีเจรจาถึงเรื่องดีของผู้อื่น และไม่อำพรางปิดบังความชอบของผู้อื่น อันความดีของผู้อื่นนั้น ควรช่วยกันบ่มอบรม ทำให้เขาสามารถก้าวหน้าขึ้นไปจนกว่าจะมีประกายแจ่มใสสุดความสามารถของเขา  ถ้าหากไปขัดขวางกดทับเขาไว้จนโงหัวไม่ขึ้นหรือหมดกำลังใจ การที่เราไม่สามารถช่วยเจริญพัฒนาความดีของเขาเป็นเพราะความอิจฉาของตนเอง เข้าทำนองไม่อยากให้คนอื่นได้ดี ข้ามหน้าข้ามตาตนเอง ! 

นิทาน   :  นักกวี เหลียวชิง ในสมัยซ่ง แต่งกลอนเก่งมาก มีชื่อเสียงดี เขามักไปเที่ยวในเมืองหลวงบ่อย ๆ มีคนเอากลอนที่เขาแต่งเขียนไว้ที่กำแพงพระราชวัง ฮ่องเต้ซ่งจิงจงเห็นกลอนของเหลียวชิงเข้าก็ยกย่องชมเชยเป็นอย่างมาก ทั้งยังถามว่า "กลอนนี้ใครเป็นผู้แต่ง ! คนนี้แต่งกลอนดีมาก ขุนนางผู้ใหญ่ทำไมไม่ช่วยแนะนำให้ข้า" ขุนนางกังฉิน เต็งอุ้ย กราบทูลฮ่องเต้ว่า "นิสัยของคนนี้สู้กลอนเขาไม่ได้ !" จากนั้นมา ฮ่องเต้ก็ไม่ถามไถ่อีกเลย !  จิตใจของเต็งอุ้ย  โหดร้ายเช่นนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงตายไม่ดี โอ้ ! ขัดขวางกดทับผู้อื่น รู้เพียงว่าต้องการปิดบังความดีของคนอื่นจึงทำเช่นนี้ ทำให้ตนเองขาดคุณธรรม !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ปิดบังความชั่วตน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/04/2012, 09:49
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปิดบังความชั่วตน

อธิบาย   :  ปิดบังปกป้องความชั่วตน โดยไม่รู้จักว่าแก้ไข คนพาลย่อมที่จะละเมิดหลักธรรมฟ้า ไม่สนใจธรรมะ จึงปกปิดอำพรางความผิดของตน แค่นั้นยังไม่พอ แถมยังเปรียบเทียบว่าตนเองสูงกว่าผู้อื่น อ้างชาติตระกูลสูงยศศักดิ์สูง เป็นต้น คือเอาแต่ได้ !  พวกเขาไม่รู้เลยว่า หลักธรรมฟ้าละเมิดไม่ได้ คือปิดฟ้าไม่มิด การปกปิดอำพรางความผิดของตนนั้น มีอยู่หลายชนิดหลากรูปแบบ คืออย่างไรเสียก็ยังไม่ยอมรับความไม่ดีของตน ก็เหมือนกับคนเจ็บป่วยที่ควรต้องรีบรักษา  หากปิดบังไม่ยอมรักษาก็จะเสียโอกาสการรักษาไป เมื่อปล่อยให้เจ็บหนักจนอันตรายเสียชีวิตก็สายเสียแล้ว ท่านจูไจ้อั้นกล่าวว่า "การปิดบังความผิดไม่ใช่แค่ปกป้องความชั่วของตนเท่านั้น แม้แต่ลูกหลานคนในบ้าน หรือแขกของครอบครัวก็ตาม สิ่งที่กระทำผิดมีโทษบาปไม่ถูกต้องต่าง ๆ ก็ถือเป็นการปิดบังความผิดทั้งนั้น ถ้าหากเราไม่รีบตรวจสำรวจป้องกันไว้เสียแต่เนิ่น ๆ ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความชั่ว โทษมหันต์ได้ แม้กระทั่งผู้เป็นบิดามารดาที่ไม่สั่งสอนบุตรหลานอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะมารดาที่ชอบคอยปกป้องปิดบังความผิดของลูก ๆ ไม่ให้ผู้เป็นบิดารู้ ซึ่งถือว่าเป็นนิสัยที่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง เขาเรียกว่าเป็นโรคใหญ่อย่างหนึ่ง !" 

นิทาน   :  นายลี่สู้เขิ่น มีหน้าที่งานโยธาของเมือง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริิตสะอาด แม้การพูดจาการกระทำก็นอบน้อมถ่อมตน ผู้ร่วมงาน นายซุนหยงเป็นคนพาลที่มีเล่ห์เหลี่ยมอันตราย นายซุนหยงกลัวนายลี่สู้เขิ่น จะเปิดโปงความชั่วของตน ทั้งยังมีความอิจฉาริษยาอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงรีบสร้างเรื่องกล่าวหาทำร้ายลี่สู้เขิ่น  นายลี่สู้เขิ่นไม่สามารถเถียงเอาชนะเพื่อความโป่งใสของตนเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีความอัดอั้นเครียดจนล้มป่วยและล้มตายไปในที่สุด ลูกเมียก็โศกเศร้าเจ็บแค้นจนผูกคอตายตามกัน ไม่นานนักนายซุนหหยงก็ถูกฟ้าผ่าตาย ที่สีข้างของเขาปรากฏมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า "ปิดบังความชั่วตน ทำลายคนดี"

นิทาน   :  ในสมัยหมิง รัชสมัยเหวินเจินกง นายฉีไค้ ได้รับคำสั่งไปดูแลการศึกษาที่ภาคกลางของมณฑลเจ๋อเจียง มีบัณฑิตชิ้วไฉ คนหนึ่ง ในบทสอบเรียงความของเขาเขียนว่า "หยวนหุยทนลำบากบนโต๊ะขงจื่อ"  ท่านฉีไค้ก็ลบทิ้งและเขียนกำกับว่า "ยกเมฆ"  แล้วก็เรียงอันดับสอบไว้ที่ ๔  ทั้งยังจะลงโทษเขาด้วย บัณฑิตชิ้งไฉจึงเข้ากราบเรียนนายฉีไค้ว่า  ข้อความ  "หยวนหุยทนลำบากบนโต๊ะขงจื่อ"  มีอยู่ในหนังสือของท่านหยางจื่อฝ่า ไม่ใช่เป็นการเขียนยกเมฆของกระผม"  ท่านฉีฟังแล้วก็ลุกขึ้นมาพูดกับบัณฑิตชิ้วไฉว่า "ฉันโชคดีที่ได้รับราชการก่อนเธอ ความจริงแล้วฉันไม่มีความรู้อะไรมากนัก เพราะฉะนั้นก็เลยบกพร่อง กล่าวโทษเธอไป เป็นความผิดพลาดหนักนัก !"  เพราะฉะนั้น จึงแก้ไขปรับให้เธอได้อันดับหนึ่ง ผู้คนในสมัยนั้นต่างก็พากันชื่นชมถึงน้ำใจมีใจกว้างของท่านฉีเป็นอันมาก ต่อมาตำแหน่งของท่านฉีได้เป็นถึงมหาบัณฑิต

        คนทที่มีบุญวาสนา น้ำใจจะกว้างสามารถรับได้ทุกอย่าง เมื่อผิดพลาดก็จะไม่ปิดบังความผิดของตนเองไว้ เมื่อเห็นนิทานนี้ก็จะเข้าใจในหลักธรรมนี้ผู้ที่จะเรียนพุทธธรรม ก่อนอื่นต้องขจัดอัตตาของตนเองออกไปก่อน พูดถึงขันติก็ต้องกล่าวถึงการกดข่มตนเองไว้ก่อน สิ่งเหล่านี้ก็คือ การขจัดโรคปกปิดความชั่วของตนเองทั้งนั้น !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ใช้อิทธิพลข่มขู่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/04/2012, 08:41
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้อิทธิพลข่มขู่

อธิบาย   :  การใช้อำนาจอิทธิพลข่มขู่ บังคับขู่เข็ญเอาด้วยพละกำลัง ก่อนหน้านี้เราพูดถึงคำ "อวดอำนาจข่มขู่"  มีความหมายใช้อำนาจอิทธิพลข่มขู่ตาม
อำเภอใจแค่นั้น แต่การใช้อิทธิพลข่มขู่ คือการใช้พละกำลังจริง ๆ อย่างเช่น ข้าราชการใช้บทลงโทษรุนแรงมาข่มขู่ราษฏร เช่น บังคับราษฏรมาทำงาน ทั้งยังมีกำหนดให้งานต้องเสร็จ เป็นต้น หรือพวกที่ทวงหนี้เก็บเงิน เร่งรัดข่มขู่ยิ่งกว่าพญายม หรือพวกเศรษฐีที่ข่มเหงรังแกผู้หญิง หรือข่มขู่ให้ขายนา ขายที่
ดิน  หรือใช้มาตรการรุนแรงในการตามหนี้หรือทวงค่าเช่า เป็นต้น ล้วนเป็นการใช้อิทธิพลข่มขู่ทั้งสิ้น พวกนี้ต้องถูกฟ้าพิโรธหรือชาวบ้านแค้นสักวัน ไม่มีหรอกที่ไม่ถูกกรรมตามสนอง ! 

นิทาน   :  สมัยฮั้นมีประวัติบันทึกไว้ ที่เมืองชวนเฉิน เจ้าเมืองนามว่า เจียวฟง ทั้งโลภมากทั้งป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าเมืองเจียวฟง ได้กลายเป็นเสือตัวหนึ่ง เข้ามาเที่ยวกินคนในเมือง ชาวบ้านก็พบเสือตัวนั้นเข้าก็ร้องเรียกว่า เจ้าฟง !  พูดแล้วก็แปลก เมื่อเสือได้ยินชาวบ้านเรียกว่า เจ้าฟง !มันก็เชื่องลงกวักแกว่งหาง ในที่สุดมันก็จากไป ในตอนนั้นชาวบ้านก็แต่งเพลงพื้นบ้านว่า "อย่าเอาอย่างเจ้าเมืองฟง ยามมีชีวิตไม่บริหารบ้านเมือง ยามตายแล้วก็เที่ยวกินคน"  ความหมายคือ  "เมื่อรับราชการก็อย่าเลียนแบบเจ้าเมืองฟง !  ยามมีชีวิตอยู่ก็ไม่บริหารงานราชการดี ๆ แม้ตายแล้วก็กลายเป็นเสือมากินคน" นิทานเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ประชาชนและข้าราชการเป็นกระจกส่องตน" 

อธิบาย  :  ตระกูลร่ำรวย ถ้าใช้อิทธิพลบังคับข่มขู่ชาวบ้านถือว่าไม่เป็นผู้ชนะ ทำไมพวกเขาจึงมีลูกพันธุ์นี้ด้วย หากเข้าใจได้กว้าง ถึงใจที่เมตตาตอนวัยเด็กว่า ทุกเรื่องล้วนจะเตือนพ่อแม่ไม่ให้ใช้อิทธิพลข่มขู่บังคับ จึงเป็นการสั่งสมบุญกุศล เช่นนี้จึงจะได้รับโชควาสนาตอบสนอง เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทำลายฆ่าป่าเถื่อน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/04/2012, 09:04
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายฆ่าป่าเถื่อน

อธิบาย   :  ปล่อยให้ฮึกเหิมกระทำป่าเถื่อน ทำลายล้างฆ่าผู้คน การทำลายฆ่าป่าเถื่อนนี้ไม่ใช่พวกขุนพล รัฐมนตรี ข้าราชการ เท่านั้นที่ทำผิดได้ ราษฏรก็ทำผิดได้เช่นกัน แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือ การใช้กองทหารมาทำลายล้างฆ่าอย่างป่าเถื่อน อันดับถัดไปก็คือ ขบวนตุลาการที่ใช้ระบบพิพากษา ซึ่งง่ายที่จะลงโทษผู้บริสุทธิ์ การกระทำเช่นนี้ ถือว่าป่าเถื่อนที่สุดแล้ว ทั้งยังปล่อยให้ใจกระหยิ่มกระทำรุนแรง !  แบบนี้เผยให้เห็นถึงการกระทำชั่วยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วอย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้ใช้พละกำลังฮึกเหิมกระทำป่าเถื่อน แต่ถ้าไม่ฮึกเหิมป่าเถื่อน กลับกันมีใจกรุณาปลดปล่อย ก็จะช่วยชีวิตคนได้อีกจำนวนมาก แบบนี้ก็เผยให้เห็นการกระทำของใจที่การุย์ 

        "ทำลายฆ่า"  มิใช่กระทำแต่กับชีวิตคนเท่านั้น ยังรวมมหมายถึง การทำร้ายชีวิตสัตว์ด้วย นี่ก็เป็นเรื่องที่ควรรู้เอาไว้ด้วย

        นิทาน   :  ในสมัยหยวน ที่เมืองกวางโจว หวงถงจือ สองสามีภรรยา ต่างก็ล้มป่วย ถึงแยกเตียงนอน พักผ่อนรักษาไข้ ภรรยาเขาได้ฝันถึงยมโลก ยมทูตได้ถือสารและสมุนหลายคน มือก็ถือโซ่ตรวนกุญแจ แล้วก็เปิดมุ้งของเธอ ขณะที่จะจับเธออยู่นั้น ก็พูดว่า  "อี้ !  ไม่ใช่คนนี้นี่ !"  แล้วก็ตรงไปที่เตียงตรงข้าม เปิดมุ้งตรวจดูและพูดว่า " ใช่แล้วคนนี้นี้แหละ !"  สามีภรรยาต่างก็ตกใจตื่น นายจวงถงจือ จึงพูดกับภรรยาว่า "ฉันต้องตายไม่ต้องสงสัยเลย !  เพราะตอนที่ข้ารับคำสั่งที่เมืองเจียวอัน ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปหลายคน ตอนนี้พวกเขาพากันมาทวงชีวิตจากข้าแล้ว"  วันรุ่งขึ้น นายหวงถงจือก็ตายลง 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ตัดผ้าไร้เหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2012, 04:00
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ตัดผ้าไร้เหตุ

อธิบาย   :  ไม่มีเหตุผลก็เอาพวกผ้ามาตัด หรือตัดผ้าแพรต่วนเล่น ในสมัยโบราณ เครื่องทอผ้ายังไม่เจริญ ผ้าที่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ล้วนต้องใช้สตรีเป็นผู้ถักทอ กว่าจะทอผ้าได้แต่ละผืนต้องใช้ด้ายนับพัน ๆ เส้น ผ่านการสางด้วยมือ ถ้าจำนวนไม่พอหรือไม่ครบก็ยังลงมือทอไม่ได้ ผ้าแต่ละผืนจึงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาล แล้วเราจะทนที่จะตัดผ้าให้เสียหายได้อย่างไร ยิ่งพวกแพรไหมแล้ว จะต้องอุทิศด้วยชีวิตของตัวหนอนนับหมื่น ๆ ชีวิต จึงจะสำเร็จ จึงยิ่งต้องทะนุถนอมผ้าให้มาก ๆ ถ้าตัดเล่นโดยไม่มีสาเหตุไม่ได้ ถ้าตัดเพื่อทำเป็นเสื้อผ้าใส่ก็ไม่ถือเป็นความผิดอะไร

นิทาน   :  ภรรยาของจ้าวสือโจว นางหวังซื่อ ตายไปหลายวันแล้ว วิญญาณได้มาเข้าร่างสาวใช้และพูดว่า "ยามมีชีวิตฉันชอบสุรุ่ยสุร่าย ใช้้ผ้าแพรต่วนไหมไปมาก เวลาล้างเท้าสระผมก็ใช้น้ำมากมาย ทางยมบาลก็เอาเรื่องนี้กำหนดลงโทษฉัน จะถูกเฆี่ยนตีทุกวัน ๆ ฉันหวังว่าพวกเธอจะเอาเรื่องของฉันช่วยไปบอกคุณสือโจวด้วย !"  คนในบ้านของจ้าวสือโจวได้ยินแล้วต่างรู้สึกไม่สบายใจ

นิทาน   :  ในบ้านของจูอู๋ซี่ ร่ำรวยมั่งมี ภรรยาเขาใส่เสื้อผ้าล้วนมีราคาและมีแบรนด์แนม เสื้อผ้าจะมีการปักลายสีสัน ล้วนทำมาจากไหม แม้แต่ถุงเท้าก็ทำจากแพรต่วน บรรดาเมียน้อยก็ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายไม่น้อย ต่อมานายจูอู๋ซี่ก็ตายลง หลังจากนั้นบรรดาเมียของเขาก็ตกอับ แม้แต่ถุงเท้าขาด ๆ ก็ยังใส่ จะไปขอผ้าคนอื่นสักฟุตหนึ่งก็ยากมาก

อธิบายต่อ   :  ลองดูฮ่องเต้ กษัตริย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างฮ่องเต้เหวินกง สมัยจิ้น ถึงแม้อากาศจะเย็นก็ไม่ยอมใส่เสื้อขนสัตว์สองตัว หลิวว่งจู่มักใส่ผ้าฝ้ายขาด ๆ ไว้ข้างใน พระสนมของฮ่องเต้ฮั้นเหวินตี้ สวมเสื้อผ้ากระโปงก็จะไม่ให้ลากถึงพื้น  ราชินีหม่าของกษัตริย์ไท้จูในราชวงศ์หมิง จะใส่แต่ไหมหยาบ กษัตริย์ถังเหวินจง มักจะยื่นแขนเสื้อให้เหล่าขุนนางดู แล้วพูดว่า "เสื้อตัวนี้ที่ใช้แล้วได้ผ่านการซักถึง ๓ ครั้ง"  (ประเทศจีนกรุงปักกิ่ง  อากาศหนาว เพราะฉะนั้น เสื้อผ้าจะใส่กันทีละหลาย ๆ เดือน จึงจะซักกันที)  กษัตริย์ชงอี่จู เห็นพระธิดาฉลองชุดสั้นปักลายมีสีสัน ก็จะสอนนางว่า "มั่งมียศศักดิ์ก็ต้องรู้จักถนอมบุญ !"  ที่กล่าวถึงบรรดากษัตริย์ก็ดี ราชินีก็ดี พระสนมก็ดี องค์หญิงก็ดี ถ้าเอาความเป็นผู้ดีของเบื้องสูง ยังรู้จักถนอมบุญเช่นนี้  แล้วบ้านของราษฏรเล่ากลับแข่งขันกันแต่งตัว ประชันความเด่นดัง สุรุ่ยสุร่ายตามอำเภอใจเช่นนี้แล้ว ก็เป็นการเริ่มต้นสร้างวิบากกรรมสุรุ่ยสุร่าย อนาคตก็ได้รับเคราะห์ภัยจากการฟุ่มเฟือย ลองดูปัจจุบัน คนที่แทบจะไม่มีอะไรปิดตัว ต้องทนหิวโหยหนาวเหน็บ อาจเป็นลูกหลานของบ้านที่่ำร่ำรวย แต่งตัวฟุ่มเฟือยก็ได้นะ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ฆ่าสัตว์ไร้จริยธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2012, 05:56
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ฆ่าสัตว์ไร้จริยธรรม

อธิบาย   :  ละเมิดหลักจริยธรรม เข่นฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ในบันทึกบทจริยธรรมของท่านขงจื่อว่า "โอรสสวรรค์ ไม่มีเหตุผลจะไม่ฆ่าโคกระบือ  มหาอำมาตย์ไม่มีเหตุผลจะไม่ฆ่าแกะ  ข้าราชการไม่มีเหตุผลจะไม่ฆ่าสุกร สุนัข"  ท่านเมิ่งจื่อกล่าวว่า "ผู้เจ็ดสิบรับประทานเนื้อได้"  เพราะว่าอริยเจ้ามีคุณธรรมให้ชีวิิตเกิดขึ้น จึงไม่ฆ่าสัตว์ตามใจ จะมีต่อเมื่อมีการเซ่นสรวง เลี้ยงแขก เลี้ยงบิดามารดา จึงต้มตุ๋นเป็ดไก่ปลา จะกระทำด้วยความจำเป็น มิได้สอนให้ราษฏรไปฆ่าสัตว์ทุกวันมาต้มตุ๋นตามความพอใจของปากก็หาไม่ การทำแบบนี้ถือว่า ไร้จริยธรรม

        ท่านไท่ซั่ง เมตตาก็พูดไว้แต่แรกแล้วว่า  "หนอนหญ้าต้นไม้ทำลายไม่ได้"  การพูดกับชาวโลกก็ต้องมีขั้นตอนระดับหนึ่ง เพื่อให้ชาวโลกรู้จัก  "จริยธรรม"  เพื่อให้พวกเราไม่ก้าวล่วงกฏระเบียบ นี่คือ สิ่งที่อริยเจ้าอนุโลม ให้ใช้ด้วยความจำเป็น"  ศูรามคมสูตรว่า "ถ้าคนทั้งหลายไม่รับประทานเนื้อ ก็จะไม่มีใครไปฆ่าทำ้รายสรรพสัตว์เลย"  แต่คนในปัจจุบัน ไม่มีทางปฏิบัติถึงการงดเว้นรับประทานเนื้อสัตว์ได้  ก็สามารถใช้วิธีเริ่มต้นคือ ขจัดใจคิดฆ่าของตนเองก่อน ฝึกหัดไม่กินเนื้อสี่ชนิดของบุพชน  หนึ่ง เห็นสัตว์นั้นถูกฆ่าไม่กิน   สอง ได้ยินเสียของสัตว์ที่ถูกฆ่าไม่กิน   สาม สัตว์นั้นถูกฆ่าให้เรากิน ไม่กิน  และสี่ สัตว์ที่คนเลี้ยงเอาไว้ไม่กิน ให้เคร่งครัด รักษากฏ  ๔ ข้อนี้ ถ้าไม่กระทบต่อการกินปกติแล้วก็ถือว่าไม่ได้ฆ่าสัตว์ทำร้ายพวกเขา  ในปัจจุบันพวกโค กระบือ และสุนัข มันมีบุญคุณกับมนุษย์มาก จึงต้องงดกินเนื้อของมัน ถ้าหากทำได้ภาวะการฆ่าสัตว์ไร้จริยธรรม ก็จะลดน้อยลงได้

นิทาน   :  ที่เจียงไปย่ มีคน ๆ หนึ่ง ได้ยังนกห่านป่าตัวผู้ตัวหนึ่ง และก็นำมาทำอาหารรับประทาน ขณะนั้นนกห่านป่าตัวเมียก็บินมาดูและไม่ยอมจากไป และอาศัยจังหวะที่เขาเปิดฝาหม้อต้มอยู่นั้น ก็บินทิ้งตัวลงในหม้อให้ต้มรวมอยู่กับนกห่านป่าตัวผู้ ผู้คนแถบเมืองเจียงไปย่ได้รู้เรื่องนี้เข้า ต่างพากันซาบซึ้ง หลังจากนั้นพวกเขาก็เลิกกินนกห่านป่าอีก ในสมัยนั้น ก็มีนักกวีชื่อ หยวนเฮ่าเวิ้น ก็นำเอาซากนกห่านป่าคู่นี้ไปฝังรวมกัน และบริเวณที่ฝังนกก็ตั้งชื่อว่า เนินนกห่านป่า  แต่คนที่ยิงนกห่านป่าคนนั้น ไม่นานนักก็ตาย หลังจากเขายิงนกห่านป่า

นิทาน   :  มีนักศึกษาคนหนึ่งที่เมืองซินอัน ไปเรียนหนังสือที่หวงซาน เขาชอบจับลิงค่างตามภูเขามากินเป็นประจำ ต่อมาเมื่อภรรยาเขาให้กำเนิดลูก มีความทุกข์ทรมานมาก ท้ายที่สุดใหเกำเนิดลูกลิงค่างตัวหนึ่ง

นิทาน   :  มีนักฆ่าวัวชาวเมืองอวี่โจว ทุกครั้งที่เขาจะลงมือฆ่าวัว เขาจะเรียกลูกชายให้มายืนดูข้าง ๆ เพื่อเรียนวิชาฆ่าวัว หวังว่าอนาคตเขาจะได้รับหน้าที่อาชีพฆ่าวัวต่อไป มีวันหนึ่ง คนฆ่าวัวก็นอนหลับไป ลูกชายเห็นพ่อนอนหลับเป็นวัวตัวหนึ่ง จึงถือมีดเข้าไปแล้วสับหัววัว ทั้งยังสับจนหัววัวขาด ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์ต่างพากันตกใจ ก็ถามลูกชายว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้ เจ้าลูกชายตอบว่า "ฉันเห็นวัว ไม่ใช่เป็นพ่อฉันนี่ !  พ่อฉันมักสอนฉันให้ฆ่าวัว วันนี้ฉันเห็นวัวมันนอนอยู่ ดังนั้น จึงทดลองดู ตามที่พ่อฉันสอนให้ฆ่ามัน !" 

อธิบายเพิ่ม   :  บาปที่มนุษย์กระทำ เป็นบาปจากการฆ่าสัตว์หนักและร้ายแรงที่สุด และในบรรดาการฆ่าสัตว์ ถือว่าการฆ่าโค กระบือ บาปหนักที่สุด โดยเฉพาะคนที่กินเนื้อโค กระบือ มีบาปเท่ากับคนที่ฆ่าโค กระบือเลยทีเดียว ท่านเซียวตงไปย่ กล่าวว่า  "ฉันของเตือนชาวโลก อย่ากินนเนื้อโคกระบือ เพราะโคกระบือช่วยเหลือคนทำนา ลากรถ  มีบุญคุณต่อคนมาก กลับกันยังต้องถูกฆ่า ควรจะรู้เอาไว้ว่า ของที่เรากินนั้นมาจากไหน ?. เกินกว่าครึ่งเป็นความเหนื่อยยากของโคกระบือนะ !  พวกเราจะทนได้อย่างไร ที่ฆ่ามันมาเป็นอาหาร ?." ยังกล่าวอีกว่า "เมื่อโคกระบือถูกฆ่าแล้ว แม้ว่าร่างกายมันจะถูกแยกส่วนไปแล้วก็ตาม แตาดวงตาของมันยังเบิกโพลงอยู่เลย !  การเบิกโพลงลูกตาของมันหาใช่การเบิกเฉย ๆ นะ มันเบิกตามองดูคนที่ฆ่ามันต่างหากเล่า ดูคนที่กินเนื้อของมันว่าจะรักษาร่างกายได้นานสักแค่ไหน เวรกรรมและความแค้นเช่นนี้ ชาติหน้าไม่เกิดเป็นโคกระบือละก้อแปลกแน่ ๆ ?."  แม้แต่สุนัขยังมีบุญคุณกับมนุษย์เลย โดยเฉพาะมันจะจงรักภักดีกับเจ้าของมาก ๆ และก็ไม่มีพิษภัยกับมนุษย์เลย เพราะฉะนั้น การฆ่าสุนัขเอาเนื้อมากิน บาปกรรมก็ใหญ่เหมือนกัน ไม่เพียงแต่คนขายเนื้อหรือพลทหารที่ชอบกินเนื้อสุนัข แม้แต่นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนข้าราชการผู้ใหญ่ ก็ยังนิยมกินเนื้อสุนัข เป็นการกระทำดุจคนได้หน้า แค่นั้นยังไม่พอ ยังเปรียบเนื้อสุนัขเป็นเนื้อแพะด้วย จุดมุ่งหมายของคนเรียนหนังสือ คือต้องเข้าใจเหตุผล ทำไมจึงสับสนส่งเดชเช่นนี้ คุณซ่งอี้กล่าวว่า "ถ้าชาติปัจจุบันไม่เลิกนิสัยที่ชอบกินเนื้อสุนัขละก็  ชาติหน้าเกิดมาต้องมีหางติดมาแน่ ๆ ! "  แต่สำหรับฉันแล้ว คิดว่าไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก ลองดูคนที่ฆ่าสุนัขและคนที่กินเนื้อสุนัข ถ้าคนเหล่านี้เดินผ่านหน้าสุนัข พวกเขาก็จะถูกสุนัขเห่าเอาอย่างรุนแรง นี้เป็นเพราะสาเหตุอะไรหรือ ?. เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเราก็ส่อแววเปลี่ยนแปลงแล้วนั่นเอง

        อย่างไรก็ตาม พวกเราเพียงคนเดียว หรือคนทั้งบ้าน ถ้าสงวนห้ามกินเนื้อโค กระบือได้  ผลที่เกิดขึ้นก็นับว่ายังจำกัดอยู่ ทำไมไม่เป็นผู้ผูกบุญสัมพันธ์ล่ะ เมื่อพบเห็นผู้อื่นก็รีบเข้าไปตักเตือนกล่อมเกลา เพื่อให้พวกเขาเลิกกินเนื้อโค กระบือเลย ทำอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ ?. ถ้าหากขอบริจาคโดยเฉพาะกับคนที่มีรากบุญดี ก็ขอบริจาคข้าวของเงินทอง เพื่อมาฉุดช่วยคนอื่น ไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อโค กระบือ มันไม่ทำให้เขาต้องเปลืองเงินเลยสักแดงเดียว แต่กุศลที่ได้ก็พูดไม่จบสิ้นเลยนะ !  ในบันทึกคัมภีร์กรรมก็พูดไว้ "หากสามารถตักเตือนหนึ่งร้อยคนไม่ให้กินเนื้อโค กระบือ อายุก็จะเพิ่มถึง ๒๐ ปีเลยทีเดียว" นี่ก็เป็นผลที่ชัดเจน มีพยานนะ หวังว่าพวกเราจะบังเกิดใจตักเตือนคนด้วยความจริงใจ กุศลเหนือคณานับ ! 

        สรุป   :  การอธิบายตอนนี้ ก็ลงรายละเอียดของการฆ่าสุนัขให้กระจ่างแจ้ง แต่กับการฆ่าสัตว์อื่น ๆ ก็พูดเพียงคร่าว ๆ หวังว่าท่านผู้อ่านจะพิจารณา  "เมตตาต่อสัตว์  หนอนหญ้าต้นไม้  ทนฆ่ทำลาย ยิงนกสัตว์บก"  ก็มีรายละเอียดอยู่พอแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทิ้งขว้างธัญพืช
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/04/2012, 04:02
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทิ้งขว้างธัญพืช

อธิบาย   :  สุรุ่ยสุร่ายทิ้งขว้างอาหารธัญพืชตามอำเภอใจ นับแต่โบราณมา คนที่ชอบกินทิ้งกินขว้างข้าวปลาอาหาร โดยเฉพาะธัญพืช ส่วนใหญ่มักจะได้รับโทษภัยจากฟ้าผ่า เพราะว่า  "ประชาชนเห็นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่"  แต่ธัญพืช ๕ ชนิดเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้สำหรับการเลี้ยงชีพของมนุษย์นะ่ !  การสุร่ยสุร่ายทิ้งขว้างอาหาร ถึงแม้จะถือว่าไม่ร้ายแรงนัก แต่เป็นการเหยียดหยามต่อฟ้าเบื้องบนน่ะ !  เพราะฉะนั้น กรรมตอบสนองจึงหนักหน่วงนัก ในสมัยโบราณ บุตรสวรรค์ (เจ้าแผ่นดิน) ยังต้องลงไปไถนาด้วยตนเอง มิใช่แค่ทำพิธี อริยเจ้าจะห่วงใยเกษตรและอาหารมาก แต่คนปัจจุบันกลับสุรุ่ยสุร่ายทิ้งขว้าง บางคนก็ทิ้งไว้ในนาไม่เก็บ หรือเก็บไว้ในยุ้งฉางนานเกินไปจนเสีย โดยไม่ยอมที่จะจ่ายออกมาช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ หรือเททิ้งน้ำเผาไฟทิ้งหรือเทลงดินให้คนไปเดินย่ำ หรือเลือกกินแต่ที่อ่อนปราณีตแล้วเททิ้งส่วนที่หยาบ หรือบางครั้งก็เตรียมไว้มากเกินไป ต้องเทที่เหลือทิ้ง หรือไม่ก็นำเอาธัญพืชมาเลี้ยงนกปลาตามอำเภอใจ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการทิ้งขว้างธัญพืชทั้งสิ้น ทำให้ของสวรรค์เสียหาย มีกลอนบทหนึ่งว่า "จ่อมต้นกล้ากลางตะวันเที่ยง เหงื่อหยดเรียงใส่กล้าลงดิน ใครรู้ข้าวกลางจานทิ้งทุกเม็ดยิ่งล้วนยากลำบาก" 

        พวกเราลองคิดดู ตอนข้าวยากหมากแพง ข้าวแต่ละเม็ดดุจเม็ดไข่มุก เพราะฉะนั้น เราทนได้หรือขณะที่มีเหลือกินแล้วทิ้งขว้างตามใจ ?.  ถ้าหากทุก ๆ คนรักถนอมธัญพืช เห็นความสำคัญของเกษตรกรแล้ว มนุษย์ก็จะไม่ต้องพบกับการอดอยากหรอก ! 

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ทางราชเลขาฟงตู้ มักเล่าเป็นประจำว่า "ตอนสมัยข้าเป็นเด็ก เคยได้ไปกราบอาจารย์เซ็นหวินโต่ง อาจารย์จะเอาเรื่องรักหลักธรรมถนอมบุญมาพูดให้ฟังบ่อย ๆ ว่า "อายุขัยของคนจะสั้นยาวไม่แน่นอน แต่เมื่อเขาเสพบุญจนหมดแล้ว ความตายก๋มาถึง"  ตลอดชีวิตของข้าจะรักษาตามโอวาทของท่าน เพราะฉะนั้น จะไม่ยอมสุรุ่ยสุร่าย ทิ้งขว้างไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร !" 

นิทาน   :  นายจางอี่ฟางในสมัยหมิง ร่ำรวยมาก มีนาเป็นร้อย ๆ ไร่ แต่ละปีเก็บค่าเช่านาเป็นข้าวไม่รู้จะมากแค่ไหน เก็บไว้ในยุ้งฉางนานจนเสียก็นำเอามาเททิ้ง แม้แต่พวกถั่วงาก็เอามาเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว คนอื่นเตือนเขาให้เอามาช่วยเหลือคนจนบ้าง เขาก็ไม่ยอมเลย ต่อมาปีที่ ๖ ฮ่องเต้เจินเต๋อ เขื่อนแม่น้ำหวงเหอพัง น้ำหลากท่วมไร่นาของจางอี้ฟางหมด กลายเป็นทะเล เพียงชั่วข้ามคืนบ้านก็ล้มละลาย ต่อมา จางอี่ฟางก็อดข้าวจนตาย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เคียวเข็ญประชาชน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/04/2012, 05:03
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เคี่ยวเข็ญประชาชน

อธิบาย  :  เคี่ยวเข็ญประชาชน เห็นราษฏรเหมือนวัวควาย ใช้งานไม่สงสารเอ็นดู ประชาชนหมายถึงราษฏรทั้งหมด มีใครบ้างไม่คิดถึงตนเอง อยากได้ความสุขสบายและมั่นคง หากต้องการให้ตนเองมีความสุขและมั่นคง แต่ใจอำมหิตบังคับราษฏรให้ทำงานหนักเพื่อตน โดยไม่รู้ว่าประชาชนมีความทุกข์เหน็ดเหนื่อย อย่างนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีความกรุณา

        สมัยซุนชิว (ยุคสามก๊ก) ศิษย์ของท่านขงจื่อ หยวนหยุนได้รายงานท่านติงกงว่า "อริยกษัตริย์ต้าซุ่นสมัยโบราณ มีความสามารถใช้ราษฏรอย่างแยบคลาย ไม่ทำให้ราษฏรเข้าใจว่าถูกเคี่ยวเข็ญจนเหน็ดเหนื่อย ขณะที่ต้าซุ่นครองราชย์อยู่นั้น ภายในประเทศจะไม่มีบันเทิง ถ้าไม่มีงานให้ประชาชนทำในสมัยโจวกษัตริย์หนี้หวัง คนขับรถม้านายเจ้าฝู่ซ่าน ม้าที่เจ้าฝู่ซ่านเลี้ยงเอาไว้ ไม่มีตัวไหนได้ว่างพักเลย ควรรู้ว่าเมื่อนกหิวก็จะจิกไปทั่ว สัตว์หิวก็จะตระกายสุดชีวิต คนจนหิวก็จะกลายเป็นคนโหดร้าย ม้าเหนื่อยก็จะไม่ยอมวิ่ง แต่โบราณมาถึงปัจจุบัน ไม่มีรัฐบาลไหนที่สามารถเคี่ยวเข็ญราษฏรโดยไม่มีอันตรายได้ ! 

นิทาน  :  สมัยฮั่น เริ่มตั้งราชวงศ์ใหม่ ๆ ก็มีปัญหากับชนเผ่าโชงหนู ตามชายแดน มหาอำมาตย์หวังฮุย คิดอยากได้ผลงานปราบปรามชายแดน จึงเสนอฮ่องเต้ว่า "สามารถอาศัยช่วงเวลาผลัดแผ่นดินทำญาติดีกับพวกโซงหนู โดยใช้แผนหลอกด้วยเงินทอง ทำไมตรีก่อน ภายหลังซ่อนกองทหารไว้ภายในป่าเป็นการล่วงหน้า แล้วโจมตีหนักก็จะสามารถพิชิตทหารของโซงหนูได้  ก็จะหมดเสี้ยนหนามตามชายแดนได้"  เหล่าอำมาตย์ไม่เห็นด้วย หวังฮุยก็ำพยายามผลักดันแผนจนฮ่องเต้คล้อยตาม ให้กองทหารไป ๓ แสนนาย หลบซ่อนไว้ในป่าหุบเขา แล้วก็ส่งสอดแนมเข้าไปชักนำพาพวกโซงหนูให้เข้าไปในค่าย เพื่อจะได้ใช้กองกำลังโจมตี ปรากฏว่าความลับถูกเปิดเผยเข้าหูฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายโซงหนูก็ถอยทหารออกจากค่ายไปเฝ้าอยู่นอกค่าย ทหารฝ่ายฮั้นไล่ตามไม่ทัน ทำให้ทหารมัารบล้มตายไปจำนวนมากหลายหมื่น เงินทองเสบียงก็สูญเสียไปไม่น้อย พวกราษฏรเหล่าทหารก็กล่าวโทษหวังฮุย ฮ่องเต้พิโรธมากมีคำสั่งลงโทษหวังฮุยให้ฆ่าตัวตาย จากนั้นมา บริเวณชายแดนก็ปะทะกันเรื่อยมา นายทหาเหวยชิงและเซียซี่ปิง นำกองทหารรบกับโซงหนู นองเลือดไม่จบแม้ว่าหวังฮุยจะตายแล้วและภาระก็ยังคาราคาซังอยู่ !" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทำลายครอบครัวเขาเพื่อ...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/04/2012, 05:04
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายครอบครัวเขาเพื่อชิงเอาทรัพย์สิน

อธิบาย   :  ทำลายบ้านคนมีเงินเพื่อฉกเอาทรัพย์สินเงินทอง การทำให้ของ ๆ ผู้อื่นเสียหาย แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม บุญกุศลของเราก็เสียหายไปด้วย นับประสาอะไรที่คิดจะไปแย่งชิงเงินทองของผู้อื่น โดยเฉพาะการใช้กลอุบายไปทำลายครอบครัวผู้อื่น !  หรือใช้อิทธิพลไปแย่งชิงเขาเอาดื้อ ๆ ทั้งยังมีกฏหมายควบคุมอยู่ โทษบาปที่กระทำก็หนักมากน่ะ !  โทษบาปจะฉกาจฉกรรจ์แค่ไหนเล่า ?. ถ้าใช้กฏหมายในโลกมาเปรียบก็ฉกาจฉกรรจ์กว่า ๕ เท่า เพราะว่ากลอุบายหนักกว่าการกระทำผิดที่เห็น ๆ เพราะฉะนั้น ทางยมโลกกฏลงโทษจะหนักกว่ากฏหมายทางโลก

นิทาน   :  ทางแถบตะวันตกของเจ๋อเจียง ในสมัยหยวน มีครอบครัวหนึ่งร่ำรวยมาก พี่น้องเกิดทะเลาะกันหลังบิดาเสียชีวิต นายหมี่สินฟู อาศัยโอกาสสอนพี่น้องสองคนไปฟ้องศาล ในที่สุดครอบครัวก็ถูกทำลายและถือเอาสมบัติทั้งสองมาเป็นของตน มาถึงตอนนี้ทั้งสองคนจึงรู้สึกเสียใจ ด้วยเหตุนี้ก็อัดอั้นกลุ้มใจจนตายไป นายหมี่สินฟูร่ำรวยอยู่จนถึง  ๒๐ ปี พอถีงสมัยหยวน นายหมี่สินฟูพัวพันกบฏ จึงถูกจับไปที่อำเภอ พอพบนายอำเภอซิ่ว หน้าตาคล้ายคนน้องที่ทะเลาะกัน จึงตกใจกลัวมาก เมื่อถูกนายอำเภอขู่เข็ญก็รับสารภาพผิด ถูกบังคับให้ขายสมบัติหมดสิ้นจึงพ้นโทษ นายหมี่สินฟูโกรธไม่หยุด เมื่อรู้ข่าวว่าผู้ว่าการจะเดินทางผ่านมาที่อำเภอ จึงเข้าร้องเรียนผู้ว่า บังเอิญผู้ว่าเป็นพี่ชายนายอำเภอ เขาจึงถูกจับมาเฆี่ยนตีรับโทษจนยอมรับสารภาพ เหตุนี้ ครอบครัวทั้งหมด ๘ คน จึงถูกจับและตายในคุก

สรุป   : โอ้ !  เสี้ยมสอนให้เขาค้าความ เป็นกลอุบายลับคนไม่รู้ ถึงแม้เป็นบาป ๕ คะแนน ก็ถือเป็นบาปเทียบ ๑๐ คะแนนของการกระทำผิดเห็นชัด ๆ
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อ...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/04/2012, 05:16
                                      คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำลายประชาชน

อธิบาย   :  การปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำลายที่อยู่ของประชาชน คนโชคไม่ดีพบกับอัคคีภัยหรืออุทกภัย ที่เจ็บปวดทุกข์จนทนได้ยากยิ่งแล้ว ทำไมหนอจึงทนปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำชั่วเช่นนี้ บ้านช่องที่อยู่อาศัย เมื่อถูกไฟทำลายล้างทรัพย์สินในบ้านก็สูญไปด้วย  บางครั้งชีวิตคนและสัตว์ก็ต้องตายลง การทำลายล้างแบบนี้ใหญ่หลวงนัก บาปกรรมที่ทำถือว่าหนักหนามาก เพราะฉะนั้น การปล่อยน้ำวางเพลิง ถือว่าฟ้าดินรับไม่ได้ ! 

        ท่านอูเถี่ยวเจียว กล่าวว่า  "การขุดร่องชักน้ำจากแม่น้ำเข้าสระ ระดับน้ำควบคุมลำบาก เหตุนี้จึงคิดผิดไปพังเขื่อนริมน้ำ การจุดประทัดเปลวไฟจากประทัดปลิวตามลม จนทำให้บ้านติดไฟก็ได้ ความผิดแม้จะโดยประมาท แต่ก็ทำความเสียหายให้แก่ประชาชน เพราะฉะนั้นต้องเสียใจสำนึกผิดรักษาศีล !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ทำลายแผนการณ์ให้เขาล้มเหลว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/04/2012, 09:08
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายแผนการณ์ให้เขาล้มเหลว

อธิบาย   :  ทำให้แผนการณ์เขาสับสนยุ่งเหยิง เพื่อทำลายกิจการให้เขาล้มเหลว  แผนการณ์ก็เหมือนกับแผนงานของรัฐบาล  การศึกษา  กฏหมาย  คำสั่งฯ  ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสีย ความปลอดภัยและอันตราย คนพาลใจแคบก็จะอิจฉาความสำเร็จของผู้อื่น ก็จะทำให้สับสนยุ่งเหยิง จนทำให้งานเสียหาย แผนการณ์ก็พังทลาย พวกเขาไม่รู้ว่าการทำลายความสำเร็จของผู้อื่น ก็เท่ากับทำลายสังคม ประเทศชาติด้วย ทำให้ประเทศขาดความมั่นคง ความชั่วบาปชนิดนี้ถือว่าร้ายแรงมาก เพราะฉะนั้น บาปกรรมจึงหนักมาก แม้ว่าการทำให้บุคคลหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่งวุ่นวายยุ่งเหยิงก็ตาม ก็เป็นการทำลายหลักธรรมฟ้า บาปไม่น้อยเลย       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ทำลายเครื่องมือไม่ให้เขาใช้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/04/2012, 09:23
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำลายเครื่องมือไม่ให้เขาใช้

อธิบาย   :  จงใจทำลายเครื่องมือเครื่องใช้ของผู้อื่นให้เสียหาย ทำให้เขาใช้งานไม่ได้ เครื่องใช้ หมายถึง เครื่องมือทำมาหากิน เช่น ปากกา  ดินสอของนักเขียน มีดพร้าของคนใช้ตัดฟืน  จอบเสียมของเกษตรกร  ขวานสิ่วเลื่อยของช่างไม้  และเครื่องเรียนต่าง ๆ ของใช้บางอย่างแม้จะเล็กแค่ไหน แต่เมื่อถึงคราวต้องใช้ก็จะเห็นความจำเป็นของมันแล้ว เมื่อทำลายแล้วทำให้คนอื่นใช้การไม่ได้ การกระทำเช่นนี้น่าเจ็บใจนัก จิตใจคนแบบนี้แย่เอามาก ๆ เลย

นิทาน   :  แถบแม่น้ำหยุยตอนใต้ มีคนสองคนต้องอาศัยเรือทำมาหากิน คนหนึ่งแซ่เฉิน  อีกคนแซ่อวี่  เรือของคนแซ่เฉินขับเคลื่อนคล่องแคล่ว จึงหาเงินได้มาก  คนแซ่อวี่จึงรู้สึกอิจฉาเขา จึงมักจะแอบทำลายเครื่องมือบนเรือของเขาบ่อย ๆ  ทำให้เรือของเขาใช้การไม่ค่อยดี  คืนวันหนึ่ง คนแซ่อวี่จึงแอบขึ้นไปบนเรือของคนแซ่เฉินแล้วก็หักพายของเขาหัก  แต่เขากลัวคนจะมาเห็นตอนใกล้สว่าง จึงรีบถอยเรืออกไป แต่พอเรือมาถึงกลางลำน้ำเรือเกิดพลิกคว่ำ นายเฉินได้ยินเสียงคนในลำน้ำร้องขอความช่วยเหลือ เขารีบไปที่เรือของเขาเพื่อพายออกไปช่วยเหลือ แต่พายหักแล้วจึงพายเรือไม่เคลื่อน ได้แต่เบิ่งตามองดูคนแซ่อวี่จมน้ำตาย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขาได้ดีหวังเขาฉิบหาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/04/2012, 08:42
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขาได้ดีหวังเขาฉิบหาย

อธิบาย   :  คนใจแคบเห็นคนอื่นร่ำรวยมีเกียรติยศ ก็อยากให้เขาฉิบหาย หรือไม่ก็ให้ถูกไล่ออกจากข้าราชการ หรือถูกย้ายไปที่ธุรดันดาร คนที่มีบุญวาสนา มิใช่ได้มาโดยบังเอิญ นั่นเป็นเพราะชีวิตในอดีตได้สั่งสมบุญกุศล และเพราะบรรพชนเขาได้สร้างสมบุญกุศลเอาไว้ด้วย เขาจึงมีสภาพเช่นนี้ เพราะฉะนั้น เวลาเห็นคนอื่นมีบุญวาสนา ควรต้องมีใจอนุโมทนาชื่นชม มิใช่ชื่นชมบุญวาสนาของเขา แต่อนุโมทนาที่เขาได้สร้างสมบุญกุศลมาแต่ปางก่อน หากหวังให้เขาพ้นตำแหน่งตกต่ำ นั่นมิใช่มองเขาจากที่มุมถูกต้อง หากแต่มองเขาด้วยใจร้าย หวังให้เขามีสภาพเหมือนตัวเราอย่างนี้ไม่ถูกต้อง นี่คือสภาพจิตใจของคนพาลใจแคบ ไม่เพียงแต่อิจฉาริษยา หากแต่โง่เขลา  อันที่จริง การกระทำเช่นนี้สำหรับคนอื่นแล้วไม่มีอะไรเสียหาย แต่ทำให้ตนเองเกิดสร้างกรรมชั่ว ยิ่งทำให้ตนเองยากจนยิ่งตกต่ำก็เท่านั้น

นิทาน   :  ในสมัยถัง นายหลิ่วจงหยวน  และหลิวม่งเต๋อ ถูกไล่ออกจากราชการ ความจริงเกิดจากอู่หยวนเหิงกลั่นแกล้ง ต่อมาภายหลังอู่หยวนเหิงก็ถูกโจรฆ่าตาย โดยที่หลิ่วจงหยวน กับ หลิวม่งเต๋อ สองคนกลับปปลอดภัย  คนที่มีอำนาจมีสิทธิที่กุมชะตาผู้อื่น คิดจะโยกย้ายข้าราชการผู้อื่น เห็นผู้อื่นเหมือนปลวกมดที่ไร้ค่า หารู้ไม่ว่าเพียงแค่พริบตาหัวตัวเองก็รักษาไว้ไม่อยู่ ส่วนคนที่ถูกมองเป็นมดปลวกก็ได้แต่นั่งดู หัวเราะว่าเขาก็มีวันนี้ด้วยหรือ ! 

นิทาน   :  หวังเป่าเหวิน เป็นข้าราชการซื่อสัตย์ในสมัยซ่ง มีคุณธรรมสูง เขาเคยพูดว่า "ตั้งแต่ฉันรับราชการมา ทุกครั้งที่ทำหน้าที่พิพากษา ต้องเนรเทศคน ฉันก็แอบหาที่ดีพอสำหรับคนที่ถูกเนรเทศ"  มหาอำมาตย์เจ่อหยง  แต่ละครั้งที่ต้องเนรเทศข้าราชการที่ทำผิดไปที่ไกล ๆ โดยเฉพาะในที่ทุรกันดารมาก ๆ เขาจะหยุดถือปากกาอยู่นาน และพูดว่า  "ข้าเคยไปยังสถานที่เหล่านั้นมาแล้ว สถานที่เหล่านั้นทุรกันดารมาก ลมฟ้าอากาศไม่ดี ส่วนใหญ่ไปแล้วก็ล้มตาย เพราะฉะนั้น ต้องเลือกสรรสถานที่มีดินน้ำเหมาะสมที่จะอยู่ได้ ค่อยเนรเทศข้าราชการทำผิดไป !" ทั้งยังเสนอแนะต่อฮ่องเต้ จนกลายเป็นฏกหมายของราชสำนักไป นี่คือคนที่มีใจกรุณาโดยแท้   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขาร่ำรวยอยากให้ล้มละลาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/04/2012, 09:21
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขาร่ำรวยอยากให้เขาล้มละลาย

อธิบาย   :  เมื่อเห็นบ้านคนอื่นมั่งมีศรีสุข ก็อยากให้เขาล้มละลายฉิบหายในทรัพย์ หารู้ไม่ว่าคนที่ร่ำรวยก็เพราะตัวเขาสั่งสมบุญมา อีกทั้งบรรพบุรุษก็ได้สั่งสมบุญบารมีมาด้วย จึงเป็นผลบุญตอบสนอง ถ้าหากมัวแต่อิจฉาผู้อื่นร่ำรวย อยากให้เขาล้มละลาย คิดดูซิว่านั่นเป็นคนประเภทไหน ! แม้แต่คนโง่ก็จะไม่ควรคิด หลักธรรมธรรมดาก็ยังไม่เข้าใจ เราจะไม่ลองหวนคิดดูสักนิด ถ้าหากฉันร่ำรวยบ้างแล้วคนอื่นอยากให้เราล้มละลาย แล้วใจของเราจะเป็นอย่างไรถ้าหากใจเรารู้สึกโกรธเคือง ก็จะรู้ได้ว่าใจของคนอื่นก็เหมือนเรา จะรู้สึกโกรธเคืองแค้น !  เมื่อใจคนอื่นยังรู้สึกโกรธเคือง แล้วใจของฟ้าจะไม่พลอยโกรธเคืองไปด้วยหรือ ?.  เพราะฉะนั้น เรื่องแบบนี้ควรที่จะแยกพิจารณาเป็นสามประเด็น

        อันที่หนึ่ง   คนที่มีเงินร่ำรวย เป็นเพราะชีวิตชาติก่อนต้องทำเรื่องเป็นประโยชน์กับคนอื่นไว้มาก ต้องสร้างบุญสร้างกุศล ชาติปัจจุบันจึงได้ผลบุญตอบสนอง อย่างนี้จึงมีค่าที่พวกเราควรเอาอย่าง จะไปอิจฉาพวกเขาได้อย่างไร ?.
        อันที่สอง    ความร่ำรวยอาจเกิดจากเขาสู้อดทนเหน็ดเหนื่อยทำมาหากินค้าขาย มัธยัสต์เก็บสะสมมาจนร่ำรวย ถึงแม้เขาได้สร้างเหตุแห่งความมั่งมีแต่ชาติก่อน แต่มาชาติปัจจุบันเขาได้รับความลำบากมาไม่น้อย ควรที่จะสงสารเขาต่างหาก จะไปอิจฉาเขาทำไม ?. 
        อันที่สาม   หากเขาร่ำรวยได้เงินทองจากความไม่ถูกต้อง แม้ร่ำรวยแล้วก็ขาดความเมตตา อย่างไรก็ตาม การรวมเข้าและการแยกออกเป็นอนิจจัง นะ !  เช่น อุทกภัย  อัคคีภัย  โจรปล้น  การทะเลาะกันของคนในบ้าน  หรือลูกไม่รักดี  การเจ็บป่วย  หรือมีคดีความติดตัว ฯลฯ เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เงินทองร่อยหรอ

        นี่คือ การกระทำให้ล้มละลายด้วยตัวของเขาเอง แล้วทำไมต้องไปอิจฉาเขาเล่า หากทำได้ตามทั้งสามข้อความคิดเห็น ใจก็จะสงบลงได้ 

นิทาน   :  ที่เมืองหงเสี้ยบ มีคนหนึ่งชื่อ โจวอี่ฟู  ร่ำรวยมากแต่ไม่ประหยัด แถมยังนิสัยเกกมะเหรกอันธพาล ทำเรื่องแต่ไม่เป็นธรรม เพื่อนของเขา ซุนสือเคยพูดเขาว่า ไม่ควรทำเช่นนี้ แต่โจวอี่ฟูกลับโกรธแล้วพูดว่า "เธอกล้ายุ่งเรื่องของข้าด้วยหรือ ?." เหตุนี้ ซุ่นสือเริ่มโกรธแค้นโจวอี่ฟู ทั้งยังพูดว่า "เอ้อดี ข้าก็จะคอยดูเอ็งฉิบหาย !"  เมื่อซุนสือสอบเข้ารับราชการได้ ทั้งยังบรรจุหน้าที่เป็นคนทำคดีความเป็นผู้พิพากษา ทั้งยังปกครองถึงเมืองหงเสี้ยน ก็ให้พอดีมีคนฟ้องร้องโจวอี่ฟูที่อำเภอด้วย กล่าวหาโจวอี่ฟูตีคนกลางตลาดกลางวันแสก ๆ ดังนั้น โจวอี่ฟูจึงถูกจับมาที่อำเภอ โดยไม่คาดฝัน จำเลยโจวอี่ฟูตายลงกระทันหัน ซุ่นสือก็พิพากษาว่า โจวอี่ฟูฆ่าคนตาย เรื่องนี้ผ่านไปไม่กี่ปี ซุนสือก็ถูกย้ายไปเมืองเหอไปย่  คนทั้งบ้านถูกโจรปล้นฆ่าตายหมด เหมือนโจวอี่ฟู

อธิบาย   :  พูดถึงโจวอี่ฟู เขาอาศัยตนมีเงินจึงรังแกคนไม่เป็นธรรม ที่แท้ควรพบกับความเสียหาย  แต่สำหรับซุนสือเป็นเพราะแค้นเคืองจึงทำให้บ้านโจวอี่ฟูล้มละลาย เพราะฉะนั้น "ให้ความสะดวกคนอื่น ตนเองก็ได้รับความสะดวก"  คนไทยว่า "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/04/2012, 07:49
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน

อธิบาย   :  เห็นภรรยา ลูกสาวคนอื่นรูปงาม ใจก็คิดอยากข่มขืนเสพกาม คิดลวนลามแอบมีสัมพันธ์  รูปเป็นเรื่องที่ทำให้ทำบาปได้ง่าย มันร้ายกว่าพวกโลภทรัพย์ ฆ่าสัตว์มาก และเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากเป็นร้อยเท่า เพราะฉะนั้น การล้างผลาญบุญกุศลจนประสบเคราะห์ภัย จึงร้ายกว่าวิบากกรรมชนิดอื่นมากเป็นร้อยเท่าทีเดียว ถึงแม้ท่านไท้ชั่งจะพยายามห้ามปราบการทำบาปเรื่องโลภทรัพย์และฆ่าสัตว์ ย้ำแล้วย้ำอีกก็ตาม แต่ก็พูดว่า บาปที่ละเมิดประเวณี ถือเป็นบาปที่ชั่วร้ายข้อแรก  มิใช่ว่าท่านไท้ชั่งจะพูดสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว เป็นเพราะว่า บาปที่เกิดจากโลภทรัพย์และฆ่าสัตว์ เป็นบาปที่เห็นชัดเจน และหลักธรรมก็ง่าย ๆ สามารถอธิบายจนได้ และโทษบาปจากละเมิดประเวณี มันซ่อนเร้นและหลักธรรมก็ลึกซึ้ง  จึงอธิบายให้จนไม่ง่ายนัก เพราะฉะนั้น ท่านไท้ชั่งจึงเอาเรื่องนี้แก้ด้วยการดับหรือขจัดความคิด เริ่มด้วยความคิดอันดับแรก เรียกร้องให้เวไนยสัตว์รู้สึกตัวตื่นจากความหลง ท่านไท่ชั่งว่า  "เห็นเขารูปงาม ใจตนก็ขึ้น"  เรื่องรูปงาม พอตากระทบรูป ฉับพลันใจก็กระเพื่อม นั่นคือ ใจคิด  คิดถึง  อยากได้  ทำให้พับไปพับมา ผูกมัดอยู่ในใจ แก้ปมไม่หลุด ! ถ้าหากในใจบังเกิดความคิดขึ้น ไม่ทันต้องให้กายไปล่วงเกิน ก็ถือว่าละเมิดหลักธรรมฟ้าแล้ว ยังไม่ทันตายก็ถูกยมบาลบันทึกชื่อไว้ในนรกอเวจีแล้ว !  เพราะฉะนั้น ท่านไท้ชั่งจึงเตือนสติคนว่า  เมื่อพบรูป ใจกระทบสาเหตุที่ใจ จึงให้รีบตัดระงับ ไม่ให้สร้างวิบากกรรมอันนี้ !  ต้องกล้าหาญลงดาบตัดขาดทันที ไม่ให้มีเยื่อใยเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น จะเป็นสวรรค์หรือนรก ก็อยู่ที่วินาทีนั้นจะกำหนด ! ถ้าหากตอนนั้นมโนวิญญาณเคลียร์ไม่ออก  ปลงไม่ตก  ไม่สามารถฟันฉับให้ขาดรากแล้ว มันก็จะถูกดึงให้ยาวโดยไม่รู้ตัวก็คงพลัดตกนรกต้นงิ้ว นับว่าเป็นอันตรายยิ่งนัก เพราะฉะนั้นคำพูดของท่านไท้ชั่งลึกล้ำมาก

คติพจน์  ๑  :  เป่าซั่งถังกล่าวว่า  "ถ้าใจติดเสพกาม หิรืโอตัปปะเสื่อม สุจริตติดคาว  ผิดจารีตประเพณี  สูญเสียบุญกุศลที่สั่งสมมา ถ้าหากควบคุมใจอยากเสพกามได้ ชื่อก็ไม่เสีย  แถมเป็นการสร้างบุญวาสนา ฟ้าดินซาบซึ้ง การจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญก็อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น จะไม่จริงใจรู้ตัวอีกหรือ ?"  "เห็นรูปใจอยาก"  เป็นรากของการเจ็บป่วยของชีวิตมนุษย์ เป็นต้นตอของการป่วยของคน หากจะคิดตัดตอนต้นตอการเจ็บป่วยนี้ก็ต้องลงมือที่ "เห็น"  อย่างที่ว่า "ไร้จริยธรรมไม่มอง"  แม้ว่าจะมองอยู่ก็ไม่เห็น ถือเป็นวิทยายุทธ์เยี่ยมยอด มโนธรรมที่มีอยู่เราไม่อาจจะหลอกลวงได้ง่าย ๆ มิฉะนั้นแล้วจริยธรรมเราก็ไม่อาจจะก้าวข้ามไปได้ทัน หากเราป้องกันบังคับเข้มงวด หักห้ามได้ก็เป็นอันว่าหลุดพ้น ถ้ามิฉะนั้นเพียงหนึ่งขณะจิตที่เพี้ยนไปก็จะพลาดตกไปถึงหมื่นกัปป์ทีเดียว อย่างนี้ก็น่าเศร้าโศกทีเดียว

คติพจน์  ๒  :  ในพระสูตร ๔๒ บท กล่าวว่า  "เห็นหญิงที่แก่แล้ว ก็ให้คิดว่าเป็นแม่  ถ้าเป็นหญิงอ่อนกว่าก็คิดว่าเป็นน้องสาว   ถ้าเป็นหญิงแก่กว่าก็คิดว่าเป็นพี่สาว  ถ้าเป็นเด็กสาวก็คิดว่าเป็นลูกสาว"  นี่คืออีกวิธีที่ดีที่สุด

คติพจน์  ๓  :  รูปงามใคร ๆ ก็ชอบ พระเจ้าฟ้าข่มเหงไม่ได้ ฉันเสพเมียเขา เขาก็เสพเมียเรา"  เป็นคำพูดของคนโบราณฝากไว้สอนเรา  ท่านหยางอิ่วซิง เข้าใจแล้วกล่าวว่า "หากเห็นเมียเขา ลูกสาวเขางดงาม เกิดใจชั่วคิดไปยุ่ง ให้รีบทำเหมือนผู้อื่นเห็นเมียเราลูกสาวเรา ก็เกิดใจชั่ว คิดจะมาหลอกลวง สถานการณ์สับเปลี่ยนเช่นนี้ พิจารณาสำรวจดูอย่างนี้ ใจชั่วก็จะมอดดับไป" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : คติพจน์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/04/2012, 09:44
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  คติพจน์

คติพจน์  ๔  :  บทบันทึกธรรมโบราณว่า "เห็นหรือพบหญิงงาม มีเสน่ห์  ถ้าใจเกิดหวั่นไหว ให้รีบ ๆ คิดถึงเทพที่คอยบันทึกบาปอยู่ข้างตัว  ดาราเทพซินไถ  เทพเจ้าแห่งดาวเหนือ  ล้อมอยู่เหนือศรีษะเรานะ  สามเทพในตัว  เทพแห่งเตาไฟ  สามแสงแห่งดาวเดือนตะวัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์นับหมื่นเรียงรายอยู่กลางอากาศ  บ้างกำลังจดบันทึกความคิดชั่วของเรา  บ้างกำลังถมึงตาโกรธเรา  บ้างก็เข้มงวดตรวจสอบเราอยู่  บ้างก็เตรียมตัวลงโทษเรา  ถ้าคิดได้อย่างนี้ในใจก็เกรงกลัวหวั่นไหว  ถึงตอนนี้ใจก็จะเย็นดับลง !" 
        ในสมัยหมิง มีคนหนึ่งที่ชอบหญิงรูปงาม ก็ถามท่านหวังหลงซีให้ช่วยชี้แนะ จะแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไร ท่านหวังตอบว่า  "ในห้องนี้มีหญิงงามดุจนางคณิกากำลังรอเธออยู่ รอให้เธอไปเปิดประตูดู ที่แท้ก็เป็นน้องสาวหรือลูกสาว ตอนนี้ใจที่อยากเสพ จะมอดดับลงหรือ ? "  คนถามก็ตอบว่า  "โอ้ ! ดับมอดเลย !  ท่านหวังจึงว่า  "เพราะฉะนั้นความคิดอยากเสพกามก็เป็นสูญตา เป็นเพราะเธอคิดว่ามันเป็นของจริง ! " 
        ในบทแลบัญชรสิบบัญญัติ ของพระเจ้าเหวินเซียง เริ่มต้นด้วยการปฏิบัติศีลข้อห้ามผิดประเวณี  ท่านกล่าวว่า "เมื่อยังไม่เห็นรูปไม่ให้คิด ขณะที่เห็นไม่ให้ทำลวนลาม หลังจากนั้นแล้วไม่ให้หวนคิด"  เมื่อยังไม่เห็นไม่ให้คิด เป็นการอบรมตามปกติ โดยปกติเมื่ออยู่คนเดียวต้องเอาความคิดเก็บรวมให้หมดจด ทั้งยังต้องตื่นตัวเหมือนตนทันที  เช่นนี้แล้วธรรมฟ้ายังอยู่ ความใคร่อยากก็จะหยุดลงได้
        คนที่ความคิดลามกสกปรก ก็ไม่อาจมีใจที่สว่างถูกต้อง เป็นความรู้หลักเคารพของบัณฑิต เมื่อใจของเรามีสมาธิแล้ว แม้เราจะพบปะหญิงงามมีเสน่ห์อยู่เฉพาะหน้า ไม่ว่าเธอจะโน้มน้าวหลอกลวงแค่ไหน  ใจของเราก็จะไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย นี่เป็นพลังสมาธิอันดับไหน !  อย่างไรก็ดี สภาวะเช่นนี้ก็มาจากการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเสมอ ๆ  ใจจริงตั้งใจจนได้บารมีนี้มา !  เพราะฉะนั้นพระองค์ต้องการให้เรามีหลักตรงใสสะอาดเป็นมูลฐาน ดังนั้น การสอนชาวบ้านปฏิบัติศีลข้อห้ามล่วงประเวณี จะต้องเข้มงวดฝึกฝนตนเองให้ใจตรงจริงใจเสียก่อน
        ขณะที่เห็นไม่ให้ทำลวนลาม และหลังจากเห็นแล้วไม่ให้คิด นั่นคือความต้องการของท่านไท้ซั่ง ที่กล่าวเตือนพวกเรา นั่นคือขณะพปะสัมผัสก็ต้องให้พิจารณาสำรวจตน !  เรามาวิเคราะห์สำรวจอย่างรอบครอบ ถึงพระวาจาของพระเจ้าเหวินเซียง  สามประโยค  เพราะแต่ละประโยคล้วนมีภาวะของมัน

ตรึกคิด   :  คือคิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง 
ลวนลาม  :  คือลวนลวมอยู่ในปัจจุบัน
หวนคิด   :  คือคิดถึงสิ่งที่ผ่านไป คนปัจจุบันล่วงละเมิดบาปผิดประเวณีจนท่วมฟ้าแล้ว 

        การกระทำทั้งสามภาวะนี้  ล้วนเสร็จสิ้นหมดแล้ว !  ถ้าหากสามารถเอาภาวะทั้งสาม ละเว้นขจัดจนหมดสิ้นแล้ว การทำชั่วผิดประเวณีก็ไม่มีสถานที่ให้เกิดขึ้นเฟื่องฟูได้เลย !  บาปทั้งหลาย ล่วงประเวณีเป็นความชั่วอันดับหนึ่ง ทางยมโลกท่านยมบาลได้ตราบนป้ายให้เป็นโทษใหญ่ !  เพราะว่าเมื่อใจเกิดใคร่เสพกามขึ้น ก็สามารถส่งให้ทำชั่วได้ต่าง ๆ นานา  สมมุติว่า เมื่อการล่วงละเมิดยังไม่สำเร็จ ในใจก็จะฟุ้งซ่านคิดเพ้อเจ้อสับสน ถ้าหากไม่สามารถชักจูงฝ่ายตรงข้าม ก็จะเกิดใจเล่ห์เหลี่ยมแผนชั่ว ถ้าแผนนั้นติดขัดมีอุปสรรค ก็จะโกรธแค้นตามมา  เจ้าความใคร่ความอยากจนมืดมัววุ่นวายใจอยู่นั้น ก็ทำให้เกิดความโลภอยากติดอยู่ในใจ ตอนแรกก็ชื่นชมเขาที่มีภรรยาสวย ต่อมาใจก็เกิดอิจฉาใจก็คิดร้าย  คิดอยากได้คนรักของคนอื่น  จึงคิดจะฆ่าเขา เช่นนี้ หิริโอตัปปะและความสุจริตธรรมก็ขาดสูญ หลักมนุษย์สัมพันธ์ก็หมดสิ้น บาปกรรมต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น ความดีมีกุศลก็เหือดหายไป นี้แหละครับ เมื่อใจละเมิดประเวณีกระเพื่อมเท่านั้น ถึงแม้การกระทำยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ได้ปลูกฝังเมล็ดกรรมชั่วค่อย ๆ สั่งสมเรื่อย ๆ ไป เช่นนี้นับว่าร้ายแรงอยู่แล้ว นับประสาอะไรถ้าไปกระทำละเมิดประเวณีเข้าจริง ๆ จะร้ายแรงขนาดไหน ?. 

คติพจน์  ๕  :  กฏยมโลก  :  "ข่มขืนลูกเมียเขา จะขาดทายาทสืบสกุลตอบสนอง  ข่มขืนหญิงที่ยังไม่แต่งงาน จะได้ลูกชายหญิงละเมิดประเวณีเสพสมตอบสนอง "

อธิบาย   :  คนที่ฆ่าคนก็เพียงฆ่าเขาตายเพียงคนเดียว แต่หากข่มขืนเขา เหมือนฆ่าคนถึงสามรุ่นเชียวนะ หญิงที่ถูกข่มขืนเสียหายแล้ว พ่อแม่และพ่อแม่สามี สามี และลูก ๆ ทุกคนจะรู้สึกอัปยศเจ็บใจ บางทีความอับอายขายหน้าก็เป็นเหตุให้ถึงชีวิตดับ บางรายสามีอาจฆ่าภรรยา  พ่อกดดันให้ลูกสาวตาย ลูก ๆ ไม่ยอมรับแม่ เวลาญาติ ๆ พบหน้ากันก็ไม่มีหน้ากล้าเผชิญ  ครอบครัวดี ๆ ก็ไม่อยากคบหาสมาคมกับนาง อย่างนี้จะเจ็บปวดแค่ไหน แค่แอบเสพสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เป็นการก่อบาปกรรมท่วมฟ้าเลยทีเดียว  ทั้งยังถูกลงโทษให้ไม่มีลูกหลานสืบสกุล แค่นี้ก็ยังไม่สาสมต่อโทษบาปต่อคนที่ข่มขืนลูกเมียเขาน่ะ !  พอมีความสัมพันธ์ของสามีภรรยา  ภายหลังจึงมีความสัมพันธ์ของพ่อลูก  พี่น้อง  เพราะฉะนั้น การข่มขืนเมียชาวบ้าน ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาเสียหาย   ความสัมพันธ์พ่อลูกพี่น้องเสียหาย  ความสัมพันธ์ห้าของมนุษย์ก็เสียหายแล้ว  ๓ ประการ  ตลอดถึงบรรพชนต้องมัวหมองต่อการกระทำของลูกหลาน ให้รู้สึกเจ็บปวดยามเซ่นไหว้ ด้วยเหตุดังกล่าว คนที่ข่มขืนคนอื่น จึงไม่อาจหลบพ้นการลงโทษของเทพเจ้า ต้องได้รับเคราะห์ร้ายแน่นอน
        เพราะฉะนั้น  คนที่ฆ่าคนตาย เหตุเกิดจากความโกรธแค้น จึงไปฆ่าเขา  แต่การข่มขืนลูกเมียคนอื่นมันสร้างความโกรธแค้นให้กับสามี  พ่อแม่สามี  พ่อแม่  แล้วคนเหล่านี้มีความแค้นอะไรด้วยเล่า  ตลอดจนผู้หญิงที่ถูกข่มขืน เธอมีความโกรธแค้นอะไรด้วยเล่า จึงต้องทำบัดสีบัดเถลิงกับตัวเธอด้วย ทำให้เธอต้องมัวหมอง   ผู้มักมากในกาม เป็นเพราะความคิดกุศลน้อยลง แต่คนมักน้อยในกามเพราะความคิดกุศลมีมาก บุคคลผู้มีความคิดกุศลมาก ๆ ความคิดมักกามจึงหมดไป  ในบุญบารมีห้า ถ้าได้สักสามอย่างตอบสนอง อันที่หนึ่งคืออายุยืน  ที่สองคือสุขสงบดี  ที่สามคือตายดี  คนที่มักมากมักมีโรครุมเร้าและมีฆาตเคราะห์  การเกิดอารมณ์ใคร่ชั่ววูบ ง่ายต่อการขจัดสงบลง ตลอดชีวิตคนเราชื่อเสียงสำคัญมาก จะไม่เจ็บปวดหรือที่ทำให้ชื่อเสียงที่สู้อุตส่าห์สะสมมาหลายรุ่นคน ต้องมัวหมองซึ่งเราเคยพบเห็นมามากต่อมากที่บุคคลมีชื่อเสียงต้องเสียหายต่ออารมณ์ใคร่ชั่ววูบ ถ้าไม่รู้จักใช้สติคิดยับยั้งชั่งใจ ความสุขแค่ชั่วครู่จะคุ้มกับการล่วงละเมิดทางเพศจนนำไปสู่ความเสียหาย ยิ่งบางคนหลังล่วงละเมิดแล้ว เกิดกลัวความผิดจนต้องหนีหลบซ่อนจนเกิดจบป่วย  รักษาตัวก็หายยาก ถ้าถูกคดีฟ้องร้องติดคุก ครอบครัวพังทลาย  คิดได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว กรรมตอบสนองมีแน่นอน เพียงจะช้าหรือเร็วเท่านั้น  ผลของกรรมคงพูดกันไม่จบเลย !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : คติพจน์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/04/2012, 06:27
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  คติพจน์

คติพจน์  ๖  :  นายยื้อเฉียงชูเยี้ย กล่าวว่า "สมัยโบราณมีนักปราชญ์คนหนึ่ง เมื่อเขาเกิดอารมณ์ใคร่ขึ้นมา เขาจะเอามือไปอังบนไฟจนรู้สึกปวดแสบปวดร้อน อารมณ์ใคร่อยากก็สงบลง ถ้าหากไม่สงบลงอีก เขาจะนั่งนิ่งอยู่ในที่มืด ทำตัวเสมือนตาย และคิดถึงหลุมศพ และครุ่นคิดตลอดว่า คน ๆ นี้ตอนมีชีวิตอยู่ก็เหมือนฉัน แล้วฉันล่ะเมื่อตายแล้วก็ฝังในสุสานเหมือนกับเขาแบบเดียวกัน !  เมื่อคิดถึงตรงนี้ความใคร่อยากจะมีความสุขอะไร ?"

อธิบาย   :  การป้องกันล่วงละเมิดทางเพศ ล้วนต้องใช้ปัญญาเท่านั้น ท่านเติ้งเหลียงกงเคยพูดว่า "เมื่อคนอยู่ต่อหน้ารูปงาม ต้องรีบคิดว่า หญิงงามผู้นี้ถ้าเธอตายเมื่อวันก่อน ซากศพของเธอก็จะเริ่มเน่าเหม็นและมีหนอนไต่ยั้วเยี้ยไปหมด กลิ่นเหม็นเน่าจะคลุ่งไปทั่ว ทำให้คนรู้สึกอยากอาเจียน ถ้าคิดได้อย่างนี้ความคิดลามกก็จะมลายหายไปสิ้น !"

คติพจน์ที่  ๗  :  ในสมัยเหลียง ปรมาจารย์ตั๊กม้อ อริยเจ้าองค์แรกแห่งเซ็นนิกาย ได้คติพจน์เกี่ยวกัยกายสังขารนี้ว่า "เยี่ยวเอย  ขี้เอยกองโต น้ำหนองน้ำเลือดรวมกันเข้าคิดแล้วกามมีอะไรน่าหรรษา"  ในสมัยถัง อริยเจ้าหลี่ต้งปิง ก็พูดไว้ว่า "หยุดโวเรื่องกามตอนหนุ่ม เข้มแข็งเดินวนเวียนขายกระดูก ไม่เชื่อลองส่องดูในกระจก ใต้ผิวหนังใช่โครงกระดูกไหม"  สาวสวยสองแปดร่างอรชร อาวุธดาบคาดเอวฟันบุรุษโง่ ถึงแม้ไม่เห็นหัวขาดกระเด็น แอบเร่งเร้าคนให้กระดูกแห้งเฉา

คติพจน์ที่  ๙  :  "บันทึกศีลฟ้ากล่าวว่า  พวกเขียนหนังสือประเภทเซ็กซ์หรือพวกพิมพ์หนังสือลามก แพร่สกปรกใจคน ทำให้คนเกิดใจชั่วคนพวกนี้ตายแล้วจะตกนรกอเวจี นานจนกว่าสื่อลามกในโลกที่ตนทำจะถูกทำลายหมด เพราะคนที่ดูสื่อลามกที่ทำบาปก็ได้รับกรรมตอบสนองจนหมดแล้ว นั่นแหละผู้ทำสื่อลามกจึงจะหลุดพ้นจากขุมนรกและไปเกิดยังที่อื่นที่ไม่ใช่เป็นคน" 

คติพจน์ที่  ๑๐  :  ท่านเหลียวฝาน ในสมัยหมิงกล่าวว่า "การเก็บรวบรวมสื่อลามก บทความที่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น กับการกล่าวร้ายของผู้อื่น แล้วนำมาเผาทำลาย จะต้องมีบุตรหลานผู้ภักดี  กตัญญู  ซื่อสัตย์  ตอบสนองแน่นอน แต่ผู้ที่ชอบอ่านดูสื่อลามก หรือเล่าเรื่องลามก และถ้าอยู่ในบ้านมีรูปภาพหนังสือลามก จะต้องมีลูกโสเภณีเต้นกินรำกินแน่นอน !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : คติพนจ์ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/05/2012, 05:03
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  คติพจน์

คติพจน์ ๘   :  วิธีห้ามกาม กล่าวว่า  "มันหลอกลวงฆ่าฉันให้บ้านล่มจม  ตัดอายุขัยหมดบุญวาสนา เป็นเรื่องที่ทำร้ายชีวิตหนา !  ฉันควรที่จะเห็นมันเหมือนมีดคม  เหมือนเสือพยัคฆ์  เหมือนงูพิษ  เหมือนผี  เหมือนคู่แค้นอดีตชาติ หากสามารถเห็นดังที่กล่าวมาแล้ว เพิ่มการตรวจ ก็เหมือนใช้น้ำมาดับไฟ เช่นนี้แล้วความคิดอยากเสพกามก็สงบลงได้ !" 

อธิบาย   :  ท่านเกาจงเซี้ยน ในสมัยหมิง กล่าวว่า "กายดุจหยกขาว สะดุดแตกละเอียด ดุจพิษสุรานกติม เข้าปากตายทันที"  ปัจจุบันถูกตัวความรักผิดพลาดทั้งชีวิต ไม่รู้จัก ความรัก คือฟ้าประทานให้ฉันภักดี  กตัญญู  เป็นมิตร รักพี่น้อง กรุณาต่อประชาชนและสัตว์  เพราะฉะนั้น ถ้าใช้อักษร "ความรัก" ถูกต้อง ก็สามารถสำเร็จเป็นปราชญ์เป็นอริยะ ถ้าใช้ผิดก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน  เพราะฉะนั้น จะไม่ระมัดระวังหวาดกลัวหรอกหรือ ?.  หนังสือเต๋า กล่าวว่า "ข่มขืนคนโทษบาปมากกว่าฆ่าคนหลายเท่านัก"  ยังกล่าวต่อว่า  "คนที่ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม โทษบาปที่เขาทำแ่ต่ก่อน สามารถขจัดหายได้  นอกเสียจากคนที่เคยข่มขืนหญิงดีมาก่อน ถึงแม้ต่อมาจะปฏิบัติบำเพ็ญจนได้ธรรมสูงสมบูรณ์ก็ตาม ก็ไม่สามารถนิรโทษได้ ต้องได้รับกรรมตอบสนองเสียก่อน จึงจะสามารถสำเร็จธรรมได้"  พุทธองค์ตรัสว่า  "คนในโลกนี้้ ถ้าไม่ล่วงประเวณีหญิงอื่นใจก็ไม่คิดลามก ด้วยเหตุอันนี้ ก็จะได้ผลดีตอบสนอง  ๕ ประการ

ที่หนึ่ง  :  จะไม่เป็นผู้สูญเสียเงินทอง
ที่สอง  :  ไม่ต้องกลัวเกรงข้าราชการ ศาลอาญา
ที่สาม  :  ไม่หวาดกลัวผู้อื่น
ที่สี่     :  ตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ได้เป็นนางฟ้าเป็นภรรยา
ที่ห้า   :  จุติจากฟ้ามาเกิดเป็นคน เป็นชายที่สง่างาม ที่เห็นหน้าตาสวยงาม ล้วนมีเหตุการณ์ดีมาแต่ชาติก่อน คือไม่ล่วงเกินหญิงชาวบ้าน

        กลับกัน หากคนปล่อยตัวมั่วกามละเมิดประเวณี ก็จะได้รับโทษ   ๕ ประการ
ที่หนึ่ง  :  สามีภรรยาไม่ปรองดองกัน มักสูญเสียเงินทอง
ที่สอง  :  กลัวเกรงข้าราชการ ศาลอาญา มักได้รับโทษจากทางราชการ
ที่สาม  :  ตนเองหลอกลวงตนเอง  มักจะหวาดกลัวคนอื่น
ที่สี่     :  ตายไปแล้วก็ตกนรกมหานรก ในนั้นต้องรับโทษกอดเสาทองแดงที่ร้อนแรง เพราะจะเห็นเสาทองแดงเหมือนสาวงาม จึงวิ่งเข้ากอด ต้องทุรนทุรายจนกว่าจะหมดกรรม โทษบาปเหล่นี้ก็มาจากตนเองก่อกรรมมาทั้งนั้น ต้องรับโทษกรรมนับพันนับหมื่นปีทีเดียวจึงจะหมด ! 
ที่ห้า   :  เมื่อพ้นจากนรกแล้วก็ไปเกิดเป็นพวกสัตว์ปีก เป็นไก่เป็นนก  สัตว์พวกนี้จะเสพกามโดยไม่คำนึงว่าเป็นแม่ลูก และก็ไม่มีการหยุดยั้ง แต่ลูกม้าจะมีศีลธรรม  ห่านป่าก็รักเดียว  นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ สัตว์พวกไก่ พวกนกยังถูกฆ่าเป็นอาหารอีกด้วย ความทุกข์เช่นนี้พูดกันไม่หมดน่ะ ! 

        พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า  หนึ่งในศีลห้าคือ ห้ามล่วงประเวณี ถ้ารักษาศีลข้อนี้ได้ ก็ได้ผลตอบสนอง คือได้พ่อแม่ญาติที่มีอายุยืน และปรองดองรักใคร่ดี ได้ลูกเมียดี ในพระสูตรกรรมกล่าวว่า  "มีผีตนหนึ่งถามว่า ตั้งแต่เกิดเป็นผีแล้ว ก็ให้รู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าจะถูกจับไปผูกมัดและก็ทำร้ายต่าง ๆ ไม่มีความรู้สึกสบายใจเลยสักนิด ที่จริงแล้วฉันทำผิดอะไรมา !  พระโมคลานะตอบว่า "นี่เป็นเพราะตอนที่เจ้าเกิดเป็นคน ชอบล่วงประเวณี ละเมิดลูกเมียผู้อื่น เพราะกลัวจะถูกเขาจับได้ เพราะฉะนั้นใจจึงไม่สบาย ปัจจุบันเธอได้รับโทษเจ็บปวด เป็นเพราะผลกรรมตอบสนอง ต้องได้รับโทษในขุมนรก นอนเตียงเหล็ก  กอดเสาทองแดง  โทษเจ็บปวดน่าหวาดกลัวเช่นนี้พูดไม่หมด !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ๓ ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน คติพจน์ ๘
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/05/2012, 06:29
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  คติพจน์

        พระเจ้าเหวินเซียง บันทึกในบทศีลธรรมฟ้าว่า  :   ข่มขืนลูกเมียเขา  ทำให้หญิงมีราคี จะต้องได้รับโทษในนรก ๕๐๐ กัปป์  จึงจะพ้นจากขุมนรกแล้วต้องเกิดมาเป็นวัวควายอีก ๕๐๐ กัปป์  จึงจะได้เกิดเป็นคนอีกครั้ง และจะเป็นหญิงโสเภณีหรือพวกเล่นละคร ถ้าไปข่มขืนหญิงหม้ายหรือหญิงออกบวชทำให้คุณธรรมเขามัวหมอง จะต้องได้รับโทษในนรก  ๘๐๐ กัปป์  จึงจะได้เกิดเป็นคน แต่เป็นใบ้หรือหูหนวก หรือเป็นคนไม่ครบอาการ ๓๒  เป็นคนทุพพลภาพ หรือถ้าทำลามกอนาจารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือผู้ใหญ่ลวนลามผู้เยาว์ เป็นผู้ทำให้สัมพันธภาพมนุษย์เสื่อมเสีย  จะต้องได้รับโทษในนรก ๑,๕๐๐กัปป์ จึงได้เกิดเป็นคน หรือเกิดมาก็ตายในครรภ์มารดา  หรือตายตั้งแต่เด็กที่สุดแล้วก็ไม่มีอายุยืนเป็นผลตอบสนอง เพราะฉะนั้น การได้ผลกรรมตอบสนองจากโทษบาปของศีลล่วงประเวณีน่าเวทนายิ่งนัก !  กัลยาณธรรมกล่าวว่า  นางผู้ออกเรือนแล้ว หากล่วงละเมิดประเวณี ตราบาปไม่อาจชำระล้างให้สะอาดหมดจดได้  ถึงแม้นางจะมีลูกกตัญญูหรือหลานที่ปราณี  ก็ไม่อาจช่วยชำระล้างให้นางสะอาดได้ เพราะฉะนั้น นามว่ากุลสตรี จะต้องรักษากายดุจหยกขาวไม่ให้มีด่างพร้อย  แม้ประสบกับพวกหื่นกาม ก็ต้องเข้มแข็งปกป้อง ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่กล้าล่วงละเมิด นี่แหละจึงได้ชื่อว่า  "กุลสตรีแท้"  แม้แต่ผีหรือเทพเจ้าก็ยังให้ความคุ้มครองปกป้อง !  หากหญิงมีเรือนมักมากในกาม คิดหรือว่าจะไม่มีความผิดตอบสนอง กฏยมโลกจะลงโทษให้นางไปเกิดเป็นหมูเป็นหมา ชดใช้กรรม หาใช่แต่เพียงถูกเขาด่าประจานเป็นหญิงสำส่อนเพียงแค่ในโลกนี้เท่านั้น ! 

        การวิเคราะห์   :  คนมักจะพลาดท่าเสียที ก็ตอนที่ความงามอรชรอยู่ต่อหน้า ช่วงระยะเวลาที่ความใคร่อยากโถมเข้าใส่ก็เป็นเวลาช่วงที่หวั่นไหว เพราะตอนนั้นกำลังประสบกับมาร ๓ ชนิด

ชนิดที่หนึ่ง  :  ขณะที่ตาเธอเห็นรูป ความอรชรอ่อนช้อยของรูปก็เจาะเข้ากลางใจ ทำให้เลือดพล่านตัวร้อน จิตวิญญาณพลอยฟุ้งเหมือนควันหมอกที่มีไฟลุกโชติ เปลวเพลิงร้อนลน  นี่คือไฟโลกีย์หรือมารไฟ ต่อไปเป็นรากแห่งความอยากเริ่มขยับ เลือดเริ่มไหลพล่านประดุจว่าเขื่อนทำนบกำลังจะพังทลาย น้ำหลากกำลังจะไหลทะลักอย่างใดอย่างหนึ่ง  นี่เรียกว่า "มารน้ำ" เมื่อน้ำถูกไฟเผา ไฟน้ำโลมดับพันตู ร่างกายกับวิญญาณเดือดพล่าน ประดุจกงล้อหมุนเวียนไปไม่หยุด ตีวงกว้างออกไปไร้ขอบเขต นี่คือมารลม หรือมารพายุ มารทั้งสามนี้คือด่าน ๓ ด่าน  คิดจะประหารมารเพื่อผ่านด่าน มีวิธีเดียวคือ ดาบปัญญา  หมายความว่า มีขันติ  ความอดทน  มั่นคงอดทน  ทนแล้วทนอีก  จะอดอยากปากแห้งแค่ไหน จะหิวโหยปานใด ก็จะไปกินไปเสพไม่ได้ ขณะที่สองคนกำลังต่อสู้กัน ต่างคนต่างถวายชีวิตเพื่อแย่งมีดใบมีดของคู่ต่อสู้ ถึงแม้มีดบาดจนเลือดไหลก็ไม่ยอมที่ปล่อยมีดในมือ ! ดุจทหารที่พ่ายแพ้เอาชีวิตรอด แม้มีธนูปักกลางหลังก็ต้องอดทนเจ็บปวดไม่กลับไป เป็นวิธีฑูดถึงมั่นคงอดทน เหมือนถูกงูพิษฉกกัดที่มือ ผู้ฉกรรจ์ยังต้องตัดมือทิ้ง ถูกศรพิษยิงถูก ผู้กล้าต้องรับทนเจ็บปวด ตัดเนื้อทิ้งไป เพื่อรักษาชีวิต นี่คือความอดทนแล้วอดทนอีก ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากสามารถมีสติระงับได้ ก็จะซาบซึ้งถึงฟ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด ดังนั้น การถือปฏิบัติของตนก็เพียงพอทำได้สำเร็จสมบูรณ์ ถ้าหากจิตผันผวนก็ไม่อาจมีสมาธิ ให้คิดเสียว่าที่เห็นเป็นดอกไม้ริมทางพริบตาก็ว่างเปล่า ถ้าหากไปละเมิดล่วงประเวณีเข้า อายุขัยของเราก็ถูกตัดลดน้อยลง บุญวาสนาก็ลดลง แม้กระทั่งเป็นการกวักหาภัย จนตัวตายก็ได้ บางคนเดิมทีเป็นผู้มีบุญวาสนาด้วยเหตุดังกล่าวจึงกลายเป็นคนตกอับยากจน บางคนชีวิตน่าสุขสบาย ด้วยเหตุดังกล่าวเป็นคนไร้ผู้สืบสกุล บางคนก็มีบุญได้อภิชาตบุตรและหลานดีกลายเป็นมีลูกหลานไพร่ต่ำทราม นอกจากนี้ก็ยังมีนรกเป็นผลกรรมผลตอบสนองในอนาคตชาติ บ้างก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือลูกเมัยสำส่อน ลูกหลานยากจน หรือเป็นหญิงโสเภณี เป็นคนเต้นกินรำกิน ตอบสนองทั้งหมดนี้ล้วนจากการผิดพลาดเพียงหนึ่งขณะจิตที่เผลอไผล เพราะฉะนั้น จึงนำพาเอาเคราะห์ภัยมาตอบสนอง มันน่าเวทนาเจ็บปวดขนาดไหน ทำไมจะไม่ยอมอดทน ไม่ระงับชั่งใจมั่งหรือ ! 

       การหยุดยั้งไม่ให้ละเมิดกาม วิธีที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพที่สุดคือ การป้องปราม  ก็คือคนที่เป็นพ่อ  พี่ชาย  ครูอาจารย์  เพื่อนเขา  ยามปกติก็ต้องสั่งสอนลูก แนะนำลูกศิษย์หรือตักเตือนเพื่อน ให้เขาเชื่อมั่นในเหตุต้นผลกรรม การทำเรื่องชั่วช้าแม้ในที่ลับไม่มีคนเห็น แต่ตาของเทพเจ้าประดุจดังสายฟ้าจะเห็นชัดเจน คนที่มีความเชื่อมั่น รู้จักจริยธรรม  เหตุต้นผลกรรมกับเคราะห์ภัยบุญวาสนาตอบสนองโดยไม่เคลือบแคลงสงสัยแล้ว เมื่อพบหรือสัมผัสสิ่งหลอกลวงภายนอกก็สามารถจะเห็นเข้าใจก็จะรีบย้อนมองส่องตน ก็จะไม่ทำเรื่องที่เสียหายได้

        ในสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนไร้ศีลธรรมในปัจจุบัน ผู้คนพลาดพลั้งเสื่อมเสียมีมากมากเหลือเกิน จึงนำมาซึ่งชีวิตที่ล้มเหลวตกต่ำไปชั่วชีวิต คนพวกนี้แม้แต่มองเงาตนเองก็ยังให้รู้สึกสะอิดสะเอียนน่าหวาดหวั่น มีสักกี่คนที่สามารถรักษาศีลให้มั่นคงไม่เปรอะเปื้อนได้ ตลอดวันสามารถรักษาศีลไม่ให้เกิดอยากละเมิดกามหรือมีใจไม่คิดละเมิดกาม กลับเป็นเพลิงราคะกับลุกโชติช่วง เมื่อพบกับคนอื่นก็จะพูดถึงการลดละใคร่อยากให้น้อยลง แต่เมล็ดพันธ์ใคร่กลับเติบโตจนน่ากลัว ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ปล่อยกายปล่อยใจไม่คิดแก้ไขแล้วละก็ กำลังจะกวักหาเคราะหืภัยมาเต็มเลย ท่านเจี่ยชิงไฉ สมัยซ่ง พูดไว้ว่า "หลักธรรมฟ้า จะเพิ่มโทษลงโทษให้กับผู้ล่วงละเมิดประเวณี และก็จะเพิ่มเคราะห์ภัยให้กับผู้สำนึกผิดแก้ไข" นี่คือสัจวาจา ! 

        โทษตอบสนองผู้ละเมิดประเวณี แม้จะรุนแรงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น บุญกุศลจากการป้องปรามละเมิดประเวณี หรือโทษจากหลอกลวงให้ละเมิดกาม ผลบุญตอบสนองก็ไม่น้อยเลย ด้วยเหตุนี้ก็หวังให้ทุก ๆ ท่านช่วยกันพูดธรรมะ ให้ทุก ๆ คนรู้สึกเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้น ช่วยกันตักเตือนชักนำป่าวประกาศให้ก้องสู่มวลชน แม้แต่ในห้องลับก็ให้ตักเตือนพร่ำบอก อย่าหวังว่าผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเอา และก็ไม่ต้องไปหลบหนีหน้าคนอื่นที่กล่าวหาว่าเราต่อละ แต่ต้องรู้จักพูดชักนำให้ผู้ฟังรู้จักสำรวจตน ก็จะได้ประโยชน์มหาศาล คนที่ทำแบบนี้ จะไม่ใช่เป็นคนที่รักผู้อื่นด้วยธรรมหรอกหรือ เป็นบัณฑิตผู้ใฝ่หาบุญกุศลหรือ ?.  วจีกรรมของคนปัจจุบัน ไม่มีอะไรจะชอบมากที่สุดถึงเรื่องผู้หญิง พูดถึงความลามกจกเปรตที่สกปรกโสมม ทั้งยังช่วยกันวิจารณ์ คนหนึ่งพูดร้อยคนก็คล้อยตาม พูดกันจนออกรสชาติ แถมผู้ฟังแล้วก็กระดิกกระเดี้ยอยากลอง ควรรู้เอาไว้ว่าโทษบาปของการละเมิดกาม ทำเรื่องที่หลบซ่อนไม่ให้คนรู้ เกี่ยวข้องกับเกียรติยศ สะอาดหมดจด ของคนทั้งชีวิต ถ้าหากพูดผิดแค่คำเดียวก็จะก่อเกิดเคราะห์ภัยไม่สิ้นสุด การทำให้ฟ้าโกรธไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้แล้วถ้ายังพูดสิ่งสะอาดสร้างสรรค์ ช่วยกันผดุงศีลธรรมจริยธรรม ก็จะได้รับบุญวาสนาจากฟ้าจะไม่ดีกว่าหรือ ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : บทผนวก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/05/2012, 12:34
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  บทผนวก

        บทความทะเลใคร่ปั่นป่วนของอันสือ ได้เขียนเรื่องศีลห้ามกามรูปแบบต่าง ๆ ไว้ชัดเจน จึงนำเอาตอนที่สำคัญเพื่อพิจารณา

        หญิงพรหมจรรย์  :  ชื่อว่าหญิงพรหมจรรย์ก็คือนามเกียรติยศเริ่มต้นของสตรี หากผู้ขาดมโนธรรมทำลายหญิงพรหมจรรย์ ทำให้นามของเธอต้องมัวหมอง พ่อแม่และญาติของเธอต้องพลอยรู้สึกอับอายขายหน้าไปด้วย !  แม้ว่าเธอจะได้แต่งงานไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าความลับถูกเปิดเผย เธอก็ไม่ใช่หญิงเบญจกัลยาเสียแล้ว ดีไม่ดีอาจถูกฝ่ายสามีขับนางกลับสู่บ้านแม่ เพราะฉะนั้น จึงมักเิกิดความอัปยศจนต้องฆ่าตัวตายก็ได้ แม้แต่การแต่งงานก็ยังปกปิดเรื่องคาวโลกีย์ที่ผ่านมา ในใจของเธอก็มักรู้สึกอับอายและหวาดหวั่นตลอดเวลา เพราะนามเกียรติยศถูกทำลายไปแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปพันปีก็ชำระล้างให้สะอาดได้ยาก เพราะฉะนั้น ผู้มีมโนธรรมควรป้องปรามศีลห้ามกามก่อน ! 

        หญิงหม้าย  :  หญิงแม่หม้ายที่คงความเป็นกุลสตรี แม้แต่ผีเทวดาก็ยังให้เกียรติยกย่อง แม้แต่ราชสำนักยังทำป้ายเชิดชูประทานให้ติดไว้เชิดชูเกียรติให้นางด้วย ถ้าเกิดมีผู้ไปทำลายเกียรติของนาง นางและคนในครอบครัวก็จะขายหน้า สามีผู้ล่วงลับในยมโลกก็ต้องเจ็บปวดแค้นเคือง !  เราลองเปรียบเทียบดู เอาใจเขามาใส่ใจเราแล้วคิด ๆ ดูก็ให้รู้สึกหนาวเหน็บเข้าไปในขั้วหัวใจเลยทีเดียว ! ดังนั้นเราจึงต้องคิดหาวิธีปกป้องคุ้มครองชื่อเสียงของนาง เพื่อให้นางได้เกียรติฐานะของกุลสตรี เป็นการบ่มเพาะคุณธรรมให้สูงยิ่งขึ้น อย่าคิดเอาแต่เพียงไม่ละเมิดกามนางเท่านั้นหรอกหนา ! 

        สาวรับใช้  :  หรือว่านางมิใช่กุลสตรีหรือ ?. ลูกสาวของตนเองก็ยังคิดให้นางเป็นผู้สะอาดดีงามเลย แล้วลูกสาวชาวบ้านล่ะ ก็จะสามารถทำลายความสะอาดดีงามของนางหรือ ?. สาวใช้ นางก็เป็นลูกเมียของชาวบ้าน ที่ลูกเมียของตนเองก็คิดให้นางรักษาเกียรติยศ แล้วทีลูกเมียชาวบ้านก็คิดจะทำลายเกียรติยศของนางให้มอดม้วยหรือ ?.  ความยากดีมีจนของคน ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่ชื่อเสียงเกียรติยศต่างก็มีความสำคัญเหมือน ๆ กัน มโนธรรมมอดม้วยแล้วหรือจึงไปก่อกรรมทำเข็ญ สร้างโทษบาปที่หนักหน่วง บางทีผู้เป็นภรรยาที่ขี้อิจฉาก็จะตบตีสาวใช้ ตลอดจนทำร้ายพวกนางถึงชีวิตพวกคนใช้ที่ดุร้ายก็จะตอบโต้ทำเย้ยหยันเป็นกบฏกับเจ้านาย สิ่งเลวร้ายคือเล่นสวาทกับพ่อและลูกชาย เนื่องจากต่างฝ่ายต่างไม่รู้จึงทำให้มนุษย์สัมพันธ์สับสน พ่อลูกร่วมโลกีย์ บางทีก็เป็นพี่ชายและน้องชาย นอนร่วมกับหญิงคนเดียวกัน หรือทำให้เกิดท้องขึ้นมาและก็ไม่อาจเรียกลำดับญาติได้ กลายเป็นไพร่นางบำเรอ พอตกไปอีกชั่วอายุคน ความลับนี้ก็ไม่มีใครรู้ ด้วยเพราะไม่รู้ก็ทำให้ผิดพลาดก่อชั่วขึ้น ระหว่างพวกเขาแยกกันไม่ออก นอกจากเป็นนายและบ่าว แต่ความจริงพวกเขามีสายเลือดเป็นพี่น้องกันก็ได้ การกระทำที่เสื่อมเสียประเพณีเช่นนี้เป็นเรื่องที่จะทนไม่พูดก็ไม่ได้ ทำไมเมื่อคนมีการแบ่งแยกเป็นนายกับบ่าวเกิดขึ้น ก็ทำให้พวกที่ถือเป็นนายจึงมีพฤติกรรมกล้าละเมิดกามข่มขืนพวกเธอ และก็ไม่มีความคิดของคุณธรรมเหลืออยู่เลย !

        แม่นม  :  แม่นมถือเป็นหนึ่งในแปดมารดาที่เคารพ และภิกษุณี แม่ชีเป็นผู้รักษาศีลในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งธรณีสงฆ์ หากไปล่วงเกินพวกเธอเข้า ก็จะเป็นการสร้างวิบากกรรม ในวิบากกรรมผู้ที่พบแต่คดีขึ้นโรงขึ้นศาล และภัยพิบัติต่าง ๆ ก็ยังถือว่าเป็นโทษที่เบากว่าโทษจากการละเมิดกามพระภิกษุณี และแม่ชี  หญิงที่เคียดแค้นหนีตามผู้ชาย กระแทกกระทั้นตนเองแล้วมาหาเรา ถ้าหากเราถือโอกาสก่อบาปละเมิดกาม ซึ่งคนส่วนใหญ่ถือโอกาสทำแบบนั้น อย่าได้ทึกทักเอาว่านางเป็นฝ่ายมาหาเราเอง มาสู่อ้อมกอดเรา ถ้าไปตัดรอนนางจะมิเป็นการตัดเยื่อใยไมตรีหรอกหรือ ?.  ในช่วงเวลาขณะนี้หากเราสามารถปลงตก สามารถอดทนได้เช่นนี้ก็จะเป็นเหตุให้เราได้สั่งสมบุญกุศลใหญ่  การสัมฤทธิ์ผลก็จะวิเศษมาก ฟ้าเบื้องบนก็รู้เองไม่จำเป็นต้องคนอื่นรับรู้เลย !  นี่คือจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการสร้างกุศลและบาป เป็นเส้นเขตของบุญวาสนาและเคราะห์ภัย โดยเฉพาะตนเองนั่นแหละควรจะเร่งรัดหมั่นเพียร

        โอบกอดอุ้มหญิงโสเภณีเล่นสนุก หลายคนเห็นว่าไม่น่าจะเป็นโทษบาปอะไรนี่นา ! หารู้ไม่ว่าตนได้ตกสู่วงล้อมของนางแล้ว และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านแตกสลาย นำมาซึ่งพ่อแม่ก็จะละทิ้งลูกชายที่ติดหญิงโสเภณี ญาติ ๆ ก็พากันเหินห่าง ลูกเีมียก็จะโกรธแค้นเขา นี่ตนเองเป็นผู้ขัดหลักมนุษยสัมพันธ์ แล้วก็ยังกลายเป็นผู้เสียเกียรติปล่อยกายเกลือกกลั้วสกปรก ถ้าหากเกิดติดโรคขึ้น เนื้อตัวเป็นตุ่มเน่าพุพอง บ้างก็ขนคิ้วหลุด จมูกโหว่ เป็นคนน่าเกียจอัปลักษณ์ไปเลย  มีเพื่อนคนหนึ่ง ต้องสูญเสียอวัยวะเพศไปเลย เขาพูดว่า " นี่เป็นเพราะความคึกคนอง เพียงชั่วครู่ ที่ยับยั้งไม่อยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ แม้จะสำนึกผิดก็สายเสียแล้ว "  มีชายคนหนึ่งชาวเมืองอันฮุยเป็นกามโรคจนลำตัวเป็นแผลเน่าพุพอง เขามีลูกชายคนหนึ่ง เกิดมาร่างกายแดงเถือกไม่มีผิวหนัง เลี้ยงไม่รอด มีคนพูดว่า "เที่ยวโสเภณี ไม่ทำลายบุญกุศล"  ช่างเป็นวาจาบาปยิ่ง !  รู้ไหม ?. เหมือนได้เจอะคนกล่าวโทษในยมโลกเลย หวังว่าพวกเราจะรักษาศีล !  เพราะผู้ชายที่ชอบมั่วเซ็กซ์ โดยเฉพาะพวกรักร่วมเพศ มี ๖ ชนิดที่ไม่ควรทำ
         พวกรักร่วมเพศเป็นเรื่องลามกที่ใช้ไม่ได้ เป็นพวกขายขี้หน้า ทำร้ายร่างกายและเสื่อมคุณธรรม  เป็นผู้สูญสิ้นความน่านับถือ ความละอายใจไม่มี นี่คือชนิดที่ ๑
        ทิ้งขว้างตนเองไม่พอยังทิ้งขว้างเมียด้วย แล้วไปหลงรักหนุ่มน้อย เป็นการละเมิดกฏของฟ้าดินขัดธรรมชาติ นำมาซึ่งความถูกผิดบิดเบือนไป นี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ ชนิดที่ ๒
        คนรักร่วมเพศเป็นคนที่ไม่หนักแน่น และไม่คอยตรวจสอบ ทั้งยังชอบแอบกินขโมยกิน  ทำบัดสีกับลูกสาวในบ้าน นี่คือไม่ควรทำชนิดที่ ๓
        เหนือหัว ๓ ฟุต มีเทพเจ้า เทพเจ้าจะรู้สึกโกรธกับพวกรักร่วมเพศลามกสกปรก เพราะฉะนั้น จึงลงโทษพวกเขาไม่น้อย นี่คือไม่ควรทำชนิดที่ ๔
        กฏของพระราชามีกำหนดไว้ ให้ลงโทษผู้ชำเราทางทวารหนัก โดยให้ประหาร เพราะฉะนั้นผู้รักร่วมเพศทางทวารหนัก คือผู้ใกล้ประหาร ผู้รักร่วมเพศจึงเป็นผู้กระตุ้นกลไกประหาร ทำให้ต้องเสียชีวิตอันล้ำค่าไป  นี่คือชนิดที่ ๕ ที่ไม่ควรทำ
        ถ้าหากไม่เป็นไปเพื่อสืบวงศ์ตระกูล ถ้าให้หลั่งอสุจิตามอำเภอใจ ถือเป็นการกระทำของผู้โง่เขลาสุด ๆ เป็นผู้ทำร้ายชีวิตตนเอง นี่คือไม่ควรทำ ชนิดที่๖
        ขอเตือนชาวโลกว่า ผู้ที่ไม่เคยล่วงละเมิดกามจะต้องรักษาไม่ให้ล่วงละเมิดอย่างจริงจัง เพื่อหลบพ้นภัยเคราะห์ พบแต่มงคลตลอดชีวิตต้องไม่มีหญิงสอง นอกจากภรรยาตัวเอง จะไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นเรื่องกามไม่ได้  ยิ่งผู้เคยล่วงละเมิดทางเพศมาแล้ว ต้องตั้งใจแก้ไขและต้องรีบทำมหากุศล เช่น พิมพ์หนังสือประเภทห้ามละเมิดกาม เพื่อตักเตือนชาวโลกให้กว้างขวาง จะได้ไถ่บาปที่ล่วงละเมิดมา อย่างนี้จึงจะสามารถเปลี่ยนเคราะห์เป็นบุญได้

        สมัยก่อน นายเหยาถิงยั่ว ชาวเมืองอันฮุยทง ได้พิมพ์ใบปลิวตั้งสัตย์ปฏิญญาห้ามละเมิดกาม เขาเขียนไว้ว่า "ร้อยกุศล กตัญญูเป็นเลิศ  หมื่นบาปชำระเป็นหนึ่ง เพราะคนต่างจากสัตว์ ก็อยู่ที่ใจเขานี่แหละ นกห่านป่าแม้เป็นสัตว์บิน แต่ก็ไม่บินสับสน  มนุษย์มีคุณธรรมสี่  ทำไมจะไม่สู้สัตว์ เหตุนี้จึงเอามาเป็นที่พึ่ง ตั้งปฏิญญาขจัดการชำเรา ถ้าหากคิดร้ายย่อมมีภัยถึงตัว ถ้าหากละเมิดศีลข้อนี้ห้าม ภัยพิบัติสืบทอดลูกหลาน ให้ปณิธานมหาเมตตา สงสารประจักษ์ร่วมปฏิญญานี้  ช่วยคุ้มครองปกปักเงียบหมายให้รักษาข้ามีชีวิตต่อไป" ผู้ที่ได้รับใบปลิวนี้ ร่วมกับเพื่อนร่วมใจ ใช้กระดาษเขียนข้อความนี้ และเขียนที่อยู่ตนเองลงไป และตีตราประทับหรือพิมพ์นิ้วมือ อยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าเหวินเซียง  พระเจ้ากวนอู  หรือต่อหน้ารูปพระพุทธโพธิสัตว์ ตั้งปฏิญญาแล้วเผาไป ต่อไปก็รักษาศีลไม่ละเมิด ทำแบบนี้เป็นหลักฐานปีละครั้ง ผู้ร่วมปฏิญญา ร่วมตั้งสัตย์อธิษฐานแล้วก็ให้พิมพ์ใบปลิวนี้แจกต่อเป็นหมื่น ๆ ใบส่งให้ผู้อื่น ให้วิธีการดี ๆ เช่นนี้ สามารถถ่ายทอดสืบไปไม่หยุด ด้านหลังใบปลิว ยังเขียนคติพจน์ และผลตอบสนอง เพื่อเป็นการตักเตือนชาวโลก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/05/2012, 03:11
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  นิทาน

นิทาน ๑  :  ที่กุ้ยซี มีนักศึกษาคนหนึ่ง ไปสอบเข้ารับราชการหลายครั้งก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าสาเหตุเพราะอะไร เขาจึงไปวอนขอพระอริยเจ้าจางเจินเหยิน จุดธูปก้มกราบให้ตรวจกระดานฟ้า เทพเจ้าก็ชี้แจงว่า "นักศึกษาผู้นี้ ในชะตามีตำแหน่ง แต่เพราะแอบชะเราอาสะใภ้ ตำแหน่งจึงถูกริบ"  หลังจากอริยเจ้าจางเจินเหยิน ตรวจสอบเสร็จ ก็ลุกขึ้นบอกนักศึกษาว่าถึงสาเหตุ นักศึกษาฟังแล้วก็พูดว่า "ข้าไม่เคยลวนลามอาสะใภ้เลย !"  ดังนั้น เขาจึงเขียนใบคำร้องต่อเทพเจ้าเพื่อแก้ต่างให้กับตนเอง เทพเจ้าก็ได้อธิบายชี้แจงว่า "ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้กระทำชำเราอาสะใภ้ แต่เจ้าก็เคยคิดลวนลามอาสะใภ้ใช่ไหม !"  ตอนนี้นักศึกษาให้รู้สึกอับอายและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าตอนที่เขาเป็นเด็กหนุ่ม เห็นอาสะใภ้สวยบาดตา ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดคิดมิดีมิร้ายขึ้น !

นิทาน ๒  :  ในสมัยหมิง รัชสมัยเจิ้นเต๋อ มีนักศึกษาคนหนึ่งชื่อ จ้าวยงเจิน  ตอนเป็นหนุ่มน้อย เจอคน ๆ หนึ่งเคยบอกกับเขาว่า "เมื่อเจ้าอายุ ๒๓ จะได้ตำแหน่งราชการ"  พออายุ ๒๓ ปี ก็ไปสอบที่อำเภอเขียนเรียงความได้ดีมาก ผู้คุมสอบได้ตัดสินใจคัดเลือกเรียงความของเขาเอาไว้แล้ว โดยไม่คาดคิดหลังการสอบเขากลับพลาดสอบไม่ได้อีก ใจของจ้าวยงเจินรู้สึกไม่สบาย ดังนั้น จึงอธิษฐานให้พระเจ้าเหวินเซียงมาเข้าฝันถึงสาเหตุที่สอบไม่ได้ พระเจ้าเหวินเซียงตอบว่า "ที่จริงเจ้าควรสอบได้ที่อำเภอของเจ้าแล้ว แต่เพราะตอนหลังนี่ เจ้าพูดจาลวนลามสาวใช้ ไปหลอกลวงลูกสาวข้างบ้าน ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นละเมิดกาม แต่ใจของเจ้าก็ปั่นป่วน  ใจลวนลามไม่ขาด  ใจมืด  ถึงแม้ชะตาชีวิตจะมีตำแหน่ง แต่เพราะเหตุนี้จึงถูกขจีดไป"  ย่งเจินฟังแล้วปวดใจจนน้ำตาไหล ตั้งปฏิญญาว่าจะแก้ไข ทำกุศลให้มาก และพิมพ์หนังสือห้ามละเมิดกาม เพื่อตักเตือนชาวโลก ในที่สุดเขาก็สอบได้ในการสอบครั้งต่อไป ได้ตำแหน่งเจวี๊ยะหยวนและเลื่อนไปถึงผู้พิพากษา

นิทาน ๓  :  นายหลี่เติ้ง เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี ก็สอบเข้ารับราชการตำแหน่งเจี๊ยะหยวน ที่อำเภอได้ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงอายุ ๕๐ ปี เขาก็สอบเลื่อนชั้นอะไรไม่ได้อีกเลย  นายหลี่เติ้งจึงไปหาธรรมาจารย์เหยี้ยจิ้ง เพื่อถามหาสาเหตุที่แท้จริง  ธรรมาจารย์เหยี้ยจิ้ง จึงช่วยเขากราบถามพระเจ้าเหวินเซียง พระเจ้าเหวินเซียงให้เทพเจ้าไปเอาใบชะตาชีวิตรับราชการมาให้ธรรมาจารย์ดู  ในใบชะตาเขียนเอาไว้ว่า "อายุ ๑๘ สอบเจี๊ยะหยวนได้  อายุ ๑๙ ได้เป็นจอหงวน  อายุ ๕๒ ปี ได้เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวา สาเหตุเป็นเพราะหลังจากสอบเจี็ยะหยวนได้แล้ว ได้แอบดูลูกสาวข้างบ้านอาบน้ำ ด้วยเหตุนี้อายุราชการจึงเลื่อนช้าออกไปอีก ๑๐ ปี  ทั้งยงัถูกลดขั้นไป ๒ ขั้น และก็ได้ครอบครองเอาบ้านและที่ดินของพี่ชายเหลี่ยง อายุราชการจึงถูกเลื่อนไปอีก ๑๐ ปี แถมถูกลดขั้นไปอีก ๓ ขั้น  (รวมช้าไป ๓๐ ปี)  มาถึงตอนนี้ก็ไปข่มขืนลูกสาวข้างบ้านเข้าอีก เป็นผู้สร้างบาปไใม่หยุด ไม่รู้สึกตัวผิดคิดแก้ไข เบื้องบนจึงลบชื่อเขาออก ดังนั้น นายหลี่เติ้งจึงสอบอะไรไม่ได้อีกเลย"  ธรรมาจารย์เหยี้ยจิ้งจึงเล่าเรื่องนี้ให้หลี่เติ้งฟัง หลี่เติ้งจึงเจ็บใจแค้นและอับอายจนตาย

อธิบาย   :  บรรพชนสู้อุตส่าห์สั่งสมกุศลไม่รู้สักเท่าไร จึงจะสามารถมีลูกหลานถึงตำแหน่งจอหงวนได้ หลี่เติ้งทำชั่วบาปจนทำให้ตำแหน่งจอหงวนและเสนาบดีถูกลบออกไป เป็นผู้เนรคุณฟ้าเบื้องบน  เนรคุณบรรพชน  เอาความสนุกเป็นสำคัญ  ชื่อเสียงเกียรติศักดิ์ปัดทิ้ง มันไม่ใช่เป็นแค่เรื่องเดียว การข่มขืนแม้จะปิดบังได้ แต่ก็ทำให้บุญวาสนาของตนเองต้องสูญเสียไปด้วย เป็นเรื่องน่าเศร้านัก !   ท่านอูเถี่ยเจียวกล่าวว่า "ถึงท่านจะมีชะตาของจอหงวนเสนาบดี แต่ก้ไม่ยากที่จะลบออกด้วยปากกาอันเดียว"  แล้วคนที่ไม่มีชะตาถึงจอหงวนเสนาบดี แล้วไม่ต้องพูดถึงเลย ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : บทผนวก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/05/2012, 03:42
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  บทผนวก

        ผนวก  :  บทประพันธ์เรื่อง ซุยสี่ต่วน  ของชีไน่อัน ได้เขียนถึงเรื่องการละเมิดกาม  ลักขโมย  และฆ่าตัดชีวิตไว้อย่างพิศดาร โดยเฉพาะสอนให้ขโมย  สอนให้ละเมิดกาม ผลที่สุดลูกหลานของชีไน่อันเกิดมาล้วนเป็นใบ้  นักประพันธ์เรื่อง "ชีเซียงจี่" (ไชเซียงจี่)  คือนายหวังสือปู่ ได้เขียนจินตนาการสภาพของชายหญิงที่ลักลอบล่วงประเวณีได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้คนอ่านเรื่องของเขาแล้วก็คิดอยากล่วงประเวณี ในที่สุด นิยายเรื่องนี้ยังแต่งไม่ทันจบ นายหวังสือปู่ก็ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จนต้องกัดลิ้นตาย  นักกวีหยวนจิงในสมัยถัง เห็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้อง ซุ่ยหยางหยาง มีหน้าตาสวยดุจนางฟ้า ก็คิดอยากได้นางเป็นภรรยา แต่ถูกต่อต้าน นายหยวนจิงจิงโกรธจัดแล้วประพันธ์นิยายเรื่อง "หุ้ยเจินจี่"  แล้วก็สาธยายถึงการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องสาว เป็นการทำลายชื่อเสียงของซุ่ยหยาง ทำให้ชื่อของนางมัวหมองไปตลอดชาติ อีกทั้งยังเป็นการชักนำให้นักประพันธ์รุ่นหลังฝึกเขียนถึงการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ ผลสุดท้าย ตอนที่หยวนเจินตาย เจ็บปวดทรมานมาก แม้ตายแล้วศพของเขายังถูกฟ้าผ่าเผาจนมอดไหม้เป็นกรรมตอบสนอง

        นอกจากนั้น ยังมีนักประพันธ์สมัยซ่ง  นายหวงซันกู่ ชอบเขียนกลอนเกี่ยวกับเซ็กซ์ มีอยู่คราวหนึ่ง เขากับนักวาดรูปหลี่เป้อ ที่ชอบวาดรูปม้า ทั้งคู่ไปนมัสการหลวงพ่อหยวนทงเถ้า หลวงพ่อหยวนได้เตือนหลี่เป้อว่า "อย่าทุ่มเทใจทั้งชีวิตเขียนรูปม้า ถ้าหากใจคิดแต่ม้า กลัวว่าชาติหน้าจะล่วงสู่ท้องม้าหวังซันกู่ได้ยินแล้วก้หัวเราะ หลวงพ่อก็ดุเอาว่า "เจ้าอยาหัวเราะคนอื่น" ซันกู่ตอบว่า "หรือว่าข้าจะเข้าสู่ท้องม้าหรือ ?" หลวงพ่อว่า "หลี่เป้อคิดถึงม้า ร่วงสู่ตัวม้า  ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ที่เธอเขียนกวีร่วมเพศ ทำให้ผู้คนมีใจหวั่นไหว อยากร่วมเพศ ทำให้คนหลายคนไม่รักษาพรหมจรรย์ บาปกรรมอันนี้ จะยับยั้งไม่ให้ร่วงสู่ท้องม้าได้อย่างไร กลัวว่านรกรอเธออยู่น่ะ !"  หลวงพ่อหยวนเป็นพระที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น หลังจากหวงซันกู่ได้ฟังวาจาแล้วก็ให้รู้สึกหวาดกลัวและอับอายจึงหยุดเขียนตั้งแต่นั้นมาก็เลิกเขียนเรื่องเซ็กซ์ 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน : นิทาน-สรุป
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/05/2012, 09:30
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  :  นิทาน - สรุป

นิทาน ๔  :  ในสมัยถัง ผู้ตรวจราชการคนหนึ่งมีชื่อว่า หลี่เอวี๋ย รับสั่งจากราชสำนักไปตรวจราชการที่มณฑลกวางตุ่ง ระหว่างทางพบเสือคัวหนึ่ง กระโดดเข้าไปในพงหญ้า ทั้งยังพูดภาษาคนกับเขาว่า "โอ้ย !  เกือบไปแล้ว แค่นิดเดียวก็จะทำร้ายเพื่อนของตน !"  หลี่เอวี๋ยพูดว่า "เสียงนี้เหมือนเพื่อนร่วมเข้าสอบที่เข้าสอบไล่พร้อมกัน !"  เสือตอบว่า "ตั้งแต่ข้าแยกจากัน นานแล้วไม่ได้เจอะกัน" ทั้งสองฝ่ายต่างสนทนาถึงเรื่องครั้งกระโน้น มีความรู้สึกสนิทกัน หลี่เอวี๋ยก็ถามเสือว่า "หลี่เหวย ทำไมเธอถึงกลายเป็นเสือล่ะ !"  เสือตอบว่า "วันหนึ่งขณะที่ข้านั่งสมาธิอยู่ ทันใดก็ได้ยินเสียงฮู ๆ จากข้างนอกทันใดฉันก็กลายเป็นเสือ วันนี้ได้พบเพื่อนเก่า จะไม่ให้ข้ารู้สึกเสียใจได้อย่างไร" หลี่เอวี๋ยจึงถามหลี่เหวยว่า "ตอนปกติเธอเคยทำเรื่องเจ็บแค้นอะไรไว้บ้างหรือไม่" หลี่เหวยตอบว่า "ข้าตอนที่อยู่เมืองหนานหยาง เคยข่มขืนแม่หม้ายคนหนึ่ง สุดท้ายทางบ้านของนางรู้เข้า ก็แอบวางแผนทำร้ายข้า ดังนั้นข้าจึงดื่มสุราจนเมาแล้วก็เข้าไปฆ่านางทั้งบ้าน เป็นเรื่องเจ็บแค้นของชีวิตที่ข้าได้ทำ !"  พูดจบเสือก็คำรามแล้วจากไป

นิทาน ๕  :  นายหวังเซิ่นเจิ่น ชาวเมืองเถียงหยาง แอบมีชู้กับหญิงข้างบ้าน ทั้งสองนัดแนะกันหลบหนี แต่นายหวังเซิ่นเจิ่นกลัวสามีนางจะจับได้ และติดตามไป โดยไม่คาดคิดนางก็ฆ่าสามีของนางทิ้ง หวังเซิ่นเจิ่นรู้เข้าก็รู้สึกหวาดกลัว จึงหลบหนีไปแต่ลำพังเพียงคนเดียว เขาหนีเตลอดไป ๗๐ ลี้ ที่อำเภอเจียงซัน และก็คิดว่าตนเองหนีมาไกลพอแล้ว คงหลบพ้นเคราะห์ภัยได้ !  ตอนนี้ก็รู้สึกหิวขึ้นมาจึงเข้าไปยังร้านอาหารเพื่อทานข้าว ไม่รู้มีใครช่วยเตรียมอาหารไว้ ๒ ที่ หวังเซิ่นเจิ่นจึงถามเจ้าของร้านว่า ข้ามาคนเดียวทำไมจึงจัดอาหารไว้ ๒ ที่  เจ้าของร้านว่า เมื่อครู่นี้ฉันเห็นคนที่โกนผมตามหลังท่านมา หรือว่าพวกท่านไม่ได้มากัน ๒ คนหรอกหรือ หวังเซิ่นเจิ่นฟังคำพูดของเจ้าของร้านแล้วเขาก็รู้ทันทีว่า ผีที่โกรธแค้นตามเขามาตลอด ดังนั้น เขาจึงเข้าไปร้องบอกกับนายอำเภอว่า เขาได้ทำอะไรไว้ ในที่สุดทั้งหวังเซิ่นเจิ่นกับหญิงข้างบ้าน ก็ถูกประหารชีวิตพร้อมกัน

นิทาน ๖  :  นายลี่ชิง สมัยหมิง ปกติเป็นคนชอบพูดเรื่องลามกจกเปรต และแอบดูผู้หญิง พอเขาอายุได้ ๓๐ ปี ครอบครัวจนถึงที่สุดและลูกก็ตายติดต่อกัน ๒ คน วันหนึ่ง นายลี่ชิงเกิดตายกระทันหัน  ได้พบคุณปู่กำลังโกรธมาก พูดกับเขาว่า "บ้านเราสั่งสมกุศลมี ๒ ชั่วคน ในชะตาชีวิตของเจ้าต้องร่ำรวยมาก ไม่คิดว่าความเเจ้าชู้มักมากในกาม ทั้งปากทั้งตากำลังสร้างวิบากกรรม บุญตอบสนองกำลังสิ้นสุดลง  ข้ากลัวว่าเจ้าต้องไปล่วงละเมิดกามแน่ ๆ ถ้าเช่นนั้นลูกหลานสกุลลี่คงจบสิ้นไม่มีหวัง เพราะฉะนั้น ข้าจึงอ้อนวอนขอกับยมบาลให้เขาจับเจ้ามาดูอะไรที่ยมโลก เจ้าจะได้รู้ว่าน่ากลัวแค่ไหน !  ลี่ชิงพูดว่า "ได้ยินมาว่าข่มขืนลูกเมียเขา ก็จะไร้ลูกหลานสืบสกุล  เรื่องนี้ข้าก็กลัวการตอบสนองเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ข้าก็ยังไม่ได้ล่วงละเมิดกามเลย !"  ยมทูตข้าง ๆ ตนหนึ่งก็พูดว่า "ใช่ว่าแต่ขาดลูกหลานสืบสกุลเท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงที่เข้ามาเกี้ยวจีบเราแล้ว เราก็เออวยไปตามน้ำไม่ขัดขืน นี่คือวิบากกรรม ก็จะขาดลูกสืบสกุลเป็นผลตอบสนอง แต่ถ้าตนเองไม่หลอกลวง ข่มขืนผู้อื่นละก็ ก่อกรรมทำชั่วเป็นการทำลายมนุษย์สัมพันธ์ ทำให้คนอื่นต้องไปทำแท้งฆ่าลูกหรือฆ่าสามีเขา อย่างนี้มีโทษหนักสถานใด เพียงแต่ขาดลูกสืบสกุลหรือ ?. โทษของการล่วงละเมิดกาม กฏหมายบ้านเมืองผ่อนปรนมาก แต่ในยมโลกจะเข้มงวดมากแม้แต่คนที่เกิดใจคิดข่มขืน เทพประจำตัวทั้งสามก็ยังยอมรับโทษ เทพเจ้าในบ้านและเจ้าหลักเมืองก็จะรายงานไปตามจริง ถ้าหากเทพเจ้าผิดพลาดตกหล่นก็จะเป็นเคราะห์หนัก !  เธอดูการเจริญและตกอับในปัจจุบันก็จะรู้ได้ สักครู่หนึ่ง พวกยมทูตก็นำคนที่ทำบาปละเมิดประเวณีมาที่หน้าบัลลังก์ พวกเขาถูกล่ามโซ่ด้วยขื่อ คุกเข่าอยู่ต่อหน้า ท่านยมทูตตวาดว่า "เจ้าไปเป็นขอทานบ้าใบ้ !  เจ้าไปเป็นโสเภณีตาบอด !  เจ้าไปเกดิเป็นวัว ๒ ครั้ง !  เจ้าไปเป็นหมู ๑๐ ครั้ง !" เมื่อยมบาลสั่งเสร็จ ยมทูตก็นำตัวออกไปให้ไปเกิด ลี่ชิงกลัวจนตัวสั่น ยมบาลว่า "ยังมีที่หนักกว่านี้อีก เธออย่าได้เห็นแก่ความสนุกชั่วครู่ชั่วยาม จะสูญสิ้นกายมนุษย์ ควรหลบหลีกรูปกามดังหลบหลีกธนู และพิมพ์หนังสือธรรมะตักเตือนโลก !  อีกครู่หนึ่ง ยมบาลก็ปล่อยลี่ชิงกลับมนุษย์โลก ลี่ชิงรีบพิมพ์หนังสือเที่ยวนรกหมื่นใบ เพื่อตักเตือนชาวโลก และสร้างกุศลสุดกำลัง พออายุ ๔๐ ปี ก็ได้บุตรชาย ๒ คน และมีเงินร่ำรวยมาก ต่อมา ลี่ชิงตัดสินใจตัดโลกไปบำเพ็ญธรรมที่หนานไห่ นี่คือบทบันทึกของไฉชิง คนบ้านเดียวกัลลี่ชิง

        สรุป  :  สองเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องที่สำนึกบาป ที่ล่วงละเมิดทางเพศ และได้รับผลดีตอบสนอง เพื่อให้แก่บุคคลที่พลาดพลั้งไปแล้วจะได้มีใจมั่นคง สำนึกผิด  และก็เป็นการเปลี่ยนเคราะห์ภัยเป็นบุญวาสนา โอ้ ! เสพกาม บาปอันนี้ไม่ใช่ใช้ปากกาและเวลาก็จะพูดได้หมด !  ขอตั้งความหวังไม่ว่าจะเป็นคนฉลาดหรือคนโง่เขลา ที่ยังไม่ล่วงละเมิด หรือคนที่ล่วงละเมิดไปแล้ว ขอให้ตรึกตรองและหวนคิดเพื่อจะได้พบเห็นมโนธรรมของตนได้เร็ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เป็นหนนี้เขา หวังให้เขาตาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/05/2012, 09:49
                                คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เป็นหนี้เขา หวังให้เขาตาย

อธิบาย  :  เป็นหนี้เงินทองหรือหยิบยืมสิ่งของ ของเขามาแต่ไม่คิดจะใช้คืน กลับกัน กลับอยากให้เขาตายไปเสีย ที่เป็นหนี้สินหรือยืมของเขามาก็จะได้ไม่ต้องไปใช้  หนี้  หมายถึง ขณะที่เราขาดแคลนและยืมมาใช้เร่งด่วน พอเวลาผ่านไปนานเข้าก้ไม่ยอมใช้คืนเขา แบบนี้ก็เท่ากับเป็นการเนรคุณคนที่ให้ยืมมาใช้ เป็นผู้ทำลายคุณธรรม ในพระสูตรจงเจี้ยกล่าวว่า "เป็นหนี้เงินทองข้าวของ ของผู้อื่น ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้คืนเขาก็ต้องคอยจดจำไว้ในใจ ให้คิดอยู่เสมอ ๆ ว่าจะใช้คืนเขาได้อย่างไร แต่ถ้าคิดที่จะไม่ยอมใช้คืนเขาก็จะเป็นคนใจทมิฬหินชาติ ชาติหน้าคงต้องเกิดเป็นสุนัข เป็นม้าชดใช้หนี้เขา อย่างนี้จะว่าเป็นคนไม่โง่เขลาหรอกหรือ ?. 

นิทาน  :  นายไปย่หยวนทง เป็นหนี้หยางเกิง สี่พันห้าร้อยสตางค์ นายหยางเกิงทวงหนี้กับไปย่หยวนทงหลายครั้ง ผลสุดท้ายไปย่หยวนทงห้ไม่ได้ใช้หนี้ต่อมาที่บ้านของหยางเกิงมีลูกฬ่อตัวหนึ่งเกิดมา และเจ้าลูกฬ่อตัวนี้เกิดพูดภาษาคน มันพูดว่า "ข้าคือไปย่หยวนทง เป็นเพราะเป็นหนี้บ้านท่านสี่พันห้าร้อยสตางค์ จึงกลายเป็นลูกฬ่อแบบนี้ !  ตอนนี้ที่ตลาดซีซื่อ ร้านขายลูกฬ่อก็เป็นหนี้เงินฉัน บังเอิญเป็นเงินสี่พันห้าร้อยสตางค์ พวกท่านรีบ ๆ เอาฉันไปขายเพื่อใช้หนี้ แบบนี้ หนี้ของฉันก็จะได้หมดสิ้นกัน ! " ลูกชายหยางเกิงได้ฟังแล้วก็ทำตามที่ลูกฬ่อพูด จึงขายลูกฬ่อให้แก่ร้านขายลูกฬ่อไป ได้เงินมาสี่พันห้าร้อยสตางค์พอดี หลังจากนั้นอีก ๒๐ วัน เจ้าลูกฬ่อก็ตายลง 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ขอร้องไม่ได้ก็เกิดแค้นสาบแช่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/05/2012, 09:44
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ขอร้องไม่ได้ก็เกิดแค้นสาปแช่ง

อธิบาย   :  เมื่อขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือทำอะไร หากไม่สามารถได้ดังใจ หรือไม่สมใจที่ต้องการ ก็เกิดแค้นเคืองสาปแช่ง  บัณฑิตที่สามารถเข้าถึงหลักธรรม และมีความพอใจในดวงชะตา ก็จะไม่เป็นผู้ที่ไม่เที่ยวขอร้องผู้อื่นโดยง่าย ถ้าหากเที่ยวขอร้องผู้อื่นโดยง่าย ถือว่าไม่ใช่บัณฑิิต แม้เมื่อขอร้องผู้อื่นแล้ว แม้ไม่ได้ดังใจก็ควรที่จะหวนคิดให้ดี ๆ แต่ถ้าไม่ได้แล้วก็เจ็บแค้นสาปแช่งเขา นั่นก็คือเป็นอันธพาลโดยแท้

นิทาน  :  ในสมัยซ่ง มีนายหลูโม่ว อาศัยเวลากลางคืนก็นำเอาทองคำจำนวนหนึ่งร้อยตำลึง ไปมอบให้เสนาบดีหวังตั้น ขอร้องให้หวังตั้นช่วยเหลือให้เขาได้ตำแหน่งดำเนินการคมนาคมแม่น้ำเหว่ย หวังตั้นพูดกับเขาว่า "ความสามารถของเธอไม่พอที่จะรับตำแหน่งนี้ ถึงแม้เราจะเป็นเพื่อนกัน แต่ข้าก็ไม่สามารถทำให้ราชการเสียหาย จากนั้นมา ทุกพลบค่ำเขาจะจุดธูปแล้วสาปแช่งให้หวังตั้นตายในเร็ววัน คืนวันหนึ่ง เขาฝันเห็นเทพเจ้าตะคอกใส่เขาว่า "หวังตั้นเป็นผู้จงรักภักดีเพื่อชาติ เจ้ากลับสาปแช่งเขาให้ตายเร็ว ๆ พระเจ้าจึงลงโทษเจ้าในเร็ววันนี้"  จากนั้นมาอีกไม่กี่วัน หลูโม่วก็ถึงแก่ความตาย
         นายอูเถียวเจียวกล่าวว่า  "การขอร้องผู้อื่น สถานการณ์ของฉันจะต้องคับขันมาก ถึงกระนั้นคนที่ฉันขอร้อง หากความสามารถไม่พอแล้ว เรื่องที่ขอร้องสิบเรื่องก็ไม่สำเร็จเก้าเรื่อง ที่สำเร็จมีเรื่องเดียว ซึ่งเป็นเหตุผลปกติ ถ้าหากจะโกรธแค้นแล้วสาปแช่ง ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นไรตามที่ตนสาปแช่งก็หาไม่ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงหันมาช่วยเหลือก็หาไม่ นี่เป็นเพียงเพิ่มเติมความกังวลของตนเองเปล่า ๆ คนประเภทนี้ไม่เพียงไม่รู้ชะตาชีวิตและก็ไม่เข้าใจเรื่องของคนด้วย" 
        นายเจี่ยเหลียงเจว่อ ในสมัยซ่ง เคยพูดว่า "เรื่องทั้งหลายในโลก ทุกอย่างมีกำหนดของมันแน่นอน แรงคนจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตลอดชีวิตของข้าไม่เคยจะขอร้องใคร ไม่ว่าเรื่องอะไร และก็ไม่เคยเขียนจดหมายถึงข้าราชการสำคัญ ๆ ในรัฐบาลเลย มีคนบอกข้าว่าให้ทำแบบนี้ จึงจะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง ข้าก็พูดกับเขาว่า เขาจะมาเลื่อนตำแหน่งข้าได้อย่างไร หากข้าเลื่อนตำแหน่งก็เป็นเพราะข้ามีชะตาในตำแหน่งนั้นต่างหากเล่า !"
        นายฝันตงชวง ในสมัยซ่ง ก็เคยพูดว่า "ถึงแม้ว่าคนนั้นจะโง่เขลาสุด แต่พอเขาปรักปรำคนอื่นนั้น เขาจะเผยความฉลาดอย่างชัดเจน ถึงแม้คนนั้นจะฉลาดสุด แต่เมื่อเขาอภัยให้แก่ตัวเอง กลับเผยความเซ่อเซอะ ควรจะรู้ว่า คนเมื่อสามารถปรักปรำคนอื่นได้แล้วเอามาปรักปรำตนเอง เอาการอภัยตนเองไปอภัยผู้อื่นได้แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่า การสำเร็จอริยะ สำเร็จปราชญ์จะเป็นไปไม่ได้ !"  ผู้ที่ขอร้องคนอื่นไม่ได้ก็เกิดใจแค้น สาปแช่งเขา ควรที่จะหวนคิดให้ดี ๆ ถึงคำพูดของท่านทั้งสองนี้ 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขาล้มเหลวก็ว่าเขาทำชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/05/2012, 10:14
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขาล้มเหลวก็ว่าเขาทำชั่ว

อธิบาย   :  เห็นผู้อื่นล้มเหลวไม่สำเร็จ ก็ว่าเขาทำชั่วเป็นประจำ จึงนำมาซึ่งผลกรรมตอบสนอง ความล้มเหลวคือ การทำงานที่ไม่ประสบความสำเร็จ อยู่ในสภาวะที่ไม่ได้สมดังใจ ในโลกนี้ สภาพการณ์และพื้นที่ล้วนล้มเหลวได้ง่ายสำเร็จยาก อุปสรรคมากกว่าราบรื่น หรือประสบความผิดพลาดหรือเข้าใจผิดเสียใจ คิดจะแก้ไขก็ไม่ทันเสียแล้ว โอ้ !  เรื่องในโลกนี้ยากเย็นนัก ประสบความสำเร็จยาก นับเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อดีตแล้ว  แต่ก็มีคนอีกประเภทหนึ่ง ไม่สู่เป็นคนนัก ยามปกติก็ชอบตีหน้าดี ๆ เวลาคบกัน แต่เมื่อเพื่อนประสบอุปสรรคหรือล้มเหลว เขาก็จะวางตัวเฉยเหมือนคนไม่รู้จัก แถมยังแอบหัวเราะเยาะพูดว่า "นี่ล้วนเป็นเพราะเขาทำไม่ถูกจึงเป็นเช่นนี้ !" เอ่อ ขอให้คนประเภทนี้ย้อนคิดว่า ตลอดชีวิตไม่เคยทำอะไรผิดเลยหรือ ?.

นิทาน  :  ในสมัยหมิง นายหวังเซิน ชาวเมืองฮันโจว ปกติเขามักจะจับผิดคนอื่น วันหนึ่งลูกชายข้างบ้านตายลง หวังเซินก็ชี้ด่าข้างบ้านว่า "เป็นเพราะเจ้าสร้างวิบากกรรมไว้ จึงมีผลกรรมตอบสนอง !"  ต่อมาไม่นาน หวังเซินก็มีลูกชาย ๒ คนเกิดขึ้น แต่แล้วก็เจ็บป่วยตายลง ข้างบ้านเลยหัวเราะเขาพร้อมพูดว่า ฉันคิดว่าเจ้าคงทำวิบากกรรมหนักกว่าฉันกระมัง จึงทำให้ลูกชายสองคนตายไป" อีกครั้ง เมื่อคนบ้านเดียวกันไปสมัครสอบประจำปี ได้อันดับที่ ๔ หวังเซินก็ชี้หน้าด่าว่า "บทความของเธอโป้ปดมาก อย่างนี้จะมีโอกาสสอบได้หรือ !"  ปีถัดไปหวังเซินก็ไปสมัครสอบบ้าง เขากลับสอบได้อันดับที่ ๕ คนที่ถูกชี้หน้าด่าก็มาชี้หน้าด่าหวังเซินว่า "ฉันคิดว่า บทความของเจ้าคงโป้ปดยิ่งกว่าข้าเสียอีก ถึงได้ที่ ๕ !"
        นายก่วงตงกล่าวว่า "ข้าเคยทำงานร่วมกับคุณอาเป่า แต่ข้านี้ยิ่งกลับยากจน แต่คุณอาเป่าไม่คิดว่าข้านี้โง่เขลา ! เพราะว่าเขารู้ว่าโอกาสดีกับไม่ดี ข้าเคยไปราชการถึง ๓ ครั้ง ทั้ง ๓ ครั้งก็ถูกพระราชาขับออกมา แต่คุณอาเป่าไม่คิดว่าข้าใช้ไม่ได้ เพราะว่าเขารู้ว่า ตอนที่ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าก็ไม่มีโอกาสได้แสดงนิสัยทัศน์ ! จะเห็นได้ว่า อัจฉริยบุรุษก็มีที่ล้มเหลวด้วย ที่มีค่ายิ่งคือ สามารถที่จะมีเพื่อนรู้ใจในขณะที่ตนเองยากจน ก็มีผู้ให้กำลังใจปลอบประโลม ทำได้อย่างไร ที่ขณะผู้อื่นพบอุปสรรค ก็ถือโอกาสซ้ำเติมผู้อื่น คนประเภทนี้ไม่เพียงแต่สูญเสียเพื่อน ยังต้องเห็นอกเห็นใจสงสารถึงจะถูก แต่กลับละเมิดที่ระหว่างเขาและเรา ต้องรักษาน้ำใจเชื่อเกื้อหนุนด้วยใจการุณย์ คนแบบนี้เวลาโชคดีก็มีภัย เวลาสุขก็มีเคราะห์ เป็นคนที่ไม่มีเมตตา  ไม่ยุติธรรม  เพราะฉะนั้น เขาต้องกวักเคราะห์ภัยมาใส่ตัวแน่
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขาไม่สมประกอบก็หัวเราใส่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/05/2012, 04:06
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขาไม่สมประกอบก็หัวเราะใส่

อธิบาย   :  เห็นเขาแขนขาพิการทุพพลภาพ หรือหน้าตาหน้าเกลียด ไม่รู้จักสงสารปกป้อง กลับหัวเราะใส่เขา คนที่แขนขาพิการหรือหน้าตาหน้าเกลียด ถ้าไม่เป็นเพราะเขาสร้างบาปไว้แต่ชาติก่อนแล้ว ก็เป็นเพราะพ่อแม่มีมรดกกรรมสืบมาถึงเขา คนพวกนี้น่าสงสาร ควรจะช่วยกันดูแลรักษาทำไมจึงต้องทนที่จะไปหัวเราะเขา ความสำเร็จของคน ๆ หนึ่ง อยู่ที่ความรู้ หาใช่อยู่ที่หน้าตาหรือร่างกาย เช่น โจวฝ่า เป็นคนพูดติดอ่าง ก็ยังเป็นถึงเสนาบดี  อันจื่อ ถึงแม้ร่างกายจะแคระเล็ก แต่ก็เป็นถึงพระราชา ตัวอย่างดังกล่าวมีมากมายในประวัติศาสตร์ พูดได้ไม่หมด
        คนที่ร่างกายไม่สมประกอบ ก็มีความรู้สึกเคียดแค้นตนองอยู่แล้ว เมื่อมาถูกหัวเราะ ถือเป็นการล่วงเกินต่อเรื่องที่ไม่ควรพูด มารดาของฉีหันกง ไปหัวเราะเจี้ยเข่อ เมืองฉีจึงโจมตีจนพ่ายแพ้ คนรักของผิงหยวนจวิน เป็นสาวสวยแต่ไปหัวเราะคนที่ทุพพลภาพจึงถูกฆ่าตาย นอกจากนี้ที่อำเภอจ้าว มีคน ๆ หนึ่งไปหัวเราะเมิ่งสั่งจวินว่าเป็นสามีตัวเล็กจึงถูกฆ่า เหล่านี้เป็นอุทาหรณ์ เป็นกระจกให้เราได้สังวร ! 
        ในพุทธสูตรมีการกล่าวถึงเรื่องทำนองเดียวกัน ถึงผลตอบสนองหมายความว่า ชีวิตคนในโลก หากจิตใจไม่ตรง ชาติต่อไปเกิดมาก็จะไม่มีร่างกายประกอบ บ้างก็ปากเยี้ยว  ตาเข  มือขาพิการเหล่านี้เป็นเพราะอดีตชาติสร้างวิบากกรรม จึงต้องมารับกรรมตอบสนองในปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้นขณะที่ใจไหวคิดจะไม่ระมัดระวังได้หรือ อย่าให้ใจคิดไหลสู่ความคิดที่เลวทราม
        ในปิฏกของเต๋ามีตัวอย่างพูดไว้ว่า  "การมีเพศสัมพันธ์ของสามีภรรยา มีข้อถือลางมากมาย โดยเฉพาะอากาศกำลังแปรปรวนเปลียนแปลงยิ่งสำคัญตัวอย่างเช่น ก่อนเข้าฤดูใบไ้ม้ผลิ ๓ วัน จะมีเสียงฟ้าร้องเกิดขึ้น กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ช่วงเวลาตอนนั้น ห้ามมีเพศสัมพันธ์ หากไม่ยับยั้ง ลูกที่เกิดมาร่างกายร่างกายจะมีอาการครบ ๓๒ ยาก และก็จะมีภัยเคราะห์แน่นอน  เพราะว่าการมีเพศสัมพันธ์ในตอนนั้น ถือเป็นการลบหลู่ฟ้า !"  คนที่เป็นพ่อแม่คนถ้ามีเพศสัมพันธ์ไม่ระมัดระวัง ก็จะนำมาซึ่งไม่สมประกอบของลูกได้

นิทาน   :  ในสมัยถัง มหาเสนาบดีหลูกี้ สีหน้าของเขาทั้งเขียวทั้งคล้ำ  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เก๋อจื่ออี้ เจ็บป่วย ข้าราชการทั้งสำนักต่างก็แวะเวียนไปเยี้ยมไข้ พอมีแขกมาเยี่ยม ภรรยาและสาวใช้ต่างก็ออกมาต้อนรับและเก๋อจื่ออี้ก็ไม่ห้ามพวกเขาแต่อย่างไร แต่พอหลูกี้จะมาเยี่ยมไข้ เก๋อจื่ออี้ก็สั่งให้ทุกคนในบ้านเก็บตัวแต่ในห้อง สั่งห้ามพวกเขาออกมา มีคนถามเขาว่า "เป็นเพราะอะไร"  เก๋อจื่อี้พูดว่า  "หน้าตาของหลู่กี้อัปลักษณ์ พื้นจิตโหดเหี้ยม  หากผู้หญิงเห็นแล้ว
จะต้องหัวเราะเขา วันหนึ่งถ้าหลูกี้มีอำนาจ คนทั้งบ้านคงต้องถูกฆ่าหมดแน่นอนเลย !"  ต่อมาหลูกี้ได้เป็นถึงเสนาบดี  ตอนนั้นใครที่เคยล่วงเกินเขา เขาก็ต้องชำระแค้น มีแต่ครอบครัวของเก๋อจื่ออี้ ที่ไม่เป็นอันตราย
        คุณอูเถี่ยเจียว กล่าวว่า  :  คนเราเกิดมาหน้าตาร่างกาย ไม่มีอะไรยึดถือได้ !  หลังโกงทุพพลภาพ ล้วนเป็นโรคที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้า ท่านหุยจื่อก่อนจะตาย กวักมือเรียกน้องชายมาที่เตียง พูดว่า "พวกเธอเปิดผ้าห่มดูแขนขาของข้าซิ !  ในกวีสูตรเขียนเอาไว้ว่า  ต้องระมัดระวังหนา ! การถนอมดูแลร่างกายก็เหมือนเดินใกล้ข้างสระน้ำ หรือคิดว่าเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งที่เปราะบางต้องระมัดระวัง  จากนั้นมา ข้าก็รู้จักหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายถูกทำร้าย !  คำพูดของหุยจื่อเป็นการเตือนพวกเราว่า  ร่างกาย  ผิวหนัง  ขน  รับมาจากพ่อแม่ ไม่กล้าทำร้ายเป็นบทเริ่มต้นของกตัญญู เราเฝ้ารักษาถนอมร่างกายของเราก็แย่แล้ว ทำไมจึงไปหัวเราะผู้อื่นเขา ?"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : เห็นเขาสามารถควรยกย่องกลับทับถม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/05/2012, 04:46
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เห็นเขาสามารถควรยกย่องกลับทับถม

อธิบาย   :  เมื่อเห็นความสามารถของคนอื่น ควรยกย่องสรรเสริญเผยแพร่ไปไกล แต่ไม่ยกย่องไม่เผยแพร่ กลับจะสกัดกั้นทับทมเขา  "เห็นความสามารถผู้อื่นกลับทับถม"  ข้อนี้ต่างจากข้อ "ปกปิดการทำดีของผู้อื่น"  กับ  "ขัดขวางความดีของผู้อื่น"  ปกปิดหมายถึงการซ่อนเร้นปิดบัง  ขัดดขวาง หมายถึงการสกัดตัดขาดซึ่งมีอาการของการเจ็บปวด และการยกย่องกลับไม่ยกย่องแต่กลับทับถม  ซึ่งการกระทำเช่นนี้มีโทษเบากว่า  "ปกปิดการทำดีของผู้อื่น" และ  "ขัดขวางความดีของผู้อื่น"  เล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ด้วยหลักเหตุผลแล้ว ก็จะละเอียดลึกขึ้น ! 

นิทาน   :  ในยุคจ้านกั๊ว นายลี่ซือและหันเฟย ล้วนเป็นศิษย์ของซุ่นเข่ง  ลี่ซือก็รู้ว่าภูมิปัญญาของตนสู้หันเฟยไม่ได้ กษัตริย์ฉินเห็นงานเขียนของหันเฟยที่พูดเกี่ยวกับความลำบาก โกรธแค้นจนออกไปหาหันเฟยทันที  ต่อมากษัตริย์หันส่งหันเฟยไปเป็นทูตไปเมืองฉิน กษัตริย์ฉินสนทนากับหันเฟยจนรู้สึกใจหายขณะนั้น  ลี่ซือกลัวว่า หันเฟยจะได้รับความเอ็นดูจากกษัตริย์ฉิน จึงเท็จทูลเรื่องไม่ดีของหันเฟย จนทำให้หันเฟยถูกจองจำ หันเฟยคิดอยากเข้าเฝ้ากษัตริย์ฉินด้วยตนเอง แต่ลี่ซือไม่ยอมให้โอกาส แถมบังคับให้หันเฟยกินยาพิษตาย  ดังนั้นหันเฟยจึงตายในเรือนจำ  ต่อมาลี่ซือก็ถูกอำมาตย์จ้าวเกาใส่ร้ายจนถูกจองจำ ลี่ซือคิดจะเข้าเฝ้ากษัตริย์ฉินเพื่อเล่าความบ้าง จ้าวเกาก็ไม่ให้โอกาสแก่ลี่ซือเช่นกัน ต่อมาคนทั้งบ้านของลี่ซือก็ถูกตัดหัวทั้งบ้าน คนทีู่้รู้จักธรรมะก็จะรู้ว่าธรรมแห่งฟ้าตอบสนองได้ดี การตอบสนองของเหตุผลต้นกรรม

อธิบายเพิ่ม   :  นายซุนเซี้ยชาวเหมยซันในสมัยซ่ง เขาไม่เคยรู้จักนายถังไก้และนายอู๋จงฟูมาก่อน แต่ได้ยินกิตติศัพท์เป็นคนตรง เพราะฉะนั้น จึงออกแรงสนับสนุนพวกเขาในราชสำนัก ทั้งสองจึงถูกราชสำนักเรียกตัวมารับตำแหน่งราชทูต   

        อีกเรื่องหนึ่ง เจียงซุ่นกง กับเหวินหลู่กง ซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เพียงได้ยินกิตติศัพท์ว่า เหวินหลู่กง เป็นคนจริงใจต่อคน ดังนั้นเมื่อได้พบกับเหวินหลู่กงก็รีบสนับสนุนเต็มที่ต่อฮ่องเต้ ต่อมาเหวินหลู่กงจึงออกจากทหารเข้าสู่อำมาตย์ ทำคุณให้แก่ประเทศชาติ 

        อีกเรื่องหนึ่ง นายหยางเจิ้ง เป็นคนรักคนมีวิชา รู้ว่าที่เจียงเปี่ยว  นายหันซือ มีวิชาเหนือคน จึงเขียนกลอนบทหนึ่งมอบให้หันซือว่า "ทุกแห่งเห็นกลอนกลอนนั้นดี รีบดูลักษณะเกินกว่ากลอน ปกติไม่เคยซ่อนคนดี ทุกแห่งเห็นคนพูดถึงหันซือ"   ตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า  บุคคลเหล่านี้ล้วนไม่มีความเห็นแก่ตัวสักนิดเดียวเขาจะทุ่มแรงสนับสนุนผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อให้เขาได้ช่วยราษฏรช่วยประเทศชาติ คนที่ไม่สามารถช่วยประเทศชาติ หาคนมีวิชามาทำงานแล้ว แถมยังขัดขวางทับถมความก้าวหน้าของคนมีวิชาความรู้อีก ก้เท่ากับตัดขาดคนที่จะมาสร้างบุญวาสนาให้กับประชาชน เหตุดังกล่าวเราก็รู้ว่าการช่วยประเทศชาติให้ได้คนมีวิชาความรู้  เป็นเรื่องมหากุศลที่มีความกรุณายิ่ง ดังนั้น หลักธรรมเดียวกันนี้ก็รู้ได้ว่า การอิจฉาริษยาผู้มีความรู้ คือผู้ที่บาปมหันต์เลย !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ใช้มนต์ดำฝังรูป
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/05/2012, 11:22
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้มนต์ดำฝังรูป

อธิบาย   :  เอาไม้มาแกะสลุกเป็นรูปคน แล้วก็เขียนมนต์คาถาอาคมลงบนรูป จากนั้นก็นำไปฝังดิน เป็นการทำคุณไสยเพื่อทำร้ายคนอื่น ตามกฏของมนต์ดำกล่าวว่า  "หากคนทำชั่วเต็มจำนวนสองพันเจ็ดร้อยข้อ ก็จะเกิดมหันตภัย ในบ้านจะมีพ่อมดแม่มด พวกพ่อมดแม่มดก็คือคนที่ทำชั่วมาแต่อดีตชาติ ปัจจุบันก็มาช่วยคนใช้ลัทธิมารไสยเวท เสกอาคมฝังรูป เท่ากับเพิ่มเติมโทษบาปของตนมากยิ่งขึ้น  ชาติหน้าต้องร่องสู่นรกภูมิแน่นอน !  อย่างไรก็ตามก็มีคนจิตใจชั่ว คิดทำร้ายคนอื่น จึงใช้พ่อมดหมอผีทำพิธีเสกฝังรูปรอย คนชั่วประเภทนี้ มีโทษบาปทำร้ายผู้อื่น ถ้าเป็นกฏหมายบ้านเมือง ก็คือ มีโทษขั้นประหาร  ถ้าเป็นกฏยมโลกยิ่งหนักกว่านี้อีก" 

นิทาน   :  ในสมัยถัง ที่อำเภอหวังอู ปลัดอำเภอนายกงซุนจั้ว เพิ่งจะมารับหน้าที่ก็เกิดตายลงกระทันหัน วันหนึ่ง เขาก็ไปเข้าฝันนายอำเภอว่า "ฉันมีแค้น ขอร้องผู้ใหญ่ช่วยชำระแค้นให้ด้วย !  ชะตาชีวิตของฉันยังไม่ถึงกำหนดตายเลย  แต่ถูกพวกบ่าวในบ้นใช้มนต์ดำฝังรูปลัทธิมารทำร้ายฉัน เพื่อพวกเขาจะได้ขโมยทรัพย์สินของฉันได้สะดวก บ้านของฉันอยูที่เหออิน  หากท่านผู้ใหญ่อาจใช้วิีธีลับ  ใช้ให้ลูกน้องฝึกปรือมาดีแล้ว ถือคำสั่งไปที่เหออินจับคน มั่นใจว่าจับคนได้ไม่หลุด  ที่หน้าบ้านของฉันตรงชายคาด้านตะวันออกนับไปได้ 7 แผ่นกระเบื้อง ใต้กำแพงได้ฝังรูปแกะสลักตัวฉันเป็นไม้ บนหน้ามีผ้าตรึงไว้ เวลาผ่านไปนานแล้ว  ตอนนี้มันกำลังจะเปื่อย"  วันรุ่งขึ้น นายอำเภอก็คัดเลือกคนที่มีความสามารถ ถือคำสั่งไปจับคนที่เหออิน และเขียนหนังสือราชการ รายงานให้นายอำเภอเหออินทราบ ให้จับบ่าวทั้งหมดในบ้านของกงซุนจั้ว แล้วก็ค้นหาตามที่ฝัน ในที่สุดก็ขุดพบไม้ท่อนหนึ่งยาวประมาณฟุตหนึ่งที่ใต้ชายคา หน้าบ้านของกงซุนจั้ว บนใบหน้ามีตะปูตอกเต็มไปหมด ไม้ก็เริ่มเน่าเปื่อย เวลาตีก็ยังมีเสียงโอ้ยออกมา ทั้งข้าวเปลือกและข้าวสาลีของบ้านกงซุนจั้วถูกบ่าวนำไปขายจนเกลี้ยง คำสั่งอำเภอก็รายงานให้ผู้ว่าู้ตามความเป็นจริง แล้วก็ลงโทษพวกบ่าวตามโทษสูงสุด

        ตั้งแต่โบราณกาลมา คาถาอาคมไสยศาสตร์ เริ่มต้นจากผู้หญิงและเมียน้อย  เพราะพวกนางคิดอยากอาศัยเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นฐานอำนาจ หวังที่จะได้รับความรักใคร่ไปตลอด เทียบกับพวกโลภทรัพย์สิน ร้ายกว่านัก เพราะฉะนั้น เราควรจะบำเพ็ญกายปกครองบ้าน ต้องระมัดระวังประตูหน้าต่าง ไม่ให้พวกพ่อมดหมอผีย่างกายเข้ามาในบ้านเด็ดขาด แม้กระทั่งการพบปะกับพวกเขา  อย่างนี้จึงเป็นการตัดไฟแต่หัวลม ทางการก็ควรที่จะเข้มงวดห้ามไม่ให้มีการกระทำเดรัจฉานวิชา เพื่อเป็นการตัดทางให้มีการทำร้ายชาวบ้านได้ บุญกุศลแบบนี้มากมายนัก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ใช้ยาฆ่าต้นไม้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/05/2012, 11:01
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้ยาฆ่าต้นไม้

อธิบาย   :  เป็นการใช้ยาพิษฆ่าต้นหญ้าต้นไม้  ในโลกนี้ หญ้าต้นหนึ่ง ไม้ต้นหนึ่ง ล้วนฟ้าดินสวรรค์สร้างมอบกลไกการเกิดให้ นักศึกษาของท่านขงจื่อ ชื่อเกาไฉ  พวกต้นไม้ที่กำลังเจริญเติบโต เขาจะไม่ไปฟันหรือตัดมัน เพราะฉะนั้น ท่านขงจื่อจึงยกย่องเกาไฉว่า เป็นผู้ที่มีเมตตา พุทธองค์เคยตรัสว่า "ต้นไม้ที่มีอายุนาน ล้วนมีผี เทพอาศัยสถิตอยู่ข้างบน  เพราะฉะนั้นจะไปตัด ฟันล้มได้อย่างไร ถ้าไปตัด ไปฟันให้ล้มแล้วภัยพิบัติก็จะตามมา เพราะฉะนั้นไปฟันยังไม่ได้เลย มีหรือจะเอายาพิษไปฆ่าต้นไม้ไปใส่มัน

นิทาน   :  หยูเหวินเหยา เป็นชาวเถาหยวน มีนิสัยโหดเหี้ยมไม่ถูกกับข้างบ้าน เขาจึงแอบเอายาพิษไปใส่ที่ต้นไม้ต่าง ๆ ที่ข้างบ้านไว้จนตายหมด อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่หยูเหวินเหยากลับจากข้างนอก ขณะที่ใจป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เขาเห็นโคมไฟลุกโชติช่วง  ได้ยินเสียงทหารและอาวุธสับสนในที่สุดเขาก็ถูกทหารจับมัดไว้ ผลักเขาเข้าไปในป่ามีเทพเจ้าตนหนึ่งดุด่าเขาว่า  "ต้นหญ้าต้นไม้ก็มีชีวิต ที่ฟ้าประทานา"  เจ้าทำไมจึงโกรธทำลายพวกมันฆ่าพวกมันตาย การกระทำของเจ้าเช่นนี้ เป็นเพราะอวัยวะภายในของเจ้าไม่ปกติ"  แล้วก็มีคำสั่งให้พวกทหารผ่า้องของเขา และแล้วเขาก็ให้รู้สึกปวดท้องไส้เป็นโรคประหลาดและตายลง 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : โกรธแค้นครูอาจารย์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/05/2012, 11:18
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  โกรธแค้นครูอาจารย์

อธิบาย   :  เนื่องจากครูอาจารย์สั่งสอนตำหนิโทษ เลยทำให้โกรธแค้นต่อครูบาอาจารย์ การโกรธแค้นครูบาอาจารย์กับการเหยียดหยามครูไม่เหมือนกัน การเหยียดหยามครูโดยไม่มีสาเหตุ  เป็นการดูหมิ่นดูแคลน แต่การโกรธแค้นครูอาจารย์เนื่องจากการสั่งสอนหรือตำหนิโทษ ในสมัยโบราณกฏระเบียบที่ศิษย์ต้องรับใช้อาจารย์ จะฝ่าฝืนล่วงเกินอาจารย์ไม่ได้ และจะปิดบังความผิดกับอาจารย์ก็ไม่ได้ โอวาทหรือการชี้แนะของอาจารย์ จะต้องน้อมรับด้วยใจสงบ จะไปโกรธแค้นอาจารย์ได้อย่างไร ?.  ถ้าไม่โกรธแค้นอาจารย์ที่ว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนแล้วละก็ ถือว่าเขาเป็นคนที่มีบุญน้อยไร้วาสนา

นิทาน   :  ในสมัยหมิง นายวังหุ้ยเต้า เป็นคนฉลาดหัวใจเกินคน หนังสือที่อ่านผ่านก็ไม่ลืม แถมยังท่องได้ทั้งที่อายุแค่ 8 ปี ก็เขียนบทความได้ แต่อากัปกิริยาของเขาที่มีต่ออาจารย์ เป็นคนหยิ่งยะโส อะไรที่ไ่พอใจนิดเดียว บังเอิญเกิดสะอึกขึ้นมา ก็มีผีตัวหนึ่งกระโดดออกจากปากของเขาและชี้มาที่เขาแล้วพูดว่า "วังหุ้ยเต้า  อันที่จริงเธอสามารถสอบได้ ตำแหน่งจอหงวน แต่เพราะเธอโกรธแค้นและไม่เคารพอาจารย์ พระเจ้าจึงริบเอาตำแหน่งและบุญของเจ้าไป ข้าก็จะไปจากเธอเหมือนกัน !"  พูดจบผีก็ไม่เห็นแล้ว วังหุ้ยเต้า มาถึงตอนนี้เปิดหนังสือที่เคยอ่านมาแล้ว กลับไม่รู้จักเลย แม้แต่ตัวเดียว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ขัดต่อพ่อ พี่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/06/2012, 08:00
                                      คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ขัดต่อพ่อ พี่

อธิบาย   :  กระทบกระทั่งล่วงเกินบิดาและพี่ชาย เป็นการกระทำที่ขัดขืนไม่ตามใจจึงล่วงเกินเข้า ควรรู้ว่าบิดาและพี่ชายอยู่ในอันดับต้น ๆ ของมนุษย์สัมพันธ์ห้า  และความกตัญญู ความรักในพี่น้องก็เป็นอันดับแรก ๆ ของคุณธรรม เพราะฉะนั้นจึงต้องเคารพทำตามบิดาและพี่ชาย การพูดจาต้องนุ่มนวล สีหน้าต้องไม่โกรธหรือแสดงความไม่พอใจ ถึงแม้บางครั้งบิดาจะลำเอียงไปบ้าง ถึงพี่ชายจะรังแกข่มเหงตนเอง ก็ต้องจำยอมและอธิบายให้เข้าใจ ให้มาสำรวจตนเองและบำเพ็ญ แม้บิดาและพี่ชายยังไม่เข้าใจและไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็ยังต้องสงบอารมณ์ นาน ๆ ไป ก็จะรู้สึกว่าการกระทำของตนเหมาะสม ถ้าหากตนเอาแต่โกรธ ก็อาจมีบาปกรรมที่ล่วงเกินบิดาและพี่ชาย ก็จะเป็นการละเมิดกฏมนุษย์สัมพันธ์ ขัดขืนหลักธรรมกตัญญูและความรักในพี่น้อง แล้วฟ้าดินก็จะไม่ยอมรับ

นิทาน   :  เฟ้ยหงชาวเมืองหงอหู กำลังเล่นหมากรุกกับเพื่อนคนหนึ่งต่างก็จะชิงชนะต่อกัน เฟ้ยหงก็เล่นสนุกใช้มือตบเพื่อนไปทีหนึ่ง ทำให้เพื่อนไม่พอ เฟ้ยหงเองก็รู้สึกเสียใจ เขาจะไปที่บ้านของเพื่อนทุกวันเพื่อขอโทษ แต่เพื่อนของเขาก็ไม่ยอมลงมาพบเขาอีกเลย บิดาของเฟ้ยหง รู้เรื่องเข้าก็รู้สึกโกรธ จึงส่งไม้เรียวอันหนึ่งไปที่เมืองหลวง (บิดาอยู่บ้านนอก)  สั่งให้เฟ้ยหงใช้ไม้เรียวตีตนเอง  เมื่อเฟ้ยหงได้รับไม้และจดหมายจากบิดา ก็ไปยังบ้านเพื่อน ตนเองก้เอาไม้นั้นตีตนเองถึง ๓ ครั้ง  ตอนนี้เองเพื่อนจึงยอมออกมาพบหน้า ทั้งสองกอดกันแล้วพากันร้องไห้ เฟ้ยหงพูดว่า "นี่เป็นเพราะข้าหาเรื่องเอง เจ้าจะร้องไห้ทำไม"  เพื่อนตอบว่า "เพราะเจ้ายังมีบิดาคอยกำกับดูแล คอยตักเตือนเธอ ข้าเองแม้ยากหาคนคอยกำกับตักเตือนก็ไม่มีเสียแล้ว"  จากนั้นมาคนทั้งสองก็เพื่อนกันดุจเดิม

        เมื่อพิจารณาจากเรื่องนี้ ถึงแม้บิดาจะตายจากไปแล้ว แต่เมื่อพบกับสภาวการณ์เช่นนี้ ยังรู้สึกเจ็บปวดเลย เราก็สามารถรู้ได้ว่ายามบิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็จะไม่ขัดต่อบิดาเป็นแน่แท้ !  อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้ แม้บิดาส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แต่การอยู่ด้วยกันมีไม่มากแล้ว ชีวิตคนเราช่วงสั้น ๆ กับการพลัดพราก คิดแล้วก็ทำให้คนเจ็บปวด แล้วเราจะไม่กตัญญูไม่รักพี่รักน้องอีกหรือ !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน คัมภีร์ : ใช้แรงขู่เข็ญเอา ชอบรุกรานแย่งชิง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/06/2012, 08:27
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้แรงขู่เข็ญเอา  ชอบรุกรานแย่งชิง

อธิบาย   :  ใช้วิธีรุนแรงบังคับเพื่อให้ได้เงินมา  หรือใช้พละกำลังเพื่อให้ผู้อื่นจ่ายเงิน หรือชอบใช้วิธีรุกรานคนอื่น หรือใช้วิธีแย่งเอา  ของสิ่งใดก็ตามถ้าไม่ใช่เป็นของที่เราควรได้ แต่ก็คิดจะเอาให้ได้อย่างเดียว อย่างนี้เรียกว่าใช้แรง การให้ผู้อื่นส่งของให้เราต้องการให้เราใช้เรียกว่า ขู่เข็ญเอา การใช้แผนการอันตรายแอบเอาของผู้อื่นมาเรียกว่า รุกราน ใช้อิทธิพลเอาของเขามาเรียกว่าแย่งชิง การได้ของเขามาด้วยวิธีการเหล่านี้ แน่นอนสิ่งของได้มาซึ่งชะตาชีวิตของเราไม่มีไม่ควรได้ อีกหน่อยก็ต้องถูกคนอื่นเขาเอาไป 
        คุณเจิ้นซองกล่าวว่า "เท่าที่ข้าสำรวจดู สิ่งที่เรียกว่าเงินนี้เป็นของที่ทุกคนพอใจอยากได้ แล้วใช้อิทธิพลไปแย่งชิง แม้แต่สายเลือดเดียวกัน เงินก็ก่อให้เกิดการแย่งชิง บุคคลมีชื่อที่เรารู้จัก เพราะเงินจึงทำลายชื่อเสียง นักธุรกิจยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเงิน แม้แต่ประชาชนในชนบทที่ต่อสู้ฆ่ากันเพื่อเงิน อย่างไรก็ตามเงินทองเป็นสิ่งที่มันมาได้ก็ไปได้ ฐานะก็เปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด และก็กลับกลายเป็นคนยากจนอย่างรวดเร็ว  เงินทองในโลกนี้มันมีเล่ห์กระเท่ห์กล่อมเกลาชาวโลก แต่ส่วนน้อยที่เป็นบุญวาสนาตอบสนอง กลับเป็นเคราะห์ภัยตอบสนองเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น เงินทองจึงคร่าชีวิตคนไปแล้วมากมายนัก โปรดพิจารณามองกันให้แจ่มชัด จงเป็นนายมันอย่าตกเป็นทาสมัน

นิทาน   :  ที่เมืองจ้าว เหว่ยกงเสวียง ขณะวัยหนุ่มยากจนมาก การเลี้ยงดูมารดาเป็นไปด้วยความฝืดเคือง สองสามีภรรยาจึงร้องไห้คร่ำครวญตลอกคืน พอรุ่งขึ้น ขณะกวาดบ้านอยู่ ก้พบมีเงินก้อนหนึ่งหนัก ๒๕ ตำลึง ด้วยเหตุนี้ชีวิตจึงค่อยดีขึ้นบ้าง ภายหลังเหว่ยกงเสวียงได้เป็นถึงเสนาบดี  มีเงินเดือน ๑๐๐ ตำลึง ตอนที่เบิกจากกองคลังมา พอรับผ่านมาก็หายไป ๒๕ ตำลึง คิดว่าพรุ่งนี้จะไปแจ้งเจ้าหน้าที่แผนกการเงิน คืนนั้นก็ฝันว่าเทพเจ้ามาบอกเขาว่า วันนั้นเดือนนั้น ปีนั้น  เธอได้ยืมไปจำนวนหนึ่งแล้ว  ควรจะรู้ว่า แม้ในชะตาจะมีเงิน แต่เมื่อดวงชะตายังไม่ถึง ก็ไม่ควรใช้แรงขู่เข็ญเอา แล้วพวกที่ในชะตาไม่มีเงินจะไปรุกรานแย่งชิงเอาหรือ ? 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ปล้อจนร่ำรวย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/06/2012, 10:24
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปล้นจนร่ำรวย

อธิบาย   :  ใช้พละกำลังปล้นชิงทรัพย์ผู้อื่นจนร่ำรวย ข้าราชการที่รีดนาทาเร้นราษฏร เบียดดบังประโยชน์ส่วนตน หรือพวกแก้งวายร้ายที่ข่มขู่ขูดดอกเบี้ยหนัก ๆ เช่นเจ้าพ่อเจ้าแม่เงินกู้ดอกดหด เหล่านี้คือการปล้นจนร่ำรวย วิธีการเช่นนี้ทำให้บ้านเขาแตกสลาย เป็นธุรกิจชั่วที่ทำให้ลูกเมีย ชาวบ้านน้ำตาตก เพราะเงินที่ได้มาโดยวิธีนี้ จะอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร ?. เคยได้ยินนิทานเรื่องกระปุกเต็มไหม กระปุกสมัยก่อนทำ้ด้วยกระเบื้อง ข้างบนจะมีรูให้ใส่เงินเข้าไป ใส่เข้าได้เอาออกไม่ได้ เขาใช้เป็นกระปุกออมสิน ต่อเมื่อใส่เงินเต็มแล้ว ก็ทุบกระปุกแตกเพื่อเอาเงินมาใช้ เพราะฉะนั้นเวลาใส่เงินก็กลัวว่ามันยังไม่เต็ม พอเต็มก็ทุกแตกจึงเลิก ถึงตอนนี้เงินก็หมดไป กระปุกก็แตกไปหรือหมดทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้น ยิ่งสะสมมากก็หายไปมากเหมือนกระปุกเต็ม การปล้นเขาก็เหมือนหาเงินใส่กระปุกจนเต็ม

นิทาน   :  ในสมัยซ่งเหวินหลู่กง รับตำแหน่งหัวหน้าศาล ที่เมืองฉางอัน วันหนึ่งเขาเดินทางไปที่เขื่อนวิ่งวัว ที่นั่นมีวัวตัวหนึ่ง เกิดพูดภาษาคนขึ้นมาทันใดว่า  "ข้ากับเหวินหลู่กงเป็นข้าราชการร่วมสำนักมา ๒๐ ปี วันนี้ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบเขาเล่า "  ทหารที่ดูแลเขื่อนก็เล่าเรื่องนี้ให้เหวินหลู่กงทราบ เหวินหลู่กงก็ให้คนไปจูงวัวตัวนั้นมา วัวตัวนั้นมาถึงก็ได้แต่หมอบกับพื้นแล้วก้มหน้า น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย เหวินหลู่กงจึงพูดกับเขาว่า "เพื่อนร่วมงานฉันตอนมีชีวิตอยู่ก็แอบปปล้นเงินหลวง ปัจจุบันจึงได้รับผลกรรมตอบสนอง"  พูดแล้วก็สั่งให้คนในบ้านที่ดูแลบัญชี เอาเงินไป ๒๐ พวงให้เพิ่มหญ้าแก่วัวตัวนั้นกิน ต้องรู้เอาไว้ว่า ผู้ดูแลเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นเงินภาษีของราษฏร เพื่อนร่วมงานของเหวินหลู่กง ต้องกลายเป็นวัวมาก่อสร้างเขื่อนเพื่อชดใช้หนี้ประชาชน เห็นคดีศึกษาเรื่องนี้แล้ว คนคิดคดโกงต้องพิจารณาให้ดีนะ !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ใช่เล่ห์หาก้าวหน้า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/06/2012, 07:45
                                     คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้เล่ห์หาก้าวหน้า

อธิบาย   :  ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อความก้าวหน้า ผู้บัณฑิตเมื่อเข้าทำงานเป็นข้าราชบริพารแล้ว ควรจะภักดีซื่อตรงบริสุทธิ์โปร่งใส เอางานหลวงเป็นเหมือนงานตนเอง หากต้องการความก้าวหน้าเลื่อนตำแหน่งแล้วใช้การวิ่งเต้นเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงเพื่อตนเองแล้ว คนประเภทนี้จิตใจก็ไม่เที่ยงตรงเสียแล้ว คนประเภทนี้ทำงานในราชสำนักก็ไม่ภักดี ถ้าเป็นข้าราชการก็จะไม่ซื่อตรง ถ้าหากไปเป็นทูตหรือผู้สำเร็จราชการหรือผู้ว่าราชการ ทำงานปกครองประชาชน เขาจะสามารถรักษาความสุจริตสะอาดได้หรือ เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่ง จึงตักเตือนเป็นพิเศษที่จุดนี้ คน ๆ หนึ่งเมื่อถือกำเนิดมาแล้วไม่ว่ายศฐาบรรดาศักดิ์และทรัพย์ศฤงคารล้วนเบื้องบนกำหนดเอาไว้แล้ว ถึงแม้เขาจะขยันทำมาหากินไปตลอดชีวิต เงินทองก็หาได้เพิ่มขึ้นไม่ !  มันทำให้ผู้รู้ลุถึงหลักธรรมหัวเราะเยาะเอา ถูกผีเทพดุด่าว่าเอา ! 

นิทาน   :  ในสมัยฮ่องเต้ หลิวซ่งเลี้ยวอู ไต้หมิงเป่าและเฉาลั้ง ๓ ผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนัก ถือว่าใช้ได้ พูดว่าให้เรียกฝยเรียกลมได้ทั้งนั้น มีอิทธิพลอำนาจอยู่ระยะหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดถ้าได้รับการสนับสนุนแล้วไม่ผิดหวัง ผ่านฉลุยสะดวกตลอด จะมีก็เพียงแต่นายกู่ไค้ที่ไม่เป็นไปตามนั้น เขาพูดว่า "ตำแหน่งอำนาจวาสนาของคนเบื้องบนได้จดไว้ให้แล้ว ไม่ต้องไปพึ่งพาความฉลาดเล่ห์เพทุบายก็จะเปลี่ยนแปลงได้ มีแต่เพียงการนอบน้อมระมัดระวัง รักษาตนเคร่งครัดเท่านั้น หากคิดเสี่ยงดวงเอาแล้วทำให้การรักษาตนเองเคร่งครัดเสื่อมสูญหรือตามตำแหน่งได้เสียแล้วไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด "
        มีผู้ดูคดีศึกษานี้แล้วมาถามฉันว่า "แล้วที่เห็นใช้ความฉลาดเล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ที่เกิดเรื่องราวกันทุกวันนี้ มีเหตุผลอันใดหรือ ?"  ฉันตอบว่า  "นี่ก็เป็นชะตาของเขา ถ้าในชะตาชีวิตไม่มีตำแหน่ง ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรก็สูญเปล่า แม้จะใช้วิธีหลอกลวงอันตรายก็ได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ถ้าเป็นบัณฑิตก็จะไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด ! " 
        ในสมัยชิง คุณตันถูเฉียนและปันกี่ชังเคยพูดว่า "มนุษย์ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทะลุฟ้าได้ แต่ก็ไม่สามารถแย่งชิงหรือขัดขืนกับฟ้ากำหนดได้ นอกเสียจากการสั่งสมบุญกุศลก็จะสามารถขืนกับฟ้ากำหนดได้ ถ้าทำแล้วเมื่อวาน วันนี้ก็มีผล การตรวจควบคุมของเทพเจ้าก็ชัดเจนที่สุด อันนี้เป็นทางที่ลัดและเร็วที่สุดด้วย คนที่มีใจเพียงแค่ลองก็จะรู้ได้ ! "
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : รางวัลลงโทษไม่เสมอกัน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/06/2012, 06:30
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  รางวัลลงโทษไม่เสมอกัน

อธิบาย   :  ให้รางวลัหรือลงโทษเบาหรือหนักเกินไปก็ถือว่าไม่เสมอกัน การให้รางวัลกับผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยหรือลงโทษกับผู้ทำผิด แม้จะผิดพลาดไปนิดเดียวก็ถือว่าไม่เสมอภาคกัน ถ้าหากความเสมอภาคไม่มีอยู่ ใจคนก็จะไม่ยิยยอม อย่างนี้ไม่เพียงไม่สามารถให้รางวัลคนทำงานหรือลงโทษคนทำผิดได้แล้ว กลับกันก็จะเก็บแค้นซึ่งจะนำมาซึ่งภัยเคราะห์ได้มา ! 

นิทาน   :  ท่านขงเบ้งพูดว่า  "ใจของข้าดุจตาชั่ง ไม่สามารถให้คนลดเบาได้นิดหนึ่ง หรือเพิ่มหนักได้หน่อยหนึ่ง !"  เฉินโส่วก็ยกย่องเขาว่า  "ท่านขงเบ้งสามารถพูดได้ว่าเป็นบุคคลที่จงรักภักดีที่สุด เหมาะที่จะเป็นตัวอย่างได้ ! ถึงแม้จะเป็นศัตรู ถ้าหากมีบุญคุณก็ต้องให้รางวัล หากทำผผิด ขี้เกียจไม่ขยันทำงาน แม้จะเป็นญาติมิตร ก็ต้องถูกลงโทษ ถ้าหากยอมรับผิดก็พอมีค่าให้อภัยได้ แม้ที่มีความผิดมากก็จะปล่อยเบาได้ ถ้าหากใช้เล่ห์โต้เถียงแก้ต่างความผิดของตน ถึงแม้ความผิดจะเบาก็ต้องตัดหัวไม่เลี้ยง เพราะฉะนั้นก๊กจ๊วก มีขุนทหารที่สามารถสละชีวิตเพื่อชาติได้ ถึงแม้เหวยเอี้ยงคนขายชาติ ภายใต้การนำของขงเบ้งก็ไม่มีความหมายอะไร ขุนพลลี่ผิงและเหลียวลี  ถึงแม้จะถูกขงเบ้งปลดตำแหน่งลงโทษให้ไปอยู่ชายแดน ก็ไม่มีคำกล่าวแค้นสักคำ เพราะฉะนั้นผู้มีอำนาจให้รางวัลหรือลงโทษ ควรจะเอาขงเบ้งเป็นตัวอย่าง !"   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : เสพสุขเกินเลย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/06/2012, 07:17
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เสพสุขเกินเลย

อธิบาย   :  เสพสุขสบายเป็นที่ชอบของทุกคน !  ใบบันทึกธรรมจริยา ว่า  "ความสุขไม่ควรเกินเลย ความหวังไม่ให้ตามอำเภอใจ"  ภาษาชาวบ้านว่า "เมื่อประชาชนทุกข์ลำบากก็จะคิดถึงบุญกุศล เวลาสุขสบายก็นึกถึงเสพกาม !"   จุดมุ่งหมายคือไม่อยากให้ประชาชนจ้องแต่ความสุขสบายถ่ายเดียว ท่านเมิ่งจื่อว่า "มนุษย์มีชีวิตวิตก ตายในสุขสบาย"  นี่ก็ต้องการให้ประชาชนจ้องแต่ความสุขสบาย ถ้าหากเกินเลยก็ไม่มีอะไรมากกว่าสุรานารีทรัพย์ คนปัจจุบันชอบสุราจนไม่สนใจสุขภาพ  เสพกามจนไม่ห่วงเจ็บป่วย  โลภทรัพย์จนไม่สนใจญาติสนิท  เกิดอารมณ์ต่อสู้ก็ไม่คิดถึงชีวิต  ขณะที่ยังไม่พบกับสภาวะเช่นนี้ก็จะไม่รู้จักเหตุผลอันนี้ และก็พูดตักเตือนคนอื่นได้ต่อเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเองแล้วก็จะเลอะเลือนละเมิดเสียเอง นี่แหละที่เขาว่า เห็นปลงตกแต่ทนไม่ไหว !  ถ้าหากสามารถเข้าใจว่า "เสพสุขเกินเลย"  ก็จะสามารถแก้ไขนิสัยตนเองได้ เจ้าสุรานารีทรัพย์นี่มันคุ้นเคยง่ายและก็ลืมได้ง่าย ถ้าหากบำเพ็ญสนใจใคร่หยากน้อย มีความสบายใจใสสะอาดได้แล้ว ก็สามารถยืนหยัดตั้งฟ้ายันดินได้ ! 

นิทาน   :  พระภิกษุจื้อกง กับ ฮ่องเต้เหลียงอู๋ตี้ สนทนากันเรื่องดนตรี พระภิกษุจิ้อกงจึงทูลให้ฮ่องเต้สั่งให้คนไปนำนักโทษจากคุกมาทดสอบหลายคน ให้เอานักโทษประหารทั้งหมด มีคำสั่งให้นักโทษถือแก้วที่มีน้ำเต็มและให้เดินไปมาหน้าพระที่นั่ง ทั้งพูดว่า "แก้วน้ำของใครไม่หกออกมา ฉันก็จะให้อภัยไม่ต้องโทษประหาร"  พูดจบแล้วก็ให้หน่วยดนตรีบรรเลงดนตรีเพื่อชักจูงพวกเขา ดูว่าพวกเขาจะมีใจลอยหรือไม่ ผลสุดท้ายเมื่อเล่นดนตรีไปนาน ก็ไม่มีน้ำหกออกมาเลยสักคนหนึ่ง ฮ่องเต้ถอนใจยาวและพูดว่า "พวกเจ้าไม่ได้ยินดนตรีหรอกหรือ !"  นักโทษประหารตอบว่า "ไม่ได้"  อาจารย์จื้อกงจึงพูดว่า "พวกเขากำลังหวาดกลัวจะถูกตัดหัว กลัวว่าน้ำในถ้วยจะหกออกมา เขาจะได้ยินดนตรีได้อย่างไร ?. 

อธิบาย   :  ถ้าคนเรามีใจหวาดหวั่นอยู่เสมอ ใจที่เสพสุขก็ไม่มี !  คุณอูเถี่ยวเจียวกล่าวว่า "ก็เหมือนการขนกระเบื้องที่ต้องสนใจระมัดระวัง เมื่อทำงานอยู่ริมตะลิ่ง ตั้งแต่โบราณมาอริยปราชญ์ จะต่อสู่ระวัง แล้วพวกเราเป็นใคร จะไม่กลัวที่จะยังเสพสุขอยู่หรือ ใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายเกินเลย"  คัมภีร์อี้จิงว่า "ฟ้าเข้มแข็ง บัณฑิตเข้มแข็งไม่พัก"  ถ้าคนไม่ยอมจะเข้มแข็ง จะต้องให้ถึงคราวฉุกเฉินกดดัน หรือตอนที่เกิดกับตนเอง สำคัญยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งคิดจะยิ่งเที่ยวแตร่สบายได้ ใช้ชีวิตผ่านไปวัน ๆ งั้นหรือ ถ้าหากเป็นคนที่มีอุดมการณ์เข้มแข็ง เป็นเรื่องที่ตนจะต้องทำก็จะมีมากมายไม่มีหมดสิ้น มีแต่รู้สึกว่า เวลาของแต่ละวันก็ไม่พอ มีหรือจะมีเวลามากพอไปสุขสบายเที่ยวแตร่ ถ้าเช่นนี้ก็จะไม่กล้าปล่อยตัวให้สบาย ! 
        ถึงแม้อาคารหลังใหญ่ของสกุลหวี่จะปลูกอยู่ริม ถนนใหญ่ก็ตามแต่ก็นำพาเคราะห์์มาได้เหมือนกัน !  ที่พูดว่าหยิ่งทะนง สุรุ่ยสุร่ายก็มีเคราะห์ภัยมากอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่กวักเคราะห์มาไม่ใช่แบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เคราะห์ภัยความหยิ่งทะนง สุรุ่ยสุร่ายในนั้นก็มีภัยจากผู้หญิงมากที่สุด และมาเร็วที่สุด เป็นฉะนั้นศีลห้ามกามเป็นสิ่งสำคัญ !"  ท่านอุ้งสือเหย่ฟู ก็พูดไว้ว่า "หนังหุ้มห่อกระดูกเนื้อสกปรก ทำจริตมารยาหลอกคน อดีตวีรชนส่วนใหญ่ก็นั่งตรงนี้ ตายแล้วก็ร่วมลงเหวโลกีย์"  ถ้าคนเข้าใจหลักธรรมนี้ และเข้าใจเพิ่มจากหนังสือนี้ นอบน้อมเฝ้ารักษาเคร่งครัด คำสอนและข้อห้าม หากสามารถรักษาเพ่งพิศจิตว่าง ก็จะไม่จมปรักอยู่กับเสพสุขจนกวักเคราะห์ภัยมา ! 

คติพจน์   :  ฟั้นเหวินกงสมัยซ่งกล่าวว่า "ทุกวันก่อนที่จะเข้านอนจะต้องคำนวนก่อนว่าวันนี้ประเทศชาติให้บำเหน็จข้ากับวันนี้ทั้งวันที่ข้าทำให้ต่าง ๆ ว่ามันคุ้มหรือไม่ ถ้าหากว่าคุ้มข้าก็จะนอนได้อย่างสุขใจ  ถ้าหากรู้ว่าไม่คุ้มกับบำเหน็จที่ได้รับก็ให้รู้สึกละอายใจ คืนนั้นทั้งคืนข้าจะนอนไม่หลับ"       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ทารุณผู้ใต้บังคับ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/06/2012, 08:02
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทารุณผู้ใต้บังคับ

อธิบาย   :  การทารุณโหดเหี้ยมผู้ใต้บังคับหรือทาสของตนเอง  ผู้ทำงานราชการมีตำแหน่งสูงกว่ามีนิสัยที่โหดร้าย ชอบทำทารุณผู้ใต้บังคับบัญชาหรือประชาชน หรือเจ้านายที่ลงโทษเกินควรตบตีบ่าวทาสในบ้าน เหล่านี้คือการทารุณผู้ใต้บังคับทั้งนั้น การทารุณผู้ใต้บังคับหรือประชาชนซึ่งเคยพูดกันมาแล้วในเล่มนี้ แต่มาในข้อนี้ก็จะเพิ่มรายละเอียดของเจ้านายในบ้านที่กระทำต่อบ่าวคนใช้
        พุทธองค์กล่าวแก่สุชาต บุตรเศรษฐีเมืองราชคฤห์ (สิคาลมานพหรือสิคาโลวาทสูตร) ว่า  "ชาวโลกทั้งหลายที่ปฏิบัติต่อทาสบ่าวไพร่ของตนเอง มีห้าประการที่ควรเข้าใจ
หนึ่ง   ควรรู้ถึงการร้อนหนาวกระหายหิวของพวกเขาเสียก่อน ค่อยให้เขาทำงาน
สอง   หากเจ็บป่วยต้องให้การรักษาพวกเขา
สาม   ถ้าหากพวกเขากระทำผิด ไม่อาจเฆี่ยนตีได้ตามใจ ต้องถามหาต้นตอให้กระจ่างเสียก่อน ภายหลังจึงค่อยดำเนินการ ที่อภัยได้ก็อภัยเสีย ที่อภัยไม่ได้ก็ให้สั่งสอนดำเนินการ
สี่   หากพวกเขามีทรัพย์สินเก็บส่วนตัว ไม่อาจชิงมาเป็นของตน
ห้า   ของที่แบ่งให้บ่าวไพร่ต้องมีความเสมอภาคกัน ไม่ควรลำเอียง
        โอวาทของท่านหยวน  "คุณภาพของบ่าวไพร่ก็จะด้อยกว่าคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมักจะทำผิดบ่อย ๆ ทั้งยังลืมเก่งด้วย บางครั้งเรื่องที่สั่งให้ทำก็ลืมหมด  นิสัยส่วนใหญ่จะติดยึดคิดว่าตัวเองถูกต้อง นิสัยของบ่าวบางคนก็โมโหร้าย พูดจาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่รู้จักหลักของนายกับบ่าว ดังนั้น เจ้าของบ้านเวลาเรียกเขาทำงานต้องเปิดใจให้กว้างปฏิบัติต่อเขา ควรสั่งสอนให้มาก อย่าให้เกิดโทสะมีอารมณ์ เช่นนี้จิตใจของเจ้าของบ้านก็จะรู้สึกสบายถ้าหากบ่าวไพร่ทำผิดที่ต้องลงโทษสั่งสอน ก็ควรกระทำด้วยความสงบอารมณ์ เมื่อการลงโทษว่ากล่าวผ่านพ้นไปแล้ว เวลาจะใช้เรียกหาก็ควรใช้อารมณ์และทำสีหน้าให้ปกติ อย่างนี้ก็จะไม่เกิดเรื่องอย่างอื่น ตลอดจนถึงพวกผู้หญิง ที่มีจิตใจคับแคบติดยึดมาก นายจ้างจะต้องให้การอบรมชี้แนะบ่อย ๆ ลูกหลานในบ้านก็ไม่ให้ตบตีด่าว่าบ่าวไพร่ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นก็ควรบอกกับเจ้าบ้าน หากเห็นว่าลูกจ้างเป็นบุคคลที่ป่าเถื่อนโหดเหี้ยมก็ต้องใช้วิธีที่ดี เพื่อให้เขาออกไป ไม่ไปใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อเขา เพราะเกรงว่าคนประเภทนี้จะโกรธแค้นแล้วทำการแก้แค้นภายหลัง" 
        คุณอู่เถี่ยวเจียวกล่าวว่า "การปฏิบัติต่อคนด้วยความรุนแรงก็เป็นสิ่งไม่ควรทำ แต่ปล่อยตามใจเขาก็จะไม่เกรงกลัวใคร ก็หยิ่งไม่ได้ เพราะถ้าไม่ระมัดระวังบ่าวไพร่ก็จะทำเรื่องเสียหายเกิดขึ้นใหญ่โตก็ได้" 

นิทาน   :  นักกวีสมัยจิ้น เถาหยุนหมิงได้สอบลูกชายเขาว่า "ทุกวันงานของเจ้าก็วุ่นวายมากอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีเวลามาดูแลตนเอง ตอนนี้พ่อหาคนใช้คนหนึ่งมาช่วยเจ้าตักน้ำผ่าฟืนจะได้ลดภาระของเจ้าไปบ้าง แต่บ่าวไพร่ก็ยังเป็นลูกของชาวบ้าน เจ้าต้องปฏิบัติต่อเขาให้ดีด้วย !

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง คุณนายของหยางวั้นหลี่ นางเฉินจี้ อายุกว่า ๗๐ ปีแล้ว ทุกวันในฤดูหนาวนางจะตื่นแต่เช้า เข้าครัวไปต้มข้าวต้มให้บ่าวไพร่ แต่ละคนได้กินข้าวต้มร้อน ๆ เสียก่อนจึงให้ไปทำงาน ลูกชายนางชื่อ ชันตงพูดกับมารดาว่า "คุณแม่ อากาศหนาวอย่างนี้ ท่านแม่ทำไมต้องลำบากอย่างนี้?" นางเฉินจี้ตอบว่า "บ่าวไพร่พวกเขาก็เป็นลูกของชาวบ้านเหมือนกัน !  เวลาเช้าฤดูหนาวอากาศจะหนาวมาก เพราะฉะนั้นต้องการให้ร่างกายของพวกเขาได้อบอุ่นเสียก่อน จึงจะเรียกเขาไปทำงาน !"

นิทาน   :  ที่เมืองหงโจว ท่านหวังเจียนอี้ ตำแหน่งซือหม่า เกิดเป็นลมดันขึ้นจนถึงแก่ความตาย เขาตายแล้วฟื้นมาใหม่ เขาบอกแก่ภรรยาว่า "เมื่อก่อนฉันใช้สอยพวกบ่าว มีครั้งหนึ่งฉันลงโทษเขาหนักเกินไป ทำให้เขาบาดเจ็บจนตาย  เมื่อกี้ฉันอยู่ที่ยมบาลก็ถูกบ่าวมันฟ้องร้องทุกข์อยู่ ดูแล้วตกลงกันไม่ได้ ตอนนี้ฉันเจ็บป่วยเป็นโรคนี้ก็เพราะบ่าวคนนี้มันเล่นงานเอา " ภรรยาพูดว่า "ทำไมแค่บ่าวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ทำไมจึงกล้าทำแบบนี้ ?." หวังเจียนอี้ตอบว่า "โลกมนุษย์คน มีสูงมีต่ำแตกต่างกัน แต่ไปถึงยมโลก ก็เสมอภาคกัน"  หลังจากหวังเจียนอี้พูดจบ ไม่นานก็หายไป     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีีร์ : ข่มขู่เขาหวาดกลัว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/06/2012, 12:52
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ข่มขู่เขาหวาดกลัว

อธิบาย   :  ข่มขู่เขาทำให้เขาเกิดความหวาดกลัว  การข่มขู่แบ่งเป็น ๒ ชนิด ชนิดแรกคือเห็นเขากำลังตกทุกข์ฉุกเฉินแล้ว ไม่ปลอบประโลมเขา กลับตั้งใจใช้อำนาจข่มขู่เขา ทำให้ใจเกิดความหวาดกลัว  อีกชนิดหนึ่ง เพราะเห็นแก่ประโยชน์จึงใช้วิธีแสดงความมีอำนาจเพื่อให้เขากลัวเรา  เพื่อให้ตนได้ประโยชน์ เคยได้ยินพระโพธิสัตว์กวนอิมตรัสว่า ขณะอยู่ที่ในเวไนยสัตว์หวาดกลัวแล้วสามารถให้ทานไม่ให้เกิดความหวาดกลัวแก่เวไนย์สัตว์ได้เหตุนี้จึงแจ้งประจักษ์ลุถึงความกลมสมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นวิถีแห่งกวนอิม จึงเรียกได้ว่าเป็นวิถีธรรมที่แพร่ได้หลายที่สุด เวไนยแห่งชมพูทวีป ล้วนยกย่องพระโพธิสัตว์กวนอิม  เป็นผู้ปลดทุกข์ เป็นผู้ไม่กลัวการให้ทาน ดังนั้น คนที่ข่มขู่เขาให้หวาดกลัว เมื่อเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมที่ไม่เกรงกลังให้ทานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร  เพราะฉะนั้นบัณฑิตเมื่อพบคนอื่นกำลังหวาดกลัวอยู่ ก็จะจริงใจไปปลอบประโลมเขาให้เขาสงบใจไม่หวาดกลัว  น่าเสียดายที่ชาวโลกไม่รู้จัก  ชอบแต่จะข่มขู่ให้เขาหวาดกลัว พอตายไปแล้ว ก็จะไม่เกิดเป็นสัตว์ประเภทเดียวกับกวาง ตอนกลางวันกวางเห็นสัตว์ดุร้ายก็หวาดกลัวหลบหนี เวลากลางคืนตอนจะนอนก็จะเอาเขาเกยไว้กับผิวของต้นไม้ ทำเช่นนี้เพราะมันเกิดอะไรขึ้น มันก็จะหวาดกลัวรีบหลบหนี หลังหวาดกลัวแล้วจะหลับอีก หลับแล้วก็จะหวาดกลัวตื่น ตั้งแต่ตกเย็นจนถึงเช้า ไม่มีสักชั่วยามหนึ่งที่สงบสุขนี่คือผลกรรมตอบสนองล่ะ ! 

นิทาน   :  ที่หูโจวมีพ่อค้าชายคนหนึ่ง ไปขายขิงที่ย่งเกียเมืองเจ๋อเจียง ที่ย่งเกีย มีเศรษฐีคนหนึ่งมาซื้อขิง การต่อรองราคาจนทำให้เศรษฐีหวังเซินเกิดโทสะมาก จึงตีหลังพ่อค้าจนเขาล้มลงพื้น แล้วก็ตาย หวังเซินรีบช่วยเหลือแกเฉินจนพ่อค้าฟื้นคืนสติมา หวังเซินขอโทษพ่อค้า ทั้งยังให้ผ้าแพรดิบไม้พับหนึ่งให้แก่เขา เมื่อพ่อค้ามาขึ้นเรือ เจ้าของเรือก็ถามเขาว่า "ผ้าแพรดิบไม้นี้ได้้มาแต่ไหน?. พ่อค้าจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เจ้าของเรือจึงเอาเงินซื้อผ้าแพรดิบและซื้อหาบขิงของพ่อค้าด้วย หลังจากพ่อค้าจากไปแล้ว ก็ให้บังเอิญเจ้าของเรือเห็นศพลอยน้ำมาจึงนำศพขึ้นมาและนำไปที่บ้าน จากนั้นก็ไปที่บ้านหวังเซิน พูดว่า "วันนี้หลังเที่ยงมีพ่อค้าขิงมาจากหูโจว จะมาขึ้นเรือกลับบ้าน แต่เพราะถูกท่านตีหนักบาดเจ็บ ตอนที่เขาใกล้ตายก็ไหว้วานฉันให้ไปบอกพ่อแม่และเมียเขาว่าต้องไปฟ้องร้องท่าน ทั้งยังมีผ้าแพรดิบและหาบขิงเป็นหลักฐาน พอเขาพูดจบก็ขาดใจตาย  เพราะฉะนั้นจะไม่มาบอกท่านก็ไม่ได้ หวังเซินได้ยินแล้วก้พากันร้องไห้ทั้งบ้าน และรู้สึกหวาดกลัวมาก จึงเอาเงิน ๒ แสน ติดสินบนเจ้าของเรือ ครั้งแรกเจ้าของเรือก็แกล้งทำเป็นไม่เอา ต่อมาก็ทำแข็งขืนรับมา หวังเซินและเจ้าของเรือก็ช่วยกันฝังศพไว้ในป่า ก็ให้บังเอิญที่บ้านหวังเซินมีคนใช้คนหนึ่งนำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องที่อำเภอก็ถูกตัดสินให้จำคุกและตายในคุก ปีถัดปี พ่อค้าขิงก็มาที่ย่งเกียและก็ไปเยี่ยมที่บ้านหวังเซิน ลูกหวังเซินเห็นพ่อค้าขิงคิดว่าเป็นผี พ่อค้าพูดว่า "ฉันยังไม่ตาย วันนี้มาจากหูโจวเอาของมาฝาก เพื่อขอบคุณท่าน" ลูกหวังเซินจึงรั้งพ่อค้าไว้แล้วรีบจับคนใช้ไปส่งอำเภอ ทางอำเภอจึงจับทั้งคนใช้และเจ้าของเรือเข้าคุกและในที่สุดก็ตายลงในคุก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : โทษฟ้าโทษคน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/06/2012, 03:45
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  โทษฟ้าโทษคน

อธิบาย   :  คนที่ไม่รู้จักเตรียมตัว ยังโทษฟ้าโทษดิน โกรธแค้นคนอีก โลกนี้เป็นโลกที่ขาดแคลนไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนในโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องไหนที่สมปรารถนา สาเหตุที่ไม่สมปรารถนาก็ต้องมีอดีตชาติสั่งสมบุญกุศลน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตจึงมีบุญวาสนาตอบสนองน้อย ดังนั้นจึงมีเพียงทางเดียวที่ตนจะต้องรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ถือสันโดษ และย้อนมองส่องตนเองอย่างจริงใจมาบำเพ็ญให้ดีเพื่อฟ้าประทานบุญวาสนา  ในอดีตกาลผู้บำเพ็ญธนนมได้ดี ก็คือผู้อยู่ในฐานะสภาพยากจน เป็นหนทางดีที่สุด เพราะเป็นทางหลบหลีกอัปมงคลไปสู่ความมงคลดีที่สุดด้วย ต้องรู้ว่าการโทษฟ้าก็ยิ่งทำให้ฟ้าพิโรธ โทษคน ๆ ก็ยิ่งแค้น ทำแบบนี้ไม่เพียงไม่มีประโยชน์และเป็นทางแห่งหายนะด้วย

นิทาน   :  เจียวจุ่นหมิงได้รับตำแหน่งตั้งแต่หนุ่ม ๆ แต่เวลาผ่านไปนานหลายปี ก็ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง เขามักโทษว่าหนทางข้าราชการของตนไม่ดีมีอุปสรรคและมักโทษฟ้าเป็นประจำ เขาจึงเขียนสารใบหนึ่งอ้อนวอนต่อเบื้องบน พลบค่ำคืนที่เขาอ้อนวอนก็มีหนังสือศักดิ์สิทธิ์หล่นลงมาที่หน้ากระถางธูป เขาอ่านอย่างตั้งใจเป็นหนังสือ ๑๖ ตัวจากฟ้า แต่เขาก็ไม่เข้าใจความหมายในนั้น เขาได้ข่าวคนเขาพูดกันว่า ท่านเหอเซียนกู (หนึ่งในแปดเซียน) มีความสามารถจึงไปขอคำแนะนำ ท่านเหอเซียนกูไม่ตอบ เจียวจุ่นหมิงก็เฝ้าอ้อนวอน ท่านเหอเซียนกูจึงพูดว่า  "ได้รับสินบน ๕ ตำลึงก็ให้ตัดอายุขัย ๑๐ ปี  ฆ่าคนไป ๑ ชีวิตตายแล้วต้องถูกดำเนินคดี เจ้าได้ล่วงละเมิดโทษเหล่านี้หรือไม่"  พอถูกถามเช่นนี้ เจียวจุ่นหมิงไม่มีคำตอบ ! 

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายเจียงเหิง ขณะที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดี เขาสั่งย้ายผู้เคยตำรงตำแหน่งเสนาบดีก่อน ๆ ไปแถบทางใต้  ฝันซุ่นเหยินก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ถูกย้ายด้วย ตอนนั้นเขาก็มีอายุ ๗๐ ปีแล้ว เมื่อเขาได้รับพระราชโองการจากราชสำนัก เขาก็รีบเดินทางทันที ฝันซุ่นเหยินจะสอนลูกชายของเขาว่า  "ใจจะต้องไม่ให้รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมแม้แต่น้อย"  เมื่อเขาได้ยินลูกกล่าวโทษเจียงเหิง เพียงนิดเดียว เขาก็จะโกรธและหยุดยั้งลูกเขาทันที ในระหว่างทางลงไปทางใต้ ฝันซุ่นเหยินนั่งเรือไป เมื่อเรือโคลงเคลงทำให้เสื้อผ้าเขาเปียกไป ตอนนี้เขาก็หันหน้ามาทางลูกชายแล้วพูดว่า "ถ้าเรือเกิดล่มก็จะโทษว่าเจียงเหิงทำร้ายซินะ ?."  ฝันซุ่นเหยินเป็นผู้รู้ชะตาดี หากสามารถเข้าใจหลักธรรมนี้ ในระหว่างมีอุปสรรคเขาก็ยังคงสงบสุขได้ เขาจะไม่โทษฟ้าโทษคนเลย ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ว่าลมด่าฝน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/06/2012, 04:18
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ว่าลมด่าฝน

อธิบาย   :  บางครั้งลมฝนก็ไม่มาตามฤดูกาล แล้วไปว่าลมด่าฝน ทั้งลมทั้งฝนล้วนช่วยเหลือ ฟ้าดินเลี้ยงดูฟูมฟักสรรพสิ่ง จึงมีบุญคุณและก็มีเทพเจ้า คอยรับผิดชอบหน้าที่ เมื่อท่านขงจื่อประสบกับลมฟ้าสายฟ้ารุนแรง ท่านก็จะมีสีหน้าเปลี่ยนแล้วมีอาการนอบน้อมกลัวเกรงมาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ มีบันทึกในจริยธรรมว่า "หากมีลมพายุสายฟ้าและฝนรุนแรงเกิดขึ้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงหน้า แม้จะเกิดขึ้นเป็นกลางคืนก็ต้องลุกขึ้นมา แต่งตัวใส่หมวกแล้วนั่งตัวตรง "  ในสมัยซ่ง ท่านเฉินจื่อ ทุกครั้งที่เจอลมฝนก็จะลุกขึ้นแล้วจะนอบน้อมเคารพต่อฟ้า !  เหล่าประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เมื่อฝนตกมากไป ก็จะกล่าวโทษฝน ทำความเสียหายให้กับพืชไร่ เมื่อฝนแล้ง ! ก็โทษฟ้าไม่มีฝนตก เมื่อลมพัดรุนแรงก็โทษลมบ้าคลั่ง แต่ไม่คิดว่า "หยินหยางต่างมีกำหนด"  หรือเพราะรัฐบาลออกกฏหมายเข้มงวด หรือเป็นเพราะราษฏรสร้างบาปกรรมมากเกินไป เหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งลมฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำไปจะว่าลมด่าฝน ทำเช่นนั้น ก็เท่ากับไปเพิ่มวิบากกรรมที่จะระเบิดฟ้าต่างหาก !"

นิทาน   :  ในโรงเรียนอำเภอเจียนหมิงเมืองเจินติ่ง มีบุคคลหนึ่งทำหน้าที่เซ่นสรวง ซื่อหยางควน มีครั้งหนึ่งกำลังจัดงานเลี้ยงส่วนรวม เขาทำหน้าที่เสริฟสุรา  เขาเห็นที่ข้างกำแพง มีลมหมุนอยู่สองวง เขาจึงรินสุราลงไปจอกหนึ่ง เชิญชวนเขาให้ดื่มเสพ ต่อมาวันหนึ่ง หยางควนกับพรรคพวกพากันไปเซ่นไหว้พระเจ้าตงอี้ ระหว่างทางพบทหาร ๒ คน เชิญเขาดื่มสุรา หลังจากดื่มเสร็จก็ไม่ทันถามชื่อเสียงเรียงนามของทหารทั้งสองคน ต่างคนก็ต่างไป วันรุ่งขึ้น หยางควนขึ้นเขาไปที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เห็นมีเทพเจ้า ๒ องค์ที่ยืนอยู่ข้างพระเจ้าบนแท่นบูชา ช่างเหมือนกับทหาร ๒ คนที่เชิญเขาดื่มสุรา ในใจรู้สึกหวาดกลัว พอกลับมาที่โรงเตี้ยมก็เห็นมีทหาร ๒ คน ทหารพูดกับเขาว่า "ท่านไม่ต้องสงสัยหวาดกลัว เราสองคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระเจ้าตงอี้ เรารับคำสั่งให้มาตรวจตราผ่านมาทางนี้ บังเอิญได้รับสุราจากท่าน ๒ จอก ที่มอบให้เราดื่ม เพราะฉะนั้นเราจึงเชิญท่านให้ดื่มสุรา เพื่อเป็นการตอบแทน"  พอพูดจบทหาร ๒ นายก็หายไป ไม่เห็นตัวไปเสียแล้ว

นิทาน   :  สมัยซ่ง  ที่เมืองเอ้อโจว มีแม่หม้ายนางหนึ่ง วันหนึ่งนางเอากะละมังไปล้างทำความสะอาดที่แม่น้ำ พอดีฝนตกลงมา เสื้อผ้าเปียกปอนไปทั้งหมด นางจึงออกปากด่าทอเบื้องฟ้าด้วยวาจาสกปรก ขณะนั้นเองก็ให้เกิดลมประหลาดขึ้น ม้วนเอาตัวนางลงไปในแม่น้ำ สามีนางเห็นเข้าจึงกระโดดลงไปช่วยขึ้นมาได้ แต่กะละมังนั้นมีรูทะลุใหญ่ตรงกลาง และก็สวมใส่อยู่บนคอนางเหมือนคนเข้าขื่อ คิดจะเอากะละมังออกก็เจ็บปวดเข้ากระดูก ผู้คนได้ยินข่าวจึงพากันมามุงดูที่บ้านนางจนแน่นเอี๊ยด นางทนความเจ็บปวดไม่ไหว จึงขาดใจตาย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ยุแหย่ให้สู้ความ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/06/2012, 08:51
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ยุแหย่ให้สู้ความ

อธิบาย   :  ยุแหย่ส่งเสริมให้เขาสู้ความ ดึงคนให้เข้ามาต่อสู้คดี เมื่อคนอื่นมีคดฟ้องร้อง ควรที่จะใช้วาจาดีตักเตือนเขาให้ล้มคดี เพื่อให้เรื่องใหญ่กลับกลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเรื่อง ทั้งสองฝ่ายก็จะได้บุญ หากยุยงส่งเสริมให้พวกเขาต่อสู้ หรือแอบสอนให้ฟ้องร้อง หรือทำตัวเป็นพยานหลักฐาน  หรือเป็นคนช่วยสร้างหลักฐาน หรือช่วยเขาต่อสู่คดี หรือหาผลประโยชน์จากการต่อสู้คดี การกระทำเช่นนี้เป็นการสร้างวิบากกรรม สุดท้ายก็จะได้รับผลกรรมตอบโต้ทั้งจากคนและเทพเจ้า เมื่อถึงคราวกรรมตามสนอง ก็จะทนรับทุกข์นั้นไม่ได้  สำนึกเจ็บแค้นก็สายเสียแล้ว

นิทาน   :  ข้างหลังของหลิวหยวนจือเป็นฝีร้ายใหญ่ หาหมอมาหลายคนก็ยังไม่ประสบผล แพทย์จึงพูดกับเขาว่า "สุดความสามารถของข้าแล้ว เกรงว่าท่านจะมีเคราะห์ภัย ! "  หลิวหยวนจือจึงเชิญนักพรตทำพิธีอ้อนวอนต่อเทพเจ้าดาวเหนือ คืนนั้นก็ฝันว่า เทพเจ้าได้มาบอกว่า "เจ้าทำผิดกฏของสวรรค์ ถึงแม้จะขอต่อเทพเจ้าดาวเหนือก็ขจัดโทษบาปของเจ้าได้ยาก "   หลิงหยวนจือพูดกับเทพเจ้าว่า "ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร"  เทพเจ้าว่า "เจ้าถูกเชิญไปเป็นครูสอนหนังสือตามบ้าน เจ้ากลับไม่ซื่อตรงยุยงให้พวกเขาค้าความกัน ทำให้สองครอบครัวต้องล้มละลาย"  หยวนจือตอบว่า "เรื่องนี้น้องชายฉันหยวนลิเป็นคนทำ ไม่ใช่ฉัน"  ยมบาลจึงใช้ให้เทพไปตรวจสอบว่าถูกผิดอย่างไร ?.  ความจริงหยวนลิเป็นผู้กระทำ จึงขจัดเคราะห์ภัยให้หยวนจือ ปีรุ่งขึ้นหยวนลิก็ตายไป

อธิบาย   :  เพราะฉะนั้นการยุยงให้เขาฟ้องร้องกัน อดีตมาเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เราจะเห็นได้โดยทั่วไปเรื่องกรรมตอบสนอง ชนิดที่ไม่ผิดพลาดเลย ดังนั้นจึงขอเตือนชาวโลก อาชีพอะไรก็หาเลี้ยงชีพได้ ทำไมต้องไปเป็น  "ทนายความ"  อาชีพนี้มีคดีศึกษามาจากหนังสือซีตง บันทึกว่ามีทนายความคนหนึ่ง ถูกยมทูตจับไปที่ยมโลก ท่านยมบาลถามว่า "ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นทนายความอาชีพบาปนี้  แต่เวลาเจ้าเขียนสำนวนฟ้อง เจ้าก็จะตักเตือนให้คนหยุดฟ้องร้อง ไม่ให้ค้าความเด็ดขาด และในสำนวนฟ้องก็จะเขียนให้สำนวนอ่อนลงหน่อยเพราะเจ้ามีจิตใจดีเช่นนี้ เพราะนั้นจึงขจัดโทษบาปของเจ้า ตัดสินให้เจ้ากลับไปมีชีวิตต่อ"  เห็นคดีศึกษานี้แล้ว คนที่เป็นทนายความมานานแล้ว ถ้าไม่รู้จักแก้ไขก็ควรเอาเรื่องนี้มาวิเคราะห์ ก็จะได้ทำบาปน้อยลงหน่อย" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : เที่ยวเข้าร่วมแก๊ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/06/2012, 09:23
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เที่ยวเข้าร่วมแก๊ง

อธิบาย   :  ไม่เคยสอบถามว่าดีชั่วอย่างไร หรือไม่ก็เที่ยวไล่ตามเข้าร่วมแก๊ง หรือแบ่งพวกตั้งแก๊ง ถ้าเป็นแก๊งใหญ่ก็คือก๊กในราชสำนัก เพื่อยึดครองอำนาจปกครอง ที่เห็นชัดเจนก็คือการขจัดฝ่ายที่เห็นแตกต่างจากตน ถ้าเป็นเรื่องเล็กก็เป็นสังคมที่ตั้งกลุ่มบ้าง ก็เป็นแก๊งอันธพาล  ทำความเสียหายให้กับประชาชน  คนเหล่านี้มักพบกับภัยพิบัติ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือประชาชน ควรต้องขจัดห้ามปรามอย่างยิ่ง

นิทาน   :  ในสมัยถัง หลิวจงหยวนกับหลิวหวี่สู้ ทั้งสองมีร่างกายสูงใหญ่ ความรู้ก็สูงมาก เป็นที่ล่ำลือในขณะนั้น ตอนนั้นฮ่องเต้ซุนจงประชวร เป็นโรคชนิดหนึ่งคือพูดไม่ได้  ดังนั้นอันธพาล หวังสู้เหวินจึงถืออำนาจในราชสำนัก หลิวจงหยวนกับหลิวหวี่สู้จึงเข้าเป็นลูกน้องของหวังสู้เหวิน ค่อยติดตามชักนำ คิดว่าหวังสู้เหวินคือ อี่ อี่ โจวกง กลับคืนมา จึงตั้งค่ายอย่างเร่งรีบเหมือนคนบ้า คนทั้งสองถูกเลื่อนชั้นทั้งที่ขาดคุณสมบัติเป็นถึงทูตประจำพระองค์  ข้าราชบริพาร  ทั้งราชสำนักต่างขัดตา ไม่นานนักฮ่องเต้ซุนจงก็ยกบัลลังก์ให้ราชโอรส ดังนั้นหวังสู้เหวินจึงหมดอำนาจ เหล่าขุนนางจึงโจมตี หลิ่วสู้เหวินและหลิวจงหยวน ๒ คน ถูกเนรเทศให้ไปเลี้ยงม้า ลำบากและยากจนที่ชายแดน

อธิบาย   :  ถ้าหากหลิวจงหยวนและหลิ่วหวี่สู้ มีความรู้สูงและถ้าพวกเขาไม่เข้าร่วมแก๊งกัน หวังสู้เหวิน เขาก็จะเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นการพลาดท่าก็จะล้มเหลวไปตลอดชีวิต เป็นคนทำไมจะไม่ระมัดระวัง นี่ก็ยังนับว่าเป็นอันตรายเล็ก ๆ ราชวงศ์ถัง  ซ่ง  และหมิง  สามสมัยที่เพราะเกิดจลาจลของแก๊งที่ทำให้ราชสำนักล่มสลาย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นข้าราชการผู้ใหญ่แล้วยังตั้งแก๊งที่ทำให้ราชสำนักล่มสลาย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นข้าราชการผู้ใหญ่แล้วยังตั้งแก๊งเพื่อแสวงผลประโยชน์แล้ว บาปกรรมก็จะยิ่งใหญ่
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ฟังเมียพูดปด ฝ่าฝืนโอวาทพ่อแม่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/06/2012, 02:10
                                  คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ฟังเมียพูดปด  ฝ่าฝืนโอวาทพ่อแม่

อธิบาย   :  เชื่อคำพูดของภรรยาขัดขืนโอวาทพ่อแม่ วาจาของภรรยาอ่อนหวานน่าฟัง จึงเชื่อฟังง่าย แม้ว่าโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาจะถูกต้องแต่ก็ทำตามยาก คำพูดของภรรยาไม่มีหรอกที่จะไม่กลับกันกับโอวาทของบิดามารดา นี่แหล่ะที่ว่าทำไมเป็นสาเหตุของความอกตัญญู น่าจะรู้ว่าประสบการณ์ของพ่อแม่มีมาก มักจะเข้าใจสถานการณ์เรื่องต่าง ๆ ดีและอีกอย่างหนึ่ง ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกแน่นแฟ้น  การวางแผนเพื่อลูกก็จะรอบคอบ มีหรือสิ่งที่ลูกได้ยินได้ฟังจะเหนือกว่าประสบการณ์ของพ่อแม่ ทั้งบนหลักความจริงและเหตุผล มิใช่ว่าต้องการให้กตัญญูจึงพูดแบบนี้นะ
        คุณจางหงจิ้งกล่าวว่า  "โอวาทของบิดามารดา ผู้เป็นบุตรมีแต่ต้องปฏิบัติตามอย่างยิ่ง กล่าวในที่สุดที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคือคำพูดของภรรยา นี่แหละที่เขาว่าเหตุผลไม่ชนะความใคร่ เพราะความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินไป จึงปิดบังความมีสติปัญญา ตรวจสอบก็ยาก เพราะฉะนั้น หวังว่าผู้ไม่เคยไม่ฟังวาจาของภรรยา ก็อย่าได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย ถ้าในใจไม่มีความสามารถแยบคลายในการวินิจฉัย ไม่เพียงไม่สามารถปฏิบัติได้ ทั้งยังไม่สามารถเข้าใจหลักเหตุผลอันนี้นี่เอง
        ภรรยาเป็นผู้ช่วยข้างหลังของสามี ถ้าหากเป็นวาจาดี ผู้เป็นสามีก็ต้องฟังและตาม แต่ผู้หญิงที่ปราดเปรื่องมีน้อย ที่โง่ทึ่มมีมากกว่า และก้เป็นคนมีอารมณ์มาก  ใจคับแคบ  และก็ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของผู้อื่น  และก็ไม่อดทนต่อเรื่องบางเรื่อง  และยังชองปิดบังความบกพร่องของตัวด้วย  เวลาภรรยาพูดมักจะน่าฟังด้วย  คนที่เป็นสามีจึงหลงได้ง่าย  เมื่อหลงคำภรรยา  ก็มักขัดขืนโอวาทบิดามารดา   เพราะฉะนั้นท่านไท้ชั่งจึงห้ามอย่างเข็มงวด ดังนั้นผู้เป็นสามีต้องรีบย้อนตรวจทันที ทั้งยังต้องบอกพวกเขา ถึงเหตุผลที่ไม่ควรทำ และทีภรรยาน้อยปั่นหูสามี  กระทำป่าเถื่อนต่อภรรยาหลวงและลูก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาดได้ง่ายและเป็นจุดที่หลงมัวเมาที่สุด จะไม่ระมัดระวังหรือ ?.
        บุตรที่ปฏิบัติต่อบิดามารดา ต้องทำด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะให้ขึ้นเหนือหรือล่องใต้ ก็ต้องทำสุดชีวิต ถ้าหากต่อหน้าทำดี ลับหลังขัดขืนโอวาทพ่อแม่ ก็จะเป็นบาปมหันต์ และก็ไม่สามารถอภัยให้ด้วย กับคนที่หลงรักภรรยาจนขัดขืนบิดามารดาเช่นนี้ คนประเภทนี้จะมีบาปเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง

นิทาน   :  นายเฉินเอี้ยนจูน ดูแลมารดาด้วยความกตัญญู แต่มารดาของเขานิสัยอารมณ์เจ้าระเบียบ นางเกลียดภรรยาของเขามากจึงไล่ภรรยาออกจากบ้านในตอนนั้น เฉินเอี้ยนจูนกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เพื่อแสดงความกตัญญูเขาก็ไม่แต่งงานใหม่ ภรรยาไม่กล่าวโทษสักคำ เมื่อถึงฤดูตรุษสาร์ท ต่างจะกลับไปที่บ้านสามีเพื่อถามทุกข์สุขนางจะอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่ยอมแต่งงานใหม่ ในสมัยนั้น พวกนักศึกษารู้เรื่องนี้ ต่างก็ยอมรับภรรยาของ เฉินเอี้ยนจูน ว่าเป็นหญิงดี เป็นศรีภรรยา  และก็ยังเขียนเรื่องความกตัญญู ยิ่งยวดให้แก่นางด้วยเพื่อเผยแพร่ความกตัญญูของนางให้โลกรับรู้  โอ้ !  เฉินเอี้ยนจูนและภรรยาช่างเป็นลูกกตัญญูและเป็นศรีภรรยาเป็นบุคคลผู้มีคุณค่ายิ่ง ! และพวกอกตัญญูเมื่อได้รู้เรื่องกตัญญูของเฉินเอี้ยนจูนและภรรยาแล้วจะรู้สึกละอายมั่งไหมน้อ

นิทาน   :  หลิวเจี้ยนเต๋อมีภรรยาที่เลวและแข็งกระด้าง หลิวเจี้ยนเต๋อควบคุมนางไม่ได้ จึงปล่อยตามใจนาง มีอยู่วันหนึ่ง มารดาของหลิวเจี้ยนเต๋อเจ็บป่วยภรรยาของเขาก็สั่งให้เขาพาแม่ไปอยู่ที่วัดนางชี มารดาไม่ยอมไป แต่หลิวเจี้ยนเต๋อไม่สามารถขัดภรรยาได้ จึงให้คนใช้คนหนึ่งไปดูแลมารดาที่วัด คอยป้อนยาป้อนข้าว  ดังนั้นก่อนที่มารดาของหลิวเจี้ยนเต๋อจะตายก็ร้องด่าว่า "ข้าตายไปยมโลกแล้วจะไปฟ้องยมบาลว่าพวกเจ้าไม่กตัญญู !  มารดาตายไปไม่กี่วัน ภรรยาหลิวเจี้ยนเต๋อก็ป่วยเหมือนคนบ้าร้องตะโกนว่า "ข้าไม่น่าเอาคุณแม่ไปอยู่ที่วัดเลย ยมทูตกำลังดึงไส้ผ่าท้องฉัน "  เนื้อตัวของนางเขียวคล้ำไปหมด เจ็บปวดจนตายไป ผ่านไปอีก ๒ วัน หลิวเจี้ยนเต๋อก็ร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างเดียวกับภรรยาว่า "ข้าหลิวเจี้ยนเต๋อ ถูกภรรยาควบคุมทำให้อกตัญญูต่อแม่ข้า ภรรยาข้าถูกยมบาลผ่าท้องดุงไส้ในนรกอเวจีแล้ว วันนี้ยมทูตกำลังจะจับข้าไป ชาวโลกควรดูข้าเป็นตัวอย่าง อย่าให้ภรรยาหลอกจนหลงจนทำให้อกตัญญูต่อพ่อแม่"  พอพูดจบเขาก็ตายตามภรรยา ทั้งสองถูกบรรจุใส่โลงแล้ว ทันใดฟ้าก็คำรามและสายฟ้าก็ผ่าลงที่โลงศพจนแตกออก กลิ่นซากศพเหม็นคลุ้งไปไกลนับกิโล ชาวบ้านต่างได้กลิ่นศพของหลิวเจี้ยนเต๋อและภรรยา
        ควรรู้ไว้ว่า โทษบาปใดก็ไม่ใหญ่กว่าอกตัญญู เป็นเหตุผลที่ทุกคนรู้ดีหลังตายแล้วยังถูกฟ้าลงโทษฟ้าผ่าโลงแตก ซึ่งแสดงถึงความอกตัญญู ด้วยกลัวว่าคนจะไม่รู้จึงสำแดงออกมาให้โลกเห็น
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ได้ใหม่ลืมเก่า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/06/2012, 02:46
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ได้ใหม่ลืมเก่า

อธิบาย   :  ได้ของใหม่ก็ลืมของเก่าซึ่งเป็นการสุรุ่ยสุร่าย แม้แต่เพื่อนญาติพี่น้อง ๆ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ใด ๆ อาทิเช่น เสื้อผ้า รองเท้า  ความสัมพันธ์ของเพื่อน  ความสมานฉันท์ของพี่น้องและญาติ แม้กระทั่งภรรยา บ่าวไพร่ พูดแล้วมีความแตกต่างระหว่างใหม่กับเก่า หากแต่ว่าเมื่อได้ของใหม่ก็ลืมนึกถึงของเก่า บุคคลเช่นนี้ถือว่าเป็นพวกไร้น้ำใจ ลืมบุญคุณคน  ปราชญ์โบราณเคยกล่าวไว้ว่า "คบคนใหม่สู้คนเก่าคุ้นเคยไม่ได้"  หลักธรรมลึกซึ้งมาก ! ฮ่องเต้ฉูอ๋องเคยมีรับสั่ง หวังว่าจะหารองเท้าเก่าคืนมาได้ พระองค์ตรัสว่า "ข้ากับรองเท้าที่ข้าใส่ออกไปข้างนอกพร้อมกัน และไม่สามารถให้มันกลับมาพร้อมกัน ข้าจึงรู้สึกเสียใจมาก "  จากนั้นมา  ประชาชนเมืองฉุก็ไม่มีใครกล้าทิ้งของเก่า เพราะฉะนั้น ฮ่องเต้ฉูอ๋องจึงเป็นบุคคลที่มีน้ำใจผู้หนึ่งและเป็นผู้เข้าใจมหาธรรมด้วย ! 

นิทาน   :  ในสมัยตงฮั้น เจ้าหญิงหูหยาง เป็นพระชายาของพระเชษฐาของฮ่องเต้กวงอู่ ซึ่งกำลังไว้ทุกข์เนื่องจากการตายของพระสวามี ก็คิดที่จะแต่งงานใหม่กับซ่งหง ฮ่องเต้กวงอู่ตรัสกับซ่งหงว่า "คนรวยมีเงินคบหามิตรสหายได้ง่าย ผู้สูงศักดิ์มีตำแหน่งก็แต่งงานเป็นภรรยาเขาได้ง่าย หรือว่านี่เป็นเรื่องอารมณ์ปกติของคน ?.  ซ่งหงตอบกลับว่า "ยากจนต่ำต้อยคบหากันไปอาจลืมกันได้ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากทิ้งขว้างกันไม่ได้"  ฮ่องเต้กวงอู่ฟังคำตอบของซ่งหงแล้วก็หันมาตรัสกับเจ้าหญิงว่า "เจ้าคิดจะแต่งงานให้ซ่งหง ฉันเกรงว่าจะไม่สำเร็จแน่ ! "

อธิบาย   :  ชอบใหม่เบื่อเก่า เป็นโรคธรรมดาของคนโดยเฉพาะระหว่างพวกภรรยา เปลี่ยนคนก็ง่าย บนหม่อนมักเกิดการขัดแย้งตำหนิเสียดสีกัน ในห้องนอนก็มักก่อภัยตั้งท้อง มันเป็นเรื่องร้ายแรงที่พูดกันไม่มีหมด เพราะฉะนั้นชาวโลกต้องระมัดระวังต่อเรื่องอย่างนี้ให้มาก ๆ

นิทาน   :  เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีบุตร จึงไปอุ้มลูกของพี่ชายมาเลี้ยง เลี้ยงไปได้ ๑๐ ปี  ก็บังเอิญเมียเศรษฐีตั้งท้องขึ้นและให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง เศรษฐีก็ไม่รับลูกที่อุ้มจากพี่ชายมา ทรัพย์สมบัติก็ให้แต่ลูกชายตนเอง ต่อมาลูกชายของพี่มีความขยันอดออมจนมีฐานะและก็กตัญญูนอบน้อมมีเมตตา คนทั้งตระกูลก็ยกย่องเขา หลังจากลูกของเศรษฐีเติบโตแล้ว เป็นคนไม่เอาถ่าน ชอบเที่ยวแตร่ดื่มสุรา หาโสเภณี เล่นการพนัน ผลาญจนทรัพย์ของเศรษฐีหมดลง เศรษฐีเศร้าเสียใจมากโกรธแค้นจนตาย

นิทาน   :  นายจิงหยาง ชาวเมืองอี่เติง สมัยยากจนเป็นเพื่อนสนิทกับนายลี่เฉิน เมืองหยางโจว หลังจากจงหยางตายไปแล้ว ลูกชายกลับมีชีวิตยิ่งแร้งแค้นเข้าไอีก เพื่อนเก่าสมัยก่อนก็ไม่มีใครไปมาหาสู่ แต่ลี่เฉินไม่ลืมเพื่อนเก่า เขามักจะไปเยี่ยมปลอบใจและนำสิ่งของไปให้จริงใจเสียยิ่งกว่าสมัยจิงหยางมีชีวิตอยู่เสียอีก จิงหยางมีผลงานเขียนเอาไว้หลายสิบเรื่อง ลี่เฉินก็ออกเงินให้จำนวนพันตำลึง เอาผลงานของเขาไปตีพิพม์เป็นหนังสือแพร่หลายไปทั่ว เขาพูดว่า "ฉันทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนเก่าที่เขียนหนังสือดี ๆ ไว้ ต้องถูกฝังกลบดินไปตามชีวิตของเขา"  ต่อมาภายหลังลี่เฉินได้เลื่อนตำแหน่งราชการขึ้นสูงมาก   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ปากอย่างใจอย่าง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 06:03
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ปากอย่างใจอย่าง

อธิบาย   :  คือปากกับใจไม่ตรงกัน หากปากและใจถูกต้องก็คือบัณฑิต หากใจกับปากไม่ดีก็เป็นอันธพาล พวกอันธพาล คนยังรู้จักระวัง คนเขายกย่องว่าว่าเป็นเสมือนยอดกษัตริย์เหยา ซุ่น ว่าใจเหมือน ทรราชกษัตริย์ เจี๋ยโจ้ว ถือว่าเป็นคนที่ปากสาบานว่าภูเขาทะเล แต่ใจชั่วดุจหุบเขา ซึ่งเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก คนประเภทที่ปากอย่างใจอย่าง ย่อมเป็นคนไม่ภักดี  ไม่กตัญญู  กับเพื่อนก็ไร้สัจจะ  กับผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่มีคุณธรรม คนแบบนี้คืออันธพาลของอันธพาล  ถ้าหากใครหลงเชื่อคนประเภทนี้ก็ต้องตกอยู่ในแผนการร้าย คนประเภทนี้มีโทษบาปอยู่ในนรกมาก กว่าในโลกหลายเท่าตัว ในพุทธสูตรว่า "คนปากร้ายพูดหลอกลวง ภายหลังตกสู่นรกขุมถูกลากลิ้น ต้องรับโทษเป็นระยะเวลายาวนาน แล้วจึงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ปกติต้องกินพวกเผ็ดร้อนเป็นอาหาร ถ้าเกิดเป็นคนใหม่ก็เป็นคนชอบตอแหล ลมปากเหม็นมาก แม้ว่าเขาจะพูดดี คนก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นถ้าก่อบาปเรื่องปากอย่างใจอย่าง แล้วก็จะได้รับผลตอบสนองเช่นนี้ !  จะไม่ระวังหรอกหรือ !   ในสมัยหมิง ท่านชิเหวินชิงพูดว่า "ในคัมภีร์อี่จงว่า วาจาโง่เขลาต้องเชื่อ ปกติที่พูดกับคนทั่วไปไม่ต้องสนใจ ดังนั้นจึงเป็นคนพูดไม่มีน้ำหนัก และก็ไม่ระวังสร้างนิสัยไม่ดี โดยไม่รู้ว่าพูดปด เพียงคำเดียว ก็ผิดเสียแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นคนโง่เขลาที่เชื่อได้เขาต้องบ่มเลี้ยงคุณธรรม มีคุณธรรมสูงมากทีเดียว !

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ท่านซือหม่ากวง กล่าวถึงหลิวชี่ว่า ทำไมจึงสามารถปฏิบัติได้ถึง "สุดใจ"  การอบรมบ่มเลี้ยงมีขั้นตอนอย่างไร เขากล่าวว่า "เคล็ดลับของเขาก็คือต้องทำถึง "จริงใจ"  เท่านั้นเอง ถ้าจะบำเพ็ญให้ถึง จริงใจ ต้องเริ่มต้นจากการไม่พูดหลอกลวง"   ซือหม่ากวงยังพูดถึง "ชีวิตปกติของหลิวชี่ ก็มีตัว จริงใจ เขาสามารถเอาตัว จริงใจ  ฝึกจนตีหัวแตก " (มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหว)  ในขณะนั้นพวกชาวเมืองชาวไร่ต่างพูดว่า "ถ้าผ่านไปเมืองหนานจิง ไม่เห็นหลิวชี่ต้อนรับขับสู้อยู่ ก็เหมือนผ่านมาในเมืองสือโจวก้เสียใจ ที่ไม่เห็นท่านมหาปราชญ์ ขงจื่อ  อย่างไรอย่างนั้น"  ทำไมพวกเขาสามารถทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งได้ถึงเพียงนั้น คำตอบอยู่ที่ตัว "จริงใจ" เท่านั้นเอง
        เราเห็นความจริงของเรื่องนี้ ก็ควรรู้ว่าตัวจริงใจจะทำให้คนเข้าใจผิดได้หรือ ?.  แล้วทำไมเราจึงไม่ยอมเจ็บปวด ฝึกอบรมตัว "จริงใจ" เล่า ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก : โลภแอบอ้างทรัพย์ ฉ้อโกงตบตาหน่วยบน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 06:35
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  โลภแอบอ้างเอาทรัพย์ ฉ้อโกงตบตาหน่วยบน

อธิบาย   :  เพราะว่ามีความโลภในผลประโยชน์จึงแอบอ้างรับทรัพย์ ทั้งยังกล้าฉ้อโกง ปกปิดเจ้านายเบื้องบน เป็นคนไม่จงรักภักดีกตัญญู กล้าที่จะฉ้อโกงปกปิดมหากษัตริย์เบื้องสูง ถึงแม้จะก่อความร่ำรวยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ส่วนใหญ่ไม่นานก็จะพบกับการล้มละลาย ลูกหลานล้วนเกกมะเรกอันธพาลรับไม่ไหว !   สู้จงรักภักดีสุจริตจริงใจโปร่งใส ก็จะสามารถรักษาตัว รักษาบ้าน รักษาชื่อเสียงได้  พวกข้าราชการที่ฉ้อโกงกินบ้านกินเมือง ลูกจ้างที่เปียดบังปกปิดเงินทองของเจ้านาย เป็นต้น สรุปคือ หน่วยล่างแอบกินหน่วยเหนือ ถือว่าเป็นผู้ไม่มีปัญญา เปลืองตัวเปล่า ๆ แต่เมื่อการได้มาไม่ถูกต้อง ก็นำไปสู่การสูญเสียทั้งคนและทรัพย์ จึงไม่ควรแสวงหาเงินโดยไม่ถูกต้องเช่นนี้ ถ้าใช้ดวงชะตามีอยู่แล้ว มันก็จะมีช่องทางที่ถูกต้องได้มาเอง เงินที่ได้มาก็ถูกต้องและได้มาอย่างปลอดภัย ส่วนเงินที่ฉ้อโกง แม้จะเป็นเงินเหมือนกันแต่เป็นเงินที่อันตราย ผลก็จะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน นี้คือหลักธรรม เราควรเข้าใจ !

นิทาน   :  ที่เมืองเจียงชิงมีผู้ว่าคนหนึ่ง เขาฉ้อราษฏร์บังหลวงได้เงินหลายสิบหมื่น ต่อมาเมื่อเขาออกจากราชการกลับไปบ้านเกิด ได้ซื้อที่นาดี ๆ ไว้จำนวนแสนไร่ ถือว่าเป็นผู้ร่ำรวยอันดับหนึ่ง เขาเคยฝันว่า คุณปู่เคยบอกเขาว่า "เจ้ากำลังได้กรรมตอบสนองแล้ว"  ผู้ว่าไม่เชื่อคำพูดของคุณปู่ที่เข้าฝัน เขามีลูกชายคนเดียวและหลานชายคนเดียว วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจาก เที่ยวผู้หญิงและเล่นการพนัน สุดท้ายก็อายุสั้นตายหมด หลังจากลูกชายหลานชายตายลง เขาก็เกิดล้มป่วยเป็นอัมพาต ลูกสะใภ้และหลานสะใภ้ก็ไม่รักษาจารีตหญิง เรื่องนี้แพร่สะพัดไปไกล หลายคนเห็นพวกเขามีเงินก็คิดลวนลาม ผู้ว่าเห็นกับตาตนเอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อใกล้จะตาย เงินทองในบ้านก็หมดไป เขาเบิ่งตาร้องว่า "ข้าเป็นข้าราชการตำแหน่งถึงผู้ว่า นับว่าไม่เล็ก มีไร่นาถึงสิบหมื่นไร่ นับว่าไม่น้อย ล้วนอยู่ในมือข้า ข้าไม่เข้าใจว่านี่คือเหตุผลอะไร ?.  พูดจบก็ตายลง

อธิบาย   :  โอ้ !  นี่เป็นเพียงกรรมตามสนองบนโลกเท่านั้น โทษหนักยังอยู่ในนรก ยังไม่รู้ว่าจะทุกข์ลำบากหนักขนาดไหน ?.  หยางป๋อฉี่ พูดได้ดีว่า "ฉันแม้ไม่ร่ำรวยมีมรดกให้ลูกหลานมาก แต่อย่างข้าก็มากพอให้คนรุ่นหลัง ยกย่องลูกข้าหลานข้าว่าเป็นข้าราชการสุจริต มรดกแบบนี้ให้ลูกหลานก็มากไม่พอหรือ ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : สร้างข่าวใส่ร้ายทำลายเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/06/2012, 05:33
                                 คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  สร้างข่าวใส่ร้ายทำลายเขา

อธิบาย   :  สร้างคำพูดไม่ดีเป็นการกระทำชั่ว แล้วใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายเขาตามอำเภอใจ แม้ผู้อื่นจะทำผิดมาแล้ว เราควรหาวิธีช่วยปกป้องเขาด้วย ถ้าคนไม่มีความผิดกลับสร้างข่าวลือใส่ร้าย ทำลายเขา ความชั่วร้ายแบบนี้ยิ่งกว่าอาวุธหรือเสือสุนัขจิ้งจอกเสียอีก  ลองคิดดูซิเมื่อคนไม่มีโทษบาป แต่ถูกอันธพาลสร้างข่าวใส่ร้าย คนที่เขาไม่รู้เรืองก็จะพูดร้ายตามด้วย คนที่ได้ฟังข่าวก็แยกไม่ออกว่าใครถูกใครผิด ทำให้คนดีกับคนชั่ว คลุกเคล้ากันจนแยกไม่ออก บางครั้งก็กระทบกับหน้าที่การงาน บางครั้งกำลังจะได้ตำแหน่งหรือเลื่อนขั้นก็พลอยพลาดหวัง มันเป็นความเจ็บปวดสาหัสของบัณฑิตทีเดียว !
        พุทธพจน์ว่า   :  การสร้างบาปใส่ร้าย ตายไปแล้วตกนรกอาวุธมีดและถอนลิ้น และยามมีชีวิตก็ถูกฆ่าทำร้ายได้ง่าย ตลอดจนร่างกายทุพลพาธเป็นผลกรรมตอบสนอง "  กลอนโบราณว่า "คำติฉินนินทาไม่ควรฟัง ฟังแล้วก่อภัยพิบัติ ราชาฟังข้าบาทต้องสำเร็จโทษ พ่อฟังลูกต้องตัดสิน สามีภรรยาฟังลูกต้องแยก พี่น้องฟังต้องจาก เพื่อนฝูงฟังก็เหินห่าง ญาติ ๐ ฟังก็ตัดขาด ร่างกายสูงเจ็ดฟุต อย่าฟังเจ้าเจ้าลิ้นสามนิ้ว บนลิ้นมีธารมังกรฆ่าคนไม่มีเลือด"  ผลภัย
ของการติฉินนินทาร้ายแรงขนาดนี้ เมื่อฟังคนติฉินนินทาร้ายแรงขนาดนี้ เมื่อฟังคนติฉินนินทาแล้วจะไม่ระวังแยกแยะหรอกหรือ ?.

นิทาน   :  นายเฉินเหลียงหมอสมัยหมิง พูดว่า "เมื่อก่อนตอนได้ไปราชการไปตรวจการที่อำเภอกงอัน มีคนแซ่ไป่ยเป็นอาจารย์ไปสอนที่เมืองหลวง ภรรยาเขาชอบทำกุศล เคยเอาชื่อของเขาเขียนบนบทความและก็บริจาคเงินให้กับนางชีหนึ่งตำลึง โดยให้ใช้ด้ายปอยาวหนึ่งโยชปักบทความบนธงทิว ก็ให้บังเอิญภรรยานายพงเพื่อนร่วมงานของอาจารย์ไป่ย มาเยี่ยม เห็นข้อความบนธงทิวก็ตกใจพูดว่า "ข้าราชการครูไปมาหาสู่กับนางชี เกรงว่าจะกระทบงานของข้าราชการ" ภรรยาอาจารย์ไป่ยได้ยินก็เชื่อว่าเป็นจริงว่า จากนี้ไปอนาคตข้าราชการของสามีคงจบสิ้นแล้ว ใจคอไม่สบาย รอคอยสามีกลับจากสอบไม่ติดกลับมา เขาจึงเอาผ้าปอมาทำเสื้อและตัดธงทิ้ง ภรรยารู้สึกเสียใจมากจึงแขวนคอฆ่าตัวตาย
        พอดีข้าได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงไปถามนายอำเภอ ๆ จึงเล่าเรื่องให้ฟัง ข้ารู้สึกสงสารอาจารย์ไป่ยที่พบโศกนาฏกรรมของภรรยา !  ต่อมาสำนักศึกษากำลังพิจารณาตำแหน่งอาจารย์ เขาพูดกับเขาว่า "อาจารย์ไป่ยกับภรรยาเพื่อนร่วมงานเกิดมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นภรรยาเขาจึงไม่พอใจและมักทะเลาะกันบ่อย ๆ อาจารย์ไป่ยโกรธมากจึงบังคับภรรยาฆ่าตัวตาย บาปกรรมอันนี้ ฟ้าดินก็ไม่เก็บไว้" ข้าจึงเล่าเรื่องอาจารย์ไป่ยที่รู้มาให้ทางสำนัก ท่านหลินกงฟังแล้วรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย ระหว่างการพิจารณาตัดสินไม่ได้อยู่นั้น ข้าก็พูดกับท่านหลินกงว่า "ไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ไป่ย ท่านเชื่อใคร ถ้าหากคนนี้เป็นบัณฑิตตรง เรื่องที่เขาเล่าก็เชื่อได้ ถ้าเขาไม่ใช่บัณฑิตตรงก็ขอให้ท่านตรวจสอบให้รอบคอบอีกที"  เจ้าพูดถูก ! จึงเอาพู่กันขึ้นมาลบรอยขีดบทความของอาจารย์ไป่ยออก ต่อมาอาจารย์ไป่ยได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของกั๊วจื่อหลัน แล้วข้าก็ไปเป็นผู้ตรวจการเมืองฟูเจี้ยน เป็นประธานตรวจสอบเมืองฟูเจี้ยน" ต่อมาได้พบท่านหลินกงที่ฟูเจี้ยน หลินกงชี้ไปที่ข้างบ้านแล้วพูดกับข้าว่า "เจ้าของบ้านสกุลอู๋ เคยรับตำแหน่งเป็นอาจารย์ที่อำเภอกงอัน เป็นเพราะเขานินทาใส่ร้ายอาจารย์ไป่ย เป็นคนจิตใจไม่ตรง เป็นเพราะข้าได้ฟังคำพูดของเจ้าแล้ว จึงกระจ่างแจ้ง ต่อมาอาจารย์อู๋เลื่อนไปสอบที่เจียงซีและก็ถูกเพื่อนร่วมงานนินทาใส่ร้าย จึงถูกออกจากราชการ เขาจึงกลับบ้านเกิด ระหว่างทางผ่านทะเลสาบเซินหยางเกิดเรือพลิกคว่ำจมน้ำตาย เดี๋ยวนี้ทางบ้านก็ตกต่ำมาก 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : กล่าวร้ายเขายกตนตรง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/06/2012, 06:00
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  กล่าวร้ายเขายกตนตรง

อธิบาย   :  นินทากล่าวร้ายคนดี แล้วยกย่องตนเองว่าเป็นคนตรง บัณฑิตผู้ตั้งตนปฏิบัติต่อโลก ต้องทำให้ตนเองตรงไม่เลวร้าย แม้แต่น้อยจึงนับว่าตรงจริง เมื่อตนเองยังไม่สามารถปฏิบัติตัวให้ตรงได้แล้ว กล่าวร้ายผู้อื่นทั้งยังยกย่องตนเองเป็นคนตรง คนเช่นนี้มโนธรรมของเขาตายไปแล้ว ยังยกตนว่าตรงได้อย่างไร คนที่ตรงจริงเขาจะมีใจภักดีอย่างยิ่ง วาจาที่ควรพูดเขาก็จะพูด ๆ แล้วทำให้ผู้อื่นรู้จักแก้ไข แต่คนที่กล่าวร้ายทำลายเขา ทำให้ชื่อเขามัวหมองการปลดปล่อยอารมณ์โกรธของตนเองแถมยังเข้าใจตนเองว่าเป็นคนตรง คนแบบนี้น่าแค้นนัก !  ท่านเหลาจื้อว่า "ความฉลาดที่สุดต้องสามารถเป็นคนที่ตรวจได้ชัดเจนลึกซึ้ง กลับไม่มีอารมณ์เหมือนคนเป็นคนที่เอาตนเองถล่มจมสู่สภาพที่อับจน นี่หมายถึงคนที่ชอบเสียดสีเหน็บแนมวิพากษ์วิจารน์คนอื่น" คุณเฉินอี้ฉวนพูดว่า "บัณฑิตปฏิบัติต่อผู้อื่น ควรจะมีความผิดไปแสวงหาความไม่ผิด ไม่ควรจะไม่มีความผิดแล้วไปแสวงหาความผิด ! หากต้องการแสวงหาเพื่อตนเอง นั่นคือกลับกันพอดี" โอ้ ! คนในโลกก่อวจีกรรมนับไม่หมด เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงเข้มงวดห้ามแล้วห้ามอีก ! 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง องครักษ์หวังอุ้ย ได้รับการสนับสนุนจากอูเซียนซิ่วเป็นมหาดเล็ก หวังอุ้ยถือโอกาสที่อูเซียนทำความผิดครั้งหนึ่งจึงแอบถวายรายงานฟ้องฮ่องเต้จิ่งตี้ เพื่อใส่ร้ายอูเซียน เพื่อแสดงตนเองว่าเป็นคนซื่อตรง แต่ขณะนั้นอูเซียนได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มาก ฮ้องเต้จึงเรียกอูเซียนเข้าเฝ้าแล้วเอารายงานของหวังอุ้ยให้กับเขา อูเซียนคุกเข่ากราบขอรับโทษ ฮ่องเต้ว่า "ข้ารู้จักเจ้าดี เจ้าก็ไม่ต้องเสียใจเพราะเหตุนี้" หลังจากอูเซียนถอยออกมาแล้ว หวังอุ้ยก็เข้าไปถามเขาว่า "พระองค์ตรัสอะไรกับท่านบ้าง" อูเซียนไม่ตอบ หวังอุ้ยก็ถามอีก อูเซียนจึงยิ้มพูดว่า คนแก่มีอะไรไม่ถูก ก็ขอให้บอกกับข้าต่อหน้า ข้าต้องยอมรับฟังแน่ ๆ เธอทำไมต้องอดทนไปทูลความผิดของข้าต่อฮ่องเต้เล่า ?."  เสร็จแล้วก็เอารายงานที่แอบถวายส่งให้เขาดู หวังอุ้ยหวาดหวั่นตกใจมากจนไม่มีที่จะมุดหน้า อูเซียนก็หัวเราะและยังปลอบประโลมเขา !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ด่าเทพเจ้ายกตนดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/06/2012, 03:37
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ด่าเทพเจ้ายกตนดี

อธิบาย   :  การลบหลู่ด่าทอเทพเจ้า แล้วยกย่องตนดี  คุณธรรมโบราณว่า  : "ฉลาดซื่อตรงเรียกเทพเจ้า"  บัณฑิตปฏิบัติต่อเทพเจ้าล้วนมีใจเคารพนับถือเกรงกลัว  แต่พวกอันธพาลกล้าที่จะลบหลู่เหยียดหยามและก็ยกตนว่าตรงไม่ร้าย สามารถให้ผีเทพยอมตนได้ กลับไม่รู้ว่าเมื่อใจตนไหวเกิดความคิด เห็นแก่ตัววางแผนร้ายก็ถูกผีเทพจับตามองนานแล้ว เป็นการกวักเอาวินาฏกรรมด้วยตนเอง

นิทาน   :  เจิ้นเจียงมาร้านขายเค้ก วันหนึ่งเจ้าของสกุลอู ลูกชายเป็นฝีดาษไป เจ้าของร้านจึงเขียนคำร้องเตรียมจะไปที่ศาลหลักเมือง เพื่อฟ้องร้องเทพฝีดาษ แต่ภรรยาเขาก็แย่งคำร้อง แล้วเผาที่หน้าหิ้งบูชาเทพเจ้า คืนนั้นเจ้าของร้านก็ฝันว่า ตนเองถูกยมทูตพาไปยมโลก ศาลเจ้าหลักเมืองพูดกับเขาว่า "เทพเจ้าที่บ้านบอกข้าว่าเจ้าได้เขียนคำร้องจะฟ้องร้องเทพฝีดาษ เทพฝีดาษไปทำอะไรเจ้าหรือ ?."  เถ้าแก่อูพูดว่า  "เทพฝีดาษมาทวงเครื่องเซ่นไหว้จากฉัน ฉันไม่ได้ตอบตกลง เทพฝีดาษจึงเอาลูกจ้าถึงตาย !" ไม่นานนัก ไม่นานนัก เทพฝีดาษก็มาที่ท้องพระโรงแล้วรายงานต่อศาลเจ้าหลักเมืองว่า "ชะตาของลูกชายเขาขาดไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทพน้อยอย่างข้าเลย !" เทพศาลเจ้าหลักเมืองจึงตัดสินว่า "เห็นแกประชาชนไม่รู้ ก็มอบให้นายอำเภอเมืองหยางลงโทษ  ตีเขา ๒๐ ไม้  เจ็บป่วย ๑ เดือน  เป็นการสั่งสอน"  ขณะนั้นหยางจูถึงเป็นนายอำเภออยู่ วันรุ่งขึ้น เถ้าแก่อูขณะเปิดประตูร้านก็ให้พอดีนายอำเภอหยางผ่านมา โดยไม่ได้เจตนาก็ไปทำร่มที่เจ้าพนักงานถืออยู่ขาด ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่อูจึงถูกนายอำเภอทำโทษโบย ๒๐ ไม้ หลังจากนั้นเถ้าแก่อูก็ล้มป่วยนอนเตียงนานถึงหนึ่งเดือน จึงจะหาย

อธิบาย   :  ต้องรู้ไว้ว่ากฏหมายบ้านเมืองกับฝีดาษ สนับสนุนกันอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าทำผิดได้โทษจากผีเทพ ก็จะได้โทษจากบ้านเมืองด้วย ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ละทิ้งธรรมทำชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/06/2012, 04:03
                                    คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ละทิ้งธรรม ทำชั่ว

อธิบาย   :  ละทิ้งธรรมหกที่ต้องน้อมปฏิบัติ กลับไปฝึกฝนทำชั่วหกประการ  คุณเหวยสือสี ในสมัยโจวกล่าวว่า "ราชามีธรรม ข้าบาทจงรักภักดี  บิดาเมตตาบุตรกตัญญู  พี่รักใคร่น้องเคารพ  นี่คือธรรมหก 

        ต่ำต้องขีดขวางสูงศักดิ์  ผู้น้อยข่มเหงผู้ใหญ่   ญาติห่างละเว้นสนิทสนม   มีคนใหม่ละเว้นคนเก่า   เล็กกลับเพิ่มใหญ่   เสพกามกลับขาดน้ำใจ  นี่คือทำชั่วหก

        ถ้าคนเราละทิ้งธรรมหกและไปทำชั่วหก  ก็เป็นการกวักหาภัยเคราะห์เร็วยิ่งขึ้น"  ในซูจิงว่า "คุณความดีเสริมสิริมงคล ความชั่วกวักภัยอันตราย"  หมายความว่า ถ้าคล้อยตามธรรมก็จะเป็นสิริมงคล  ถ้าขัดขืนธรรมก็จะก่อเกิดภัยอันตราย  ยังกล่าวอีกว่า  "คล้อยตามฟ้าเจริญ  ขืนฟ้าดับสลาย"  ผู้ฝึกคล้อยตามธรรมก็จะภักดีกตัญญู เป็นอริย เป็นปราชญ์  คนขืนทำชั่วก็จะโหหดเหี้ยม กลายเป็นโจร  การทิ้งธรรม ทำชั่วก้อยู่แค่หนึ่ง ขณะความคิดนั้น ก็ตัดสินใจว่า เป็นภัยเคราะห์หรือบุญวาสนา  แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน  จะไม่ระมัดระวังหรอกหรือ ! 

นิทาน   :  ที่อำเภอเหวินอันเมืองปาโจว ชาวเมืองนายเซียวฟงจื่อ มีนิสัยกล้าหาญแข็งแรงมาก เขากับนายหลิวลิ่วและหลิวซี พร้อมพรรคพวกรวมตัวเป็นแก๊งโจร  ปล้นจี้ไปทั่ว  ทั้งยังสะสมสมุนแบ่งสายพวกโจรไปโจมตีเมือนเหอหนาน เมื่อเขาโจมตีเมืองปี่หยางได้ เขาก็พากันขุดที่ฝังศพของบรรพชนชาวเจียวฮวงทั้งหมด แถมพูดว่า "ถ้าสามารถฆ่าเจียวฮวงด้วยมือตนเองได้ ก็จะขอบคุณใต้หล้าได้ ! "  ไม่นานนัก ลูกน้องของเซียวฟงจื่อ ถูกกองทหารไล่ตีจนพ่าย เขาก็หันไปปล้นที่ลิ่วอัน  หลู่จิง  ทหารก็ไล่ตามตี  เซี่ยวฟงจื่อหนีจนตรอก ก็ไปแย่งใบอนุญาตบวชพระ จึงโกนหัวเป็นพระปลอม แต่ก็ถูกจับได้ เขาถูกแร่เนื้อทำเป็นลูกชิ้น ส่วนหลิวลิ่วกับหลิวชีก็หนีไปที่กงโจว เขาไปอยู่ป่า บังเอิญเกิดพายุ ทรัพย์ที่ปล้นถูกทำลายหมด

อธิบาย   :  ต้องรู้ว่าการฝืนทำชั่วมี ๒ แบบ  แบบที่ ๑ คือข้าบาทและลูก  ฝืนทำชั่วต่อราชบิดา  อีกแบบคือเป็นโจรที่ทำร้ายประชาชน  เรื่องราชาบุตรเคยพูดไปแล้ว ในบทนี้จึงูดแต่โจร จุดมุ่งหมายให้คนเคารพคล้อยตามธรรม เพื่อรักษาตนรักษาครอบครัว ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 3 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : เมินญาติคบคนนอก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/06/2012, 04:30
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๓

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  เมินญาต  คบคนนอก

อธิบาย   :  หันหลังเมินญาติที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง แล้วไปคบหาเอาใจคนนอกสกุลมาเป็นญาติพี่น้อง การเมินญาติคบคนนอก ไม่ใช่มีเพียงด้านเดียวเท่านั้น อย่างเช่นข่มเหงบิดบังพ่อแม่ตนเอง แต่แอบเอาของไปให้บ้านภรรยา ปฏิบัติต่อพ่อแม่ตัวเองกับพี่ชายน้องชายตนเองก็ถือสาหาความ กับเพื่อนคนข้างนอกก็ใจกว้าง  มีน้ำใจแต่ไม่เป็นห่วงญาติตนว่าจะยากจนลำบากหรือไปเอาหรือรับคนอื่นมาเป็นคนในสกุล คนที่ตนเองควรสนิทสนมกลับหมางเมินออกห่าง !  ท่านขงจื่อว่า "ไม่รักพ่อแม่ของตนเองไปรักคนอื่นเสียกว่า เป็นการฝืนคุณธรรม  ไม่เคารพพ่อแม่ตนเองไปเคารพผู้อื่น เรียกว่าฝืนจริยธรรม" ปัจจุบันมีคนหมางเมินเหินห่างพ่อแม่ไปหาคนนอก ไม่ใช่เป็นเพราะบุญคุณ ความแค้นหรือลำเอียงเห็นแก่ตัว หากแต่เริ่มจากน้ำใจที่เย็นชา แปรเปลี่ยนจนเกิดการแบ่งแยก อย่างนี้เป็นการฝืนคุณธรรม จริยธรรม นับว่าร้ายแรงมาก ถือเป็นบาปหนัก ผลตอบสนองก็จะร้ายแรงนะ ! 

นิทาน   :  โจวฉงไปเข้าสอบหลายครั้งก็ยังสอบไม่ได้ จึงไปหาท่านเจ้าเจียง ไปกราบโจวจีเป็นบิดา ทุกวันจะคลุกอยู่กับลูก ๆ ของโจวจี ใช้ชื่ออำพรางว่าเป็นคนของโจวจี พอถึงปีรุ่งขึ้น โจวฉงที่อาศัยชื่อนี้ไปสอบได้เป็นจี่เหยิน  จากนั้นมาก็ไม่กลับบ้านอีกเลย บิดาของเขาเขียนกลอนมาด่าว่าลูกชายจนโจวฉงรู้สึกอับอายจนตาย 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง นายไป่ยซี เพราะไม่มีลูกของตนเอง จึงไปอุ้มลูกคนฆ่าสัตว์มาเป็นลูก เขาไม่เอาหลานของตนมาสืบสกุลรับมรดก ต่อมาเมื่อไป่ยซีตายไปแล้ว ที่บ้านเขาก็บังเอิญมีแขกคนหนึ่งมาขอพักที่บ้านเขา กลางคืนแขกก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้าออก  จึงลุกขึ้นมาแอบมองจากช่องแตกของฝาผนังเห็นมีคนทั้งหญิงชาย เป็นคนหลายรุ่นเดินวนไปวนมาเหมือนหาอาหาร เหมือนว่าหิวมานาน ไม่มีของกิน ต่อมาก็ยังมีเห็นอีกคนหนึ่ง ที่แหนบมืดฆ่าสัตว์ไว้ เดินเข้ามาไม่นานนัก เหมือนกับว่าเขาได้กินอิ่มท้องจนยื่นตึง แล้วก็เดินออกไป  แต่พวกหญิงชายคนหลายรุ่นล้วนแอบอยู่ที่ใต้โต๊ะพูดว่า "แย่แล้ว ! พวกเราไม่มีอะไรจะกินแล้ว โอ้ !  ทำไมทุกข์อย่างนี้ "  พูดจบพวกเขาก็เดินโซเซออกไปจากบ้าน
        วันรุ่งขึ้น ฟ้าสว่างแล้ว แขกคนนี้ก็ถามคนใช้ว่า "เมื่อคืนที่บ้านทำอะไรกันหรือ ?" คนใช้พูดว่า "เมื่อค่ำวานนี้ เจ้าของบ้านฉันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ"  แขกผู้นี้จึงเข้าใจเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ว่า คนที่มีมีดคนนั้นเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้าของบ้าน แต่พวกหญิงชายหลายรุ่นเหล่านั้น คือบรรพบุรุษของสกุลไป่ยนั้นเอง แขกคนนั้นถอนหายใจแล้วก็จากบ้านสกุลไป่ยไป

~~~ จบเล่ม 3 ~~~   ~~~~~ โปรดติดตามเล่ม 4 ตอนจบ.~~~~~ 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/06/2012, 10:37
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                                      คำนำ

        คัมภีร์กั้นอิ้งเพียน หรือ คัมภีร์กรรมสนอง เล่มที่ ๔ นี้เป็นเล่มจบสมบูรณ์ สำหรับท่านที่ติดตามอ่านจากเล่ม ๑ จนถึงเล่ม ๔ ท่านก็พอจะเข้าใจถึงถ้อยคำที่ท่านศาสดาศาสนาเต๋าหรือศาสนาธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เมื่อท่านธรรมาจารย์จิ้งคงได้กรุณาบากบั่นอธิบายแต่ละถ้อยคำและได้ยกตัวอย่างนิทานที่เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็นพยานหลักฐานยืนยันต่อถ้อยคำของท่านเหลาจวิน ถึงแม้จะเป็นคัมภีร์ต่างศาสนากันก็ตาม แต่เป็นเพราะความมีสาระของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ที่เน้นให้ประชาชนมีหลักในการปฏิบัติบำเพ็ญทั้งทางกาย วาจา และใจ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากเหตุต้นผลกรรมของทางพุทธศาสนาเลย   แต่ที่สำคัญของศาสนานี้ก็คือ นอกจากละเเว้นการทำความชั่วแล้ว แม้จะเป็นความชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องละเว้นไม่ให้ทำ และส่งเสริมให้ทำความดี แม้จะเป็นความดีเพียงเล็กน้อยก็ตามเพราะเป็นการสั่งสมบุญวาสนา ในตอนท้ายของคัมภีร์ ท่านไท่ซั่งจะกล่อมเกลาให้คนที่เคยทำชั่วให้รู้สึก แก้ไข ท่านยังกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า หากใจเริ่มใฝ่ดีเท่านั้น แม้ว่ายังไม่ทันได้ลงมือกระทำความดีเลยเทพดี ๆ ก็จะคอยติดตาม ตรงกันข้าม หากใจคิดใฝ่ชั่ว แม้ว่ายังไม่ทันลงมือทำชั่วเลย เทพชั่วก็ติดตามเสียแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่เคยทำชั่วมาก่อนแล้วสำนึกผิด แล้วแก้ไขเสียไม่ทำชั่วอีก แล้วลงมือทำไปเรื่อย ๆ โชคลาภมงคลก็จะเผยปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์ ภัยพิบัติที่เดิมต้องได้รับก็จะอันตรธานหมดไป มีบุญวาสนาเข้ามาแทนที่
        เพราะฉะนั้น คนดีคนชั่วไม่ได้ขึ้นอยู่กับยากดีมีจนแต่อย่างไร ขึ้นอยู่ว่าตนจะเลือกทางไหน ไม่ว่าทางไหนก็จะเป็นกรรมสนองทั้งนั้น  คัมภีร์นี้จึงเหมาะทั้งคนอัจฉริยะและคนธรรมดาที่ต้องถือปฏิบัติทั้งสิ้น
        ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ถ้าท่านได้อ่านจบแล้ว ต่อไปก็อ่านเฉพาะตัวคัมภีร์อย่างเดียววันละหนึ่งเที่ยว เพื่อเตือนสติให้ใฝ่ดีอยู่เสมอก็เชื่อได้เลยว่า ท่านจะประสบแต่บุญวาสนา มีงานมงคลล้นเหลือ เคราะห์ภัยหลีกหาย  ครอบครัวจะมีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้น จะมีลูกหลานดี ๆ ให้ชื่นชม  ยิ่งท่านมีจิตศรัทธาบริจาคไม่ว่าจะเป็นแรงกายก็ดี  พูดจาดี ๆ ตักเตือนคน  หรือท่านที่มีกำลังทรัพย์ช่วยพิมพ์เพื่อให้แจกจ่ายได้กว้างไกล ก็จะเป็นการคุ้มครองบุญวาสนาให้ยาวนานยิ่งขึ้น 
        สุดท้าย  ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า ทางพุทธสถานเหลียงเต๋อถัง จะจัดพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียว และเป็นปกแข็งในโอกาสหน้า เพื่อให้หนังสือเล่มนี้คงอยู่ได้นานเท่านานสืบไป หากท่านมีใจศรัทธาจะร่วมสร้างหนังสือเล่มนี้ ก็สามารถติดต่อได้ตามที่อยู่ด้านหน้า จึงเรียนมาเพื่อทราบ

                          ด้วยความเคารพ

                            ธรรมบัญชา

                     ๑๘  กรกฏาคม  ๒๕๔๙
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/06/2012, 11:58
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

        ไท่ซั่งกล่าวว่า  ภัยพิบัติบุญวาสนาไร้ทวาร สุดแต่คนกวักหา บาปบุญตอบสนอง เหมือนเงาตามตัว ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำหนักเบาของมนุษย์ เพื่อลงโทษตัดขัย ตัดขัยให้ยากจนประสบทุกข์ลำบากบ่อย ผู้คนก็รังเกียจ ต้องโทษวิบัติตามมา มงคงโชคลาภดับหาย ดาวร้ายภัยตามขัยสิ้นก็ตาย  ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์ อยู่เหนือศรีษะมนุษย์ บันทึกชั่วบาปคอยตัดอายุขัย ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในตัวคน เมื่อถึงวันแกชิง (ทุก ๆ ๖๐ วันจะมีวันแกชิง ๑ วัน หนึ่งรอบ = ๑๒ ปี)  ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบนรายงานความชั่วบาปของมนุษย์ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก้เช่นกัน ผู้มีความผิดมหัน
ต์ตัดขัยหนึ่งรอบ  ลหุตัดขัยร้อยวัน  ความผิดมากน้อยมีมากถึงร้อย อยากมีอายุยืนต้องหลีกเลี่ยงเอย  เห็นธรรมให้เดินหน้า ไม่ใช่ธรรมให้ถอย  ไม่ดำเนิน
ทางชั่ว  ไม่แอบรังแกข่มแหง  สั่งสมบุญกุศล  ใจเมตตาต่อสัตว์  จงรักภักดีกตัญญู  ให้รักญาติมิตร  ให้ตนตรงอบรมผู้อื่น  สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้  เคารพอาวุโส  ห่วงใยผู้เยาว์  ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้  ต้องสงสารผู้เคราะห์ร้าย  ยินดีกับผู้ทำ  ช่วยเหลือผู้คับขัน  ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย  เห็นเขาได้ดีเหมือนตนได้ดี  เห็นเขาสูญเสียเหมือนตนสูญเสีย  ไม่โพนทนาความชั่วเขา  ไม่โอ้อวดความดีตน  หยุดยั้งเรื่องชั่วเผยแผ่เรื่องดี  ให้มากรับน้อย  รับอัปยศไม่แค้น  รับความรักดุจความหวาดกลัว  ทำคุณไม่หวังผลตอบ  ให้เขาไม่นึกเสียใจ  ที่ว่าเป็นคนดี  คนให้ความเคารพ  ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง  งานที่ทำก็สำเร็จ  เป็นเทพเซียนปรารถนาได้  อยากเป็นเทพเซียนดิน  ต้องทำความดีสามร้อยกุศล 
       
         หากทำสิ่งไม่ถูกต้อง  กระทำละเมิดธรรม  ถือชั่วว่าสามารถ  ทนทำชั่วร้ายได้  แอบทำร้ายคนดี  ข่มแหงราชาพ่อแม่ลับหลัง  หยิ่งยโสครูบา  ละทิ้งหน้าที่  หลอกคนไม่รู้  ลวงเพื่อนร่วมเรียน  ใส่ร้ายล่อลวง  โจมตีวงศ์ตระกูล  อันธพาลไม่การุณย์  ป่าเถื่อนตามอารมณ์  ถูกผิดไม่ถูกต้อง  เข้าหาชั่วหันหลังดี  กดขี่เอาชอบ  ประจบนายพอใจ  รับคุณไม่รู้  บ่มแค้นไม่หยุด  ดูแคลนประชาชน  ก่อกวนการปกครอง  ระวังคนชั่ว  ลงทัณฑ์ผู้บริสุทธิ์  ฆ่าคนชิงทรัพย์ใช้เล่ห์แย่งตำแหน่ง  เข่นฆ่าผู้ยอมแพ้  ขับคนดีไล่ปราชญ์  รังแกกำพร้าข่มแหงหม้าย  ละกฏรับสินบน  เอาตรงว่าคด  เอาคดว่าตรง  โทษเบาเป็นหนัก  เห็นประหารเพิ่มโทสะ  รู้ผิดไม่แก้  รู้ดีไม่ทำ  โยนผิดให้คนอื่น  ปิดบังวิชา  ใส่ร้ายอริยปราชญ์  ทำร้ายคุณธรรม  ยิงนกล่าสัตว์  คุ้ยหนอนทำนกตกใจ  อุดรูทำลายรัง  ทำร้ายครรภ์ทุบไข่

        อยากให้เขาเสียหาย  ทำลายความสำเร็จของเขา  ให้เขาอันตรายตนสุข  ลดเขาประโยชน์ตน  เอาชั่วไปแลกดี  ดีตนทำลายส่วนรวม  ขโมยผลงานเขา  ปิดบังความดีเขา  เปิดโปงความชั่วเขา  เปิดเผยความลับเขา  ผลาญทรัพย์สินเขา  พรากสายเลือดเขา  แย่งของรักเขา  ช่วยเหลือเขาำทำชั่ว  อวดอำนาจข่มขู่  ทำอัปยศเพื่อชัยชนะ  ทำลายไร่นาเขา  ทำลายการแต่งงานเขา  พอรวยก็ยิ่งยโส  หลบเลี่ยงไม่ละอาย  เหมาเอาคุณป้ายความผิด  โยนเคราะห์ขายชั่ว  ซื้อยศจอมปลอม  หน้าเนื้อใจเสือ  ขัดขวางความดีเขา  ปิดบังความชั่วตน  ใช้อิทธิพลข่มขู่  ทำลายฆ่าป่าเถื่อน  ตัดผ้าไร้เหตุ  ฆ่าสัตว์ไร้จริยธรรม  ทิ้งขว้างธัญพืช  เคี่ยวเข็ญประชาชน  ทำลายครอบครัวเขาเพื่อชิงทรัพย์สิน  ปล่อยน้ำวางเพลิงเพื่อทำลายประชาชน  ทำลายแผนการณ์ให้เขาล้มเหลว  ทำลายเครื่องมือไม่ให้เขาใช้  เห็นเขาได้หวังเขาฉิบหาย  เห็นเขาร่ำรวยอยากให้เขาล้มละลาย  เห็นเขารูปงามคิดข่มขืน  เป็นหน้เขาหวังให้เขาตาย  ขอร้องเขาไม่ได้ก็แค้นเกิดสาปแช่ง  เห็นเขาล้มเหลวก็ว่าเขาทำชั่ว  เห็นเขาไม่สมประกอบก้หัวเราะใส่  เห็นเขาสามารถควรยกย่องกลับทับทม  ใช้มนต์ดำฝังรูป  ใช้ยาฆ่าต้นไม้  โกรธแค้นครูอาจารย์  ขัดต่อพ่อพี่

        ใช้แรงขู่เข็ยเอา  ชอบรุกรานชอบแย่งชิง  ปล้นจนร่ำรวย  ใช้เลห็หาก้าวหน้า  ให้รางวัลลงโทษไม่เสมอกัน  เสพสุขเกินเลย  ทารุณผู้ใต้บังคับ  ข่มขู่เขาหวาดกลัว  โทษฟ้าโทษคน  ว่าลมด่าฝน  ยุแหย่ให้สู้ความ  เที่ยวเข้าร่วมแก๊ง  ฟังเมียพูดปด  ฝ่าฝืนโอวาทพ่อแม่  ได้ใหม่ลืมเก่า  ปากอย่างใจอย่าง  โลภแอบอ้างทรัพย์  ฉ้อโกงตบตาหน่วยบน  สร้างข่าวใส่ร้ายทำลายเขา   ใส่ร้ายเขายกตนตรง  ด่าเทพเจ้ายกตนดี  ทิ้งธรรมทำชั่ว  เมินญาติคบคนนอก  ชี้ฟ้าดินเป็นพยานทั้งที่ชั่ว  ท้าพระเจ้าตรวจสอบ  ทำทานแล้วเสียดาย  ยืมทรัพย์ไม่คืน  ไม่เจียมตนหานอกลู่  ใช้จนสุดอำนาจ  เสพกามเกินเลยหน้าซื่อใจอำมหิต  ให้ของกินสกปรกเขา  ใช้ทางมารหลอกประชาชน  มาตราชั่งตวงวัดโกง  ปลอมปนสินค้า  รีดนาทาเร้น  บังคับคนชั่วให้ดี  โป้ปดคนโง่  โลภละโมบไม่เบื่อ  แช่งชักว่าตนถูก  เมาสุราลวนลาม  สายเลือดทะเลาะกัน  ชายไม่ซื่อภักดี หญิงไม่อ่อนน้อมตาม  บ้านไม่กลมเกลียว ไม่นับถือสามีคุยข่มอวดดี  อิจฉาตาร้อน  ไม่ดีต่อบุตรภรรยา  ไร้จริยาต่อผู้ปู่แม่ย่า  ดูถูกวิญญาณบรรพชน

        ขัดขืนคำสั่งเบื้องบน  ทำสิ่งไร้ประโยชน์  คับแค้นนอกใจ  สบถตนสาปแช่งผู้อื่น  ลำเอียงชังลำเอียงรัก  ก้าวข้ามบ่อน้ำเจ้าที่่  ข้ามอาหารข้ามคน  ฆ่าลูกทำแท้ง  ชอบแอบทำชั่ว  วันเซ่นสรวงร้องรำ  ด่าทอเช้าตรู่วันพระ  ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ  ร้องเพลงร้องไห้หน้าพระ  จุดธูปจากเตา  ใช้ฟืนสกปรกหุงหา  เปลือยกายกลางคืน  ประหารวันตรุษสาร์ท  ถ่มน้ำลายดาวตก  ชี้รุ้งชี้สามแสงบ่อย  จ้องอาทิตย์จันทร์นาน  ล่าสัตว์เผาป่าฤดูใบไม้ผลิ  ด่าทอทิศเหนือ  ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ

        อันบาปต่าง ๆ นี้  เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบ  ขัยสิ้นก็ตาย  หนี้เหลือจากตาย  ตกทอดบุตรหลาน  พวกอันธพาลเอาเงินเขา  ผลชั่วตกถึงลูกเมีย  คนในบ้านรับไป  จนกว่าถึงที่ตาย  หากยังไม่ตาย  ก็มีภัยจากน้ำภัยโจรของหายเจ็บป่วย  คดีความตอบสนองจนเท่าค่าที่โกงมา  ใส่ความฆ่าคนก็ถืออาวุธฆ่าตอบ  เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง  ดุจเนื้อเน่าแก้หิวเหล้าพิษแก้กระหาย  ไม่เพียงไม่อิ่มความตายก็มาถึง  หากใจเริ่มใฝ่ดี  ดีแม้ยังไม่ทำ  เทพดีก็ตามมา  หากเริ่มใฝ่ชั่ว  ชั่วแม้ยังไม่ทำ  เทพชั่วก็ตามมา  ผู้เคยทำชั่ว  ภายหลังสำนึกแก้ไข  ชั่วทั้งหลายไม่ทำ  ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ  นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ  ดังว่าเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา

        ดังนั้น ผู้มงคล  วาจาดี  มองดี  ทำดี  วันหนึ่งมีสามดี สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา  ผู้อุบาทว์  วาจาชั่ว  มองชั่ว  ทำชั่ว วันหนึ่งมีสามชั่ว สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ ! 

                   ~~~ จบ ~~~                                       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ชี้ฟ้าดินเป็นพยานทั้งที่ชั่ว ท้าพระเจ้าตรวจสอบ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/06/2012, 12:36
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ชี้ฟ้าดินเป็นพยานทั้งที่ชั่ว ท้าพระเจ้าตรวจสอบ

อธิบาย   :  เพื่อแสดงตนว่าไม่ได้ทำผิด ทั้ง ๆ ที่ได้ก่อกรรมทำชั่วเอาไว้ ยอมที่แสดงโดยกล้าชี้ฟ้าดินเป็นพยาน กล้าที่จะทำเรื่องต่ำช้าโดยทำให้พระเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบ ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามมั่นใจต่อคำสัญญา ฟ้าดินไม่มีลำเอียง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซื่อตรง การตอบสนองเรื่องโชควาสนาหรือเคราะห์ภัยต่าง ๆ ก็เหมือนเรื่องการสะท้อนกลับของเสียง บางครั้งเราระมัดระวัง นับถือกลัวเกรงพระเจ้าอยู่แล้ว ยังมิวายได้รับโทษอยู่เลย นับประสาอะไรกับการชี้ฟ้าดินดึงพระเจ้ามาเล่นด้วย แถมให้มาเป็นพยานเรื่องที่ตนเองทำชั่วเอาไว้ อย่างนี้มิเป็นการเหยียดหยามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าดินหรอกหรือ !  พระเจ้าจะช่วยคนทำชั่วได้หรือ !  การกระทำของคนเยี่ยงนี้ เท่ากับเป็นการเร่งให้เคราะห์ภัยมาเร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง ! 

นิทาน   :  บ้านของตระกูลจาง คนในบ้านไม่รักใคร่กลมเกลียวระหว่างพ่อลูก  พี่น้อง  ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน  ก็มีขอขัดแย้งกันบ้าง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็จะร้องอ้างฟ้าดินหรือชี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของตน เมื่อถึงคราวแยกครอบครัวแบ่งมรดกยิ่งรุนแรงมากขึ้น ต่างคนต่างแช่งชักหักกระดูกฝ่ายตรงข้ามจากนั้นมา บ้านตระกูลจางก็มีผีร้ายคอยกลั่นแกล้งทำโน่นทำนี่ ผู้คนในบ้านต่างล้มป่วย เพียงในเวลาไม่กี่ปี ผู้คนในบ้านตระกูลจางก็ตายกันเกลี้ยง

คติพจน์   :  ในสมัยหมิง มีพระมหาเถระอาวุโสเหลียนฉือไต้ซือ กล่าวว่า  "คนทั่วไปมักจะบนบาน เช่น ขอลูกชาย  ขอให้อายุยืน  ขอให้พ้นเคราะห์  ขอให้สอบได้ตำแหน่ง  ขอโชคลาภฯ เป็นต้น  ก็จะต้องบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าสมหวังก็จะฆ่าเป็ด ไก่ หมู มาเซ่นไหว้เป็นการตอบแทน การบนบานชนิดนี้เรียกว่าบนบานบาป  มีแต่โทษวิบากไมใ่มีกุศล  แม้แต่บนว่าจะถวายเสื้อทรง  ธงตุงสร้างศาลเจ้า  ถวายเครื่องสักการะ  เหล่านี้ล้วนเหมาะตบแต่งสถานธรรมให้ดูน่าเลื่อมใสเท่านั้น   ขอให้เหล่าเวไนยควรมีใจเก็บความคิดนั้นไว้ ต้องมีใจบังเกิดความเคารพนบนอบ เกรงกลัว ไม่ควรเจาะใจคิดเอาแต่บุญวาสนาตอบสนองตนเอง  เพราะว่ามหาเมตตาเกิดความเสมอภาคจึงได้ชื่อว่าพระพุทธะ ซื่อตรงไม่เอนเอียงจึงได้ชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นคนที่เห็นแก่ตัว หวังบุญวาสนาตอบสนองต่อตนเอง จะมีเหตุผลหรือที่ฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะประทานบุญวาสนาเพียงเพราะเห็นแก่สินบนลาภสักการะ ?.  ถ้าอ้างตามเหตุผลแล้วตนต้องทำสุดใจคือ ทำความดีทั้งหลายอย่างมากมาย ภักดีกตัญญูมีสัจจะต่อเพื่อน  รักพี่รักน้อง  สงสารคนจน รักคนชรา  ช่วยเหลือบรรเทาเคราะห์  งดเว้นการฆ่าสัตว์  ปลดปล่อยชีวิตอันเป็นบุญกุศลลับ ให้ความสะดวกต่อทุกอย่าง  สุดแต่ความสามารถตามพลังของตนที่จะทำได้ ทำไปจนสุดความสามารถบุญกุศลที่ทำแบบนี้ ก็จะซาบซึ้งต่อฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะประทานบุญวาสนามาให้เอง ถ้าไม่ยอมทำดีแล้ว เพียงแค่บนบานด้วยใจที่แบ่งแยก อย่างนี้จะเป็นสภาพใจที่ต่ำทราม เป็นเรื่องชั่ว  และก็เป็นการสบประมาทต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย !  จึงบอกกล่าวให้ชาวโลกรู้ไว้ควรจะมีหลักธรรมแห่งสัจจะ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่ หก คัมภีร์ : ทำทานแล้วเสียดาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/06/2012, 03:39
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำทานแล้วเสียดาย

อธิบาย   :  ภายหลังการให้ทานแล้วรู้สึกเสียดาย เรื่องการให้บริจาค เป็นการสร้างกุศลที่รวดเร็ว แต่ต้องมีความยินดี มีความสบาย มีความสุขกับกุศล โดยไม่เบื่อหน่ายจึงจะก้าวหน้า แม้นว่ากำลังเงินของตนจะไม่เพียงพอก็ตามก็ต้องมีใจยินดีในการบริจาค การกระทำเช่นนี้เป็นการขจัดความตระหนี่ถี่เหนียวของใจ เพื่อไม่ให้ใจดำริขึ้นแต่แรกต้องห่อเหี่ยวดับไป ยังไม่ทันได้บริจาคทานก็คิดเสียดายก่อน จึงทำให้หมดโอกาสการบริจาคทานไป ถ้าหากบริจาคทานแล้วเกิดเสียดาย ก็จะไม่ไปบริจาคอีก ใจคอแบบนี้เหมือนความกรุณาถูกปล้นทำร้ายธรรม นี่ก็เป็นรากเหง้าของใจที่ป่วย ท่านไท่ชั่ง จึงไม่เขียนเรื่องทำความดีโดยบริจาคของคนด้านนี้ แต่ชี้ให้เห็นถึงคนที่บริจาคแล้วนึกเสียดายว่ามีโทษบาปอย่างไร เป็นเพราะอริยเจ้าสรรเสริญก็คือการแก้ไขความผิดเป็นคนดี และน่าเบื่อที่สุดก็คือ ผู้ที่ทำดีไม่ตลอด !  เมื่อศึกษาค้นคว้าของใจแรกเริ่มของเขาที่ภายหลังให้ทานแล้วรู้สึกเสียดาย เป็นคนที่ไม่จริงใจที่ยินดีต่อการทำดีเป็นเพียงแค่ชั่ววูบที่ดีใจ อยากได้ชื่อดี และก็หวังได้แต่บุญเท่านั้น เพราะฉะนั้นพอเริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว ทำอย่างไรจึงไม่รู้สึกเสียดาย ?. หากมีความจริงใจที่จะบริจาค เป็นผู้ที่ฝึก "ทั้งเขาและเราล้วนว่าง"  ก็คือ ภายในไม่พบตัวฉันผู้ให้บริจาค ภายนอกไม่เห็นตัวเขาผู้รับบริจาค ท่ามกลางไม่เห็นทรัพย์สินสิ่งของที่บริจาค ทำได้แบบนี้ก็ย่อมไม่เกิดทำทานแล้วเสียดาย ถ้าหากให้ทานแล้วนึกเสียดาย คนที่ทำดีจะต้องใส่ใจ จริงใจไปพิจารณาตนเองที่บังเกิดใจจะทำความดี ! 

นิทาน   :  นายหูหยาเป็นผู้ยินดีในการให้ทาน หน้าบ้านจะมีขอทานเต็มไปหมด เขามักพูดกับคนทั่วไปว่า "ทรัพย์สินในโลกนี้เป็นสิ่งไม่แน่นอน วันนี้ร่ำรวยแล้ว วันข้างหน้าก็เปลี่ยนเป็นคนจนแล้ว เหมือนวงกลมที่เคลื่อนไหว !  ถ้าหากไม่ให้ทานสักวันหนึ่ง ฉันก็ไม่มีความสุขวันหนึ่ง !" ผู้คนในสมัยนั้นก็มีคำคมพูดกันว่า "ไม่เป็นเศรษฐีเหมือนนายค่วนซิ่ง ขอเป็นยาจกเหมือนนายหูหยา"  (นายค่วนซิ่ง เป็นเศรษฐีที่ตระหนี่ต่อการให้ทาน)  ต่อมานายหูหยาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงซั่งซุ ลูกหลานของเขายิ่งร่ำรวยมาก

นิทาน   :  นายซีไป่ซันยากจนมาก  บังเอิญเห็นนักพรตคนหนึ่งกำลังบริจาคอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ไม่มีร้านค้าให้ทาน นายซีไป่ซันก็คลำหาที่เอว ในถุงเงินเหลือเพียงอีแปะเดียว ก็ให้ทานแก่นักพรตไป คืนวันนั้นก็ฝันเห็นนักพรต ช่วยขจัดเนื้องอกที่หน้าผากเขาพอตื่นขึ้นมาก็ปรากฏว่า เนื้องอกบนหน้าผากหลุดออก  หนึ่งอีแปะของซีไป่ซัน ยังทำให้เขาพ้นทุกข์จากโรคจะเห็นได้ว่า การให้ทานไม่ใช่อยู่ที่เงินจำนวนมากน้อย  หากแต่อยู่ที่จริงใจให้ทาน !  ชาวโลกควรจริงใจ ขยันทำดีให้ทาน ไปเตือนชาวบ้านช่วยกันทำก้อาจจะช้าไปแล้ว นับประสาอะไรกับการให้ทานแล้วนึกเสียดายเล่า
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ยืมทรัพย์ไม่คืน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/06/2012, 04:18
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ยืมทรัพย์ไม่คืน

อธิบาย   :  หยิบยืมทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่น เมื่อตนมีแล้วไม่ยอมคืน การหยิบยืมเป็นเรื่องปกติ ไม่มีแล้วช่วยเหลือสงเคราะห์เร่งด่วน นับเป็นเรื่องที่ดี การยืมของเขา ๆ ก็เป็นผู้มีพระคุณต่อเรา ถือไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วจะอาศัยอิทธิพลแข็งกร้างคดโกงไม่ยอมคืนหรือต้องรู้หลักธรรมที่ว่า ถ้ายังมีหนี้เก่า ตายแล้วก็ต้องยังชดใช้เขา โทษเบาก็ไปเป็นบ่าวไพร่ ถ้าโทษหนักก็ไปเกิด เป็นวัว เป็นควาย เป็นหมาบ้านเขา เป็นการชดใช้หนี้ที่ตัวเองติดเขา  ถ้าหยิบยืมข้าวของคนอื่น ควรใส่ใจถนอมดูแล การยืมของคนอื่นเป็นเรื่องเสียไม่ได้จึงไปยืมเขา เมื่อยืมมาแล้วใช้แล้วก็ต้องรีบนำไปคืน ทำแบบนี้ผู้อื่นจะได้สบายใจด้วย ตลอดจนการยืมเงินก็ต้องใช้คืนเขาให้หมด  คนปัจจุบันยืมเงินเขาแล้วไม่ให้ กลับไม่คิดว่าเงินนี้ไม่ใช่ของตัวแม้จะเก็บไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องให้เขา เก็บไว้กลับจะเป็นภาระหนี้เพิ่มเสียอีก แบบนี้จะดีสำหรับตนเองอย่างไร ?.  ขอให้พวกเราคิดให้ดี ๆ

นิทาน   :  ในสมัยชิง รัชสมัยฮ่องเต้คังซี ในฤดูใบไม้ร่วง มีชาวปักกิ่ง บ้านนายจางหยวน ได้เลี้ยงล่อไว้ตัวหนึ่ง มันสามารถวิ่งได้ 200 ลี้ต่อวัน แต่เจ้าล่อตัวนี้ชอบเตะคนและกัดคนด้วย มีแต่นายจางหยวน 3 คนพ่อลูกที่สามารถขี่ได้  ส่วนคนอื่นมันจะไม่ยอมให้ขี่เลย มีอยู่คราวหนึ่ง มีคนแซ่หยางอยากยืมล่อขี่สักหน่อย พูดแล้วก็แปลก เจ้าล่อตัวนี้ก็ยอมที่จะให้นายหยางขี่โดยดี จนกระทั่งกลับ ในคืนนั้นนายหยางก็ฝันว่า มีคนใส่เสื้อสีดำพูดกับเขา ว่า "ฉันคือเจ้าล่อที่อยู่ในบ้านจางหยวน ชาติที่แล้วฉันยืมเงินคุณไปสามร้อยยังไม่ได้ใช้คืน ในชาติปัจจุบันฉันควรชดใช้คืนคุณ แต่เมื่อวานนี้ฉันวิ่งมาทั้งหมดสองร้อยแปดสิบลี้แล้ว ฉันจึงมาขอร้องให้คุณช่วยขี่ฉันอีกยี่สิบลี้ ก็จะเป็นการหมดหนี้กัน !"  นายหยางจึงถามว่า แล้วเธอเป็นหนี้บ้านตระกูลหยางเขาเท่าไหร่ละ ?" คนใส่เสื้อดำก็ทำหน้าอมทุกข์แล้วพูดว่า "มากๆๆ จนพูดไม่ถูก"  หลังจากนายหยางตื่นแล้วก็ไปยืมล่อบ้านจางหยวนมาขี่อีก วิ่งไปได้ระยะทางไกลพอสมควร ทันใดเจ้าล่อก็กระโดดขึ้นมา จนทำให้นายหยางตกลงมา นายหยางคำนวนระยะทางดูก็ได้ประมาณยี่สิบลี้ จึงพูดกับเจ้าล่อด้วยความรู้สึกที่จริงใจว่า "ฉันเข้าใจถึงเหตุอาการที่เธอไม่ยอมให้ขี่อีก"  แต่ว่าระยะทางก็ห่างจากบ้านฉันถึงสิบลี้ถ้าหากฉันไม่ขี้เจ้าแล้วฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร ?  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ฉันขี่เธอกลับถึงบ้าน แล้วฉันก็จะไปซื้อหญ้าด้วยเงินสิบอีแปะให้เธอกินดีไหม ?.  เจ้าล่อยืนอยู่ตั้งนานแล้วก็ยอมให้เขาขี่กลับบ้าน หลังจากนั้นนายหยางก็แกล้งที่จะขี่มันอีก แต่พอเข้าใกล้อานบนหลังมันเท่านั้น เจ้าล่อก็จะเตะเขา และกัดเขาด้วย ทั้งยังร้องเสียยาวไม่หยุดด้วย ! 

อธิบาย   :  คุณจูไจ้อันพูดว่า "คนเป็นหนี้เพราะยากจน แต่บางคนรวยก็ยังเป็นหนี้"  คนจนเป็นหนี้เพราะไม่มีปัญญาใช้หนี้  ถ้าพูดตามหลักวินัยสูตร ถ้ามีความจริงใจคิดอยากจะใช้หนี้แล้ว แบบนี้ก็จะไม่มีบาป แต่กับคนที่มีเงิน แต่ไม่ยอมใช้หนี้ถ้าไม่เป็นเพราะใช้อิทธิพลข่มขู่ก็ต้องเป็นผู้สูญเสียมโนธรรมหลักธรรมฟ้ามืดมัว แน่นอน ! ต้องรู้ว่าการเป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืนก็ต้องชดใช้หนี้เขาทุก ๆ ชาติไปจนกว่าหนี้จะหมดค่อยยุติกัน !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ไม่เจียมตนหานอกลู่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/06/2012, 03:27
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ไม่เจียมตนหานอกลู่

อธิบาย   :  ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานส่วนตนหากินนอกลู่นอกทาง  เป็นเพราะคนไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของตนเอง มักคิดว่าการมุ่งเสาะแสวงหาเอาก็คงจะได้ประโยชน์ แต่ไม่เคยคิดว่า ความร่ำรวยยากจนของคนล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว ดวงชะตาไม่มีจะไปเสาะหาเอานอกลู่นอกทางได้อย่างไร ใจฟุ้งซ่านคิดโลภเผื่อจับพลัดจับผลู หวังได้มันไม่มีประโยชน์แต่อย่างไร แต่เกรงว่าการทำเช่นนั้นจะบั่นทอนบุญวาสนา ทำไมไม่ไปเรียนรู้คำพูดของท่านเมิ่งจื่อที่ว่า "การแสวงหาโดยธรรมการได้โดยดวงชะตา"  กับประโยคของท่านฮุ่ยเหนิงที่ว่า "เนื้อนาบุญทั้งหลาย ไม่เกินเลยแม้เพียงนิ้ว"

นิทาน   :  ในสมัยถังปีแรกในรัชสมัยฉางซิ่ง นายเฟยผูผู้คุมเรือนจำจื่ออัน อำเภอซินผิงตายไปแล้ว ฮัวหยวนลูกพี่ลูกน้องของเฟยผู ขณะมาเป็นแขกที่เมืองหลงอิ่ว เขาไปเจอะเจอข้าราชการฝ่ายบู๊ คนหนึ่งบนถนนมีผู้ติดตามมากมาย พอเพ่งดูดี ๆ ข้าราชการผู้นั้นเป็นนายเฟยผู !  นายฮัวหยวนทั้งตกใจทั้งดีใจพูดกับเขาว่า "ท่านได้ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ?.  ทำไมจึงมารับตำแหน่งฝ่ายบู๊เล่า ?.  นายเฟยผูตอบว่า "หน้าที่ปัจจุบันของข้า คือ  เป็นทูตผู้ชำระปัดถูแห่งเมืองเสฉวน มีหน้าที่ควบคุมจัดการทรัพย์สินของมนุษย์ ยังมีกำหนดในดวงชะตาอยู่แล้วนับประสาอะไรกับเงินทอง !  ที่ยมโลกมีบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นการได้มาของเงินทองแต่ละคน ล้วนมีกำหนดแน่นอน ถ้าหากมีเงินเกินเลยตามกำหนดก็จะถูกชำระปัดกวาดออก หรือถูกตนเองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายทิ้งขว้าง หรือได้ประสบกับเคราะห์ภัย หรือทำการค้าลงทุน จนขาดทุน หรือเจ็บป่วยจนใช้จ่ายหมดตัว เหล่านี้ล้วนถูกควบคุมโดยข้าด้วยการชำระปัดถูกวาดล้าง ในโลกมนุษย์ ชาวนาที่อดทนขยันไถหว่านเพาะปลูกได้ธัญหาร  พ่อค้าขยันทำกการค้าจนเก็นหอมรอบริบได้ บัณฑิตที่ขยันมั่นเรียนจนได้ตำแหน่ง ได้เบี้ยหวัดบำนาญ  เป็นต้น  ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานส่วนตนที่ได้ทรัพย์มา ทั้งไม่ได้เพิ่มเติมเงินทองนอกลู่นอกทาง ถ้าหากไม่ขยันขันแข็งแล้ว แม้ในพื้นดวงที่ตนมีอยู่ก็ยังอาจสูญไปด้วยเลย !  นี่เธอจะมาเจอะเจอข้า นี่ก็มีในกำหนดการเธอควรจะได้ับทองคำ 2 ชั่ง หากเธอได้ทองเกิน 2 ชั่ง ที่เกินไปก็จะถูกชำระกวาดทิ้งเพราะฉะนั้น ข้าก็จะไม่ให้เธอเกิน 2 ชั่งล่ะ !  พอพูดจบก็ไม่เห็นเฟยผูเลย

นิทาน   :  นายหลิวเป้ยเขียนบทความได้ดีมาก และคิดว่าตนเองน่าจะสอบเอาตำแหน่งราชการได้ ประจวบกับพระเจ้าอวี่เซิ้นเจินจวินลงประทับญาณที่เขาจงหนาน ดังนั้นนายหลิวเป้ย จึงเข้าไปกราบถามถึงอนาคตการสอบเอาตำแหน่งของตนกับท่านเจินจวิน ๆ ตอบว่า "ถึงแม้บทความของเจ้าจะดี แต่ดวงชะตาของเจ้าน้อยมาก  เจ้าน่าจะเจียมตนถอนตัวอยู่ในความสงบจะดีกว่าไปแสวงหานอกลู่ก็จะรักษาชีวิตในช่วงที่เหลือได้ ถ้าหากมัวไปแสวงจนเกินเลยก็จะทำให้ชีวิตของเจ้าสั้น !"  หลิวเป้ยไม่ฟังคำของพระเจ้าอวี่เซิ้นเจินจวิน สุดท้ายก็สอบไม่ได้ วิ่งเต้นเกินเลยจนตายไป

อธิบาย   :  ควรรู้ว่าเรื่องของการสอบเอาตำแหน่งเป็นเกียรติที่ทำให้บรรพชนมีชื่อเสียง และบุญวาสนาของบรรพชนคุ้มครองลูกหลาน ซึ่งไม่อาจใช้วิธีทุจริตหรือเล่ห์เหลี่ยมไปแสวงหาเอาได้ มีแต่ต้องสั่งสมบุญกุศลเอาเท่านั้น  ในความมืดก็จะได้รับตำแหน่งเอง อย่างนี้มิใช่การแสวงหานอกลู่ !  กับเงินทองแล้วหลักธรรมก็อย่างเดียวกัน 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : ใช้จนสุดอำนาจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/06/2012, 03:50
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้จนสุดอำนาจ

อธิบาย   :  การใช้พลังความสามารถของตนจนสุดอำนาจ  หาวิธีการใช้อำนาจ  ใช้อิทธิพลจนหมดใจ โดยไม่เหลือทางข้างหลัง (หลังติดฝา) ถ้าอิทธิพลยังใช้ไม่หมดก็จะไม่ยอมหยุด ดังคำพังเพยที่ว่า  "กางใบเต็มที่แล้วยังเพิ่มแปดฝีพาย" ตัวอย่างเช่น ข้าราชการที่ใช้อำนาจหน้าที่ใช้อิทธิพลบังคับเค้นเอาจากประชาชน  คนร่ำรวยก็ใช้อำนาจอิทธิพลต่อคนจน ตลอดจนมนุษย์ใช้แรงบังคับสัตว์ เหล่านี้ล้วนละเมิดศีลของท่านไท่ซั่งทั้งนั้น เช่น ใช้แรงงานวัว ควายไถนา  ม้าล่อใช้ขี่ลากรถเป็นต้น  ไม่ควรใช้มันจนสุดแรง สัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนี้ที่ต้องมาชดใช้กรรมทั้งนั้น ควรที่จะให้ความรักดูแลมัน สงสารมัน  เวลาใช้งานก็อย่าใช้จนหักโหมเต็มที่  จะพูดว่า "มันเป็นสัตว์จะต้องทำตามความต้องการของฉันอย่างนั้น"  ไม่ถูกต้อง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง  นายซีเซี้ยนตู้ มีหน้าที่ดูแลรับใช้ท่านเศรษฐี  ฮ่องเต้ลี่อู๋มีคำสั่งให้เข้าไปคุมงานก่อสร้าง เขาเป็นคนที่เข้มงวด และโหดเหี้ยม  ไม่ฟังเหตุผล  เขาไม่ฟังคนงาน  ถ้าไม่พอใจก็ทุบตี ไม่ว่าอากาศจะหนาวร้อน ฝนตกหิมะตก เขาก็ไม่ยอมให้คนงานหยุดงาน คนงานจำนวนมากรับความทารุณไม่ไหว ถึงกับฆ่าตัวตาย หลังจากเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ฮ่องเต้จึงสั่งลงโทษประหารชีวิตเขา

นิทาน   :  นายฮัวถิงเฉียน บัณฑิตชาวเห้อทัน เขาสร้างบ้านที่หลินเซี้ย พวกคนงานก็ให้รู้สึกเบื่อหน่ายเจ็บปวด คนในหมู่บ้านก็เหน็ดเหนื่อยตาม ๆ กัน จนเจ็บป่วย มีคนงานอีกคนหนึ่งไม่ยอมทำงานอีกต่อไป บัณฑิตเฉียนก็ดุด่าว่าเขาด้วยความโกรธ  คนงานก็พูดว่า "สมัยก่อนที่นายหวงถีสิงที่สร้างบ้าน ตอนนั้นฉันเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ก็เหนื่อยจนล้มป่วย ตอนนี้บ้านนายหวงถีสิงก็ผุกร่อน กำแพงพังแล้ว แต่การเจ็บป่วยของข้ายังไม่หายดี เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่กล้ารับงานนี้ !" บัณฑิตเฉียนได้ฟังแล้วก็แจ้งประจักษ์ รีบหยุดงานทันที !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : เสพกามเกินเลย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/06/2012, 04:02
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔
                 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 
                           วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 
                                       บทที่หก
                                        ชั่วบาป 
                             คัมภีร์   :  เสพกามเกินเลย

อธิบาย   :  สามีภรรยามีกิจกรรมในห้องบ่อย ๆ เกินเลยกว่าปกติ เกินขอบเขต บาปกรรมจากการละเมิดกามซึ่งท่านไท่ชั่งได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้ว มาในเรื่องกิจกรรมทางเพศระหว่างสามีภรรยาควรจะมีการยับยั้งด้วย ถ้าจะพูดเรื่องกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาไม่ใช่เรื่องละเมิดกามแล้วละก็ เรื่องเคราะห์ภัยกับการฆ่าตัวตายที่เกิดจากความใคร่จะขจัดปัดปเ่าได้อย่างไร เพราะร่างกายมนุษย์ ถ้าความใครกำหนัดเกิดขึ้น ทั้งปราณและโลหิตจะถูกกระตุ้นให้ไหลเวียนรุนแรง ทำให้สูญเสียพลังชีวิตไปมาก หากไม่มีการยับยั้งแล้ว ก็เปรียบเหมือนน้ำในหนองบึงที่หลั่งไหลออกไปจนแห้ง เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก !  ถ้าหากคนสามารถสงวนพลังไว้ได้มาก พลังชีวิตก็สมบูรณ์ ประสาทก็กระปรี้กระเปร่า ความคิดอ่านปัญญาก็เกิด คนก็จะฉลาดแข็งแรง จะทำกิจการใดก็สำเร็จ ถ้าหาก
อยู่ในวัยหนุ่มสาวหมกมุ่นอยู่กับทางเพศ จนสูญเสียพลังชีวิตหมดไป ความเก่งฉกาจฉกรรจ์ก็หมดไป ชั่วชีวิตก็ไม่มีความเจริญในหน้าที่การงานเลย ! 
        การเจ็บป่วยตลอดชีวิตก็เริ่มจากการแต่งงาน เพราะว่าอายุยังน้อยไม่มีความรู้ อารมณ์เพศไม่รู้จักยับยั้ง  สุดท้ายก็ป่วยด้วยโรคตรากตรำ ถ้าหากร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็ทำให้อายุสั้น ทำให้ลูกเมียเป็นกำพร้า ต้องทุกข์กับการเป็นหม้าย ความคิดจะอยู่ถึงไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพ็ชร ที่จะอยู่คู่ภรรยาไปยาวนาน ก็จงอย่าให้ติดเชื้อโรคซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งภัยจากการเริ่มต้นของชีวิตแต่งงาน เพราะฉะนั้น คนที่เป็นพ่อ พี่ชาย ถ้าหากลูกหรือน้องแต่งงาน ก็ควรที่จะสั่งสอนให้เขารู้จักการยับยั้งเสพกาม
        คำพังเพยว่า  "สุขถึงที่สุดโศกเศร้าเกิด  ตามใจความใคร่เกิดโรค"  อีกคำ  "เลือดลมไม่สะดวก ห้ามเสพกาม"  ผู้เฒ่าเพิงว่า "ผู้สูงอายุให้แยกเตียงผู้กลางคนแยกห่มผ้า  ทานยาร้อยขนานสู้นอนคนเดียวไม่ได้"  พุทธองค์ว่า  "รูปหญิงเป็นรากเหง้าของสรรพทุกข์ เป็นรากเหง้าของอุปสรรค  เป็นรากเหง้าของการฆ่าแกง  เป็นรากเหง้าของเศร้าโศก"  พระสูตรหวงถิงจึงว่า "รีบสงวนอสุจิ อย่ามัวหลั่ง ปิดกั้นรักษาไว้อยู่ยืนยาว"  การเสพความใคร่เป็นสาเหตุให้คนสูญเสียจิตเดิม สูญเสียชีวิต มีบางคนได้รับการบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว บางคนทั้ง ๆ รู้ถึงผลร้ายของการเสพใคร่แต่ก็ไม่ยอมยับยั้ง นี่แหละทำให้อริยเจ้าปราชญ์เมธีจึงตักเตือนผู้คนอย่างจริงใจ และปลุกตื่นรู้สาเหตุอยู่ที่ไหน ! 
        คนสามัญที่ไม่รู้อันตรายของมัน ก็จะปล่อยปละตามใจความใคร่ ดังนั้น ไอคาวแห่งการเสพกาม ผีเทพสัมผัสได้จึงโกรธ เคาะห์ภัยอัปมงคลจึงเกิดขึ้นขอให้ชาวโลกสามารถยับยั้งและอดทน ก็จะมีชีวิตยืนยาวและสุขอนามัยได้ประโยชน์ มิฉะนั้น การเสพความใคร่ ก็คือการถวายชีวิต คนแบบนี้ไม่มีทางช่วยได้เลย ท่านเหยินฮุยก้ง ในวัยชราร่างกายกลับแข็งแรงมีคนถามเขาถึงวิธีดูแลสุขภาพ คุณเหยินตอบว่า เป็นเพราะข้าได้อ่านหนังสือเหวินช่วน จึงเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง"  ในเหวินช่วนกล่าวว่า "ก้อนหินหากมีเนื้อหยกงามซ่อนอยู่ภายใน ก็จะทำให้สีสันของภูเขาดูสดใส ในน้ำหากมีอัญมณีซ่อนไว้ก็จะทำให้สีสันของสายน้ำอ่อนไหว นี่แหละคือเหตุผล"  ท่านเฉินอีชวนคิดว่า "คนถ้าปล่อยตามอารมณ์ใคร่โดยไม่ห่วงสุขภาพเป็นเรื่องที่น่าละอาย เพราะฉะนั้น เมื่ออายุถึง 70 ปี เลือดลมพลังปราณของเขาก็ยังแข็งแรงเหมือนตอนอายุหนุ่ม ๆ ตอนที่ท่านลีเจียะเหนียนอายุ 100 ปี ผิวพรรณหน้าตาดูเหมือนวัยเด็ก มีคนถามเขาว่ามีเคล็ดลับอะไร ?.  เขาพูดว่า "เป็นเพราะข้าตัดความใคร่ตั้งแต่หนุ่ม ๆ " ส่วนคุณหลิวหยวนเฉินตอนอายุ 80 ปี ร่างกายของเขายังแน่นแข็งปึงปั๋งอยู่เลยเขาพูดว่า ข้าตัดความใคร่ได้ 30 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น เลือดลมประสาทก็ยังเหมือนเดิม  ภิกษุจุ่นเจียงอายุกว่า 90 ปีแล้ว เขาสามารถเดินทางไกลได้ ฝีก้าวดุจบิน อีกทั้งผมเคราก้ไม่ขาว เขาว่าไม่มีวิธีการอะไรเพียงตอนหนุ่ม ๆ เขาก็ตัดความใคร่ลงแล้ว  จางชุ่ยชาวเมืองไท่ชั่ง อายุกว่า 90 ปีแล้ว เขายังตาดีหูดีอยู่ เขายังวาดรูปได้ มีคนถามถึงสาเหตุ เขาตอบว่า "ตลอดชีวิตใจใคร่อยากจืดชืด ควบคุมเรื่องความใคร่เท่านั้น"
        ควรรู้ว่าเมื่อยามชรายังมีสุขภาพแข็งแรง เป็นความสุขอันแรกของมนุษย์ ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะการควบคุมการเสพกามให้น้อยนั้นเอง คนทั่วไปจะฝึกเอาอย่างก็ไม่เป็นเรื่องยาก  ท่านเพิ่งจูกล่าวว่า "หนึ่งเดือนหลั่ง 2 ครั้ง ในหนึ่งปีก็ยี่สิบสี่ครั้ง นี่คือวิธีการควบคุมความใคร่"  ซู้หนี่กล่าวว่า "เมื่อคนมีอายุ 60 ปีแล้ว ต้องหยุดรักษาไม่ให้มีการหลั่ง เป็นวิธีที่ระมัดระวังหักห้าม"  สำหรับอาตมาว่าท่านเพิ่งจูกับซู้หนี่เป็นคนสมัยโบราณ ความหนักที่ฟ้าปางก่อนประทานให้มีมาก เพราะฉะนั้น จึงพูดแบบนี้ได้ แต่ในยุคปัจจุบันลมฟ้าเบาบางแบบนี้ จึงไม่สามารถเอาคำพูดของท่านเพิ่งจูและซู้หนี่เป็นแบบมาตรฐาน โดยเฉพาะคนที่มีปราณค่อนข้างอ่อนแอยิ่งต้องเพิ่มทวีในการควบคุมระมัดระวังยับยั้งมากยิ่งขึ้น ! 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง มีชายหนุ่มแซ่อวี่ เมืองเอ้อโจ หน้าตารูปหล่อ มีการศึกษาเขาค่อนข้างดีมีชื่อเสียง อายุยังไม่ถึง 20 ก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ ทางราชสำนักส่งไปรับตำแหน่งที่เมืองซ่งเจียง ญาติพี่น้องพากันอิจฉา แต่เพราะเขาชอบเสพกามมาก มีภรรยานับสิบคนที่งดงาม ทุกวันก็ปล่อยอารมณ์ใคร่ไม่ยับยั้ง ไปทำงานที่ซ่งเจียงเพียงเดือนกว่า ๆ เท่านั้นก็ตายไป บรรดาภรรยาก็ไปแต่งงานใหม่       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : เสพกามเกินเลย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/06/2012, 14:36
บทที่ 6 ชั่วบาป : เสพกามเกินเลย

นิทาน :  นายขื่นอู่เซิง เติบโตหน้าตาดี แต่ชอบเสพกาม มีคืนหนึ่งเขาฝันว่า  พระศาลหลักเมืองดุด่าเขา ทั้งยังตรวจนับจำนวนที่เขาเสพกาม ได้ลงโทษตีเขาไปหลายสิบไม้ หลังจากขื่นอู่เซินตื่นขึ้นมา พบว่าขาทั้งสองข้างเขียวคล้ำ แล้วก็เริ่มเน่าเปื่อย เขาป่วยอยู่ราว 1 เดือนก็ตาย

อธิบาย :  "ละเมิดกามเป็นบาปหนักอันดับหนึ่ง  ความกตัญญูเป็นความดีอันดับหนึ่ง"  เป็นคำพูดของท่านยมบาล จะเห็นได้ว่าแม้แต่ผีเทพก็พอใจกับความกตัญญู แต่ไม่พอใจกับการละเมิดกามเป็นอย่างยิ่ง กฏหมายในโลกอาจมีช่องโหว่ แต่ยากที่จะรอดพ้นจากกฏในยมโลก มนุษย์ทำไมต้องไปละเมิดบาปที่ผีเทพไม่พอใจจนต้องถูกลงโทษ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่โบราณมาแล้ว พวกที่ลุ่มหลงจมปลักอยู่กับนารี ไม่มีหรอกที่ต้องตายลง แม้แต่คนแก่ยิ่งไม่สมควรแต่งหาหญิงสาวมาเป็นเมีย เพราะเมื่อเราดูแลเธอไม่ได้ เธอก็จะโกรธมากและแค้นอย่างยิ่ง อารมณ์แค้นที่สั่งสมก็จะทำลายบุญกุศล โดยเฉพาะคนวัย
หนุ่มอารมณ์ใคร่ควบคุมลำบาก ถ้าหากมันยุติกันไม่ได้แล้วจะควบคุมอย่างไร ?. นับประสาอะไรกับผู้ใหญ่อายุมากเหมือนอาทิตย์กำลังตกดิน ชีวิตของตนยามแก่ก็รักษาให้อยู่ได้ยากแล้ว ยังจะดิ้นรนที่ให้ยมทูตมาเร็วขึ้น ลากตัวไปพบยมบาลเร็วขึ้น จะให้โง่ปานนั้นหรือ ?.

เตือนสติ :  หลังจากร่วมเพศระหว่างสามีภรรยา หรือฝันเปียกภายใน 3 - 5 วัน ไม่ควรลงน้ำเย็น เช่น อาบน้ำเย็น ทั้งยังไม่ควรทานข้าวเย็น หรือดื่มของเย็น  หรือยาเย็น  แต่ถ้ามีไข้ต้องกินยาเย็นแล้วควรบอกหมอให้ชัดเจน ฤดูร้อนก็อย่าโลภอยู่ในที่เย็น ๆ  ฤดูหนาวก็ไม่ให้ตากลมฝน ถ้าหากละเมิดกฏข้อห้ามเหล่านี้แล้ว ไปมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายก็อาจมีเพศเสื่อมง่าย  ผู้หญิงก็มีถันเหี่ยว  ถ้าหากมีแขนขาหนาวเย็น ปวดท้องก็ถึงตายได้ ถ้าสามีภรรยาไม่ระมัดระวังป้องกันรักษาข้อห้าม หญิงมีครรภ์ก็แท้งลูก เพราะฉะนั้น มักจะเห็นว่ามีครรภ์ได้แค่ครึ่งเดือนก็แท้งลูกเสียแล้ว โดยไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ถ้าหากมีการแท้งอยู่หลายครั้งก็จะทำให้ตับอักเสบ ตลอดชีวิตก็จะไม่มีครรภ์  วิธีป้องกัน ภายหลังที่ตั้งครรภ์ สามีภรรยาต้องแยกเตียงหรือหยุดมีเพศสัมพันธ์ จึงจะไม่แท้งลูก ถ้าหากตั้งครรภ์แล้วยังมีเพศสัมพันธ์อีก ถ้าโชคดีลูกเกิดขึ้นมาก็มักจะอ่อนแอเลี้ยงให้โตยาก เพราะได้รับบาดเจ็บขณะอยู่ในครรภ์ เพราะฉะนั้น สามีภรรยาต้องระมัดระวัง จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานในภายหลัง มีบางคนคิดอยากได้ลูกถึงกับใช้ยาปลุกกำหนัด หรือใส่ยาเม็ดเข้าไปในมดลูก วิธีการไม่ถูกต้องเหล่านี้ ไม่มีทางได้ลูก ยังเป็นการสร้างบาปทำลายกุศล ทำลายร่างกาย เหตุผลเหล่านี้ ควรที่คนเป็นพ่อ แม่จะพูดให้ลูกชายลูกสะใภ้เข้าใจ ดังนั้นการพูดให้พวกเราเข้าใจก็หวังให้พวกเรารักถนอมร่างกาย และรักลูกรักสะใภ้ให้แข็งแรง  ท่านอริยเจ้าซุนกล่าวว่า ร่างกายของคนสำเร็จด้วยเลือดลม ไม่ใช่เหล็กไหลทองแดงสร้างขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ควบคุมความใคร่ในตอนเริ่มต้นจะไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร แต่นาน ๆ ไป บาดเจ็บสะสมเพิ่มก็จะทำลายไขกระดูก เลือดลมเสื่อมสุดท้ายก็ล้มตาย  เพราะว่าเลือดลมของคนต้องทะลุผ่านด่าน 6 ด่าน  (อาทิตย์มาก  อาทิตย์สว่าง  อาทิตย์น้อย  จันทร์มาก  จันทร์น้อย  และจันทร์มืด  6 ด่าน)  จึงได้ครบวงจรเลือดลม จึงเดินครบวงจรหนึ่งรอบ  ดังนั้น การร่วมเพศครั้งหนึ่ง เลือดลมจะถูกกระทบหนึ่งด่าน จึงต้องรอถึงเจ็ดวัน เลือดลมจึงเดินมาถึงด่านนี้ แล้วก้เริ่มต้นใหม่ ในตำราอี้จิงว่า "เจ็ดวันเวียนครบ"  ก็คือต้องการให้คนนี้ต้องพักผ่อน 7 วันนั่นเอง แต่หลายคนยังไม่ทันถึง 7 วันก้มีเพศสัมพันธ์อีก  จึงทำให้บาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก ดังนั้นจึงมีโรคต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีการควบคุมเป็นพื้นฐานการรักษาร่างกายให้มีสุขภาพ  อายุ 20 ปีเพศสัมพันธ์ 7 วันครั้ง  30 ปี 14 วันครั้ง  40 ปี 28 วันครั้ง  50 ปี 45 วันครั้ง   พอ 60 ปีแล้วไขกระดูกเลิกผลิตเลือดแล้ว ควรตัดขาดมีเพศสัมพันธ์ การร่วมเพศดังกล่าวให้ใช้จำเพาะฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น  ในฤดูร้อนอากาศร้อน ปราณไหลออกเกินเลย  ในฤดูหนาวลมปราณหนาวเหน็บก็จะปิดกั้น  ดังนั้น ใน 2 ฤดูนี้จึงไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ ถ้าทำตามวิธีนี้ได้ อายุจะยืน  ถ้าฝ่าฝืนจะมีโรคมาก อายุสั้น
        การรักษาร่างกาย  รักษาชีวิต  ระหว่างสามีภรรยามีข้อกำหนดห้ามตลอดจนฟ้าห้าม  ดินห้าม  คนห้าม  ใน "หนังสืออายุสุขภาพ"  มีรายละเอียดอธิบายชัดแจ้ง หากไม่ห้าม ไม่งดเว้น มีลูกไม่สมประกอบ ร่างกายไม่ครบ 32 ทั้งมีเคราะห์ภัย นับอะไรกับร่างกาย คนที่เลือดลมไหลเวียนซึ่งตอบรับกับฟ้าดิน ถ้าหากมีเพศสัมพันธ์ในเวลาที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ลมปราณเลือดไม่เข้ากัน เกิดการบาดเจ็บมากกว่าธรรมดา จึงต้องเข้มงวดกว่าปกติหลายเท่า แม้กระทั่งวันสำคัญ เช่น วันพระ  วันเทพสมภพของพุทธโพธิสัตว์ ถ้าหากสามีภรรยาไม่รักษาศีล ละเมิดเสพกามก็จะเป็นการละเมิดเหยียดหยามต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจได้รับโทษภัย ทั้งยังเสียกุศลด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ชาวโลกถึงแม้เป็นคนซื่อสัตย์ ถ้าละเมิดก้เจ็บป่วยอายุสั้น ตลอดจนตำแหน่งถูกริบถอดถอน ถูกตัดทอนอายุขัย  ทั้งหมดล้วนเกิดจากจริยธรรมของสามีภรรยา ในเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ไม่รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจทั้งนั้น     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก คัมภีร์ : หน้าซื่อใจอำมหิต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/07/2012, 17:04
บทที่หก ชั่วบาป  :  หน้าซื่อใจอำมหิต

อธิบาย   : 
คนจิตใจร้าย แต่หน้าตาดูดีมีเมตตา จิตใจคนร้ายกาจก็ทำให้คนเขาระวังลำบาก แล้วถ้ามีใบหน้าเหมือนคนใจดีมีเมตตาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คนคาดเดาได้ยาก คนเมื่อพบกับเสือสิงห์หรืองูก็ต้องหลบหลีกหนี ก็เพราะว่ามันดุร้าย แต่กับคนที่หน้าดีใจดำ เพราะเห็นหน้าก็ทำให้คนคิดอยากเข้าใกล้ แต่พอคนเผลอไม่ระวังก็จะปล่อยความร้ายกาจออกมา คนแบบนี้นับว่าน่ากลัวยิ่งกว่าเสือสิงห์เสียอีก คนแบบนี้ตายแล้วต้องตกนรกและก้เร็วยิ่งกว่าลูกศรออกจากคันเสียอีก ทุกชาติเขาต้องได้รับทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุดเลย ! 

นิทาน  :  นายฉั่วหยวนตู้จะต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้บางคนจะเป็นแขกที่เขาไม่ชอบก็ตาม แต่อากัปกิริยาที่เขาแสดงออกมาเหมือนผู้มีเมตตากับทุกคน ด้วยเหตุนี้ คนจึงคาดเดาความคิดของเขาไไม่ได้ ทุกคนจึงขนานนามเขาว่าหน้ายิ้มใจยักษ์ ต่อมาเมื่อเขาถูกไล่ออกจากข้าราชการและถูกเนรเทศไปอยู่ที่ทุรกันดารและตายไป คนแบบฉั่วหยวนตู้มีมากมายในสังคม เราต้องใช้ความซื่อสัตย์และจริยธรรมปฏิบัติต่อเขา ถ้าหากจะ
เอาแบบตรงไปตรงมาปฏิบัติต่อเขา เช่นดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายไป ถึงแม่เขาจะอันตรายโหดเหี้ยมก็ไม่มีทางจะทำอะไรเราได้ !   
        ท่านอูเถี่ยเจียว กล่าวว่า "คนที่สายตามองต่ำ ไม่พูดจา และที่ระหว่างคิ้วไม่มีวี่แววแห่งมงคลเมตตา นิ่งสงบแม้แต่น้อย เขาก็เป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยม คนแบบนี้คบเป็นเพื่อนไม่ได้ และต้องหลบหลีกให้ไกลไปเลย  สมัยก่อนมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง เขานอนหลับตอนกลางวัน จิตวิญญาณเคลื่อนออกทางจมูกกลายเป็นงูสีดำตัวหนึ่ง เลื้อยไปมาที่พื้น หลายคนเห็นมาแล้ว ต่อมาเมื่อพระสงฆ์ตายลง ร่างกายก็แตกแยกออกกลายเป็นงู ดังนั้น เวลาเราคบเพื่อนควรที่อยู่ห่างเอาไว้ก็คือคนพวกนี้ !  ถ้าหากเขาว่าพื้นจิตของเขาดุร้ายเช่นนี้เขาควรเจ็บปวดและสำนึกผิดเพื่อชำระล้าง ก็เหมือนหมอดีรักษาโรคฝีร้ายจะต้องดูดเอาหัวหนองแบบถอนรากถอนโคน จึงจะรักษาหายได้ คนแบบนี้เข้าสู่ทางธรรมไม่ได้ และเขาก็คงไม่ยอมทำตามนี้แน่อยู่แล้ว ทำอย่างไรได้ ! เรื่องมันน่าเศร้านะ !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ให้ของกินสกปรกเขา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/07/2012, 17:48
บทที่หก ชั่วบาป  :  ให้ของกินสกปรกเขา

อธิบาย   :
  ทำอาหารสกปรกขายหรือให้เขากิน อาหารที่สกปรกอาจเกิดจากการทำไม่สะอาด หรือมีหนูมีแมลงมาตอมกินหรือของค้าคืนในเดือนที่อากาศร้อนทั้งสีและรสก็เปลี่ยนไปแล้ว หรือตกค้างนานเกินไป หรือของกินเลยกำหนดจนเสีย เป็นต้น เมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคเจ็บป่วย หรือเอาอาหารสกปรกขายไปให้คนกิน คนอื่นต้องโกรธแค้น เทพเจ้าก็คงไม่ชอบเช่นกัน หรือไม่ก้พวกบ่าวไพร่ในบ้านทำของมากเกินไปจนกินไม่หมด แล้วเททิ้งในท่อหรือโถส้วม การกระทำเช่นนี้ถือมีโทษมาก !  โทษบาป  เหล่านี้กึ่งหนึ่งตกอยู่กับเจ้าของบ้าน ที่ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่ เพราะฉะนั้น ทั้งเขาและเราจึงต้องช่วยกันห้าม !

นิทาน :  ที่ตลาดเมืองหางโจวมีร้านอาหารขายห่านย่างแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าห่านถูกงูพิษรัดตัวจนตาย ก็ให้บังเอิญคุณครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งเห็นเข้า คุณครูคิดว่า "ถ้าห่านตัวนี้ขายให้คนเอาไปกิน คนที่กินต้องถูกพิษเป็นแน่"  ดังนั้นจึงซื้อห่านตัวนี้มา ตกลงราคากับเจ้าของห่านว่าเป็นเงิน 2 ร้อยอีแปะ ในตัวมีเงินอยู่แค่ร้อยอีแปะ ก็ไปขอยืมคนข้างบ้านอีกร้อยอีแปะ ซื้อห่านตัวนี้มา ทั้งสามก็เดินไปที่ว่างเปล่าเพื่อฝังกลบห่านตัวนี้ แต่ตอนขุดหลุมอยู่ก็ปรากฏพบเงินจำนวนหนึ่ง คนข้างบ้านก็พูดว่า "เงินจำนวนนี้ข้าเอามาซ่อนเอง"  เจ้าร้านขายห่านก็พูดว่า "เงินนี้ข้าเป็นคนมาทิ้งเอาไว้" ก็ให้พอดีปลัดอำเภอเดินผ่านมาจึงถามเอาความชัดเจน แล้วก็ถอนใจพูดว่า "นี่เป็นผลตอบสนองของคุณครูที่ใจบุญสุนทาน"  เธอทั้งสองคิดจะแย่งชิงผลประโยชน์ของเขา อย่างนี้เป็นการละเมิดฟ้านะ" ว่าแล้วปลัดอำเภอก็สั่งลงโทษโบยคนทั้งสองไปหลายไม้ และนำเงินนี้ให้กับคุณครูไป

นิทาน  :  มีข้าราชการคนหนึ่งที่เมืองเหวินโจวชื่อลีถี เนื่องจากเขาต้องการเก็บดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ไป เขาจึงใช้บ่าวให้ไปทวงหนี้แทนเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งบ่าวคนนี้เก็บเงินไม่ได้ จึงจับลูกหนี้ผูกกับต้นไม้  แล้วเอาน้ำอุจจาระกรอกปากจนลูกหนี้ยอมนำเงินหนึ่งพันอีแปะมาใช้หนี้ เมื่อบ่าวคนนี้เดินทางผ่านหน้าวัดผูอันซื่อ ก็ให้บังเอิญสายฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าใส่จนเขาตาย และเพราะบ่าวคนนี้ผูกเงินไว้ที่เอว ปรากฏว่าเงินทั้งหมดถูกฝังเข้าไปในเนื้อของเขาโดยหนังบิดอยู่ข้างบน

สรุป  :  คดีนี้ ไม่เพียงตักเตือนให้คนรู้ว่าการเอาของสกปรกให้คนกินเท่านั้น ยังตักเตือนบ่าวร้ายที่อาศัยอิทธิพลเจ้านายรังแกคนอื่นด้วย !  เพราะมีบ่าวไพร่บางคนอาศัยอิทธิพลเจ้านาย มักบุกเข้าไปในบ้านจนถึงห้องนอนของพวกผู้หญิงและข่มขืนกระทำชำเราก่อเกิดบาปมหันต์จนเป็นที่มาของมหาภัยเคราะห์ และนี่แหละ ทำไมสายฟ้ามักฝ่าลงมาบนหัวของบ่าวไพร่ร้ายพวกนี้ !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ใช้ทางมารหลอกประชาชน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/07/2012, 07:30
บทที่หก ชั่วบาป  :  ใช้ทางมารหลอกประชาชน

อธิบาย   :  ท่านอูอวี่ไก้กล่าวว่า "ธรรม  เป็นทางตรงที่ทุกคนร่วมกันน้อมนำทำตาม" ศานสนาทั้งสามคือ  หยู  พุทธ  เต๋า  ล้วนเป็นธรรมของอริยเจ้า ถึงแม้ทั้งสามศาสนามีรูปแบบที่ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่เป้าหมายสูงสุดของพวกท่านล้วนต้องการให้คนเข้าใจจิตตน เห็นจิตเดิม  ต่อไปก็เปลี่ยนจากชั่วไปสู่ดี เพราะฉะนั้น อริยเจ้าของสามศาสนาที่พูดธรรมะเหมือนออกจากปากเดียวกัน และก้ไม่ชอบที่จะใช้วิชามารลี้ลับมาหลอกลวงชาวโลก !  อย่างไรก็ตามก็มีบางคนที่จิตใจไม่ดี ก็นำเอาหลักธรรมของ 3 ศาสนาบิดเบือนเพื่อใช้หลอกลวงคน  เหล่านี้แหละที่เรียกว่าใช้ทางมารหลอกประชาชน ซึ่งไม่ใช่เป็นธรรมแท้ !  อาทิเช่น ในสมัยฮั้น ก็มีนายจงเจียะ  สมัยจิ้นมีนายซุนซือ  นายหลู่ซุ่น  สมัยหยวนมีนายหงจิน  หลิวผู่ทง  และยุคใกล้เป็นอู๋เหว่ยหวังเทียน กับลัทธิดอกบัวขาว เป็นต้น  พวกผู้นำเหล่านี้ จิตใจไม่ตรงการกระทำไม่ดี ใช้วิชามารมาหลอกลวงประชาชน ละเมิดฝ่าฝืนกษัตริย์ สร้างบาปมหันต์ท่วมฟ้า สร้างเหตุแห่งทางนรก พวกนี้ล้วนเป็นพวกโจรขุนนางชั่ว กฏหมายบ้านเมืองต้องกำจัดและยมบาลตอบสนองเข้มงวดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด !

นิทาน   :  สมันสุย นายซ่งจือเสียน มีความสามารถทางมายากล เขาจะปล่อยแสงจากที่พักอาศัยให้เห็นเหมือนพุทธรูป ทั้งยังตั้งตนว่าเป็นพระศรีอริยเมตไตรยจุติมาสู่โลก เพื่อฉุดช่วยผู้คน เขาแขวนกระจกที่ห้องโถง ถ้ามีใครมาเยี่ยมเยียน เขาก็จะใช้กระจกส่องผู้มาเยือนถึงอดีตชาติว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็สอนให้ผู้มาเยือนกราบไหว้ก่อนจึงจะเห็นเป็นรูปคน การกระทำของซ่งจือเสียนแบบนี้ทำให้มีคนพากันมาชุมนุมนับพันคน จากนั้นก็เริ่มอาละวาดก่อจลาจล ทางการส่งทหารมาปราบ เขาสร้างภาพนิมิตรอบ ๆ บ้านที่เขาอยู่ว่ามีคูเพลิง คนที่เห็นก็ไม่กล้าเข้าไป นายทหารก็พูดว่า "บริเวณนี้ไม่เคยมีคูเพลิงมาก่อน อันนี้เป็นภาพมายาเท่านั้น !  พวกกองทหารได้ยินแล้วก็พากันเข้าไป ก็ปรากฏว่าไม่ใช่คูเพลิง จึงจับซ่งจือเสียนได้ จับมาแล่เนื้อทีละชิ้นจนตาย

อธิบาย   :  ท่านหยวนโมวอิง สมัยหมิงกล่าวว่า "ผู้ที่มีวิชามาร (ไสยศาสตร์)  ที่ใช้ข่มเหงคนได้แต่ไม่ยอมถ่ายทอดสอนคน บุญตอบสนองของเขาก็จะมาก !  โบราณว่า "ได้วิชาพลางตัว ในสามปีไม่ได้ใช้ ก็สามารถสำเร็จเป็นเซียน ! ยังมีอีก "ชาวเต๋าที่มีวิชา หลอมทอง แต่ไม่ใช้ คน ๆ นี้มีจิตใจสูง สามารถเข้าสู่ธรรมได้"  เพราะคนที่บำเพ็ญจริง จะบ่มเลี้ยงบังแสงฉุดช่วยคนเป็นหลัก ถ้าได้วิชาอะไรมานิดหน่อยก็นำมาหลอกลวงคน แสดงว่ายังเป็นคนที่ตัดไม่ขาดจากชื่อเสียงเกียรติยศ คิดจะเข้าสู่ธรรมยังห่างไกลนัก !  นับอะไรกับคนใช้วิชามารหลอกลวงคน ไม่ต้องพูดถึงเลย !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : มาตราชั่งวัดตวงโกง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/07/2012, 08:25
บทที่หก ชั่วบาป  :  มาตราชั่งวัดตวงโกง

อธิบาย   : 
การใช้มาตราชั่งวัดตวงที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของพ่อค้าแม้ค้าที่ต้องการกำไรมาก  มาตราชั่งวัดตวงล้วนเป็นเครื่องมือเพื่อตีค่าของสินค้าที่ทุกคนยอมรับ  แต่บางคนก็ใช้มาตราชั่งวัดตวงที่โกงในการค้าขาย เช่น ซื้อเข้าได้มากขายออกได้น้อย ศึกษาวิเคราะห์คนที่ทำแบบนี้ก็ต้องการเอาเปรียบเท่านั้น !  พวกเขารู้ไหมว่า โกงเขาครึ่งขีด ตนเองเสียบุญกุศลหนึ่งขีด แล้วคนที่ทำลายเขาจะยังประโยชน์อะไรเล่า ต้องถูกฟ้าดินลงให้โทษได้รับภัยพิบัติต่าง ๆ แต่บางเรื่องเจ้าของกิจการก็ไม่รู้ไม่เป็นใจด้วย ลูกน้องลูกจ้างแอบทำเอง อย่างไรเสีย บาปก็ยังตกสู่เจ้าของ เพราะฉะนั้นเจ้าของต้องตรวจตราให้ดี ๆ

นิทาน   :  ท่านหยงเหมยกง ในสมัยหยวน ประหยัดและซื่อตรงยินดีให้ทาน เครื่องชั่งตวงวัดในบ้านจะมีมาตราฐานอันเดียวกันหมด เขาจะสลักอักษรบนมาตราทุกอันว่า "ออกก็อันนี้ เข้าก็อันนี้ ลูกหลานก็อย่างนี้ตลอดกาล ! ลูกหลานของเขาแต่ละรุ่นก็ตั้งใจเคารพกฏหมาย ลูกหลานแต่ละรุ่นก็เจริญรุ่งเรือง

นิทาน   :  ที่เมืองกวางหลง มีตาเฒ่าหวัง ใช้มาตราวัดสั้นขายผ้า พอตายไปก็เข้าฝันลูกชายว่า "ตอนข้ามีชีวิตใช้ไม้เมตรสั้นโกงคน ท่านยมบาลก็ลงโทษ ให้ข้าไปเกิดเป็นวัวที่บ้านตระกูลเฮ่า หมู่บ้านซีซี ที่ท้องวัวตัวนี้มีอักษรหวังอยู่" ลูกชายของเขาก็ติดตามไปถึงบ้านตระกูลเฮ่า ก็ให้มีแม่วัวบ้านนั้น กำลังตกลูกวัวอยู่พอดี พอลูกวัวออกมาแล้วที่ใต้ท้องของมันก็มีขนสีขาวเหมือนอักษรหวัง ลูกชายจึงซื้อวัวตัวนี้มาที่บ้าน และก็หาอาหารดี ๆ ให้กิน มันก็ไม่ยอมกิน พอให้มันกินหญ้ามันจึงยอมกิน ถ้าให้มันแบกของหนักหรือไปไถนา เจ้าวัวก็ทำท่าสบายใจ ถ้าปล่อยเลี้ยงไว้เฉย ๆ มันก็จะกระโดดและชนดูอาการไม่สบาย เพราะมโนธรรมมืดบอดที่เอาแต่ได้ รู้จักกรรมตอบสนองเช่นนี้ไหม ?.

นิทาน   :  ในสมัยหมิงที่เมืองหยางโจว มีร้านค้าร้านหนึ่งคือ ร้านไต้หนาน ก่อนที่เจ้าของร้านจะสิ้นใจ เขาบอกกับลูกชายว่า "ข้าตั้งตัวได้ก็อาศัยตาชั่งอันนี้ มันทำด้วยไม้ดำตรงไส้กลางกลวงว่างใส่ปรอทเอาไว้ เวลาชั่งออกก็ขยับปรอทเทไปทางหัว เวลาชั่งเข้าก็ขยับปรอทเทไปทางปลาย แบบนี้ซื้อเข้าหนักขายออกเบา นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้ข้ารวย !"   ลูกชายฟังแล้ว ในใจก็กล่าวโทษบิดา แต่ไม่กล้าพูดออกมา หลังจากบิดาตายแล้วก็เผาตาชั่งทิ้ง ควันที่เผาตาชั่งกลายเป็นมังกรดำที่ลอยขึ้นฟ้า ต่อมาลูกชาย 2 คนของเขาตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาก็ถึงกับพูดว่า "บิดาของข้าใจไม่เป็นธรรมก็ยังมีความสงบสุข แต่ปัจจุบันเขาซื้อเข้าขายออกเป็นธรรมไม่กล้ารังแกผู้อื่น ลูกก็ตายไป 2 คน ธรรมแห่งฟ้าคงพูดยากอย่างนี้ ?." พอพูดจบเขาก้เข้านอน ทันใดก็ฝันว่า ได้ไปที่สำนักทางการ ภายในตำหนักมีหัวหน้าข้าราชการบอกแก่เขาว่า  "พ่อของเธอทำมาค้าขาย ออกเบาเข้าหนัก รังแกคนเอาเปรียบ ถึงแม้ได้ผลประโยชน์มาก แต่ในดวงชะตาของเขาเป็นผู้มีทรัพย์อยู่แล้ว แต่เพราะเขาใจโกงสร้างบาป จึงได้รับโทษจากฟ้า พระเจ้าได้ส่งดาวทำลาย 2 ดวงมาเกิดเป็นลูกของเธอ พอมันโตแล้วก็จะผลาญเงินของเธอ จากนั้นบ้านของเธอก็จะไฟไหม้ ทรัพย์สินก็จะถูกทำลายเกลี้ยง ลูกชายตายหมดไม่มีผู้สืบสกุล เพื่อเป็นการตอบแทนที่พ่อเจ้าสร้างกรรมชั่ว ปัจจุบันเธอได้แก้ไขความชั่วของพ่อเธอ ปิดบังความชั่วของพ่อที่ทำไว้  แล้วก็ทำแต่เรื่องที่เป็นธรรม ทำดีกับทุกคน ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้ทำลายดาวร้าย 2 ดวง เก็บกลับมา อีกไม่นานก็จะเปลี่ยนลูกให้เธอ 2 คน จะทำให้บ้านเธอมีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นเธอยังต้องสร้างบุญกุศลให้มากขึ้น อย่าได้ฟุ้งซ่านฝังตนอยู่ในความแค้นเลย !"  หลังจากเขาตื่นขึ้นเขาก็ยังจดจำสิ่งที่พระเจ้ารัชฟ้าบอกแก่เขา ขยันสร้างบุญกุศลในเวลา  3 ปี เขาก็มีลูกชายอีก 2 คน พอพวกเขาโตก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ และมีลูกหลานหลายคน เจริญรุ่งเรืองมาก

สรุป  : ท่านจางหงจิ้นพูดว่า "ตอนที่ข้าอยู่กันกวน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกหลานของคน ๆ นี้ เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้ละเอียดเรื่องนี้ดี ดังนั้น ข้าจึงไม่พูดถึงชื่อของเขา สาเหตุเพื่อไม่ให้พูดถึงความชั่วที่คนรุ่นก่อนทำไว้นั่นเอง ! "   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ฆ่าลูกทำแท้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/07/2012, 05:57
บทที่หก ชั่วบาป  :  ฆ่าลูกทำแท้ง

อธิบาย   :  ฆ่าลูกคือการทำลายลูกที่กำเนิดออกมาแล้ว การทำแท้งคือฆ่าลูกที่ยังอยู่ในครรภ์
กายคนเป็นสิ่งล่ำค่า การที่จะได้เกิดเป็นคนนั้นยากแสนยากที่มนุษย์ถือกำเนิดเกิดมา เทพเทวาก็ยังให้การเฉลิมฉลอง เทพเจ้าแห่งเตาไฟก็กำหนดดวงชะตา อาจพูดได้ว่าฟ้าดินเคลื่อนไหวจึงถือว่ามีคุณค่ายากแก่การบรรยาย !  ยิ่งเด็กทารกที่เพิ่งคลอดอกกมาเขาเป็นหนี้อะไรกับพ่อแม่หรือ ?. พ่อแม่ที่ใจโหดเหี้ยมบางคนถึงกับฆ่าทิ้งเด็กทารก พวกหญิงที่สำส่อนกับคน พอท้องขึ้นมาก็ทำแท้ง การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน หมดปัญญาที่จะเยียวยาสั่งสอน !  บางครอบครัวมีฐานะยากจนและมีลูกมาก จึงฆ่าลูกทั้ง ๆ ที่เพิ่งเกิดมา หรือไม่ก็ทำแท้งเสียก่อน พวกเขาควรรู้ว่าบาปกรรมฆ่าคนไม่อาจสำนึกบาปไถ่โทษได้ แม้แต่สัตว์เล็ก ๆ ก็ยังห้ามฆ่าสัตว์ต้องปลดปล่อยชีวิต นับประสาอะไรกับลูกของเรา ! คนที่ชาตินี้ไม่มีลูก หรือมีลูกแล้วพอเลี้้ยงโตก็ตาย หรือลูกตายก่อนพ่อแม่แก่ เหล่านี้ล้วนเป็นผลกรรมตอบสนองที่คนกระทำมาในอดีตชาติ

นิทาน  : 
ขณะที่นายเฉียนปังเหว่ย เป็นนายอำเภอเมืองกุ้ยซีอยู่นั้น เป็นเพราะนิสัยของคนท้องถิ่น ถ้าให้กำเนิดลูกหญิงส่วนใหญ่ไม่อยากเลี้ยงก็ฆ่าเด็กทารกตายเลย บางทีก็ลงโทษกันถึง  5 ครัวเรือน จึงเป็นเหตุให้เด็กทารกรอดพ้นถูกฆ่าตาย ต่อมาภายหลังนายเฉียนปังเหว่ยได้เลื่อนยศเป็นผู้ว่าเมืองติ่งโจ่ว และมีอายุยืนมาก ลูกหลานก็มีความเจริญยิ่ง

อธิบาย  :  คนอย่างเฉียนปังเหว่ย ที่ห้ามไม่ให้ทำแท้ง ฆ่าเด็กทารกจึงมีบุญกุศลมาก ปัจจุบันควรรีบตักเตือนผู้อื่นไม่ให้ทำบาป เช่นนี้ก็จะมีบุญกุศลมาก

นิทาน  :  สมัยก่อนลูกสาวนายเก๋ออิ้ง นางเก๋ออิ่งหงษ์ ถูกผี 2 ตนพาวิญญาณนางไปเที่ยวนรกถึง 18 ขุม เธอดูตั้งแต่แรกจนถึงนรกขุมสุดท้าย มีเจ้าพญายมซึ่งอยู่บนบัลลังก์ ข้างหน้าบัลลังก์ก็มีแม่บ้านจำนวนมากยืนเข้าแถวอยู่ แต่ละคนก็มีเด็กเล็ก ๆ เกาะที่ขาของนางแล้วร้องไห้พูดว่า "เอาชีวิตฉันคืนมา ! พวกแม่บ้านเหล่านี้เป็นเพราะมีลูกมากจึงฆ่าลูกตาย บ้างก็เป็นเพราะครอบครัวยากจน  เลี้ยงลูกไม่ไหวก็ฆ่าทิ้ง บางคนก็อิจฉาเมียน้อยมีลูกจึงบังคับให้ทำแท้ง บ้างเมื่อตั้งครรภ์โดยลักลอบมีเพศสัมพันธ์จึงกินยาทำแท้ง  บ้างเป็นเพราะทะเลาะวิวาทตีกันจนแท้งลูก บ้างก็มีโทสะลูกร้องไห้ไม่หยุดจึงตบตีเหวี่ยงลูกจนตาย บ้างก็เลี้ยงดูลูกไม่ดีทำให้ลูกตาย  ท่านยมบาลจะถามอย่างละเอียด บนตัวของแม่บ้านถูกขื่อแปใส่ไว้  หน้าตาอิดโรยกังวล ร่างกายผ่ายผอม  เห็นแล้วก็น่าสงสาร หลังจากเก๋ออิ่งหงษ์กลับสู่โลกจึงเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้บิดาฟัง และพิมพ์เผยแพร่และเขียนไว้บนผนังวัดเทียนหนิงเพื่อเป็นการตักเตือนชาวโลก

นิทาน  :  แม่บ้านหยางเค่อเซิน ยากจนขี้โรคตั้งแต่เด็ก พอแก่ตัวลงยิ่งโหดร้าย นางพูดเองเออเองว่า "เมื่อชาติก่อนเดิมทีเป็นนายแพทย์เวลาตรวจโลกไม่ใส่ใจตรวจถึงสาเหตุของโรค มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีแม่บ้านคนหนึ่งพูดว่า ในท้องของนางมีพยาธิตัวยาว ฉันเองก็ไม่แยกแยะตรวจตราให้ถูกต้อง ที่จริงนางมีครรภ์อยู่ จึงให้นางดื่มเหล้าหยวนฮวา ซึ่งจะฆ่าพยาธิให้ตาย ในที่สุด หลังจากนางดื่มเหล้าหยวนฮวาแล้ว ลูกแฝดในท้องก็ตายลง เป็นเพราะฉันวินิจฉัยผิดจึงให้ยาผิด ดังนั้นจึงฆ่าทั้งสามชีวิต เจ้าพญายมจึงลงโทษฐานฆ่าคนตาย หลังจากรับโทษในนรกแล้ว ก็ลงโทษให้ฉันไปเกิดเป็นหญิงชาตินี้เป็นชาติที่สามแล้ว ทุกชาติก็จะยากจนและเป็นทาส ต้องได้รับความหิวโหยยากจนทรมาน หาความสุขไม่ได้เลย ชะตากรรมของฉันอยากจะบอกบรรดานายแพทย์ต้องดูฉันเป็นตัวอย่าง" พอพูดจบนางก็สิ้นใจตาย

สรุป  :  พระเจ้าเหวียนเชียงกล่าวว่า "ลูกไม่กตัญญู กฏสวรรค์ก็มีบทลงโทษอยู่แล้ว ลูกไม่มีความผิดพ่อแม่กลับฆ่าทิ้ง เท่ากับฆ่าประชาชน ถ้าพ่อแม่จะฆ่าลูกของตนเอง แล้วทำไมจึงไม่ยับยั้งความใคร่อยาก ?.  เมื่อกล้าที่จะฆ่าคนไม่สนใจหลักธรรมฟ้า คนแบบนี้ในปัจจุบันจะรับว่าไม่มีหรือ ข้าเห็นเมืองนรก ผีที่รับโทษกรรมมีมากมาย ที่ทำความชั่วเช่นนี้ !  ดังนั้น หวังว่าคนต้องย้อนสำรวจตนและรู้สึกเข้าใจ อย่าให้ตนเองต้องถูกฟ้าลงโทษโดนเร็วเถิด ! "
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ปลอมปนสินค้า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/07/2012, 06:27
บทที่หก ชั่วบาป  :  ปลอมปนสินค้า

อธิบาย   :
เอาของเก๊ปนไปกับสินค้า ปัจจุบันสินค้าปลอมมีเกลื่อนไปทั่ว ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าสินค้าแท้เสียอีก นี่เพราะจิตใจชาวโลกกำลังเปลี่ยนแปลง !  ไม่ว่าเครื่องดื่มยารักษาโรค โลหะฯ เป็นต้น ดูเหมือนจะหลอกลวงมากขึ้น เพราะใจคนมันตายด้านไปแล้ว ! ตลอดจนธนบัตรปลอมบาปกรรมยิ่งนักขึ้น เพราะฉะนั้นเบื้องบนจึงสงเคราะห์ภัยมาให้และเร็วขึ้นทุกที !

นิทาน  :
ในสมัยชิง รัชสมัยฮ่องเต้คังซี มีพ่อค้าชาฟูเจียน คนหนึ่งชื่อ กู่โหม่ว  อยู่ที่อำเภอเจียนอิน แอบขายเงินปลอม เขาเอาเงินปลอมไปที่ตลาด ไม่มีใครจับได้ว่าเป็นเงินปลอม แต่เงินปลอมอยู่ได้ไม่ถึง 10 วัน ถ้าเลย 10 วัน คุณภาพก็เปลี่ยน แต่นายเกอรู้เรื่องดีจึงเอาทอง 2 ตำลึงไปแลกเงินปลอม 20 ตำลึง จากนั้นก็นั่งเรือกลับบ้าน คืนนั้น ตอนเรื่อผ่านเมืองฮัวทัง ก็เกิดลมพายุขึ้น ทำให้เรือจม ของที่นายกอซื้อมาและข้าวของที่ติดตัวจมน้ำไปหมด ดีที่นายกอว่ายน้ำเก่งจึงรอดมาไม่จมน้ำตาย เหลือแต่ตัวกลับบ้าน แต่นายกู่โหม่วถูกฟ้าผ่าตายในคืนนั้น และเตาหลอมที่ทำเงินปลอม ก็ถูกฟ้าผ่าจนแตกกระจุยไปหมด

อธิบาย  : โอ้ ! น่าชังเสียจริง ๆ นายกู่โหม่วใช้เล่ห์กลหลอกคนถูกฟ้าผ่าตาย เป็นหลักเหตุผลที่ควรเป็นเช่นนั้น แต่นายกอเป็นเพราะเกิดความโลภชั่วขณะจิต จึงสูญเสียทองไป 6 ตำลึงที่ตนมีอยู่ แต่เสื้อผ้าข้าวของไม่รู้มีราคาเท่าไหร่  ถ้าหากทำการค้าถึงระดับนี้ พูดได้ว่าขาดทุนย่อยยับ ถ้าพลาดอีกนิดเดียวชีวิตก็จมอยู่ในสายน้ำ อันตรายเสียจริง ๆ เพราะฉะนั้น พวกคนโกงที่ไม่รู้ น่าสงสารเหลือเกิน ! 

คติพจน์  :  จุดมั่งหมายของการทำการค้าก็เพื่อการดำรงชีวิต !  เมื่อตนเองต้องการดำรงชีวิตให้คงอยู่ แล้วคนอื่นเล่า เขาไม่อยากดำรงชีวิตหรอกหรือ เราต้องการเลี้ยงดูครอบครัว แล้วคนอื่นเขาไม่เลี้ยงดูครอบครัวหรือ ?. นับอะไรกับการหลอกลวงใจตนละเมิดฟ้าดิน การตอบสนองรุนแรง ไม่มีหรอกที่ตัวไม่ตาย ทั้งยังทำลายครอบครัวจบชีวิต ! เพราะฉะนั้น นี่จึงไม่ใช่ใจของคนที่ทำมาค้าขายหรอก !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : รีดนาทาเร้น
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/07/2012, 14:04
บทที่หก ชั่วบาป  : รีดนาทาเร้น

        อธิบาย  : 
การรีดนาทาเร้นก็เพื่อประโยชน์มหาศาล จึงต้องตั้งใจใช้วิธีการถึงที่สุด !  ปัจจุบันที่พูดถึงนักเลงคุมเรือ หรือ อันธพาลที่คุมคิวรถ เหล่านี้ถือว่าเป็นพวกรีดนาทาเร้นทั้งสิ้น แต่ก็ไม่ชี้บ่งเฉพาะที่เป็นเอกชนจึงจะเรียกว่ารีดนาทาเร้น แม้แต่ชนชั้นคอปกขาวชนขั้นกลางก็ทำธุรกิจเช่นนี้ ที่เรียกว่าโจรใส่สูท ทำธุรกิจขูดรีดประชาชน โดยใช่ช่องโหว่ของกฏหมาย รวมทั้งพวกที่เรียกว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ด้วย ไม่ใช่เฉพาะพวกนักเลงหัวไม้

        นิทาน  : จงหงมีพระสวรรค์ทางวาจา การขีดเขียนก็เก่ง ทั้งยังคล่องตัวกับทางอำเภอ รู้จักที่นาและสำมะโนครัว ชี้ได้ถูกต้อง เขาสามารถทำให้นาของชาวบ้านจำนวนมาก ฉับพลันกลายเป็นผู้ไร้ที่ทำกิน  ดังนั้นเขาจึงมีที่ดินจำนวนมาก ประชาชนที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขารู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ถ้าหากพูดออกมาในตอนเช้า ตอนเย็นก็จะมีเจ้าหน้าที่มาหาถึงบ้านเพื่อเก็บส่วยนา จางหงมีความสามารถที่จะขจัดประชาชน ถ้าหากมีข้าราชการผู้ใหญ่มาเยือนก็มักจะเรียกเขามาถามไถ่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ข้าราชการผู้ใหญ่ที่มาเยือนก็จะจับมือจับไม้กับเขาได้ สุดท้ายก็สามารถฟังเขาบงการได้ แต่ละวันเขาจะสอนข้าราชการผู้ใหญ่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะสามารถรีดเงินจากประชาชน พอรีดเงินมาได้ ข้าราชการก็แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน ตัวจางหงจะเอาไปถึง 70 %  ในตอนนั้น ผู้ตรวจการท่านถังกง เป็นผู้มีสะอาดรู้เรื่องราวนี้ดี จึงส่งคนมีฝีมือบู๊ที่แข็งแรงคนหนึ่งมาจับเขา ผูกมัดตัวส่งมาสอบสวนที่อำเภอ ขณะที่แก้มัดอยู่นั้น นายจางหงใช้ทองจำนวนมากติดสินบน แต่ข้าราชการฝ่ายบู๊ไม่ยอมรับสินบน เขาจึงวางแผนหลบหนี ทางการติดตามไม่ทันค้นหาจนทั่วก็ไม่พบไร้ร่องรอย ทันใดนั้นท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็ผ่าเปรี้ยงขึ้นอย่างน่าตกใจ แล้วจางหงก็ถูกสายฟ้าผ่าตาย ท้องไส้แตกทะลักอวัยวะภายในไหลออกมากอง ทุกคนเห็นแล้วก้ไม่มีใครอยากเข้าไปเก็บศพ แม้กระทั่งหมาป่า หมูป่าก็ยังไม่เข้าใกล้ เพราะกลิ่นเหม็นมาก ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : บังคับคนดีให้ชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/07/2012, 14:38
บทที่หก ชั่วบาป  :  บังคับคนดีให้ชั่ว

        อธิบาย  :
  ใช้อิทธิพลบังคับลูกชาวบ้านที่ดี เพื่อให้พวกเขาเป็นบ่าวไพร่นางบำเรอเป็นทาส ชาติปัจจุบันเป็นบ่าวไพร่ก็เพราะอดีตชาติก่อกรรมชั่วล้วนเป็นคนทำบาปเกินจำนวนหนึ่งพันแปดร้อยครั้งมาก่อน แต่ก็มีที่ไม่ใช่บ่าวไพร่ เดิมทีเป็นลูกชาวบ้านดี ๆ แต่ถูกพวกมีอิทธิพลบีบบังคับทำให้พวกเขากลายเป็นบ่าวไพร่ นี่แหละคือบังคับคนดีให้ชั่ว !  ตลอดจนเอาหญิงสาวไปขายตัว ถือเป็นสิบชั่วโทษมหันต์ อภัยไม่ได้เลย

        นิทาน  :  ที่เมืองเจียงโจว นายโจวเสียมกับซิซุ้น เป็นเพื่อนกัน ซิซุ้นจนมากมีบุตรชายคนเดียว เมื่อเขาตายไปจึงยกลูกชายให้โจวเสียมดูแลโจวเสียมก้เอาลุกชายของซิซุ้นไปเป็นบ่าวไพร่มาใช้งาน ถ้าไม่พอใจเล็กน้อยก็จะตบตีจนบาดเจ็บ  มีวันหนึง โจวเสียมได้พบซิซุ้นที่ถนน โจวเสียมตกใจถามว่า  "เจ้าไม่ใช่ตายไปแล้วหรือ ทำไมจึงมาโลกมนุษย์ล่ะ ! "  ซิซุ้นตอบว่า "ข้ามาดูแลลูกชายของข้า แล้วมาเร่งบังคับเจ้าด้วย"  โจวเสียมได้ยินแล้วตกใจจนเหงื่อกาฬไหลเหมือนฝนตก ภายหลังกลับมาถึงบ้านก็ตายทันที

        อธิบาย  : มักเคยเห็นบ้านเศรษฐีจะมีญาติที่ยากจนไม่มีที่พึ่งมาขออาศัย พอพวกเขาเข้ามาอยู่ก็จะเรียกพวกเขาใช้เหมือนบ่าวไพร่ ทั้งยังตะคอกดุด่า สิ่งนี้ก็เป็นข้อห้ามของท่านไท่ชั่งด้วย !  อย่างไรก็ตามในระยะแรกเริ่ม กว่าครึ่งก็มักมีจิตใจอาทรช่วยเหลือญาติพี่น้อง ตอนหลังก็มาทำเรื่องรังแกบังคับญาติ การทำเช่นนี้ไม่เพียงไม่มีบุญ ยังเป็นการบั่นทอนบุญ อย่างนี้จะไม่น่าเสียใจหรอกหรือ ?.

        นิทาน  : ที่มณฑลเจ้อเจียงมีกองคลัง ทุกปีจะรับสมัครพนักงานมาดูแลโดยรับจากบ้านที่มีอันจะกินในเมืองหางโจว พนักงานกูแลการเบิกจ่ายหรือเก็บเข้า ก็มีคนหนึ่งที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ดูแลคลัง เป็นเพราะได้เบียดบังเงินของทางการไปมาก ไม่สามารถชดใช้คืน ผู้ว่าการหวังจึงไปจับเอาลูกเมียมาที่ทำการ เขาก็ยังไม่มีเงินมาใช้คืน ผู้ว่าหวังจึงเรียกคนนำเอาเรือลำเล็กแล้วให้ลูกเมียของเขาลงไปในเรือที่ทะเลสาบซีหู เพื่อให้มาคอยต้อนรับผู้คนที่มาเที่ยวทะเลสาบซีหู เงินเดือนที่ได้รับก็เก็บเข้าทางการ ต่อมาภายหลังลูกหลานของผู้ว่าหวังตกต่ำลง บ้างก็ไปเป็นโสเภณี

         อธิบาย  : มีพ่อแม่บางคนถึงกับไม่มีความกลัวบาป ไม่ละอายใจ ทำเรื่องไม่สมควรยอมขายลูกให้ไปเป็นบ่าวไพร่ ถ้าเป็นเราจะทนได้ไหมถ้าคนที่ดีมีเงินทองอยากทำกุศลก็ควรรีบเข้าช่วยเหลือ เป็นการปกป้องลูกของชาวบ้าน แบบนี้จะได้บุญกุศลมากนะ !  ถ้าหากไม่สามารถทำได้ก็อย่าไปทำเรื่องอัปยศพวกเขา ถึงแม้จะไม่ถูกขายไปให้คนอื่น แต่ก็ไม่เสียทีเราได้จริงใจแล้ว  ผู้ดีหรือไพรเป็นเรื่องไม่แน่นอน เพียงเพราะลูกคนจนถูกขายให้กับคนรวย จึงได้ชื่อว่าไพร่ ที่จริงก็ยังเป็นคนดีอยู่ ! ปัจจุบันคนมักรักของ ๆ ตัว ดุจไข่มุกในฝ่ามือ ให้เขากินดีใส่ดี แต่กับบ่าวไพร่เพียงเรื่องไม่พอใจเล็ก ๆ ก็ถึงกับทุบตี  ให้เขากินเลวใส่หยาบ ให้หิวหนาว  พวกเขาก็เป็นลูกมีพ่อแม่เหมือนกัน ทำไมจึงไม่ยุติธรรมนักเล่า !  คงไม่ได้คิดกระมังว่า คนรวยก็กลายเป็นคนจนได้ คนจนก็เปลี่ยนเป็นคนรวยได้ !  แม้แต่ธรรมแห่งฟ้า ก็ยังรู้จักใครบ้างที่สามารถรับประกันว่าคนดีไม่เปลี่ยนเป็นคนเลว และคนเลวจะไม่เปลี่ยนเป็นคนดีหรอกหรือ ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : โป้ปดคนโง่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/07/2012, 04:57
บทที่หก ชั่วบาป  :  โป้ปดคนโง่

อธิบาย   :
ใช้แผนการร้ายหลอกลวงคนโง่เขลาให้เข้ามาสู่กับดัก เรียกว่าโป้ปด ยิ่งกระทำกับคนโง่แล้วยิ่งน่าสงสาร โดยที่คนโง่ก็ไม่สามารถแก้แค้นแต่ในความลีลับกลับมีคนช่วยแก้แค้นแทน ทางด้านคนโง่แล้วกลับไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่ผู้กระทำเสียอีกจะได้รับความเสียหายเอง !  ในโอวาทสี่ของท่านเหลี่ยวฝานกล่าวว่า  "ยากจน ร่ำรวยอำนาจไม่แน่นอน" ไร่นาสาโถบ้านช่องเจ้าของไม่มีกำหนด มีเงินก็ซื้อไม่มีเงินก็ขาย คนที่ซื้อที่ดินบ้านช่องของคนอื่น ควรที่จะรู้หลักธรรมอันนี้ว่า คนที่ขายทรัพย์สินอาจจะไม่มีกิน หรือเป็นหนี้สิน หรือเจ็บป่วยล้มตาย หรือแต่งงานแล้วฟ้องร้องแย่งชิงทรัพย์ เพราะว่ามีค่าใช้จ่ายร้อยแปด เพราะฉะนั้นจึงขายทรัพย์สินร้อยแปด คนที่ซื้อทรัพย์สินของเขา ควรที่จะอะลุ่มอะล่วยให้เขาได้มาก เพื่อให้ทรัพย์สินที่เขาขายมีราคามีค่างวด ถึงแม้พอเปลี่ยนมือเงินที่ได้ก็หมดไป แต่ก็พอที่เขาจะจัดการเรื่องร้ายได้ ! หหากคนที่รวยแต่ไม่มีเมตตา แต่ก็ชอบใช้แผนร้ายหลอกลวงคนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ก็แสดงท่าทางเหมือนไม่คิดจะซื้อ จึงต่อรองราคาต่ำจนไร้ค่า หลังจากถ่ายโอนกันแล้วก็พยายามผ่อนให้โดยไม่ยอมจ่ายเสียครั้งเดียว หรือซื้อเขาในราคาสูง แต่กำหนดระยะเวลาผ่อนให้ที่เล็กน้อย คนที่ขายทรัพย์สินได้เงินย่อยก็ใช้จนหมด จนเขาไม่สามารถทำเรื่องราวให้จบสิ้นได้ เพราะการเทียวไปเทียวมาก็มีค่าใช้จ่ายจนเหลือไม่ถึงครึ่ง  ส่วนคนรวยที่ซื้อก็ภูมิอกภูมิใจว่า ตนเองได้ใช้แผนการณ์ดี หารู้ไม่ว่า ธรรมแห่งฟ้าตอบคืนดีนัก บางทีก็ตอบสนองกับตัวเขาเอง มีบ้างก็มีเคราะห์ภัยกับลูกหลานคนส่วนใหญ่หลง ไม่รู้ว่าเรื่องเกิดขึ้นได้อย่างไร ?.   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : โลภละโมบไม่เบื่อ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/07/2012, 05:45
บทที่หก ชั่วบาป  :  โลภละโมบไม่เบื่อ

อธิบาย  :
โลภไม่เบื่อโดยไม่รู้ตัว ละโมบในการกิน อุปมาเหมือนคนใจโลภ ก็เหมือนปากกับของกิน ซึ่งไม่มีหยุดนิ่ง ไม่มีที่สุด ! ท่านเหลาจื่อว่า "โทษใดก็ไม่มีมากกว่าความอยาก เคราะห์ใดก็ไม่มีมากกว่าไม่รู้จักพอ" คนที่รู้จักพอถึงแม้จะจบต่ำต้อยก็สบาย คนที่ไม่รู้จักพอ แม้จะร่ำรวยก็วิตกทุกข์ ความโลภของชาวโลกที่แสวงหา รอจนกว่าหมดเวาระแล้ว ที่สุดก็มลายหมดสิ้น !  เหตุผลอันนี้ไม่ต้องพูดกันอีก แต่ก็จบลงที่เคราะห์ภัยและโทษบาปยิ่งสรุปได้ยาก

นิทาน  : ในสมัยถัง รัชสมัยไท่จงฮ่องเต้ นายหยวนไต้ รองราชเลขา ขณะที่ได้ตำแหน่งเสนาบดี เขาปล่อยปละตามใจลูกชายให้รีดภาษีคนอื่น ได้รับสินบน พวกขุนนางทางเมืองหลวง และเมืองอื่นก็กระทบกระเทือน เริ่มแรกก็ย้ายพวกจงรักภักดี พวกซื่อสัตย์ ต่อไปก็โลภหากินกับกฏหมายเถื่อนในบ้านของหยวนไต้ เสพสุขสุรุ่ยสุร่าย แม้แต่ฮ่องเต้ยังเทียบไม่ได้เลย ฮ่องเต้ก็มักจะตักเตือนให้เขาระมัดระวัง ประหยัดบ้าง แต่เขาไม่ยอมเปลี่ยน ! ทำตัวฟุ้งเฟ้อเหมือนเดิม ต่อมาฮ่องเต้ทรงพิโรธ จึงมีคำสั่งจับหยวนไต้ และสั่งประหารชีวิตตลอดจนลูกเมียของเขาด้วย เขาถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด นับจำนวนมากมายก่ายกอง ฮ่องเต้แจกจ่ายให้แก่ข้าราชการต่าง ๆ กระทั่งหัวเมืองต่าง ๆ ก็ได้รับ แม้กระทั่งพริกไทย มีมากถึง 8 ร้อยตัน และอื่น ๆ นับไม่หมด

คติพจน์  : นับแต่โบราณมา คนที่เป็นเสนาบดี ไม่มีหรอกที่ตายเพราะหิวโหย แต่กลับมาตายที่ทรัพย์ศฤคาร ช่างน่าหัวเราะเสียเหลือเกิน ! 

นิทาน  : สมัยหมิง นายลี่หมิง ชาวเมืองเจียชิง มณฑลเจ้อเจียง ได้กาล้ำค่าใบหนึ่ง  เศรษฐีเฉาหน่วยใช้เงินถึง 20 เจียะ ของข้าวสารไปแลกเปลี่ยนกาวิเศษ แต่ลี่หมิงไม่รับปาก และก็เอาไปให้อู๋หนีฮุยดู  อู๋หนี่ฮุยให้ข้าวสารถึง 100 เจียะ ลี่หมิงก็ตอบตกลงแลกเปลี่ยน  แต่นายหลิวจู๋ก็เสนอลี่หมิงว่า "ฉันมีแผนการอันหนึ่ง สามารถทำให้เธอได้ประโยชน์มหาศาล ถ้าหากเธอเอากาวิเศษนี้ไปบรรณาการแก่หัวหน้าขันทีจางให้เขาเห็นพ้อง นำเอาตราสารเกลือของเมืองเจียชิงให้เธอไปควบคุมการค้าขาย เธอก็จะได้ประโยชน์นับร้อยเท่า"  นายลี่หมิงตอบรับ  นายหลิวจู๋ก็ช่วยติดต่อผู้เกี่ยวข้องทำเรื่องจนสำเร็จ ได้เงินมากถึงสามพันกว่าตำลึง หลิวจู๋แบ่งเป็น 3 ส่วน แบ่งให้ลี่หมิง 1 ส่วน ลี่หมิงได้ตราสารเกลือ นั่งเรือกลับบ้าน ขณะจะข้ามแม่น้ำก็เรือเกิดล่มตราสารเกลือเปปียกน้ำเสียหาย ขณะนั้นผู้ว่าเมืองเจียชิงนายหยางจี่จง ส่งคนออกมาติดตามจับสารตราเกลือ ในที่สุดลี่หมิงก็ถูกจับเข้าคุกและตายในคุก ส่วนหลิงจู๋ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดมาชดใช้ให้กับตราสารเกลือ โบราณว่า "ชาวโลกอยู่ไม่ถึงร้อยปี ทำแผนบาปพันปี" ทำไมคนจึงโลภไม่เบื่อเช่นนี้หนา !  หรือคิดวางแผนให้กับลูกหลานหารู้ไม่ว่า "ถ้าลูกหลานสู้ฉันไม่ได้ เอาเงินไปทำไม ?. ถ้าลูกหลานเก่งกว่าฉัน ก็จะเอาเงินไปทำไม ?." ท่านชูกวางในสมัยฮั่นเคยพูดว่า "ข้าเป็นเฒ่าฟั่นเฟือนหรือ ?. ไม่วางแผนให้ลูกหลานหรอกหรือ ?.  ข้ามีที่นาไร่สวน เพียงลูกหลานต้องวิริยะไถหว่าน ก็เพียงพอที่จะกินอยู่ได้ หากเพิ่มให้ลูกหลานมากเกินเลย จะเป็นการสอนลูกหลานให้ขี้เกียจ ผู้ปราดเปรื่องมีทรัพย์สินมาก ก็จะทำลายอุดมการณ์ได้ ผู้โง่เขลาที่มีทรัพย์สินมากก็จะยิ่งเพิ่มโทษบาป คนที่ร่ำรวยมักถูกชาวบ้านกล่าวโทษ ถึงแม้ข้าจะไม่มีความรู้สอนลูก ก็ไม่หวังเพิ่มพูนโทษบาปแก่ลูกหลาน และเป็นเป้ากล่าวโทษของชาวบ้าน !" คำพูดดังกล่าวจะเห็นว่า ท่านซือหม่าอุน มีโอวาทสอนครอบครัวให้สั่งสมบุญกุศลมากกว่าสั่งสมเงินทอง พวกเราทำไมไม่อ่านให้ขึ้นใจและปฏิบัติตามเล่า ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : แช่งชักว่าตนถููก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/07/2012, 01:11
บทที่หก ชั่วบาป  :  แช่งชักว่าตนถูก

อธิบาย   : 
กล่าวต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาบานหรือแช่งชักโดยอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เหตุผลของเขาถูกต้อง การสามารถสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่จำเป็นต้องทำใบฏีกาหรือเขียนเป็นหนังสือ เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งหรือขัดแย้งกัน แล้วก็ฟั่นเฟือนร้องเรียกเชิญพระเชิญเจ้า เหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำแช่งชักทั้งนั้น !  ในบทสาบานก็พูดเอาไว้ว่า "ขณะที่คนกำลังสบถสาบานอยู่นั้น คนรอบข้างก็จะแช่งชักเขา แล้วผีชั่วร้ายก็จะถือโอกาสเข้ากระทำเสกเคราะห์ภัยทันที ถ้าหากไม่ศรัทธาตั้งใจสำนึกบาป อัญเชิญเทพเจ้าลงมาแก้ไขแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถขจัดเคราะห์ภัย ของการสาบานได้เลย" เพราะฉะนั้นจึงแช่งชักสาบานไปใยเล่า ?.

นิทาน   :  ในสมัยหมิง รัชสมัยปีแรกของฮ่องเต้หวั่นลี่ นายหวังเจ๋อ คนบ้านนอกเมืองซีฮัวกับชาวบ้านที่ชำระภาษี กำลังถกเถียงถึงจำนวนเงินภาษีที่ค้างชำระอยู่นั้น นายหวังเจอก็สบถสาบานต่อเจ้าศาลหลักเมืองว่า ตนเองเป็นฝ่ายถูก ในคืนนั้น ขณะนอนหลับอยู่ที่วัดหยางซ่านซื่อ ดึกดื่นทันใดก็ได้ยินเสียงตะโกนให้หลีกทาง จึงลุกขึ้นมาตรวจดู เห็นข้าราชการคนหนึ่งยืนได้แสงคบไฟ ศรีษะใส่หมวกสวมเสื้อสีแดง รอบข้างยังมีองครักษ์รายล้อมหลายนาย ข้าราชการคนนั้นก็ออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง ชายฉกรรจ์ 2 นาย ที่ถือดาบก็วิ่งไปที่นายหวังเจ๋อ ถึงตอนนี้ นายหวังเจ๋อรีบหยิบจานฝนหมึกขว้างไปที่ชายฉกรรจ์ แต่ถูกดาบในมือของชายฉกรรจ์แทงเข้าที่ปากและหน้าผาก มีโลหิตไหลออกมา ภิกษุในวัดต่างตกใจตื่นลุกขึ้นสอบถาม แต่ก็ไม่เห็นใครสักคนจึงรู้ว่าเมื่อครู่ที่นายหวังเจ๋อพบนั้น ก็เป็นเจ้าศาลหลักเมืองนั่นเอง !  วันรุ่งขึ้น นายหวังเจ๋อก็ใส่เสื้อนักโทษไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง เพื่อสารภาพผิด ขอให้ศาลเจ้าหลักเมืองอภัยโทษ เมื่อมองดูรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าก็ช่างเหมือนกับบุคคลที่เห็นในฝันนั้น และในศาลเจ้ารูปองครักษ์ด้านขวาก็ถือดาบด้วย ปรากฏว่ายังมีหมึกสีดำเปื้อนเป็นรอยบนตัวให้เห็นเลย ! เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนรอยแผลที่ปากและที่หน้าผากนายหวังเจ๋อจึงหาย แต่รอยดาบยังคงอยู่ชัดเจน

อธิบาย   :  ต้องรู้จักเรื่องราวและหลักธรรม เดิมทีก็มีทั้งคดและตรง หากหลักธรรมเป็นตรง (ถูกต้อง) ในสังคมที่วิเคราะห์ก็ยากที่จะทำให้มันหายสาปสูญ พอนานวันเข้าก็จะเข้าใจได้เอง จะต้องไปถือสาคนให้ลำบากไปทำไม ?. ถ้าหากหลักธรรมคด (ผิด) ตนเองให้ย้อนสำรวจดู ก็จะรู้สึกว่าไม่ถูกต้องแล้วยังกล้าที่จะแช่งชักต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือกล่าวหาผู้อื่นเล่า ?. นับอะไรกับเรื่องราวต่าง ๆ ก็ควรที่จะคล้อยตามหลักธรรมไปทำเสีย สงบเสงี่ยมรักษาตนถึงจะถูก แล้วยังจะกล้าสบถสาบานต่อพระเจ้าอีก ก็จะถูกผีเทพโกรธเอาหรือไม่ก็ถูกฟ้าลงโทษ เพราะฉะนั้น จะไม่หักห้ามระมัดระวังหรือ ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ติดสุราลวนลาม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/07/2012, 02:08
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ติดสุราลวนลาม

อธิบาย   : 
ผู้ชอบดื่มสุราและเมาอยู่เป็นนิจ มักละเมิดหลักธรรมและลวนลาม สุราสามารถทำให้คนลวนลาม ถ้าคนติดสุราจนเป็นนิสัยแล้ว สิ่งที่เขาได้ัรับความเสียหายก็จะใหญ่หลวงนัก ! เมื่อดูผู้อาวุโสที่ตักเตือนห้ามปรามดื่มสุราแล้วก็รู้ว่า เป็นความกังวลที่คนโบราณใส่ใจจริง ๆ เราลองดูบทกวีเกี่ยวกับสุราก็จะรู้ว่า คนสมัยก่อนฝากความรักที่กินความหมายลึกซึ้ง ถ้าดูในบทจริยธรรม มารยาทที่ยกย่องสรรเสริญการดื่มระหว่างอาคันตุกะกับเจ้าภาพที่ต่างถ้อยทีถ้อยคารวะกัน จุดมุ่งหมายคือการป้องกันเสียมารยาทหลังการดื่มสุรา แต่ชาวโลกที่ชื่นชอบการดื่มสุราและไม่มีการหยุดยั้งพอดี จะเห็นได้จากร่งการเอนไปล้มมา จริยธรรมเสียหาย มีการดุด่าเสียงดัง บ้างก็ล้มนอนตามถนนผิดกฏหมาย ถ้านานวันเข้าใจ ธรรมก็สูญเสีย ทำให้บัณฑิตเสียชื่อเสียง คนที่ทำราชการอาจสูญเสียตำแหน่งการงาน ถ้าเป็นชาวไร่ชาวนาก็ทำให้ไร่นาเสียหาย  พ่อค้าก็เสียหายเงินทุน และที่ร้ายแรงก็ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดและตายไป เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจหรอกหรือ ?.  ท่านฝันหลูกงกล่าวในบทโอวาทสอนลูกว่า "ห้ามเจ้าไม่ให้ติดการดื่ม สุราแรงหาใช่รสชาติดี สามารถระมัดระวังให้จิตหนักแน่น ก็จักมลายร้ายคลายหายไป" ท่านเฉาเยว้ชวงกล่าวว่า "บ่มจิตไม่โลภจิตเมาน้ำ สร้างตัวต้องตัดห้ามน้ำล้มละลาย" โดยเฉพาะยังเป็นบ่อเกิดของการลวนลามทางเพศ ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากสุรา เพราะฉะนั้น ในข้อห้ามหนึ่งในสี่ข้อ ๆ สุราเป็นข้อที่หนึ่ง (ในหนังสือข้อห้ามบุคคลชั้นประถมเรียก สุรา  รสชาติ  รูปงาม  สระบนเนินสูง  (สระบนดาษฟ้า ถือเป็นสี่ข้อห้าม)  คนที่เมาสุรา ความคิดที่ดีงามก็หายไป ความคิดชั่วก็ลูกโชติช่วงขึ้น พอส่างเมาก็จะไม่กล้าทำเรื่องที่ทำ และก็ไม่กล้าพูดในคำที่ไม่กล้าพูด พอเมาแล้วอะไร ๆ ที่ไม่กล้าก็กล้าทำ เพราะฉะนั้น เวลาดื่มสุราแล้วสามารถกำหนดยับยั้งได้ ก็จะยกย่องน้ำสุราเป็นอมฤต หรือน้ำลืมมิตร  หรือดื่มสุราแล้วไม่สามารถยับยั้งได้ ก็ควรเห็นสุราดุจมารอรชร หรือพิษหวาน  สุรายังเป็นฟืนไฟของความใคร่ คนที่ดื่มสุราตามอารมณ์แล้วไม่ปล่อยตามอารมณ์ใคร่มีน้อยมาก ! ขณะที่ไฟราคะกำลังโชติช่วงอารมณ์ความใคร่เสพกามกำลังลุกอยู่ก็ยังยากที่จะหักห้ามได้เลย  นับอะไรกับการปล่อยอารมณ์ดื่มสุราตามใจแล้ว จะไม่เพิ่มไฟราคะให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นหรอกหรือ !  โดยเฉพาะเมาสุราภายหลังอิ่มอาหารแล้วไปมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้อวัยวะภายในกระทบกระเทือนชอกช้ำ ด้วยเหตุนี้ ทำให้เจ็บป่วยไม่น้อยเลย !  การกระทำเช่นนี้ควรกำหราบถึงจะถูก ยิ่งมีบางคนหลังเมาสุราก็ทำเรื่องลวนลามลามก ด้วยเหตุนี้อาจได้รับความอัปยศจนสูญเสียชีวิต ถึงตอนนี้คิดได้ก็สายเสียแล้ว ช่วยไม่ทันเสียแล้ว !  สิ่งที่น่าหัวเราะก็คือ ในวงสุรามักขัดแย้งกันจะเอาชนะความกลัวเสียศักดิ์ศรีจนบางครั้งเกิดการชกต่อยตลอดจนหน้ามืดฆ่าแกงกันก็เป็นได้มนุษย์เราที่อยู่กันในสังคม จะต้องรู้จักผ่อนปรนในทุก ๆ เรื่องราวจึงจะถูก นับอะไรระหว่างเพื่อนฝูงที่ยินดีพบปะกันและดื่มกินด้วยกันและก็มาออกหมัดกันเช่นนี้  นี่แหละคือความหึกเหิมชั่วขณะหนึ่ง ถึงแม้จะเอาชนะได้ก็ใช่ว่าจะมีเกียรติยศ คนที่แพ้ก็ใช่ว่าจะอัปยศดอสูเลย !  แพ้แล้วก็ไม่เสียหายอะไร ชนะก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็เหมือนนักเดินหมากรุกที่พูดว่า "ชนะแล้ว ถึงแม้เป็นเรื่องน่ายินดี หรือแพ้แล้วก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ! " คนที่ดื่มสุราหากไม่รู้จักหลักธรรมนี้ ถือว่าเป็นคนเลอะเทอะ ถ้าหากคิดเอาชนะถ่ายเดียวจึงจะยอมยุติ หรือทะเลาะกันจนไม่เมาไม่เลิก  คนแบบนี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ๆ !  ยังมีอีกประเภทหนึ่งที่ชอบคุยโวว่าตนดื่มสุราได้มากไม่มีใครเทียบได้ แบบนี้คิดว่าเท่ห์ หารู้ไม่ว่า เป็นผู้ไม่รู้จักคุณธรรม ชื่อเสียงเกียรติยศ ฯลฯ  เหล่านี้สู้คนอื่นไม่ได้นะ !  เอาแต่ดื่มสุราได้มากมาชนะผู้อื่น อย่างนี้ถือว่าผิดไปไกลเลย !  ยังมีอักคนประเภทหนึ่ง คุยโววางกฏกติกาการดื่มสุราไว้เสียเคร่งครัด โดยไม่คิดว่าสุราใช้เป็นประโยชน์เพื่อเชื่อมสัมพันธ์มิตรภาพ ควรที่ปล่อยตามใจผู้ดื่มที่เหมาะสมกับตนก็ยุติ ทำไมต้องลำบากไปบีบบังคับผู้อื่นให้ดื่มมาก ๆ จนเป็นการทำร้ายสุขภาพไป ?.  ภาษิตว่า "ให้เข้มงวดกับเสือร้าย" แต่อาตมาว่า "ให้เข้มงวดกับสุราดุจเสือร้ายเหมือนกัน ! " ถ้าในวงสุรามีคนแบบนี้อยู่แล้วก็ควรทีจะหลบหลีกเสียแต่เนิ่น ๆ   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ติดสุราลวนลาม - ความบาปของสุรา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/07/2012, 03:04
บทที่หก ชั่วบาป  : ติดสุราลวนลาม - ความบาปของสุรา 35 ข้อ

ในมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ ได้บรรยายถึงความบาปของสุราไว้ถึง 35 ข้อ


1. ผลาญทรัพย์สินในปัจจุบันหมดไป เพราะเหตุเวลาเมาสุราใจไม่ได้กำหนดถึงการใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้ผลาญทรัพย์ไม่มีกำหนด
2. เป็นบ่อเกิดแห่งโรคต่าง ๆ
3. เป็นรากเหง้าของการฟ้องร้องคดีความ
4. ผิวกายแดงกล่ำเหมือนม้าโคที่ไม่มียางอาย
5. เมาแล้วกระโดดโลดเต้นด่าทอ ชื่อเสียนอกบ้าน ทำให้ผู้คนเบื่อหน่าย ไม่นับถือเขา
6. ปกปิดปัญญา
7. ของที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ ของที่ได้มาแล้วกลับสูญหาย
8. เมาแล้วหาเรื่องพูดออกมาทุกเรื่อง หายเมาแล้วก็คิดเสียใจ
9. กิจการต่าง ๆ เสียหายทำไม่สำเร็จ
10 . เมาสุราเป็นบ่อเกิดของความโศกเศร้า  เพราะในเวลาเมาทำความผิดไว้มาก พอหายเมาก็ให้รู้สึกอับอายโศกเศร้า
11. ร่างกายอ่อนแอไม่มีกำลัง
12. สุขภาพทรุดโทรม สีหน้าดูไม่ดี
13. ไม่รู้จักต้องเคารพบิดา
14. ไม่รู้จักต้องเคารพมารดา
15. ไม่รู้จักต้องเคารพนักพรต
16. ไม่รู้จักเคารพพราหมณ์
17. ไม่รู้จักเคารพลุงป้าน้าอาผู้ใหญ่ เพราะเวลาเมาปราาทเลอะเลือน จึงแยกแยอะไม่ถูก
18. ไม่เคารพพระพุทธะ
19. ไม่เคารพพระธรรม
20. ไม่เคารพพระสงฆ์ 
21. คบคนชั่วเข้าแก๊งก่อเรื่อง
22. ทำตัวห่างไกลบัณฑิตคนดี
23. กลายเป็นผู้ทุศีล
24. เป็นผู้ไม่มีใจละอายบาป
25. กับอารมณ์ทั้งหก พอใจ โกรธ เสียใจ สบายใจ รักชั่ว ไม่สามารถบังคับได้
26. ปล่อยตามความใคร่ไม่รู้จักยับยั้ง
27. เป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน ทุกคนไม่อยากพบเห็นเขา
28. ญาติพี่น้องกับเหล่าบัณฑิตละทิ้งเขา
29. ทำแต่เรื่องไม่ดี
30. ละทิ้งธรรมดี
31. ไม่เป็นที่เชื่อถือของคนมีปัญญา เพราะเวลาเมาปล่อยตามอารมณ์
32. ห่างไกลนิพพาน
33. ปลูกเหตุแห่งความชั่ว
34. เมื่อตัวตาย ตกสู่ทางทุกข์สามแพร่ง จนถึงนรก
35. ถ้าได้เกิดเป็นคน ประสาทมักจะแปรปรวนบ้าคลั่ง

หลังการเมาสุรา ก็มักมีความผิดต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น จึงดื่มสุราไม่ได้ !

นิทาน   : 
ที่มณฑลฟูเจี้ยน มีนักศึกษาแซ่หลิว ปกติจะมีระเบียบ วินัยดี เขามีนักเรียนจำนวนมาก ยามปกติที่เขาสอนนักเรียน ก็จะสอนให้นักเรียนรักษาศีล มีอยู่วันหนึ่ง พอเขาดื่มจนเมาแล้วก็แย่งโสเภณีกับเพื่อน พอส่างเมาแล้วรู้สึกสำนึกผิดมาก จึงอับอายทีจะไปเจอนักเรียนของเขา ดังนั้นจึงปิดประตูตรึกตรองเงียบ ๆ อยู่ 3 วัน แล้วก็รวบรวมเขียนบันทึกถึงผลเสียของสุราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นการตักเตือนตนเองและก็เพื่อไว้เป็น "สูตรร้อยสำนึก" ยังมีนักศึกษาอีกคนหนึ่งที่มณฑลเจ๋อเจียง แซ๋แหย้ เป็นคนที่กตัญญูต่อพ่อแม่มาก รักเพื่อนรักพี่น้อง วันหนึ่งหลังเมาสุราแล้วก็ทะเลาะกับน้องชายต่างก็ด่าทอกันตอนที่บิดาออกมาตักเตือนว่ากล่าว เขากลับพูดวาจาไม่เคารพบิดา 2-3 คำ พอรุ่งเช้าตื่นขึ้น ภรรยาก็เล่าเรื่องขณะตอนเมาสุรา เมื่อเขาฟังแล้วรู้สึกเสียใจมาก จึงรีบเข้าไปหาบิดาที่ห้องก้มกราบร้องไห้ คุกเข่ารอให้บิดาอภัยโทษ อารมณ์โกรธของบิดาจึงค่อยหายไป

อธิบาย  :  โอ้ ! นักศึกษา 2 คนนี้ จิตใจเดิมเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ถ้าหากไม่เป็นเพราะเมาสุราแล้วยังจะทำเลอะเทอะหรือ ถ้าหากเป็นคนทำเรื่องร้ายแรงอันธพาลมาก่อน หลังเมาสุราจะไม่ทำเรื่องที่ยิ่งเลวร้ายขนาดหนักหรอกหรือ สุราได้ชื่อว่าเป็นธารพิษ เป็นเรื่องจริง ! 

คติพจน์   :  คนโบราณว่า "สุราเป็นตัวสัมผัสตัวหนึ่ง ถ้าหากสัมผัสกับเรื่องดี ก็จะสำเร็จในเรื่องที่ดี  ถ้าสัมผัสในเรื่องชั่วก็จะสำเร็จในเรื่องชั่ว สุราก็คือตัวการก่อเหตุปัจจัยดีชั่ว ถ้าก่อกระทำเรื่องดี ก็สำเร็จดี ถ้าก่อกระทำชั่วก็สำเร็จชั่ว พูดถึงสุราตัวสุราเองไม่สามารถกำหนดดีชั่วของคน หากแต่คนเท่านั้นที่กำหนดดีชั่วของตนเอง ! " เพระฉะนั้น คำว่าประหยัด นำมาพูดเรื่องสุราแล้วจะประหยัดได้อย่างไร ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : สายเลือดทะเลาะกัน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/07/2012, 02:27
บทที่หก  ชั่วบาป  :  สายเลือดทะเลาะกัน

อธิยาย   :   
พ่อลูกพี่น้องสายเลือดสนิทกันที่สุด เมื่อเกิดทะเลาะเบาะแว้งก็แย่งชิงกัน ในสมัยราชวงศ์ถัง ท่านจางกงอี่ (ในหนังสือร้อยขันติ) มีอายุยืนยาวอยู่ร่วมกันถึงเก้าชั่วคนได้ ก็เพราะมีขันติตัวเดียวเท่านัน การทะเลาะเบาะแว้งก็เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถอดทนมีขันติระหว่างสายเลือด  พ่อลูก  พี่น้อง  ถ้าหากมัวถามหาเหตุผล พอฝ่ายใดขาดเหตุผลก็ไม่ยอมกันแล้ว มันก็จะทำร้ายอารมณ์ ถ้าทำร้ายอารมณ์มันก็ไม่มีเหตุผลแล้วใช่ไหม ?. เพราะฉะนั้น ระหว่างสายเลือดมันจะทะเลาะเบาะแว้งกันได้อย่างไร การทะเลาะกันมักจะเกิดจากผู้หญิงเป็นต้นเหตุ ผู้หญิงมักจะคอยใส่ไฟอยู่ตรงกลาง เนื่องจากผู้หญิงจิตใจมักไม่ยุติธรรม เป็นคนที่มักระแวงขี้อิจฉา และที่พวกเธอเรียกขานว่า คุณปู่  คุณย่า  คุณอา  คุณลุง  ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน ล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่อยู่ร่วมกันแบบจอมปลอม คือเรียกขานอย่างเสียไม่ได้ ซึ่งก็ไม่มีเยื่อใยตามสัมพันธ์ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงทำร้ายความรักได้ง่าย ๆ จนเกิดสภาพทะเลาะเบาะแว้งได้ง่าย ๆ เพียงแค่ถูกกลาวหาครั้งสองครั้งก็จะสะสมความโกรธแค้นเอาไว้  ดังนั้น  ในครอบครัวจึงเปลี่ยนแปลงและเกิดเรื่องบ่อย ๆ นอกเสียจากผู้มีความมั่นคงในความสัมพันธ์อย่างมากและมีความเข้าใจอย่างมาก จึงจะสามารถสำรวจชัดแจ้งละเอียดอ่อน ไม่ฟังเสียงตอแหลของพวกผู้หญิงแล้ว ครอบครัวก็จะเกิดสมานฉันท์ปรองดองกันดี จะให้เกิดสายเลือดทะเลาะกันได้อย่างไร ?.   

นิทาน   :  ในสมัยหมิง เมืองฝู่เจียง นายเจิ้นเหลียน เขามีครอบครัวใหญ่มาก ๆ ไม่เคยแบ่งครัวเป็นเวลานาน 200 ปี เพราะฉะนั้น ที่อยู่ของเขาจึงเรียกว่าหมู่บ้าน และมีสมญานามว่า บ้านซื่อสัตย์ ขณะที่ดำรงตำแหน่ง "ไท้โช้ว" ฮ่องเต้ได้ประธานป้ายว่า "เป็นบ้านที่หนึ่งใต้หล้า" เมื่อฮ่องเต้หมิงไท่จู่ขึ้นครองราชย์แล้วก็ให้มีรับสั่งให้นายเจิ้นเหลียนเข้าเฝ้า แล้วก็รับสั่งถามว่า "บ้านของเจ้ามีเวลาทำครัว มีคนรับประทานอาหารกี่คน ?." นายเจิ้นเหลียนตอบว่า "มีหนึ่งพันคนเศษ" ฮ่องเต้เอ่ยว่า "เป็นบ้านที่หนึ่งใต้หล้าจริงหรือ !" ขณะนั้นมเหสีหม่าฮองเฮาซึ่งอยู่หลังม่านได้ยินแล้วก็พูดกับฮ้องเต้ว่า "ใต้ฝ่าบาทมีใต้หล้าเป็นบุคคลเดียวที่ดำเนินเรื่องจนสำเร็จ บัดนี้ บ้านของเจิ้นเหลียนมีตั้งกว่าหนึ่งพันคน ถ้าหากมาดำเนินเรื่องเข้าคงจะพิชิตใต้หล้าได้ง่ายกระมัง ?." ฮ่องเต้ได้ฟังคำพูดของหม่าฮองเฮาแล้วก็ให้รู้สึกตกใจ จึงถามนายเจิ้นเหลียนว่า "เจ้ามีวิธีการอะไร ทำให้เครือญาติรักใคร่ปรองดองกัน ?" นายเจิ้นเหลียนจึงทูลฮ่องเต้ได้อย่างแยบคลายว่า "หม่อมฉันไม่มีวิธีอะไร เพียงแต่ไม่ฟังคำพูดของภรรยาเท่านั้น ! " ฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็ทรงพระสรวนขึ้นมาโดยไม่รู้พระองค์ ขณะนั้นทางเหอหนานได้นำสาลี่หอมมาถวายวังหลวง ฮ่องเต้ไท่จู่จึงพระราชทานสาลี่ไป 2 ผล  นายเจิ้นเหลียนนำสาลี่เทินบนศรีษะ และเดินออกจากวัง ฮ้องเต้สั่งให้คนติดตามไปดู หลังจากนายเจิ้นเหลียนกลับถึงบ้านก็เอาสาลี้ให้คนในบ้านแล้วก็หันไปทางทิศที่ประทับของฮ่องเต้แล้วก้มกราบขอบพระคุณแล้วก็ใช้น้ำตุมใหญ่ 2 ใบ ทุบผลสาลี่ให้แหลกละเอียดผสมลงในน้ำ เหตุนี้เองคนในบ้านจึงได้ทานสาลี่ที่ฮ้องเต้ประทานให้ เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเรื่องราวนี้แล้วก็ทรงพอพระทัยมาก ต่อมาก็มาขุนนางที่คิดจะทำลายบ้านตระกูลเจิ้น กล่าวหาว่าเขาคิดกบฏ  ฮ่องเต้จึงตรัสว่า  "บ้านตระกูลเจิ้นไม่มีคนแบบนี้ นี่เพราะคนอื่นกล่าวหาใส่ร้ายเขา !" ต่อมาฮ่องเต้ไท่จู่ก็มีราชโองการ สั่งให้ตระกูลเจิ้น คัดเอาชายที่อายุเกิน 30 ปี เข้าเมืองหลวง และก็มอบตำแหน่งราชการให้ ผู้อาวุโสบ้านตระกูลเจ้น นายเจ็นอิงเดินทางมาเมืองหลวง พอเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระคุณฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไท่จู่ก็เดินมาที่ประตูเทียนฟ้าและเขียนอักษร 3 ตัวว่า  "บ้านซื่อสัตย์กตัญญู" มอบให้แก่เขา แล้วยังลงตามหาลัญจกรข้างบนของตัวอักษรด้วยพระองค์เองเชียวนะ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ชายไม่ซื่อภักดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/07/2012, 02:45
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ชายไม่ซื่อภักดี

อธิบาย   : 
ชายไม่ภักดีหนักแน่นในความดีงาม  การทำสุดความสามารถเรียกว่าจงรักภักดี และสิ่งที่กระทำถูกต้องเรียกว่าซื่อสัตย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐฉลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย และความเป็นมนุษย์นี้ผู้ชายมีคุณค่า ถึงแม้เกิดเป็นชายทั้งฉลาดและมีคุณค่าแต่กลับทุจริตคดโกง ไม่สามารถทำตามศักยภาพของตนให้ถึงที่สุดได้แต่กับโหดร้าย ได้ชื่อว่าไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดี

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ฝั้นเหวินกง (ฝั้นจงอัน) บิดาเสียตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ พอเติบโตขึ้นเขาก็ตั้งตนตั้งตัวหมั่นเพียร เล่าเรียนทั้งกลางวันและกลางคืน เขามักนั่งนิ่งตรึกตรอง เขาศึกษาเล่ารเรียนเป็นเวลาถึง 6 ปี ก็มีความเชี่ยวชาญในคัมภีร์ทั้งหก พออายุได้ 20 ปี เขาก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ เป็นหัวหน้าหน่วยราชการแถบเหอตง เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ภักดีและโปร่งใส เขาปกครองครอบครัว ๆ ก็ไม่วุ่นวาย เขาชอบใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ แต่กับการบริจาคให้กับผู้ยากไร้บรรเทาทุกข์แล้วเขาจะไม่ลังเลทำสุดกำลัง ดังนั้น นามของฝั้นจงอันไม่เพียงขจรกระจายแค่ชั่วครั้งเท่านั้น แต่ยังเป็นที่กล่าวขานกันมานับร้อย ๆ ชาติ เพราะฉะนั้น "ลูกผู้ชาย" ถ้าเอามาเทียบกับฝั้นจงอันแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ขายหน้าเลย ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : หญิงไม่อ่อนน้อม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/07/2012, 04:35
บทที่หก ชั่วบาป  :  หญิงไม่อ่อนน้อม

อธิบาย   : 
ผู้หญิงที่ไม่อ่อนโยนลุมันละไมย ในคัมภีร์จริยธรรม (ลี่จี้) ว่า "ผู้ชายนำผู้หญิง  ผู้หญิงตามผู้ชาย"  และกล่าวว่า "ผู้หญิงเมื่อยังเด็กตามบิดาพี่ชาย  เมื่อออกเรือนแล้วให้ตามสามี  เมื่อสามีตายแล้วให้ตามบุตรชาย" โอวาทตระกูลหยวนว่า  "หน้าที่ของภรรยา คือดูแลการกินดื่มของบ้านกับเสื้อผ้าของพิธีกรรม หากว่าผู้หญิงมีปัญญาฉลาดเฉลียวก็ต้องช่วยเหลือสามี เกื้อหนุนสามีในส่วนที่บกพร่อง หากว่าดุร้ายข่มเหงสามี ยุ่งเกี่ยวเรื่องนอกบ้าน ก็เหมือนไก่ตัวเมียที่ร้องเหมือนนกในตอนเช้า ปากมากลิ้นยาวเหมือนนกแก้ว  การที่ครอบครัวไม่เจริญ ก็จะเริ่มต้นจากตรงนี้เอง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ภรรยาของนายเฉินเลี้ยง นาวโห้ว นางเป็นคนอ่อนน้อมละมุนละไมย ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ นางก็จะเรียนสามีให้ทราบก่อนค่อยไปทำ นางดูแลบ้านด้วยวิธีการเยี่ยมยอด นางจะไม่ดุด่าตีบ่วไพร่ ถ้าบรรดาลูก ๆ มีที่จะดุว่าบ่าวไพร่ นางก็จะห้ามปรามลูก ๆ ว่า  "ความสูงต่ำของคน ถึงแม้จะมีความแตกต่าง แต่คุณสมบัติ กิริยามารยาท มีคุณค่าอย่างเดียวกัน !" เมื่อนายเฉินเลี้ยงเกิดโทสะขึ้น นางก็จะใช้วาจาดีตักเตือนอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้สามีหายโกรธ  ใจคอสบาย  ถ้าหากลูก ๆ ทำผิด นางก็จะไม่คอยปิดบังให้  นางมักพูดว่า "การที่ลูกไม่ดี ล้วนเกิดจากมารดาคอยปกป้องปกปิด ตลอดจนลูกได้ทำผิดมีโทษ บิดาล้วนไม่รู้เรื่องเลย !" ต่อมาลูกของนาง 2 คน เฉินอี  และ เฉินอิ่ง  ล้วนเป็นมหาราชบัณฑิตที่มีชื่อเสียงในสมัยซ่ง มีตำแหน่งราชการสูงมาก หลังจากมรณภาพแล้วยังได้รับการนับถือตั้งบูชาในศาลเจ้าด้วย

คจิพจน์   :  เคล็ดลับสร้างบุญ จื่อเซียวกล่าวว่า "ไม่ว่าผู้หญิงหรอผู้ชาย ที่บำเพ็ญกุศลไม่แตกต่างกัน แต่เพราะผู้หญิงไม่มีเรื่องมาก ถ้าหากสามารถประพฤติ "สามตามสี่คุณธรรม" ได้ ก็นับเป็นผู้หญิงที่ดี ถ้าหากมีการบำเพ็ญกุศล ก็ให้ไปบอกให้พ่อแม่สามีไปบำเพ็ญก็จะดีกว่า  เพราะว่าพ่อแม่มีเรื่องกุศล 3 อย่าง ลูกสะใภ้ก็แบ่งไปหนึ่งอย่าง  ถ้าสามีก็มีการบำเพ็ญกุศลสองอย่าง  ภรรยาแบ่งไปหนึ่งอย่าง  ถ้าหากภรรยาได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว บุญกุศลที่ได้ก็เหมือนกับสามี ถ้าหากบุญกุศลที่ภรรยาทำได้บอกกล่าวล่วงหน้า จะมีคุณค่ามากกว่าบุญกุศลที่ภรรยาไปทำตามลำพังมากมายนัก  ระหว่างพี่สาวน้องสาว และสะใภ้ด้วยกัน หากมีการทำกุศล ทั้งเขาและเราต่างส่งเสริมซึ่งกันและกัน บุญกุศลนี้ ก็นับว่าเสมอเท่ากัน ที่สำคัญต้องเกิดใจปิติไปร่วมกันทำ ต้องไม่เกิดอิจฉาเลยนะ !  ถ้าหากผู้หญิงสามารถทำตัวอ่อนโยนละมุนละไมย ช่วยสามีสั่งสอนลูก ให้ถึงที่สุดของหน้าที่ และถ้าเชื่อมั่นในเหตุต้นผลกรรม ทานเจ สวดมนต์ ปัจจุบันกายใจก็สงบสุข ลูกหลานเจริญ ก่อนสิ้นลมก็จะได้รับการชักนำจากพุทธะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปสู่แดนสุขาวดี เพราะฉะนั้น ผู้หญิงเพียงบำเพ็ญอยู่บ้านอย่างเงียบ ๆ ไม่ค่อยออกไปเตร่รอบ ๆ อยู่ข้างนอก แบบนี้ก็จะไม่เสียเวลาอันมีค่าไปเปล่า ๆ และก็สามารถลดคำครหา นินทาจากผู็อื่น ถ้าหากลูกหลานเจ็บป่วย และต้องภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง และต้องเสียเงินเสียทองไปกับงานดังกล่าวมากมายแล้วทำไมยามปกติไม่บำเพ็ญกุศล ปล่อยชีวิตด้วยตนเองเล่า ก็จะได้รับการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอง เพราะฉะนั้น เรื่องของครอบครัว ก็หวังให้เหล่าผู้หญิงบำเพ็ญกุศล สร้างบุญและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขยันทำไปเรื่อย ๆ !"
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : บ้านไม่กลมเกลียว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/07/2012, 05:00
บทที่หก ชั่วบาป  :  บ้านไม่กลมเกลียว

อธิบาย  :  สามีภรรยาไม่ถูกกัน

คติว่า  :  บ้านกลมเกลียวสรรพเรื่องก็เจริญ
โบราณว่า  "สามีภรรยากลมเกลียวกันแล้วบ้านก็เจริญ" ถ้าหากผู้หญิงไม่ได้เรียนหนังสือไม่เข้าใจเหตุผล หากมีตรงไหนไม่ถูกต้อง สามีก็ต้องอธิบายให้ชัดเจน แก้ไขชักนำเธอต้องไม่ปล่อยตามใจนาง และก็ไม่ควรโกรธหรือต่อว่า แต่ถ้าสามีเจอะภรรยาที่แข็งกระด้าง ร้ายกาจ อาจจะถูกนางข่มเหงรังแก แต่ถ้าเป็นภรรยาที่อ่อนโยนสมถะ แล้วกระทำป่าเถื่อนรุนแรง การที่รังแกคนดี แต่กลัวคนร้ายกาจ การตอบสนองของสามีเป็นเช่นนี้หรือ ?. ก็ถือเป็นสามีที่โง่เขลา รักใคร่เมียน้อย ทำอัปยศเมียหลวง หรือไปหลงนางโลมแล้วมาข่มเหงภรรยา ทั้งยังตบตีอีกด้วย สามีเช่นนี้มักไม่ได้ตายดีนะ ! 

นิทาน   :  นายกู่ไค้จะมีมารยาทกับภรรยาเขาอย่างมาก เขามักออกไปทำธุระแต่เช้าและกลับมาก็มืดค่ำแล้วภรรยาเขาจะเห็นหน้าเขาก็น้อยมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง นายกู่ไค้ป่วยหนักนอนอยู่บนเตียง ภรรยาเข้ามาดูเขาที่เตียง กู่ไค้ก็สั่งให้คนรับใช้ช่วยพยุงเขาขึ้นมาแล้วก็สวมหมวกใส่เสื้อคลุม แล้วก็ถามสารทุกข์สุกดิบกับภรรยา หลังจากคำนับต่อกันแล้วจึงเรียกภรรยากลับไปที่ห้อง

อธิบาย   :  ถ้าเราวิเคราะห์จากตรงนี้แล้ว ระหว่างสามีภรรยาจะไร้มารยาทต่อกัน แม้แต่สักครู่หนึ่งได้อย่างไร ถ้าหากสามีภรรยาปฏิบัติต่อกันด้วยมารยาทแล้ว มีหรือระหว่างสามีกับภรรยาจะไม่กลมเกลียวกัน !  แล้วการที่จะมีมารยาทต่อกันนั้นมันยากนักหรือ !  เพียงทำให้ได้กลมเกลียวโดยมีพิธี จะรักใคร่กันโดยเคารพต่อกันก็พอเพียงแล้วเอย !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ไม่นับถือสามี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/07/2012, 06:52
บทที่หก ชั่วบาป  :  ไม่นับถือสามี

อธิบาย  : 
ภรรยาไม่นับถือสามี โบราณว่า "สามีนั้นคือฟ้าของภรรยา" สามีเป็นคนที่ภรรยาพึ่งพิงตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นภรรยาจะไม่นับถือสามีได้อย่างไร ภรรยาที่ไม่นับถือสามี ไม่ใช่ภรรยาโหด ก็เป็นภรรยาล้มละลาย การใช้วาจาร้ายด่าทอสามี หรือแช่งชักสามี หารู้ไม่ว่าผู้หญิงที่ลงมาเกิด ส่วนใหญ่เพราะชาติที่แล้วได้สร้างบาปเป็นเหตุ ถ้าหากยังจะรังแกสามี ตายแล้วก็ตกสู่ทางสามแพร่งนรกนา !  โดยเฉพาะสามีเพิ่งตายใหม่ ซากกระดูกยังไม่ทันเย็นก็คิดจะหาสามีใหม่ จงมองดูลูก ๆ ที่เกิดจากสามีเหมือนคนเดินร่วมทาง ทำไมนะพอสามีตายก็ยังไม่รู้สึกเสียใจเลย แล้วตอนสามีมีชีวิตอยู่นั้นเธอจะนับถือสามีหรือ ?.
นิทาน   :  นายตู้จือเป็นคนที่ใจเสาะอ่อนแอ ภรรยาของเขานางจาง จึงดูแลเขาตลอดมา เมื่อแก่ตัวลงเขาก็เจ็บป่วยเป็นประจำ ภรรยาก็ไม่ดูแลเขาเลย พูดแล้วก็แปลก นางจางกลับตายก่อนนายตู้จือ หลังจากบรรจุศพนางจางแล้วโลงศพก็แตกออกทันที นางจางกลายเป็นงูเหลือม เลื้อยไปตามพื้นเข้าไปในป่า
อธิบาย   : โอ !  ที่โบราณว่า "สามีนั้นคือฟ้าของภรรยา" เพราะฉะนั้นการดูแลสามีก็เหมือนการดูแลฟ้านะ !  หรือว่าฟ้าก็จะดูแคลนได้ ! ขอคนที่เป็นภรรยาตรึกคิดให้ดี ๆ นะ !  วิธีการที่ภรรยานับถือสามีไม่มีอะไรเทียบเท่า  จารีตปรนนิบัติสามีและการอบรมสั่งสอนลูก เรื่องทั้งสองเป็นเรื่องสำคัญมากดังที่พูดกันว่า "หญิงเหล็กไม่มีสองสามี" หญิงหม้ายรักษาจารีตเพื่อสามี แม้แต่ผีเทพก็จะนับถือหล่อน ตัวอย่างในสมัยหมิง บัณฑิตหวงกวงในสงครามจิงคัง ภรรยาเขานางเอ็งและลูกสาว 2 คนถูกจับ นางเอ็งต้องการหนีความอัปยศอดสู จึงหาโอกาสหลบหนีพร้อมลูกสาว แล้วไปกระโดดน้ำตาย นางเอ็งกระทำสุดจารีตเพื่อสามีเช่นนี้ จึงเป็นที่เทิดทูนมานานนับหมื่นปี แม้ปัจจุบันที่เมืองฉิน ข้างแม่น้ำเหวยเหอ ในศาลเจ้ายังตั้งป้ายวิญญาณนางเอ็งให้ผู้คนมาบูชา  อีกเรื่องหนึ่ง บิดาของนายโอวหยางซิว สมัยซ่ง เสียชีวิตตอนเขามีอายุ 4 ขวบ มารดาเจิ้นฮูหยินก็รักษาจารีตเพื่อสามี ชีวิตมีความลำบากมาก นอกจากต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังต้องสอนหนังสือลูกด้วยตนเอง ทนทุกข์ยากลำบาก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้โอวหยางซิว มุ่งมานะต่อการเรียนมาก ในที่สุดก็กลายเป็นมหาอำมาตย์ที่สามารถในสมัยซ่ง ส่วนนางเจิ้นฮูหยินก็ได้รับการสถาปนาเป็นท่านผู้หญิงรัชเหย่ก๊ก และอุ้ยก๊ก คดีทั้งสองเกี่ยวกับการนับถือสามีเป็นแบบอย่างให้กับผู้ที่เป็นภรรยาเขา ควรที่จะเอาเรื่องนี้เป็นแบบอย่างให้พากเพียรเองเถิด !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : คุยข่มอวดดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/07/2012, 18:02
บทที่หก  ชั่วบาป  :  คุยข่มอวดดี 

อธิบาย   : 
มักจะดีอกดีใจหยิ่งยโสคุยโอ้อวดคุยข่ม  ท่านเหล่าจื้อว่า "ไม่คิดว่าตนเอยังเป็นคนอยู่ จึงสามารถเผยปรากฏความคิดคุยข่มอวดดีออกมาเช่นนั้น คนที่ไม่คุยโอ้อวดบุญคุณของเขาจึงได้ถูกกำหนด กิจการงานของเขาจึงจะสามารถเจริญพัฒนาไปเรื่อย ๆ " คัมภีร์อี้จิงว่า
        "หลักธรรมฟ้า  ไม่ว่าจะเป็นอะไร ผู้ที่ยโสหยิ่งทะนงเต็มภาคภูมิก็จะให้เขาต้องพร่องขาด
ส่วนผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนก็จะให้เขาได้ผลประโยชน์
        หลักธรรมดิน  ไม่ว่าจะเป็นอะไรผู้ที่ยโสหยิ่งทะนงเต็มภาคภูมิก็จะให้เขาแปรเปลี่ยนไม่ให้เขาเต็มสมบูรณ์ไปตลอด
ส่วนผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนก็จะให้เขาอุดมสมบูรณ์ไม่เหือดแห้ง เหมือนแผ่นดินที่ต่ำ เมื่อน้ำไหลผ่านก็จะเพิ่มความเต็มพร่องขาดของเขา
        หลักธรรมผีเทพ  ผู้ที่ยโสหยิ่งทะนงก็จะทำให้เขารับความเสียหาย  ส่วนผู้ทีอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะให้เขาได้รับโชคลาภ
        ถ้าหากคนที่สูงศักดิ์  แล้วยังออนน้อมถ่อมตน  คุณธรรมของเขายิ่งเผยสว่างประกาย
        ถ้าหากคนที่ต่ำต้อยแต่อ่อนน้อมถ่อมตน คุณธรรมของเขาก็ไม่อาจที่จะเลิศลอยได้  เพราะฉะนั้น อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณธรรมดีงามที่บัณฑิตต้องรักษาไว้ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงสุดท้าย !"  กษัตริย์ต้าอวี่ไม่หยิ่งทะนง ไม่คุยโอ้อวด ท่านกลับกล่าวว่า "จะเป็นชายโง่ หญิงเขลาก็ยังมีส่วนที่ดีชนะข้าอยู่ !" เพราะว่ากษัตริย์ต้าอวี่ไม่หยิ่งทะนง ไม่โอ้อวด ในที่สุดก็สามารถระบายสรรพทุกข์แก่ประชาชน ขุดลอกคูคลองจัดการบริหารน้ำหลากที่ท่วมขังได้จึงกลายเป็นผู้มีบารมีคุณนับหมื่นชาติ  ท่านโจวกง มีความรู้ความสามารถและทรัพย์สินล้นฟ้า แต่เพราะไม่หยิ่งทะนง ไม่ตระหนี่ ทั้งยังอ่อนน้อมถ่อมตนรักประชาชน  บริหารแผ่นดินด้วยความระมัดระวัง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นจนสำเร็จ กลายเป็นผู้วางรากฐาฯการบริหารของแผ่นดินให้มีความสงบได้ยาวนานของราชวงศ์โจว  เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า มหาอริยปราชญ์ ล้วนเป็นผู้ที่ระมัดระวังเหมือนเดินบนขอบน้ำแข็งที่เปราะบาง แต่ละที่แต่ละจุดจะตั้งอกตั้งใจทำทั้งนั้น !  อย่างเช่นท่านอริยปราชญ์ต้าอวี่กับโจวกงทั้งสอง พวกเขาจะมีหรือที่จะเอาคุณธรรมของตนไปคุยโอ้อวดกับคนได้อย่างไร ?. แต่ทว่าคนในปัจจุบันก็จะคุยโอ้อวดกับคนอื่นด้วยความหยิ่งทะนง ไม่รู้จะทำไปเพืออะไร ?. อันที่จริงแล้วคนที่เห็นเขาก็เหมือนนักเลงกลางคืนที่อวดเบ่งเท่านั้น !  ในสมัยฮั่น นายกู่เสวียงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยามา 3 วันแล้ว แต่คนในบ้านก็ยังไม่รู้ ในสมัยจิ๋น นายเซี้ยอันกับแขกกำลังเล่นหมากกระดานกันอยู่ การรบที่ได้ชัยชนะที่เฟ้ยซุ่ยส่งข่าวด่วนตรงมา แขกที่อยู่ก็ยังไม่รู้เลย  ในสมัยซ่ง ขุนพลใหญ่เฉาปิงปราบปรามแถบเจียนหนานกลับเข้าวัง เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ยามที่เฝ้าประตูเข้าวังก็พูดแต่ว่า "มารับราชโองการเรื่องไปปราบเจียนหนานแล้วจะกลับ"  (หมายความว่า ทำงานสำเร็จแล้ว ยามเฝ้าประตูยังไม่รู้เรื่องเลย แสดงว่าผู้รับสนองราชโองการไปทำงานสำเร็จกลับมาแล้ว ไม่ได้คุยโอ้อวด คนจึงไม่รู้กัน)  ในสมัยซ่ง มีขุนนางปราชญ์หวังเอี้ยนเป้อ ในรัชสมัยเหยินจง ตลอดรัชกาลได้เสนอให้ตั้งพระโอรสอิงจงเป็นรัชทายาท (พระเจ้สอิงจงอยู่ในตำแหน่ง 4 ปี) รอจนพระเจ้าเซินจงสืบสมบัติแล้ว เหวินเอี้ยนก็พูดเพียงว่าเป็นความเหนื่อยยากของหันฉี เท่านั้น พระองค์จึงรู้ว่า เหวินเอี้ยนเป๋อไม่คุยโอ้อวดว่าเป็นความเหนื่อยยากของตน ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นนักปราชย์อันดับหนึ่งทั้งนั้น  มีบุญคุณรับใช้ประเทศ ซึ่งอุทิศตนยิ่งใหญ่มาก พวกเขาก็ยังถ่อมตนไม่หยิ่งทะนง แล้วทำไมพวกเราไม่รู้จักเอาพวกท่านเหล่านั้นเป็นแบบอย่างเล่า !  ผู้ที่มีใจกว้าง บุญวาสนาจะใหญ่มาก แน่นอน คนใจแคบก็บุญวาสนาน้อย การอ่อนน้อมกับหยิ่งทะนง ก็คือเส้นแบ่งระหว่างภัยเคราะห์กับบุญวาสนา แล้วเราจะไม่ระมัดระวังหรอกหรือ ?. แม้แต่ความร่ำรวยมีศักดิ์มีความสามารถจะมีอะไรเต็มเปี่ยมจนน่าถือหรือ ?. ถ้าหากถือเอาสิ่งนี้มาหยิ่งทะนง ไม่ว่าเขาจะมีเคราะห์ภัยด้วยเหตุนี้หรือไม่ก็ไม่ต้องว่าเอาไว้ก่อน เริ่มแรกเขาก็ได้สูญเสียใจของตนเองไปแล้วโดยไม่รู้จักละอายแล้วนะ !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : อิจฉาตาร้อน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2012, 01:27
บทที่หก  ชั่วบาป   :  อิจฉาตาร้อน

อธิบาย   :  มักจะแย่งชิงความรักใคร่จนเกิดอิจฉาตาร้อน
ทั้งผู้ชายผู้หญิงต่างก็มีใจอิจฉา  พวกผู้ชายเห็นผู้อื่นมีชื่อเสียง มีตำแหน่งก็เกิดอิจฉา เห็นผู้อื่นเขาร่ำรวยก็อิจฉา ตำแหน่งการงานของคนอื่นไล่ติดตนเข้ามาทุกทีก็เกิดอิจฉา มีความสามารถเก่งกว่าตนก็เกิดอิจฉา ทั้งหมอนี้ก็เกิดจากใจคอตนเองคับแคบนั่นเอง !  ส่วนผู้หญิงก็ัมักเกิดการแย่งชิงความรักใคร่ อยากให้เขาเอ็นดูตนมากกว่า ผู้อื่นจนผูกความแค้น ซึ่งมักนำมาซึ่งเคราะห์ภัยสู่ครอบครัว แม้กระทั่งขาดผู้สืบสกุล บาปกรรมเช่นนี้หนักหนามาก ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนล้วนต้องกัดฟันทนด้วยความเจ็บปวด เมื่อตายไปแล้วก็ร่วงลงสู่นรกเป็นเปรต เพื่อชดใช้กรรมที่เธอก่อเอาไว้ เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญตัวมีใจตรง เป็นคนแสดงความบริสุทธิ์ จะว่าเป็นหน้าที่ของพวกผู้ชายอย่างนั้นหรือ ?. 

อธิบาย   :   ในสมัยโจวกง ขุนพลหลงเจียนของก๊กเหว่ย เนื่องด้วยอิจฉาความสามารถของซุนปิง จึงต้อขาของซุนปิงขาด ต่อมากลับถูกซุนปิงฆ่าตาย  ในสมัยถัง ขันทีอวี่เฉาเอิน  เฉินหยวนเจิ้ง  อิจฉาเก๋อจื่ออี่ที่มีคุณงามความดีมาก แต่ละครั้งก็คิดแต่จะกล่าวร้ายวางแผนทำลายเก๋อจื่ออี่ สุดท้ายกลับถูกตัดสินลงโทษ อวี่เฉาเอินถูกฆ่า เฉินหยวนจิ้งก็ถูกเนรเทศไปที่กันดาร ในสมัยซ่ง ขุนนางกังฉินหันปี่เว้ยอิจฉาจูฮีเซิน ที่รับหน้าที่ดูแลตำหนักห่วนจางเก้อ กังฉินหันจึงรวบรวมพรรคพวกแล้วกล่าวหาว่าจูฮีเป็นบัณฑิตปลอม ขณะเดียวกัน พวกบัณฑิตก็ถูกขจัดทิ้งหรือถูกคุกคามข่มขู่ ต่อมากังฉินหันก็ถูกเออหยวนฆ่าตาย  ที่ก๊กเป่ยฉีสือหมิงถั่น ถ้าเขาเห็นว่าผู้อื่นสูงเกินเลยตนก็จะอิจฉามาก ต่อมาสือหมิงถันกลายเป็นงูเหลือมเลื้อยอยู่ในป่ามุ่งไปทางหุบเขา ฮ้องเต้หลียงอู่ตี้มีตำหรับระงับอิจฉาเผยแผ่ให้กว้างขวางสู่ขุนนาง อย่างนี้ก็จะทำให้คนที่ไม่มีความสามารถไม่อิจฉาคนที่มีความสามารถ  คนชั่วที่เห็นแก่ตัวก็จะไม่อิจฉาคนที่ไม่เห็นแก่ตัว ผู้ไม่สะอาดสุจริตก็จะไม่อิจฉาคนสะอาดสุจริต ผู้ที่มีความโลภทรัพย์ก็ไม่อิจฉาคนสุจริตสะอาด เป็นวิธีหนึ่งที่ตักเตือนแปรเปลี่ยนที่ดี !  ฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ก็ทรงเห็นด้วย  จากคดีประวัติศาสตร์ที่ยกมาเหล่านี้ คนที่เป็นโรคอิจฉา ใช่จะมีแต่พวกผู้หญิงเท่านั้น พวกผู้ชายก็มีความอิจฉาเช่นเดียวกัน !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั้่วบาป คัมภีร์ : ไม่ดีต่อบุตรภรรยา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2012, 02:01
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ไม่ดีต่อบุตรภรรยา

อธิบาย   : 
สามีกระทำต่อภรรยาไม่เป็นธรรมไม่มีเมตตา อาการที่กระทำต่อภรรยา ควรจะละมุนละไมให้ความนับถือ กระทำต่อบุตรควรจะเข้มงวดตั้งตรง หากกระทำต่อภรรยาไม่สามารถเอาจริยธรรมมาปฏิบัติต่อกันก็จะสูญเสียหลักธรรมที่ว่า "สามีว่าภรรยาตาม" ถ้าหากไม่สามารถเอาหลักธรรมมาสั่งสอนลูกก็จะเป็นการทำลายบุญคุณที่บิดาเลี้ยงดูอบรมไป การไม่เป็นธรรมและไม่มีเมตตาเป็นสิ่งไม่ดี ปัจจุบันคนที่เป็นสามีที่ปฏิบัติต่อบุตรภรรยา ถ้าไม่ใช่จืดชืดไร้คุณก็จะไร้จริยธรรมกับบุตรถ้าไม่ตามใจจนเลยเถิดก็มักจะดุด่าเกินไป เมื่อตนเองไม่มีธรรม ไม่เมตตาแล้ว แล้วจะไปโทษบุตรภรรยาได้อย่างไร ?.

นิทาน   :  ที่เมืองตู๋โจว นายหวังเหยารักใคร่ลูกชาย 2 คนของเขามาก จนในที่สุดลูกชายก็มีนิสัยชั่วร้าย ตนเองไม่สามารถควบคุมลูกชายได้จนต้องไปร้องต่อศาล ต่อมาลูกชายทั้ง 2 ก็ตายลง คือปีที่ 2  วันที่15  เดือนสอง  ที่ศาลเจ้าหลักเมืองนายหลิวจิ้งผู้ทำหน้าที่บูชาแลเห็นคนหนึ่งในศาลเจ้า มือถือใบฏีกา กำลังถวายฏีการ้องของการเซ่นไหว้วันเซ็งเหม็ง เจ้าหลักเมืองโกรธมากพูดว่า "หวังเหยา เธอมีลูกชายแต่ไม่ดูแลสั่งสอนให้ดี ๆ จนทำให้ตนเองขาดผู้สืบสกุล แล้วจะให้ใครมาเซ่นไหว้เจ้าเล่า ?." หลังจากเจ้าศาลหลักเมืองพูดจบก็สั่งให้ผียามขับไล่หวังเหยาไป นายหวังเหยาได้แต่ร้องไห้โฮ แล้วก็จากไป พอวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ศาลเจ้าหลักเมืองจึงเดินทางไปที่บ้านนายหวังเหยา จึงรู้ว่านายหวังเหยาได้ตายไปกว่าหนึ่งปีแล้ว

อธิบาย   :  โบราณว่า  "ลูกบ้านขงจื่อด่าไม่เป็น ลูกบ้านหุยจื่อทะเลาะกันไม่เป็น" เหล่านี้ล้วนเป็นนิสัยที่ฝึกหัดกันมาเป็นสาเหตุยังพูดอีกว่า "การเลี้ยงดูลูกเหมือนการเลี้ยงต้นจือหลัน (ดอกคล้ายต้นเตยแต่เล็กกว่า ดอกหอม ถือเป็นดอกไม้ผู้ดี) ต้องสั่งสมการศึกษาปลูกฝังลูกหลาน อีกทั้งต้องสั่งสมกุศล เพื่อให้ลูกหลานชุ่มชื่น"  บิดาไม่ควรรักลูกจนเกินเลย ลูกต้องถูกอบรมเคร่งครัดตั้งแต่เล็ก ๆ การกินดื่มเครื่องนุ่งห่มจะต้องแบ่งปันเสมอภาคกัน ต้องมีสัมมาคารวะระหว่างผู้พี่และผู้น้อง จะต้องเคร่งครัดปฏิบัติ จะต้องแยกแยะให้ชัดเจนในเรื่องถูกผิด ความดีความชั่ว ในขณะที่ลูกยังเล็กอยู่ จะต้องสอนเขาให้ยุติธรรมเสมอภาคกัน ต้องมีสัมมาคารวะระหว่างผู้พี่ผู้น้อง จะต้องเคร่งครัดปฏิบัติ จะต้องแยกแยะให้ชัดเจนในเรื่องถูกผิด ความดีความชั่ว ในขณะที่ลูกยังเล็กอยู่ จะต้องสอนเขาให้รู้จักยุติธรรมเสมอภาค เติบโตขึ้นก็จะไม่มีภัย เรื่องแย่งชิงสมบัติต้องสั่งสอนเคร่งครัดตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้นก็จะไม่มีภัยจากความหยิ่งทะนง ต้องสอนให้รู้จักดีชั่วบาปบุญตั้งแต่เล็ก โตแล้วก็จะไม่ประสบกับเคราะห์ภัย จากการเป็นอันธพาล รวมกันที่กล่าวมาแต่ต้นก็จะรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร" 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ไร้จริยาต่อพ่อปู่แม่ย่า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/07/2012, 04:41
บทที่หก ชั่วบาป  :  ไร้จริยาต่อพ่อปู่แม่ย่า

อธิบาย   :  สะใภ้ปฏิบัติต่อพ่อปู่แม่ย่า ไม่เคารพ ไม่กตัญญู
เรื่องลูกสะใภ้ปรนนิบัติต่อพ่อปู่แม่ย่านั้นก็เหมือนกับลูกชายที่ปรนนิบัติต่อบิดามารดา  กิริยากับสีหน้าต้องยินดีพอใจ อารมณ์เย็น เสียงนุ่มนวล  จะต้องสนใจความร้อนหนาวและป่วยไข้ของพ่อปู่แม่ย่า การเดินเหินก็ต้องคอยประคอง การปรนนิบัติต่อพ่อปู่แม่ย่า ถ้าบกพร่องเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าไม่กตัญญูแล้ว และโทษบาปชนิดนี้สวรรค์รู้ดีนัก มักได้รับการลงโทษจากสายฟ้าตอบสนอง ความเกี่ยวข้องระหว่างลูกสะใภ้กับพ่อปู่แม่ย่าสำเร็จได้ด้วยการแต่งงานกับสามี แต่ลูกชายกับพ่อแม่เกี่ยวข้องกันด้วยสายเลือดสนิท !  ตั้งแต่โบราณมาแล้ว ลูกชายมักไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่ลูกสะใภ้กลับจะกตัญญูต่อพ่อปู่แม่ย่า คงไม่มีเหตุผลเช่นนี้หรอกกระมัง !  เพราะการที่ลูกสะใภ้กตัญญูต่อพ่อปู่แม่ย่าก็เป็นเพราะลูกชายกระทำตัวดีสำเร็จดังนั้นผีสางเทวดาคงไม่ใช่จะลงโทษ เพียงแต่ลูกสะใภ้เป็นการเฉพาะหรอกนะ หวังว่าคนที่เป็นลูกชายเขาจะต้องตรึกคิดให้รอบคอบนะ ! 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง รัชสมัยฮ่องเต่ฉงเจิน ปีที่ 5 วันนที่ 22  เดือน 3 นางผิงภรรยาของนายเหมาจี่จง อำเภอซันหยาง เมืองเฟ่ยอัน นิสัยของนางมีความกตัญญูสูงสุด แม่ย่าเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่เจ็บป่วยหนัก นายเหมาจี่จงก็บังเอิญลำเลียงเสบียงอาหารเข้าเมืองหลวง นางผิงหมดปัญญา พอตกกลางคืนก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วก็อ้อนวอนต่อฟ้าเบื้องบนที่จะยอมตายแทนแม่ย่า ดังนั้นจึงเอามีดแทงเข้าที่ช่องท้อง ส่วนปลายของตับก็แลปออกมา ช่วงขณะนั้นก็ได้ยินเสียงลูกชายร้อง ก็กลัวว่าลูกชายจะร้องหนวกหูแม่ย่า จึงเอามือกดบริเวณแผลไว้ชั่วคราว เข้าไปกล่อมลูกให้หลับ ต่อมาก็เป็นห่วงว่าได้ตับเพียงเล็กน้อยไม่พอที่จะเยียวยาโรคของแม่ย่าได้ จึงตั้งใจศรัทธาภาวนาต่อเบื้องบนอีกครั้ง แล้วก็ตัดเอาตับออกมาอีก ตอนนั้นเองพระจันทร์ก็ยังไม่ขึ้นมาเลย ฉับพลันท้องฟ้าก็สว่างพรึบขึ้นมา ส่องเข้าที่ร่างกายของนางผิง สว่างเหมือนดวงอาทิตย์อย่างใดอย่างนั้น  นางผิงก็ตัดตับออกมาอีกชิ้นหนึ่ง  จากนั้นก็รีบต้มจนสุกเป็นน้ำแกงนำไปให้แม่ย่ารับประทาน ทันทีที่แม่ย่าทานเข้าปากก็ให้รู้สึกหวานอร่อย ยังถามนางว่า "นี่เป็นอะไร ! ทำไมอร่อยอย่างนี้ ?." นางผิงก็แกล้งพูดว่า "ข้างบ้านจับกวางได้ตัวหนึ่ง มันเป็นตับของกวาง !" แม่ย่าก็ทานน้ำแกงตับจนหมด พูดแล้วก็แปลก ! ความเจ็บป่วยก็หายไป เป็นเพราะนางผิงมีความตั้งใจศรัทธามาก บาดแผลจึงไม่เจ็บปวดนัก แต่คราบเลือดอำพลางไม่ได้ น้องสาวสามีคนเล็กเห็นเข้า เรื่องนี้ทำให้คนทั้งบ้านตกใจ แม่ย่าจึงรู้ว่าลูกสะใภ้ได้ช่วยชีวิตตนไว้  รู้สึกซาบซึ้งจนร้องไห้น้ำตาไหล ทำให้ยิ่งรักลูกสะใภ้มาก ในตอนนั้น บัณฑิตในหมู่บ้านก็จะเขียนเรื่องราวนี้เพื่อทูลเกล้าฮ่องเต้ แต่ว่าพวกข้าราชการต้องการเงินตอบแทนไม่รู้พอ จึงไม่อาจนำเรื่องนี้กราบทูลได้  โชคดีที่เมืองเหว่ยโจวมีบณฑิตคนหนึ่งชื่อเจียงเทียนอิก ได้เขียนรวบรวมเรื่องแปลกประหลาดไว้เป็นเล่ม จึงมีเรื่องราวเรื่องนี้สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง เจี๋ยเสิ่นดำรงตำแหน่งทูตวัฒนธรรมเมืองกู่โจว สมัยนั้นก็มีแม่บ้านคนหนึ่งปรนนิบัติแม่ย่าไม่ดี เป็นเพราะแม่ย่าอายุมาก ตาก็บอด แม่บ้านก็เอาอาหารสกปรกให้แม่ย่ากิน แม่ย่ารู้สึกกลิ่นไม่ดี พอดีลูกชายไปข้างนอกกลับมา ก็จูงมือลูกชายมาถาม ลูกชายจึงเห็นว่า ภรรยาเอาอาหารสกปรกให้แม่ย่ากิน ได้แต่เหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วร้องไห้ใหญ่ ทันใดนั้น ฟ้าพิโรธสายฟ้าคะนอง แล้วสายฟ้าก็ได้ผ่าตัดคอแม่บ้านออก แล้วก็มีหัวสุนัขเสียบติดแทน เมื่อนายเจี๋ยเสินรู้เรื่องเข้า ก็มีคำสั่งให้แม่บ้านคนนั้นออกมา แห่ไปรอบเมือง เพื่อเป็นการตักเตือนคนที่ไม่กตัญญู

อธิบาย   :  คนปัจจุบัน อะไร ๆ ก็ว่าอารมณ์ผู้หญิงเหมือนน้ำที่เปลี่ยนแปลงเร็ว  เพราะฉะนั้นจึงยากที่จะสั่งสอนจนได้ผล การพูดแบบนี้ถือว่าไร้เหตุผล !  สมัยนี้เกิดเป็นหญิง พ่อแม่ก็ขาดการอบรมสั่งสอน แต่งไปเป็นสะใภ้บ้านอื่น สามีโง่ ๆ ก็ไม่มีปัญญาสั่งสอนภรรยา จึงรู้สึกว่าภรรยาอกตัญญู มีนิสัยริษยาจนควบคุมไม้ได้ ถ้าหากพ่อแม่ฝ่ายหญิงตั้งแต่เล็กจนแต่งงาน ให้การอบรมสั่งสอนเธอให้กตัญญูต่อพ่อปู่แม่ย่า เคารพสามี มีมรายาทอ่อนโยน ถึงแม้ว่าแต่งให้กับสามีที่ไม่เก่ง ก็จะรู้จักว่าตนควรจะทำตัวอย่างไรช่วยสามีสร้างบ้านทำมาหากิน ถ้าบังเอิญแต่งให้กับคนที่มีความสามารถก็ยิ่งสามารถสำแดงความเป็นศรีภรรยา แม่ศรีเรือนได้ดี เพราะฉะนั้น การอบรมลูกสาวและลูกชายมีความสำคัญเหมือนกัน เหตุผลแบบนี้ ควรพูดให้ชัดเจนกับคนทั่วไปด้วยนะ ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ดูถูกวิญญาณบรรพชน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/07/2012, 05:46
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ดูถูกวิญญาณบรรพชน

อธิบาย   :  บรรพชนก็ดี บิดามารดาก็ดี
ภายหลังวายชนม์ไปแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเขายังอยู่ เราเรียกวิญญาณบรรพชน ในกรณีจัดพิธีกรรมงานศพไม่มีมรายาท ไม่ให้ความเคารพ ขัดจารีตประเพณี ไม่จัดงานศพโดยเร็ว หรือเครื่องเซ่นไหว้ไม่ตั้งใจศรัทธา  ตระเตรียมไม่ขยัน ทำความสะอาดบริเวณบูชาแท่นบรรพชน การเซ่นไหว้ทำบ้างหยุดบ้าง คือไม่ให้ความสำคัญกับการเซ่นไหว้บรรพชนเหล่านี้ถือว่าดูถูกวิญญาณบรรพชน มีคำกล่าวว่า น้ำมีต้นน้ำ ไม้มีต้นราก แล้วมนุษย์เล่าจะลือวิญญาณบรรพชนหรือ ?. ถ้าหากมีบกพร่องต่อเรื่องดังกล่าวแล้ว ก็ไม่คู่ควรเป็นมนุษย์เลย ! 

นิทาน   :  ในสมัยเหลียง
ราชบุตรเจียงหมิง  นามเชียวทง มีนิสัยกรุณากตัญญู มารดาราชบุตรเจ้าจอมติงกุ้นสิ้นชีพแล้ว ราชบุตรเสียพระทัยไม่ยอมดื่มยอมเสวยเลย แต่ละครั้งที่ทรงกรรแสงก็จะเป็นลมล้มทุกที  พระเจ้าเหลียงอุ่ตี้ จึงตักเตือนเขาว่า "ร่างกายคนถึงแม้จะตายไปแล้ว แต่จิตหาสูญไปไม่ ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะทำร้ายร่างกายตนเองแบบนี้ได้หรือ ?" ดังนั้น ราชบุตรจึงฝืนเสวยพระกระยาหารเล็กน้อย นับตั้งแต่พระเจ้าเหลียงตักเตือนจนถึงวันที่นำพระศพเจ้าจอมติงกุ้ยลงฝัง  ราชบุตรยอมเสวยข้าวต้ม  เพียงแค่น้ำหนักขีดเดียวเท่านั้นในแต่ละวัน เดิมทีร่างกายของราชบุตรแข็งแรงมาก เข็มขัดรอบเอวลดลงเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว เพราะฉะนั้น ในแต่ละครั้งที่เข้าเฝ้าพระเจ้าเหลียง บรรดาเหล่าขุนนางและประชาชนเห็นเข้าก็ต่างเสียใจน้ำตาไหล ที่เห็นราชบุตรผอมลงเช่นนั้น

อธิบาย   :  ในบทบันทึกบุญบาป "หลังจากพ่อแม่ตายแล้ว ถ้าหากภายใน 3 ปีไม่ฝังศพให้เสร็จ แม้จะเกินเวลาไป 1 เดือน ถือว่าเป็นความผิด 10 บาป ถ้าหากไม่จริงใจจัดฝังศพจนเป็นเหตุทำให้ศพพ่อแม่ชำรุดเสียหาย ถือเป็นความผิด 100 บาป  เมื่อพบว่าชำรุดเสียหายแล้วไม่รีบแก้ไข เวลาผ่านไปหนึ่งวัน ก็มีความผิด 10 บาป"  "เวลาเซ่นไหว้บรรพชน ไม่รักษาเวลาถือว่าไม่เคารพความผิด 1 บาป  ถ้าเพลินเสพสุขจนลืมเวลาเซ่นไหว้ มีความผิด 5 บาป" 

นิทาน   :  นางเติ้งจั่วหมิง 
แต่ละครั้งที่ไปเซ่นไหว้สุสาน เขาต้องค้างคืนหนึ่งที่สุสาน รุ่งขึ้นจึงค่อยกลับบ้าน เขาว่า "ในหนึ่งปีมาที่สสุสานเพียงไม่กี่วัน เพราะฉะนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมามองดูแล้วก็จากออกไป"

อธิบาย   :  นี่คือวาจาที่พูดออกจากใจจริง !  ปัจจุบันนี้
คนที่ไปสุสานวันเซ็งเหม็ง เพื่อเซ่นไหว้ทำความสะอาดสุสาน เวลาที่เหลืออยู่ก็ไปเที่ยวแตร่ไม่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอย่างไร พอถึงเวลาเซ่นไหว้ พี่น้องเพื่อนมิตรกลุ่มใหญ่ก็ปล่อยตัวปล่อยใจเที่ยวแตร่เต็มที่แล้วก็กลับ เพราะฉะนั้น วันเซ็งเหม็งจึงเปลี่ยนไป ไม่ใช่ไปเซ่นไหว้ทำความสะอาด หากแต่ไปเที่ยวปิกนิค ไม่ใช่ไประลึกคุณผู้วายชนม์ หากแต่ไปท่องเที่ยวเท่านั้น โอ ! การเลี้ยงดูบิดามารดาไม่เพียงพอ แต่บุตรภรรยากินอิ่มหมีพีมัน อย่างนี้มีประโยชน์อันใดเล่า ? ขณะที่พ่อแม่มีชีวิตอยู่การเลี้ยงดูก็บกพร่อง ตายไปแล้ว จะใช้เงินมากแค่ไหนจัดงานศพก็จะมีประโยชน์อันใดเล่า ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร : ขัดขืนคำสั่งเบื้องบน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/07/2012, 11:47
บทที่หก ชั่วบาป  :  ขัดขืนคำสั่งเบื้องบน

อธิบาย   :  การขัดคำสั่งหน่วยเหนือ
คนที่อยู่ใต้คำสั่งคือผู้น้อย ผู้อยู่หน่วยเหนือคือผู้ออกคำสั่ง เช่น ข้าราชบริพารรับคำสั่งจากพระราชา  บุตรชายหญิงรับคำสั่งจากบิดามารดา  ลูกศิษย์รับคำสั่งจากอาจารย์  ถ้าหากคำสั่งที่หน่วยบนสั่งลงมา ถ้าไม่มีเหตุผล ไม่อาจปฏิบัติได้ ก็ควรที่จะอธิบายให้ชัดเจนว่า คำสั่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้มีเหตุผลอะไรบ้าง ถ้าหากเป็นคำสั่งที่ถูกต้องด้วยเหตุผลควรปฏิบัติ  แต่กลับไม่ไปปฏิบัติก็จะมีโทษ ยิ่งเป็นการฝ่าฝืน ขัดขืนคำสั่งเบื้องบน วันหลังก็จะกลายเป็นข้าราชการโจรที่ก่อกบฏวุ่นวาย ! 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง นายเถาอันเป็นชาวตันทูเมืองอันฮุย พระเจ้าหมิงไท่จูมีคำสั่งให้เถาอันมีหน้าที่ปกครองเมืองหวงโจว ทั้งยังกำชับเขาว่า "เจ้าต้องดูแลประชาชนของหวงโจวให้ดี ๆ ! เมื่อเถาอันรับคำสั่งจากฮ่องเต้ ด้วยความพินอบพิเทาแล้วก็เดินทางไปเมืองหวงโจว เขาได้งดเว้นเก็บภาษี  ประหยัดรายจ่าย  ให้การศึกษา  ลดโทษให้เบาขึ้น  ประชาชนต่างพอใจกับการปกครองของเขา ทุกคนรู้สึกดีใจและจริงใจปฏิบัติ ทางราชสำนักก็เลื่อนตำแหน่งให้เป็นบัณฑิต แล้วก็ย้ายเขาไปตรวจตราที่มณฑลเจียงซีด้วย แต่ละเรื่องที่เถาอันจัดการ เขาจะจริงใจลงแรงไปทำ และก็ทำตามคำสั่งของพระราชาทุกประการ หลังจากเถาอันตายแล้ว พระราชายังเขียนคำไว้อาลัยให้เขาด้วยพระองค์เอง ทั้งยังประทานเกียรตินามให้ด้วยเพื่อปกคุ้มลูกหลาน ลูกหลานของเถาอันก็สอบได้ตำแหน่ง เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วย

อธิบาย   :  ปัจจุบันข้าราชการผู้ใหญ่ที่ปกครองต่างจังหวัด ล้วนเป็นผู้รับผิดชอบที่หน่วยกลางมอบให้อันเป็นภาระหนัก มีบางคนก็ไม่ทำสุดหน้าที่ ทำร้ายประชาชน  เขาไม่เข้าใจถึงพระเจ้าอยู่หัวหวังให้เขาไปอบรมสั่งสอนประชาชนให้อยู่ดีิกินดี  โทษแห่งการขัดขืนคำสั่งเบื้องบนเช่นนี้มีบาปมหันต์ ถ้ามองด้านประชาชน ก็จะทำอะไรเขาไม่ได้เลย มีหรือจะเข้าใจว่าเบื้องบนได้ตรวจตราดูแลไม่รั่วไหลแม้แต่น้อยเลย เพราะฉะนั้น การที่จะกระทำต่อประชาชนอย่างป่าเถื่อนยังไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับฟ้าเบื้องบน ยิ่งไม่อาจข่มเหงหลอกลวงได้เลย ! 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ทำสิ่งไร้ประโยชน์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/07/2012, 12:23
บทที่หก ชั่วบาป  :  ทำสิ่งไร้ประโยชน์

อธิบาย   :  สิ่งที่กระทำไม่มีประโยชน์ต่อตนเองแม้แต่น้อย
เรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้ ฉับพลันก็สูญเสียแล้ว นอกจากการสั่งสมบุญกุศลเท่านั้น การกระทำเป็นเรื่องประโยชน์กับสังคม  ช่วยขจัดความเลวร้ายต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นบุญกุศลสำหรับตนเองใช้ได้ทุก ๆ ชาติไม่หมด เช่นนี้จึงจะเป็นเรื่องที่มีคุณประโยชน์ ถ้าหากเป็นการเรื่องสร้างบ้านอาคารใหญ่โต ซื้อที่ดิน เครื่องนุ่งห่ม รถยนต์ และการสะสมกลอนกวี ภาพวาด วัตถุโบราณ ฯลฯ ต่าง ๆ เป็นต้น ล้วนเป็นเรื่องไม่มีประโยชน์ นอกจากเหน็ดเหนื่อยป่วยใจ ประโยชน์สักนิดก็ไม่มี ตลอดจนการตบแต่งไฟสีเพื่อร้องรำทำเพลง  ดื่มสุรา  สูบบุหรี่  เสพนารี ฯลฯ เป็นต้น  ไม่เพียงไม่มีประโยชน์ยังก่อเกิดเรื่องร้ายต่าง ๆ อีกด้วย

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายจางหย่งขณะที่ปกครองเมืองเฉินตู ได้คิดคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนว่าจะลำบากจนเกิดมีขโมยโจรขึ้น จึงดำเนินเป็นนโยบายกดราคาข้าวให้ลดลง และให้ขอยืมได้ นับตั้งแต่ให้ขอยืมข้าวได้ แม้ว่าจะเกิดภัยแล้งเก็บเกี่ยวไม่ดี  ประชาชนก็ไม่อดข้าวตาย นายเฉินเย้าจั่ว ขณะปกครองเมืองกว่างหนานและประสบกับภัย เขาพบว่าคนท้องถิ่นมีประเพณีอย่างหนึ่งคือ เวลาเจ็บป่วยไม่หายากิน  แต่กลับไปภาวนาอ้อนวอนต่อผีเจ้าให้ช่วยให้หายไข้ ในที่สุดก็มีคนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก นายเฉินจึงรวบรวมตำหรับยาที่ครอบครัวสะสมไว้ แล้วก็จารึกไว้บนแผ่นศิลาในโรงเตี้ยมที่พักแรมเพื่อให้ผู้คนเห็น  คนพื้นเมืองจึงใช้ตำหรับยานั้น ๆ ไปรักษาโรค การเจ็บป่วยก็หาย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการแก้ไขนิสัยคนพื้นเมืองที่ไม่ดีได้ สภาพของประชาชนมีสุขภาพดีก็เพราะเขาเป็นคนแก้ไข  ขณะที่ซูตงปอเป็นเจ้าเมืองหันโจว ได้ขุดคลองเชื่อม 2 คลองให้เดินทางได้สะดวก ทั้งยังขุดสระเล็ก 6 สระ สร้างทำนบยาวและปลูกต้นหลิวบนทำนบเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับทำนบ ประชาชนจึงเรียกทำนบนั้นว่า เขื่อนซูตง นายหยูตงกวน เป็นนายอำเภอเมืองซุ่นเซียง นิสัยของคนท้องถิ่น ถ้าคลอดลูกเป็นผู้หญิงเขาจะกดให้จมน้ำตาย  หยูตงกวนจึงเขียนคำตักเตือนขึ้นมาบทหนึ่ง แล้วก้เชิญพวกผู้เฒ่ามาที่จวนแล้วก็ตักเตือนปลอบขวัญ พร้อมนำบทคำเตือนที่เขียนไว้มาอ่านกล่อมเกลาตักเตือนบรรดาผู้เฒ่า เพื่อหวังให้พวกเขาช่วยเหลือแก้ไขนิสัยไม่ดีเหล่านี้ ในที่สุดนิสัยการฆ่าเด็กทารกหญิงก็หมดไป การแก้ไขไปในทางดีเกิดขึ้นด้วยเหจตุนี้เอง

อธิบาย   :  การกระทำดังกล่าวล้วนมีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้คุณค่าสำคัญของบัณฑิตอยู่ที่ศักยภาพ ที่ทำประโยชน์แก่คนอื่น และสังคม มิใช่แต่คุยอวดหรือวิจารณ์เท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วมันไม่มีประโยชน์ต่อการกระทำเลย ตลอดจนพวกเราควรที่จะบำเพ็ญตัวให้ตรงมีธรรม สำรวจความบกพรอง  แก้ไขนิสัยเลวของตน  ควรรู้ว่าเวลาในแต่ละวันก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ยังจะมีเวลามาทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์อีกหรือ ?. นอกเสียจากจิตที่ประภัสสรกลมสมบูรณ์ของเราเท่านั้น ถึงแม้จะผ่านกาลเวลาเป็นกัปกัลป์ ก็จะคงอยู่ไม่แปรเปลี่ยน ที่จริงก็ไม่มีการเกิดและก็ไม่มีการดับหรอก !  คนปัจจุบันมักใช้เวลาไปกับการพูดคุยให้หมดไปวัน ๆ ทำไมหนอจึงไม่ลงแรงสร้างบารมีให้กับจิตใจของตนเองบ้าง ?. 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : คับแค้นนอกใจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2012, 02:35
บทที่หก  ชั่วบาป  :  คับแค้นนอกใจ

อธิบาย   :  ในใจมีความคับอกคับใจ
ขุนนางข่มเหงรังแกราชา  ลูกชายหญิงขัดขืนพ่อแม่  ภรรยาหักหลังสามี  พี่น้องต่างทำร้ายกัน  มิตรสหายต่างทำลายกัน  การกระทำเช่นนี้คือการคับแค้นนอกใจ  การนอกใจเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเห็นเป็นเรื่องราวขึ้นมา เพียงแค่ใจคิดเท่านั้น คนอื่นแม้จะไม่รู้ แต่เทพผีเจ้าก็ตำหนิกล่าวโทษใจเจ้าแล้ว ! 

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ขุนนางกังฉินชื่อฉินไกว แอบสมคบกับชาวกิม ดังนั้นจึงแสดงความเห็นที่จะสงบศึก ขณะที่ทหารฝ่ายซ่ง กำลังทำสงครามกับชาวกิม และมีทีท่าจะชนะเท่านั้น เขาก็จะออกคำสั่งให้ขุนพลกลับราชสำนัก ด้วยเหตุนี้ กองทหารซ่งที่ยึดเมืองต่าง ๆ ไว้ก็เริ่มจะเสียเมือง ทั้งยังลอบทำร้ายขุนพลเหย่เฟยจนถึงแก่ความตาย ตอนหลังมีคนไปที่ขุมนรก พบว่าฉินไกวกำลังรับโทษอยู่ในนรกอเวจี ปัจจุบันสุสานของขุนพลเหย่เฟยที่เมืองหันโจว ที่หน้าสุสานมีรู้ปหล่อของฉินไกวและภรรยา นักท่องเที่ยวพอมาถึงสุสานก็จะหยิบท่อนไม้ขึ้นมาตีรูปหล่อของฉินไกวและภรรยา มีบางคนเจ็บแค้นถึงกับฉี่รดใส่ก็มี

นิทาน   :  ในสมัยหมิง ที่เมืองเวียตตง มีนายคนหนึ่งดีต่อภรรยามาก แต่ภรรยากลับไปชอบกับหนุ่มน้อยข้างบ้าน ทั้งสองคนต่างเล่นหูเล่นตากันเป็นประจำ ถึงแม้เธอจะยังอยู่กับสามี แต่ในใจกลับคิดถึงแต่หนุ่มข้างบ้าน ตอนหลังสามีก็ตายไป ระยะเวลาไว้ทุกข์ยังไม่ครบกำหนด เธอก็รีบร้อนแต่งไปกับหนุ่มข้างบ้าน คืนนั้นสามีก็มาเข้าฝันว่า "ฉันตายแล้วถึงค่อยไปแต่งงานพ่อปู่แม่ย่าก็จะไม่ว่าอะไร แต่ตอนฉันยังอยู่ เธอกับนอกใจฉัน น่าแค้นใจจริง ๆ "ว่าแล้วเขาก็หยิบค้อนทุบตีหลังของเธอ ต่อมาไม่นานนัก เธอก็อาเจียนเป็นเลือดตาย
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : สบถตนสาปแช่งผู้อื่น
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2012, 02:56
บทที่หก  ชั่วบาป  :  สบถตนแช่งผู้อื่น

อธิบาย   :  ตนเองแช่งตนเองและแช่งผู้อื่นด้วย
การบาปแช่งโดยไร้เหตุผลที่จะไปกล่าวหาผู้อื่นที่ถูกต้อง คนที่มีความโกรธแค้นใจสงบยาก จนกระทั่งสบถสาปแช่งให้ตนเองตาย และบาปแช่งผู้อื่นให้ตายด้วย เป็นวิสัยของคนพาลผู้หญิงจึงมักเป็นลางสังหรที่กวักหาเคราะห์ภัยมาเร็วขึ้น ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงเวลาตาย แต่คำสบถที่ตนสาปแช่งก็มักทำให้สภาพการตายเกิดขึ้นรวดเร็ว เพราะฉะนั้นทำไมจึงไม่ค่อยระมัดระวังกันเล่า ! 

นิทาน  :  ภรรยานายเอี๋ยนเตี่ยน เคยมีความสัมพันธ์กับคนอื่น ทั้งยังแอบขโมยผ้าเช็ดหน้าคนข้างบ้านมาผืนหนึ่ง คนข้างบ้านจึงด่าว่าภรรยาของนายเอี๋ยนเตี่ยนเสีย ๆ หาย ๆ น่าไม่อาย นายเอี๋ยนเตี่ยนได้ยินแล้วก็โกรธจัด ดังนั้นจึงสบถสาปแช่งตนเองกับสาปแช่งคนข้างบ้านว่า "ถ้าหากภรรยาข้ามีความสัมพันธ์กับผู้อื่น และขโมยผ้าเช็ดหน้าของเจ้า ก็ขอให้ฟ้าผ่าข้าตาย มิเช่นนั้นเจ้าก็ต้องถูกฟ้าผ่าตาย"  ต่อมาไม่นาน นายเอี๋ยนเตี่ยนก็ถูกฟ้าผ่าตาย ที่แผ่นอกยังมีตัวอักษรปรากฏว่า "คนโง่ปกป้องเมีย" ส่วนภรรยาของเขาก็ฟ้าผ่าตาย ที่สีข้างก็มีตัวหนังสือปรากฏว่า "เล่นชู้ขโมยของ" ความหมายคือแอบมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับคนอื่นและยังขโมยของชาวบ้านด้วย

อธิบาย   :  นายเจิ้นจื่อกังสมัยซ่ง เคยพูดไว้ว่า "มีการสาปแช่งก็คือรากเหง้าของความวุ่นวาย" ต้องรู้ว่า การเกิดการตายของแต่ละคน ล้วนมีชะตากำหนด ไม่ใช่ว่าชอบเขา เขาก็จะสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อโกรธเขา เขาก็สามารถจะตายได้ ปัจจุบันกลับมีคนแช่งชักให้ตนเองตายและก็สาปแช่งให้เขาตายด้วย นับว่าโง่งมถึงขีดสุดแล้ว เซ่อซ่าสุดยอด !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ลำเอียงชังลำเอียงรัก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/08/2012, 05:31
บทที่หก ชั่วบาป  :  ลำเอียงชังลำเอียงรัก

อธิบาย   :  การรักการชังมีการลำเอียง
การลำเอียงรักลำเอียงชังกินความหมายกว้าง ทั้งพระราชาต่อข้าราชการ  พ่อต่อลูกชาย  สามีต่อภรรยา  เจ้านายต่อบ่าวไพร่  สภาพเช่นนี้มีเป็นประจำ  โดยเฉพาะแม่บ้านที่มีต่อลูกชายภรรยาคนก่อน แต่กับลูกชายของตนเองจึงมีลำเอียงรักลำเอียงชังที่รุนแรง  เพราะฉะนั้นท่านเจิงจื่อ หลังจากภรรยาตายจากจึงไม่ยอมแต่งงานอีก เจิงจื่อกล่าวว่า "พระเจ้าอินเกาจงฆ่าลูกกตัญญู เพราะภรรยาใหม่"  "ขุนนางใหญ่สมัยโจวอิ้จี๋ฝู่สาเหตุเพราะภรรยาใหม่จึงฆ่าลูกชายตนเองป๋อฉี" ข้านั้นเปรียบกับเกาจงและจี๋ฝู่ไม่ได้เลยสักนิด แล้วข้าจะไม่หลงผิดแบบเขาหรอกหรือ ?" เจริญพร !ท่านเจิงจื่อกล่าวได้เยี่ยมมาก เพราะเจิงจื่อกลัวว่าตนเองจะลำเอียงชังลำเอียงรักจนทำผิด จึงสามารถรักษาความเป็นบิดาผู้มีพระคุณอย่างสมบูรณ์เป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมทีเดียว !  อย่างไรก็ตามหลังจากภรรยาตายจากไปก็อย่าได้แต่งงานใหม่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่คนทำได้ยากเช่นกันนะ !  ถ้าหากมีการแต่งงานใหม่ก็ควรที่จะจดจำคำพูดของเจิงจื่อให้ดี มิฉะนั้นเมื่อเกิดลำเอียงรักลำเอียงชังขึ้นแล้วก็จะทำบาปอย่างมะหันต์ได้

นิทาน   :  นายอวี๋เจี๋ยชาวเมืองตงไห่ มีบุตรชายกับภรรยาคนแรกหนึ่งคนมีชื่อว่าเถี่ยจิ้ง ภรรยาก็ตายไป นายอวี๋เจี๋ยจึงแต่งงานใหม่กับนางเฉินสื้อ นางมีนิสัยโหดร้ายและอิจฉา คิดจะฆ่าเถี่ยจิ้ง (ครกเหล็ก)  ตนเองก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าเถี่ยฉู่ (สากเหล็ก)  มีความคิดที่จะให้สากเหล็กตำครกเหล็ก เด็กชายเถี่ยจิ้งถูกแม่เลี้ยงทุบตีทารุณบ่อย ๆ และอดข้าวหนาวตาย หลังจากตายตอนนั้นอายุแค่ 15 ปี เมื่อเถี่ยจิ้งตายไปได้สิบกว่าวัน วิญญาณเขาก็มาที่บ้านพูดว่า "ฉันคือเถี่ยจิ้งนะ ! แม่ของฉันได้ฟ้องต่อฟ้าเบื้องบน และก็ได้รับคำสั่งให้กลับมาแก้แค้น ต้องการให้เถี่ยฉู่ป่วยตาย และได้รับความทุกข์ทรมานมีระยะเวลายาวเหมือนฉันด้วย !" นางเฉินสื้อหาวิธีช่วยเหลือลูกชายโดยไปอ้อนวอนผีเทพให้ช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีทางช่วยได้พอเถี่ยฉุ่มีอายุได้ 6 ขวบ ท้องก็บวมขึ้นเจ็บปวดไปทั่วตัว จนมีร่างกายเขียวคล้ำแลัวก็ตายไป

นิทาน  :  ในสมัยโจว เหว่ยกั๋วมีแม่ผู้อารี นางเป็นลูกสาวของนายเมิ่งหยาง เป็นภรรยาคนหลังของนายหมางเหม่า นางมีลูกชาย 3 คน ส่วนภรรยาคนแรกของนายหมางเหม่ามีลูกชาย 5 คน แต่ก็ไม่ยอมรับแม่เลี้ยง ทั้ง ๆ ที่นางเป็นคนอารี แต่นางก็ดูแลพวกเขาอย่างดี แต่เด็กทั้ง 5 คนก็ยังคงไม่รักนาง ดังนั้น นางจึงมีคำสั่งให้ลูกชาย 3 คนของนางไม่ให้เสพสุขเหมือนลูกภรรยาคนก่อน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า  อาหารการกิน  ไม่ว่าจะลุกยืนนั่งนอน ก็ให้แตกต่างจากลูกชายภรรยาคนก่อนมาก ถึงแม้จะทำเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่ชอบนางอยู่ดี ต่อมาไม่นานนักลูกชายคนที่ 3 ของภรรยาคนก่อนได้ขัดคำสั่งของพระเจ้าเหว่ยอ๋องมีโทษต้องประหาร แม่ผู้อารีรู้สึกโศกเศร้ากลุ้มใจมาก คิดจะช่วยเหลือลูกชายคนนี้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มีคนพูดกับนางว่า "ลูกชายของภรรยาคนแรกไม่รักเธอขนาดนั้นแล้ว เธอจะทุกข์อกทุกข์ใจโศกเศร้าไปทำไม คิดจะช่วยชีวิตเขาทำไม ?" แม่ผู้อารีตอบว่า "แม้ไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ ของฉันจะไม่รักฉัน แต่ถ้าไปก่อเรื่องขึ้น ฉันก็ยังต้องช่วยเขาหาทางขจัดโทษเขา ตอนนี้หากฉันไม่สามารถทำตามที่พูดที่ให้กับลูกภรรยาคนก่อนได้ ถ้าเช่นนี้พวกเขาก็เปรียบเสมือนไม่มีแม่แล้วใช่ไหม ?. พ่อของพวกเขา เป็นเพราะพวกเขาสูญเสียแม่ไปจึงมาแต่งกับฉันไปสืบแทนแม่ของพวกเขา แม่จะสืบต่อแต่ลูกชายของตัวเองแล้วละเลยลูกของภรรยาคนก่อน จะถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีธรรมหรือ เป็นคนหากไม่เมตตาไม่มีธรรม จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างไร ?  ถึงแม้พวกเขาจะไม่รักฉัน แล้วฉันจะขาดธรรมได้หรือ ?"  ดังนั้นนางจึงไปร้องเรียนพระเจ้าเหว่ยอ๋องตามที่สาธารณะ ในที่สุดพระเจ้าเหว่ยอ๋องรู้สึกซาบซึ้งคุณสมบัติความมีจริยธรรมของนาง จึงยกโทษอภัยให้ลูกชายของนางปล่อยให้เขากลับบ้าน จากนั้นมา ลูกชายทั้ง 5 ของภรรยาคนก่อนก็ดีต่อนางให้ความรักความสนิทสนมเหมือนเป็นมารดาแท้ ๆ ทั้งครอบครัวมีความสุข ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าเหว่ยอ๋องจึงยกย่องเรื่องนี้มาเป็นจริิยธรรมเพื่อสอนขุนนางของพระองค์ 
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ก้าวข้ามบ่อน้ำเจ้าที่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/08/2012, 06:01
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ก้าวข้ามบ่อน้ำเจ้าที่ 

อธิบาย  : 
บ่อน้ำมีประโยชน์ต่อคนมากจึงมีเทพเจ้าบ่อน้ำธารน้ำดูแลอยู่ นามของเทพเจ้าธารน้ำเรียกว่า "กวน" มีความสวยงามดุจหญิงสาวน้ำในบ่อสามารถให้คนและสัตว์ดื่มกินทั้งยังเอามาบูชาเทพเจ้าโพธิสัตว์ ทำไมจึงจะไปดูแคลนลบหลู่ได้เล่า ?  ในเวลาเซ่นไหว้เทพเจ้าทั้งห้าพระองค์ เจ้าที่ก็เป็นหนึ่งในนั้นก็คือ เทพเจ้าไฟไท่อิ นามว่า จางจั๊ว ฉายาจื่อเก๋อ  มีหน้าที่ดูแลชะตาชีวิตดีเลวของคนในครอบครัว เน้นที่ค่อยตรวจตราความดีความชั่ว เป็นผู้รู้ล่วงหน้าถึงบุญวาสนาดีร้ายก่อนใคร หากเราไปก้าวข้าม เท่ากับไปลบหลู่วิญญาณเทพ มีโทษผิดมหันต์มาก การลบหลู่ไม่ใช่แต่ก้าวข้ามเท่านั้น หากนั่งอยู่ขอบบ่อหรือขาไปเหยียบขอบเจ้าที่หรือข้างบนเหนือเจ้าที่วางสิ่งของ หรือของสกปรก ฯลฯ เป็นต้น ล้วนเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

นิทาน  :  ทุกครั้งที่นายจางเฮ้าเซียงดื่มสุราเมามา ก็ชอบที่จะเล่นตามผู้อื่น กระโดดข้ามบ่อน้ำ มีอยู่วันหนึ่ง เทพเจ้าเกราะทองในบ่อน้ำเอาหอยแทงเขาทีหนึ่ง นายจางเฮ้าเซียงรู้สึกปวดท้องมาก เหมือนถูกปืนยิงเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงตั้งใจศรัทธาคุกเข่าลงขอขมาโทษ ท้องก็เลยหายปวด

นิทาน   :  นายอู๋เซิ้นในสมัยซิง ทำงานอยู่ในที่ทำการอำเภอ มีบ้านอยู่ใกล้กับคลองจิ่งซี  ที่จิวซีมีต้นน้ำ ต้นน้ำที่ใสสะอาดมาก ผู้คนใกล้เคียงจะใช้น้ำดื่มกินกันที่คลองต้นน้ำนี้ นายอู๋เซิ้นก็กั้นรั้วไม้ป้องกันต้นน้ำบริเวณนั้นเพื่อไม่ให้คนทิ้งของสกปรกลงไปในน้ำ วันหนึ่ง บังเอิญเห็นหอยสังข์ขาวตัวหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ธารน้ำ เขาจึงนำมันกลับมาที่บ้าน วางไว้ในอ่าง จากนั้นมาทุกวันที่เขากลับบ้านก็จะเห็นอาหารในครัวได้ถูกเตรียมไว้เสร็จแล้ว ในใจของอู๋เซิ้นรู้สึกประหลาดมาก วันหนึ่งเขาก็แอบสำรวจดู เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งออกจากเปลือกหอยสังข์ แล้วก็ลงมือทำกับข้าว นายอู๋เซิ้นจึงเข้าไปเผชิญหน้า หญิงสาวรู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะทำท่าไหนจะกลับเข้าเปลือกหอยก็ไม่ทันแล้ว จึงพูดความจริงกับอู๋เซิ้นว่า "ฉันคือเทพเจ้าแห่งธารน้ำ และรู้ว่าภรรยาของเธอเสียไปแล้ว จึงสั่งให้ข้ามาเตรียมอาหารให้เธอ เมื่อเธอได้รับประทานอาหารที่ข้าทำไว้ก็ควรจะได้สำเร็จธรรมแล้ว" หญิงสาวกล่าวจบก็อันตรธานหายไป
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ข้ามอาหารข้ามคน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2012, 05:09
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ข้ามอาหารข้ามคน

อธิบาย   : 
กระโดดข้ามข้าวปลาอาหารและร่างกายของคน  อาหารคือพลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต ส่วนคนก็เป็นหนึ่งในสามองค์คุณ สามองค์คุณคือฟ้า ดิน มนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถร่วมสรรเสริญบารมีคุณที่ฟ้าดินเลี้ยงดูสรรพสิ่ง ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถเป็นหนึ่งในองค์สามคุณร่วมกับฟ้าดิน เพราะฉะนั้นการก้าวข้ามอาหารและร่างกายคนจึงถือเป็นโทษบาปทั้งสิ้น !

นิทาน   :  ในสมัยถัง
มีขุนนางคนหนึ่งเข้าไปในป่า เดินทางมาถึงที่ไร้ผู้คน บังเอิญแลเห็นร้านเหล้าหลังหนึ่งก็เข้าไปซื้อเหล้า นางผู้ขายเหล้าออกมาเก็บเงินของเขาก่อน แล้วจึงเข้าไปในห้องเก็บเหล้า เวลาผ่านไปนานมากนางจึงยกเหล้าออกมา สีของเหล้าแดงเหมือนสีเลือด ดื่มแล้วมีรสชาติหอมหวาน หลังจากขุนนางดื่มจนหมดแล้วก็คิดอยากจะดื่มอีก นางจึงร้องไห้พูดกับเขาว่า "ฉันไม่ใช่คนในโลกมนุษย์หรอกค่ะ !  เพราะว่าขณะที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยดื่มเหล้าไม่จำกัดยับยั้ง ข้าวปลาอาหารกินทิ้งกินขว้าง  เหยียบย่ำอาหารแล้ว ค่อยให้คนอื่นไปกิน เพราะฉะนั้นจึงรับกรรมตอบสนอง แต่ละครั้งที่มีคนมาซื้อเหล้า ก็ต้องเค้นเลือดจากกายของฉันเพื่อให้แขกดื่มแทนเหล้า !"  ขุนนางได้ยินนางเล่าเช่นนั้นก็ตระหนกตกใจ รีบผละออกจากที่นันโดยเร็ว รีบกลับบ้านทันที

อธิบาย   :  ก็น่าจะรู้ว่าในป่าเขาอย่างนั้นที่ไหนจะมีร้านเหล้า !  ทำให้คิดว่าขุนนางผู้นี้ปกติก็จะไม่เห็นคุณค่าอาหารอยู่แล้ว ทางยมโลกจึงยืมการเจอะเจอของเขามาเป็นเรื่องตักเตือนสั่งสอนชาวโลก

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายเจ๋อหลิน ได้ช่วยย้ายบ้านให้นายเจิ้นสู้ ระหว่างกลางทางได้ขอค้างคืนที่สังฆามแห่งหนึ่ง นายเจ๋อหลินนั่งหันหลังให้กับพุทธรูป คุณอาเจิ้นก็พูดกับเจ๋อหลินว่า  "ช่วยขยับเก้าอี้มาทางนี้ อย่าเอาหลังหันใส่รูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์"  เจ๋อหลินพูดขึ้นว่า "นั่นเป็นเพียงพุทธรูปเท่านั้น เรายังต้องเคารพขนาดนั้นหรือ ?" คุณอาเจิ้นพูดว่า "แค่รูปนั้นเป็นรูปของของคนก็ไม่ควรที่จะดูแคลน"  นายกู่ซันได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็กล่าวยกย่องด้วยความปิติว่า "เมื่อเห็นรูปของคนก็ไม่กล้าที่จะดูถูก ถ้าเช่นนั้นเขาเป็นคนเช่นไรก็พอจะรู้ได้แล้ว"  จะเห็นได้ว่า การหันหลังให้คนก็ยังไม่ได้นับประสาอะไรกับการก้าวข้ามร่างกายคนเล่า ?.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ชอบแอบทำชั่ว
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2012, 05:40
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ชอบแอบทำชั่ว

อธิบาย   : 
การกระทำส่วนใหญ่เป็นเรื่องน่าละอายไม่ถูกต้อง เช่น แอบลักขโมย  แอบลอบมีชู้  เรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้  พูดให้ใครฟังก็ไม่ได้ เรื่องส่วนใหญ่ก็มักเป็นเรื่องลามก เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงเรียงเรื่องแอบทำชั่วต่อจากการฆ่าลูกทำแท้งซึ่งเป็นเหตุผลของท่าน

นิทาน   :  ในสมัยหมิง คุณเหมาซี่จงเล่าว่า ที่หมู่หนือของเมืองผู่เหลียง มีชายคนหนึ่งชื่อจางหมิงซัน ติดตามการโยกย้ายข้าราชการของบิดาไปถึงเมืองโฉวงไอ๋  บ้านพักข้าราชการอยู่ติดกับบ้านของลี่จื่อฮุย  ลี่จื่อฮุยมีบุตรสาว 2 คน ห้าตาสวยงาม จางหมิงซันก็แอบลักลอบมีสัมพันธ์รักพวกนาง ต่อมานายจางหมิงซันจะเดินทางกลับบ้านที่ผู้เหลียง จึงแอบพานางทั้งสองหนีตามไปด้วย ตอนแรกพานางซ่อนไว้ใต้ท้องเรือ ขณะที่จะออกเรือ นายลี่จื่อฮุยก็ตามมาทันนายจางหมิงซันหมดทางหนีจึงผลักนาง 2  คนตกน้ำตาย สิบปีต่อมา นายจางหมิงซันปวดหลังได้เชิญหมอมารักษา หลังจากทานยาของหมอแล้วอาการก็ดีขึ้นบ้าง คืนนั้นหมอซุนก็ฝันว่า กำลังจับปลาที่ริมหาดหมู่บ้านเหมย ก็มีนาง 2 คนจากทะเล ร่างเปลือยเปล่าเดินมาหา แล้วจับที่เสื้อเขาพูดว่า "เราสองคนพี่น้องเป็นชาวไหนหนาน มาที่นี่เพื่อรักษาโรคให้แก่จางหมิงซันโดยเฉพาะ หรือว่าท่านจะมาแย่งเอาผลงานของพวกเราหรือ? ดังนั้นจึงดึงหมอซุนลงน้ำ หลังจากหมอซุนตกใจตื่นมีเหงื่อชุ่มทั้งตัว วันรุ่งขึ้นหมอซุ่นจึงเล่าเรื่องนี้ให้แก่จางหมิงซันฟัง นายหมิงซันตบอกตัวเองแล้วถอนใจว่า "โอ ! เวรกรรมตามมาถึงแล้ว เวลาตายของข้าใกล้มาถึงแล้ว !" เป็นดังเขาว่า เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน จางหมิงซันก็ตาย

อธิบาย   :  การแอบลักลอบได้เสียระหว่างชายหญิง  ต่างก็ได้รับผลกรรมตอบสนอง !  จางหมิงซันกับพี่น้องสองคน แรกแอบลักลอบพบกัน ต่อมาก็แอบหนี แล้ว 2 คนพี่น้องก็ตายในมือของจางหมิงซัน หลังจากนั้น 10 ปี จางหมิงซันก็ถูกผี 2 พี่น้องตามเอาชีวิต  การตอบสนองสมเหตุสมผลดีไม่ผิดเพี้ยนแต่น้อย !  คนที่ผิดประเวณีลูกเมียเขา หรือทำลายชื่อเสียงเขา เรื่องทั้งสองนี้เป็นเรื่องแอบซ่อนทั้งนั้น และก็ทำร้ายใจคนและหลักธรรมฟ้า เพราะฉะนั้น แอบได้เสียลูกเมียเขา ลูกเมียตนก็ต้องถูกผู้อื่นละเมิดประเวณีด้วย การทำลายชื่อเสียงเขาก็ต้องถูกเขาทำลายด้วย คำภาษิตว่า "ทำเรื่องชั่วในห้องลับ ตาของเทพเจ้าเห็นเหมือนสายฟ้าที่ตรวจตรา ! "  เพราะฉะนั้นจะทำเรื่องชั่วได้อย่างไรหรือ ?
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : วันเซ่นสรวงสิ้นเดือนร้องรำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/08/2012, 13:09
บทที่หก  ชั่วบาป   :  วันเซ่นสรวงสิ้นเดือนร้องรำ

อธิบาย  :  วันเซ่นสรวงของเดือน  ร้องรำทำเพลง
วันเซ่นสรวงเป็นวันที่พระเจ้าเตาไปจะขึ้นไปรายงานผลงานความผิดของคนในโลก วันเซ่นสรวงยังเป็นวันทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าอีกด้วย วันบวงสรวงมี 5 วัน ซึ่งเป็นวันที่เทพเจ้าเบื้องบนตรวจกำหนดบาปบุญคุณโทษ  อายุขัย  วาสนา  และการเกิดการตายเป็นมงคลหรืออัปมงคล ของคนในโลก วันที่หนึ่งเดือนหนึ่งเป็นวันเซ่นสรวงฟ้า  วันที่ 5 เดือน 5 เป็นวันเซ่นสรวงดิน  วันที่ 7 เดือน 7 เป็นวันเซ่นสรวงคุณธรรม  วันที่ 1 เดือน 7 เป็นวันเซ่นสรวงปี  วันที่ 8 เดือน 12 เป็นวันเซ่นสรวงราชา  เมื่อเป็นวันเซ่นสรวงสิ้นเดือนเหล่านี้  ถ้าไปทำผิดก็จะถูกเทพเจ้าฟ้าจดลงในสมุดสีดำ  และก็ไถ่โทษได้ยากด้วย  ทั้งพระเจ้าทิศเหนือเมืองผี  พระเจ้าจันทรา  ล้วนก็อยู่ในวันเซ่นสรวง  ในวันสำคัญเหล่านี้คนที่มีชีวิตอยู่ในโลก อาจเป็นลูกหลานจะไปทำพิธีเซ่นสรวงโปรดบรรพชนเพื่อไถ่โทษของพวกเขา ไม่ว่าบรรพชนจะเป็นผีในนรกจะยาวนานแค่ไหน มีโทษบาปอะไรในยมโลก ตลอดจนสุสานฝังอยู่ที่ไหน ลูกหลานมีชื่อว่าอะไรไล่เรียงกันไปถึง 9 ชั่วโคตร  ก็จะเอามาตรวจตรารวบรวมมาเป็นลักษระโทษบาปของลูกหลานในปัจจุบัน  แม้ว่าเวลาจะเนิ่นนานมาแล้วลูกหลานปัจจุบันยังไม่ทำพิธีไถ่โทษให้พวกเขา โทษบาปนั้นก็จะตกถึงลูกหลานในปัจจุบัน เพราะว่าในวันเหล่านี้วิญญาณของบรรพชนจะถูกปล่อยออกมา คนที่เป็นลูกหลานเขาก็ควรที่จะอาศัยพลังพิธีเซ่นสรวงบรรพชน ไถ่โทษบาปในอดีตที่ทำผิดไว้ เพราะฉะนั้น ในวันเหล่านี้เรากลับร้องรำทำเพลง ก็จะมีโทษบาปต่อฟ้าดินบรรพชน เพราะฉะนั้น ในวันเซ่นสรวง ควรทำพิธีเซ่นสรวงบรรพชนแทนการร้องรำทำเพลง

คติพจน์   :  คุณอูอี่ปี่กล่าวว่า "ในวันเซ่นสรวงสิ้นเดือน ชาวโลกควรมาเปรียบเทียบบุญกุศลที่สั่งสมด้วยการย้อนสำรวจด้วยตนเอง บังเกิดวิริยะเจริญบำเพ็ญ"  เพราะฉะนั้น พระอาจารย์มักจะเตือนคนว่า "ตนเองหากไม่ตระเตรียมบุญบารมีให้ดีพอ เมื่อวันที่ 30 สิ้นเดือนมาถึงแล้ว รับรองว่าเธอได้รับความอึกทึกครึกโครม (คือวาระสิ้นชีวิตมือไม้วุ่นวาย)" ยังพูดต่ออีกว่า "พวกเธอทั้งหลาย ลองมาตรวจตราตนเองสักตั้งซิ ดู ๆ ว่าตั้งแต่เด็กจนแก่ จากเกิดถึงตาย ใจของตนกับกามคุณห้า และอายตนะหก  กิเลส  เวรกรรม  วิญญาณ  จะคลุกเคล้าตีรวมเข้าด้วยกัน ลองศึกษาดูว่าจะมีผลสรุปอย่างไร ?  นั่นแหละคือการหันกลับมอดู (อาจเป็นที่พวกเธอได้ย้อนสำรวจตรวจดูหรือไม่ ?  ก็ในขณะนั้นแหละ ลมหายใจหยุดลงแล้ว ดวงตาปิดลงแน่น วิญญาณพเนจร
ของตนเองหลังการตาย ก็ยึดติดกับสิ่งที่ตนเองกระทำในยามปกติ จะเป็นกรรมดี กรรมชั่ว แล้วก็ไปสู่ผลกรรมตามสนอง !  ถ้าเป็นเช่นนั้น ตนเองใช่ไหมที่มาสู่โลกรอบหนึ่งด้วยความว่างเปล่า พูดง่าย ๆ คือ สูญเปล่าไปชีวิตหนึ่ง !!" พระธรรมาจารย์เหลียนฉือในพิธีเตือนผู้เฒ่า ล้วนจะเป็นวันสิ้นเดือนของแต่ละเดือน ปลุกเตือนคนว่า  "ชีวิตคนอนิจจัง เมื่อเทียบกับลมหายใจก็ยังสั้นกว่านัก !  เหมือนเทียนอยู่ในสายลมพริบตาเดียวก็ถูกลมเป่าดับ ! นับอะไรกับร่างกาย ไม่นานนักก็เข้าสู่ความตาย โดยเฉพระหนทางข้างหน้าเวิ้งว้าง ไม่รู้จะไปทางไหน ? ทำไมยังไม่รีบย้อนสำรวจให้เข้าใจ หลักธรรมอนิจจังจะต้องระมัดระวังสะทกสะท้านด้วยตนปลุกเร้าพยายามตน ปล่อยวางบุญสัมพันธ์ทั้งหลาย ใจท่องพุทธเป็นหนึ่ง ! พระอาจารย์เหน็ดเหนื่อยตักเตือนกล่อมเกลาพวกเรา แล้วเรายังจะมามัวเมาร้องรำทำเพลงวันสิ้นเดือนอีกหรือ     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ด่าทอเช้าตรู่วันพระ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2012, 00:54
บทที่หก ชั่วบาป   :  ด่าทอเช้าตรู่วันพระ

อธิบาย   : 
เช้าตรู่แต่ละวันพระก็ให้มีโทสะเสียงดังด่าทอ โดยเฉพาะวันพระวันที่หนึ่งของเดือน (วันพระจีน) ซึ่งถือเป็นวันหลักของเดือน  และสิ่งที่เรากระทำในหนึ่งวัน เราก็จะวางแผนกันในตอนเช้า ในเวลาอย่างนี้ ควรที่จะมีใจใส่และคิด จึงจะสามารถเข้ากับหลักธรรมได้ หากมีอารมณ์ตะดกนด่าทอขึ้น ไฟโทสะก็จะเข้าสุมที่ตับเกิดไออุ่นขึ้น ไอแท้ก็จะกระจายออกไปตามเสียง ดังนั้นคนก็จะอารมณ์ขุ่นมัวหน้ามีดตาลาย ความคิดดี ๆ ก็ละลายหายไป !  กลอนโบราณว่า "ความทุกข์กังวลทั้งปวง ล้วนเกิดจากไม่อดทน เมื่อหันหน้าเข้ากระจกที่ใสคือที่สำคัญ - พุทธพจน์ หาไม่ทะเลาะ  คัมภีร์บัณฑิต  มีค่า  ไม่แย่งชิง  ถนนสายสบาย  ชาวโลกน้อยคนเดิน"  ในพุทธสูตรว่า  "ความโกรธสูญเสียรากฐานแห่งธรรมดี ร่วงสู่เหตุปัจจัยทางชั่วทั้งหลาย ควรรีบ ๆ ละิ้ทิ้ง ต้องไม่ให้มันเจริญเพิ่มพูนขึ้น !" เพราะฉะนั้น การบันดาลโทสะ กระทบร้ายแรงและก็ดึงถ่วงชาวโลก ด้วยเหตุนี้ ยามปกติจะต้องระมัดระวัง นับอะไรกับเช้าวันพระที่หนึ่งเล่า ? 

นิทาน   :  ภรรยานายเฉินอิง นางจ้าวมีนิสัยกร้างแกร่งชอบแย่งชิง แต่ละครั้งพอถึงวันพระทีหนึ่ง สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย คนที่ไปมาหาสู่บ้านนางก็มักได้ยินเสียงด่าทอขัดหูไม่หยุด บังเอิญก็ให้มีนักพรตคนหนึ่งเข้ามาที่บ้านนาง นางจ้าวก็พูดกับนักพรตว่า "เจ้ามาที่นี่ทำไม?" นักพรตว่า "ข้ามาขายยาเม็ดทิพย์โอสถเพียงได้กินยาทิพย์โอสถแล้ว ก็จะมีอายุยืนยาวร้อยปี !"  นางจ้าวได้ยินแล้วก็ดีใจมาก จึงซื้อยาทิพย์โอสสถและกินลงไป จากนั้น นางจ้าวก็เลยกลายเป็นคนใบ้

นิทาน   :  หัวหน้ากองจัดการที่ดินตี้อู่หลุน เพราะว่ามีมารดาชรามากแล้ว ไม่สามารถอยู่กับเขาที่ทำงาน ด้วยเหตุนี้แต่ละครั้ง เมื่อถึงวันพระ เขาก็จะคิดถึงมารดาจนเศร้าสร้อยน้ำตาไหล จึงไหว้เบื้องบนให้ช่วยรักษามาราดาให้มีอายุยืน โอ ! บัณฑิตสมัยโบราณ มักจะมีความรู้สึกเป็นห่วงพ่อแม่ ! ส่วนพวกที่ชอบร้องรำทำเเพลง และบันดาลโทสะด่าทอคน ทีแท้เขามีสาเหตุมาจากอะไร ? แล้วที่เล่ามาก่อนหน้านี้กับการเรื่องราวทำบุญให้บรรพชนซึ่งก็มีความรอบคอบอยู่แล้ว ทำไมจึงไม่ย้อนคิดดูบ้าง ?
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2012, 02:08
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ถ่มถุยหนักเบาทิศเหนือ

อธิบาย   : 
การถ่มถุยน้ำลายสั่งขี้มูกหรือถ่ายหนักเบาที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ รู้ไหมว่า  ทางทิศเหนือเป็นที่สถิตของเทพเจ้าดาวเหนือ ขั้วโลกเหนือเป็นที่สถิตแกนหลักแห่งฟ้า คือที่สถิตอนันตญาณของสิบทิศสามภูมิ พระเจ้าทั้งหลายจะอยู่ในตำแหน่งขั่วโลกเหนือทั้งสิ้น เป็นฟ้าชั้นกลางอันเป็นยอดขั้วของดารากรเป็นที่เคารพ ด้วยเหตุนี้แดนสถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ เราจะถ่มถุยหนักเบาให้สกปรกได้หรือ ตามกฏมรายาทแล้ว ลูกชายลูกสะใภ้ก็ยังไม่สามารถถ่มถุยสั่งขี้มูกอยู่ข้าง ๆ ของพ่อปู่แม่ย่าด้วยซ้ำไป นับอะไรกับเทพเจ้าที่สถิตอยู่ทางทิศเหนือ แม้แต่จะหนักเบาก็ยังทำไม่ได้

นิทาน  สมัยอู๋ก๊ก มีคนที่นอนหลับแล้วปวดท้องเบา ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน เปลือยกายหันหน้าแล้วฉี่ไปทางทิศเหนือ ทันใดนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยธงดำ แลเห็นพระเจ้าจิงอู่ปรากฏภาพให้เห็น เขาตกใจกลัวจนต้องคลานเข้าบ้าน จากนั้นเขาป่วยอยู่บนเตียง เจ็บป่วยไปหลายเดือน ต่อมาไม่นานขอขมาสำนึกผิดแล้ว การเจ็บป่วยจึงหายไป ในพระสูตรอายุวัฒนะว่า :  "ทิศตะวันออกฤดูใบไม้ผลิ  ฤดูร้อนทิศใต้  ฤดูใบไม้ร่วงทิศตะวันตก  และฤดูหนาวทิศเหนือ  เหล่านี้คือบัญชาของจันทร์เจ้า ก็คือทิศทางเคลื่อนย้ายของเจ็ดนักษัตรทิศเหนือ อะไรก็กราบกัน เจ็ดนักษัตร ก็จะตัดทอนอายุขัยที่รวดเร็วมาก เมื่อดูเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะทำสกปรกกับทิศไหนก็มีความผิดทั้งนั้น ไม่เฉพาะแต่กับทิศเหนือหรอก ! 

นิทาน   :  นายเฉียนสื้อ ชาวอำเภอฉางสู เมืองเจียงซู  เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ของอำเภอ ในระหว่างปีพระเจ้าเจิ้นเต๋อ ราชวงศ์หมิง คฤหาสถ์ของตระกูลเฉียนถูกไฟไหม้นานสามวันสามคืนจึงดับลง ท่ามกลางไฟไหม้ทั้งสี่ด้านอยู่นั้น ก็มีเพียงบ้านหลังเล็กที่มีห้องเพียงสามห้องไม่ถูกไฟไหม้  บ้านหลังนี้เป็นของลูกคนที่ 4 ตระกูลเฉียน มีแต่ย่ากับลูกสะใภ้ 2 คน อาศัยอยู่ในบ้านนั้น ขณะที่ไฟไหม้ทั้ง 4 ด้าน แม่ย่ากับลูกสะใภ้ถูกไฟล้อมจนไม่มีที่หนี แต่เพราะเขา 2 คนศรัทธาบูชาเทพเจ้าดารากรมาโดยตลอด ก็ได้แต่อ้อนวอนภาวนากราบขอให้เทพเจ้าดารากรช่วยชีวิต ทันใดก็แลเห็นมีเทพเจ้าเจ็ดองค์อาภรณ์สีแดงชาดยืนอยู่ใต้ชายคบ้าน แล้วก็ยกชายแขนเสื้อโปกไปที่ไฟ ไฟก็ดับมอดไป ทั้งแม่ย่าลูกสะใภ้จึงรอดพ้นไม่เป็นอะไร แต่บ้านทั้ง 4 ด้านล้วนถูกไฟไหม้หมดไม่เหลือแม้แต่ไม้สักท่อน ข่าวที่สองแม่ย่าลูกสะใภ้แพร่สะบัดออกไป ทำให้คนท้องที่พากันศรัทธากราบไหว้เทพเจ้าดาวเหนือ คนที่บูชาเทพเจ้าดาวเหนือ มักจะมีอายุยืน โรคภัยไข้เจ็บถูกขจัด ช่วยรักษาชีวิตพ้นเคราะห์ภัย ทั้งประทานโชควาสนามีลูกหลานสืบตระกูล โดยเฉพาะอุทกภัย  อัคคิภัย  โจรขโมย  มารภัยผีสาง  โรคภัยต่าง ๆ  จะไม่เข้ารุกราน  พูดได้ว่ามากมายจนยกตัวอย่างไม่หมด เมื่อเข้าใจเหตุผลเช่นนี้แล้ว ยังจะกล้าทำลามกสกปรกทางทิศเหนืออีกหรือ ?  ป.ล. เทพเจ้าดาวเหนือก็คือ พระเจ้าเฮียงเทียนเซี้ยงตี้ ที่ชาวกรุงเทพฯ กราบไหว้ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ อย่าเข้าใจผิดว่าท่านคือเจ้าพ่อเสือ เนื่องจากมีการสร้างรูปเสือไว้หน้าศาล คนจีนก็ไม่สามารถอธิบายว่า พระเจ้าเฮียนเซียงตี่คือใคร จึงกลายเป็นศาลเจ้าพ่อเสือไปเลย พระนามเต็ม ๆ ของท่านคือ ไปย่จี๋เจินอู่เสียงเทียนซั่งตั้ (ปักเก๊กจิงบู้เฮี้ยงเทียนเซี้ยงตี่)   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ร้องเพลงร้องไห้หน้าเตา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2012, 02:19
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ร้องเพลงร้องไห้หน้าเตา

อธิบาย   : 
การร้องเพลงหรือร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญอยู่หน้าเตา  ในคัมภีร์พระเจ้าหวงตี้กล่าวว่า "ที่เตาไฟไม่ควรร้องเพลงร่ายกลอนร้องไห้  แช่งชัก  ด่าทอ  หรือตะโกนร้อง" การร้องเพลงร้องไห้ ไม่ว่าจะเศร้าสร้อยหรือดีอกดีใจ เป็นการกระทำที่ดูแคลนต่อเทพเจ้าทั้งนั้น จะต้องถูกตัดทอนทรัพย์สินและอายุขัย คนปัจจุบันเวลาอยู่ที่ศาลยุติธรรม ก็ไม่กล้าจะส่งเสียงร้องเอะอะ โวยวาย  หรือพูดจาส่งเดช แต่อยู่ต่อหน้าเทพเจ้ากลับกล้าทำสิ่งไร้มรายาทไม่มีสัมมาคารวะเล่า ? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนควรหลีกเลี่ยงนะ !  การลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิก็คือบุญวาสนากับเคราะห์ภัยเท่านั้นเอง ดังได้พูดมาแล้วในบทที่แล้ว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : จุดธูปจากเตา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2012, 01:25
บทที่หก  ชั่วบาป  :  จุดธูปจากเตา

อธิบาย   :  คนมักง่ายบางทีก็เอาธูปไปจุดจากเตา
อ้างจากลัทธิเต๋าสายเทียนซือกล่าวว่า  "ขี่เถ้าใต้เตา เรียกกันว่ามูลมังกร" เพราะฉะนั้นไม่ควรเอาธูปไปจุดจากเตา ในคัมภีร์คำสอนที่พูดถึงข้อห้ามจุดธูป ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว อาทิเช่นการใช้กระดาษที่สกปรกเปรอะเปื้อนเป็นเชื้อเพลิงมาจุดไฟเตากระดาษเงินกระดาษทอง เรียกว่าเงินทองเวรกรรม การเผาเงินทองเวรกรรมนี้มีกองสูงเป็นภูเขาที่สูงซัน ที่ขุนเขาตะวันออกแม้แต่ท่านพญายม ฟ้าดินก็ยังไม่ยอมรับเลย !  เช่น การบูชาพระเจ้าไปย่จี๋เจินอู่ ในฤดูร้อนไม่ให้ใช้ผลลี้จือ  ในฤดูหนาวไม่ให้ใช้ผลทับทิม  ถ้ามีการอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ใช้ธูปที่ทำจากเนย  นอกจากนี้ธูปไม้จันเรียกว่า ธูปอาบชำระ ดอกไม้เหย่จี่เรียกว่าดอกไม้กาล  ดอกกิมท้งเรียกว่าดอกไม้ผี  ดอกไม้เหล่านี้จำเป็นต้องห้ามใช้ เป็นเพราะไม่สนใจห้ามใช้จึงเป็นการทำผิดหลบหลู่ ทำไมจึงไม่ทำตามคำสอนที่กำหนดไว้  ในคัมภีร์ที่รวบรวมต่าง ๆ ก็กล่าวไว้ เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว จึงจะสามารถเข้าใจเหตุผล เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ จึงสามารถชี้นำเข้าถึงหลักธรรมจริงได้  โดยเฉพาะการถวายธูปหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะต้องอาศัยความหอมของดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา พุทธองค์ตรัสว่า ตถาคตดับขันธ์แล้ว หากยังมีคนนำธูปเทียนดอกไม้มาบูชาไตรรัตน์ ใช้น้ำสะอาดล้างของที่บูชาให้สะอาด และใช้ใจที่เคารพหน้าพระกล่าวสักคำว่ามโนพุทธะ ถ้าคน ๆ นี้ตกสู่ทางสามแพร่งก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย !" ท่านเจินหมิงซูกล่าวว่า "ธูปหอมได้ชื่อว่าพ้นจากสกปรกแล้ว จึงใช้นำมาจุดถวาย" ในบันทึกกันทงกล่าวว่า "ความเหม็นสาบของมนุษย์ มันพวยพุ่งไปข้างบนสูงถึงสี่แสนลี้ ถ้าหากผู้สะอาดบนสวรรค์ไม่มีที่ไม่เบื่อความเหม็นสาบของมนุษย์หรอก ! แต่เพราะได้รับการฝากฝังจากพุทธองค์ พุทธองค์มีโองการให้เทวดาของชั้นฟ้าต่าง ๆ ต้องปกปักดูแลพุทธธรรม พุทธะจึงมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ บรรดาเทวดาชั้นฟ้าต่าง ๆ จึงไม่กล้าที่จะไปมาสู่มนุษย์ เพราะฉะนั้น ในพุทธธรรมธูปหอมจึงอยู่ในเรื่องของพุทธเจ้าถือเป็นที่หนึ่ง"  ในอวตังกสูตรกล่าวว่า "ฟ้าชั้นดาวดึงส์ในตำหนักกุศลธรรม มีธูปชนิดหนึ่งเรียกว่า ธูปสะอาดศักดิ์สิทธิ์  ถ้าหากได้จุดธูปขดหนึ่งของธูปสะอาดศํกดิ์สิทธิ์แล้วละก็สามารถอบอวลไปถึงบรรดาชั้นฟ้าต่าง ๆ ทำให้เหล่าเทวดาทุกชั้นฟ้าจะระลึกถึงพุทธะ ก็จะเข้าถึงสมาธิการสวดพุทธะ"  ดังนั้น ถ้าหากใช้ไฟจากเตาไฟมาจุดธูปจะไม่งดเว้นหรอกหรือ ?

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง นายโจวไคซังสามารถสวดอวตังสกะสูตรได้ และก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถสวดวัชรปรมิตาสูตรได้ ก็ให้บังเอิญคนทั้งสองตายลงกระทันหัน ท่านพญายมก็ขอให้นายโจวไคซันสวดอวตังสกสูตรให้ฟัง ทั้งยังเคารพเขาอย่างยิ่ง แล้วก็ขอให้พระภิกษุสวดวัชรปรามิตาสูตร แต่ใจของพญายมไม่สู้เคารพเขานัก หลังสวดจบแล้ว พญายมก็พูดว่า "เจ้าทั้งสองเพราะการสวดพระสูตรมีบุญกุศล จึงได้ต่ออายุคนละ 24 ปี แต่โจวไคซันต้องเพิ่มการเคารพมากขึ้น และภายภาคหน้าเขาก็ไม่ต้องมายมโลกอีก !" พระภิกษุผู้สวดวัชรปารามิตาสูตร รู้สึกละอายใจ ดังนั้น จึงถามที่อยู่ของโจวไคซันเพื่อไปเยี่ยมเยือน ภายหลังฟื้นคืนชีพแล้วพระภิกษุรูปนี้จึงไปที่เมืองหลู่โจวเพื่อเยี่ยมนายโจวไคซัง เพื่อถามถึงสาเหตุ ?  นายไคซันกล่าวว่า  "แต่ละครั้งที่ฉันจะสวดมนต์ จะต้องสวมเสื้อที่สะอาด ใช้น้ำหอมพรมห้องให้สะอาด แล้วก็ใช้หินกระทบไฟเอาไฟมาจุดธูป หรือไม่ก็ใช้ไม้ปั่นไฟเอาไฟมาจุดธูป เวลากล่าวปณิธาน ให้เคารพใจตนเองก่อน เมื่อเริ่มสวดก็ให้เคารพเหมือนอยู่ต่อหน้าพุทธองค์จริง ๆ ไม่กล้าที่จะยโสดูถูก ! ถ้าหากไม่มีไฟสะอาดก็ไม่กล้าที่จะเอาไฟอื่น ๆ มาจุดธูป" พระภิกษุผู้สวดวัชรปรามิตาสูตรจึงกล่าวขอบคุณเขาว่า อาตมามิบาป !  ทุกครั้งที่อาตมาจะสวดมนต์ มักจุดธูปปจากเตาไฟ แค่จุดไฟอาตมาก็ไม่เคารพอย่างมากแล้ว !"  ควรรู้เป้าหมายของการจุดธูป คือการแสดงความเคารพของใจตน เพราะฉะนั้นต้องมีความสะอาดหมดจดจึงจะจุดธูปได้ ยิ่งเป็นไม้สกปรกในเตาไฟนำมาจุดธูป การเคารพก็กลายเป็นการลบหลู่ไป !  เพราะฉะนั้น ท่านไท่ซั่งจึงสั่งห้ามจุดธูปจากเตาไฟ    
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ใช้ฟืนสกปรกหุงหา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2012, 01:48
บทที่หก  ชั่วบาป  คัมภีร์   :  ใช้ฟืนสกปรกหุงหา

อธิบาย   :  การใช้ฟืนที่สกปรกมาก่อไฟหุงหาอาหารการกิน
ถึงแม้ไม้จะถูกไฟไหม้อยู่ข้างใต้ แต่ไอของมันก็จะพุ่งขึ้นมา ถ้าเป็นไม้ที่สกปรกนำมาเผา ทำให้กลิ่นไอที่สกปรกพวยพุ่งออกมา เป็นการทำผิดต่อเทพเจ้าเตา จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ และยิ่งเอาไม้สกปรกมาหุงหาอาหาร ถ้าเอาอาหารนั้นมาบูชาพระหรือเทพเซ่นไหว้บรรพชนล้วนเป็นการทำผิดทั้งนั้น นอกจากนี้ควันไฟที่เกิดจากเผาไหม้สกปรกพุ่งขึ้นท้องฟ้า เทพเจ้าเห็นแล้วจะโกรธง่าย เพราะฉะนั้นจึงไม่สมควรใช้ไม้สกปรกมาหุงหาอาหาร ! 

นิทาน   :  ในปีที่เจ็ดพระเจ้าเจิ้งเหอ สมัยซ่ง นายลี่ปาเกิดเป็นโรคเรื้อน ป่วยอยู่ 3 ปี เขาได้กินยาสารพัดก็ไม่มีผล เนื่องจากก่อนที่นายลี่ปาจะเจ็บป่วย เขาได้สวดมหาธรณีสูตร ของพระโพธิสัตว์กวนอิม 3 พันกว่าจบ มีอยู่วันหนึ่ง ก็บังเอิญพระภิกษุรูปหนึ่งมาหา พระเอายาเม็ดหนึ่งให้ลี่ปากิน สามารถรักษาโรคให้หายได้ แต่นายลี่ปากลับเก็บเม็ดยานั้นเอาไว้ ไม่ยอมกินทันที ในคืนนั้น นายลี่ปาก็ฝันถึงพระภิกษุที่เอายามาให้เมื่อตอนกลางวันพูดกับเขาว่า "ข้าคือพระโพธิสัตว์กวนอิม  เพราะเจ้ามักใช้ฟืนสกปรกหุงหาอาหาร ดังนั้นจึงกระทบกับผีเทพเข้า เพราะฉะนั้น จึงเป็นโรคเรื้อนนี้ แต่เพราะเจ้าได้สวดมนต์ธารณีสูตรถึง 3 พันกว่าจบ  วันนี้จึงประทานยาเจ้าหนึ่งเม็ดเพื่อปลดทุกข์ ทำไมเจ้าไม่ยอมกินล่ะ"  พอลี่ปาตื่นขึ้นมาก็รีบกินยาเม็ดนั้น เวลาผ่านไป 7 วัน หนังที่แตกเก่าก็ลอกหลุดออก ผมเผ้าขนคิ้วก็งอกขึ้นมาใหม่ การใช้ฟืนสกปรกหุงหาอาหารจะกระทบทำผิดต่อเทพเจ้า ดังนั้นจึงควรงดเว้น ตลอดจนใช้กิ่งก้านของไม้หลิวมาเป็นฟืนจุดไฟก็จะกระทบทำผิดต่อเทพเจ้าเตา อันนี้เป็นข้อห้ามในศาสนาเต๋า ควรที่จะต้องรับรู้เอาไว้
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : เปลือยกายกลางคืน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/08/2012, 02:05
บทที่หก  ชั่วบาป  :  เปลือยกายกลางคืน 

อธิบาย   :  ตกกลางคืนชอบเปลือยกายล่อนจ้อน
บัณฑิตคนตรง ในที่ ๆ มีคนเห็นก็ยังระมัดระวังไม่ทำอุจาด ในที่มืดที่ลับตา ก็ยังต้องเคารพกลัวเกรงผีเทพด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในห้องที่ลับตาไม่มีคนเห็น ก็ต้องรักษาความเคารพเอาไว้เหมือนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้า โดยเฉพาะในที่มืดเป็นสถานที่ของผีเทพเพราะฉะนั้นจึงไม่มีที่ไหนที่ไม่มีผีเทพอยู่ ตกกลางคืนเป็นช่วงเวลามืด ยิ่งเป็นเวลาที่เทพมักไปมาหาสู่กันตลอด ทำไมไม่ระมัดระวังจะหาเรื่องใส่ตัวให้ได้เคราะห์ภัยหรือ ?

นิทาน   :  สมัยก่อนที่เมืองเฟิงโจว มีบุตรสาวของขุนนางคนหนึ่งแต่งงานไปไม่ถึงหนึ่งเดือนเต็ม ไม่รู้สาเหตุอันใดชอบพูดส่งเดช และแก้ผ้าเดินทั่วโดยไม่รู้สึกอาย ไปหาหมอมาหลายคน ไปไหว้พระถามเจ้ามาทั่ว ก็ไม่สามารถรักษาเธอให้หาย ตอนนี้เองบังเอิญท่านอริยเจ้าจางกลับเข้าเมืองหลวง ขุนนางผู้นี้จึงไปเชิญท่านอริยเจ้าจางช่วยเหลือ อริยเจ้าจางใช้ให้ลูกศิษย์ใช้ยันต์มารักษา แต่ก็ไม่บังเกิดผลอะไร เธอยังคงแก้ผ้าพลุ่งพล่านไปทั่วเหมือนเดิม ดังนั้น ท่านอริยเจ้าจางจึงไปดูด้วยตนเอง เชิญขุนพลเทพให้มาปรากฏ พอท่านเจ้าเพิ่งมาถึง ผู้หญิงคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงพูดขึ้นว่า "เจ้าหญิงแม่บ้านคนนี้ กล้าที่จะแก้ผ้าในเวลากลางคืน กระทำผิดต่อเทพฟ้า นี่คือโทษตัดหัว !  แต่ด้วยเชิญอริยเจ้ามาด้วยตนเอง ตอนนี้ก็จะอภัยให้เจ้าก่อน !" พอหญิงแม่บ้านพูดจบ ก็ล้มลงกับพื้นทันที แล้วโรคก็หายไป
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ประหารวันตรุษสาร์ท
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/08/2012, 06:36
บทที่หก ชั่วบาป  :  ประหารวันตรุษสาร์ท

อธิบาย   :  ในวันตรุษสาร์ทต่าง ๆ
การดำเนินการลงโทษประหารชีวิตหรือโบยตนักโทษ ในวันตรุษสาร์ท จะเป็นวันที่เทพเจ้าจดบันทึกบาปบุญของคนในโลก เพราะฉะนั้นในวันตรุษสาร์ทเหล่านี้ ชาวโบกควรที่จะย้อนสำรวจ  ไม่ทำบาป  ให้สร้างบุญกุศล  จึงจะเหมาะสมกับท่านไท่ซั่งเมตตาโปรดเวไนย หากฝ่าฝืนทำตามอารมณ์ ทำการประหารในวันตรุษสาร์ท ก็จะทำร้ายบรรยากาศแห่งความละมุนละไมยของฟ้าดิน ที่สำคัญคือทำลายบุญวาสนาของบ้านตนเองนะ !  ในรัชสมัยถังเกาจูงปีที่สาม  ได้มีกโอกาสำหนดว่าเดือนอ้าย  ห้า  เก้า  สามเดือน  และวันสิบเจแต่ละเดือน  ให้ขุนนางทุกระดับห้ามลงโทษและรัชสมัยก่อนหน้าก็กำหนดว่าวันที่หนึ่งของแต่ละเดือนห้ามลงโทษประหาร  กับการฆ่าสัตว์  เป็นการให้ทานที่พระราชาและประชาชนต่างเมตตาต่อสัตว์ ปัจจุบันข้าราชการผู้ใหญ่ต่างก็เข้าใจการให้ทานชีวิตแบบนี้ รู้ความหมายลึกซึ้งในเรื่องนี้ดี

นิทาน   :  สมัยถัง ขุนนางโต้วเกวยเป็นลูกผู้พี่ของมเหสีของพระเจ้าเกาจูงต้ามู่ เป็นผู้ว่าเมืองลั้วโจว มีนิสัยเหี้ยมแข็งกร้าวชอบฆ่าคน ดังนั้นจึงฆ่าประชาชนและบัณฑิตไปไม่น้อย เมื่อถึงเวลาพิพากษา ซึ่งก็เป็นวันที่ทางราชสำนักให้งดเว้นลงโทษ เขาก็ไม่ยอมที่จะหยุด เขายังได้ทำร้ายราชเลขาอุ้ยหวินฉีในปีที่ 2 พระเจ้าเจินกวน  โต้วเกวยก็เกิดโรคเจ็บป่วยหนักมาก ทันใดก็พูดขึ้นว่า "มีคนส่งแตงมาให้ !"  คนรอบข้างตอบว่า  "ไม่มี"  โต้วเกวยก็พูดอีกว่า "มีซิเป็นเตงดีเสียด้วย" คนรอบข้างก็ตอบว่า "ไม่มีนะ !"  อีกครู่หนึ่งโต้วเกวยแสดงอาการตกใจจ้องมองพูดว่า "ไม่ใช่แตง เป็นหัวคน มันมาทวงชีวิตข้า ! " พอโต้วเกวยพูดจบก็ตายไป วันตรุษสาร์ทหาใช่เป็นวันห้ามฆ่าประหารเท่านั้น แม้แต่ลงโทษเฆี่ยนตีนักโทษก็ไม่ได้ มิฉะนั้น เวลารับเคราะห์ภัยกับมงคลก็จะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะฉะนั้นไม่ว่าข้าราชการ หรือรัฐบาลคงรระวังงดเว้น !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ถ่มน้ำลาย-ชี้รุ้งชี้สามแสง-จ้องอาทิตย์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/08/2012, 07:32
บทที่หก ชั่วบาป  :  ถ่มน้ำลายดาวตก  ชี้รุ้งชี้สามแสงบ่อย  จ้องอาทิตย์ จันทร์นาน

อธิบาย   :  การถ่มน้ำลายใส่ดาวตก ชี้นิ้วไปที่รุ้งผู้รุ้งเมีย  ชี้นิ้วไปที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์  และดวงดาวบ่อย ๆ และจ้องอาทิตย์จ้องจันทร์นาน ๆ
การที่ดวงดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เรียกว่าสามแสง ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรกับคน แต่กลับมีคนชอบถ่มน้ำลายใส่ดาวตก นั่นคือการกระทำของคนไม่มีปัญญา บ้างก็ชี้ดาวตกว่าเป็นพวกปีศาจ และการถ่มน้ำลายใส่ก็ถือว่าชนะเขา การพูดไม่มีสาระเช่นนี้เป็นการพูดใส่ร้ายของคนบ้านนอก ความจริงประชาชนขาดคุณธรรมที่พูดเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ฟ้าจึงเปลี่ยนแปลงเป็นปรากฏการณ์เพื่อตักเตือนชาวโลก เพราะฉะนั้น ดาวตกคืออุกาบาตที่ตกใส่ลงมาเป็นเพราะประชาชนขาดคุณธรรมกวักหามา จะไปถ่มน้ำลายได้อย่างไร ?.  สีแดงขาวคือรุ้งผู้  เขียวขาวคือรุ้งเมีย เป็นปรากฏการณ์หยินหยางของฟ้าดินที่เกิดไอน้ำขึ้น ในคัมภีร์ซีจิงกล่าวว่า "ถ้ารุ้งปรากฏขึ้นทิศตะวันอก ก็ไม่มีใครกล้าชี้นิ้ว !"  แกนนักษัตรเคลื่อนย้ายในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง กล่าวไว้ว่า "ดาวสลายเป็นรุ้งผู้"  ดังนั้นรุ้งจึงเป็นไอที่เหลือของนักษัตรที่ปรากฏเป็นสีให้เห็น ท่านขงจื่อที่นิพนธ์คัมภีร์ กตัญญูชุนฉิว ขณะกำลังจะจบลงก็ภาวนาวิงวอนไปยังดาวเหนือ เหตุนี้รุ้งแดงผู้จึงปรากฏขึ้นเป็นบทแกะสลักหยกเหลือง ใครพูดว่ารุ้งมิใช่ไอที่เหลือของนักษัตรเล้า?. ดังนั้นการชี้รุ้งทำไมจึงไม่มีโทษเล่า ?.  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวเป็นฟ้าเบื้องบนใช่ส่องตรวจโลกเพือแสดงธรรม ! :ท่านไท่ชั่งกล่าวว่า "ถ้าเห็นดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดาวเหนือ  ดาวใต้  ก็ต้องก้มหัวนิ่ง ขอให้คุ้มครอง  อภัยโทษที่ผิด  ไม่อาจทำอาการดูถูก จะได้ไม่ประสบเคราะห์ !"  คัมภีร์ในศาสนาเต๋า สอนคนให้เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ว่า "แต่ละปีวันที่หนึ่ง  เดือนยี่  ให้เซ่นไหว้ดวงอาทิตย์  วันที่ 15 เดือนแปด เซ่นไหว้ดวงจันทร์  ให้เตรียมธูป ดอกไม้ อาหารเจไปบูชา  เพื่อภาวนาเป็นการตอบแทนคุณของดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  แบบนี้สามารถเพิ่มบุญวาสนาและอายุขัยได้"  เพราะฉะนั้น จะชี้นิ้วบ่อย ๆ หรือจ้องมองนานได้หรือ ?

นิทาน   :  นายโจวหง กล่าวว่า ที่บ้านนอก มีครั้หนึ่งชาวบ้านหลายคนมาดื่มสุรากัน ทุกคนต่างมองเห็นว่าดวงอาทิตย์สว่างจ้าผิดปกติ ทุกคนก็ชี้นิ้วไป ทันใดนั้น ลมฝนก็เทลงมา ปรากฏมีรูปร่างประหลาดคล้ายลิงลงมาจากฟ้า ตาของมันมีแสงเรืองทั้งสองข้าง ทุกคนตกใจกลัวจนหมอบคลาน ผ่านไปครู่เดียว เจ้าตัวประหลาดก็จากไป ถึงตอนนี้ในรูหูของทุกคนเต็มไปด้วยดินโคลน ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจเกินขีดจนเจ็บป่วยโรคจิต

นิทาน   :  มหาอำมาตย์ไฉจิง ในสมัยซ่ง สามารถจ้องดวงอาทิตย์โดยตาไม่ลาย มีคนพูดว่า "นี่เป็นปรากฏการณ์พิเศษ !"  อย่างไรก็ตามไฉจิงถือว่าตยมีพลังตาดีที่กล้าจ้องสู้ดวงอาทิตย์ คนที่เข้าใจหลักธรรมก็เข้าใจว่า ในใจของเขาไม่มีพระราชาอยู่ในสายตา !  สุดท้ายไฉจิงก็กบฏจึงถูกลงโทษประหาร 

นิทาน   :  นายซุนจิ่ง สมัยหยวน มีความเศร้าโศกมากเมื่อบิดาเสียชีวิต  เขาเดินเท้าเปล่าในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ บิดาของเขายังไม่ได้ทำการฝัง เขาพาศพบิดาบิดาลงเรือกลับบ้านข้ามแม่น้ำ ขณะนั้นเกิดลมพายุรุนแรงมาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม ซุนจิ่งจึงคุกเข่าวอนขอต่อดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาว  ไม่นานนักลมก็สงบลง ดวงอาทิตย์ก็สว่างขึ้น  ซุนจิ่งมีความกตัญญูต่อมารดาเลี้ยงมาก เมื่อมราดาเลี้ยงเป็นฝีหนองเขาจะใช้ปากดูดเอาหนองออกจากฝี ต่อมามราดาเลี้ยงก็ตาบอด ซุนจิ่งก็วอนขอต่อดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาว หลังจากนั้นก็เอาลิ้นเลียที่ดวงตาของมารดาเลี้ยง ปรากฏว่าดวงตาของมารดาเลี้ยงกลับมองเห็นได้อีก หลังจากมารดาเลี้ยงตายลงได้สิบวัน ขณะที่จะลงฝัง ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูฝน ๆ ตกไม่หยุด ซุนจิ่งร้องไห้ตลอดคืน จนฝนหยุดตก ม้องฟ้า เมฆเปิดเห็นดวงอาทิตย์ พอเตรียมตัวจะลงฝังก็ตกค่ำเสียแล้ว ไม่มีแสงเลย  ซุนจิ่งจึงร้องไห้อีก ปรากฏว่าดวงดาวบนท้องฟ้าก็ทอแสงสว่างไสว ซึ่งบังเอิญคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ไม่มีดวงจันทร์  ทันใดก็ปรากฏฉายแสงสว่างไสวประดุจกลางวัน จากเรื่องที่เล่ามา เมื่อมาพิจารณา ไม่เพียงว่าดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดวงดาว  กลับมีพระคุณส่องแสงให้กับโลก โดยเฉพาะทันทีที่วอนขอก็สามารถได้รับการตอบสนองทันที !  เพราะฉะนั้น ทั้งสามแสงจากดวงอาทิตย์  จันทร์  ดาว  ผู้คนจะไปชี้โดยส่งเดชได้อย่างไร ยิ่งการจ้องมองเป็นการละเมิดบาปที่หนักด้วย   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ล่าสัตว์เผาป่าฤดูใบไม้ผลิ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/08/2012, 00:51
บทที่หก  ชั่วบาป  :  ล่าสัตว์เผาป่าฤดูใบไม้ผลิ

อธิบาย   :  การเผาป่าล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ  การยิงสัตว์บิน  ไล่จับสัตว์วิ่ง
เป็นบทห้ามชัดเจนของท่านไท่ซั่ง ยิ่งการเผาป่าล่าสัตว์เป็นการทำลายชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนยิ่งเป็นบาปหนัก โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ จึงเป็นการละเมิดฟ้าที่ประทานชีวิต แล้วกลับมาทำลายชีวิตอย่างโหดเหี้ยมสุด ๆ เช่นนี้ แม้แต่ในฤดูอื่นก็ใช่ว่าจะเผาป่าล่าสัตว์ได้ก็หาไม่

นิทาน   :  ในสมัยถัง นายหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายตายพร้อมกัน ในวันเดียวกัน คนบ้านใกล้เรือนเคียงแ่ฉีก็ป่วยตาย และพื้นคืนชีพมาใหม่ เขาพูดกับคนทั่วไปว่า ตนเองได้ไปยมโลก ได้เห็นหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายถูกต้มอยู่ในหม้อน้ำเดือด ต้นจนเนื้อหนังหลุดร่อนเหลือแต่กระดูกขาว ๆ ผ่านไปอีกนาน คนทั้งสองก็กลับมาสู่สภาพเดิม แล้วก็ถูกจับต้มอีกจนเนื้อหนัง่อนหมด เวลาผ่านไปอีกนานก้กลับมาสู่สภาพเดิม แล้วก็ถูกทำโทษลงไปต้มใหม่ครั้งแล้วครั้งเลา ลงโทษอยู่แบบนี้ไม่สิ้นสุด !  ยมบาลกล่าวว่า "นายหลิวม้อเอ๋อกับลูกชายมีอาชีพเผาป่าล่าสัตว์ จึงต้องรับกรรมตอบสนองเช่นนี้ ! "

อธิบาย   :  ควรจะรู้ว่าสรรพสัตว์ล้วนมีพุทธจิต จะทำลายชีวิตส่งเดชไม่ได้ การล่าสัตว์ก็ทำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังปล่อยไฟเผาป่าอีก ทำให้สัตว์อื่น ๆ พลอยถูกเผาไหม้ไปด้วย แม้แต่ตัวหนอน  ตัวแมลง  ก็ไม่รอดพ้นถูกเผาเรียบ ! ด้วยเหตุที่การทำลายสูงมากจึงเป็นสิ่งที่คนทนไม่ได้ ! ในบันทึกจริยธรรมมีรายละเอียดกำหนดไม่ให้เผาป่าล่าสัตว์ ท่านไท่ซั่งกล่าวตอกย้ำห้ามอีก เพราะทำลายชีวิตจำนวนมากมายนัก
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ด่าทอทิศเหนือ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/08/2012, 01:14
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ด่าทอทิศเหนือ

อธิบาย   :   หันหน้าด่าไปทางทิศเหนือ  การถ่มถุยน้ำลายสั่งขี้มูก เป็นเรื่องเล็กธรรมดา แต่การถ่มถุยไปทางทิศเหนือก็มีโทษบาปอยู่แล้ว
ซึ่งก็ได้กล่าวมาแล้ว ยิ่งด่าทอไปทางทิศเหนือยิ่งบาปหนัก คนโง่ที่ไม่มีปัญญาที่ถูกโทสะพาไป ไม่รู้จักหักห้ามจิตใจ ไม่มีสติยั้งคิดที่บันดานโทสะออกไป วจีกรรมของคนมี 4 ชนิด การด่าทอว่าร้ายบาปหนักสุด ในพุทธสูตรว่า ปุถุชนมีโลภ โกรธ หลง 3 พิษ ซึ่งรุนแรงมาก ไฟโทสะมีสภาพเผาผลาญกว้างขวางคือเมื่อเกิดโกรธแค้นก็จะมีปัจจัยชั่วทำให้เกิดอุปสรรค เพราะฉะนั้น เวลาพูด เมื่อบันดาลโทสะอกจากปาก ก็จะทำร้ายใจคน ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด ประดุจถูกมีดเฉียน จึงเกิดทุกข์กังวลสุดประมาณ !  ถึงแม้กายยังไม่ได้ทำบาป ถ้าหากไม่ระวังปากตนเองก็ตกสู่ทางบาปได้นา !"

นิทาน   :  มีแม่บ้านคนหนึ่งที่เมืองซินอัน มีนิสัยแข็งกร้าว ตนเองไม่มีบุตรก็อิจฉาเมียน้อยที่มีบุตร  ทุกวันยามใกล้ค่ำ นางก็จะด่าทอไปทางทิศเหนือ ค่ำวันหนึ่งนางก็ด่าทอสาปแช่งไปทางทิศเหนือ ทันใดก็มีดาวตกลงมาที่พื้นขนาดเท่าถาดใบหนึ่ง เสียงดังเหมือนฟ้าผ่า นางตกใจกลัวจนล้มเจ็บลงท้องก็บวมขึ้น ๆ เหมือนคนมีท้อง รอจนใกล้คลอดปวดท้อง 7 วัน มันก็ยังคลอดไม่ออก ที่จริงในท้องนางไม่มีทารก !  หลังจากที่นางสำนึกผิดแล้วโรค
จึงหาย

อธิบาย   :  น่าจะรู้ฤทธิ์เดชของเทพเจ้า ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีนะ !  ทำไมจึงพูดแต่ทิศเหนือ นั้นก็เน้นถึงความสำคัญว่าเป็นทิศที่มีพระเจ้าสถิดอยู่ ทำไมคนถึงไม่รู้จักคอยระลึกว่า ทุกแห่งหนล้วนมีเทพเจ้าอยู่ทั้งนั้น เมื่อมีใจเกรงกลัว จะเพิ่มการบำเพ็ญย้อนสำนึกตรวจบารมีดูบ้าง !
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่หก ชั่วบาป คัมภีร์ : ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/08/2012, 09:49
บทที่หก  ชั่วบาป   :  ตีงูฆ่าเต่าไร้สาเหตุ

อธิบาย   :  ไม่มีสาเหตุอะไรก็ไปตีงูฆ่าเต่า อริยเจ้าสนองชาติกล่าวว่า "ชีวิตทั้งปวงฆ่าไม่ได้ ยิ่งเต่าและงูเป็นพวกปีศาจอย่างหนึ่ง
อดีตชาติที่สนองกับเทพเจ้าดาวเหนือ (ไปย๋จี๋เจินอู่เสียนเทียนซั่งตี้) เราจะเห็นใต้บาทของเทพเจ้าเจินอู่จะมีงูและเต่า (ไปดูได้ที่รูปของท่าน)  เพราะฉะนั้นจะฆ่าโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้ ถ้าทำอาจได้รับกรรมตอบสนองรุนแรง"  เพราะฉะนั้นคนที่เมตตาจะช่วยเหลือปล่อยชีวิต ! 

นิทาน   :  ชาวนาแถบเมืองเหย่โจว พากันวิดน้ำในสระจนแห้งเพื่อจับปลา แต่ก็มีเต่าจำนวนมาก พวกเขาแคะเอาเนื้อเต่าออกหมด แล้วส่งกระดองเต่าไปขายที่เมืองเจียงหลิง ดังนั้นจึงได้กำไรมาแยะ หลังจากกลับมาบ้าน ทั่วตัวเกิดเป็นฝีเจ็บปวดร้องครวญคราง คนได้ยินก็ให้สงสาร พวกเขาต้องใช้น้ำอ่างใหญ่แล้วใช้มือนวดถูในน้ำจึงค่อยทุเลาอาการเจ็บ ทำอยู่เช่นนี้จนกระดูกโผล่ออกมาเหมือนกระดองเต่า เนื้อหนังร่อนแตกจนตาย

นิทาน   :  มีเศรษฐีคนหนึ่ง ข้าง ๆ บ้านที่อยู่มีต้นไม้แห้งเฉาต้นหนึ่ง เศรษฐีเตรียมให้คนโค่นทิ้ง ในคืนนั้นเขาก็ฝันเห็นคนหนึ่งนำคนมาหลายคนมาร้องขอ ขอให้เศรษฐีชลอเวลาสักระยะหนึ่งก่อน รอให้พวกเขาย้ายออกก่อนค่อยโค่นทิ้ง หลังจากเศรษฐีตื่นจากฝัน ก็ใช้ให้คนไต่ขึ้นบนดูบนต้นไม้ ปรากฏว่าบนต้นไม้มีงูจำนวนมากพันกันเป็นกลุ่ม เศรษฐีใช้ให้คนจุดไฟเผาต้นไม้จนงูตายกันหมด ไม่นานนักที่บ้านของเศรษฐี พอตกดึกก็มีคนเห็นลูกไฟลอยเข้าไปในบ้าน พอคนในบ้านลุกขึ้นมาดูก็ไม่เห็นมีอะไรเลย สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก จนทุกคนรู้สึกเฉย ๆ  คืนหนึ่งสาวใช้ในบ้านไม่ระวังใช้ฟืนเผาไฟจนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ไฟไหม้บ้านขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาดับไฟ ต่างคิดว่าเหมือนสภาพแล้ว ๆ มา จึงนอนต่อหลับสนิท เมื่อรู้สึกตัวอีกที คิดจะหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว  คนทั้งบ้านถูกไฟเผาตายเรียบหมด

นิทาน   :  บิดาของนายหลิวเอี้ยน เป็นผู้ตรวจราชการเมืองหูโจว มีคนขึ้นมาจากเหวไปย่ขิง เขาเอาเต่ามาให้บิดาตัวหนึ่ง เป็นเต่าตัวใหญ่มาก แล้วพูดว่า "ถ้าทานเนื้อมันแล้วจะมีอายุยืนถึงพันปีเชียวนะ !"  บิดาก็นำเอาเต่าตัวนี้แอบไปปล่อยไว้ที่เดิม ภายหลังเมื่อบิดาของหลิวเอี้ยวถึงแก่กรรมไปแล้ว หลิวเอี้ยวได้เป็นตุลาการเมืองฝังโจว ได้เกิดอุทกภัยฉับพลัน น้ำท่วมหลายฟุต หลิวเอี้ยวไม่มีทางหนีน้ำได้เลย ก็ให้มีเต่าตัวหนึ่งมานำทางพาไปจนถึงที่ตื้น ดังนั้นคนทั้งบ้านจึงพ้นจากอุทกภัยได้ ในคืนนั้นก็มีคนใส่อาภรณ์ขาวคนหนึ่งมาบอกเขาว่า "ข้าคือคนที่บิดาท่านปล่อยชีวิตที่เหวไปย่ขิง เป็นเต่าตัวใหญ่ ข้ามาที่นี่เพื่อตอบแทนบุญคุณที่บิดาท่านช่วยชีวิตเอาไว้ !"

นิทาน   :  ในสมัยถัง ท่านอริยเจ้าซุน ครั้งหนึ่งเดินอยู่ในป่าเห็นชาวบ้านกำลังรุมตีงูเขียวตัวหนึง ดังนั้นจึงขอซื้องูตัวนั้นจากชาวบ้าน แล้วก็ปล่อยมันไป ไม่นานนัก ก็มีคนหนุ่มคนหนึ่งมาต้อนรับให้ไปถึงวันแห่งหนึ่ง คนทรงอาภรณ์สีแดงออกมาต้อนรับอริยเจ้าซุน และกล่าวว่า "เมื่อวานลูกน้อยประสบภัย โชคดีที่ท่านเมตตาช่วยชีวิต ดังนั้นจึงส่งลูกคนโตไปต้อนรับท่านเข้าวัง เพื่อแสดงความขอบคุณ"  เมื่ออริยเจ้าซุนเข้าถึงวังลึกก็ให้มีเจ้าจอมนางหนึ่งพาลูกน้อยใส่อาภรณ์เขียวออกมาออกมาพบและกราบไหว้ขอบคุณอริยเจ้าซุน ราชานาคราชขอให้อริยเจ้าซุนอยู่ในเมืองบาดาลถึง 3 วัน  และขอนำอาหารอย่างดีมาต้อนรับพร้อมกับให้แพรไหมมุกต่าง ๆ แก่อริยเจ้าซุน อริยเจ้าซุนปฏิเสธไม่รับทั้งหมด เพียงขอรับตำรับยาทิพย์ 30 ขนานมาสู่โลก เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ เวลานี้ตำรับยายังใช้กันมาถึงปัจจุบัน.
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : อันทำบาปต่าง ๆ ฯลฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/08/2012, 10:45
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  : อันทำบาปต่าง ๆ เทพเจ้าตามดูหนักเบา หักขัยตามรอบ ขัยสิ้นก็ตาย หนี้เหลือจากตาย ตกทอดบุตรหลาน

อธิบาย   :  โทษบาปต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว เทพเจ้าตุลาการสอบตามกรรมโทษบาปที่หนักเบา
นำมาหักอายุขัยของเขา โทษบาปหนักก็จะหักอายุขัยหนึ่งรอบมีสิบสองปี โทษบาปเบาก็หักขัยหนึ่งร้อยวัน ถ้าโทษบาปหักตามอายุขัยจนหมดแล้ว นั่นก็หมายความว่า กำหนดอันตรายของเขามาถึงแล้ว แม้ตายแล้วแต่โทษบาปยังเหลืออยู่ก็ให้ลูกหลานรับเคราะห์ไป อันโทษต่าง ๆ ดังกล่าวจากบทที่แล้วมาจนถึงโทษฆ่าเต่าตีงู เป็นต้น เทพเจ้าตุลาการกล่าวไว้ชัดเจน ก็ต้องรับกรรมสนองตามความเป็นจริง ในพุทธสูตรกล่าวว่า "กรรมเกิดจากใจ รูปใจที่ปรากฏเป็นการกระทำของแรงกรรม แรงกรรมอาศัยใจสร้างขึ้นจนสำเร็จขเป็นลักษณะ ใจที่ถูกแรงกรรมเผยปรากฏสภาวะชนิดต่าง ๆ เหมือนเงาที่ติดตามกาย !"  ใจที่แยกถูกผิดชั่วดีก็เหมือนเสียงที่สะท้อนกลับ การตอบสนองมากหรือน้อยแตกต่าง แต่ก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ตลอดจนเคราะห์ภัยตกทอดถึงลูกหลาน ดังที่พูดกันเป็นประจำถึงสามภพกันเลย ! สรุปคือที่ไกลออกไปก็อยู่ที่ลูกหลาน ที่สนองใกล้คือกับตนเอง แต่ก็เป็นความจริง เพราะว่านับตั้งแต่ชาวโลกมีใจที่เปลี่ยนแปลงชั่วร้ายหลอกลวงก็สั่งสมกรรมชั่วมากเหลือเกิน จนทำร้ายจิตใจของพระเจ้าที่ให้กำเนิดดี ละเมิดฝ่าฝืนจิตปกป้องของบรรพชน ดังนั้น จึงทำความลำบากให้กับลูกหลานจนขาดผู้สืบสกุลที่เป็นผลตอบสนองบางคนก็โยนไปเป็นเรื่องของดวงชะตา บางคนก็ผลักไปเป็นเรื่องของบรรยายกาศ โอ้ ! มหาบารมีฟ้าดินเรียกว่ากำเนิด แม้แต่ต้นหญ้าใบไม้  สัตว์ปีก  สัตว์น้ำ ฟ้าดินก็ยังไม่ยอมให้มันสูญพันธุ์ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีญาณเหนือสรรพสัตว์ ฟ้าดินมีหรือที่จะทนทำร้ายลูกหลานของพวกเขา เพราะฉะนั้น หากมนุษย์ไม่ก่อโทษบาปที่หนักถึงที่สุด ก็จะไม่ดับสิ้นลูกหลานหรอกนะ !  อย่างไรก็ตาม เมื่อการลงโทษบาปแล้วยังมีโทษเหลืออยู่ก็ต้องตกทอดไปให้ลูกหลาน เป็นหลักธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล ! 

นิทาน   :  หยางสู้ขุนนางใหญ่สมัยซุย พยายามกดดันแนะนำให้พระเจ้าซุยเหวินตี้ขจัดองค์รัชทายาทหยางหย่ง และผลักดันแก้ไขให้หยางกว่างเป็นองค์รัชทายาทแทน ก็คือพระเจ้าซุยเอี้ยงจึงทำให้ประเทศเกิดวิกฤต บุตรชายของหยางสู้คือ หยางหยวนกั่น กลับถูกพระเจ้าซุยเอี้ยงที่ตนสู้อุตส่าห์สนับสนุนให้เป็นองค์รัชทายาทแทน จนขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าซุยเอี้ยง สั่งประหารทั้งครอบครัว ขุนนางผู้มีคุณในการก่อตั้งราชวงศ์ถัง คือ อวี๋สื้อเจ๋อ (ได้รับประราชทานสกุลให้แซ่ลี่ เพราะว่าพระเจ้าถังเกาจงคิดจะขจัดมเหสีหวังฮองเฮา แล้วแต่งตั้งบู๋เจียวอี้ (คือจักรพรรดินี บู๋เสกเทียน) ขึ้นมาเป็นมเหสี บรรดาขุนนางต่างพากันคัดค้านพระเจ้าถังเกาจง จึงถามความเห็นของอวี๋สื้อเจ๋อ ขุนนางอวี๋สื้อเจ๋อเคยถูกพระเจ้าถังไท้จงปลดออกก็มีความแค้นในใจอยู่แล้ว จึงทูลตอบพระเจ้าถังเกาจงว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในราชสำนัก พระองค์สามารถดำเนินการได้ตามพระทัย"  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าถังเกาจงจึงตั้งพระนางบู๋ขึ้นเป็นฮองเฮา การกระทำเช่นนี้เป็นสาเหตุให้ราชวงศ์ถังถูกกำจัดสิ้น ในที่สุดหลานชายของอวี๋สื้อเจ๋อ คือ อวี๋จิ้งก็ถูกพระนางบู๋เสกเทียนฆ่าตาย  คดีทั้งสองเรื่องที่ยกมาแสดงก็เน้นให้รู้ว่าโทษบาปที่ตนเองทำเอาไว้ได้ตกทอดถึงลูกหลาน ซึ่งเป็นความจริงที่คนพึงสังวร ดังคติกล่าวว่า "เจ้าเริ่มจากสิ่งนี้ก็สิ้นสุดจากสิ่งนี้" ออกจากที่นั่นก็คืนกลับไปที่นั่นเป็นการตอบสนอง ดังนั้นการใส่ร้ายป้ายสีจึงทำไม่ได้แน่นอน แต่คนในปัจจุบันมักมองสิ่งที่เห็นเฉพาะหน้า เห็นคนทำชั่วจำนวนมากไม่ยักจะเป็นอะไร ก็ได้แต่ต่อว่าฟ้าไม่มีตา เห็นคนทำชั่วแต่ครอบครัวกลับมั่งมีศรีสุขก็เลยพูดว่า "ทำชั่วได้ดีมีถมไป" ควรรู้ไว้ว่าในคัมภีร์อี้จิงกล่าวไว้ว่า "บ้านที่สั่งสมความดี ต้องมีงานมงคลล้น บ้านที่สั่งสมความไม่ดี ต้องมีภัยเคราะห์ล้น" อันเป็นหลักธรรม ตามหลักธรรมนี้มีคำว่า "ล้น" ซึ่งก็เก็บความหมายกว้าง หลังจากชีวิตตัวเองก็หมายถึงลูกหลานใช่ไหม หาใช่เพียงการตอบสนองต่อตนเองในปัจจุบันเท่านั้น ดังที่พระเจ้าตรัสว่า "ภัยเคราะห์ล้นตกทอดลูกหลาน" มีความมุ่งหมายตักเตือนไม่ให้คนทำชั่ว แต่ให้ทำดี ถ้าหากลูกหลานกตัญญู  ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญจิต  สั่งสมบุญบารมี  เพื่อไถ่บาปที่คนรุ่นก่อนได้สร้างเวรกรรมความชั่วเอาไว้ได้ และยังช่วยลดหนี้โทษของตนเองได้ด้วยก็จะสามารถหมุนเปลี่ยนเคราะห์ภัยให้เป็นบุญวาสนาได้นา !  นี่เป็นเรื่องที่ท่านไท่ซั่งกับพระเจ้าคาดหวังลึก ๆ ไว้นา !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : พวกอันธพาลเอาเงินเขา...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/08/2012, 02:49
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  พวกอันธพาลเอาเงินเขา  ผลชั่วตกถึงลูก เมียคนในบ้านรับไปจนกว่าถึงที่ตาย  หากยังไม่ตาย ก็มีภัยจากน้ำภัยโจรของหาย  เจ็บป่วย  คดีความตอบสนอง จนเท่าค่าที่โกงมา

อธิบาย   :  การใช้อิทธิพลอำนาจเพื่อโกงเงินเขา
ส่วนใหญ่ก็ทำเพื่อลูกเมีย ที่ไหนได้ท่านเทพเจ้าตุลาการ ก็จะคิดบัญชีกับลูกเมียและคนในบ้าน เพื่อตอบสนองต่อความโลภชั่ว เพื่อให้โทษสนองนั้นเสมอกัน หากว่าความชั่วมันเต็มพอดีกับอายุขัยก็ถึงที่ตาย หากตัวยังไม่ตายเพราะโทษบาปนั้นบางเบาก็ไม่ถึงที่ตาย แต่ก็จะมีภัยจากน้ำ  ไฟ  ขโมยโจรเข้าปล้น  หรือไม่ก็มีของหาย  เจ็บป่วยค่ายาค่าหมอ  หรือมีคดีความต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น เพื่อให้ได้ค่าเสมอกับเงินที่โกงมา บทความข้างต้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว เพียงอยากจะอธิบายขยายความถึงภัยเคราะห์ที่อันธพาลโกงมา อันธพาลในที่นี้มีความหมายกว้าง มิใช่เพียงพวกเกเรที่เห็นอยู่ตามตรอกซอกซอย  อันธพาลที่อยู่ในคราบของคนสวมใส่สูทเสื้อนอกชนชั้นปกครอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายที่ใช้อิทธิพลนอกกฏหมายและในกฏหมาย แผนโกงทั้งสลับซับซ้อนและไม่ซับซ้อนเหล่านี้ ถือเป็นอันธพาล  เพราะอันธพาลคืออำนาจที่ไม่ชอบธรรม โทษบาปชนิดนี้เป็นโทษบาปที่ไร้จริยธรรมที่สุด โดยเฉพาะคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงใช้อำนาจได้ จึงเตือนมาด้วยความเคารพ !  ส่วนใหญ่การโกงเขามา จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ลูกเมียและคนในครอบคัวได้มีชีวิตที่อยู่สุขสบาย แต่หารู้ไม่ว่าเทพเจ้าตุลาการก็กำลังคิดบัญชีกับลูกเมียและคนในบ้านเพื่อตอบแทนความโลภชั่วของเขา ผลได้มันไม่สมกับความเสียหายใช่ไหม ?. เอาความรักความห่วงใยของเนื้อหนังไปแลกกับเงินทองที่ไร้รักห่วงใย แบบนี้มันสมควรแล้วหรือ แม้ตนเองก่อกรรมชั่วจนเต็มอายุขัย คววามตายก็มาถึง แล้วจะเอาเงินทองนั้นมาทำอะไร ?. หากคิดจะเอาเงินทองมาเป็นสินบนในนรก คิดหรือว่าจะใช้ได้ ถึงตอนนั้นมีใครบ้างที่ยังปล่อยวางไม่ได้ ?.  มีแต่จะพูดว่ามันสายเกินไป แล้วอีตอนที่ยังไม่มาถึงสภาพตอนนี้ ทำไมไม่คิดเสียแต่เนิ่น ๆ หากโทษบาปที่บางเบาไม่ต้องถึงตายก็จะพบกับอุปสรรคภัยเคราะห์ต่าง ๆ หรือไม่ก็ลูกหลานไม่ดีเกเรเกตุงไม่เอาถ่าน ช่วยล้างผลาญเงินทองที่เขาโกงมาจนกว่าจะหมด ควรรู้ว่าคนที่โกงเงินเขามา ในอำนาจมืดก็จะมีพลังอำนาจมาแย่งชิงเงินทองของเขาอีกต่อหนึ่ง เพราะฉะนั้นเงินทองที่ได้มา ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือนา !  ทั้งยังต้องผจญหวาดผวากับเคราะห์ภัยจากน้ำไฟโจรปล้น หรือมีของหายจนกลุ้มอกกล้มใจเคียดแค้น โรคภัยไข้เจ็บก็รุมเกันเข้ามา เจ็บป่วยทรมานหรือมีคดีความฟ้องร้องเสียเงินเสียทองจนหมดตัวก็ได้ บ้างก็มีลูกหลานเกเรทำเรื่องชั่วอับอายวงศ์ตระกูล ตนเองขาดทุนเปล่า ๆ ไม่ได้ชื่นชมเสพสุข ทั้งยังมีหนี้เวรมากมายไม่มีความสุขเลย ล่มจมไม่จบ  ในที่สุดเงินทองที่โกงเขามา คิดแล้วไม่เพียงแต่หนาวใจ ยังท้อแท้หมดใจ

นิทาน   :  ในสมัยพระเจ้าถังเสียงจง ขุนนางสิงโซ่วได้รับโองการให้ไปตรวจราชการที่เมืองซินหลอ หลังเสร็จภารกิจ ตอนขากลับพักชั่วคราวที่เฟวยซัน ได้เห็นพ่อค้าตั้งร้อยคนบรรทุกสินค้าเต็มหลายลำเรือ มูลค่าหลายแสนหมิง ขุนนางสิงโซ่วสั่งให้ลูกน้องแอบเข้าโจมตีฆ่าพ่อค้าตายทั้งหมดแล้วก็แย่งชิงสินค้าของพวกเขา เวลาผ่านไปจนกระทั้งลูกชายของเขา นายสิงโซ่วกับนายหวังหงวางแผนกบฏ จึงถูกราชสำนักลงโทษประหาร ลูกหลานสักคนก็ไม่มีเหลือเลย !  นายอุ้ยกงกันมีตำแหน่งเมืองข่วนโจว อาศัยอำนาจของขุนนางโกงเงินมาได้จำนวนมาก จนกระทั่งปลดเกษียณ ขณะนั่งเรือเดินทางกลับบ้าน เรือโดนพายุล่ม ทรัพย์สินเงินทองที่ตนได้มาทั้งหมดก็จมลงสู่น้ำ เหลือแต่ชีวิตรอดมาเท่านั้น !  ขุนนางหลี่ซื่อ เป็นผู้ตรวจราชการเมืองฉือโจว รีดไถประชาชนได้เงินจำนวนมาก ล่องเรือบรรทุกเงินทองมาเต็มเรือ ระหว่งทางเกิดไฟไหม้เรือจนทรัพย์สินถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น เหลือแต่เรือกับคนที่ไม่เสียหาย ในสมัยซ่ง ขุนนางกังฉินชื่อติงเหว่ย ถูกราชสำนักเนรเทศไปถึงจูเอี้ยน ระหว่างทางถูกโจรปล้นสะดมเอาทรัพย์สินไปจนหมดไม่นานนักขุนนางติงเหว่ยก็ตายไป ขุนนางหม่าย่าง มีใจละโมบมากกินตำแหน่งตุลาการเมืองเสฉวน เกิดการจลาจลหลิวกันสงบลงแล้ว หม่าย่างก็ออกมาค้นหาเงินทองในบ่อน้ำที่ตนซ่อนเอาไว้ แต่ค้นหาเท่าใดก็หาไม่พบเลย !  เงินทองที่เขามีอยู่ทั้งหมดสูญหายไป นายหูอิ่งกุ้ยกับหลูอิฉิ สองคนช่วยกันหลอกลวงลูกชายขุนนางคนหนึ่ง ไปเล่นการพนัน วางแผนโกงทรััพย์สินของบ้านเขา ทันใดนั้นตาข้างหนึ่งของหูอิ่งกุ้ยก็บอด ขาข้างหนึ่งของหลูอิฉิก็แตกหัก ทั้งสองกลายเป็นคนทุพลภาพ ยากลำบากไปตลอดชีวิต คนใจโหดเหี้ยมที่ละโมบโกงเงินเขาจนร่ำรวย แต่ลูกชายกลับไม่เอาถ่านชอบเล่นล้างผลาญสำมะเลเทเมา ทุกวันก็ได้แต่พูดส่งเดช จึงเกิดคดีความกับชาวบ้าน เวลาไม่ถึง 10 ปี เงินทองในบ้านก็ใช้จนเกลี้ยง จากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ก็ลำบาก ลูกหลานไม่เจริญก้าวหน้า คดีทั้งหมดที่กล่าวมา ล้วนโกงกินเงินทองของเขามาทั้งนั้น มักจะได้รับเคราะห์ภัย เป็นการแสดงให้เห็นถึงผลกรรมตอบสนอง จนกว่าเงินทองจำนวนที่โกงเขามาจะเสมอกัน ในเรื่องดังกล่าวที่สาหัสสากรรจ์กว่าเพื่อนก็เรืองของสิงโซ่วทั้งคนทั้งบ้านถูกตัดหัว !  โลกนี้มีเรื่องเข้าใจยากมากมาย มีแต่ฟ้าเท่านั้น ไม่มีหรอกที่จะไม่ตอบสนองคนทำเรื่องชั่ว ไม่ว่าคนจะฉลาดใช่เล่ห์เหลี่ยมชนิดไหน แต่ฟ้าก็สามารถตอบสนองได้เหมาะสม ! ทำไมนะคนถึงไม่รู้จักกลัวอีก !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : ใส่ความฆ่าคนก็ถูก...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/08/2012, 03:56
บที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ใส่ความฆ่าคนก็ถูกอาวุธฆ่าตอบ

อธิบาย   :  ใส่ความเพื่อจะฆ่าคนก็มักถูกอาวุธฆ่าตอบเช่นกัน
ในบทที่แล้วพูดถึงการโกงเงินเขา มาในบทนี้ก็ใส่ความหาเรื่องฆ่าเขา เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนี้ก็สืบเนื่องจากละโมบฆ่าเพื่อเงินทองของเขา แต่เอาไม่ได้ก็เลยใส่ความเขาเพื่อฆ่าเขา การหาเรื่องใส่ความฆ่าคนมีประมาณ  7 อย่าง
ที่ 1.  ข้าราชการฝ่ายตุลาการ เพราะได้รับสินบน จึงโหดเหี้ยมใส่ความหาเหตุเพื่อสั่งลงโทษประหารนักโทษ
ที่ 2.  นำกองทหารออกศึก หัวหน้าหรือขุนพลที่นำพาทหารถือโอกาสฆ่าคนเพื่อปล้นสะดมแล้วเอามาเป็นความดีความชอบ
ที่ 3.  นายแพทย์สั่งยา นายแพทย์โลภเงินอยากกำไรมาก จึงจ่ายยาคุณภาพต่ำหรือเป็นยาปลอม หรือสั่งยาผิดคนไข้ตาย แล้วก็ยืนยันว่าไม่ใช่ความผิดของตน
ที่ 4.  ฆ่าทำแท้งเพื่อประหยัดรายจ่าย เห็นเป็นเด็กทารกหญิงจึงฆ่าเสีย เกิดจากความใคร่เสพกามจนตั้งครรภ์ จึงทำแท้งเสีย
ที่ 5.  ข้าราชการเลว ข่มเหงหลอกลวงข้าราชการผู้ใหญ่ อ้างอิทธิพลหลอกลวงฆ่าคน หลอกลวงเงินทองใส่ร้ายฆ่าคน
ที่ 6.  ใช้ฮวงจุ้ยทำร้ายคน มีอาชีพซื้อฮวงจุ้ย แล้วเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพเขาเพื่อทำลายเขา โดยก่อให้เกิดเคราะห์ภัย
ที่ 7.  เป็นครูอาจารย์ที่เลว ครูเลวไม่ชอบสอนหนังสือเป็นการทำร้ายลูกหลานชาวบ้าน คือครูทำลายศิษย์ ทำให้ลูกชาวบ้านชั่วเลวไปทั้งชีวิต
        การใส่ความทำร้ายฆ่าคนทั้ง 7 อย่าง แม้ว่าจะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นการฆ่าแบบใส่ร้ายเขา ซึ่งก็มีผลอย่างเดียวกัน โทษบาปชนิดนี้ ฟ้าจะไม่มีการอภัยบาป จักต้องได้รับโทษจากฟ้าดิน แม้จะพูดว่าฆ่าคน แต่ที่แท้เป็นการฆ่าตัวเอง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง มีพระธรรมาจารย์เซนรูปหนึ่ง สมัยหนุ่ม ๆ ดื่มสุราจนมึนเมา และในระหว่างกำลังแก่งแย่งเงินทองกับผู้อื่น ชกต่อยฝ่ายตรงข้ามรุนแรงจนถึงแก่ความตาย เป็นเพราะกลัวความผิดจึงหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่อมาเขาสำนึกผิดได้จึงออกบวชบำเพ็ญด้วยความยากลำบาก ในที่สุดเขาบรรลุสว่างใจพบจิตสำเร็จเป็นมหาธรรมาจารย์เซน ท่านขึ้นอาสนะบรรยายธรรมต่อหน้าลูกศิษย์หลายร้อยคนเป็นประจำเสมอมา  วันหนึ่งขณะที่ท่านมีอายุ 70  ในเช้าวันหนึ่ง หลังจากท่านอาบน้ำชำระะกายแล้ว ก็ขึ้นบนอาสนะแล้วกล่าวกับหมู่คนทั้งหลายว่า "พวกเธอจงอยู่ในความสงบ อย่าพูดจากัน ให้ฟังเรื่องราวในอดีตของอาตมาเมื่อ 40 ปีก่อน"  พวกเขานั่งจนถึงเวลาเที่ยงก็ให้มีทหารคนหนึ่งเดินทางมาถึงวัด ทันใดเขาก็ยกคันธนูขึ้นคิดจะยิงฆ่าพระธรรมาจารย์ พระธรรมาจารย์เฒ่าก็พนมมือไหว้ไปที่ทหารผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "ภิกษุเฒ่ารอท่านอยู่ที่นี่นานมากแล้ว !" ทหารผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจพูดว่า "ข้ากับท่านไม่รู้จักกัน แต่พอพบหน้าท่านทำไมก็คิดอยากฆ่าท่านเสีย ?.  ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลกลใดเลย ! "  พระธรรมาจารย์เฒ่าจึงกล่าว "เป็นหนี้เงินก็ชดใช้เงินยุติธรรมดีแล้ว ขอเชิญลงมือ อย่าต้องเสียเวลาเลย !" แล้วก็หันมาพูดกับหมู่ชนว่า "หลังจากอาตมาตายแล้ว พวกเธอจงเชื้อเชิญท่านผู้นี้รับประทานอาหาร หากพวกเธอกล่าวว่าเขาเพียงคำเดียวก็จะเป็นการละเมิดต่อฟ้า ฝ่าฝืนอาจารย์  ไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาตมา !"  ทหารผู้นั้นได้ยินคำพูดของธรรมาจารย์แล้วก็ยิ่งเพิ่มความสงสัย จึงคาดคั้นเอาความจริงจากพระธรรมาจารย์ให้ได้ พระธรรมาจารย์จึงพูดว่า "เพราะท่านได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น อาตมายังอยู่ในชาติปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจึงยังจำเรื่องราวได้" ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทหารผู้นั้นฟัง ทหารผู้นี้อ่านหนังสือไม่ออก ทันใดก็พูดกับพระธรรมาจารย์ด้วยเสียงอันดังว่า "แค้นตอบสนองกันเมื่อไรจะสิ้นสุด เคราะห์กรรมพันผูกหาใช่บังเอิญ สู้แก้กรรมกับอาจารย์ดีกว่า ตอนนี้ สู้ตั้งมั่นไปสู่สุขาวดี"  หลังจากพูดจบ ทั้งที่มือยังถือคันธนูอยู่ก็ยืนนิ่งละสังขาร ดังนั้น พระธรรมาจารย์จึงลงจากอาสนะ แล้วก็โกนผมให้กับทหารผู้นั้น แล้วก็ตั้งธรรมฉายาให้พร้อมกับเปลี่ยนใส่จีวร จากนั้นก็ยกเขาเข้าเก็บในตู้พระ  จากนั้น พระธรรมาจารย์ก็ขึ้นนั่งบนอาสนะกล่าวอำลากับหมู่ชน แล้วก็เข้าสมาบัติดับขันธ์

อธิบาย   :  สร้างหนี้กรรมฆ่าคนเมื่อ 40 ปีก่อน แล้วชดใช้หนี้กรรมหลัง 40 ปี การชดใช้หนี้ดูเหมือนช้าไปหน่อย แต่การใช้หนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม โชคดีที่ทั้งสองคนล้วนเป็นคู่กรรมใหญ่ จึงต้องมาเผชิญหน้าบนเส้นทางสายแค้น เดิมทีเป็นความชั่วร้ายที่เผชิญหน้ากัน แต่ก็ได้แก้เหตุปัจจัยดี ทหารที่ตายลงจากชาติก่อน กดดันคนที่เป็นหนี้ชีวิตเขาจนต้องออกไปบำเพ็ญปฏิบัติธรรม จนกระทั่งก็ประจักษ์แจ้งบรรลุธรรม แล้วพระธรรมาจารย์ก็รอคอยเจ้ากรรมนายเวรที่เขาเป็นหนี้ชีวิตในที่สุดเวรกรรมก็ได้รับการแก้เงื่อนปมความแค้น ทั้งสองฝ่ายซึ่งฝ่ายหนึ่งบำเพ็ญจนบรรลุธรรม และอีกฝ่ายหนึ่งก็บรรลุธรรมฉับพลัน เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ที่พบเห็นได้น้อยมาก อาจนานเป็นพันปีจึงมีเกิดขึ้นสักเรื่องหนึ่ง ถ้าหากพระธรรมาจารย์เซ็นไม่ได้บรรลุธรรมจริง และถ้าทหารผู้นี้ไม่เป็นผู้ถึงพร้อมยิ่ง ก็คงไม่ยอมปล่อยสิทธิของเจ้าหนี้หรอก นั่นก็คือ การฆ่าคนก็คือการฆ่าตนเอง มันชัดเจนมากอยู่แล้ว การใส่ความเพื่อฆ่าคนมี 7 อย่าง ดังกล่าวมาแล้ว ควรงดเว้นห้ามทำเด็ดขาด อย่าได้โหดเหี้ยม ก่อคดีโหดเลย !     
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง ดุจเนื้อเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/08/2012, 10:38
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง ดุจเนื้อเน่าแก้หิว   สุราพิษแก้กระหาย ไม่เพียงไม่อิ่มความตายก็มาถึง

อธิบาย   : 
เงินทองที่ได้มาไม่ถูกต้อง ก็เหมือนกินเนื้อที่แช่น้ำจนเน่าเปื่อยแก้หิว หรือดื่มสุราแก้กระหาย ดื่มกินเท่าไรก็ไม่อิ่ม พิษภัยจากเนื้อเน่าและสุราพิษทำให้ชีวิตต้องตายลง บทนี้ยังเน้นย้ำถึงความร้ายกาจของความโลภ เพราะชาวโลกมีจิตใจที่โลภมาก เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อตักเตือนปลุกให้รู้สึกตัว ชาวโลกที่ทำละเมิดเสพกาม โหดเหี้ยมฆ่าคนเป็นต้น ซึ่งการกระทำบาปเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ เลย และคนกระทำโทษบาปเหล่านี้ก็ไม่ใช่จะพบเห็นได้ง่ายเลย นอกเสียจากหาเงินทองที่มีกลเม็ดเด็ดพรายสารพัดวิธี และก็ตรวจได้ยากด้วย ยิ่งคนในปัจจุบันมีศัพย์แสงใหม่ว่าผลประโยชน์ทับซ้อน กลยุทธในการยักย้ายถ่ายเทเงินทองที่ไม่ถูกต้อง แต่คนยุคนี้ร้ายยิ่งกว่าซาตานพันทวีคูณ ถ่ายเทเงินทองดูเหมือนถูกต้อง ไปสู่มือประชาชนปกติที่ใคร่กระหายอยากได้เงินอยู่แล้ว เพื่อมาซื้อหาสินค้าบริการที่เกินความพอเพียงของชีวิต ผลประโยชน์ก็จะกลับมาตกอยู่ในมือผู้บริหาร ตราบใดที่โลกนี้ยังมีการใช้เงิน เพราะฉะนั้นต้องมีคนได้เงินมา แต่วิธีการได้เงินมาไม่เป็นธรรมมีเป็นจำนวนมาก จึงไม่จำเป็นต้องไปสาวหาความจริงเลย !  อะไรเล่าที่เรียกว่าความเป็นธรรม ?. ความเป็นธรรมคือการดำเนินงานถูกต้องสมเหตุสมผล การเอาเงินเขามาโดยคนเขาพอใจยินดีให้เหมาะสมก็เรียกว่าเป็นธรรม ถ้าหากให้โดยไม่เต็มใจไม่สมเหตุสมผลก็ไม่เป็นธรรม ได้เงินมาแบบที่พูดให้คนอื่นฟังได้สมเหตุผลก็เป็นธรรม ได้เงินมาแบบพูดให้ใครรู้ไม่ได้เพราะไม่ชอบด้วยเหตุผลถือว่าไม่เป็นธรรม เงินที่ได้ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือมาก ถ้าได้มากโดยไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ใช้เงินแล้วสบายใจไม่ขัดแย้งกับใจคนอื่น ผู้ฟังก็ฟังโดยไม่ขัดหูจึงถือว่าดี !  นี่แหล่ะที่ท่านไท่ชั่งมีโอวาทสอนแล้วสอนอีกก็เพราะรู้ว่าชาวโลกมักได้เงินมาไม่ถูกต้อง จึงมีคนได้เงินมาแบบไม่มีธรรม เพราะถึงแม้เขาได้เงินแล้วพอใจ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเสียใจหรือแค่คนเดียวที่พอใจแต่อีกสิบคนร้อยคนพันคนกระทั่งคนทั้งประเทศต่างก็เสียใจเขาน่าจะรู้ว่า ฟ้าคืนสนองได้ดี ฟ้าเป็นธรรมไม่มีส่วนตัว มีหรือฟ้าจะรักใคร่เอ็นดูคนที่ได้เงินมาไม่ถูกต้อง ในความลี้ลับก็จะสั่งสมความหายนะด้วยเทพเจ้ารู้สึกคิดจัดการให้เรื่องราวมีความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับการจัดการเพิ่มโทษเป็นกรณีพิเศษ ท่านไท่ชั่งรู้สาเหตุเรื่องราวดี จึงใช้คำพูดที่ถูกต้องจริง ๆ ตักเตือนห้ามคนว่า"ไม่ให้เอา" แต่คนกลับไม่ฟัง จึงพูดเตือนให้หวาดกลัวระวังว่า "เงินทองได้มาไม่ถูกต้อง ไม่เป็นมงคล แต่คนก็เห็นแก่เฉพาะหน้าไม่คิดถึงผล ดังนั้นก็สู้ปลุกชาวโลกให้รู้ตัวตื่นว่า "ได้กับไม่ได้ เหมือนกันทั้นั้น !"  แบบนี้ใจโลภของคนอาจลดน้อยลงบ้าง จึงพูดเปรียบเปรยเหมือนกินเนื้อเน่า ดื่มสุราพิษ เพราะของเหล่านี้พอเข้าปากก็จะต่ยทันที ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะสับสนหรือโง่เขลาก็ล้วนรู้จักเนื้อเน่าเหล้าพิษก็ไม่กลัวจะกินดื่ม ต่างก็รู้ว่าเงินที่ได้มาไม่ถูกต้องก็คือเนื้อเน่าเหล้าพิษ อย่างไรเสียก็จะไม่เอาเด็ดขาด !  อย่างนี้มิใช่หรือที่ว่าได้กลับไม่ได้ล้วนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นได้มาแล้ว ไม่ใช้ก็กลายเป็นของเสีย แล้วผู้คนทำไมจึงยังใจชั่วใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ของเสียมาอีกทำไม ?.  อย่างไรก็ตามความหอมหวนของเนื้อเน่าที่ปรุงแต่งกลบกลิ่น  เหมือนชิ้นเนื้อเล็ก ๆ หอมชวนกิน เหล้าพิษรสหอมหวานไม่แพ้เปรียง (นมเปรี้ยว) ชาวโลกเห็นความหอมหวานของมันแล้วก็เกิดใจอยากเสี่ยงดูว่า "อึ่ม ! ไม่แน่ว่าจะมีพิษ !"  จึงไม่กล้ากินคำโตดื่มพวรวด ๆ มีไม่กี่คนหรอก ! รอจนถึงเวลาอยากจะสำรอก อยากจะคายก็คายไม่ออกเสียแล้ว ท้องไส้ขาด หนังปริแตก ความตายก็ใกล้จะถึงแล้ว มาถึงตอนนี้คิดแล้วถอนหายใจว่า "ทำไมไม่ให้เห็นผลเร็วกว่านี้นา ?"มันสายเกินไปเสียแล้ว ผัดผักต้มแกงแม้เป็นอาหารง่าย ๆ รับประทานแล้วไม่ค่อยอร่อยนัก แต่ก็อิ่มได้เพียงพอ ลูบคลำท้องก็ให้รู้สึกสบายใจ ระหว่างความทุกข์กับความสุข มันห่างไกลกันลิบลับนา ! เรื่องราวเป็นพยานหลักฐานเช่นนี้ก็พูดให้ฟังกันมาแล้ว
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : หากใจเริ่มใฝ่ดี ...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2012, 01:26
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  หากใจเริ่มใฝ่ดี ดีแม้ยังไม่ทำ เทพดีก็ตามมา หากเริ่มใฝ่ชั่ว ชั่วแม้ยังไม่ทำ เทพชั่วก็ตามมา

อธิบาย   : 
เมื่อใจบังเกิดความคิดดีขึ้นมาแล้ว แม้ความดียังไม่ได้ทำเลย เป็นสิ่งที่ซาบซึ้งถึงเทพเจ้าฝ่ายดีแล้ว ท่านก็จะตามมาปกป้องคุ้มครอง เพื่อหวังให้เราทำดีดีจนสำเร็จแล้วจะได้ประทานบุญวาสนาให้เขา แต่ถ้าในใจบังเกิดความคิดชั่วขึ้นมา แม้กรรมชั่วยังไม่ได้ลงมือไปทำ ความคิดชั่วนี้ก็จะกระทบถึงเทพฝ่ายร้ายเทพร้ายก็จะคอยติดตามดูแลอยู่ รอจนความชั่วที่ทำเต็มทนเมื่อไรก็จะส่งภัยเคราะห์มาให้ ใจนี้จึงสำคัญนัก กำลังจะบอกแก่ชาวโลกว่ากลไกบุญวาสนาหรือภัยเคราะห์ล้วนขึ้นอยู่กับใจอันนี้ ก็หวังว่าชาวโลกจะรู้ต้นเหตุที่เกิดขึ้น จึงควรระมัดระวังไว้ !  ในพุทธธรรมกล่าวว่า สรรพรูปที่สำเร็จขึ้นในจักรวาล ล้วนมาจากใจอันนี้แปรเปลี่ยนปรากฏออกมา !" เหตุที่ใจของพวกเรานี้สามารถยึดติดกับปัจจัยสกปรกกับปัจจัยสะอาด ดังนั้น จึงบังเกิดสิบพระธาตุที่แตกต่างกัน วิธีเข้าสู่โลกกับวิธีออกจากโลก จึงอยู่ในวงของ สี่อริยะ หกปุถุชนธรรมชาติ (สี่อริยะ หมายถึง พุทธ  โพธิสัตว์  ปัจเจก  และสาวก  หกปุถุ  หมายถึง เทวดา  มนุษย์  อสูรกาย  เดรัจฉาน  เปรต  และนรก)  สิบธรรมธาตุนี้ไม่มีที่จิต ล้วนใจของเราสร้างขึ้น เพราะฉะนั้นใจก็สามารถจะเป็นพุทธะ  ใจก็สามารถเป็นเวไนย  ใจสามารถสร้างสรรค์  ใจก็สามารถสร้างนรก  ดังที่กล่วว่าผู้บังเกิดใจก็คือใจเราเริ่มกระเพื่อมเพียงแค่เกิดความคิดขึ้น กระแสความคิดนี้แม้จะเล็กน้อยเบา ๆ ก็สามารถรู้สึกกระทบกับเทพผีในฟ้าดิน ถ้าหากคนสามารถบังเกิดความคิดของใจที่ดี  เพียงความคิดดีอันนี้ก็สามารถทลายยันต์ขลังของนรกตัดขาดบรรดามารภัยด้วยดาบปัญญา  ข้ามพ้นทะเลทุกข์ด้วยยานเมตตา  ส่องทลายความมืดด้วยแสงประทีป  แต่ถ้าหากคนบังเกิดความคิดของใจที่ชั่ว กลายเป็นเดรัจฉาน  เปรต  นรก  ทางชั่วสามแพร่งก็ปรากฏขึ้นทันที  จมปลักอยู่ในนั้นไม่มีที่สิ้นสุดเลย !  เพราะฉะนั้น เทพดีกับเทพชั่วจึงติดตามใจคนที่คิดดีชั่ว เป็นการกวักหาให้มาเกาะติดโดยไม่มีการรีรอแม้แต่น้อยเลย

คติพจน์   :  มหาธรรมาจารย์กั้นชันในสมัยราชวงศ์หมิง กล่าวไว้ว่า "ความคิดบังเกิดขึ้นที่ใดต้องทลาย เรื่องยังมาไม่ถึงอย่าเกิดฟุ้งซ่าน หากขณะความคิดชั่วกำลังจะเกิดขึ้น เอามีดตัดขาดเสีย แรงกรรมก็จะขจัดหายไป ความคิดฟุ้งซ่านก็ไม่มีที่ให้มันเกิด เพราะฉะนั้น ด่านสำคัญของการก้าวพ้นปุถุเข้าสู่อริยะ ล้วนอยู่ที่ตรงนี้

นิทาน   :  เมื่อก่อนโน้นนายหยวนจื้อสือ เจ็บแค้นนายเหลียว ที่ลืมคุณไร้ธรรม ในเช้าตรู่เวลาตี 4 วันหนึ่ง  เขาก็ถือมีดมุ่งตรงไปที่บ้านนายเหลียวระหว่างทางได้ผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เจ้าของศาลเจ้าคือท่านเฉียนหยวน ที่ลุกขึ้นสวดมนต์ตั้งแต่เช้ามืด มองเห็นผีหน้าตารูปร่างประหลาดหลายร้อยตัว ติดตามหยวนจื้อสือ ในมือของผีแต่ละตนก็ถือมีดบ้าง  ขวานบ้าง  ท่าทางดุดันกระหือกระหาย  เวลาผ่านไปไม่นานนัก  ตอนหยวนจื้อสือกลับมา ท่านเฉียนหยวนก็มองเห็นคนที่ติดตามเขามา บนศรีษะมีมงกุฏครอบดูแวววับ บนกายประดับด้วยมณีพลอย  มีจำนวนเป็นกลุ่มนับร้อยนับสิบ ริ้วธงขบวนดอกไม้หอมอบอวน ดูงามสง่าน่าเกรงขาม ใบหน้ายิ้มแย้มดูมงคล ด้วยเหตุนี้ท่านเฉียนหยวนจึงกวักเชิญหยวนจื้อสื่อเข้ามาที่ศาลเจ้า  เพื่อถามหาสาเหตุ หยวนจื้อสือก็กล่าวว่า "คนแซ่เหลียวเป็นคนลืมคุณไร้ธรรม เมื่อครู่นี้ข้ากำลังจะไปฆ่าเขา แต่เมื่อไปถึงหน้าบ้านของเขาก็ให้คิดว่า ถึงแม้นายเหลียวจะเป็นคนเนรคุณผิดต่อข้าก็ตาม แต่ลูกเมียของเขาไม่มีความผิดอะไรเลย อีกทั้งมารดาที่ชราแล้วก็ยังอยู่ ถ้าหากข้าฆ่าเขาตายก็เหมือนฆ่าคนทั้งบ้านนา !  เหตุเพราะใจทนไม่ได้ เมื่อความคิดเปลี่ยนเช่นนี้ จึงกลับมา !  ท่านเฉียนหยวนจึงเล่าเรื่องที่ตนได้เห็นแก่เขา ทั้งยังอนุโมทนาสาธุยินดีกับเขาแล้วว่า "สิ่งที่เธอกระทำนั้น เทพเจ้าล้วนรับรู้ อนาคตเธอต้องได้รับตำแหน่งการงานที่ดี และได้เสพบุญวาสนามากแน่นอน !" เมื่อหยวนจื้อสือได้ยินวาจาของท่านเฉียนหยวนเช่นนี้จึงเป็นกำลังใจให้เขามีความวิริยะอุตสาห์กระทำดีอย่างจริงจังยิ่งขึ้น ในที่สุดเขาก็สอบได้ตำแหน่งราชการ และได้เลื่อนขั้นสูงถึงตำแหน่งมหาอำมาตย์ด้วย

อธิบาย   :  ท่านเหลาจื่อกล่าวว่า  "อันความดีกับความชั่ว ถึงที่สุดแล้วไกลกันมากปานไหน ?" อาตมากับคำกล่าวของท่านเหลาจื่อประโยคนี้ได้คิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายเที่ยว อันถนนสองสายดีชั่วนี้ ตอนขณะเริ่มต้นแตกต่างกันมาก แต่ว่าก็อยู่ในวิถีชีวิตปกติประจำวันเท่านั้นที่ใจคิดชั่วบังเกิดขึ้น  ถ้าหากสามารถเข้าใจหลักธรรมนี้แล้วถือปฏิบัติ ย้อนสำรวจตนจริงจังแล้วละก็ พื้นใจก็จะเป็นใจที่ดีทั้งหมด เหตุนี้แหละบุญวาสนาจึงเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย ภัยเคราะห์ทั้งหมดก็จะถดถอยขจัดออกไป เราคงได้เห็นแล้วถึงหนึ่งความคิดที่ดีทั้งหมด เหตุนี้แหละบุญวาสนาจึงเพิ่มขึ้นไม่ขาดสาย ภัยเคราะห์ทั้งหมดก็จะถดถอยขจัดออกไป เราคงได้เห็นแล้วถึงหนึ่งความคิดที่ดีของหยวนจื้อสือบังเกิดขึ้นเท่านั้น เขาก็สามารถหมันเคราะห์ภัยเป็นบุญวาสนา โดยเฉพาะระดับความเร็วก็รวดเร็วอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ที่พูดว่า การบังเกิดใจดีชั่ว เทพดีเทพร้ายก็ตามถึงทันที อย่างนี้ยิ่งไม่ใช่ต้องเพิ่มความเชื่อขึ้นหรอกหรือ ?
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : ผู้เคยทำชั่ว ภายหลังสำนึกแก้ไข...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2012, 06:30
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ผู้เคยทำชั่ว  ภายหลังสำนึกแก้ไข   ชั่วทั้งหลายไม่ทำ    ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ   นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ   ดังว่า เปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา

อธิบาย   : 
หากมีคนเคยทำผิดเรื่องชั่วร้าย ต่อมาตนเองก็สำนึกผิดและแก้ไข ทั้งยังขจัดตัดเรื่องเรื่องชั่วร้ายทั้งปวงออกไป แล้วก็ถือปฏิบัติเรื่องดีงามทั้งปวง  เมื่อกระทำเช่นนี้เรื่อย ๆ นาน ๆ ไปก็สามารถได้รับศิริมงคลมีงามเฉลิมฉลอง ก็ถึงที่กล่าวว่าหมุนภัยเคราะห์เป็นบุญวาสนา ในตอนนี้มีคำสองคำที่ยกขึ้นมาคือ สำนึกแก้ไข เพื่อแสดงต่อคนถึงวิธีการแก้ไขความผิดเปลี่ยนสู่ความดี ก็คือกลไกการหมุนภัยเคราะห์ให้เป็นบุญวาสนา แก้ไข คือการแก้ไขความผิด  สำนึกคือการสำนึกผิด  ในโลกนี้คนที่ไม่มีความดีบริสุทธิ์ดีมีน้อยมาก แล้วคนที่เคยทำความผิด ทำเรื่องชั่วร้ายมาแล้วมีมากมายทีเดียว !  อย่างไรก็ตามคนที่ชั่ว ก็อาจเปลียนแปลงสำเร็จกลายเป็นคนดีได้  เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงสู้อุตส่า่ห์ย้ำแล้วย้ำอีก ในตอนท้ายของคัมภีร์ซึ่งก็เป็นเป้าหมายศาสนาที่ให้สำนึกแก้ไข  จุดสำคัญคือให้รู้ตัวจากความหลง  ทำให้คนกลับหันหลังก็จะพบฝั่งก็ยังเกรงว่า ชาวโลกจะเข้าใจผิดที่ว่า  "วางมีดสังหารลง สำเร็จพุทธะทันที"   จะฟั่นเฟือคิดว่าแค่น้ำถ้วยหนึ่งก็หวังมากเกินไปว่าจะสามารถดับฟืนไฟทั้งคันรถได้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า "ความชั่วทั้งหลายไม่ทำ" โดยหวังว่่าเขาจะสามารถเอากรรมชั่วตัดรากถอนโคลนให้หมดสิ้น พอกรรมชั่วหมดแล้วก็กล่าวว่า "ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ" ก็หวังว่าเขาสามารถจะบำเพ็ญสั่งสมความดีจนบริบูรณ์  ให้ปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยไป นาน ๆ ไป จึงจะสามารถมะลายเวรกรรมที่กระทำเมื่อก่อน ๆ จนหมดไป ด้วยเหตุนี้ภัยเคราะห์จึงสามารถขจัดมลายไป แล้วถือการปฏิบัติที่กระทำในแต่ละวันก็จะค่อย ๆ บริบูรณ์ การเพิ่มบุญวาสนาใหม่ ๆ ก็จะมีมาถึงเองนั่นแหละ !  ปัจจุบันคนโง่เขลาไม่มีปัญญา รู้ว่าตนเองได้ทำไม่ดีไว้ อาจเนื่องจากเกิดมโนธรรมขึ้น  เห็นความชั่วของตนที่กระทำไว้ ก็คิดว่าจะขจัดโทษกรรมโดยหวังพึ่งนักพรตหรือพระสงฆ์ ช่วยเหลือทำพิธีของขมาบาป การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนกับใช้น้ำน้อยเพียงถ้วยเดียวไปดับไฟฟืนเป็นคันรถ !  อย่างนี้มิใช่หลงจนฟั่นเฟือสับสนหรอกหรือ ?  ยิ่งกว่านั้นคนที่พึ่งสำนึกผิด โทษบาปทีผ่านมาแทนที่จะหยุดไม่ทำแล้ว แต่ปรากฏว่าความผิดที่เขาสำนึกกลับเพิ่มมากขึ้น จนสุดท้ายเขายังจมปลักอยู่ในทะเลทุกข์ เช่นนี้แล้วทำให้ชีวิตต้องตายแล้ว  ยังทำลายจิตตนให้พินาศไปด้วย เป็นเรื่องที่น่าเศร้าโศกนัก !ถ้าหากคนที่สำนึกแก้ไขแบบนี้ จะมิเป็นการเนรคุณที่ท่านไท่ชั่งสู้อุตส่าห์ย้ำสอนเสียแรงเปล่า ๆ หรือ ?  โอพระเจ้า !  วิธีการที่ท่านไท่ชั่งสั่งสอนมนุษย์ให้สำนึกแก้ไขเป็นประโยคกำชับ ทุกเข็มที่ทิ่งแทงเห็นเลือด ดังคำที่ว่า โอสถทิพย์หนึ่งเม็ด  เสกเหล็กให้เป็นทอง  หลักธรรมวาจา  จักสามาถพลิกปปุถุสำเร็จเป็นอริยะ เพราะฉะนั้น ชาวโลกจักต้องตั้งสัตย์สาบานขยันปฏิบัติ มีเพียงแบบน้เท่านั้นจึงจะสามารถลงรอยกับท่านไท่ชั่งที่ทรงมหาเมตตามหากรุณาต่อชาวโลก  จากนี้ไปก็จะอธิบายวิธีการสำนึกก่อน แล้วจึงอธิบายวิธีการแก้ไข การสำนึกก็คือ การแก้ไขความผิดที่ผ่านมาให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ทำความผิดซ้ำอีก เป็นวิธีสำคัญที่ให้ความดีบังเกิดขึ้นเพื่อดับความชั่ว !  เพราะฉะนั้นรากแห่งความดีจึงต้องรู้จักบ่มเลี้ยง ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำความดีเกิดขึ้น และเป็นเหตุให้หยุดกระทำความชั่ว บาปกรรมที่มีจึงมลายหายไป ทั้งนี้ทั้งนั้น พวกเราจะต้องดังนี้

     หนึ่ง   :  ต้องเชื่อเรื่องเหตุต้นผลกรรมอย่างถูกต้อง ไม่ให้หลงงมงาย และไม่ให้เชื่อเหตุต้นผลกรรมอย่างผิด ๆ  ความดีเช่นนี้จะได้รับบุญวาสนาตอบแทน  ส่วนทำชั่วย่อมได้รับภัยเคราะห์ ถึงแม้ยังมิได้กระทำให้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ผลตอบสนองก็ยังมีอยู่ เหตุที่ความคิดถึงแม้จะเกิด ๆ ดับ ๆ แต่แรงกรรมไม่สูญมลายไป ความศรัทธาเป็นต้นตอของการเข้าสู่ธรรม มีแต่ปัญญาทางเดียวที่จะเข้าถึง นี่คือรากแก่นของความดีทั้งหลาย ใช้ความศรัทธาที่เชื่อถืออย่างถูกต้อง ก็จะพลิกมาทลายใจที่ปราศจากรากแก่นได้ดีนา ! 

     สอง   :  ต้องสำนึกโทษบาป นี่เป็นรากมูลของความรู้สุกละอาย ละอายในโทษบาปที่ตนกระทำ ซึ่งไม่สมกับการเป็นคน ความละอายในบาปที่ได้ละเมิดไปแล้วย่อมได้รับโทษบาปจากฟ้าดิน เรียกว่าเป็นวิธีสว่าง ก็จะพลิกมาทลายความละอายในวิธีมืด

     สาม   :  ต้องหวาดกลัวความอนิจจัง เมื่อลมหายใจหยุดความตายก็มาถึงมโนวิญญาณก็จะติดตามแรงกรรมไปเกิด เพื่อรับผลกรรมตอบสนอง จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าหากเข้าใจถึงหลักธรรมแห่งไตรลักษณ์ ก็จะช่วยพลิกกลับมาทลายความหวาดกลัวที่ต้องตกนรกอเวจี
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : ผู้เคยทำชั่ว ภายหลังสำนึกแก้ไข 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2012, 07:38
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ผู้เคยทำชั่ว  ภายหลังสำนึกแก้ไข   ชั่วทั้งหลายไม่ทำ    ความดีทั้งปวงถือปฏิบัติ   นาน ๆ ไปย่อมได้มงคลโชคลาภ   ดังว่า เปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนา  1

     สี่   :  ต้องเปิดเผยหลังสำนึกผิด พูดให้เขาฟังถึงโทษบาปหนักเบาที่ตนได้กระทำมา เนื่องจ่กได้เปิดเผยสาเหตุของการทำผิดมาแล้ว เมล็ดแห่งโทษกรรม หรือเมล็ดพันธุ์ทำชั่วบาปก็จะเหี่ยวเฉาเหมือนกับการโค่นต้นไม้ กิ่งใบก็จะหลุดร่วงลงมา ก็จะพลิกกลับมามลายใจที่เป็นคลังชั่วบาป

     ห้า   :  ต้องตัดใจที่สร้างบาปติดต่อกัน ต้องมีความกล้าหาญที่จะเอาชั่วบาปทิ้งให้ถึงก้นปึ้ง เหมือนเอามีดเหล็กกล้าตัดของตัดฉับเดียวให้ขาด นี่ก็เป็นการพลิกกลับมามลายใจที่สร้างบาปติดต่อกัน

     หก   :  ต้องบังเกิดใจโพธิสัตว์ แผ่ปณิธานที่จะขจัดปัดเป่าความทุกข์ของเวไนยสัตว์ จะแผ่ทานให้แก่เวไนยทั้งหลายให้มีความสุข ด้วยใจที่กว้างใหญ่นี้ ก็จะพลิกกลับมาทลายใจที่ชั่วบาปทั้งหลายได้

     เจ็ด   :  ต้องสร้างกุศลมาชดใช้ความชั่วที่กระทำมา วิริยะมุ่งมั่นพากเพียรบำเพ็ญตน ให้เที่ยงตรงในกายกรรม  วจีกรรม  และมโนกรรม  ด้วยการปฏิบัติ จะขี้เกียจไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมสร้างกุศล ก็จะพลิกกลับมาทลายใจที่ไม่บำเพ็ญกรรมสาม อันเป็นเหตุให้สร้างบาป

     แปด :  ต้องปกปักรักษาธรรมเที่ยงแท้ ไม่เข้าใกล้ไสยศาสตร์ อาจารย์ชั่วร้ายที่โจมตีพุทธธรรม  เป็นการพลิกกลับมาทลายใจที่ดับเรื่องดีทั้งใจ

     เก้า :  ต้องภาวนาขอบุญบารมีพระพุทธเจ้าทั้งหลายกับทิพยบัญชาของพระองค์ อ้อนวอนให้พุทธเจ้าสงสารรับไว้ปกป้องรักษาเรา ขจัดโทษกรรมให้ทิพย์โอสถที่สะอาดเย็นเช่นนี้ จะพลิกกลับมาทลายใจที่รู้จักแต่ความชั่วคิดชั่วของเราได้

     สิบ :  ต้องเพ่งพิศส่องดูโทษ จิตเดิมนั้นว่าง บาปกรรมเกิดขึ้นจากใจ ก็ต้องดับที่ใจ เพราะฉะนั้น จึงพูดว่า "ถ้าใจนี้ดับ บาปก็มลาย" ถ้าหากรู้ว่าบาปบุญเดิมที่ไม่มีที่ใจตน องค์ของใจก็สว่างสงบ จะต้องกลับคืนสู่ต้นคืนสู่ตอ ก็จะสามารถใสสอาดสมบูรณ์ถึงที่สุด นี่แหละคือพลิกกลับมาทลายอวิชชาของใจที่ยึดติดได้

        ในคัมภีร์ว่า  :  "ทะเลกิเลสกรรมขีดขวางทั้งหลาย ล้วนเกิดจากคิดฟุ้งซ่าน ผู้อยากสำนึก นั่งคิดถึงภาพลักษณ์จริง  โทษบาปดุจคนิ้งน้ำค้าง ตะวันปัญญาสามารถขจัดมลายได้" เพราะฉะนั้น พวกเราต้องรู้สำนึกด้วยความจริงใจ ดุจดังเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักล้างนานร้อยปี ก็สามารถซักให้สะอาดได้ภายในวันเดียว  หรือเหมือนกระจกที่ฝุ่นเกาะมานานพันปี ก็สามารถเช็ดถูให้มันเหมือนเดิมที่เงาใสได้นา !  เพราะฉะนั้นการสำนึกผิด จึงสามารถแก้ไขขจัดความผิดที่ผ่ามมานานหมื่นกัปได้ ขอเพียงต้องจริงใจสำนึกก็จะไม่มีเวรกรรมอะไรที่ขจัดดับไม่ได้ และก็ไม่มีกรรมดีอะไรที่บังเกิดขึ้นไม่ได้นา ! 

     นิทาน   :  ท่านอนิรุทธ์ในอดีตชาติเป็นโจรขโมย ในคืนวันหนึ่ง เขาเข้าไปเพื่อขโมยของในวัดแห่งหนึ่ง มองเห็นดวงประทีปหน้าพระพุทธรูปกำลังจะดับมอดลง จึงดึงลูกธนูขึ้นมาแล้วเขี่ยใส้ตะเกียงขึ้นมา ดวงประทีปก็กลับสว่างไสว ความสว่างจากดวงประทีปทิ่มแทงตาเขามาก ในใจของอนุรุทธ์รู้สึกหวาดกลัวจึงละชั่วไปสู่ดี บาปกรรมในอดีตที่ทำมาก็ค่อย ๆ มลายหายไป และกรรมดีที่กระทำมาก็่อย ๆ เพิ่มจนบริบูรณ์ ดังนั้นท่านอนิรุทธ์จึงได้อริยมรรคผล

     นิทาน   :  ในสมัยซ่ง ขุนนางหยางตงเหอ มีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาเมืองสี่โจว ในรัชสมัยของพระเจ้าเทียนเซิน ถูกราชสำนักให้ไปกินตำแหน่งผู้พิพากษาเมืองไฉโจว เพราะเขาตัดสินลงโทษใส่ร้าย จึงถูกพระเจ้าไปย่จี๋เจินอู่ (ในกรุงเทพฯ อยู่ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ) รายงานความผิด ขณะที่จะถูกลงโทษอย่างหนัก ขุนนางหยางตงเหอก็ให้หวาดกลัวสำนึกผิด จึงรีบลาออกจากราชการจากผู้พิพากษาเมืองไฉโจวทันที แล้วตั้งสาบานจะบำเพ็ญร้อยความดี เพื่อไถ่โทษบาป ทุกครั้งที่เขาพบภิกษุนักพรตหรือคนยากจน หรือคนกำพร้าโดดเดี่ยว หรือคนป่วยตายในบ้านก็จะเข้าไปสงเคราห์ทันทีด้วยเหตุนี้หลายปีที่ผ่านมา ทรัพย์สมบัติในบ้านจึงหมดไปกับการให้ทาน และเขาก็ศรัทธากราบไหว้พระเจ้าเจินอู่ทุกวัน  พระเจ้าเจินอู่เห็นความกล้าหาญในการแก้ไขความผิดจึงเกิดความซาบซึ้ง สงสารในความยากจนของเขา จึงแปลงเป็นนักพรตคนหนึ่ง แล้วก็นำเอาใบเซียมซีของพระองค์ 12 ใบมอบให้เขาเพื่อให้เขาสามารถมีรายได้มาบ้าง จึงมีชีวิตสงบสุข และปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป เมื่อเขาตายไปแล้ว พระเจ้าตงอวี่มหาราชรับเขาไปเป็นเทพผู้บันทึกสมุดแถบเมืองหม่าซื และทางราชสำนักก็สถาปนาให้เขาเป็นอริยเจ้าอู้เปิ่น

     อธิบาย   :  คุณเฉินเหลียงหม้อกล่าวว่า  "ความยากดีมีจนของคน อายุยืนหรืออายุสั่น ตลอดจนการกินการอยู่  การกระทำการหยุดยั้ง  ล้วนมีกำหนด  ซึ่งไม่อาจขัดขืนได้"  อย่างไรก็ตามศูนย์กลางเปลี่ยนแปลงเคราะห์วาสนากลับอยู่ที่คนเป็นผู้กำหนด ดังนั้น  "กำหนด" นี้ก็ไม่สามารถกำจัดได้ เพราะว่ากำหนดนี้คือโองการฟ้า หรือชะตาฟ้า  แต่ความรู้สึกตอบสนองอยู่ที่ใใจฟ้า เบื้องบนถือหลักประโยชน์ของเวไนยเป็นหลัก ไม่แบ่งแยก  ไม่เอนเอียงแม้แต่น้อย  ถ้าคนบังเกิดความดีมีใจที่จะสงเคราะห์คนแล้ว แม้ตอนเริ่มต้นยังไม่มีเป้าหมายอะไรจะทำ ถึงแม้ขณะนั้นจะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่ในใจศรัทธาตั้งใจที่สุด ก็จะสามารถขึ้นระบบใจฟ้าได้ เหมือนเสียงสะท้อนที่ดังล้วนเป็นหลักธรรมแน่นอน "กำหนด" ก็คือ "ฟ้ากำหนด"  ใจฟ้าได้ขึ้นระบบไว้แล้ว ฟ้ากำหนดก็จะหมุนตาม จะถูกกำหนดให้อยู่ได้อย่างไร เหมือนประเทศชาติที่ลงโทษ ให้รางวัลมีระบบ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ ถ้าคนที่เป็นขุนนาง  ถ้าสามารถจงรักภักดีต่อราชาจนเป็นที่ประทับใจ ถึงแม้อาจโยกย้าย ถูกเนรเทศแล้วก็จะถูกเรียกตัวกลับได้ หรือใกล้ลงโทษประหาร พระราชาก็มีโองการนิรโทษยกเลิกได้ ในเวลาสั้น ๆ ดีใจโกรธก็เปลี่ยนแปลงได้ทันทีไม่เหมือนกัน แล้วจะมีอะไรเล่าที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่า ใจฟ้ากับฟ้ากำหนดต่างก็เพิ่มลดซึ่งกันและกันได้ จากอดีตสู่ปัจจับัน เรื่องราวรองรอยที่ตอบสนองต่อบุญวาสนามีมากมายนักเป็นความจริงที่น่าเชื่อถือได้ !"   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง คัมภีร์ : ดังนั้น ผู้มงคล วาจาดี มองดี ทำดี..
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2012, 13:13
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ดังนั้น ผู้มงคล  วาจาดี  มองดี  ทำดี  วันหนึ่งมีสามดี  สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา  ผู้อุบาทว์  วาจาชั่ว  มองชั่ว  ทำชั่ว  วันหนึ่งมีสามชั่ว  สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ  ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ ! 

อธิบาย   : 
เพราะว่าผู้มงคลที่พากเพียรกระทำความดีทั้งหลาย เพราะว่าคำพูดที่ดี การมองคนในแง่ดี  การกระทำในทางดี  ในวันหนึ่งก็ได้ทำความดีสามอย่างแล้ว ทำไปครบสามปี การทำความดีของเขาก็จะสมบูรณ์ ฟ้าก็ประทานบุญวาสนาให้เขา เพิ่มพูนอายุขัยเขา แต่คนชั่วอุบามทว์ เพราะคำพูดร้าย มองคนในแง่ร้ายและกระทำสิ่งที่ชั่ว ในวันหนึ่งก็ได้ทำความชั่วตั้งสามอย่างแล้ว เมื่อทำครบสามปีเต็ม ความชั่วของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว ฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติมาสู่เขา ตัดอายุขัย  ทำไมคนจึงไม่พากเพียรทำความดีเล่าเพื่อเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนาไงเล่า !  ตอนนี้เป็นตอนสรุปของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน จึงเป็นตอนที่สอนคนให้ทำดี ละชั่ว  "ดังนั้น" จึงเป็นคำสรุปของทั้งหมด"ผู้มงคล" ก็คือคนดี  คนอุบาทว์ คือ คนชั่วช้า  เพราะการกระทำชั่วจึงได้รับภัยพิบัติ จึงเป็นคนอุบาทว์  คำว่า  ความชั่วทั้งหลาย กับ ความดีทั้งหลาย  จึงหมายถึงการกระทำกาย วาจา และใจนั่นเอง เช่น พูดดี  มองดี  ทำดี  สามอย่าง  เป็นจุดที่เราต้องลงมือกระทำ  พูดดี  เช่นสิ่งที่ไร้มารยาทไม่พูด ขยันบอกคนอื่นให้ทำดี  เตือนคนให้ทำดีเป็นต้น มองดี เช่น สิ่งที่ไร้มารยาทไม่มอง ดีใจที่เห็นคนดี  พอใจดูหนังสือดี  ให้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำไม่ดีเป็นนิจ  อย่าไปมองเรื่องไม่ดีของคนอื่น  กระทำดี เช่น ไร้มารยาทไม่ทำ  เรื่องไร้ศีลธรรมไม่ทำ  กล้าหาญไปทำเรื่องดี ให้อภัยให้ความสะดวกผู้อื่น บุญต่าง ๆ ให้บำเพ็ญ ดำริชี้นำในสิ่งที่ตนอยู่ แล้วค่อย ๆ กระจายไปทั่วสารทิศ จนซาบซึ้งกล่อมเกลาชาวโลกให้มาร่วมทำความดีด้วยกัน ซึ่งตรงข้ามกับการทำชั่ว ทำเช่นนี้เรื่อยไป สามปีให้หลังก็นับถึงพันวัน เหตุนี้เอง ความดีความชั่วที่สั่งสมก็ถึงขีดเต็มสมบูรณ์แล้ว ใจคนนั้นมีชีวิตชีวายิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ ในช่วงเวลา 3 ปีที่นาน ถ้าหากใจไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เขาทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ก็จะถึงจุดที่ชำนาญคล่องตัว !  เพราะถึงจุดนี้ฟ้าเบื้องบนและเทพเจ้าก็จะให้รางวัลหรือลงโทษเป็นบุญวาสนาหรือภัยพพิบัติ ซึ่งจุดสำคัญของเนื้อแท้แก่นสารของคัมภีร์ทั้งหมดก็อยู่ที่ตรงนี้  และที่นี่แหละที่เขากล่าวถึง "ฟ้า" ก็คือใจของเรา ท่านเมิ่งจื่อว่า "รักษาใจของตนให้ว่องไวสว่าง บ่มเลี้ยงจิตเดิมที่ฟ้าประทานให้นี้คือวิธีการบูชาฟ้าเบื้องบน" คัมภีร์ตอนนี้พูดถึงคำว่า "ย่อม" หมายถึงฟ้าที่ลี้ลับ ซับซ้อนไม่มีสุ้มเสียง  ไม่มีกลิ่น  แต่ย่อมขึ้นอยู่ที่ใจของเราบังเกิด พูด มอง กระทำ ในสามปีว่าดีหรือชั่ว ที่พูดกันว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรล้วนตนเองเป็นผู้แสวงหามาเอง หลักธรรมเป็นเช่นนี้เอง  คนสว่างสูงใจปิติมุ่งธรรม  ต้นตอมิใช่แสวงหาบุญวาสนา หรือ อยากได้บุญวาสนาจึงทำความดี  เพรานั้น ใจก้าวล่วงสู่ความเห็นแก่ตัวแล้ว !  เพราะฉะนั้น ตนต้องทำถึงที่สุด  จากนั้นก็สุดแท้แต่ฟ้า โดยใจต้องไม่มุ่งหวัง อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติบุญวาสนา ที่เป็นผลกรรมตอบสนอง ก็อยู่ที่ใจดีชั่วกวักหามาเอง วิถีฟ้าคือ ตอบสนองตามเหตุต้นผลกรรม  ที่จริงก็เต็มเปี่ยมท่ามกลางฟ้าดินนี่เอง และก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  มีคนเอาดีละชั่วเป็นเรื่องภายในของตนเอง คนแบบนี้ถือเป็นคนมีรากธรรมเลอเลิศสูงส่ง อย่างไรก็ตามคนในโลกนี้คนปุถุชนมีมาก เพราะฉะนั้นจึงกลัวภัยพิบัติ และอยากแสวงหาบุญวาสนา จึงยอมละชั่วทำดี ก็เป็นสิ่งที่ท่านไท่ชั่งหวังโปรดปก แต่ก็เกรงว่าชาวโลกยังไม่ยอมแสวงหาบุญวาสนาอีก !  ท่านเมิ่งจื่อว่า  "ผู้แสวงหามีธรรม ผู้ได้มีชะตาคือแสวงได้ประโยชน์อยู่ที่ได้เอย" เป็นหลักธรรมถูกต้องที่สุด ถ้าหากไปแสวงหาตามวิธีของท่านเมิ่งจื่อก็จะไม่เกิดอันตราย !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรมมสนอง คัมภีร์ : ดังนั้น ผู้มงคล วาจาดี มองดี ทำดี..
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2012, 15:54
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  ดังนั้น ผู้มงคล  วาจาดี  มองดี  ทำดี  วันหนึ่งมีสามดี  สามปีฟ้าย่อมส่งบุญวาสนา  ผู้อุบาทว์  วาจาชั่ว  มองชั่ว  ทำชั่ว  วันหนึ่งมีสามชั่ว  สามปีฟ้าย่อมส่งภัยพิบัติ  ยังจะไม่พยายามปฏิบัติหรือ !  2

        พูดถึงการประทานบุญวาสนา อาทิเช่น ตนเองเสวยบุญวาสนาอยู่ ลูกหลานดีมีมโนธรรม ครอบครัวเจริญ อายุขัยยืนยาว งานการราบรื่น  ตลอดจนเพื่อปราชญ์อริยะ  สำเร็จเซียนพุทธ  ลุแจ้งจิตตน  ประจักษ์ตรงที่ธรรมวิริยะ  ไม่มีการเกิด  โปรดคนโปรดสัตว์  ตั้งสุดหมื่นชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นการทานบุญวาสนาพูดถึงการขับภัยพิบัติ อาทิเช่น ตนเองได้รับมหาภัยพิบัติ  ลูกหลานก็โหดเหี้ยมชั่วร้าย  เสื่อมถอยพ่ายแพ้จนตาย  หรืออายุขัยสั้น  ครอบครัวตกต่ำ  ทุกเรื่องล้วนมีอุปสรรค  เมื่อตายแล้วก็ตกนรกอเวจี หรือเวียนเกิดเป็นอย่างอื่น ทุกชาติได้รับโทษเคราะห์ บาปกรรมตกทอดถึงลูกหลาน ถูกสาปแช่งนับพันปี โอ้คุณพระช่วย !  ถ้าวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ วิถีแห่งภัยพิบัติและบุญวาสนาจึงมากมายมหาศาลบยิ่งแล้ว !  น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก !  คำสุดท้ายที่ท่านศาสดาไท่ชั่งทิ้งท้ายไว้ให้คือ "พากเพียร" หมายถึงความดีทั้งหลายให้พากเพียรกระทำ เป็นบทสรุปสำคัญของคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน  คำพากเพียรก็คือ วิธีการสำคัญแก้ไขความผิดโดยการทำดี  การกระทำก็คือร่างกายขยันไปกระทำ เพราะฉะนั้นพากเพียรกระทำก็คือมุ่งทะยานขยันไปปฏิบัติ แม้แต่ต้องตายก็ไม่ท้อถอย  ในคัมภีร์ชูจิงว่า "ความยากลำบากไม่รู้จัก นอกเสียไปกระทำยากลำบาก" คือพูดว่าลำบาก ๆ ด้วยปากไม่รู้หรอกนอกเสียจากลงมือไปทำ มีคำพูดว่า "พูดว่าได้คืบ สู้ทำได้นิ้วไม่ได้" ถ้ารู้อย่างเดียวแต่ไม่ทำ บอกได้เลยว่าไม่มีประโยชน์ จึงหลีกไม่ได้ต้องได้รับเอง ในมหาสมุทรแห่งการเกิดดับ เพราะฉะนั้น หากชาวโลกแสวงหาทางรอด ก็ต้องลงมือเสี่ยงตาย !  ท่านจูจื่อกล่าวว่า ขณะที่ปราณหยางกำลังขับเคลื่อน แม้แต่แท่นหินก็ทะลุุ  จิตวิญญาณถึงที่ไหน เรื่องอะไรจะไม่สำเร็จ" ถ้าคนเป็นได้เช่นนี้ ก็จะบรรลุถึงความสำเร็จแน่นอน ก็จะประจักษ์ภาวะอริยะฐานะแน่นอน ! 

อธิบาย   :  รู้ว่าไม่กระทำดีก็ไม่มีบุญวาสนา ไม่ได้กระทำชั่วก็ไม่มีภัยพิบัติ  นี่คือหลักธรรมฟ้าที่ไม่เปลียนแปลง ดังนั้น  การตอบสนองของดีชั่ว บางทีก็สนองที่ตัวเอง  บ้างก็สนองที่ลูกหลาน  บางทีมีคนชั่วปัจจุบัน  แต่อดีตชาติได้บำเพ็ญเหตุปัจจัยกุศลจนถึงวาระตอบสนองแล้ว ชาตินี้เขาควรต้องรับภัยพิบัต แต่กลับเสวยบุญวาสนา หรือมีบางคนดีในปัจจุบัน แต่เพราะชาติที่แล้วเขาสร้างเหตุปัจจัยชั่วเอาไว้จนถึงวาระตอบสนองแล้ว ดังนั้นในชาตินี้แทนที่เขาจะเสวยบุญวาสนา แต่กลับรับภัยพิบัติ เขาต้องรอจนกว่าภัยพิบัติและบุญวาสนาจะรับไปหมดแล้ว ชาติปัจจุบันที่ทำดีชั่วจึงจะค่อยตอบสนองให้เห็น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าเร็วหรือช้าเท่านั้น ไม่ใช่การตอบสนองที่ผิดพลาดก็หาไม่ เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า "กฏหมายในโลกหลบเลี่ยงได้ กฏยมโลกไม่รั่วไหล ตาข่ายโลกห่างเล็ดลอดง่าย ตาข่ายยมโลกถี่หลบหนียาก" คนปัจจุบัน พอทำดีสักเรื่องก็หวังได้รับผลตอบสนอง คนที่รู้สึกไม่ค่อยพอใจก็พูดว่า"ธรรมแห่งฟ้ารู้ยาก"  จะรู้อะไรเมื่อคนเราไม่หิว  ไม่หนาว  ไม่มีภัย  ไม่อันตราย  คนเรียนหนังสือก็ได้เรียน  ชาวนาก็มีนาจะไถ  คนงานก็มีงานทำ  ผู้ค้าขายก็ขายได้  ยิ้มหัวกันบ่อย ๆ  หน้านิ่วคิ้วขมวดมีน้อย  อย่างนี้จะเรียกว่า ไม่ใช่บุญวาสนาตอบสนองหรอกหรือ ?.เพราะคนไม่รู้จักพอ โลกนี้จึงเต็มไปด้วยทุกข์เข็ญ เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้ทุก ๆ คน ร่ำรวย 

        มีแต่ชาวโลกต้องเชื่อถือเคารพหลักธรรมคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน (กรรมสนอง) น้อมปฏิบัติจริงใจก็จะมีบุญวาสนามากมาย ลูกหลานเจริญ  น้อมปฏิบัติไปได้หนึ่งปี โทษบาปก็จะมลายดับไป น้อมปฏิบัติไปถึง 4 ปี  ร้อยวาสนาก็มาถึง น้อมปฏิบัติได้ 7 ปีลูกหลานก็สอบได้ตำแหน่งดี  น้อมปฏิบัติได้ 10 ปี อายุขัยยืนยาว  น้อมปฏิบัติได้ 15 ปี งานทุกอย่างจะราบรื่น  น้อมปฏิบัติได้ 20 - 30ปีนามได้ขึ้นทำเนียบเซียน  น้อมปฏิบัติได้ 50 ปี เทพเจ้าให้ความเคารพ  ได้ขึ้นทำเนียบชั้นบน  เหล่านี้เป็นวาจาของท่านไท่ชั่งจริงแท้  กลัวแต่ชาวโลกไม่สามารถปฏิบัติได้จริงนั่นเอง !  คนที่มีอุดมการณ์ตั้งมั่นที่มุ่งสู่มหาธรรม ให้ถึงที่สุดนั้น ขณะเริ่มต้นตั้งปณิธาน ก็จำเป็นต้องฉุดช่วยตนเองและช่วยผู้อื่น  และการช่วยตนเองกับการช่วยผู้อื่นนั้น ต้องมีความสามารถบำเพ็ญทั้งบุญวาสนาและปัญญา การบำเพ็ญปัญญาต้องเข้าใจถึงเป้าหมายของศานาว่าปฏิบัติบำเพ็ญอย่างไร จึงจะบรรลุถึงสภาวะจิตเดิม  ส่วนการบำเพ็ญบุญวาสนา ก็ต้องเข้าใจถึงหลักการเป็นคน ซึ่งก็มีหลักแห่งคุณสัมพันธ์ห้า  ที่นำมาใช้ปฏิบัติฝึกฝน ใจในชีวิตประจำวัน และการอยู่ร่วมกันต้องคอยช่วยเหลือดูแลให้สอดคล้องกัน จึงจะสามารถเกื้อหนุนกันสำเร็จร่วมกัน เช่นนี้  พระเจ้าก็จะประทานราชโองการรอรับเขา เหล่าพุทธเจ้าย่อมเตรียมแผ่นดินสะอาด (พุทธเกษตร)  รับรองเขา  ไม่เพียงแต่หลุดพ้นการเกิดสู่ภพภูมิเบื้องหน้าเท่านั้น ที่จริงแล้วก็คือการแจ้งประจักษ์บรรลุถึงธรรมวิริยะที่มหดสิ้นการเกิดอีกทันที คือบรรลุถึงภูมิที่ไม่เกิดดับอีกแล้วหลังจากนั้นก็สามารถเข้าสู่โลกเพื่อโปรดปกกล่อมเกลาเวไนยสัตว์อีกก็ได้  จบสิ้นเรื่องราวหนึ่งอนันตปัจจัย ถ้าหากผู้บำเพ็ญมีใจจดจ่ออยู่กับความหวังของการมีชีวิตยืนยาวละก็ จะเป็นการบำเพ็ญเพื่อชีวิตเท่านั้น ถ้าการบำเพ็ญยังไม่ถึงจุดหลุดพ้นการเกิดดับ  และเมื่อเสวยบุญวาสนาจนหมดลงแล้วก็ยังจะต้องร่วงหล่นลงมาอีก !  เพียงแต่ได้ไปเกิดบนภพภูมิสวรรค์สูงที่สุด คือ สวรรค์อเนวสัญญานาสัญญามีอายุขัยนานถึงแปดหมื่นสี่พันมหากัป (หนึ่งมหากัปเท่ากับ หนึ่งพันสามร้อยสี่สิบสี่ล้านปี)  สุดท้ายก็ยังต้องตกลงมาอยู่ในหกวิถี  ซึ่งก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากสามภูมิ  ยังคงเป็นเวไนยสัตว์หมุนเวียนอยู่ในหกวิถี  เหล่านี้ล้วนยังไม่สามารถเข้าถึงใจแท้ที่ประภัสสรของตนได้ เป็นเพราะว่าได้สั่งสมความคิดฟั่นเฟือจินตนาการที่ว่างเปล่า เป็นความรู้สึกที่กวักหาสามภูมิ (กามภูมิ  รูปภูมิ  อรูปภูมิ)  เพราะแรงกรรมที่กระตุ้นกวักหาชักนำไปสู่วิถีที่แตกต่างกัน ตามแต่แรงกรรมของแต่ละคนสร้างขึ้น  มีเพียงจิตตรัสรู้อันเป็นเครื่องมือที่บรรลุถึงเบื้องสุดเท่านั้น  จึงจะสามารถเข้าใจกระจ่างแจ้งเหตุปัจจัยของความคิดฟั่นเฟือแห่งจิตนาการว่างเปล่าได้  เดิมทีไม่มีอะไรเลยสักสิ่งหนึ่ง แต่เพราะหวังให้เกิดประโยชน์กับเหล่าเวไนยสัตว์ให้มีกำลังทำความดี แล้วก็จะสามารถถือปฏิบัติด้วยความปลื้อปิติสมบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นจึงจะสามารถถึงที่สุด แห่งหนึ่งอนันตเหตุปัจจัย จึงจำเป็นต้องรวมเข้าสู่การบำเพ็ญ ทั้งบุญวาสนาและปัญญา จนกว่าจะลุถึงสภาวะที่สมบูรณ์ !  เป็นการบำเพ็ญควบรวมทั้งสองในเวลาเดียวกัน (วาสนาและปัญญา)    
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง : นิทาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 09:27
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  นิทาน

        อริยเจ้าหวังจื้อแห่งซีหวิน
ในบันทึกผันซันกล่าวว่า มีผู้ถามเรื่องดีชั่ว  ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากเหตุต้นผลกรรมของบาปบุญ  อาจารย์ตอบว่า"เหตุต้นผลกรรมของบาปบุญอยู่ที่เปลือก (ขอบเขต)  ของหยินหยาง  (ความสมดุลของชั้นบรรยากาศ)  ถ้าหากเธอสามารถหลุดออกจากเปลือกของหยินหยางได้ ก็จะไม่ถูกกรรมสนองจากบาปบุญเลย"  ถ้าเช่นนั้น อะไรเล่าคือเปลือกดีชั่วของหยิยหยางเล่า ?.  ถ้าหากใจมีความคิดแม้เพียงบางเบา ๆ ดังเส้นใยอยากของความเห็นแก่ตนเท่านั้น ก็จะอยู่ในเปลือกของหยิน ถ้าหากเกิดความคิดปิติอยากทำความดี ก็จะอยู่ในเปลือกของหยาง หากอยู่ในเขตหยินก็จะได้รับความชั่วตอบสนอง  ในเขตหยางก็มีความคิดดีตอบสนอง  ถ้าหากสามารถฝึกฝนองค์ใจให้ว่างสะอาด ไม่มีดีไม่มีชั่ว  ไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย  ตนเป็นนายแห่งตนได้แล้ว บาปบุญก็ผูกพันเขาไม่ได้  เหตุต้นผลกรรมก็ผูกมัดเขาไม่ได้ อย่างนี้แหละที่อริยเจ้าได้พ้นจากเปลือกของหยินหยาง ! 

นิทาน 2  :  ในสมัยซ่ง ท่านจูจื่อเหมยอัน มีความเข้มงวดขยัน ปฏิยัติรักษากฏเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สะดวกสบายต่อนักปฏิบัติ พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร เมื่อเขาเรียนหลักธรรมวิทยายังไม่เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ถ้าหากปล่อยให้หละหลวมต่อกฏเกณฑ์แล้วก็ยากที่จะเข้าสู่แก่นสารของหลักธรรมวิทยาได้ ถ้าหากท่านจูจื่อไม่แน่วแน่เข้มแข็งพากเพียรขยันถือปฏิบัติเคร่งครัดละก็ หลักธรรมวิทยาก็คงสาบสูญขาดการสืบทอดไปนานแล้ว !เพราะว่าในสังคมยุคนั้นกำลังอยู่ในกระแสห้ามเรียนวิชาธรรมกัน สังคมเอาหลักธรรมวิทยาเป็นวิชาปลอม และก็กล่าวหาธรรมวิทยาเป็นทางมาร คนที่ลุกขึ้นต่อต้านในสมัยนั้น ได้แก่ หัน...  หลินเจี้ยจื่อ  หวังหยุย  เฉินเจี่ย  พวกเขากล่าวโทษอย่างหนัก  แม้แต่คัมภีร์ของท่านขงจื่อ  เมิ่งจื่อก็ถูกควบคุมห้ามเรียนด้วย แต่ท่านจูจื่อก็ยังคงจริงใจตั้งมั่นทนต่อการกล่าวหาของบุคคลดังกล่าว สงบสติอารมณ์ไม่โต้ตอบเคร่งครัดปฏิบัติกฏเกณฑ์เข้มงวดต่อไป แต่ก็มีอาจารย์บางคนที่ไม่มั่นคงไร้จุดยืนยอมแก้ไขหลักธรรมดั้งเดิม กลายเป็นอาจารย์นอกรีด มีแต่ท่านจูจื่อเท่านั้นที่สามารถรับชะตากรรมแบกรับพงศาธรรมยืนหยัดอยู่รอด ไม่กังวลไม่หวาดกลัว แต่ละย่างก้าวไม่กล้าทำส่งเดชขอไปที แม้จะได้รับการโจมตี อุปสรรคร้อยแปดก็สบายปกติ ยังคงขยันสั่งสอนผู้เรียนต่อไป  จึงมีนักปราชญ์เกิดขึ้นมากมาย เคร่งครัดบังคับตน  เช่น ท่านหยวนจื่อเรื่องสี่ไร้มารยาทไม่...  โดยไม่ละเมิดแม้แต่น้อย  ด้วยเหตุนี้วิชาบัณฑิตกับธรมวิทยาในขณะนั้น ยังคงเป็นที่นิยมดุจดังตะวันกลางฟ้า เพราะเป็นผลจากท่านจูจื่อขยันปฏิบัตินั่นเอง !

นิทาน 3  :  ในสมัยซ่ง ขุนนางเซิ่นเอี๋ยน เป็นชาวเมืองเหยินเหอ เขาสอบได้ตำแหน่งจิ้นสือตอนหนุ่ม ๆ เป็นข้าราชการอำเภอจวิน  ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ละวันเขาจะครุ่นคิดอยู่เสมอว่า จะจงรักภักดีต่อพระราชาอย่างไรบ้าง จะตุ้มครองประชาราษฏร์ให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างไร การกระทำของตนแต่ละก้าว  แต่ละคำพูด  เขาไม่กล้าส่งเดช  แม้จะอยู่ในที่ ๆ ลับตาคน เขาก็ยังคงระมัดระวังรักษาคุณลักษณ์เช่นนี้ตลอดเวลา เขารอจนลูกชายเติบโตแล้ว เขาก็ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้าน  แต่งกายเสื้อผ้าหยาบ  และไม่ยุ่งกับทางโลกอีกเลย เขาจะสงบใจบำเพ็ญธรรม ทุกวันเขาจะสวดมนต์อวตังสกสูตร และปรัชญาวัชรปรามิตาสูตร ของมหายาน  แล้วก็ปฏิบัติคำสอนเวลาว่างก็จะทำฌานสมาธิเพ่งพิจารณา พอมาถึงปีรัชสมัยพระเจ้าต้ากวน อายุก็กว่า 90 ปีแล้ว ฉับพลันเขาก็บรรลุธรรม จึงพูดกับคนดูแลรับใช้เขาว่า "ชีวิตคนในโลกนี้ เหมือนการเล่นละครแต่ละฉาก เมื่อกลองดังขึ้นตัวละครจะเป็นตัวเอกตัวตลกต่างรูปแบบต่างก็แสดงบทของแต่ละคน แต่ว่าเมื่อเทียนเผาจนแสงไฟดับมอดแล้ว ยังจะมีความสุขอะไร ?. ก็เหมือนที่ข้าเข้ามาสู่โลกนี้ แค่พริบตาก็เก้าสิบปีแล้ว เหมือนภาพมายากำลังฝันอยู่ เหมือนน้ำค้างยามเช้า  แวบเดียวก็หายรวดเร็ว !"  โชคดีที่ข้าบรรลุพุทธจิต พุทธจิตนี้ไร้ขอบเขต ไม่มีรูปร่างว่าเหลี่ยมกลม ใหญ่เล็กไม่ใช่ขาว เหลือง เขียว แดง  ไม่มียาวสั้น สูงต่ำ  ไม่มีโกรธ ไม่มีดีใจ ไม่มีผิด ไม่มีดี ไม่มีชั่ว  ไม่มีอะไรสักสิ่งหนึ่งเลย แต่ก็โอบล้อมสรรพสิ่ง !  นี่คือจริงแท้ที่สุด ไม่มีมาไม่มีไป  เป็นหลักธรรมแท้อัศจรรย์ !  แต่ความสำคัญอยู่ที่คนจะสามารถหรือไม่สามารถตั้งใจวิริยะใจต่อใจสืบสันติติดต่อกันไปไม่ขาด บรรดาพุทธเจ้าทั้งสามภพ ล้วนออกจากตรงนี้ หลักธรรมเช่นนี้ ดังในวัชรปรามิตาสูตรว่าเป็นความจริงที่ไม่เป็นมายา พวกเธอทุกคนต้องพากเพียรปฏิบัตินา !  พอกล่าวจบแล้ว เขาก็นั่งสงบพนมมือดับขันธ์ไป ในเวลานั้น ทั้งห้องมีกลิ่นหอม เมฆบนฟ้ามีลักษณะเป็นมงคล มีแสงแวววับต่าง ๆ สาดส่องสู่โลก ลักษณะอันเป็นมงคลเช่นนี้อยู่นานหลายวัน คนใกล้เคียงต่างพากันเฝ้ามองการดับขันธ์ของเขา ที่กล่าวมาแล้ว "พากเพียรปฏิบัติ" อันเป็นเรื่องวร (โกอาน) เป็นหลักธรรมของศาสนาทั้งสามคือ ขงจื่อ  เต๋า  และพุทธ  ที่แยกกันให้ขยันปฏิบัติ จากผู้เรียนเบื้องต่ำสู่เบื้องสูง ก็มีหลักธรรมเหมือนกัน สิ้นสุดที่จิต  จนถึงสภาวะจิตเดิมสูงสุด เอาโกอานเขียนลงในที่นี้ ซึงเป็นตัวอย่างดีที่สุดสำหรับฝึกฝนของศานาทั้งสามผู้มีอุดมการณ์ในการศึกษา ควรถือเป็นตัวอย่างเอามาฝึกฝนเทอญ !       
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง : สรุป จบคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 10:22
บทที่เจ็ด  กรรมสนอง  :  สรุป จบคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนบริบูรณ์

     สรุป  :  ท่านจางหงจิ้ง กล่าวว่า "การกระทำทั้งหลาย ไม่มีหรอกที่ไม่เริ่มจากเเล็กไปสู่ใหญ่" 
เพราะฉะนั้น เหล่าเวไนยที่มีจิตญาณ มีเลือดเนื้อ ล้วนสามารถประจักษ์ถึงอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้โดยตรงถึงสภาวะสูงสุด อย่างไรก็ตามสภาวะสูงสุดแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธินี้ ก็คือการบำเพ็ญบารมีที่เราต้องลงมือปฏิบัติด้วยใจระมัดระวังละเอียดอ่อน ให้มันเจริญขยายจนสมบูรณ์เท่านั้น  ท่านเหลียวฝานเคยกล่าวไว้ว่า "ที่สมมุติชนิดต่าง ๆ เมื่อก่อนโน้นตายไปแล้วเมื่อวานนี้ ที่สมมุติชนิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในวันนี้" เพราะฉะนั้น เราจะหุนหันพลันเล่นโมโหละทิ้งได้อย่างไรกัน โดยเอาภัยพิบัติบุญวาสนาทั้งหลายหลบเลี่ยงจากโองการฟ้า แล้วเหตุนี้เราก็จะใช้ชีวิตส่งเดชไปวัน ๆ ทั้งชีวิตหรือ ?"  ใต้หล้านี้กว้างไกลไพศาลนัก หมื่นชาติก็ยาวนานนัก ถึงแม้จะมีมือนับหมืน มีตานับแสน มาฉุดช่วยโลกนี้ก็ยังไม่เพียงพออยู่เอง  เพราะฉะนั้นเรื่องที่เร่งด่วนคือให้การศึกษา และก็ใช่ว่าต้องสำเร็จเป็นปราชญ์อริยะเสียก่อน จึงจะสอบได้ ถ้าหากคนได้ยินเรื่องความดี ก็เกิดปิติ แล้วก็จะพูดดีไปได้ทุกหนทุกแห่ง คุยเรื่องดี  ประกาศหนังสือดี ๆ การสอนกล่อมเกลาเช่นนี้ก็ได้มากแล้ว !  ตลอดเวลาระหว่างการสั่งสอนถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงของจิตญาณ ความแยบคลายในนั้น  ไม่ใช่ว่าเราเองก็จะเข้าใจได้ !  แต่การสอนบุคคลทั่วไปก็เทียบไม่ได้กับการสั่งสอนผู้มีอัจฉริยะ ถ้าหากได้อัจฉริยะสักคนหนึ่ง แล้วเพิ่มเติมการสั่งสอนให้ เขาก็จะสามารถเกิดผลในการหมุนฟ้าดิน ทั้งยังสามารถพอที่จะช่วยคนรุ่นก่อนให้สำเร็จและฉุดช่วยคนรุ่นหลัง ยังสามารถเกิดประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงการสอน ดังนั้นการสอนเช่นนี้ก็ยังช่วยเปลี่ยนแปลงได้ถ้วนทั่ว และกว้างใหญ่อย่างผิดปกติได้ ปราชย์อริยะสมัยโบราณ กับพระสูตาคัมภีร์ ที่สืบทอดกันในโลก ล้วนเป็นหนึ่งอนันตเหตุปัจจัยทั้งนั้นนา !  และคัมภีร์เล่มนี้ก็เป็นหลักธรรมแท้ที่อัศจรรย์ที่ท่านไท่ชั่งโปรดปกกล่อมเกลาชาวโลก อันสัจธรรมลับที่บรรดาพระพุทธเจ้าฉุดช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ก็เป็นมหากรุณาสูงสุดจริง ๆ มีความแยบคายถึงจุดยอด ต้องสืบทอดสู่โลกนี้นิรันดร สว่างไสวส่องระหว่างฟ้าดิน สำหรับผู้ที่ได้อ่านสวดคัมภีร์นี้  หรือพิมพ์แจกจ่ายสืบทอดสู่คน ล้วนก็มีหนึงอนันตเหตุปัจจัยทั้งนั้น ! ด้วยเหตุนี้หากสามารถตรัสรู้โลกกล่อมเกลาสั่งสอนผู้คน บ่มเลี้ยงปราณเดิมของสังคม สรรสร้างบุญบารมีแก่มนุษยชาติให้คนอยู่ร่วมกันด้วยความดี ฟ้าดินสงบใสสะอาด ถ้าปริมาณของใจที่รองรับขยายจนสามารถโอนเก็บอวกาศได้ ก็จักสมบูรณ์ได้นิจนิรันดร์ เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

~~~ จบคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนบริบูรณ์ ~~~
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง ภาคผนวก : บันทึกปิยวาทของพระมหาธรรมาจารย์อิ้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 10:56
ภาคผนวก :  บันทึกปิยวาท ของ พระมหาธรรมาจารย์อิ้งกวงไต้ซือ

     เมื่อโลกนี้จลาจลถึงขีดสุด
มนุษย์แต่ละคนหวังรักษาไม่เห็นต้นแก่นความหวังก็เหนื่อย ต้นแก่นอยู่ไหน ต้องรู้โดยด่วน อันแม่สอนในเรือน เป็นภูมิปราชญ์พุ่มพฤกษ์ ต้นรากสันติภาพในโลก ไม่อิงสิ่งนี้แสวงพูด การรักษาจะได้มาอย่างไร ?  แม่สอนในเรือนอันดับหนึ่ง สอนครรภ์ หลังผู้หญิงตั้งครรภ์ หน้าที่ต้องอยู่ที่ใจเคลื่อนคิดกระทำงาน ให้ตั้งใจให้ระมัดระวังหนึ่งลุกหนึ่งขยับ ไม่ให้เสียความเที่ยงตรง  โดยเฉพาะให้ตัดเรื่องคาว ๆ สวดมนต์ทุกวัน เพื่อให้ทารกน้อยได้รับปราณตรงจากแม่ เมื่อถึงเวลาคลอด ย่อมปลอดภัยสบายไม่ลำบาก มารกที่เกิดมาย่อมมีลักษณะสง่างาม อารมณ์ก็จะเมตตาดี ลักษณะฉลาด  เมื่อถึงคราวให้ความรู้ครั้งแรก ต้องพูดหลักการเป็นมนุษย์ เช่นกตัญญู  รักสายเลือด  จงรักภักดีเชื่อถือ  จริยธรรมสัตยธรรม  บริสุทธิ์มีละอาย บาปบุญ  เหตุต้นผลกรรมสามชาติ  การเวียนว่ายตายเกิดหกวิถี  ให้ใจเขามีที่เกรงกลัวเป็นนิจ  ที่มีความทะเยอทะยาน ก็สั่งให้สวดมนต์  สวดมนต์กวนอิม เพื่อเพิ่มบุญเพิ่มอายุ  พ้นเคราะห์พ้นทุกข์  ถ้าให้เจริญ ก็สั่งให้ท่องไท่ซั่งกั่นอิ้งเพียนขึ้นใจ  บทดวงชะตาของท่านเหวินเซียง พระสูตรกวนอูตรัสรู้โลก ก็จะรู้จักอาจารย์  รู้จักละเว้นกาม  เพื่อประโยชน์นำไปสู่การเรียนหนังสือ  เริ่มต้นได้ตั้งแต่เด็ก ยิ่งอ่านยิ่งรอบรู้ดี  ไม่ละเมิด แม้ไม่ถึงฐานะปราชญ์อริยะ  ก็เป็นศรีสง่าวงส์ตระกูล   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง : ท่านธรรมาจารย์อิ้งกวง เตือน..
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 11:26
ท่านธรรมาจารย์อิ้งกวง สังฆบดีองค์ที่ ๑๓ นิกายสุขาวดีมหายาน เตือนให้อ่านคัมภีร์เป็นหลักธรรมรักษาบุญ

     คัมภีร์กั่นอิ้งเพียนเป็นธรรมปิฏกของลัทธิเต๋า (ศาสนาธรรม)
พระเจ้าเจินจงในสมัยราชวงศ์ซ่ง  ได้พระราชทานเงินถึงร้อยหมื่น สั่งให้คนงานแกะสลักคัมภีร์ลงในหิน จึงมีการสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ทั้งปราชญ์เมธีในสมัยนั้นต่างยึดถือน้อมปฏิบัติ พระเจ้าสื้อจงในสมัยหมิง ก็ยังเขียนอรรถาบท เป็นบทนำให้กับคัมภีร์แล้วแจกจ่ายทั่วไป ปีที่ 13 รัชสมัยพระเจ้าซุ่นจื๋อ แห่งราชวงศ์ชิง มีคำสั่งให้แกะตัวพิมพ์แจกจ่ายให้ทั่วประเทศ เพื่อให้ขุนนางและนักศึกษาไว้อ่าน หลายยุคหลายราชวงศ์ต่างก็ให้ความเคารพยึดถือปฏิบัติกันขนาดนี้ จึงถือเป็นหนังสือที่มีคุณค่าของมนุษย์  ฟ้าเบื้องบนก็ยิ่งให้ความนับถือ  อาทิเช่น นายหวังช้วนเจ็บป่วยได้ลงไปท่องยมโลก  เห็นเหนือแท่นบัลลังก์อีกอักษรทองเขียนว่า กั่นอิ้งเพียน  ทั้งมีฉายาว่าเปน "บททอง" นายหยางเต้าจีเจ็บป่วยได้ลงไปที่ยมโลก เจ้ายมบาลได้สั่งกับเขาว่า ให้เตือนชาวโลกท่องคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน  นายโจวหู่ก็ยังถูกยมบาลตักเตือนเขาว่า "หลังจากเธอฟื้นคืนสู่ยมโลกแล้ว จะต้องเผยแผ่คัมภีร์นี้ให้กว้างขวางมากขึ้น คนที่สามารถถือปฏิบัติตามคัมภีร์นี้ได้ จะสามารถรอดพ้นจากความทุกข์ลำบากภัยพิบัติ จากอุทกภัย  อัคคีภัย  โจรขโมย  และการเจ็บป่วย  ขอบุตร  ขอให้อายุยืน  ขอให้มีทรัพย์ขอให้สำเร็จเป็นเซียน  ล้วนขึ้นอยู่กับคัมภีร์นี้นา ! " น่าสงสารกิเลสทะเลทุกข์ เวไนยสัตว์มัวเมากับความฝัน วัยหนุ่มสาวก็ปล่อยตัวปล่อยใจ  ยึดติดหลงใหลไม่เชื่อถือ  พอถึงยามชราก็กลายเป็นนิสัย  แก้ไม่ได้  หวังจะให้เขาสำนึกผิดคิดแก้ไขก็หวังได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็น "เกิดจากมัวเมา ตายไปแล้วเหมือนฝัน" ทิ้งขว้าง  ดูแคลนไปหนึ่งชีวิต ชีวิตเกิดมาสูญเปล่า !  อนิจจา !  เมื่ออ่านคัมภีร์กรรมสนองแล้ว ถ้ารู้สึกตัวตื่นจากฝันหรือรู้ตัวตื่นจากมัวเมาได้แล้ว เขาไม่เพียงแต่สามารถผันเปลี่ยนภัยพิบัติเป็นบุญวาสนาเท่านั้น เขาเหมือนฟื้นคืนจากความตายเลยทีเดียว ปัจจุบันขอตักเตือนชาวโลกว่า :  ข้อหนึ่งต้องบังเกิดใจเชื่อถือ  ข้อสองต้องบังเกิดใจสว่าง  ใจทั้งสองนี้เตรียมพร้อมได้เมื่อไร จึงค่อยอ่านคัมภีร์กรรมสนอง  ให้จุดธูปอ่านวันละหนึ่งครั้ง เมื่ออ่านจบแล้วก็จะมีความสุข แต่ละประโยคที่อ่านก็ให้ฝึกฝน อ่านประโยคหนึ่งแก้ไขประโยคหนึ่ง อ่านพินิจให้ละเอียดทุกวันจนสามารถท่องได้  จนทุกตัวอักษรเข้าถึงใจ ผลก็ยิ่งอัศจรรย์ทีเดียว  เป็นเช่นนี้ได้ทุก ๆ วัน  ก็จะสามารถรักษาตัวได้ตลอดชีวิต ดังนั้น สิ่งที่ภาวนาขอก็จะสามารถตอบสนอง ผู้อาวุโสกล่าวว่า "ผู้มีรากธรรมต่ำ ควรอ่าน  ผู้มีรากธรรมสูง ก็ควรอ่าน ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ควรอ่าน" ตลอดจนรักษาใจให้สะอาดหมดจด นั่นคือด่านที่หนึ่ง !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง ภาคผนวก :เตือนให้ปฏิบัติเป็นมณี...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 11:52
ภาคผนวก  :  เตือนให้ปฏิบัติเป็นมณีคุ้มครองบุญวาสนา 

     หลังจากอ่านคัมภีร์กรรมสนอง
  จะต้องทำเรื่องสั่งสมบุญกุศล ผู้มีกำลังทรัพย์ก็สามารถเรียนแบบหยางซุ่น  ที่ผลักดันให้ข้าราชการท่องคัมภีร์กรรมสนอง และก็ทำประโยชน์ให้แก่สังคมสิบประการให้กว้างขวางขึ้น เป็นเพราะว่าท่านหยางซุ่นได้สั่งสมกระทำความดีไว้ไม่น้อย จึงได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อหยางชุน พออายุได้ยี่สิบปีก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวน ตัวอย่างในสมัยราชวงศ์หมิง เมืองเจียงซู  นายเหมาฉีจง ได้ทำการแปลคัมภีร์กรรมสนอง เพื่อนของเขาก็ฝันว่า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งท่องคัมภีร์ด้วยเสียงกังวาน จึงตั้งใจฟัง ได้ยินสองประโยคว่า "เห็นเขารูปงาม  เกิดใจอยาก"  หลังจากเขาได้แปลคัมภีร์จนจบเล่มแล้ว ผู้เฒ่าก็พูดว่า "ต้องได้" การสอบในปีนั้น นายเหมาฉี่จงก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ  (เป็นตำแหน่งที่ 2 รองจากตำแหน่งจอหงาน)  นี่คือการใช้ปากกากระทำความดี  ที่เมืองเฉินตู  หวังเหวินจือมีพรสวรรค์ทางการพูด พระธรรมาจารย์ทงหยวนก็สอนให้เขาบำเพ็ญกุศลทางปาก หลังจากนั้น อะไรที่เป็นประโนชน์ต่อคน ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เขาก็จะใช้วาจาอย่างดี ไม่ยอมพลาดโอกาส เขาทำเช่นนี้อยู่นานถึง 20 ปี เขาเข้าสอบได้ตำแหน่งติดต่อกัน บุตรชาย  2 คนก็สอบได้ตำแหน่งตาม ๆ กัน  นี่คือตัวอย่างการใช้ลิ้นเป็นประโยชน์  อีกตัวอย่าง  ที่เมืองซุ่นเทียน นายเฉาซื่อเหมย ครอบครัวมีฐานะยากจนมาก แต่เขาก็มีความพอใจที่จะกระทำความดี เตือนคน  และช่วยเหลือคนด้วยความจริงใจ  คนอื่นเขาออกทรัพย์แต่เขาจะออกแรง  ทำเช่นนี้เป็นเวลานานหลายปี  จนมีคนเชื่อถือเขา จึงส่งเสริมแนะนำให้เขาไปช่วยค้าขายน้ำมันกับเจ้าของกิจการคนหนึ่ง  เมื่อแบ่งผลประโยชน์แล้วก็ได้รับรายได้ถึงห้าพันตำลึงทอง ดังนั้น ลูกหลานก็พลอยได้เสวยสุขมาก  นี่คือตัวอย่างการใช้แรงกระทำความดี  จากตัวอย่างดังกล่าว กระทำความดีของหยางซุ่น  10 ประการ  คนที่มีฐานะก็เอาอย่างได้   ปากกาของเหมาฉี่จง  ลิ้นของหวังหวินจือ  แรงของเฉาซื่อเหมย คนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ล้วนฝึกฝนได้ทั้งนั้น   การท่องสวดคัมภีร์กั่นอิ้งเพียนเป็นการช่วยฟ้า  ดำเนินการสั่งสอนกล่อมเกลาผู้คน ตลอดจนการกระทำทุกอิริยาบถจะต้องมีใจเคารพยำเกรงอยู่เสมอ เป็นการฝึกฝนบำเพ็ญตน ไม่ว่ายากดีมีจนก็เสมอเหมือนกันทั้งนั้น !   
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง ภาคผนวก : เตือนให้เคี่ยวเข็ญ...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 13:00
ภาคผนวก : เตือนให้เคี่ยวเข็ญคือการคุ้มครองบุญไพศาล 

     ในตะรางกุศลของพระเจ้าไท้เอว้ยเซียนจวิน 
กล่าวว่า  :  "การให้หนังสือธรรมแก่หนึ่งคน คือ 10 ความดี  ถ้าให้ 10 คน คือ100 ความดี ถ้าให้กับผู้สูงศักดิ์หรืออัจฉริยบุคคล คือ 1000 ความดี ถ้าเผยแผนับจำนวนไม่ได้ คือหมื่นความดี" ยิ่งเป็นคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ซึ่งเป็นรัตนโอวาท ฉุดช่วยโลกของฟ้าด้วยแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่สลักพิมพ์คัมภีร์เล่มนี้จะต้องได้รับผลสนองอัศจรรย์ อาทิตัวอย่างที่เมืองตวนอัน นายหวงหงษ์ ได้พิมพ์หนังสือนี้หลังจากเขาตายแล้ว ทางยมบาลก็ยังปล่อยให้เขาฟื้นชีพและเพิ่มอายุขัยให้เขาอีกด้วย  ที่เมืองไท่กู่ นายเฉินวั้นอิวได้พิมพ์คัมภีร์นี้ เมื่ออายุขัยของเขาหมดสิ้นแล้ว แต่ท่านโพธิสัตว์กวนอิมกลับให้เขามีอายุต่ออีก  ที่เมืองหลงซัน นายเหยาเหวินหยาง ได้พิมพ์คัมภีร์นี้ การเจ็บป่วยของเขาก็หายทันที  นาย้หลียงภรรยาของนายอูอี่บี้เมิองเฉียนถัง ได้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ซึ่งนางป่วยนานถึง 3 ปี  เช้าวันหนึ่งนางก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหล่านี้ก็คือตัวอย่างการเพิ่มอายุขัย และมีประสิทธิภาพต่ออาการเจ็บป่วย !  บางคนในดวงชะตาไม่มีบุตรสืบสกุล พอพิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว เขาก็กลับมีบุตรสืบสกุล อาทิเช่น นายเจินต้ากุ่ยได้พิมพ์คัมภีร์ เหตุนี้เขาจึงได้บุตรคนหนึ่ง  ที่เมืองเหว่ยโจว นายอู๋ต้าจ้าพิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว ลูกชายที่ตายไปก็กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นายกุยต้าปิงได้พิมพ์หนังสือนี้ เขาก็มีอภิชาตบุตรคนหนึ่ง เหล่านี้ก็คือเรื่องราวของคนที่ไม่มีบุตรสืบสกุล  แล้วได้บุตร เป็นที่ประจักษ์หลักฐาน นอกจากนี้ก็มีคนที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้ว เขาก็มีบุญวาสนาขึ้นมา อาทิเช่น ที่เมืองฮัวถิง  นายเซิ้นเหย้  ได้พิมพ์คัมภีร์ฯี้แล้ว เขาก็ได้เลื่อนตำแหน่งที่เมืองหวงเอวียน  นายหยางจุ่น พิมพ์คัมภีร์นี้แล้วเขาก็จะได้ตำแหน่งจิ้นสือ  ที่เมืองเจียงซีนายสื่อจงหู  ได้พิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว ก็มีความเจริญรุ่งเรือง ที่เมืองชิวหนิง  นายฟงสือได้พิมพ์คัมภีร์นี้แล้ว ก็มีความร่ำรวยขึ้น  นอกจากนี้แล้ว การพิมพ์คัมภีร์ยังช่วยพ้นจากภัยพิบัติ จากอุทกภัย  เช่นนายสี่ชงซิง เมืองเหว่ยโจว  การพ้นจากอัคคีภัยของนายของนายหยางจิ้ง  ที่เมืองอู๋หลิน และนายอวี่เทียนสิง  เมืองเจียงกัน  บางคนก็ฝันว่า ท่านเทพเจ้ากวนอู สั่งให้เขาพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เช่นนายหลี่ลี่ตง  บ้างก็ขอบุญขออายุ ให้แก่บิดามารดาจนสมหวัง เช่น บุตรกตัญญู  นายวังหยวน  แห่งเมืองเฉียนถัง เป็นต้น !  ตอนนี้ก็อยากเตือนชาวโลกที่ท่องสวดคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ต้องตั้งปณิธานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ ว่าจะพิมพ์หนังสือแจกจ่าย เพื่อให้ทุก ๆ คนสามารถมีโอกาสได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นมในตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ไม่ว่าจะบริจาคมากหรือน้อย หรือเป็นส่วนรวมก็แล้วแต่  ถ้าเป็นส่วนรวมก็ควรตั้งปณิธานพิมพ์สักหมื่นเล่ม  แล้วก็แจกจ่ายในที่สาธารณะ  บุญกุศลนับไม่ถ้วน
หัวข้อ: คัมภีร์กรรม 4 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน บทที่เจ็ด กรรมสนอง ภาคผนวก : เตือนให้พูด ...
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/08/2012, 13:34
ภาคผผนวก  :  เตือนให้พูดคัมภีร์เป็นการคุ้มครองบุญให้ลุ่มลึก

     คัมภีร์กั่นอิ้งเพียนของท่านไท่ชั่ง เป็นการฉุดช่วยโลกทั่วไปนับหมื่นชาติ
ประดุจญาณเมตตากลางทะเลทุกข์ เป็นโอสถดีสำหรับเจ็บป่วย หากชาวโลกพูดอธิบายคัมภีร์นี้ ซึ่งมีความเป็นมาที่ยาวนานแล้ว !  อาทิเช่น นายโจวหู่แห่งเมืองตู๋หนิง  เขาจะอ่านคัมภีร์นี้ทุกวัน และก็ชอบที่จะเล่าให้คนอื่นฟัง จนสามารถทำให้ผู้ฟังหันมาทำความดี อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็ตายกระทันหัน ทางยมบาลพูดกับเขาว่า "เดิมชะตาชีวิตของเธอบันทึกอยู่ในสมุทรอดอยาก เป็นเพราะเธอพูดคัมภีร์นี้ให้คนฟังบ่อย ๆ  ดังนั้นจึงต่ออายุขัยให้ยาย  และแก้บันทึกไปที่สมุดอายุขัยแล้ว" ทั้งยังพูดต่ออีกว่า "คัมภีร์นี้หากนำมาปฏิบัติ เมือง ๆ หนึ่งก็ได้พ้นภัยพิบัติ หากทั้งโลกปฏิบัติ ทั้งโลกนี้ก็เจริญมั่งคั่ง" หลังจากโจวหู่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา จึงบันทึกวาจาของยทโลกไว้เพื่อใช้กล่อมเกลาชาวโลก คนที่ท่องอ่านคัมภีร์กั่นอิ้งเพียน ที่เป็นกุลบุตร กุลธิดา  ควรหาเวลาอธิบายคัมภีร์นี้ให้ทุกคนฟัง  เพื่อให้คนในที่ทุกตรอกซอยได้ฟัง ก็จะกลายเป็นซอยเจริญสุข  อย่างนี้แล้วบุญกุศลเพิ่มพูนจนไม่อาจคาดคิดได้ !  คนดีในปัจจุบัน ควรจะบังเกิดใจตักเตือนคน ไม่ควรที่จะให้ตนดีคนเดียว คนที่เป็นครูอาจารย์ ควรจะใช้เวลาที่เหลือในชั่วโมงกันเวลาไว้นิดหนึ่ง เพื่อเล่าให้นักเรียนฟังถึงพื้นฐานหลักการเป็นคนดี  นักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงอุดมศึกษา ควรพูดให้พวกเขาฟัง ควรเตือนให้เขาสวดท่องวันละเที่ยว และน้อมไปปฏิบัติตลอดชีวิต จะเป็นการช่วยเหลือให้สร้างกรรมดี อันนี้จะเป็นบุญกุศลมหาศาลของครูอาจารย์ !  คนที่เป็นพ่อ แม่ พี่ชาย  พี่สาวในปัจจุบัน ถ้าต้องการให้ลูกดี  ให้น้องดี เป็นการรักษากายและบ้านให้ร่ำรวย ก็ควรที่จะพูดอธิบายกั่นอิ้งเพียนให้ฟังทุกวัน  ให้รู้จักหลักธรรมเหตุผลและประจักษ์หลักฐาน ทำให้ลูกหลานสามารถที่จะสั่งสมบุญกุศลได้ อย่างนี้ก็จะเป็นบ่อเกิดการสร้างบุญให้ยืนยาวไกล !  เมื่อตนเองได้อ่านจบแล้ว ยิ่งต้องเตือนให้คนอื่นอ่าน หรือเมื่อตนเองได้เล่าอธิบายให้คนอื่นฟังแล้ว ก็ต้องเตือนคนอื่นไปเล่าต่อ ๆ กันไป ขณะที่เล่าอธิบาย จะต้องมีความสุข  ไม่เบื่อที่จะเล่ารายละเอียด ทำอย่างไรเพื่อให้ผู้ฟังภายหลังแล้วก็จะมีชีวิตชีวา  แก้ไขความผิด มุ่งสู่ความดี  นั่นคือ ประสิทธิผลอย่างแท้จริงที่ได้รับจากการกล่อมเกลาล่ะ ! 

              ~~~ จบเล่มบริบูรณ์ ~~~