นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => คัมภีร์ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/11/2010, 03:29
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ โดย อนัตตา พิมพ์ครั้งที่ 1 : ธันวาคม 2538
คำนำ
ผู้ที่รักความก้าวหน้าในการศึกษา และปฏิบัติธรรม สมควรศึกษาเกี่ยวกับพระสูตรของพระอริยะเจ้า เพราะพระสูตรนั้นมักกล่าวถึง "ธรรมญาณ" อันแท้จริงซึ่งเป็นสัจธรรม ท่านเว่ยหล่าง หรือ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เป็นผู้ที่ไม่รู้จักหนังสือสักตัวเดียว แต่ตรัสพระสูตรออกมาล้วนเป็นเรื่องที่ตรงต่อ "ธรรมญาณ" และเป็นสัจธรรมทั้งสิ้น
การศึกษาพระสูตรของเว่ยหล่าง จึงสมควรที่จะปล่อยวางสิ่งติดยึดอันเป็นความเคยชินในการศึกษาที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะมิเช่นนั้นไม่อาจทำความเข้าใจความหมายอันล้ำลึกแห่งพระสูตรนี้ได้เลย ผู้เขียนมิได้มีสติปัญญาอันลึกซึ้งหรือรู้แจ้งแห่ง สัจธรรม แต่เป็นเพราะความเมตตาของท่านอาจารย์ ศุภนิมิต ที่ได้นำพาให้ได้รับวิถีอนุตตรธรรม จึงเกิดสติปัญญาพอที่จะซาบซึ้งของตนเองแลกเปลี่ยนกับท่านผู้รู้ทั้งปวง แม้จะเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนก็คิดว่า ท่านผู้รู้ย่อมมีเมตตาที่จะชี้แนะเพื่อให้ ผู้เขียนมีสติปัญญาเพิ่มขึ้น
หากมีส่วนผิดพลาดในการอธิบายความหมายแห่งพระสูตรนี้ ผู้เขียนขอกราบประทานอภัยต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงพระผู้รู้แจ้ง และฉุดช่วยเวไนยทั้งปวงให้รู้ตาม
อนัตตา
-
พระโพธิธรรม ซึ่งได้รับการถ่ายทอดญาณทวารเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ 28 ของอินเดีย เดินทางไปประเทศจีนในสมัยของ เหลียงอู่ตี้ฮ่องเต้ และเป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หนี่งของจีน
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้รับการถ่ายทอดญาณทวาร เมื่ออายุ 24 ปี อปสมบทเมื่ออายุ 39 ปี โปรดสาธุชนอยู่ 37 ปี และดับขันธปรินิพพานเมื่ออายุ 76 พรรษา เป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หกของจีน ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่สุด กายสังขารยังไม่เน่าเปื่อยอยู่ในท่านั่งสมาธิ จนบัดนี้ นับเป็นเวลาพันปีเศษ โดยเก็บรักษาไว้ที่เจดีย์ ณ เมืองเฉาซี
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : : กัมมัฏฐาน -- มายา
การนั่งสมถกัมมัฏฐาณ ซึ่งหลายสำนักได้อบรมสั่งสอน ล้วนมุ่งหมายความศักดิ์สิทธิ์แห่งจิต มองเห็นกายทิพย์ ถอดจิต มีอภิญญา ปาฏิหาริย์ ความต้องการเช่นนี้นับเป็นความหลง เพราะพ้นไปจากวิถีแห่งธรรมญาณของตนเอง และไม่อาจหลุดพ้นไปจากทะเลแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
ฤาษีตนหนึ่งนั่งเข้าฌาณสมาบัติระลึกชาติได้ 200 ชาติ หลังจากนั้นก็มองไม่เห็นอะไรอีก จึงคิดว่าตนมาเวียนว่ายเพียง 200 ชาติเท่านั้น ครั้นเสวยความสุขในฌาณเป็นรูปพรหมจนหมดสิ้นบุญกุศลแล้วก็ต้องเวียนกลับลงมาชดใช้หนี้สินเวรกรรมที่ตนเองระลึกไปไม่ถึงอีกหลายร้อยชาติ เพราะฉะนั้น ความพากเพียรนั่งเข้าฌาณ จึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระ และสูญเปล่าโดยแท้ เพราะชีวิตธรรมญาณยังคงลอยละล่องอยู่ในทะเลทุกข์
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "ในระบบการเจริญกรรมมัฏฐาณของเรานั้นเรามิได้กำหนดลงไปที่จิต หรือ กำหนดลงไปที่ความบริสุทธิ์ หรือว่าเราไปจับเอาตัวความหยุดนิ่งปราศจากความเคลื่อนไหวทุกประการก็หามิได้ สำหรับการกำหนดจดจ่อลงไปที่จิตนั้นไม่ควรทำ เพราะจิตเป็นของมืดมัวมาเสียก่อนแล้วและเมื่อเรามองเห็นชัดว่า มันเป็นเพียงตัวมายาตัวหนึ่งเท่านั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปจดจ่อกับมัน
ความหมายแห่งวจนะ ตอนนี้ น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับการที่ไม่กำหนดลงไปที่จิต เพราะจิตปัจจุบันย่อมมีลักษณะตรงกันข้ามกับ "ธรรมญาณ" ธรรมญาณปราศจากความหยุดนิ่ง หรือ เคลื่อนไหว หรือ บริสุทธิ์ ไม่บริสุทธิ์ แต่ จิต เป็นสิ่งที่มีแม้จะเป็นความดีก็ย่อมมัวหมองจากสภาวะแห่งธรรมญาณ เพราะจิตไม่เที่ยงแท้แปรเปลี่ยนตลอดกาล จึงป่วยการที่จะกำหนดลงไปที่จิต ใครกระทำการเช่นนี้จึงถือว่ากระทำในสิ่งที่ไร้สาระและไม่เกิดผลแต่ประการใดเลยต่อสติปัญญาของเรา
พระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "สำหรับการกำหนดลงไปที่ตัวความบริสุทธิ์นั้นเล่า ตัวธรรมชาติแท้ของเราก็บริสุทธิ์อย่างแท้จริงอยู่แล้ว และตลอดเวลาที่เราขับไล่อกุศลวิตกออกไปเสียให้สิ้น มันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในตัวเรา นอกจากความบริสุทธิ์อย่างเดียว เพราะว่าเป็นด้วยอกุศลวิตกนี่แหละที่ทำให้ตถตาต้องเศร้าหมองไป ถ้าเราเพ่งจิตของเรากำหนดลงไปที่ความบริสุทธิ์ เราก็มีแต่สร้างอวิชชาอันใหม่ขึ้นมาอีกอันหนึ่งเท่านั้นคือ อวิชชาแห่งความบริสุทธิ์ ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง บ่งชี้ชัดว่า แต่เดิมมาธรรมญาณของเราบริสุทธิ์อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปกำหนดให้บริสุทธิ์ แต่กำหนดมาเมื่อใดก็เป็นการสร้างอวิชชาแห่งความบริสุทธิ์ซึ่งหมายถึงเป็นรูปลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์เช่นมองเห็นจิตตัวเองใสดั่งแก้ว ลูกแก้วที่สร้างขึ้นนั้นจึงเป็นความไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเป็น มายาแห่งจิตที่กำหนดขึ้นเอง
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า เพราะเหตุที่อวิชชาเป็นสิ่งที่ไม่มีที่ตั้งอาศัย จึงเป็นความเขลาที่เราจะไปอิงอาศัยมัน ตัวความบริสุทธิ์นั้นไม่มีสัณฐาน
ไม่มีรูปร่าง แต่เป็นคนบางคนอุตริถึงกับประดิษฐ์รูปร่างของความบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้วก็กุลีกุจออยู่กับมันในฐานะเป็นปัญหาสำคัญของความหลุดพ้น เมื่อถือหลักความคิดเช่นนี้ คนเหล่านั้นก็กลายเป็นผู้ขับไล่ไสส่งความบริสุทธิ์เสียเอง แล้วธรรมญาณของเขาก็ถูกให้เศร้าหมองไปเพราะเหตุนั้น
ผู้นั่งสมาธิหรือกัมมัฏฐานชอบสร้างรูปลักษณ์แห่งความสำเร็จ ว่าถ้าเห็นดอกมณฑา ดอกบัว พระพุทธรูป นั่นเป็นผลสำเร็จแห่งการบำเพ็ญ เป็นการพบหนทางอันแท้จริง กลับเป็นผู้คลั้งไคล้หลงใหล ดอกบัว พระพุทธรูป แสงสีต่าง ๆ ความจริงแล้วถ้าเฉลียวสักนิดคิดถึงพระพุทธวจนะ เมื่อครั้งพระพุทธองค์ถ่ายทอดธรรมะแด่พระมหากัสสปะว่า "ธรรมะอันละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง
ท่านเหลาจื๊อซึ่งเป็นผู้รจนา "เต้าเต๋อจิง" ก็ยังให้คำจำกัดความของธรรมะเอาไว้ว่า "ธรรมะอยู่เหนือรูปบัญญัติและนามบัญญัติ จึงไม่อาจให้นามได้พอเป็นนามก็มิใช่ธรรมะ" ปุถุชนจึงเริงร่า เมื่อพบรูปลักษณ์ที่ต้องใจและแปลกประหลาดเพราะไม่เหมือนอย่างที่เคยพบ จึงสร้างอุปทานยึดเอาไว้เป็นของตนเองอย่างเหนียวแน่นชั่่วกัลป์แล้วกัลป์เล่า รูปมายาทั้งปวงที่จิตได้สร้างขึ้นมากลายมาเป็นศรัตรูตัวร้ายชักจูงให้คนโง่งมงายไปพ้นจากวิถีแห่งทางสายกลางอันแท้จริง ผู้โง่เขลาเหล่านั้นจึงขาดสติปัญญาไม่อาจแบ่งแยก ความงมงาย กับ ความหลุดพ้น ออกไปได้เลย นิพพานมายาจึงเกิดขึ้นมากมาย จนกลายมาเป็นอรหันต์มายาในที่สุด
-
การมองเห็นสรรพสิ่งด้วยตาเนื้อหรือ มังสจักษุ ทำให้ ธรรมญาณ ถูกหลอกลวง มิได้เห็นตามสภาพแห่งความเป็นจริงแท้ตามธรรมชาติ เมื่อหลงยึดมั่นถือมั่นกิเลสจึงบดบังธรรมญาณเสียสิ้น จึงก่อกรรมทำบาปอันเป็นผลต้องเวียนว่ายไม่สิ้นสุด วิถีชีวิตของปุถุชนจึงถูกกิเลสนำพาให้เป็นไปตามกระแสไหลเลื่อนของโลก เมื่อความดีมากระทบชีวิตก็หลงระเริง ครั้นความเลวมากระทบชีวิตก็ทุกข์ระทมหม่นไหม้ ความจริงแล้ว ทั้งความดี และ ควมเลว ย่อมตกอยู่ในการเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่เพราะดวงตาของปุถุชนมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงจึงหลงยึดว่าไม่มีการแปรเปลี่ยนชีวิตจึงสั่นไหวเมื่อพานพบสิ่งมากระทบ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "พวกที่ฝึกตัวอยู่ในความแน่วไม่หวั่นไหว" นั้นแม้จะได้เผชิญต่อคนทุกชนิด เขาก็ยังไม่รู้เห็นความผิดของผู้อื่นอยู่เสมอ เขาไม่มีอะไรวิปริตผิดแปลกไปจากเดิม เมื่อประสบบุญหรือบาป ความดีหรือความชั่วของผู้อื่นเพราะลักษณะเช่นนี้เป็น "ความแน่วไม่หวั่นไหว" ของธรรมญาณ"ความหมายแห่งพระวจนะย่อมชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มิได้ฝึกความไม่หวั่นไหว เมื่อประสบบุญก็ไหวเอนไปตามบุญ ครั้นพบบาปก็ไหลไปตามกระแสบาป ปุถุชนจึงไม่มีปัญญาแยกแยะถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้บุญและบาปเปลี่ยนแปลงไปมาเสมอ เพราะเหตุนี้พอนั่งนิ่ง ๆ เห็นดอกบัวหรือมณฑาสวรรค์จึงเกิดอาการปลื้มปิติจนระงับความดีใจไม่ไหว กลายเป็นคนสติเลอะเลือนไปก็มี ครั้นเห็นนรกก็เกิดอาการวิตกจริตในที่สุดโรคประสาทก็ครอบงำหวาดระแวงทุกสิ่งอย่างจนกลายเป็นคนเสียสติ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง อธิบายว่า "คนที่มีจิตยังมืดนั้น อาจสงบเฉพาะทางร่างกายภายนอก แต่พอเผลอริมฝีปากเท่านั้น เขาก็ติชมวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นด้วยเรื่องบุญบาป ความสามารถ ความอ่อนแอ ความดี หรือความชั่วของคนเหล่านั้นๆ นี่แหละเขาแฉออกไปจากทางสัมมาแห่งปฏิบัติอย่างนี้เอง" คนในโลกนี้จึงชอบวิจารณ์คนอื่นแลเห็นแต่ความผิดบาปของผู้อื่นแต่ตนเองกลับมองไม่เห็น มีคนบุญคนหนึ่งชื่อยายสิน ทุกเช้าทำบุญตักบาตรด้วยความปลื้มปิติ ครั้นเสร็จภาระกิจทำบุญแล้วก็ไปนั่งที่ร้านขายกาแฟเพื่อสั่งมาดื่มกิน ระหว่างการดื่มกาแฟของโปรด ปากของแกก็พร่ำด่าว่าคนโน้นคนนี้มิได้หยุดยั้ง ล้วนแต่เป็นความเลวทั้งนั้น ยายสินจึงได้ฉายาว่า "ยายสินปากมาก" แกด่าทุกคนยกเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แกลืมด่าคือ "ตัวแกเอง" ปุถุชนประเภทเช่นนี้แม้ทำบุญมากเท่าไรก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในนรกไม่สร่างซา เพราะความหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกจึงได้สร้างเวรกรรมด้วยวจีกรรม เหตุปัจจัยที่ทำให้ดวงจิตมืดบอด เพราะสั่งสมอารมณ์โทสะจริตเอาไว้แน่นหนา จึงขาดปัญญาพิจารณาให้เห็นเหตุผลของสัจธรรม
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยังกล่าวถึงผู้ที่ระดมการเพ่งไปที่จิตของตนว่า "อีกฝ่ายหนึ่งคือกรณีที่จดจ่อง่วนอยู่ที่จิตของตนเอง หรือที่ความบริสุทธิ์ก็ย่อมกลายเป็นสิ่งสะดุดกีดขวางในหนทางด้วยเหมือนกัน" ผู้ที่มองเห็นแต่ความผิดบาปของผู้อื่น ถือว่าขัดขวางหนทางปฏิบัติอันถูกต้องของตนเอง แต่ในทางตรงกันข้ามคนที่พินิจแต่ความดีงามบริสุทธิ์ผุดผ่องของตนเองก็จัดอยู่ในประเภทที่ขัดขวางการบำเพ็ญอันถูกต้องเช่นกัน บุคคลทั้งสองประเภทนี้มีภาวะไม่แตกต่างกันเลย แม้ดูภายนอกแตกต่างกัน คนที่เห็นคนอื่นผิดบาปและสำแดงวาจาวิพากษ์ออกมา ย่อมไม่รู้จัก"ธรรมญาณ" ของตนและประการสำคัญไม่รู้ถึงความผิดบาปของตนเอง จึงมิได้แก้ไขแต่ประการใด ส่วนคนที่เห็นแต่ความดีงามของตนเองก็อยู่ในสภาพเดียวกันคือไม่เห็นความผิดบาป เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้แก้ไข ปุถุชนทั้งสองประเภท จึงพ้นไปจากวิถีการปฏิบัติบำเพ็ญอย่างแท้จริง ถ้าเปรียบเทียบกันไปก็เหมือนกับ คนหนึ่งตกลงไปในนรกแล้วยังไม่รู้จักนรก ส่วนอีกคนหนึ่งสร้างสวรรค์จอมปลอมเพื่อหลอกตนเองว่าขึ้นจากนรก เมื่อสวรรค์ปลอมเสียแล้วตนเองจึงมิได้ขึ้นจากนรก
ดวงตาแห่งปุถุชนจึงมีกิเลสตั้งแต่หนาสุดไปจนถึงละเอียดสุดปิดบังธรรมญาณ ของตนเอาไว้ ส่วนการสร้างกิเลสปิดบังล้วนแต่สร้างขึ้นด้วยตนเองและเกิดจากความไม่รู้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้จัก ""ธรรมญาณ"" แห่งตนแม้จะเรียนรู้วิชาทางโลก และทางธรรมสูงเพียงใดก็ตามก็ตกอยู่ในขอบข่ายของอวิชชา คือ ความไม่รู้ทั้งสิ้น ดวงตาแห่งปุถุชนจึงไม่อาจฉุดรั้ง ""ธรรมญาณ"" ให้พ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายได้เลย
-
พอ ธรรมญาณ เคลื่อนไหวก็ผลิต จิต ออกมามากมายนับไม่ถ้วนจนได้รับการกล่าวขานว่ามีอยู่ 84,000 ดวง แต่ละดวงจิตรับรู้และยึดติดและตกอยู่ในของกฏอนิจจัง คือ ไม่เที่ยง เกิด - ดับ ตลอดเวลา ขอให้สังเกตุตัวเองตื่นเช้าขึ้นมาจนถึงเย็นย่ำ เข้านอน มีเรื่องราวให้คิดมากน้อยเพียงใด และทุกเรื่องราวที่คิดเคยอยู่ตัวคงที่ไม่เหือดหายไปหรือไม่ ถ้าต้องคิดเรื่องใหม่ย่อมลืมเรื่องเก่า เรื่องใหม่มาเรื่องเก่าย่อมหายไป ถ้าติดตรึงอยู่แต่เรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่ปล่อยวางหรือคิดหลายเรื่องราวในคราเดียวกันความผิดปกติจักเกิดขึ้นและไม่ช้านานต้องเข้าไปบำบัดในโรงพยาบาลโรคจิต เพราะจิตวิปริตไปเสียแล้ว เพราะเหตุนี้คนนั่งสมาธิผิดจึงเป็นโรคบ้า
ในสมัยหนึ่งพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง จึงแสดงธรรมเพื่อชี้ให้เห็นความเป็นจริงว่าด้วยเรื่องของการนั่งกัมมัฏฐานว่า "อย่างไรเรียกว่า การนั่งเพื่อการกัมมัฏฐานภาวนา ในนิกายของเรานี้ ""การนั่ง" หมายถึงการได้รับอิสรภาพอันเด็ดขาดและมีจิตสงบได้ในทุก ๆ กรณีที่มีสิ่งแวดล้อมเข้ามาจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายข้างดีหรือเป็นอย่างไรมา กัมมัฏฐานภาวนา จึงหมายถึงการเห็นแจ้งชัดในภายในต่อความแน่วแน่ไม่หวั่นไหวของ ธรรมญาณ เพราะฉะนั้นการนั่งที่ไม่เป็นอิสระเด็ดขาดก็คือการสร้างภาพมายาหลอกหลอนตนเอง และเข้าไปติดยึดในภาพ ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ นรก ดอกบัว หรือ พระพุทธรูป คนเหล่านี้จึงสำคัญตนผิดหลงติดยึดเอารูปนิมิตนั้นมาเทิดทูนบูชาหรือขจัดรูปอับลักษณ์ที่ตนไม่ต้องการ บรรดาผู้ที่ยึดติดในสิ่งที่ไร้สาระเช่นนี้ความคิดของเขาจึงมีอาการวิปริตไปด้วย แม้พูดเรื่องเมตตาก็สร้างความสับสนให้แก่ผู้ฟัง "การปล่อยสัตว์และการกินสัตว์เป็นเรื่องเดียวกัน" ""กินสัตว์บาปหรือไม่"" ไม่บาป ก็เหมือนปล่อยสัตว์นั่นแหละ ความคิดความเห็นของคนประเภทนี้มิได้ตั้งอยู่กับหลักสัจธรรมแต่ไปตามกระแสของชาวโลก เพราะฉะนั้นนั่งกัมมัฏฐานไปนานแสนกัลป์ เขาจึงมิอาจพ้นไปจากวัฏสงสารได้เลย
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง ฌานสมาธิว่า "อะไรเรียกว่า ฌาน และ สมาธิ ฌานหมายถึงการหลุดจากความพัวพันด้วยอารมณ์ภายนอกทุกประการสมาธิหมายถึงการได้รับศานติในภายใน ถ้าเราพัวพันอยู่กับอารมณ์ภายนอก จิตภายในก็จะปั่นป่วน เมื่อเราหลุดพ้นจากการพัวพันด้วยอารมณ์ภายนอกทุกอย่างแล้ว จิตก็จะตั้งอยู่ในศานติ
ธรรมญาณ ของเราเป็นของบริสุทธิ์อยู่แล้วอย่างแท้จริิิง แล้วเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงปั่นป่วนนั้น ก็เพราะเรายอมตัวให้อารมณ์ภายนอกซึ่งแวดล้อมเราอยู่ลากเอาตัวเราไปผู้ที่สามารถรักษาจิตของตนไว้ไม่ให้ปั่นป่วนได้ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมชนิดไหนทั้งหมดนั่นแหละชื่อว่าได้บรรลุถึงสมาธิ
ความหมายของการหลุดพ้นจากอารมณ์ภายนอกทุกประการนั้น หมายถึงพ้นไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง หรือแม้แต่จิตที่เกิดจากธรรมญาณด้วย เมื่อไม่มีอารมณ์ใดมาแผ้วพาลนานเท่าใดความสงบสันติภายในย่อมเป็นต่อเนื่องกันไป แลจึงเป็นสภาวะแห่ง สมาธิ หญิงสาวคนหนึ่งเธอต้องการยกฐานะของตนเองให้คนทั่วไปเห็นถึงความสูงส่งด้วยอาภรณ์อันมีค่าคือ เพชร แต่เพราะเธอไม่มีปัญญาหาเพชรมาใส่แต่โชคดีมีเพื่อนเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เธอจึงออกปากขอยืมสร้อยเพชรของเพื่อนเพื่อใส่ไปในงานราตรีสโมสร ท่ามกลางสายตาของแขกเหรื่อ เธอชูคอกรีดกรายด้วยความลำพองใจ ยิ้มแย้ม ส่งเสียงหัวเราะสดใส แต่พอกลับมาถึงบ้าน สร้อยเพชรหายไปโดยไม่รู้ว่าหายไปที่ไหนและอย่างไร ครั้งนี้ความทุกข์เข้ามาครอบงำ หน้าตาเศร้าหมองแทบอยากจะฆ่าตัวตายเพราะ สร้อยเพชร ราคาแพงเส้นนี้เธอต้องขายบ้านเพื่อซื้อเพชรนำไปคืนเพื่อน พอเพื่อนได้รับสร้อยเพชรคืน ก็บอกด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า "เก็บเอาไว้ใช้เถอะ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ใส่เพชรปลอมทั้งนั้น"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า การเป็นอิสระไม่พัวพันด้วยอารมณ์ภายนอกทุกอย่าง ชื่อว่าฌาน การลุถึงศานติภายในชื่อว่าสมาธิ เมื่อใดที่เราอยู่ในฐานะที่จะเล่นฌานและดำรงจิตภายในให้ตั้งอยู่ในสมาธิเมื่อนั้นจึงได้ชื่อว่าเราได้ลุถึง ฌาน และ สมาธิ
ข้อความในโพธิสัตว์ศีลสูตรมีอยู่ว่า ธรรมญาณ ของเราเป็นของบริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นการเข้าฌานสมาบัติ จึงไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในรูปลักษณ์ใด ๆ เพราะการลุถึงฌานสมาธิ มิได้เกี่ยวกับรูปลักษณ์ทั้งภายในและภายนอกเลย ทำได้ดั่งนี้จึงจัดว่าเป็น ฌานสมาบัติอันแท้จริง นอกจากนี้แล้วล้วนเป็นฌานสมาธิ ที่ไร้สาระเพราะยังตกอยู่ในวังวนแห่งการเวียว่ายไม่สิ้นสุด เพราะมันเริ่มต้นวนเวียนอยู่ในจิตนั่นเอง
-
ตามหลักความเชื่อทางพุทธศาสนาเชื่อว่า บาปมิอาจล้างให้หมดได้ด้วยการนำบุญมาหักล้างกัน บาปและบุญจึงเป็นสองส่วนที่ไม่อาจนำมาหักกลบบัญชีได้เลย แต่คนที่สร้างบาปเวรกรรมก่อทุจริตมิจฉาชีพล้วนเป็นคนที่ชอบสร้างบุญด้วยหวังว่าจะไปหักล้างบาปเวรกรรมที่ตนเองสร้างเอาไว้ ยิ่งทำชั่วหนักหนาสาหัสยิ่งสร้างบุญใหญ่ พิธีกรรมแห่งการล้างบาปก็ปรากฏขึ้นมากมายจนกลายเป็นเรื่องรกรุงรังในวัดวาอารามและกลายเป็นความเชื่อชนิดฝังรากลึกที่ยากแก่การถอนและก้าวหน้าไปเลยเถิดหลักของพระพุทธศาสนา กลายเป็นพิธีทางไสยศาสตร์ ทำให้คนหลงงมงายหลุดพ้นไปจากหนทางของพระพุทธะ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงพระธรรมว่าด้วยการสำนึกบาปโดยเริ่มต้นว่า "การปฏิบัติในพระพุทธศาสนานั้นเราควรตั้งต้นที่ธรรมญาณของเราตลอดเวลาเราต้องชำระจิตของเราติดต่อกันทุกขณะจิต ไต่ไปตามมรรคปฏิปทาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเองให้เห็นประจักษ์ชัดแจ้งในธรรมกายของเรา ให้เห็นประจักษ์ชัดแจ้งต่อองค์พระพุทธเจ้าในใจของเรารื้อขนตัวเองด้วยต่างคนต่างสมาทานศีล แล้วการมาสู่ที่นี่ของท่านทั้งหลายก็จะมิเป็นการมาเปล่า เนื่องจากท่านทั้งหลายมาจากที่ไกลด้วยกัน ทุกคนข้อที่เราได้มาพบกันที่นี่ย่อมแสดงว่าเป็นการได้มีบุญสัมพันธ์อันประเสริฐ ฉะนั้นพวกเราทั้งหมดจึงนั่งลงตามท่านั่งของชาวอินเดีย อาตมาจะได้แสดงวิธีการ สำนึกบาป อันไม่เกี่ยวกับรูปธรรมแก่ท่านทั้งหลาย
การตั้งต้นที่ธรรมญาณ ก็หมายความว่าไม่ติดยึดอยู่ในรูปลักษณ์ทั้งปวงไม่ว่าจะเป็น รูปธรรม หรือ นามธรรม ใด ๆ เลย เพราะหากติดอยู่ในลักษณะใด ๆแล้วการชำระจิตของตนเองก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ล้างจิตจากชั่วก็ไปติดที่ความดี ดังนั้นการคุมจิตของตนเองมิให้อยู่ส่วนข้างดีหรือร้ายจึงเป็นการดำรงจิตอยู่ในทางสายกลางโดยแท้จริง การปฏิบัติจิตให้อยู่ในทางสายกลางจึงไม่อาจเกี่ยวข้องกับพระอาจรย์รูปใด ๆ ที่จะช่วยให้เราเป็นทางสายกลางได้ หากเรามิได้ใช้ปัญญาของตนเองปฏิบัติ เมื่อกระทำได้ดังนี้แล้ว "ธรรมกาย" ย่อมประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง
"ธรรมกาย มีรูปเหมือนพระพุทธรูป ใช่ไหม" ปุจฉา
"ถ้ายังเห็นเป็นพระพุทธรูปก็มิใช่ "ธรรมกาย" วิสัชนา
ถ้ายังงั้นก็เป็นรูปแก้วใสสว่างมีแสงเจิดจ้างั้นซิ ? จะเป็นธรรมกายได้อย่างไร มันก็คือลูกแก้วธรรมดาๆ ที่จิตสร้างขึ้นมาหลอกหลอนกันมิใช่หรือ ! ถ้ายังงั้นมันเป็นอย่างไรเล่า ? กายของธรรมปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม ตราบใดที่ยังเป็นรูปลักษณ์ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใด ๆล้วนมิใช่ธรรมกาย เพราะฉะนั้น การชำระจิตของตนเองมิให้พัวพันต่อสภาวะทั้งปวงจึงเป็นการหันกลับไปสู่สภาวะดั้งเดิมที่เรียกว่า ธรรมญาณ ซึ่งเป็นธรรมชาติแท้ของญาณ แต่ที่นั่งกันติดในพระพุทธรูปหรือแม้แต่ดวงแก้ว แล้วบัญญัติกันเอาเองว่าเป็น ธรรมกาย จึงเป็นเรื่องไร้สาระ เมื่อติดอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระอันมิใช่สัจธรรมเสียแล้ว จึงเป็นการเสียเวลาเปล่าที่มาเกิดกายในโลกนี้ เพราะแม้แต่ตัวเองก้ไม่อาจช่วยให้พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว จะกล่าวไปใยที่จะช่วยชี้แนะผู้อื่น สาธุชนมักเกิดความเข้าใจผิดเสมอว่าการเห็นแจ้งประจักษ์พระพุทธเจ้าในใจของเรานั้น ต้องเห็นเป็นรูปกายของพระพุทธองค์ซึ่งมีนามว่าพระสิทธ้ตถะ การเห็นเช่นนั้นมิใช่เป็นการเห็นพระพุทธเจ้าในตัวของเราเองเพราะพระพุทธะในตัวของเราย่อมหมายถึง ปัญญา ผู้รู้แจ้งในความชั่วผิดบาปของตนเองอย่างกระจ่างชัด แต่เพราะเราหมายเอารูปลักษณ์เป็นธรรมะ จึงออกห่างหนทางแห่งพุทธะ
ความเป็น "พระพุทธะ" มิได้อยู่ที่ "กาย" แต่อยู่ที่ ""จิต"" การแสดงอย่าง พุทธะ กับ โจร แตกต่างด้วยวัตรปฏิบัติที่สำแดงออกมาจากจิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น ถ้า จิต อยู่ที่รูปลักษณ์ มหาโจรจึงสามารถสวมใส่ชุดนักบวชแล้วแสดงตนเป็น "พระ" บางสำนักจึงปฏิเสธรูปปั้นพระพุทธรูปและไม่กราบไหว้ซึ่งนับเป็นความเห็นผิดอีกรูปแบบหนึ่ง นักบวชสำนักนี้จึงจัดว่า "ติดพระพุทธรูป" เพราะทำให้แสดงความเคารพมิได้
ถ้าหากปราศจากรูปลักษณ์ในจิตเสียแล้ว มีพระพุทธรูปหรือไม่มี ล้วนกราบไหว้ได้ทั้งนั้น เพราะต่างไหว้พระพุทธเจ้าในใจของตนเอง พระพุทธเจ้าในใจของตนเองนั่นแหละที่ทำให้รู้แจ้งว่า การเวียนว่ายในวัฏสงสารนั้นได้ก่อให้เกิด บาปเวรกรรมจนประมาณมิได้และจำเป็นต้องชดใช้ แต่ไม่อาจล้างบาปด้วยวิธีอื่นใดได้ หลวงตาอยู่บวชเป็นพระตั้งแต่หนุ่ม และปฏิญาณว่าบวชไปตลอดชีวิต เพราะเชื่นมั่นในคำทำนายว่าต้องตายโหง และพยายามศึกษาวิชาไสยศาสตร์อยู่อย่างคงกระพัน วันหนึ่งหลวงตาอยู่ ได้รับนิมนต์ไปทำวัตรสวดมนต์เย็นในงานโกนจุก เจ้าภาพยิงปืนฉลองเอาฤกษ์เอาชัยการโกนจุกลูกชาย ขณะที่หลวงตาอยู่กับพระ 9 รูป กำลังเจริญพระพุทธมนต์ กระสุนปืนนัดหนึ่งทะลุฝาบ้าน เจาะเข้าศรีษะของหลวงตาอยู่ แม่นอย่างกับจับวาง ที่เป็นดังนี้เพราะศรีษะของหลวงตาอยู่เอียงมาแต่กำเนิด และรับวิธีกระสุนได้พอดิบพอดี
-
กลิ่นหอมที่เป็นรูปลักษณ์มีทั้งดี - เลวที่ทำให้ผู้คนติดยึดได้เช่นบางคนติดอยู่กับความหอม แต่บางคนติดอยู่กับความเหม็น แต่ความหอมและเหม็นที่ปราศจากรูปลักษณ์คือ ความดี และ ความชั่ว ที่สิ่งกลิ่นหอมและเหม็นทวนลมได้และไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา บางกลิ่นเหม็นกันยาวนานข้ามศตวรรษ บางกลิ่นหอมหวนยาวนานเป็นพัน ๆปี เพราะฉะนั้น การสำนึกบาปที่ไม่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ทั้งปวง จึงเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ปราศจากรูปลักษณ์เช่นเดียว โดยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า
"คันธสาระข้อต้นคือ ศีล ซึ่งหมายถึงการที่จิตของเราปราศจากรอยด่างของทุจริต ความชั่ว ความริษยา ความตระหนี่ ความโกรธ การใช้กำลังข่มขู่และการผูกเวร
"คันธสาระข้อที่สอง คือ สมาธิ ซึ่งหมายถึงการที่จิตของเราไม่มีอาการหวั่นไหวในทุกเหตุการณ์ที่เข้ามาแวดล้อมเรา ไม่ว่ามาดีหรือมาร้าย
"คันธสาระข้อที่สาม คือ ปัญญา ซึ่งหมายถึงการที่จิตของเราเป็นอิสระจากเครื่องหุ้มห่อรึงรัด หมายถึงการที่เราส่องปัญญาของเราอยู่เนืองนิจลงที่ธรรมญาณของเรา หมายถึงความที่เราเป็นผู้พ้นเด็ดขาดจากการทำชั่วทุกประเภท หมายถึงความที่แม้เราทำความดีทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงกระนั้นเราก็ไม่ปล่อยให้ใจของเราเกี่ยวเกาะอยู่ที่ผลของความดีนั้น ๆ และหมายถึงว่าเรายอมเคารพนับถือผู้ที่สูงกว่าเรา อ่อนน้อมผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเรา เห็นอกเห็นใจคนที่หมดวาสนาและคนยากจน
"คันธสาระข้อที่สี่ คือ ความหลุดพ้น ซึ่งหมายถึงความที่ใจของเราขึ้นถึงขั้นเป็นอิสระเด็ดขาดไม่เกี่ยวเกาะอยู่กับสิ่งใด ไม่ผูกพันตัวเองอยู่กับความดีและความชั่ว
"คันธสาระข้อที่ห้า คือ ความรู้ อันเราได้รับในขณะที่ลุถึงความหลุดพ้น เมื่อจิตของเราไม่เกาะเกี่ยวกับความดีความชั่วแล้ว เรายังจะต้องระวังไม่ปล่อยให้จิตนั้นอิงอยู่กับความว่างเปล่าหรือตกอยู่ในกับความเฉื่อยยิ่งกว่านั้นเรายังจะต้องเพิ่มพูนการศึกษา และขยายความรู้ของเราให้กว้างออกไปจนกระทั่งเราสามารถรู้จักจิตของเราเอง สามารถเข้าใจโดยทั่วถึงในหลักแห่งพุทธธรรม ทำตนเป็นฉันญาติมิตรกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายที่เราเกี่ยวข้องด้วย บำบัดความรู้สึกว่า "ตัวตน" และความรู้สึกว่ามีเป็นเสียให้หมดสิ้นและเห็นแจ้งชัดว่า จำเดิมแต่ต้นมาจนกระทั่งถึงเวลาที่เราบรรลุโพธินั้น "ธรรมชาติที่แท้จริง" หรือ "ธรรมญาณ"ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แต่ที่เราเห็นจิตเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นเพราะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ถูกครอบงำด้วยความคิดดีและคิดชั่วซึ่งชักจูงให้เราหลงตะเลิดไปได้ทั้งความดีและความชั่ว จึงพ้นไปจากสูญตังหรือความว่างโดยเด็ดขาดนั่นเอง
ความดีงามทั้งห้าประการที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้ปฏิบัตินั้น คือ สมาธิ ปัญญา ความหลุดพ้น และความรู้ การประพฤตศีล ซึ่งควรทำให้ผู้ประพฤติมีความสงบสำรวม แต่ในทุกวันนี้กลายเป็น "ศีลพานิช" มีรูปแบบของการถือศีลเช่น นุ่งขาวห่มขาวกลายเป็นผู้ทรงศีล แต่ที่แท้จริงเป็นการเอาศีลมาขาย เพื่อให้ชนทั้งปวงหลงยึดติดอยู่แต่รูปแบบ
ครั้งหนึ่งในเทศกาลกินเจเดือนเก้า ผู้ถือศีลนุ่งขาวห่มขาวเดินทางไปนั่งในศาลเจ้าสวดมนต์เสร็จแล้วก็กินเจด้วยความเคร่งเครียด และเคร่งครัดนัก โดยบริเวณที่ตนเองสวดมนต์นั้น ผู้ที่มิได้กินเจจะย่างกรายเข้าไปไม่ได้เลย คนเหล่านี้ยึดอยู่แต่ว่ากินเจต้องนุ่งขาวห่มขาวและมีนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งเดินเข้าไปในบริเวณที่ผู้ถือศีลเหล่านั้นกำลังสวดมนต์อยู่ เผอิญผู้ที่ปฏิบัิติธรรมมิได้นุ่งขาวห่มขาว ท่านเดินเข้าไปเพื่อเอาหนังสือธรรมะไปแจกจ่ายแก่ผู้ถือศีล "เข้ามาไม่ได้นะคุณไม่ได้กินเจ"เสียงคนถือศีลหันมาทำตาเขียว "ขอโทษนะ ดิฉันกินเจตลอดชีวิตค่ะ" ผู้ปฏิยัติธรรมตอบ
ผู้ถือศีลเหล่านั้นรู้สึกถึงความอับอายบ้างหรือไม่ หารู้ไม่ แต่ครั้งนั้นก็หน้าแตกกันถ้วนหน้า เพราะคนเหล่านั้นมองเห็นศีลเป็นเครื่องแต่งกายที่สามารถถอดได้สวมใส่ได้ เพราะฉะนั้นจึงถูกหลอกขายศีลกันจนกลายเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งซึ่งพอถึงเทศกาลก็สามารถแสวงหาผลกำไรจากคนหลงเหล่านี้ได้มากมาย ส่วนการค้าขายเกี่ยวกับสมาธิก็แพร่หลาย เพราะเป็นรูปแบบที่แข่งขันกันจนต้องมีการโฆษณากันเหมือนกับการขายสินค้าของทางโลกไม่ผิดเพี้ยนเลย เพราะสามารถตั้งเป้าหมายของรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำและเอาหลักการขายของทางโลกเข้าไปจับเพื่อเป็นการแสวงหารายได้เข้าสำนัก ลำพังการขายกลดและชุดขาวก็รวยไม่รู้เรื่อง
การบำเพ็ญปัญญา แทนที่จะเสริมส่งให้เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนแต่กลายเป็นผู้ที่มีปัญญาเหนือสติ เพราะมองเห็นผู้อื่นเป็นผู้ปฏิบัติผิดเพี้ยนตนเองมีเพียงความถูกต้องแต่เพียงส่วนเดียวและที่ร้ายหนักไปกว่านั้นกลายเป็นความเชื่อว่าตายแล้วสูญไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย คนที่มีปัญญาล้นสติ ย่อมคิดผิดและเห็นผิดกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ไม่ยากเลย และเป็นเพราะสมัยปัจจุบันเจริญด้วยเทคโนโลยี ศีล สมาธิ ปัญญา จึงกลายเป็นสินค้า โดยที่ผู้ปฏิบัติมิได้พิจารณาถึงคำสอนของพระอริยเจ้าที่ต้องการให้อบรมแต่เฉพาะที่"จิต" มิได้ติดอยู่ในรูปแบบใดเลย แต่เพราะเครื่องมือเหล่านี้สามารถโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างกว้างขวางแพร่หลายทำให้อัตตา ตัวตนของศีล สมาธิ ปัญญาขยายออกไปจนเกินขอบเขตแห่งการควบคุมจนกลายเป็นความเหม็นแพร่กระจายอยู่ในสังคม ซึ่งแท้ที่จริง ควมหอมทั้งห้าประการนี้ไม่จำเป็นต้องเอาเครื่องมืออะไรมาขยายผลเลย ถ้าหากแสวงหาจากภายในมากกว่าภายนอก
ความหอมจริงแท้จึงออกมาจากภายในแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
-
แต่โบราณกาลมาจนถึงทุกวันนี้ชนชาวฮินดูมีความเชื่ออันมั่นคงว่าแม่น้ำคงคามีความศักดิ์สิทธิ์สามารถชำระล้างบาปเวรกรรมทั้งปวง เพราะมีต้นกำเนิดมาจากพระเศียรของพระศิวะผู้เป็นใหญ่บนสรวงสวรรค์ ปัญหานี้มีผู้นำไปทูลถามพระพุทธองค์ว่าเป็นจริงเช่นนี้หรือ พระพุทธเจ้าทรงมีพระวจนะตอบด้วยการตั้งปุจฉาว่า "หากแม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์จริง ผู้ที่ได้รับการชำระล้างยาปเคราะห์ทั้งปวงก็คือ เต่า หอย ปู ปลา ซึ่งแช่อยู่ในแม่น้ำคงคาชั่วนาตาปีกระนั้นหรือ" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอรรถาธิบายเอาไว้อย่างแยบยลว่า บาปเวร ภัยทั้งปวงเกิดแต่จิต เพราะฉะนั้นจึงไม่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์อันใดที่จักชำระล้างบาปเวรของตนเองได้ เว้นแต่การละบาปด้วยตนเองโดยการขจัดอกุศลกรรมทั้งสิบประการ
แต่พุทธศาสนิกชนมิได้ฟังพระวจนะต่างปฏิบัติสวนทางคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยการใช้น้ำมนต์พ่น บังสกุลเป็น บังสกุนตาย ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มิได้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และที่น่าสังเวชใจมากไปกว่านั้น การสะเดาะเคราะห์ของตนเองกลับนำเอาเคราะห์ภัยไปให้แก่ หมู ไก่ เป็ด ปู ปลา นับไม่ถ้วนโดยการปวงสรวงทำบุญสะเดาะเคราะห์ สัตว์เหล่านี้ต้องล้มตายไป เพราะความเชื่ออันไร้สาระของคนที่อ้างว่าเป็นพุทธศาสนิกชนนับถือสักการะพระพุทธเจ้าด้วยกายใจ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการล้างบาปกรรมว่า "เรื่องบาปสำนึก อันไม่เกี่ยวกับรูปธรรม ซึ่งเป็นวิธีที่จะไถ่ถอนเสียได้ซึ่งปวงบาป อันเราทั้งหลายได้กระทำกันในชาติปัจจุบัน ชาติอดีต และอนาคต และจะชำระ มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ของเราให้หมดจด" ความหมายของพระธรรมาจารย์ที่กล่าวไว้ดังนี้ เพราะบาปเวรทั้งปวงอันไร้รูปลักษณ์ย่อมเกิดแต่จิตและนอนเนื่องอยู่ในธรรมญาณ ที่เวียนว่ายไปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตชาติ ซึ่งมีต้นกำเนิดจาก อายตนะหก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
มโนกรรม อันเกิดจากจิตก่อเวรกรรมถึงสามประการคือ โลภ โกรธ หลง
วจีกรรม เกิดจากปากก่อบาปกรรมถึงสี่ประการ คือ โกหก คำหยาบ เพ้อเจ้อ และนินทาพูดเรื่องไม่ดีของผู้อื่น
กายกรรม กระทำบาปถึงสามประการ คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ และล่วงประเวณี
ทั้งหมดนี้เป็นอกุศลกรรมสิบประการอันก่อกำเนิดเป็นกรรมเก่าที่เราได้สร้างเอาไว้ด้วยความไม่รู้แล้รู้ แต่เพราะเข้าใจผิดมิได้ใช้ปัญญาแยกแยะให้เห็นถึงความถูกผิดอย่างชัดเจนจึงกระทำลงไปเช่น เวลาสร้างบุญซื้อกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ด้วยอิฐแผ่นเดียว แต่กลับอธิฐานขอปราสาทราชวังในอนาคตชาติ การลงทุนแต่น้อยต้องการผลกำไรมากมายเช่นนี้เป็นความโลภอย่างหยาบที่ปุถุชนคิดไม่ถึง การที่ไม่รู้จักต้นรากกำเนิดเดิมของ "ธรรมญาณ" จัดเป็นความหลงที่พาให้ตนเองต้องเวียนว่ายไปในอนันตชาติ จัดเป็นความหลงที่แท้จริง หรือแม้แต่กายกรรม เช่นการฆ่าสัตว์ กลับตีความว่าตนเองไม่ได้ฆ่า ผู้อื่นฆ่าจึงกินได้ ไม่เป็นบาปเวร ไม่ลักทรัพย์ เก็บทรัพย์ได้กลางทางถือว่าไม่เป็นบาป ไม่ล่วงประเวณีชู้สาว แต่ชอบดูการประกวดขาอ่อน ไม่เป็นผิดบาปอันใด
สิ่งที่จิตเคลื่อนไหวไม่ว่า ดีหรือชั่ว ของปุถุชนย่อมเป็นผิดบาป ของพระอริยเจ้าทั้งปวง เพราะยังเกี่ยวพันร้อยรัดให้ "ธรรมญาณ" เวียนว่ายไม่สิ้นสุด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง จึงให้สาธุชนทั้งปวงท่องตามด้วยเสียงอันดังว่า "ขอให้เราทั้งหลาย บรรดาสาวกที่ไม่ได้ระบุนามเหล่านี้ จงเป็นผู้เป็นอิสระตลอดกาลจากรอยด่างของความไม่รู้และรู้ผิด เราได้สำนึกแล้วในบาปและกรรมชั่วทั้งหลายของเรา อันเราได้ประกอบแล้วเพราะอำนาจแห่งความรู้ผิด หรือความไม่รู้ ขอให้บาปทั้งปวงนั้น จงเป็นสิ่งไถ่ถอนหมดสิ้นแล้วในทันทีนี้ และขออย่าให้กลับเกิดมีมาอีกเลย"
ถ้อยคำสำนึกผิดเช่นนี้เป็นการยอมรับความผิดบาปที่ตนเองได้ก่อขึ้นด้วยความไม่รู้หรือรู้ผิด ถ้าเราไม่ยอมรับผิดเสียแต่ครั้งนี้ การติดยึดอยู่กับความผิดนั้นก็ยังคงมีอยู่ต่อไป เพราะเหตุนี้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงให้ทุกคนท่องข้อความเช่นนี้ซึ่งตรงต่อคำสอนของท่านบรมปราชญ์ขงจื๊อที่กล่าวว่า "ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่ไม่เคยมีความผิด แต่คนที่สำนึกผิดบาปของตนเองย่อมจะเป็นกัลยาณชนต่อไปในอนาคต""
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงขอให้สาธุชนท่องข้อความต่อไปว่า ""ขอให้เราทั้งหลาย จงเป็นผู้เป็นอิสระตลอดกาล จากรอยด่างขอความเย่อหยิ่งและความอวดดี เราสำนึำกได้แล้วในจริตอันเย่อหยิ่งและโอ่อวด อันเราทั้งหลายได้ประพฤติมาแล้วในอดีต ขอให้บาปทั้งมวลนั้นจงเป็นสิ่งไถ่ถอนหมดสิ่นแล้วในทันทีนี้ และขออย่าให้กลับเกิดมีมาอีกเลย ขอให้เราทั้งหลาย จงเป็นผู้อิสระตลอดกาล จากรอยด่างของความริษยาและความเคียดแค้น เราสำนึกได้แล้วในบาปและกรรมชั้วทั้งหลายของเรา อันเราได้ประกอบขึ้นแล้วด้วยใจอันเต็มไปด้วยความริษยาและความเคียดแค้น ขอให้บาปทั้งมวลนั้น จงเป็นสิ่งไถ่ถอนหมดสิ้นแล้วในทันทีนี้ และขออย่าให้กลับเกิดมีมาอีกเลย""
-
"คุณพ่อคะ อิฉันรู้สึกบาปมากเมื่อเช้านี้ได้ใช้คำหยาบดุหลานชาย ช่วยบอกพระผู้เป็นเจ้าด้วยว่า อิฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ " หญิงชราคุกเข่าอยู่หน้าม่าน เพื่อสารภาพบาปต่อพระบาทหลวง ในขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ฟังถ้อยคำสารภาพนี้ถึงแก่หัวเราะออกมาแล้วถามยายว่า "อะไรกันยาย แค่นี้ก็บาปด้วยหรือ"พระบาทหลวงจึงออกมาจากหลังม่านแล้วบอกเด็กหนุ่มรายนั้นว่า "เจ้าจงเดินไปที่สนามหญ้าเก็บก้อนหินเล็ก ๆ มากำมือหนึ่ง ส่วนคุณยายเก็บก้อนหินมาหนึ่งก้อน" เมื่อทั้งสองปฏิบัติตามคำของบาทหลวงแล้ว ท่านบาทหลวงก็บอกกับหญิงชรากับเด็กหนุ่มว่า "เมื่อเก็บก้อนหินมาจากที่ไหนจงเอาไปไว้ที่เดิม"และก็แน่นอนว่าคุณยายย่อมสามารถเอาก้อนหินคืนไปไว้ที่เดิมได้ ส่วนเด็กหนุ่มย่อมกระทำมิได้
การดูแคลนความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ย่อมลืมเลือนไปและก่อให้เกิดความผิดใหญ่หลวงจนยากแก่การแก้ไขภายหลัง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง สอนให้สาธุชนสำนึกบาปกรรมที่ตนเองก่อเอาไว้ อันเป็นรอยด่างของ "ธรรมญาณ" ว่าเราเรียกว่า "ชั่นหุ่ย" อันไม่เกี่ยวกับรูปธรรม อะไรเล่าเป็นความหมายของ "ชั่น" และ "หุ่ย" ในที่นี้ ""ชั่น"" หมายถึงความสำนึกบาปอันเป็นอดีต การสำนึำถึงตัวบาปและกรรมชั่วทั้งปวงในอดีตอันเราได้ประกอบขึ้นแล้วด้วยอำนาจความรู้ผิด ความไม่รู้ ความเย่อหยิ่ง ความอวดดี ความเคียดแค้น หรือความริษยาและอื่น ๆ ได้ ฯลฯ จนถึงกับทำความสิ้นสุดให้แก่บาปเหล่านี้ได้ เรียกว่า ""ชั่น"" การแสดงออกด้วยอำนาจของอารมณ์เหล่านี้ล้วนแต่สร้างความเกลียดชังและความคับแค้นใจให้แก่ผู้อื่นทั้งสิ้น จึงเป็นบาปเวรที่ต้องจองล้างกันไปไม่สิ้นสุด จึงกลายมาเป็นการเวียนว่ายชดใช้บาปเวรกันเรื่อยไป
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก่าวต่อไปถึงบาปในอนาคตว่า ส่วน ""หุ่ย""นั้นเล็งถึงการสำนึกบาปส่วนที่จะเกิดขึ้นด้วยการกระทำในอนาคตของเรา เมื่อเห็นแจ้งชัดถึงธรรมชาติอันเราอาจล่วงละเมิดได้ในอนาคต เราย่อมตั้งปฏิญาณว่าแต่นี้ต่อไป เราขอทำความสิ้นสุดแก่กรรมชั่วทุกประเภท อันเกิดขึ้นมาจากความรู้ผิด ความไม่รู้ความเย่อหยิ่ง ความอวดดี ความเคียดแค้น ความริษยา และเราจะไม่ก่อบาปขึ้นอีกต่อไปจึงเรียกว่า ""หุ่ย""
เนื่องจากความไม่รู้และรู้ผิดเป็นเหตุ คนทั้งหลายย่อมไม่เห็นชัดแจ้งว่าในการทำความสำนึกบาปนั้น เขาไม่ควรจะเป็นเพียงแต่รู้สึกเสียใจเพราะบาปกรรมที่ทำมาแล้วอย่างเดียว เนื่องจากเขาไม่ใส่ใจสำรวมถึงการกระทำในอนาคตนั่นเอง เขาประกอบบาปขึ้นใหม่ก่อนที่จะไถ่ถอนบาปให้สิ้นไปเราจะเรียกการกระทำเช่นนั้นว่า ""การสำนึกบาป"" ได้อย่างไรกันเล่า ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงนั้น ได้ไถ่ถอนความชั่วทั้งในอดีตและอนาคตได้ ความเป็นธรรมญาณแท้ก็จักปรากฏขึ้นเอง เพราะแท้ที่จริงแต่เดิมมา ธรรมญาณ นี้มิได้มีบาปเวรติดตัวมาเลย แต่เป็นเพราะเวียนว่ายไปสามภพจึงสร้างสมเอาไว้ด้วยความยึดมั่นถือมั่นและกลายมาเป็นเครื่องมือหลอกลวงซึ่งกันและกัน ความเข้าใจผิดที่ว่าตนเองเป็นคนดี ไม่เบียดเบียน ทำร้ายใครก็ใช้ได้แล้วแต่ความโลภ ความดกรธ ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของตนเองหาไม่พบก็เป็นบาปที่ไม่มีการสำนึก เพราะฉะนั้น คนดีไม่น้อยที่ อวดดี รวมตลอดไปถึงคนชั่วเป็นจำนวนมากที่ชอบ อวดดี เมื่อเราเกิดกายขึ้นในโลกนี้ล้วนมีความผิดติดตัวมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกายสังขารที่พ่อแม่ให้มาและเราไม่รุ้จักตอบแทนก็ถือว่าเป็นความผิด สรรพสิ่งที่ได้อาศัยเลี้ยงกายนี้เช่น น้ำ อากาศ ซึ่งเบื้องบนประทานให้เราใช้อย่างไม่สำนึกก้เป็นผิดเป็นบาปแล้วเหมือนกัน
ถ้าหากเราเอาคัมภีร์ไบเบิลอธิบายถึงความผิดบาปของมนุษย์แล้วก็เริ่มต้นได้ตั้งแต่ชายหญิงคู่แรกของโลกซึ่งมีนามว่า อาดัม กับ อีฟ ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์เฝ้าสวนแอปเปิ้ล แต่ถูกซาตานยุยงสร้างความผิดบาปด้วยการขโมยแอปเปิ้ลกินกันสองคน เมื่อ อาดัม กัดแอปเปิ้ลคำแรก รู้สึกสำนึกผิดจึงสะอึก เนื้อแอปเปิ้ลจึงติดคอกลายมาเป็นลูกกระเดือกของผู้ชาย ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้ว่า ADAM" S APPLE พระผู้เป็นเจ้าจึงให้เป็นอิสระมีความผิดบาปของตนเอง และตกนรกได้ด้วย
พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นบุตรมนุษย์ลงมาเพื่อไถ่บาปให้แก่ลูกแกะหลงทางทั้งหลายเพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า พระมหาไถ่ แต่ความหมายของการไถ่บาปของพระเยซูได้มาตีความกันอย่างผิด ๆ เพราะเหตุนี้จึงกลายมาเป็นการเข้าใจผิดว่า การสารภาพบาปต่อบาทหลวงและพระผู้เป็นเจ้าแล้ว บาปทั้งปวงก็หมดไปโดยที่ตนเองไม่ต้องชำระล้างอะไรอีกแล้ว
ความจริงที่พระเยซู ไถ่บาปให้แก่ชนทั้งปวงเพื่อแสดงให้เห็นว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์ต่างมีบาปติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น พระองค์ได้แสดงให้ปรากฏถึงการไถ่บาปของพระองค์และชนทั้งปวงเป็นมนุษย์ผู้มีบาปเฉกเช่นเดียวกัน ต่างต้องไถ่บาปด้วยตนเองด้วยความสำนึกในบาปเวรนั้น ๆ แต่จะมีใครสักกี่คนที่ยอมว่า """ข้า ฯ คือคนบาป"""
-
บัดนี้มหกรรมปล่อยสัตว์ดูเหมือนแพร่หลายออกไปมากมาย เพราะสาธุชนคนใจบุญซึ่งสงสารสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัวควายได้รับผลแห่งความสงสารมากมาย แต่แล้วสัตว์อื่นไม่มีโอกาส แม้ปล่อยสัตว์ใหญ่ด้วยการบริจาคเงินและอนุโมทนาในบุญกุศลของตนเองแล้วเดินออกมาจากลานปล่อยสัตว์ ก็สั่งลูกชิ้น ไก่ย่าง หมูย่างกินกันอย่างเอร็จอร่อย
คนใจบุญเหล่านี้ปล่อยสัตว์เพียงภายนอกเท่านั้น แลเป็นบุญกิริยที่ต้องไปเสวยผลของตนเอง และยังคงเวียนว่ายในสามภพสามภูมิไม่สิ้นสุด ส่วนการปลดปล่อยสัตว์ในความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง มิได้เป็นเพียงบูญกิริยาเท่านั้นแต่ท่านกล่าวว่า "เมื่อได้มีการสำนึกบาปชำระตัวแล้ว เราควรจะตั้งไว้ซึ่ง ปฏิญาณดัง 4 ประการต่อไปนี้....
เราขอปฏิญาณที่จะปลดปล่อยสัตว์ที่มีวิญญาณ อันมีปริมาณไม่จำกัดในใจของเรา
เราขอปฏิญาณที่จะถอนเสียซึ่งกิเลสอันมีปริมาณคณนาไม่ได้ในใจของเราเอง
เราขอปฏิญาณที่จะศึกษาระบอบธรรมอันนับไม่ถ้วนแห่งธรรมญาณของเรา
เราขอปฏิญาณที่ขะเข้าให้ถึงพุทธภาวะอันสูงสุดแห่งธรรมญาณของเรา
ตามกระแสแห่งเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งธรรมญาณของเราไปเวียนอาศัยร่างของสัตว์ในภพต่าง ๆ นั้น ย่อมก่อให้เกิด นิสัย วาสนา สันดาน ติดพันกันมาชาติแล้วชาติเล่าจนนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานจนยากที่จะถอนออกไปได้ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมอยู่ ณ วัดเชตว้น มีชาย 5 คน เป็นเพื่อนกันเข้ามาฟังธรรม แต่ทั้ง 5 คนกลับมีอาการกริยาไม่เหมือนกันคือ นั่งหลับ นั่งเอานิ้วไชดินเล่น นั่งเขย่าต้นไม้ นั่งแหงนดูอากาศ มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งฟังด้วยความเคารพ พระอานาท์จึงทูลถาม พระพุทธองค์ได้ตรัสชี้แจงว่า....
ชายคนที่นั่งหลับเคยเกิดเป็นงูเหลือม ซึ่งปกติชอบเอาหัวพาดขนดหลับ
ชายคนที่ชอบไชดินเล่นเคยเกิดเป็นไส้เดือนซึ่งมีนิสัยไชดินเป็นขุย
ชายคนที่เขย่าต้นไม้เคยเกิดเป็นลิง เพราะนิสับลิงชอบเขย่าต้นไม้
ชายคนที่นั่งแหงนดูอากาศเคนเกิดเป็นหมอดูดาว ซึงตามปกติชอบคำนวนดูทิศทางของดวงดาวต่าง ๆ
ส่วนชายที่นั่งฟังธรรมด้วยความเคารพ เคยเกิดเป็นพราหมณ์ มีความรู้จบไตรเพท
ชายทั้ง 4 คนยกเว้นคนที่เกิดเป็นพราหมณ์ แม้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นพระพุทธเจ้า กระแสธรรมไม่อาจเข้าถึงจิตใจของเขาได้เลย เพราะแต่ละชาติเขาหมกมุ่นอยู่แต่ราคะ ตัณหา มัวเมา มีแต่พราหมณ์เท่านั้นที่หยั่งรู้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์และสำเร็จมิต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก เราพฉะนั้นการพิจารณาปลดปล่อยสัตว์มีวิญาญาณที่สิงสถิตอยู่ในจิตของเราย่อมต้องอาศัยปัญญาของตนเองพิจารณาค้นหามันให้เจอ "หายังไงดีล่ะ" "ดูนิสัยของตัวเอง ถ้าชอบกินแล้วก็นอน ย่อมเคยเป็นหมูมาแน่นอน"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "บัดนี้เราทั้งหมดได้ประกาสออกไปแล้วว่า เราปฏิญาณอันที่จะปลดปล่อยสัตว์มีวิญญาณ อันมีประมาณไม่จำกัด แต่นั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า มันมิได้หมายความว่า อาตมาฮุ่ยเหนิงกำลังจะปลดปล่อยสัตว์นั้น และอะไรเล่าคือสัตว์มีวิญญาณเหล่านั้นอันมีอยู่ในใจของเราสัตว์เหล่านั้นคือ ใจที่หลงผิด ใจที่เป็นมายา ใจชั่วร้าย และใจอื่น ๆ ทำนองนั้น เหล่านี้ทั้งหมดเรียกว่าสัตว์มีวิญญาณ
สัตว์เหล่านี้แต่ละตัว จำจะต้องปลดปล่อยตัวมันเองโดยอาศัยอำนาจแห่งธรรมญาณของมัน แล้วการปลดปล่อยนั้นก็จะเป็นการปลดปล่อยอันเลิศแท้ แต่บรรดาชนทั้งหลายมิได้ปลดปล่อยสัตว์เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้จักสัตว์ในใจของตนเอง ด้วยเหตุนี้ ปุถุชนจึงถูกสัตว์ร้ายในตัวเอง ขบกัดทำลายอยู่ทุกวัน
ความไม่รู้จึงเป็นเหตุยึดเอาสัตว์มีวิญญาณทำร้านตนเองจนยาวนานข้ามภพข้ามชาติไม่สิ้นสุด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้ถึงวิธีแห่งการปลดปล่อยว่า "ในเรื่องนี้การปลดปล่อยตัวเองโดยอาศัยธรรมญาณนั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า มันหมายถึงการหลุดรอดของสัตว์ที่โง่เขลา ที่หลงผิด ที่หลงทรมาน อันมีอยู่ในใจเราออกไปได้อาศัยสัมมาทิฏฐิโดยได้อาศัยสัมมาทิฏฐิและปัญญา สิ่งกางกั้นต่าง ๆ ที่สัตว์ผู้ไร้ความรู้และรู้ผิดเหล่านั้นแต่ละตัวจะอยู่ในฐานะที่จะปลดปล่อยตัวเองออกไปได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัว
ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงบอกวิธีแห่งการปลดปล่อยว่า ผู้ผิดจงปลดปล่อยตัวเองด้วยอาศัยความถูก ผู้รู้ผิดจึงปลดปล่อยตัวเองด้วยอาสํยความรู้แจ้ง ผู้ไม่รู้ต้องอาศัยปัญญา และผู้ที่เต็มไปด้วยโทษต้องอาศัยคุณ จึงเป็นการปลดปล่อยอันเลิศแท้ ถ้าไม่ปลดปล่อยสัตว์มีวิญญาณนี้มันก็ฆ่าตัวเองไปชาติแล้วชาติเล่า
-
ท่ามกลางการเวียนว่ายของชีวิตในทะเลทุกข์ สาธุชนต่างต้องการความสุขสมบูรณ์ทางโถคทรัพย์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า แต่ทำไมชีวิตจึงมิได้เป็นไปตามที่ตนเองปรารถนา บางคนร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองแต่ไร้ความสุข บางคนยากจนคับแค้นแต่กลับมาความสุข ชีวิตที่ผันแปรแปลกประหลาดเช่นนี้บางคนก็หันไปโทษฟ้าโทษดินโทษพรหมลิขิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าดลบันดาลให้เป็นไปเพื่อลงโทษ แต่เขาเหล่านั้นกลับลืมโทษตนเองว่าเป็นผู้กำหนดความโชคดีหรือโชคร้ายให้แก่ตนเองอย่างแท้จริง พรหมลิขิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีมหิทธานุภาพที่จักเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตให้แก่ใครได้เลย มีแต่ตนเองเท่านั้นจักเปลี่ยนแปลงแก้ไข
บรรดากิเลสชั่วร้ายที่ตนเองสั่งสมเอาไว้จนกลายเป็นขันธสันดานนอนเนื่องอยู่นั้นได้กำหนดโชคร้ายอันเป็นผลให้แก่ตนเอง บรรดาบุญสุนทรทานทั้งปวงล้วนกำหนดโชคดีให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป ล้วนได้สั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติและแบกติดตัวมาด้วยตนเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงอธิบายว่า "สำหรับข้อปฏิญาณที่จะเพิกถอนเสียซึ่งกิเลสอันชั่วร้ายภายในใจ อันมีประมาณคณนาไม่ได้นั้นย่อมเล็งถึงการปลดออกเสียซึ่งกลุ่มของความคิดอันเชื่อถือไม่ได้ และเป็นมายาหลอกลวงโดยนำเอาปัญญาแห่งธรรมญาณเข้ามาใส่แทนที่" กิเลสชั่วร้ายที่ตนเองสร้างขึ้นมาด้วยความหลงผิด ดังนั้นจึงไปสร้างความคิดที่ไร้สาระกลายเป็นมายาหลอกลวงตนเองให้กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรและยึดถือเอาเป็นความจริงแท้ของชีวิต
เจ้าพ่อรายหนึ่งมีรายได้จากบ่อนการพนันและสิ่งผิดกฏหมายชั่วร้ายเป็นกิจการอันเบียดเบียนชีวิตมนุษย์ทารุณร้ายกาจ บุคคลประเภทนี้ปิดบังอาชีพที่แท้จริงและสร้างอาชีพพลวงอันสุจริตเพื่อพรางตาคนทั้งปวง เขาเกรงว่าไม่มีใครเชื่อในอาชีพสุจริตเพราะฉะนั้นจึงลงทุนสร้างบุญกุศลอย่างมโหฬารและแสดงน้ำจิตน้ำใจให้คนทั้งปวงเห็นว่าเขาเป็นคนดีและเขาเชื่อว่าบุญกุศลที่ได้กระทำไปนี้จักหักล้างกับอาชีพบาปของเขาได้ ความคิดเช่นนี้ไร้สาระเชื่อถือไม่ได้เพราะมันเป็นมายาที่หลอกลวงคนอื่นและตัวเองอย่างชัดเจนที่สุด เพราะผลแห่งการกระทำเช่นนี้ ย่อมติดตัวไปชาติแล้วชาติเล่าและจบชีวิตลงด้วยภัยพิบัติ แม้แต่ความคิดแห่งการสร้างบุญสร้างกุศลโดยตนเองประกอบสัมมาอาชีพและสร้างบุญโดยหวังว่าจักไปถึงพระนิพพานด้วยการท่องบ่นแต่คำว่า "นิพพานัง ปรมังสุขัง" ความคิดเช่นนี้ก็เป็นมายาหลอกลวงตนเอง และเป็นกิเลสอย่างหนึ่งพึงเพิกถอนเสีย
ความหมายอันที่พระธรรมาจารย์ปรารถนาให้บังเกิดขึ้นในจิตของสาธุชน คือการล้มเลิกที่จะคิดถึงทั้งในส่วนดีและส่วนร้ายในจิตของตนเอง ถ้าปลดความคิดชนิดเช่นนี้ออกไปได้แล้ว ภาวะแห่งธรรมญาณอันปราศจากสิ่งยึดเหนี่ยวทั้งปวงจักปรากฏขึ้นแลเป็นปัญญาอันประเสริฐ ปัญญาแห่งธรรมญาณนั้นบริสุทธิ์เพราะว่างปราศจากดี และชั่ว ปัญญาชนิดเช่นนี้จึงวินิจฉัยและกำหนดพฤติกรรมที่ถูกต้องตรงต่อสัจธรรม
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "สำหรับข้อปฏิญาณที่ว่า เราขอปฏิญาณที่จะศึกษาระบบธรรมอันนับไม่ถ้วนนั้น ควรวางหลักลงไปว่าการศึกษาที่แท้จริงจะยังไม่ได้จนกว่าเราจะได้เผชิญหน้ากับธรรมญาณของเราเสียก่อน และจนกว่าเราจะมีความเป็นไปของเรากลมเกลียวกันได้กับธรรมะอันถูกต้องในทุกโอกาสเสียก่อน" ความหมายแห่งพระวจนะนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาธรรมะอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่นั้นมีอยู่สองแบบ ประเภทท่องจำตามตำราและคำสอนของอาจารย์ทั้งปวง ผู้ปฏิบัติเช่นนี้จึงมีผลแต่เพียงว่า ไม่ยึดตำราของอาจารย์ ก็ยึดตัวอาจารย์เป็นที่พึ่ง จึงกลายเป็นความหลงวนเวียนออกนอกขอบข่ายของธรรมะอันแท้จริงและหลายครั้งเห็นอาจารย์เป็นผู้วิเศษจนหลงติดอาจารย์ไม่ว่าจะพาลงนรกหรือภพภูมิอันน่าเกลียดน่าชังเพียงใดก็ติดตามไปโดยไม่ลดละ
ผู้ศึกษาธรรมะเช่นนี้จึงติดตามกันมาข้ามภพข้ามชาติ ส่วนการศึกษาธรรมะอันถูกต้องนั้นคือการศึกษาธรรมอันแท้จริงในธรรมญาณของตนเอง เมื่อใดที่เข้าสู่จุดแห่งความว่างสูงสุดอันเป็นภาวะเดียวที่กลมกลืนกับสัจธรรมแล้ว ผู้นั้นย่อมศึกษาธรรมได้อย่างถูกถ้วน เป็นอิสระแก่ตนเองและทั้งหมดนี้จึงสรุปลงได้ว่า ชะตาชีวิตของใคร คนนั้นแหละเป็นผู้กำหนดเองอย่างแท้จริง
-
สาธุชนผู้เคารพนับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะมักมีความเข้าใจผิดยึดถือเอาบุคคล วัตถุเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็น "พระพุทธะ" การนอบน้อมยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะมิอาจแก้ไขความทุกข์ของตนได้เลยเพียงแต่ทำให้จิตใจของตนเองมีความสุขเท่านั้น แต่เป็นความหลงผิดอย่างแท้จริง พระพุทธองค์ทรงเน้นให้สาวกทั้งปวงยึดถือธรรมะเป็นสรณะ แต่เพราะผู้ที่มีปัญญาอันตกต่ำกลับดื้อดึงมิฟังคำของพระพุทธองค์ ความฟั่นเฝือของพระพุทธศาสนาจึงเกิดขึ้นมากมายเพราะคนไม่ยอมแสวงหาธรรม แต่กลับแสวงหาวัตถุ และความโลภเข้าครอบงำจึงนำเอา พระพุทธรูป ที่เป็นเครื่องหมายของพระพุทธองค์ออกวางเร่ขายตามริมถนน บรรดาศิษย์ของพระพุทธองค์ก็นั่งปลุกพระเครื่องกันจนหัวสั่นหัวคลอนล้วนแต่นำเอามาแลกเงินตราทั้งนั้น
หลักธรรมอันแท้จริงที่ช่วยชีวิตมิให้ตกต่ำอยู่ตรงไหนหารู้ไม่ เพราะฉะนั้นศาสนิกชนจึงไม่มีความศรัทธาจริงใจ ยิ่งเห็นพฤติกรรมภิกษุบางรูปยิ่งเสื่อมศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา จึงตรงตามที่พระพุทธอนุชา พระอานนท์ ได้เคยทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้านิมิตเห็นสิงโตใหญ่มีหนอนชอนไชออกมาแล้วล้มลงไปต่อหน่าต่อตา มีความหมายเป็นเช่นไร" "พระอานนท์ กาลต่อไปเบื้องหน้าศาสนาของตถาคตจักถึงแก่กานเสื่อมสูญเพราะสาวกเป็นเหตุ ช่วยกันทำลายและละเลยปฏิบัติหลักสัจธรรม" พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์
ความโลภเข้าครอบงำบรรดาพุทธศาสนิกชน บรบัษสี่ต่างจึงร่วมมือกันทำลายพระพุทธศาสนาด้วยตนเองอย่างหน้าเศร้าใจเป็นที่สุด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวสัจธรรมอันชี้ให้เห็นความเป็นสัจจะที่ตรงแท้ เช่นเดียวกับพระพุทธวจนะว่า "เราขอปฏิญาณที่จะเข้าให้ถึงพุทธภาวะอันสูงสุดนั้น อาตมาปรารถนาที่จะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นชัดว่า เมื่อเราสามารถน้อมจิตของเราไปตามทางแห่งธรรมะอันแท้ และถูกต้องตรงในทุกโอกาสและเมื่อปัญญาแจ่มแจ้งอยู่ในใจของเราไม่ขาดสาย จนกระทั่ง เราสามารถตีตัวออกห่างเสียได้ทั้งจากความรู้แจ้งและความไม่รู้ ไม่ข้องแวะด้วยกับทั้งความจริงและความเท็จ เมื่อนั้นแหละ เราอาจจะถือว่าตัวเราได้รู้แจ่มชัดแล้วในธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ หรืออีกนัยหนึ่งได้ลุถึงแล้ว ซึ่งพุทธภาวะ
ภาวะพุทธะอันสูงสุดตามที่พระธรรมาจารย์กล่าวนั้นย่อมไม่อาจเอาบัญญัติใดในโลกนี้มาเปรียบเทียบได้ แต่ภาวะเช่นนั้นน่าจะได้รับรสสัมผัสได้ด้วยตนเองมากกว่าการบอกเล่า เพราะเป็นภาวะแห่ง นิรรูปคือปราศจากรูปลักษณ์ใด ๆ
ความเป็นพระพุทธะจึงมิได้ติดอยู่กับรูป แต่เพราะความไม่เข้าใจของศาสนิก จึงเพ่งแต่รูปลักษณ์แห่งการเป็นพระพุทธะเท่านั้น เมื่อเกิดรูปขึ้นมาจึงมีการเสื่อมสูญเป็นอนิจจะลักษณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พระพุทธศาสนา จึงมิใช่ธรรมะ แต่เป็นเพียงเครื่องมือของ "ธรรมะ" เท่านั้น แต่บัดนี้สาวกทั้งปวงก็ได้ใช้เป็นเครื่องมือเผยแผ่ "ธรรมะ" กลับใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาลาภผลให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
"พระภิกษุผู้นุ่งเหลืองห่มเหลืองจัดเป็นพระหรือไม่" "ถ้าเช่นนั้นมหาโจรแต่งชุดเหลืองก็เป็นพระได้แนะซิ" "พระอยู่ที่ไหน" ""พระมิได้อยู่ที่การแต่งเครื่องแบบใด ๆ แต่อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติตรงต่อหลักวินัยของพระพุทธองค์" ถ้าไม่พิจารณาให้ชัดเจนถึง ภาวะความเป็นพระ ว่าอยู่ที่ "รูป " หรือ "นาม" การเข้าถึงภาวะแห่งความเป็นพระพุทธะย่อมไม่อาจทำความเข้าใจกันได้ พระพุทธองค์ตรัสถึงความเป็น บิดา มารดา ว่าคือพระอรหันต์ของลูก พิจารณาจากความเอื้ออาทร ความรัก หวงแหน เป็นห่วง ที่พ่อแม่มีต่อลูกนั้นกระทำไปด้วยความเมตตาสูงสุดโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ความรักและความเมตตาของพ่อแม่ ไม่อาจหารูปธรรมใด ๆ มาวัดหรือกำหนดได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นภาวะแห่งธรรมะอันแท้จริง
ถ้าสาธุชนทั้งปวงนำความหมายแห่งความเป็นพระอรหันต์ของพ่แม่ไปปฏิบัติแทนการไปกราบไหว้เกจิอาจารย์ทั้งปวง สภาวะแห่งจิตใจของผู้คนย่อมจะงดงามเจริญยิ่งขึ้น เพราะความเมตตาของพ่อแม่ ย่อมเป็นพลานุภาพอันยิ่งใหญ่หาขอบเขตมิได้ พ่อ แม่ ไม่เคยตั้งเงื่อนไขว่า ลูกต้องเป็นคนดี ถึงจะมีความรักและเมตตาให้ แม้ลูกชั่ว แม่ก็ยังคงรักปักใจ ภาวะเช่นนี้แหละจึงเทียบเคียงได้กับ พุทธภาวะ
เมื่อสภาพจิตใจของใครก็ตามที่กว้างใหญ่ไพศาลเยี่ยงเดียวกับฟ้าดิน เขาย่อมรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถจำแนกแยกแยะความถูกผิดได้ชัดเจน ถ้าจิตใจติดอยู่แต่ความดี ก็ยังรังเกียจความชั่ว ถ้าติดอยู่กับความชั่วก็รังเกียจความดีใครสามารถพ้นไปจากสองสภาวะนี้ได้เข้าย่อมได้ถึงพุทธะภาวะอันแท้จริง
-
ผู้มีปัญญาอันด้อยและโง่เขลาล้วนพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก "ธรรมญาณ" ว่าเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ การแสวงหาหนทางจากภายนอก จึงเป็นความทุกข์ซึ่งหลายครั้งแฝงอยู่ในรูปของความสุข จึงทำให้คนเหล่านั้นไม่รู้ว่ากำลัง "อุ้มทุกข์" เข้าเต็มเปา ครั้งหนึ่งมีหญิงวัยกลางคนขณะเข้าพิธีเปิด "ประตูศักดิ์สิทธิ์" ของตนเองนั้นพลันก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความปลื้มปรีติ และประกาศศรัทธาอันยิ่งใหญ่ว่า "ฉันจะกินเจตลอดชีวิต" ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญต่างอนุโมทนาด้วยความยินดีในกุศลจิตของเธอ ยิ่งกว่านั้นทุกครั้งที่พุทธสถานเปิดการบรรยายหลักสัจธรรม เธอผู้นี้ก็เข้าร่วมโดยไม่ยอมขาดเลยสักครั้งเดียว แต่พอระยะเวลาผ่านพ้นไปได้เพียงสามเดือนเท่านั้น การมาที่พุทธสถานของเธอก็เปลี่ยนไป กลายเป็นทอดระยะเวลามาเดือนละสองครั้งและเดือนละหนึ่งครั้ง และทุกครั้งที่มาเข้าร่วมฟังธรรมที่พุทธสถานมีอาการผิดปกติไปจากผู้ร่วมฟังอื่น ๆ ตรงที่ดวงตาของเธอจับอยู่ที่พระแท่นของพระพุทธรูปเท่านั้น เธอมิได้มองดูผู้บรรยายเลย "ยังกินเจอยู่หรือเปล่า" ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่งถามเธอ "โฮ้ย เลิกกินนานแล้ว" "อ้าว แล้วทำไมไม่มาสถานธรรมเหมือนเมื่อก่อนล่ะ" "ก็ มันไม่เหมือนวันแรกเลย วันนั้นขณะที่กำลังกราบพระฉันได้เห็นพระโพธิสัตว์กวนอิม และพระพุทธจี้กงเสด็จลงมา สวยจริง ๆ แต่จากวันนั้นมากี่ครั้งก็ไม่เห็นอีกเลยแล้วจะมาทำไมกัน" คำตอบของเธอผู้นี้ชัดเจนถึงศรัทธาที่เกิดขึ้นนั้นยึดเอาไว้แต่ภายนอก เมื่อสิ่งที่เห็นมิได้เห็น สิ่งที่เคยได้กลับมิได้ ศรัทธานั้นก็ล้มลงไปได้อย่างง่ายดาย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้อธิบายให้เห็นสัจธรรมของสรณะเอาไว้ว่า "เราควรจะสำเหนียกอยู่ในใจให้ได้เสมอไปว่าเรากำลังไต่ไปอยู่เรื่อย ๆ ตามทางแห่งมรรคปฏิปทาเพราะว่าการทำในใจเช่นนั้นย่อมเพิ่มกำลังให้ปฏิญาณของเรา บัดนี้เนื่องจากเราได้ตั้งปฏิญาณรวบยอด 4 ประการเหล่านี้แล้ว อาตมาจะได้แสดงแก่ท่านทั้งหลาย ถึง สรณะ มีองค์สามประการอันไม่เกี่ยวกับรูปธรรม สืบไป"
การถอนสิ่งเลวร้ายอันเป็นกิเลสในใจของเรานั้นหากไม่กระทำที่ใจไปกระทำนอกใจตนเองก็ไม่อาจถอนรากถอนโคนของความชั่วได้เลยเพราะความชั่วมันถือกำเนิดเกิดขึ้นที่ใจของเรามิใช่หรือ บรรดาคนโง่เขลาทั้งปวงจึงเที่ยววิ่งหาสิ่งศักดิสิทธิ์นอกตัว แม้ไปพบขอนไม้ ก้อนหิน บ่อน้ำ สัตว์เดรัจฉานที่แปลกประหลาดก็ยึดถือเอาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่พึ่งของตนเอง คนเหล่านี้จึงไม่อาจถอนรากถอนโคนความชั่วร้ายในใจของเขาได้เลย
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ชี้แจงให้เห็นเป็นสัจธรรมว่า "เราถือเอา "การรู้แจ้ง" ว่าเป็นเครื่องนำทางของเรา เพราะนั่นแหละเป็นสุดยอดทั้งของบุญและปัญญา เราถือเอา" ความถูกต้องทางธรรมแท้" ว่าเป็นเครื่องนำทางของเราเพราะว่านั่นแหละ คือหนทางที่ดีที่สุดของการรื้อถอนตัณหา เราถือเอา "ความ
บริสุทธิ์" ว่าเป็นเครื่องนำทางของเราเพราะว่านั่นแหละ คือคุณชาติอันประเสริฐที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์
ความหมายของวจนะนี้น่าจะอธิบายได้ว่าการรู้แจ้งหรือการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เมื่อกลางวันเพ็ญเดือนหก พระองค์รู้แจ้งแทงตลอดภายใน "ธรรมญาณ"ของพระองค์ มิได้รู้แจ้งจากถภายนอกเลยเพราะฉะนั้นการเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธองค์จึงมิได้อยู่ที่การกราบไหว้พระพุทธรูปแล้วพร่ำรำพันขอ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่จงใช้ปัญญาตนเองพิจารณาให้เห็นสัจธรรมภายในตนเองได้ ใคร่ที่รู้แจ้งในความดีและชั่วของตนเองจึงเกิดประโยชน์ด้วยการถอนมันทิ้งไปเสียด้วยปัญญาของตนเอง
การรู้ความดีและความชั่วของคนอื่นมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย นอกจากก่อให้เกิดทุกข์สถานเดียว เมื่อถอนอาการติดยึดในความดีและชั่วออกจาก "ธรรมญาณ"ของตนเองได้แล้วย่อมเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง สภาวะเช่นนี้แหละจึงเป็นปัญญาอันยิ่งใหญ่และสามารถรู้แจ้งในสรรพสิ่งได้
ส่วน "ความถูกต้องทางธรรมแท้" ก็มิได้มาจากคำอธิบายของผู้ใด ธรรมะอันแท้จริงอยู่ภายใน "ธรรมญาณ" ของเราเอง นอกจากนี้ไม่มีธรรมะอื่นใดที่จะช่วยเราได้เลย เมื่อรู้ธรรมะในตัวเองย่อมรื้อถอนตัณหาได้ แต่ยังไม่หมดจด เมื่อใดที่เป็นธรรมในตัวเอง เมื่อนั้นตัณหาทั้งปวงก็หมดสิ้น
" ความบริสุทธิ์" ที่ทำให้มีโอกาสเกิดตายเป็นมนุษย์นั้นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ สภาวะแห่งจิตที่เต็มไปด้วย ศีลห้า ใครกระทำได้ดั่งนี้จึงจัดได้ว่า มีสรณะหรือที่พึ่งของตนเองอันแท้จริงและเขาไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนขอร้องจากใคร แม้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงก็ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยยากด้วย
-
การนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระรัตนตรัยของพุทธศาสนิกชนยังมีความเข้าใจผิดและปฏิบัติไม่ตรงตามพุทธประสงค์เพราะศาสนิกเหล่านี้ติดอยู่ในรูปปั้น เครื่องแบบมากกว่าหัวใจแห่งคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ศาสนิกเหล่านี้จึงผันตัวเองเข้าไปสู่ยุคมืดบอดทางปัญญาเหมือนเมื่อสมัยพันสี่ร้อยกว่าปีก่อน บรรดาชนชาวตะวันออกกลางต่างเคารพบูชารูปปั้นของเทพเจ้าต่าง ๆ และน่าสังเวชใจแม้สัตว์เดรัจฉานก้ได้รับยกย่องเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมนุษย์พากันกราบกรานอ้อนวอนขอความสุขสวัสดีพ้นไปจากบาปเวรทั้งปวง
พระเยซูคริสต์ ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ และ พระนบี มูหะหมัด ศาสดาแห่งศาสนาอิสลามทรงทำลายรูปปั้นเคารพ ณ เมืองเมกกะเสียหมดสิ้นและบัญญัติห้ามการบูชารูปปั้นทั้งปวง และกลายมาเป็นบัญญัติห้ามการเคารพบูชารูปปั้น จนถึงทุกวันนี้ แม้ในพระพุทธศาสนาเองพระบรมศาสดาก็มิได้ส่งเสริมหรือบัญญัติให้ศาสนิกเคารพบูชารูปปั้นเลยโดยเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ใกล้เสด็จดับขันธ์ ปรินิพพาน พระอานนท์ทูลถามว่าจักมอบให้ผู้ใดเป็นศาสดาปกครองดูแลคณะสงฆ์ต่อไป พระพุทธองค์ตรัสว่า "จงนับถือพระธรรมเป็นศาสดา" ความหมายอันชัดเจนของพุทธวจนะนี้ย่อมชี้ให้เห็นถึงสัจธรรม ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรมย่อมเห็นตถาคต ธรรมะในตัวเองจึงเป็นศาสดาที่แท้จริง
ส่วนพระพุทธรูปเป็นเครื่องหมายรำลึกถึงปฏิปทา พระมหาเมตตา ของพระพุทธองค์เท่านั้น มิได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์หรือชี้ทางแห่งการพ้นทุกข์ให้แก่ใครได้เลย พระธรรมคำสอนทั้งปวงที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้วก้ไม่อาจนำพาใครให้พ้นทุกข์ไปได้หากผู้นั้นมิได้ปฏิบัติให้ถึงธรรมะแท้ในตัวเอง
พระสงฆ์ ก็คือการบำเพ็ญปฏิบัติให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ทั้งปวงด้วยตัวเอง พุทธประสงค์ที่แท้จริงจึงอยู่ที่ธรรมะของตนเองมิได้อยู่ที่รูปปั้นเคารพใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สาธุชนทั้งปวงมิได้เข้าใจถึงความข้อนี้เราจึงพากันหลงใหลอยู่แต่รูปลักษณ์ภายนอก และในที่สุดก็เสื่อมทรามทางศรัทธาจึงเกิดขึ้น เพราะเมื่อมีรูปลักษณ์ปรากฏขึ้นแล้ว รูปนั้นย่องตกอยู่ในกฏของความไม่เที่ยง อาจารย์ที่ยังเป็นคนอยู่นั้นย่อมล้มลงกลางทางได้ พระพุทธรูปย่อมแตกพังลงไปได้ แต่สัจธรรมในตัวเองไม่มีวันเสื่อมสูญ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "ต่อไปนี้จงถือเอาท่านที่ตรัสรู้แล้วเป็นครูของเราในทุกกรณี เราไม่ควรรับเอาพญามารหรือมิจฉาทิฎฐิบุคคลอื่นใดว่าเป็นผู้นำของเรา ข้อนี้เราอาจน้อมนำเข้ามาสู่ใจเราได้ โดยน้อมรำลึกถึงอยู่เนืองนิจ ใน "รัตนทั้งสาม" ซึ่งมีอยู่ใน "ธรรมญาณ" ของเราซึ่งอาตมาขอแนะนำให้ท่านทั้งหลายถือเอาเป็นที่พึ่ง รัตนะเหล่านั้นคือ
พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความรู้แจ้ง
พระธรรม ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความถูกต้องตามธรรมแท้
พระสงฆ์ ซึ่งเป็นตัวแทนของ ความบริสุทธิ์
ความหมายแห่งพระวจนะนี้ย่อมเล็งเอา ความรู้แจ้ง ของตนเองเป็นนัยสำคัญอันหมายถึง รู้แจ้งในความทุกข์และสุขภายใน ธรรมญาณของตนเองเท่านั้น แม้พระธรรมก็ยังหมายการสำรวจวาจาของตนเองให้ถูกต้องตรงตามสัจธรรมอันรู้แจ้งจากธรรมญาณของตนเอง หรือพระสงฆ์คือการปฏิบัติด้วยตนเองให้ถึงซึ่งความบริสุทธิ์ จิต กาย วาจา ของเราเองจึงควรกระทำภายในของตัวเรามากกว่าที่จะไปค้นหากระทำภายนอก
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงให้คำอธิบายเอาไว้ดังนี้ "การน้อมใจของเราให้ถือเอาความรู้แจ้งเป็นที่พึ่งได้ จนถึงกับความรู้สึกที่ชั่วร้ายและผิดธรรมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ตัณหาห่างจากไป ความตึงเครียดไม่ปรากฏ ราคะและโลภะไม่เร่งรัดอีกต่อไป นั่นแหละคือยอดสุดทั้งบุญและปัญญา การน้อมใจของเราให้ถือเอาความถูกต้องตามธรรมแท้เป็นที่พึ่งได้ จนถึงกับเราเป็นอิสระอยู่เสมอจากความเห็นผิดนั่นแหละคือหนทางอันประเสริฐที่จะถอนเสียได้ถึงตัณหา
การน้อมใจของเราให้ถือเอาความบริสุทธิ์เป็นที่พึ่งได้จนถึงกับว่าสถานการณือันใดจะเข้ามาแวดล้อมใจ ก็ไม่ทำให้เปื้อนด้วยวัตถุกามารมณ์อันน่าขยะแขยง ด้วยความทะเยอทะยานและตัณหานั่นแหละคือคุณชาติอันประเสริฐสุดของการได้เิกิดมาเป็นคน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ขยายความให้ชัดเจนอีกว่า "การปฏิบัติใน สรณะอันมีองค์สาม ตามวิธีที่กล่าวมาแล้วย่อมหมายถึงการกระทำที่พึ่งในตัวของตัวเอง พวกเขาเขลาพากันถือสรณะอันมีองค์สามทั้งกลางวันและกลางคืนแต่เขาหาเข้าใจสิ่งนีไม่ ถ้าเขากล่าวว่าเขาถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้า เขาทราบหรือว่าพระพุทะเจ้าอยู่ที่ไหนถ้าเขาไม่สามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้และเขาจะถือพระองค์เป็นที่พึ่งได้อย่างไร การที่ยืนยันเช่นนี้มิกลายเป็นเท็จไปหรือ
ท่านทั้งหลายแต่ละคนควรพิจารณาและสอบสวนข้อเท็จจริงในแง่นี้ให้แจ้งชัดเพื่อตัวท่านเองและอย่าปล่อยให้กำลังกายและกำลังความคิดของท่านถูกใช้ไปผิดทาง ในวัชรสูตรได้กล่าวเอาไว้ชัดแล้วว่า เราควรจะถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้าภายในตัวเราเอง ไม่ได้กล่าวสอนเอาเลยว่าให้ถือพระพุทธเจ้าอื่น ๆ นอกจากนี้เป็นที่พึ่ง ยิ่งกว่านั้นถ้าหากว่าเราไม่ถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้าภายในตัวเองแล้วก้ไม่มีที่อื่นใดอีกที่จะถือเอาเป็นที่พึ่งที่ต้านทานแก่เราได้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยืนหยัดตรงตามพระพุมธวจนะว่า "เมื่อพิจารณาเห็นความจริงในข้อนี้กระจ่างแล้วเราทั้งหลายในแต่ละคนจงถือเอาที่พึ่งใน "รัตนทั้งสาม"ภายในตัวเราเองเถิดในภายในเราต้องบังคับใจเราเองภายนอกเรานอบน้อมต่อผู้อื่นนี่แหละคือวิถีทางแห่งการถือที่พึ่งภายในตัวเราเอง
พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า "ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน" ใครที่คิดพึ่งสิ่งอื่นนอกจากรัตนภายในแล้วย่อมถือว่าเป็นผุ้ไร้ที่พึ่งอย่างแท้จริง
-
ตามปกติของมนุษย์คนหนึ่งมีอยู่สามกาย ซึ่งตามความเชื่อถือที่ยึดถือกันมาก็แบ่งเป็นดังนี้ กายหยาบที่เห็นเป็นเนื้อหนังมังสา กายละเอียดมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อธรรมดา เพราะเป็นกายทิพย์ และกายธรรม หรือ ที่เรียกกันว่า ธรรมกาย ตาทั้งสองประเภทนั้นย่อมมองไม่เห็นเป็นแน่นอน แต่เพราะความเข้าใจผิดและหลงผิด ผู้ปฏิบัติบางคนบางกลุ่มจึงไปกำหนดมั่นหมายรูปลักษณ์ของ "ธรรมกาย" ว่าสว่างใสเช่นเดียวกับพระพุทธรูปแก้ว พอนั่งสมาธิจิตนิ่งมองเห็นเป็นพระพุทธรูปแก้วใสสว่างไสวจึงปลื้มปรีติและเหมาเอาว่าตนเองถึงซึ่ง "ธรรมกาย" พอดีพอร้ายเข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรมสำเร็จเป็นอรหันต์ไปเลยก็มี
ความหมายแห่ง "ตรีกาย" ที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงท่านกล่าวเอาไว้ในพระสูตรของท่านนั้นน่าสนใจว่า "อาตมาจะได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายถึงเรื่อง "ตรีกายของพระพุทธเจ้าแห่งธรรมญาณสืบไป เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะสามารถเห็นกายทั้งสามนี้แล้วจะเห็นแจ้งในธรรมญาณอย่างชัดเจนด้วย" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวนำให้สาธุชนได้ท่องตามมีความว่า "ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอถือที่พึ่งในธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอที่พึ่งในสัมโภคกายอันสมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า ด้วยกายเนื้อของเรานี้ เราขอถือที่พึ่งในนิรมานกายอันมากมายตั้งหมื่นแสนของพระพุทธเจ้า"
ผู้ที่ศึกษาพระสูตรของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้ให้ความหมายของกายทั้งสามนี้ว่า ธรรมกายคือกายแก่น สัมโภคกายคืือกายแสดงออก นิรมานกายคือกายเปลี่ยนรูปต่าง ๆ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายเกี่ยวกับกายทั้งสามนี้ว่า "กายเนื้อของเรานี้อาจเปรียบได้กับโรงพักแรมชั่วคราว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถยึดเอาเป็นที่พึ่งได้ แต่ภายใน ธรรมญาณของเราเราอาจหาพบกายทั้งสามนี้และเป็นของสามัญสำหรับทุกคน แต่เนื่องมาจากใจของคนสามัญทำกิจอยู่ด้วยความรู้ผิดเขาจึงไม่รู้ถึงธรรมชาติแท้ในภายในกายของเขา ผลจึงทำให้เขาไม่รู้จักตรีกายภายในตัวของเขาเองแต่กลับเชื่ออย่างผิด ๆ ว่าจรีกายนั้นเป็นสิ่งที่ต้องแสวงหาจากภายนอก ท่านจงตั้งใจฟังเถิด อาตมาจะแสดงให้ท่านเห็นว่าในตัวท่านเองท่านจะหาพบตรีกายเป็นปรากฏการณ์อันแสดงออกของธรรมญาณอันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาพบได้จากภายนอก
ความหมายแห่งคำว่า "ภายนอก" และ "ภายใน" ของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงนั้นมิได้มีความหมายแต่เพียงสิ่งที่อยู่นอกตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ภายในมีความหมายว่า เป็นภายในธรรมญาณ ส่วนที่เกิดขึ้นนอกจากธรรมญาณแล้วย่อมถือเป็นภายนอกทั้งสิ้น อย่างเช่น เรานั่งสมาธิจนเห็นดวงแก้วลอยอยู่กึ่งกลางกายของเราก็ย่อมถือว่าเป็น "ของภายนอก" ทั้งสิ้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายว่า "ในที่นี้อะไรเล่าได้ชื่อว่า ธรรมกายอันบริสุทธิ์ ธรรมญาณ ของเราเป็นของบริสุทธิ์จริงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงอาการแสดงออกของ จิต กรรมดีกรรมชั่วเป็นเพียงผลของความคิดดีและคิดชั่วตามลำดับ ฉะนั้นภายใน ธรรมญาณ ทุกสิ่งย่อมบริสุทธิ์จริงแท้เหมือนกับสีของท้องฟ้ากับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งเมื่อเมฆผ่านมาบังความแจ่มนั้นนั้นดูประหนึ่งว่าถูกทำให้มัวไป แต่เมื่อเมฆผ่านไปแล้ว ความแจ่มกลับปรากฏอีกและสิ่งต่าง ๆ ก็ได้รับแสงที่ส่องมาเต็มที่อย่างเดิม
ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จิตชั่วของเราเปรียบเหมือนกับเมฆ ความรู้แจ้งแทงตลอดและปัญญาของเราเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตามลำดับ เมื่อเราพัวพันอยู่กับอารมณ์ภายนอก ธรรมญาณของเราก็ถูกบดบังไว้ด้วยความรู้สึกที่ติดรสของอารมณ์ซึ่งย่อมจะปิดกั้นความรู้แจ้งแทงตลอดและปัญญาของเราไว้ มิให้ส่องแสงออกมาภายนอกได้ แต่เผอิญเป็นโชคดีแก่เราที่ได้พบกับครูผู้รอบรู้และอารี ที่ได้นำธรรมะอันถูกต้องตามธรรมะให้เราทราบ เราจึงสามารถกำจัดอวิชชาและความรู้ผิดเสียได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา จนถึงกับเราเป็นผู้รู้แจ้งสว่างไสวทั้งภายในและภายนอก และธรรมชาติแท้ของสิ่งทั้งปวง ปรากฏตัวมันอยู่เองในธรรมญาณของเรา นี่แหละคือสิ่งที่บังเกิดขึ้นกับบุคคลผู้ได้เผชิญหน้ากับธรรมญาณ และนี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมกายอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
ความหมายอันแท้จริงของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงมาทั้งหมดนั้นมิได้บอกให้เรารู้เลยว่า ธรรมกาย นั้นจักต้องมีรูปลักษณ์อย่างไรเพราะธรรมกายอันแท้จริงย่อมปราศจากรูปลักษณ์ทั้งปวง ตราบใดที่เป็นรูปไม่ว่าจะเป็น นามรูป หรือ วัตถุรูป ล้วนมิใช่ ธรรมกาย อันแท้จริง เพราะเมื่อเกิดรูปใด ๆ ขึ้นมาภายใน ธรรมญาณของเขาย่อมปราศจาก ธรรมะ เพราะกลายไปยึดถือในสิ่งที่ดีงามตามอารมณ์ของตนเองที่สร้างขึ้นมา ผู้ที่ติดอยู่ในรูปลักษณ์จึงมิอาจพบ ธรรมะ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วการมองเห็นตัวเองเปลี่ยนไปในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ก็ยังไม่พ้นไปจากการเวียนดี - เวียนชั่ว นั่นเอง
-
ความเป็นพระพุทธะกับปุถุชนเปรียบได้ดั่งฝ่ามือ ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างหน้ามือกับหลังมือ แต่ยังคงเป็นฝ่ามือเดียวกัน เพราะฉะนั้นมหาโจรกับโจรจึงอาจเป็นพระพุทธะได้ดังเรื่องราวของ องคุลีมาล เป็นต้น ประวัติพระิอรหันต์องค์นี้น่าเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นความเป็นจริงได้ว่า "พุทธภาวะ" มีเหมือนกันหมดทุกคนไม่ว่าผู้นั้นกำลังประพฤติปฏิบัติตนเช่นไร เขาใช้ฝ่ามือด้านไหนออกมาปฏิบัติ
เมื่อครั้งที่อหิงสกะ บุตรของปุโรหิตถูกอาจารย์ทิศาปาโมกข์หลอกลวงให้ฆ่าผู้คนด้วยหวังให้ถูกคนอื่นฆ่าเสียนั้น ความเป็นพระพุทธะกำลังถูกความโลภเข้าครอบงำและกลายเป็นโทสะจริตไปโดยไม่รู้ตัว แต่ครั้นพระพุทธองค์ทรงเตือนสติด้วยพุทธภาษิตว่า "เราหยุดแล้ว แต่ท่านสิยังไม่หยุด" องคุลีมาลเกิดความฉงนใจจึงถามกลับไปว่า "ท่านยังเดินอยู่ไฉนจึงบอกว่าหยุด" "ในมือเราปราศจากศาสตราวุธมิได้เบียดเบียนชีวิตของผู้ใดแต่ท่านสิยังคงกำศาสตราวุธเบียดเบียนชีวิต เราจึงได้ชื่อว่าหยุด แต่ท่านสิยังไม่หยุด"
พระพุทธะแห่งตนจึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง เพราะจิตสำนึกรู้ว่าตนเองกำลังปฏิบัติกิจเช่นไร มีความคิดอย่างไร ในขณะจิตที่รู้แจ้งในความดี ความชั่วแห่งธรรมญาณของตนแล้ว ในขณะนั้นก็จัดว่าเป็นผู้รู้แจ้งแท้จริงคนหนึ่งเยี่ยงเดียวกับพระพุทธะทั้งปวง ส่วนผู้ที่สู่รู้เรื่องราวของคนอื่นมากมาย ยกเว้นเรื่องเดียวที่ตนเองไม่รู้คือพุทธะในตนเอง จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "ความรู้ท่วมหัว" หาเิกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ตนมิได้เลย และเป็นที่พึ่งของตนเองไม่ได้ในทุกสถาน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อรรถาธิบายให้รู้ถึงที่พึ่งอันแท้จริงว่า "การถือที่พึ่งในพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นก็คือการถือที่พึ่งในธรรมธรรมญาณของเราเอง ผู้ที่ถือที่พึ่งเช่นนี้ย่อมจะพรากสิ่งต่อไปนี้ออกไปจากธรรมญาณของตนคือ จิตชั่วต่ำ จิตริษยา จิตสอพลอ คด ๆ งอ ๆ ความยึดถือตัว ความคดโกงมดเท็จ ความดูถูกดูแคลน ความโอหัง ความเห็นผิดความเย่อหยิ่งจองหองและความต่ำทราม อื่น ๆ อันจะมิเกิดขึ้นในจิตไม่ว่าในเวลาใด ๆ
การถือที่พึ่งในตัวเราเองนั้น คือการระวังระไวอยู่ตลอดเวลาในการที่จะไม่ทำชั่วทำผิด และงดจากการวิพากษืวิจารณ์ความดีหรือความผิดของบุคคลอื่นความหมายที่พระธรรมาจารย์กล่าวไว้แม้ล่วงเลยมานานนับเป็นพันปีก็มีความทันสมัยอยู่เสมอ เพราะบัดนี้ผู้คนแม้ปากจะพร่ำบ่นพระพุทธมนต์หรือศึกษาพระสูตรต่าง ๆ แต่หันกลับไปหาที่พึ่งอย่างอื่นที่นอกตัวเอง คนที่พึ่งสิ่งอื่นนอกจากตนเองย่อมมีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับผู้ที่มีที่พึ่งเป็นธรรมญาณของตน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่นับถือพระเครื่องหรือเครื่องลางของคลัง พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ คนเหล่านี้จะยโสโอหัง มีความคิดดูถูกดูแคลนผู้อื่นและเขาสามารถคดโกงหลอกลวงมดเท็จผู้คนได้ โดยมิได้คำนึงถึงผิดบาปใด ๆ เลย ในวงการพระเครื่องดูเหมือนมีเรื่องราวอื้อฉาวเหล่านี้อยู่ครบถ้วนและบริบูรณ์จนไม่ต้องจารนัยอิทธิปาฏิหาริย์ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงให้ผู้คนหลงทางไปจากการพึ่งพาพระพุทธะในตนเองเสียสิ้น แม้ผู้ที่อ้างตนเองเป็นพระพุทธบุตรของพระพุทธองค์ก็ยังอุตสา่ห์นั่งปลุกเสกและโฆษณาขายกันอย่างมโหฬาร วงเงินเดินสะพัดเป็นหมื่น ๆ ล้านบาทยิ่งทำให้ผู้คนมัวเมาและหลงทางเข้าสู่อบายภูมิมากมาย มีคำกล่าวล้อเลียนพระเครื่องในวงการนี้ว่า "ถ้าพระราคาถูกย่อมคุ้มครองคนแขวน แต่ถ้าพระราคาแพงคนแขวนต้องคุ้มครองพระ" ผู้ที่แขวนพระเครื่องราคาแพงๆ มักจะถูกยิงดับชีพและคนยิงก็ปล้นเอาพระในคอไปขายต่อ แต่คนที่ยังหลงงมงายว่าพระเครื่องเหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้ที่ยึดถือพระพุทธะของตนเองเป็นที่พึ่งพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอในทุกโอกาส มีอัธยาศัยสุภาพต่อคนทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ได้เห็นธรรมญาณของเขาอย่างทั่วถึงแล้ว ทั่วถึงจริง ๆ จนถึงกับทางข้างหน้าของเขาจะปราศจากอุปสรรคทุกประการนี่แหละคือวิถีทางที่จะทำที่พึ่งในตนเอง"
คนเหล่านี้ล้วนแต่ยอมรับว่าคนอื่นก็มี พุทธะ เช่นเดียวกับตนจึงปราศจากความอวดดีเย่อหยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่โจรกลับใจแล้วเห็นธรรมกาย เขาก็ย่อมอ่อนน้อมถ่อมตนต่อชนทั้งปวง เหมือนเมื่อครั้งองคุลีมาล ถูกชาวบ้านไล่ทุบตีนั่นแล
-
ผู้ปฏิบัติธรรมที่เพ่งเล็งอยากเห็นกายทิพย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่คิดผิดเพราะเห็นกายทิพย์แล้วมิได้เกิดประโยชน์อย่างไรต่อการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมแต่ถ้าหลงใหลไปกับกายทิพย์อาจพ้นไปจากเส้นทางบำเพ็ญได้ หรือบำเพ็ญผิดหนทางได้ง่าย เพราะกายทิพย์ก็ยังคงอยู่ในลักษณะแห่งอนิจจังคือ ไม่คงที่แน่นอนเช่นกัน หากยึดติดย่อมไม่เห็น "ธรรมญาณ" แห่งตน บางคนปฏิบัติธรรมเห็นกายทิพย์ของตนเองเกิดอาการหลงใหลได้ปลื้มและคิดว่าตนเองนั้นสำเร็จมรรคผลแล้วมีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวงและตั้งตนเป็นอาจารย์ ชี้หนทางหลงให้แก่ผู้หลงทั้งปวงสืบไป กลายเป็นอวิชชาไปโดยไม่รู้ตัว
พระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงกล่าวถึงสัมโภคกายว่า "อะไรเล่า ชื่อว่าสัมโภคกายอันสมบูรณ์ ในที่นี้ขอให้เรานึกถึงตะเกียงเป็นภาพเปรียบ แม้แต่แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวก็ยังสามารถทำลายความมืด ที่มืดมานับเป็นพัน ๆ ปีได้ ฉะนั้นประกายแห่งปัญญาย่อมสามารถทำลายอวิชชาที่มืดมาแล้วเป็นยุค ๆ ได้เช่นกันเราไม่ต้องวิตกกังวลถึงอดีต เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ล่วงพ้นมาแล้ว และไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้" ความหมายแห่งอวิชชา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นความไม่รู้นั้นหากพิจารณาแต่เพียงว่าอะไรเกิดขึ้นจากจิตของเราก็ยังไม่รู้ นั่นเป็นเพียงอวิชชาในชาตินี้ ความไม่รู้ โลภ โกรธ หลง ในตัวเองจัดเป็นความไม่รู้ เป็นอวิชชาอย่างหนึ่ง "รู้ว่าคนอื่นโลภ โกรธ หลง เป็นอวิชชาหรือไม่" "ย่อมเป็นอวิชชาเช่นกัน เพราะรู้เช่นนี้มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ในการตัด ความโลภ โกรธ หลง ของตนเองเลย" ความไม่รู้ในการเวียนว่าย เกิดในภพภูมิต่าง ๆ เป็นอวิชชา และเป็นเหตุแห่งการเกิดไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง เพราะการไม่วิตกกังวลถึงอดีตทั้งในชาติก่อนและชาตินี้จึงเป็นการละวางอาการติดยึดที่ดีที่สุด เพราะถึงระลึกชาติได้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตชาติของตนได้เลย
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ต้องการความสนใจจากเราคืออนาคต ฉะนั้นจงให้ความคิดของเราเป็นสิ่งที่กระจ่างและกลมกล่อมอยู่ทุกขณะจิตเถิด และให้เห็นอย่างเผชิญหน้าอยู่กับธรรมญาณทุกเมื่อเถิด ความดีกับความชั่วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามต่อกันและกันอยู่ก็จริง แต่ว่าตัวเนื้อแท้ส่วนลึกของมันนั้น ไม่สามารถจะแยกออกเป็นสองฝ่ายธรรมชาติชั้นที่เราไม่สามารถแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายนี่เอง คือตัวธรรมชาติแท้ ซึ่งไม่สามารถถูกทำให้แปดเปื้อนด้วยความชั่ว หรือวิปริตเป็นไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ด้วยอำนาจของความดีนี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าสัมโภคกายของพระพุทะเจ้า
ธรรมญาณ เปรียบเสมือนหนึ่งน้ำนิ่ง ความดี และ ความชั่ว ที่ผลิตออกมาจาก ธรรมญาณ เป็นเสมือนหนึ่งอาการเคลื่อนไหวของน้ำ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าดี หรือ ชั่ว ล้วนออกมาจากรากเหง้าเดียวกัน อาการสั่นไหวของน้ำย่อมไม่เป็นไปชั่วนิรันดร์ฉันใด ความดี และ ความชั่วที่ออกมาจาก ธรรมญาณ ก็มิได้คงที่ฉันนั้น มันแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แล้วแต่เหตุปัจจัยใดมาปรุงแต่ง
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงสัมโภคกายว่า "ความคิดชั่วร้ายเพียงดวงเดียวจาก ธรรมญาณ ของเราอาจทำลายความดีที่เราสร้างสม อบรมมานานนับเป็นสมัย ๆ ให้เสื่อมเสียไปหมดได้ทำนองเดียวกัน กับความคิดอันดีงามจากธรรมญาณนั่นอีกเหมือนกันอาจชำระชะล้างบาปอกุศลของเรา ซึ่งแม้จะมากมายเหมือนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้ดุจกัน การเห็นประจักษ์ชัดต่อ ธรรมญาณของเราเองทุกขณะจิตปราศจากการแทรกแซงจนกระทั่งลุถึงตรัสรู้ขั้นสูงสุด ถึงกับอยู่ในภาวะแห่งความเต็มเปี่ยมด้วยความรู้อันถูกต้อง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั่นแหละคือ "สัมโภคกาย"
กายทิพย์ของพระพุทะเจ้าที่เรียกกันว่า สัมโภคกาย นั่นมีความหมายสูงกว่ากายทิพย์ธรรมดาที่ละเอียดจนตาเนื้อมิอาจมองเห็นได้ แต่สัมโภคกายของพระพุทธเจ้ามิอาจเห็นได้ด้วยตาทิพย์ แต่เป็นสภาวะแห่ง ธรรมญาณ อันแท้จริงที่คงลักษณะเดิมเอาไว้ โดยมีปัญญาเต็มเปี่ยมที่พร้อมตัดผัสสะทุกประการที่ผ่านเข้ามาในอายตนะทั้งหก อาการของธรรมญาณที่เตรียมพร้อมบริบูรณ์ โดยมิต้องกำหนดหมายเช่นนี้เอง จึงเป็น สัมโภคกาย
โลกีย์ชนเห็นสตรีงามเดินผ่านหน้าไป ย่อมเกิดจิตลามกและฟุ้งซ่าน สมณะผู้บำเพ็ญเห็นหญิงงาม พยายามเพ่งมองให้เห็นเป็นโครงกระดูกเดินผ่านไป ต้องอาศัยญาณปัญญาพิจารณาเจาะผ่านผิวหนังลงไปหาโครงกระดูก บางทีก็สำเร็จบางทีก็เสร็จอิสตรี
ส่วนพระพุทธเจ้าเห็นหญิงงามเดินผ่านมาจิตใจสงบนิ่งมิได้เห็นเป็นอิสตรีงามหรือโครงกระดูก ภาวะแห่งธรรมญาณ เช่นนี้แหละที่ไม่อาจเอาตาทิพย์ที่ไหนไปหยั่งถึงสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าได้เลย
-
ตรีกาย อันหมายถึง กายทั้งสามของพระพุทธเจ้านั้น ธรรมกายและสัมโภคกาย ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยนัยตาเนื้อ แต่นิรมานกายเป็นกายเนื้อที่มองเห็นได้ แต่ที่ทำความเข้าใจกันยากก็อยู่ที่ว่า เหตุไฉนจึงมีมากมายนับด้วยหมื่นแสน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้คำอธิบายว่า "อะไรเล่าได้ชื่อว่า นิรมานกายอันมากมายนับด้วยหมื่นแสน เมื่อใดที่ทำตัวเรา ให้เข้ามาอยู่ในฝักฝ่ายของความรู้จักแบ่งแยกว่าอะไรเป็นฝ่ายไหน และรู้จักระบุออกไปว่า อะไรเป็นสิ่งที่ควรต้องการได้แม้แต่เพียงนิดเดียวเท่านั้น เมื่อครั้นความเปลี่ยนแปลงรูปร่างก็จะเกิดขึ้นถ้าผิดไปจากนี้ สิ่งทุกสิ่งก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนกับอวกาศ ดังเช่นที่มันเป็นอยู่ในตัวมันเองมาแต่เดิม โดยการโอนอิงจิตของเราลงไปบนความชั่วนรกก็เกิดขึ้น โดยการโอนอิงจิตของเราลงไปบนการกระทำความดี สวรรค์ก็ปรากฏ
การกำเนิด รูปธรรม และ นามธรรม แท้ที่จริงล้วนก่อขึ้นมาจากธรรมญาณ ที่ไหวตัวด้วยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งทั้งสิ้น นรก และ สวรรค์ ล้วนถือกำเนิดจากการสร้างของมนุษย์ทั้งมวลด้วยความคิดดีหรือชั่ว ดังคำกล่าวที่ว่า สวรรค์ในอก นรกในใจ เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างนรกจริงและสวรรค์จริง ถ้าตัดเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งธรรมญาณได้ สวรรค์ และ นรก ก็ปราศนาการหาปรากฏไม่ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "มังกรและงูร้าย คือการแปลงร่างมาเกิดของเวรภัยอันมีพิษ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ก็คือ ตัวตนของความเมตตากรุณา จับกลุ่มกันมาเกิด ซึกบนคือ ปัญญาซึ่งจับตัวกันเป็นผนึกส่องแสงจ้าอยู่ ในขณะที่โลกซีกล่างเป็นเพียงอีกรูปหนึ่งของสิ่งที่ก่อรูปมาจากอวิชชาและความมัวเมาการเปลี่ยนรูปแปลงร่างของธรรมญาณช่างมีมากมายเสียจริง ๆ "
พระวจนะตอนนี้น่าพิจารณาถึงเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งให้การเวียนว่ายของธรรมญาณ ที่ได้สร้างกรงขังให้แก่ตนเองแต่ละภพแต่ละชาติแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะแห่งจิตที่สร้างเหตุแห่งกรรมเอาไว้ "ชาตินี้กินหมู ฆ่าหมู แน่นอนชาติต่อไปย่อมได้กรงขังเป็นหมู" มนุษย์ไม่รู้จัก ธรรมญาณ ของตนเองเพราะฉะนั้นการเวียนว่ายจึงสร้างกรงขัง ธรรมญาณ ด้วยรูปลักษณ์แตกต่างกันจนประมาณมิได้ แต่เมื่อ ธรรมญาณ ตกลงมาสู่โลกนี้ย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ดี และ ชั่ว มืด และ สว่าง มีปัญญาและมืดมัว เพราะฉะนั้นผู้ที่คงสภาวะแห่งความเมตตา กรุณา เอาไว้ได้ในทุกกาลเวลาย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ในขณะเดียวกันการหมุนเวียนแห่งวัฏจักรย่อมทำให้เกิดความแปรเปลี่ยนไม่รู้จักจบสิ้น พระโพธิสัตว์จึงมีรูปลักษณ์มากมายจนประมาณมิได้เช่นกันไม่ว่ามนุษย์ หรือ สัตว์ถ้าคงความเมตตากรุณาเอาไว้ได้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "พวกที่ตกอยู่ภายใต้ความหลงก็ไม่มีวันตื่นและไม่มีวันเข้าใจ เขาจึงน้อมใจลงสู่ความชั่วเสมอและประพฤติความชั่วนั้นเป็นปรกติวิสัย แต่ถ้าเขาน้อมจิตเลี้ยวจากความชั่วมายังความดีงาม แม้เพียงสักขณะจิตเดียวเท่านั้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้นทันที นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า นิรมานกายของพระพุทธเจ้าแห่ง ธรรมญาณ" นิรมานกาย นี้ย่อมหมายถึงการแปรเปลี่ยนแห่งธรรมญาณแต่มุ่งตรงไปสู่สัจธรรมอันพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิตแห่งพระพุทธะนั่นเอง
พระธรรมาจารย์สรุปเอาไว้อย่างแจ้งชัดว่า "ธรรมกาย คือสิ่งซึ่งมีความเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเองอย่างแท้จริง สัมโภคกายคือการเห็นอยู่อย่างเผชิญหน้ากับธรรมญาณของตนอยู่ในทุกขณะจิต นิรมานกายคือการเอนอิงจิตของเราลงไปที่สัมโภคกายจนเกิดปัญญาสว่างไสว" เพราะฉะนั้น ตรีกาย ของท่านฮุ่ยเหนิงจึงรวบสรุปอยู่ที่ ธรรมญาณ ของตนเองทั้งสิ้น มิได้อยู่ที่นอกตัวเราเลย ซึ่งเป็นการยอมรับว่า มนุษย์ทุกรูปสามารถบำเพ็ญปฏิบัติให้บรรลุซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณและเป็นพระพุทธเจ้าได้ทุกคนไป แต่มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นและไม่ศรัทธาต่อตนเองว่า มีทุกอย่างเยี่ยงเดียวกับพระพุทธองค์ ผิดกันแต่เพียง ปณิธานความตั้งใจเท่านั้น
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยืนยันความข้อนี้เอาไว้ว่า "การปฏิบัติให้ลุถึงการตรัสรู้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง และการปฏิบัติความดีงาม ตามที่มีอยู่ในธรรมญาณของตนเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีเลิศของการ ถือที่พึ่ง" กายเนื้อของเราประกอบไปด้วยเนื้อหนังมันจึงมีประโยชน์ไม่มากไปกว่าเป็นที่อาศัยพักแรมชั่วคราว ดังนั้นมันจึงเป็นที่พึ่งมิได้ แต่เราจงพยายามให้เห็นแจ้งในตรีกายแห่งธรรมญาณของเราเถิดและเรารู้จักพระพุทธเจ้าแห่งธรรมญาณของเราเอง การพึ่งพาแต่ภายนอกธรรมญาณของตนเองจึงกลายเป็นคนโง่หลงงมงาย เพราะแม้แต่กายของเรายังพึ่งไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นนอกตัวเราจึงมิใช่ที่พึ่งอันเกษมความหมายอันแท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ "ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน" จึงมีความเป็นไปเช่นนี้แล
-
มีคนเป็นจำนวนมากสำคัญผิดคิดว่า เป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำบุญตักบาตรถือศีล ฟังธรรม ก็จัดว่าเป็นคนดี คนดีที่ชอบทำบุญไม่เคยคิดด้วยซ้ำไปว่า ขณะที่กำลังทำบุญอยู่นั้นได้สร้างบาปให้แก่ตัวเองด้วย ตัวอย่างเช่น ยกเงินหนึ่งร้อยบาทขึ้นจบด้วยการพึมพัมขอบุญกุศลมากมายว่า "เจ้าประคู้ณ ขอให้ได้วิมานแก้วในชาติหน้า" เงินทำบุญเพียงหนึ่งร้อยบาทแต่ขอตอบแทนตั้งหลายหมื่นเท่าเช่นนี้นับว่าลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมากเกินเหตุ "อย่างนี้จัดว่าโลภมากไหม" "ความโลภย่อมเป็นบาปมิใช่หรือ" และที่น่าสงสารนักเราสั่งสอนให้โลภกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะฉะนั้นคนดีจึงติดบ่วงบาปจนต้องเวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุดในวัฏสงสาร พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "อาตมา มีโศลก อันไม่เกี่ยวกับรูปธรรม อยู่บทหนึ่งซึ่งการท่องและการปฏิบัติตามโศลกบทนี้ จักสามารถถอนอวิชชาให้สูญไปและชำระล้างบาป อันได้สะสมอบรมมานานนับด้วยกัลป์ ฯ ได้โดยสิ้นเชิง"
ทำบุญแล้วคิดว่าเป็นผลได้ของตนเอง จึงจัดเป็นอวิชชาอย่างหนึ่งเพราะไม่รู้ว่า การทำบุญเช่นนี้เป็นการสั่งสมบาปเวรภัยให้แก่ตนเองโดยแท้ คนที่ชอบสร้างบุญเพราะความโลภ ความหลงเพราะไม่รู้ว่าการเวียนเกิดไปรับบุญของตนเองนั้นอาจมิใช่กายมนึษย์ไปรับบุญก็ได้...เศรษฐีคนหนึ่งบริจาคเงินสร้างเสากลางศาลาฟังธรรมโดยตกแต่งเสาต้นนั้นวิจิตรพิศดารนัก ครั้งใดที่นั่งทำบุญฟังธรรมก็จะเฝ้าแจอยู่ข้างเสาของตน แม้ใครล่วงล้ำเข้ามาใกล้เสาก็จะตะเพิดไล่ออกไป "นี่เธอไม่ได้บริจาคเสาต้นนี้นะ จงถอยออกไปไกล ๆ " ครั้นถึงเวลาสิ้นบุญเศรษฐีก็ตายไป ชนทั้งหลายก็ยังอยากนั่งใกล้เสาของเศรษฐี จึงพากันมาห้อมล้อม นั่งอยู่ใกล้เสานี้ทุกครั้งที่มาทำบุญ มิช้ามินานมีหมาตัวหนึ่งวิ่งขึ้นมาบนศาลาเห่าและกัดทุกคนที่นั่งข้างเสา และมันก็นั่งเฝ้าเสานี้จนไม่มีใครกล้าเข้าไปนั่งข้างเสานี้อีกเลย "ใครเล่ามาเฝ้าบุญของตนเอง ถ้ามิใช่เศรษฐีคนนั้น"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวถึงคนพวกนี้ว่า "พวกที่จมอยู่ในความโง่เขลา ย่อมมัวแต่สะสมบุญอันแปดเปื้อนไปด้วยการลูบคลำของตัณหาและทิฏฐิ จึงไม่ไต่ไปตามมรรคปฏิปทา พวกนี้ตกอยู่ในความรู้สึกว่า การสะสมบุญกับการไต่ไปตามมรรคปฏิปทานั้น เป็นของสิ่งเดียวและอย่างเดียวกัน แม้ว่าบุญของคนพวกนี้อันเกิดจากการให้ทานและบูชาจะมีมากมายหาประมาณมิได้ เขาก็ไม่เห็นแจ้งว่า วิถีทางมาอันฌแียบขาดของบาปนั้นเนื่องอยู่กับมูลธาตุอันมีพิษร้ายสามประการ คือ โลภ โกรธ หลง อันมีอยู่ในใจของตนเอง เขาคิดว่าเขาจะเปลื้องบาปของเขาได้ด้วยการสะสมบุญ เขาหารู้ไม่ว่า ความสุขที่จะได้รับในชาติข้างหน้านั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการเปลื้องบาปนั้นเลย" ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็คือ บาปก็คือบาป บุญก็คือบุญ เอามาหักล้างลบหนี้มิได้เลย เพราะเกิดความเข้าใจผิด ผู้สร้างบุญจึงคิดว่า ทำบุญมาก ๆ ก็สามารถลบล้างความชั่วบาปของตนได้ คนชั่วบาปจึงระดมทำบุญเป็นการใหญ่ บวชล้างบาป สังฆทานสะเดาะเคราะห์ ทำบุญต่ออายุ พิธีกรรมเหล่านี้จึงเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับบาปเวรที่ตนเองสะสมเอาไว้เลย พิธีกรรมทั้งปวงทำด้วยกาย แต่บาปเวรกรรมอยู่ที่ใจ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนละเรื่องเดียวกันจริง ๆ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปอีกว่า "ทำไมจึงไม่เปลื้องบาปภายในใจของตนเอง เพราะนั่นเป็นการชำระบาปภายในใธรรมญาณอย่างแท้จริง คนบาปที่ได้มีความเห็นแจ้งขึ้นในทันทีทันใด ว่าอะไรนำมาซึ่งการสำนึกบาปอย่างแท้จริง ตามวิถีของมหายาน และได้เลิกละเด็ดขาดจากการทำบาป ทำแต่ความดีนี่แหละคือ ผู้หมดบาป ผู้ที่ไต่ไปตามมรรคปฏิปทา ซึ่งกำหนดในธรรมญาณอยู่เนืองนิจนั้น ควรถูกจัดเข้าในชั้นระดับเดียวกันกับพุทธบุคคลอันมีประเภทต่าง ๆ พระสังฆปรินายกของเราที่แล้ว ๆ มาไม่ค่อยสอนระบอบธรรมอย่างอื่นเลย นอกจากระบบ "ฉับพลัน" นี้เท่านั้น
ขอให้ผู้ปฏิบัติตามระบบนี้ทุกคน จงเห็นอย่างเผชิญหน้าต่อธรรมญาณของตน และอยู่กับพระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้ในทันที การละบาปจึงละกันที่ "จิต" ของตน มากกว่าการละด้วยพิธีกรรมทั้งปวงที่ไร้สาระ ถ้ายังคงแวะอยู่ก็หนีไม่พ้น "คนดีที่มีบาป" นั่นแล
-
บรรดาผู้ปฏิบัติธรรมแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากโลกีย์วิสัยมักหลงทางเสียตั้งแต่แรก ที่เกิดความซาบซึ้งรูปและเสียงของอาจารย์ผู้บอกหนทาง สีกาผู้อมทุกข์รายหนึ่งบากหน้าเข้าวัดเพื่อฟังธรรมจากพระอาจารย์เพื่อหวังพ้นไปจากทุกข์ที่รุมเร้าอยู้ด้วยเรื่องของครอบครัว "ทุกอย่างต้องปล่อยวางนะโยม"เสียงของพระอาจารย์แสนสงบเยือกเย็น สีกา ซาบซ่านด้วยมธุรสวาจาจิตใจปลอดโปร่งสบายนัก ครั้นกลับไปถึงบ้าน เสียงที่ไม่อยากฟัง อาการครึ้งเครียดโกรธเกรี้ยวกลับหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเก่า เพราะ "เสียงจากวัด" ตัดกับเสียงที่บ้านเหมือนสีขาวตัดกับสีดำความทุกข์จึงทับเท่าทวีคูณ จิตใจของสีกาจึงถวิลหา วัด มากกว่า บ้าน อาการเช่นนี้จึงไม่ต่างอะไรกับวัยรุ่นที่คลั่งไคล้นักร้อง ดิ้น และกรีดร้องด้วยความมันสะใจ สีกาที่ติด เสียง และ รูป ของพระจึงมิได้เห็นธรรมะอันแท้จริง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "ถ้าท่านแสวงหาธรรมกาย ก็จงมองให้สูงเหนือขึ้นไปจากภาวะธรรมทั้งปวง แล้วธรรมญาณของท่านก็จักบริสุทธิ์ จงตั้งตัวมั่นในความมุ่งหมายที่เห็นธรรมญาณอย่างเผชิญหน้าอย่าถอยหลัง เพราะความตายอาจมาถึงโดยปัจจุบันและทำให้ชีวิตในโลกนี้ของท่านให้สิ้นสุดลงโดยทันที
ผู้ที่เข้าใจคำสอนตามหลักแห่งมหายานและอยู่ในฐานะที่จะมองเห็นธรรมญานแท้เช่นนี้ ควรจะกระพุ่มมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างนอบน้อมแล้วแสวงหาธรรมกายด้วยความกระตือรือร้นเถิด ความหมายแห่งโแลกนี้มีจุดหมายอยู่ที่การปล่อยวางทั้งความดีและความชั่วอันเป็นภาวะธรรมดาของทุกอย่างในโกลนี้ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งของที่มองเห็นได้หรือเป็นอารมณ์ที่มองไม่เห็นก็ตามตราบใดที่จิตยังมุ่งอยู่แต่ "สุข" หรือ "ทุกข์" จิตนั้นย่อมข้องเกี่ยวร้อยรัดแต่ "ทุกข์" หรือ "สุข" เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเข้าถึงสภาวะแห่งธรรมญาณ ของตนเองได้
เมื่อธรรมญาณถูกย้อมด้วย ดี หรือ ชั่ว เสียแล้วก็อย่าหมายว่าจะเห็นหน้าตาตัวจริงของตนเองได้เลย ผู้ปฏิบัติธรรมเช่นนี้จึงเห็นแต่หน้า "พระอาจารย์" และได้ยินเสียงที่ตนเองปรารถนาและอาการหนักหนาสาหัสถึงขนาดฝันถึงยิ่งตอกย้ำให้อาการยึดมั่นถือมั่นว่าพระอาจารย์เป็นที่พึ่งอันวิเศษสุดอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงต้องตั้งสติพิจารณาให้เห็นสัจธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมกายภายในจิตของตนเอง ผู้มีสติเต็มเปี่ยมจึงเป็นผู้ที่นอบน้อมถ่อมใจ ส่วนผู้ไร้สติย่อมปล่อยให้อาการจิตคลั่ง สำแดงออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวด่าทอประนามผู้อื่น ยกตนข่มท่าน ดูแคลนผู้อื่นต่ำต้อยกว่าตนเอง อาการที่สำแดงออกมาทั้งทางวาจาและกริยาล้วนเป็นเรื่องของอารมณ์แต่เพียงอย่างเดียว บุคคลเหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็นปุถุชน มิใช่ผู้ปฏิบัติหาหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากอารมณ์ของโลก
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กล่าวเสริมว่า "ท่านทั้งหลายควรสาธยายโศลกนี้และปฏิบัติตาม ถ้าท่านมองเห็นธรรมญาฯของท่านภายหลังจากที่สาธยายแล้ว ท่านก็จะเห็นได้เองว่า ท่านได้อยู่เฉพาะหน้าของอาตามตลอดไป แม้ว่าจะอยู่ห่างไปตั้งพัน ๆ ไมล์ แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำได้ แม้เราจะอยู่จ่อหน้ากันอย่างนี้โดยที่แท้เราก็อยู่ห่างกันตั้งพันๆ ไมล์นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใในการที่ท่านทรมานเดินทางมาถึงที่นี่ จากที่อันไกลแสนไกล คำกล่าวของท่านฮุ่ยเหนิงได้ชี้ย้ำให้เห็นสัจธรรมเช่นเดียวที่พระพุทธองค์เคยตรัสเป็นพุทธภาษิตเอาไว้ว่า "ผู้ใดดวงตาเห็นธรรม ผู้นั้นได้ชื่อว่าเห็นตถาคต ผู้ใดดวงตาไม่เห็นธรรม แม้เกาะจีวรของตถาคตอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อว่าไม่เห็นตถาคต"
อาการของสีกาผู้คลั่ง พระอาจารย์ย่อมเห็นแต่ความดีงามของพระอาจารย์สถานเดียว แม้ความดีงามล้วนปรุงแต่งจัดฉาก จัดหน้า จัดรอยยิ้ม สีกา ก็เห็นแต่เพียงหน้ากากที่สวมใส่เอาไว้เท่านั้น และหากพระอาจารย์นั้นมีผู้นิยมคลั้งไคล้มาก หน้ากากที่สวมไว้ยิ่งหนาแน่นอยู่ในใจของปุถุชนเหล่านั้นจนยากที่จะขูดออกไปได้ คนเหล่านี้จึงมิได้เห็นหน้าตาอันแท้จริงของพระอาจารย์ แม้นั่งเฝ้ากันทั้งวันทั้งคืน ส่วนคนที่ตนเองรังเกียจก็ไม่ยอมเห็นความดีที่แฝงอยู่ในตัวของคนนั้น ดังโคลงโลกนิติ์ที่ว่า "รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว ตาต่อกันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง ป่าไม้มาบัง
เพราะฉะนั้น ไม่ว่า รัก หรือ ชัง แม้อยู่ต่อหน้าก็ย่อมไม่เห็นหน้าอันแท้จริง
-
สาธุชนผู้แสวงหาหนทางหลุดพ้นไปจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง แต่ที่ไม่อาจพบธรรมญาณของตนได้ เพราะมีกำแพงขวางกั้น บางคนติดพระพุทธรูป บางคนติดพระธรรมคำสอน บางคนติดพระสงฆ์ และมีคนเป็นจำนวนมากติดอยู่กับคัมภีร์ โดยยึดถือว่า สิ่งที่กล่าวไว้ในคัมภีร์คือ สัจธรรม ที่ถูกต้องยิ่งตนเองคล่องแคล่วในคัมภีร์ทั้งปวงยิ่งกลายเป็น ติดปัญญา ของตนเองโดยที่ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ลืมนึกถึง กาลามสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ ณ หมู่บ้าน กาลามะ หนึ่งในสิบข้อนั้นคือ "อย่ายึดถือเพราะเห็นเป็นตำรา"
เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับมาถึงตำบลเฉาโหวแห่งเมืองเซ่าโจวจากหวงเหมย แม้จะเป็นสถานที่เดิม ที่ท่านได้รับถ่ายทอดวิธีจิตจากพระธรรมาจารย์หงเหยิ่น ท่านก็ยังเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีใครรู้จัก ผู้ที่ต้อนรับเลี้ยงดูท่านอย่างดีกลับเป็นนักศึกษาแห่งลัทธิขงจื้อ ซึ่งมีนามว่า "หลิวจื้อเลี่ย" นักศึกษาผู้นี้มีน้าสาวชื่อว่า "อู๋จิ้นฉัง" บวชเป็นภิกษุณีอยู่ในพระพุทธศาสนา และชอบสาธยายมนต์มหาปรินิรวาณสูตรอยู่เป็นนิจ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยินการสาธยายมนต์นี้เพีัยงเล็กน้อยก็สามารถจับเอาใจความแห่งพระสูตรนี้มาอธิบายให้นักบวชผู้นี้อย่างลึกซึ้ง
ภิกษุณิ อู๋จิ้นฉัง จึงได้หยิบคัมภีร์ขึ้นมาถาม ความหมายของข้อความตอนหนึ่ง แต่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับตอบว่า ""อาตมาไม่รู้จักหนังสือ แต่ถ้าท่านประสงค์จะทราบใจความแห่งพระคัมภีร์นี้ จงถามเถิด"" ""เอ๊ะ เมื่อท่านไม่รู้จักแม้แต่ถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ท่านจะสามารถทราบถึงความหมายแห่งตัวสูตรได้อย่างไรเล่า"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบภิกษุณีอู๋จิ้นฉังว่า "ความลึกซึ้งแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เกี่ยวอะไรกันเลยกับภาษาที่เขียนด้วยหนังสือ" ความหมายแห่งคำตอบนี้เป็นการทำลายกำแพงแห่งความเข้าใจของภิกษุณีอู๋จิ้นฉัง ที่ติดยึดอยู่กับคัมภีร์ ลงไปได้ ประกายปัญญาของภิกษุณีรูปนี้จึงสว่างไสวและรู้ได้ด้วยพระธรรมาจารย์มิใช่พระภิกษุอย่างธรรมดาสามัญ ท่านจึงได้บอกเล่าแก่ชนทั้งหลายว่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นพระอริยบุคคล สมควรที่จะขอร้องให้ท่านพักอยู่ที่นี่เพื่อถวายอาหารและที่พักอาศัย คำตอบของพระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิง ถ้านำเอาคำกล่าวของท่านเหลาจื้อที่กล่าวถึงคำว่า "เต๋า" มาอธิบายเทียบเคียงแล้วก็จะเห็นเป็นความจริงที่สอดคล้องกันว่า "เต๋า" นั้นไร้รูปไร้นาม ไม่อาจนำเอาถ้อยคำมาอธิบายได้จบสิ้น เพราะฉะนั้น จึงขนานนามเอาไว้ด้วยความจำเป็นว่า "เต๋า" ไปพลางก่อน ความลึกซึ้งแห่ง ธรรมะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษาของมนุษย์เพราะภาษายังมีขีดจำกัดของการอธิบายความหมาย เพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวว่า "อย่าเชื่อถือเพราะเห็นเป็นตำรา"
นอกจากนี้หากนำเอาความรู้สึก "รัก โกรธ ดีใจ เสียใจ" ของเรามาพิจารณาก็เห็นความเป็นจริง อาการเหล่านี้มิอาจหาภาษามาอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกอันแท้จริง นอกจากตัวเราเองเท่านั้นที่เข้าใจและรู้ซึ้งอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นความหมายอันลึกซึ้งและกว้างขวางแห่งพระธรรมจึงกว้างใหญ่ไพศาลจนภาษาของคนยังมีขีดจำกัดไม่อาจอธิบายความหมายนั้นได้อย่างครบถ้วน ผู้ที่ติดยึดอยู่ในคัมภีร์ทั้งปวง จึงมีกำแพงมาขวางกั้นหนทางที่จะไปพบธรรมญาณของตนเอง ซึ่งกว้างใหญ่จนไม่อาจใช้ภาษามาให้คำจำกัดความได้ การเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของพระสูตร จึงไม่เกี่ยวข้องกับภาษาอะไรเลย
ต่อมามีขุนนางอู่ ซึ่งเป็นเชื้อสายแห่งราชวงศ์เอว้ย ผู้หนึ่ง มีนามว่า เฉาสูเหลียง ได้มาเฝ้าพระธรรมาจารย์พร้อมชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เกิดศรัทธาปลาทะจึงได้ช่วยบูรณะวัดป่าหลิน อันเป็นวักเก่าแก่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งร้างไปเพราะภัยสงครามสมัยปลายราชวงศ์สุย และได้ขอร้องให้พระธรรมาจารย์อาศัยอยู่ประจำ ไม่นานักก็กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก แต่ท่านก็ยังมีศรัตรูผู้หมายปองร้าย เพราะคนเหล่านี้ล้วนติดยึดอญุ่กับรูปลักษณ์อัตตาตัวตนของตน จึงหมายล้างผลาญท่าน ด้วยหมายที่จะช่วงชิงตำแหน่งพระธรรมาจารย์โดยคิดอย่างไร้ปัญญาว่า เมื่อสิ้นท่านฮุ่ยเหนิงแล้ว ตำแหน่งนี้จะตกอยู่ในกำมือของพวกตน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอญุ่ที่วัดเป่าหลินได้เก้าเดือนก็ต้องไปหลบซ่อนอยู่ยังภูเขาใกล้ ๆ แต่คนร้ายก็ใช้ไฟเผาป่า แต่ท่านหนีรอดไปหลบอยู่ที่ชะง่อนผา ซึ่งต่อมาได้นามว่า "ภูเขาแห่งความปลอดภัย" มีรอยคุกเข่าและลายเนื้อผ้าปรากฏอยู่บนแผ่นหินจนบัดนี้
-
นักปฏิบัติธรรมมักเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าต้องนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิ ถือศีล ฟังธรรม ปรนนิบัติพระอาจารย์ พ้นไปจากการกระทำเช่นนี้มิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมใครที่มีความคิดที่กระทำเช่นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติแต่เพียงเปลือกนอก เท่านั้น การปฏิบัติที่แท้จริงต้องปฏิบัติที่ "จิต" แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นอีกด้วยคิดว่าการทำให้จิตนิ่งสงบเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าจิตนิ่งอยู่ในความชั่วก็ไร้ประโยชน์เพราะมิได้ถอนรากถอนโคลนแห่งความชั่วทิ้งไป จึงมิใช่การปฏิบัติธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวเอาไว้ว่า "การปฏิบัติธรรม คือ การปฏิบัติหน้าที่ " ถ้าโจรทำตามหน้าที่ของโจรได้ชื่อปฏิบัติธรรมหรือไม่" ปุจฉา "แน่นอนย่อมเป็นการปฏิบัติธรรม แต่เป็นอธรรม "วิสัชนา
เมื่อครั้งที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับไปยังวัดเป่าหลิน พระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า ฝาไห่ ซึ่งเป็นชาวบ้านฉวี่กงปห่งเมืองเช่าโจว ได้ถามถึงความหมายของคำว่า "ใจคือสิ่งใด พุทธะคือสิ่งนั้น" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "การไม่ปล่อยให้ความคิดที่ผ่านไปแล้วกลับเกิดขึ้นมาใหม่นี่คือ ใจ การที่ไม่ปล่อยให้ความคิดที่กำลังจะเกิด ถูกทำลายลงไปเสีย นี่คือ พุทธะ การแสดงออกซึ่งปรากฏการณ์ทุกชนิดนี่คือ ใจ การเป็นอิสระจากรูปธรรมทั้งปวงนี่คือ พุทธะ
คำตอบของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมีความหมายชัดเจนที่สามารถอธิบายได้ด้วยการเปรียบเทียบกับกระจก สิ่งที่ผ่านกระจกเงาไปแล้วย่อมเลยไป เพราะฉะนั้น ใจ จึงเป็นความสงบนิ่ง แต่ถ้าบันทึกทุกอย่างเอาไว้ โดยไม่ยอมให้ผ่านไปเหมือนเครื่องถ่ายเอกสาร สภาวะเช่นนั้นจึงเป็นเสมือน จิต ที่สั่งสมเอาไว้ทั้ง ดี แล ชั่ว ความรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบต่อ ใจ โดยไม่จำเป็นต้องทำลายสิ่งนั้นทิ้งไป เพียงแต่ไม่ผูกพันจึงเรียกว่า พุทธะ ซึ่งมีความหมายถึง ผู้รู้ เท่าทันต่อทุกอย่างที่เข้ามาพัวพันกับ ธรรมญาณ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า อาการแห่งการรู้ทันจึงเป็น สติ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้าจะอธิบายแก่ท่านให้ครบถ้วนทุกกระบวนความ เรื่องที่นำมาพูดก็จะไม่จบสิ้นลงไปได้แม้จะใช้เวลาอธิบายสักกัปป์หนึ่ง ดังนั้น จงฟังโฉลกของข้าพเจ้าดีกว่า "" ปํญญา คือ สิ่งที่ใจเป็น"" ""สมาธิ คือ สิ่งที่พุทธะเป็น"" ในการบำเพ็ญ ปัญญา และสมาธิ ต้องให้แต่ละอย่างลงจังหวะต่อกันและกัน แล้วความคิดของเราก็จะบริสุทธิ์ คำสอนนี้จะเข้าใจได้ก็แต่โดยการ "ประพฤติดูจนช่ำชอง" ที่ว่าสมาธิตั้งมั่นนั้น ที่จริงก็ไม่ใช่สมาธิอะไรเลย คำสอนที่ถูกต้องนั่นคือ ให้บำเพ็ญปัญญาคู่กันไปกับสมาธิโดยไม่แยกกัน"
ความหมายแห่งโฉลกนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงของธรรมญาณที่แสดงบทบาทตามถาวะแวดล้อมที่เข้าไปกระทบด้วยการรับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีอาการเคลื่อนไหวเพราะแยกแยะออกได้ตามหลักสัจธรรมที่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าเป็น รูป หรือ นาม ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความดี และ ความชั่ว และมีสติตัดความผูกพันร้อยรัดได้จึงจัดว่าเป็นพุทธะได้ การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ การทำหน้าที่ของพุทธะรู้เท่าทันทุกอย่างและไม่ตกไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่การงานทุกชนิดจึงเป็นเสมือนหนึ่งการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงเพราะ พุทธจิตรู้เท่าทันไม่พาตนเองตกไปสู่อบายภูมิ การปฏิบัติธรรมคือ การกระทำทุกขั้นตอนตามหน้าที่ที่แท้จริงของธรรมญาณ ที่ปราศจากกิเลสทั้งปวงนั่นเอง ถ้ามัวแต่นั่งหลับตาจะเห็นกิเลสที่ตรงไหน เมื่อภิกษุฝาไห่ได้ฟังจึงเกิดความสว่างไสวดวงตามองเห็นธรรมจึงได้กล่าวสรรเสริญพระธรรมาจารย์ว่า "ใจคือสิ่งใด พุทธะคือสิ่งนั้น นี่เป็นความจริงเสียจริงๆ แต่ข้าพเจ้ามัวไปปราบพยศของอตัวเองทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจมัน บัดนี้ข้าพเจ้ารู้เหตุอันเป็นประธานของปัญญาและสมาธิ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ข้าพเจ้าจักบำเพ็ญเพื่อเปลื้องตัวเสียจากรูปธรรมทั้งหลาย
ผู้ปฏิบัติอันมากจึงเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ที่ไปกำหราบ จิต ด้วยการบังคับให้ จิต นิ่ง ซึ่ง ธรรมญาณ มิได้ทำการงานอันใดอันก่อให้เกิด บุญกุศลที่แท้จริง ผู้ที่พยายามปราบจิตของตนเองจึงเป็นเพียงผู่ที่ "ตาบอดคลำช้าง" เพราะเขายังไม่รู้จักช้าง และที่น่าสังเวชใจก็คือเอาความเข้าใจผิดโฆษณาชักชวนให้คนทั้งหลายมาเข้าใจและปฏิบัติตาม นับเป็นบาปกรรมที่ประมาณมิได้ แท้ที่จริงภาวะอันแท้จริงของธรรมญาณ นิ่งสงบปราศจากความเคลื่อนไหวอันเป็นภาวะแห่งสูญตา เพราะฉะนั้นการกำหนดให้มันว่างอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่เกิดมรรคผลใด ๆ แก่การลงมาทำหน้าที่ของตนในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ฤาษี ทั้งปวง เราจึงมิได้เรียกว่าเป็นพุทธะเพราะมิได้ทำหน้าที่ของพุทธะ แต่ทำหน้าที่เพียงกำหราบจิตของตนเท่านั้นเองมิได้มรรคผลแต่ประการใด
-
ในโลกนี้มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่คิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดสามารถเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นจนมองเห็นคนอื่นเป็นคนโง่เง่ากว่าตนเอง คนฉลาดเช่นนี้จึงจองหนทางไปสู้นรกให้แก่ตนเองโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่ศึกษาธรรมะและมีความเชี่ยวชาญในการสาธยายพระสูตรต่างๆอย่างคล่องแคล่วจนหลงยึดว่าตนเองเป็นผู้ฉลาดล้ำ แลเห็นผู้ที่ไม่รู้จักหนังสือเป็นผู้ต่ำต้อย คนเช่นนี้มักยึดถือว่าตนเองสูงส่งกว่าชนทั้งหลาย จึงเป็นการสร้างอัตตาตัวตนจนปิดบังปัญญา และกลายเป็นคนหลงความโง่อันแท้จริง
ภิกษุชาวเมืองหงโจว นามว่า ฝ่าต๋า บวชเณรมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบมีนิสัยชอบสาธยายสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่เป็นนิจ เมื่อมาแสดงความเคารพต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมิได้กราบให้ศรีษะจรดพื้น เพราะทำความเคารพอย่างขอไปทีเช่นนี้เอง พระธรรมาจารย์จึงตำหนิว่า "ถ้าท่านรังเกียจในการที่จะก้มศรีษะให้จรดพื้นแล้ว การไม่ทำความเคารพเสียเลยจะมิดีกว่าหรือ ต้องมีอะไรในใจท่านสักอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกทะนงเช่นนี้ ขอถามว่า ท่านทำอะไรเป็นประจำวัน "กระผมสาธยายสัทธรรมปุณฑริกสูตร กระผมท่องทั้ง ๆ สูตร สามพันครั้งมาแล้ว" ภอกษุฝ่าต๋า ตอบ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงเตือนว่า "ถ้าท่านจับใจความของพระสูตรนี้ได้ ท่านก็จะไม่มีการถือตัวเช่นนี้เลย แม้ท่านจะถึงกับเคยท่องสูตรนี้มาถึงสามพันครั้งแล้ว ถ้าท่านจับความหมายของพระสูตรนี้ได้จริง ๆ ท่านก็จะต้องได้เดินอยู่ในทาง ๆ เดียวกับข้าพเจ้า สิ่งที่ท่านเรียนสำเร็จได้ทำให้ท่านกลายเป็นคนหยิ่งไปเสียแล้วและยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนท่านจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำไปว่าการที่เป็นเช่นนี้เป็นคนผิด" คนที่สวดมนต์คล่องมักหลงยึดว่า ตนเองเก่งเหนือกว่าคนทั้งหลายและหลายครั้งคิดว่ามนต์นั้นทรงคุณวิทยาคมจนผิดเพี้ยนกลายเป็นไสยาศาสตร์ พาให้ตนเองหลับไหลและชวนให้คนทั้งหลายหลับหูหลับตาเชื่อว่าคำสอนของพระพุทธองค์เป็นมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ "อย่าโลถเลยลูกเอ๋ย ยิ่งโลภจักยิ่งทุกข์" พระพุทธองค์ทรงสอนเช่นนี้
โอมเพี้ยง ขอให้รวย ขอให้รวย" คนไม่รู้จักความหมายของมนต์จึงก้มหน้าก้มตาหลับตาท่องอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อรวยอย่างเดียว และหลายรายก็มีความเชื่อว่าหากท่องยอดพระกัณฑ์ปิฏกหลายร้อยจบ จักเกิดวิทยาคุณ ทำให้ค้าขายคล่องป้องกันภูติผีปีศาจบังเกิดเมตตามหานิยม ที่สุดแห่งการท่องมนต์นี้คือการเข้าสู่ปรินิพพานโน้นแน่ะ ความหลงเช่นนี้ยากนักที่จะไถ่ถอนออกไปได้ด้วยปัญญาของผู้อื่นยกเว้นตนเอง จักเกิดปัญญาญาณมีสติพิจารณาเห็ฯสัจธรรมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจักประทานโฉลกแก่ภิกษุฝ่าต๋าว่า "เมื่อความมุ่งหมายของระเบียบวินัยต่าง ๆ เป็นไปเพื่อปราบปรามความทะลึ่งแล้ว ทำไมท่านไม่กราบศรีษะให้จรดพื้น "การยึดถือในตัวตน เป็นทางมาแห่งบาป แต่การถือว่าได้บรรลุธรรมหรือผลใด ๆ ก็ตามเป็นเพียงของลมๆ แล้ง ๆ "นี้เป็นทางมาแห่งกุศลอันใหญ่หลวง" ความหมายแห่งโฉลกของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเพียงเพื่อกำหราบจิตของภิกษุรูปนี้ที่ทนงตนว่าเหนือกว่าผู้อื่นเพราะท่องมนต์มากกว่า ผู้ที่ยึดถืออัตตาตัวตนเห็นว่าสำคัญย่อมพ้นไปจากหนทางแห่งพระพุทธะ เพราะเบื้องหน้าแห่งพระพุทธะทุกคนคือ พระพุทธะเสมอกัน เพราะแต่เดิมมาต่างมีธรรมญาณเหมือนกัน การยึดถือตัวตนย่อมต้องหาทางรักษาเอาไว้ให้ยั่งยืน แต่หลักความเป็นจริงทุกสิ่งอย่างไม่ว่าจะเป็น "รูปธรรม" หรือ "นามธรรม" ล้วนตกอยู่ในกฏแห่งความไม่เที่ยงแท้แน่นอนย่อมเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงก่อให้เกิดบาปทุกข์นานาแก่ตนเองไม่สิ้นสุด
เมื่อคิดว่ามีตัวตนเสียแล้วย่อมทำทุกอย่างเพื่อเสริมสร้างให้อัตตานั้นยิ่งใหญ่ไปตามกิเลสแห่งจิต ครั้งพุทธกาล ภิกษุผู้นี้นามว่า ฉันนะ เคยเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดพระองค์และได้ตามเสด็จมาส่งเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช เมื่อตนเองมาบวชอยู่กับพระพุทธองค์ก็ยังคงยึดถืออัตตาว่า เคยเป็นมหาดเล็กใกล้ชิดมาก่อน จึงมีความยโสโอหังก้าวร้าวต่อสงฆ์ทั้งปวงด้วยทุวาจา แม้พระพุทธองค์ตักเตือนก็ไม่เชื่อฟัง จนพระพุทธองค์ต้องมีพระพทุธบัญชาให้สงฆ์ทั้งปวงใช้วิธีพรหมทัณฑ์เลิกคบค้า ภายหลังที่พระพุทะเจ้าเสด็จเข้าปรินีพพาน พระฉันนะถึงแก่สลบสามครั้งสามครา และยอมละพยศ กลายเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนในช่วงสุดท้ายของชีวิต ส่วนการไม่ยึดถือผลสำเร็จของการบรรลุธรรมแลเห็นเป็นของไม่เที่ยงแท้หรือมีตัวตนเสียแล้วย่อมเป็นหนทางแห่งกุศลอันใหญ่หลวงเพราะแท้ที่จริงธรรมญาณแต่เดิมมาก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือได้ เพราะฉะนั้น ใครที่คิดตนเองว่าสำเร็จ อรหันต์ซึ่งส่วนฬหญ่เป็นอรหันต์ตั้งเอง กับ ศิษย์ตั้ง และคนกลุ่มนี้จึงกลายเป็น "คนโง่ที่แท้จริง เพราะคิดว่าตนเองฉลาดล้ำ"
-
ครั้งหนึ่งศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเดินทางไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเซ็น ท่านก็ต้อนรับขับสู้ตามธรรมเนียมอันดีงามด้วยการชงน้ำชาเลี้ยงรับแขกผู้ทรงคุณความรู้ แต่มันน่าประหลาดนัก หลวงพ่อรินนำ้ชาใส่ลงไปในถ้วยของศาสตราจารย์โดยไม่ยอมหยุดยั้ง "ล้นถ้วยแล้วครับหลวงพ่อ" ท่านศาสตราจารย์เตือน หลวงพ่อหูไม่หนวกตาไม่บอดแต่ไม่หยุดรินน้ำชาจนไหลนอลเปรอะพื้นกุฏิ ศาสตราจารย์ทนไม่ไหวต้องรีบเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า "เลอะหมดแล้วครับหลวงพ่อ" หลวงพ่อได้แต่ยิ้มไม่ยอมหยุดรินน้ำชา ท่านศาสตราจารย์ได้แต่มองดูจนตื่นตะลึงแล้วในที่สุดก็ได้คิด ก้มกราบลาหลวงพ่อกลับมหาวิทยาลัย การสนทนาธรรมก็จบลงตรงนี้เอง ปริศนาธรรมที่หลวงพ่อแสดงต่อศาสตราจารย์นั้นมีความหมายว่า ผู้ที่หลงว่าตนเองมีวิชาความรู้มากเปรียบได้เช่นน้ำชาล้นถ้วย วิชาความรู้เหล่านั้นได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและตัวเองมามากนัก ประการสำคัญตนเองจักไม่ยอมรับความรู้จากผู้อื่นได้เลย แต่ถ้ายอมโง่เหมือนชาพร่องถ้วย ก็รับความรู้จากผู้อื่นได้ คนมีปัญญาจึงรู้ว่าตนเองโง่ เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงรู้ว่า พระภิกษุรูปนี้มานามว่า ฝ่าต๋า ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เข้าใจในธรรม ท่านจึงกล่าวว่า "ท่านชื่อฝ่าต๋าก็จริง แต่ท่านก็ยังไม่เข้าใจในธรรมเลย" พระธรรมาจารย์ สรุปความด้วยโฉลกต่อไปอีกว่า "ชื่อของท่านว่า ฝ่าต๋า ท่านสาธยายพระสูตรอย่างพากเพียรไม่ท้อถอย การท่องพระสูตรด้วยปาก เป็นแต่การออกเสียงล้วนๆ สัตว์ผู้ที่มีใจสว่างไสวเพราะจับใจความได้นั่นคือโพธิสัตว์แท้ เพราะเป็นเรื่องของปัจจยาการ อันอาจสืบสานไปภพก่อน ๆ ข้าพเจ้าจะอธิบายความข้อนี้แก่ท่าน ถ้าท่านเพียงแต่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อนั้น ดอกบัวจะบานขึ้นในปากของท่านเอง ความหมายของโฉลกนี้ อธิบายได้ว่า ชื่อมิได้แสดงความจริงของสรรพสิ่งแต่เพราะมนุษย์ติดอยู่กับชื่อหรือนามบัญญัติเพราะฉะนั้นจึงไม่อาจหยั่งถึง สัจธรรมอันแท้จริง ผู้ท่องพระสูตรจึงหลงไหลแต่ทำนองเสนาะและความขลังของพระสูตรแต่ประการเดียว แต่เขาเหล่านั้นไม่อาจเข้าถึงความมหัศจรรย์อันแท้จริงของพระสูตรนั้น ๆ เพราะเขาติดอยู่ที่อักษรและทำนองเท่านั้น และส่วนใหญ่กลับไปติดอยู่ที่พระนามของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นต้นบัญญัิติของพระสูตรนั้น ๆ
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระสูตรจึงเป็นเรื่องไม่อาจนำมาประพฤติปฏิบัติได้ เพราะผู้สาธยายไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริง ศาสนิกชนในทุกศาสนาจึงเต็มไปด้วยผู้ท่องบ่นมนต์ตราด้วยความศรัทธาอันโง่งมและมิได้ปฏิบัติตามพระวจนะของศาสดาเลย ด้วยเหตุนี้ใครก็ตามที่พ้นไปจากอาการติดยึดของอักษรและเสียง เข้าใจความหมายของพระสูตรอันแท้จริง เขาผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาอันแท้จริง ผู้ที่ไม่ติดยึดในพระสูตรและพระพุทธองค์โดยยอมรับว่าทุกคนมีธรรมญาณ เช่นเดียวกัน มีอดีตเป็นพระพุทธะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแม้ไม่มีพระพุทธองค์ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ตนเองก็พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดด้วยปัญญาความรู้อันชอบของตัวเอง
การเวียนว่ายตายเกิดในโลกโลกีย์แต่ละธรรมญาณ ได้สั่งสมบุญและบาป จนนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน ถ้าสะสมบาปกรรมเอาไว้มากมาย แม้ไม่พบพระพุทธะก็ต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น มีพระพุทธองค์หรือไม่มี จึงมิได้มีความหมายแห่งการช่วยเหลือใครเลยสักคนเดียว ในสมัยพระพุทธกาล พระเทวทัต ซึ่งบวชอยู่ในพระพุทธศาสนาบำเพ็ญปฏิบัติจนสำเร็จโลกียฤทธิ์ แต่ในที่สุด เพราะบาปอกุศลที่สั่งสมจองเวรเอาไว้กับพระพุทธองค์ จึงทำให้หลงผิดวางแผนปลงพระชนม์ชีพพระพุทธเจ้า เพียงเพื่อจักให้ตนเองดำรงตำแหน่งพระศาสดา ความผิดเช่นนี้สืบเนื่องมาจากบาปเวรในอดีตชาติส่งผลให้เกิดความคิดเป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นจึงได้ฟังพระสูตรจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์ก็ไม่อาจดับกิเลสของตนเองได้
ส่วนพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอยู่ห่างไกลจากพระพุทธองค์ถึงพันกว่าปี และอ่านพระสูตรของพระอริยเจ้าพระองค์ไหนก็ไม่ได้ เพียงเข้าใจความหมายแห่งวัชรสูตรเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ปัญญาความตรัสรู้ของตนเองก็สว่างโพลง เพราะฉะนั้นจะพบพระพุทธเจ้าหรือไม่จึงไม่มีความสำคัญต่อการรู้แจ้งของตนเองเลย เพราะฉะนั้นปัญญาความรู้แจ้งมีอยู่พร้อมแล้วในตัวเอง "ดอกบัว คือ อะไร" ปุจฉา หมายถึง "ปัญญาอันแท้จริงของตนเอง" วิสัชนา
ผู้ที่เห็นแจ้งในธรรมญาณของตนเอง วาจาที่กล่าวออกมาจึงเป็นเช่นเดียวกับพระวจนะของพระศาสดา
-
ครั้งหนึ่งได้พบนายแพทย์ท่านหนึ่งจึงเรียนถามว่า "หมอคิดว่ามีนรกสวรรค์หรือไม่" "ผมคิดว่าไม่มีครับ" "หมอนับถือพระพุทธองค์หรือไม่ "อ๋อ แน่นอนผมนับถือพระพุทธเจ้า" "พระพุทธเจ้ามีหน้าที่อย่างไรเล่า" "ทรงสอนให้เป็นคนดี" "ถ้าพระพุทธเจ้ามีภารกิจเพียงเท่านี้คงไม่ต้องอุบัติมาสู่โลกนี้ เพราะการสอนให้คนเป็นคนดี มีปราชญ์ เมธี มากมายล้วนสอนคนให้เป็นคนดี ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องอาศัยพระพุทธเจ้า" "ถ้าเช่นนั้นพระพุทธเจ้าลงมาทำหน้าที่อะไร" "พระพุทธเจ้ามีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่สำคัญที่สุด คือการชี้ให้คนพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งก็ต้องมีเหตุปัจจัยแห่งการเวียนว่ายไปสู่สามโลก คือ นรก มนุษย์ และเทวโลก ถ้าไม่มีนรกเสียแล้ว พระพุทธองค์ย่อมไม่จำเป็นต้องอุบัติขึ้นมาในโลกนี้"
พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้อ่อนน้อมต่อเวไนยสัตว์ เพราะปรารถนาฉุดช่วยให้เวไนยเหล่านั้นพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด แต่บรรดาศากยบุตรในชั้นหลัง ๆ ติดยึดอยู่กับอัตตาตัวตน จึงปราศจากการอ่อนน้อมถ่อมตัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเองมีความรู้มากเท่าไหร่ความอหังการก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อย่างพระภิกษุฝ่าต๋า ท่องบ่น สัทธรรมปุณฑริกสูตรก็เกิดอาการไร้มารยาทต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เมื่อได้ฟังโฉลกของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว จึงรู้สึกสลดใจและขออภัยต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงและกล่าวต่อไปว่า "กระผมจะเป็นคนอ่่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพในทุกโอกาส เนื่องจากกระผมไม่มีความเข้าใจในความหมายของพระสูตรที่ท่องนั้นอย่างถูกต้อง กระผมจึงฉงนต่อการตีความหมายอันแท้จริงของพระสูตรนั้น ใต้เท้ามีความรู้และปัญญาอันลึกซึ้งที่สุด ขอได้โปรดอธิบายสรุปแก่กระผมเถิด"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงตอบว่า "ฝ่าต๋าเอ๋ย พระธรรมเป็นของกระจ่างอย่างเต็มที่อยู่เสมอ ใจของท่านต่างหากซึ่งไม่กระจ่าง พระสูตรนั้นไม่มีข้อความที่น่าฉงนเลย แต่ใจของท่านต่างหากที่ทำให้พระสูตรนั้นเป็นของชวนฉงนไป ในการสาธยายพระสูตร ท่านทราบถึงความมุ่งหมายอันสำคัญของพระสูตรนั้นหรือเปล่า" "ถ้าเช่นนั้นท่านจึงสาธยายพระสูตรออกมาเถิด ฉันอ่านเองไม่ได้แล้วฉันจะอธิบายความหมายใ้ท่านฟัง" พระภิกษุฝ่าต๋าได้สาธยายพระสูตรนั้น ครั้นมาถึงบทที่ชื่อว่านิยายเป็นเครื่องอุปมา พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้บอกให้หยุดแล้วกล่าวว่า " ความหมายของพระสูตรฯ นี้ก็คือเพื่อแสดงให้ปรากฏถึงความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้นั้นเอง"
มนุษย์ไม่ว่าจักทำบุญมากมายของไหนก็มิอาจ ปัดสวะ หรือ ทำคนผิด ให้เป็น คนถูก และทำคนถูกให้กลายเป็นคนผิดไปได้เลย แต่ทำให้เป็นคนหลงตัวเองหรือกลายเป็นเครื่องปิดบังความเข้าในอันถูกต้องไปเสียสิ้น เพราะฉะนั้นพระสูตรทั้งปวงมีความกระจ่างแจ้งอยู่แล้ว แต่เพราะใจของคนเหล่านั้นถูกปิดบังด้วยบุญ ด้วยอกุศลกรรมบางประการเพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจพระสูตรนั้น ๆ เปรียบเสมือนหนึ่งกระจกอันสกปรก ย่อมส่องไม่เห็นสิ่งใดกระจ่างชัด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง อธิบายถึงความมุ่งหมายแห่งการเสด็จมาของพระพุทธองค์ว่า " แม้ว่านิยายและภาพความหมายจะมีมาก ในข้อความแห่งพระสูตรนั้น ก็ไม่มีเรื่องใด หรือ ภาพใดที่มุ่งแสดงอะไรอื่น นอกจากจุดประสงค์อันสำคัญนี้ ทีนี้อะไรเล่าคือวัตถุประสงค์ อะไรเล่าคือความมุ่งหมายที่กล่าวมานั้น ข้อความในพระสูตรกล่าวว่า "เพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว เพื่อความมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว อันเป็นสวัตถุประสงค์อันสูงสุด เป็นความมุ่งหมายที่สูงสุดที่กล่าวถึงในพระสูตรนั้นคือ "การเห็นซึ่งพุทธธรรม"
การเห็นพุทธธรรมอันแท้จริงย่อมยังให้เวไนยสัตว์เหล่านั้นพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในอบายภูมิต่าง ๆ หากไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาบังเกิดในโลกนี้ การชี้ให้เห็นถึงพุทธานุภาพแห่งพุทธธรรมจักไม่เห็นเป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นหน้าที่อันสำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าในทุกกาลสมัย จึงทำหน้าที่เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงมีหนทางแห่งการหลุดพ้นไปจากทะเลทุกข์ พระพุทธองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่แสวงหาและค้นพบอนุตตรธรรม ซึ่งหมายถึงว่าเวไนยสัตว์ย่อมมีโอกาสเยื่ยงเดียวกับพระพุทธองค์นั่นเอง
-
ความเชื่อสองชนิดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ ความผิดคือ 1.เชื่อว่า ตายแล้วสูญ 2.เชื่อว่า ตายแล้วเกิด"แล้วความเชื่ออย่างไหนที่ตรงต่อสัจธรรมเล่า" "ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยย่อมต้องเกิดอีก เมื่อหมดเหตุปัจจัยแล้วย่อมไม่ต้องเกิด" ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้เพ่งเล็งตรงที่เหตุเป็นสำคัญ ถ้าตัดต้นเหตุเสียได้ย่อมพ้นทุกข์ แต่ความเชื่อทั้งสองอย่างนั้นที่เป็นผิดเพราะไม่เพ่งเล็งเอาที่ผล เพราะฉะนั้นย่อมตัดทุกข์มิได้ แต่เพราะการศึกษาปฏิบัติมิได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ ความเชื่อเช่นนี้จึงได้ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันสมัย บัดนี้ยังมีผู้เชื่อกันว่าหากบำเพ็ญธรรมจนบรรลุเข้าสู่ปรินิพพานแล้วหมายถึงการดับสูญหมดสิ้น ไม่มี้หลือแม้ธรรมญาณของตนเอง "ความว่างที่เรีัยกว่า สูญญตา นั้นคืออะไรกันแน่" "ก็ว่างจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวง" "และอะไรล่ะว่าง"" "ธรรมญาณแท้ซึ่งเป็นตัวจริงนั่นแหล่ะ ว่างจากเหตุปัจจัยทั้งมวล เพราะฉะนั้นสูญญตา จึงมิได้หมายความว่าปราศจากทุกอย่าง อย่างน้อยก็มีธรรมญาณ เป็นตัวตนอันแท้จริงเหลืออยู่ ซึ่งไม่อาจเอาบัญญัติทั้งปวงในโลกนี้มาอธิบาย ธรรมญาณได้เลย"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง คนธรรมดาสามัญทั่วไปว่า "ปุถุชนทำตัวให้ติดพันอยู่กับวัตถุภายนอก ส่วนภายในก็จมอยู่ในความเห็นผิด เรื่อง ความว่างเปล่า เมื่อใดเขาปลดเปลื้องตนเองออกมาเสียจากความผูกพันอยู่กับวัตถุต่าง ๆ ที่เขาได้ประสบและเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากความเห็นผิดเรื่องความขาดสูญ อันเกี่ยวกับคำสอนเรื่องสูญญตา เมื่อนั้นเขาจะเป็นคนอิสระจากอวิชชาความหลงผิดภายใน และจากสิ่งอันเป็นมายาภายนอก บุคคลที่เข้าใจอันแจ่มแจ้งในความจริงอันนี้และใจของเขาสว่างไสวออกไปทันที นี่แหละควรเรียกว่าผู้ได้เปิดตาของเขาแล้วเพื่อการเห็นแจ้งซึ่งพุทธธรรม
คนธรรมดาสามัญยังติดอยูกับรูปลักษณ์ทั้งปวงเพราะฉะนั้นจึงยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ยั้งยืนหรือมีตัวตนอยู่ตลอดกาล เพราะฉะนั้นพอหันเข้าหาภายในย่อมเห็นเป็นตรงกันข้ามคือ ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย บุคคลเหล่านี้จึงมีความเชื่อสุดโต่งสองอย่างคือ ตายแล้วสูญ กับ ตายแล้วเกิด เพราะฉะนั้นชีวิตจริงของคนเหล่านี้จึงเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่ทราบเหตุปัจจัยแห่งการเกิดและไม่เกิด ปุถุชนจึงเห็นมายาเป็นของจริง และเห็นของจริงเป็นมายา ความรู้ที่ผิด จึงกลายเป็นควมไม่รู้ และก่อให้เกิดการยึดถือกันอย่างผิด ๆ การกระทำของคนเหล่านี้จึงกลายเป็นการส่งเสริมตนเองเข้าสู่วังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญย่อมเสพสุขเบียดเบียนผู้อื่น กลายเป็นผู้เห็นแก่ตัว คนที่เชื่อว่าตายแล้วเกิดย่อมละโมบโลภมากสร้างสมบุญเอาไว้เสวยสุขในชาติหน้า
เพราะฉะนั้นคนทั้งสองประเภทนี้ จึงไม่มีอิสระอย่างแท้จริงเพราะถูกความเห็นผิดครอบงำและตกไปสู่วิถีแห่งการเวียนว่าย ธรรมญาณ จึงถูกร้อยรัดด้วยวิบากกรรมของตนเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง "พุทธธรรม" ว่า คำว่า พุทธะ มีความหมายเท่ากับคำว่า ตรัสรู้ ซึ่งควรถูกกำหนดไว้ภายใต้หัวข้อ 4 หัวข้อดังนี้...
เปิดตาขึ้น เพื่อการเห็นแจ้ง ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู้""
แสดงความเห็นแจ้งใน ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็"" นั้นให้ปรากฏ
ตื่นขึ้นเพื่อการเห็นแจ้งใน ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""
เป็นผู้ตั้งมั่นใน ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""
ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงให้รู้ว่า ภาวะแห่งการตรัสรู้ นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว ดังนั้นจึงมิอาจประกาศป่าวร้องบอกใครได้เลยเพราะเหตุนี้การตรัสรู้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกจิอาจารย์ผู้มรฤทธิ์ที่ไหนจักมาสั่งสอนได้ถ้าหากผู้นั้นปราศจากรากฐานแห่งการบำเพ็ญ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายต่อไปว่า เมื่อได้รับการสั่งสอนแล้ว ถ้าเราสามารถจับฉวยและเข้าใจโดยทั่วถึงในคำสอนอันว่าด้วย ""ธรรมอันเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้"" เมื่อนั้นแหละ คุณสมบัติอันประจำอยู่ภายใน หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติอันแท้จริงอันได้แก่ ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""นั้นก็มีโอกาสแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ
ท่านไม่ควรตีความหมายในตัวพระสูตรอย่างผิด ๆ แล้วลงมติเสียในที่สุดว่า พุทธธรรมนั้นเป็นสิ่งมีไว้สำหรับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะไม่เป็นของทั่วไปสำหรับเราทั้งหลายด้วย โดยที่เผอิญไปพบข้อความในพระสูตรที่กล่าวไว้ว่า "เปิดตาขึ้นเพื่อการเห็นแจ้งในพุทธธรรม" แสดงความเห็นแจ้งให้ปรากฏ ฯลฯ ดังนี้ การตีความหมายผิดเช่นนี้ จึงถึงกับเป็นการป้ายร้ายให้แก่พระพุทธเจ้า และเป็นการแช่งด่าพระสูตรนั่นเองทุก ๆ คำที่ตนพูด เพราะเขาก็เป็นพุทธะด้วยองค์หนึ่ง เขาจึงมีโพธิธรรมอันนี้มาด้วยพร้อมแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสำหรับเขาเองที่จะเปิดตาดูสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นท่านควรรับเอาการตีความหมายที่ว่า พุทธธรรม นั้นคือ พุทธธรรมของใจเราเอง หาใช่ของพระพุทธเจ้าอื่นใดที่ไหนไม่""
ใครพบธรรมญาณของตนเอง จึงประจักษณ์แจ้งว่า สูญญตามิใช่สิ่งที่ขาดสูญเสีย แต่การบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้นั้น จึงจักทำให้ธรรมญาณเป็นอิสระพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นแล
-
มีคำกล่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการมองดูสิ่งต่าง ๆ ของคนในโลกนี้ว่า นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนไม่เห็นโลก ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นสัจธรรมว่า บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เกิดกายอยู่ในโลกนี้ต่างไม่รู้ถึงสภาพความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อมรอบตัวเอง เพราะฉะนั้น จักษุของสัตว์จึงบอกต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมองไม่เห็นสภาพอันแท้จริงของมัน จึงหลงใหลและติดยึดกับสิ่งเหล่านั้นต่างพากันแย่งชิงครอบครองในสิ่งที่ไม่ยั่งยืน จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจนัก
บรรดากิเลสทั้งปวงที่ปถุชนสั่งสมเอาไว้ จึงกลายเป็นผงปิดบังดวงตาของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่ง ดวงตาคือแว่นของโลกีย์ทำให้มองเห็นของปลอมเป็นของจริงและพากันดิ้นรนอยากได้ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อคนไม่เห็นโลก ดังนั้น จึงไม่รู้จักทุกข์ ซ้ำร้ายเห็นทุกข์เป็นสุข ดังนั้น จึงแก้ไขทุกข์มิได้เลย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวแก่ พระภิกษุฝ่าต๋าต่อไป "เมื่อถูกทำให้หลงรักโดยอารมณ์อันยั่วยวนและปิดกั้นตัวเองเสียจากแสงสว่างของตัวเอง ด้วยเหตุอันนี้ สัตว์ทั้งปวงจึงระทมทุกข์อยู่เพราะอารมณ์ภายนอก และความเร่าร้อนภายใน จึงได้ตกเป็นเหมือนทาสแห่งตัณหาของตนเองโดยหมดสิ้น เมื่อทรงเห็นเหตุการณ์อันนี้พระพุทธองค์ของเราจึงได้ทรงลุกออกจากสมาธิ เพื่อเร้าใจสัตว์เหล่านั้นด้วยพระโอวาทอันเป็นเครื่องกระตุ้นมีประการต่าง ๆ ให้ย่ำยีตัณหาของตนเอง และเว้นขาดเสียจากการแสวงหาความสุขจากอารมณ์ภายนอกเพื่อว่าเขาจะได้เป็นผู้เสมอกันกับพระพุทะเจ้า เพราะเหตุอันนี้เอง ข้อความในตัวสูตรจึงมีว่า "เปิดตาขึ้นเพื่อเห็นแจ้งพุทธธรรม ฯลฯ"
ข้อความตอนนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริง แห่งการแก้ไขทุกข์ของเวไนยสัตว์ทั้งปวงย่อมต้องอาศัยแสงสว่างแห่งปัญญาของตนเอง พระพุทธองค์ทรงเป็นเสมือนหนึ่งผู้ชี้แนะหรือให้กำลังใจเท่านั้นเอง พระพุทธองค์ทรงมีปัญญาอันสุงส่งและสามารถอรรถาะิบายความทุกข์ทั้งปวงได้ละเอียดอ่อนไพเราะ หากแต่ปวงสัตว์ถ้าปราศจากปัญญาของตนเองแล้วไซร์ย่อมไม่อาจรับรสแห่งโอวาทนั้นได้เลย เพราะเหตุนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้ายังมีผู้คนที่ได้สดับพระธรรมแล้วมิอาจพรตนเองให้พ้นไปจากห้วงแห่งการเวียนว่ายยังคงจ่มลงสู่ห้วงอเวจีนรกเพราะปัญญาของตนเองถูกบดบังด้วยบาปของเวรกรรมแลอารมณ์ทั้งปวง พระเทวทัตน่าจะเป็นประจักษ์พยานความข้อนี้ได้อยู่ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่าข้าพเจ้าได้ตักเตือนคนทั่วไปอยู่เสมอให้เปิดตาของตนเองเพื่อเห็นแจ้งพุทธธรรมในภายในใจของตน แต่ด้วยอำนาจความผิดปรกติของเหล่านั้น เขาพากันทำบาปภายใต้อวิชชาความโง่เขลา ปากของเขาว่ากรุณาแต่ใจของเขาโหดร้าย เขาเป็นคนตะกละ มุ่งร้าย ริษยา คดโกง สอพอ เข้าข้างตัว รุกรานคนอื่น เป็นผู้ทำลายกระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิต ดังนั้นจึงชื่อว่าเขาเปิดตาของเขาขึ้นเพื่อ "ปุถุชนธรรม" ถ้าเขากลับใจของเขาเสียในลักษณะที่ปัญญาปรากฏตัวอยู่ตลอดกาล ใจก็จะมีความเห็นแจ้งในภายในอยู่เป้นปรกติ การทำชั่วก็จะมีการทำดีมาแทนที่ แล้วเขาก็จะลากตัวเองเข้ามาในทางแห่งพุทธรรมได้ด้วยเหตุนั้นความประพฤติหลายประการของปุถุชนมันขัดแย้งกันเองแต่เขาหารู้ตัวไม่และเชื่อว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตรงต่อสัจธรรม มีผู้ที่คิดว่าตนเองใจบุญกำลังยกไก่ย่างขึ้นจบแล้วกล่าวว่า "สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายจงพ้นไปจากเวรภัยทั้งปวง พ้นไปจากทุกข์โศกโรคภัย อย่าจองเวรจองภัยซึ่งกันและกันเลย สาธุ" ผู้กล่าวถ้อยคำเช่นนี้คิดว่าตนเองกำลังสร้างบุญกุศลอย่างใหญ่หลวงแต่เขาหารู้ไม่ว่า วิญญาณของสัตว์เหล่านั้นกำลังโกรธและอาฆาตแค้นเขาอย่างแสนสาหัส เพราะเขากำลังกล่าววาจาอันเป็นเท็จและเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด สัตว์เหล่านั้นมันร้องว่า "แน่ละซี ข้าสุกบนเตาของเจ้าเมื่อเช้านี้แล้วยังไงและใครกันเล่าควรจะเป็นผู้กล่าววาจาว่า อย่าเบียดเบียนอย่าเป็นเวรเป็นภัยซึ่งกันและกันเลย" เพราะฉะนั้นปุถุชนจึงเดินไปสู่หนทางหลงอันแท้จริง แม้มีผู้พยายามชักจูงเข้าสู่หนทางอันถูกต้องปุถุชนเหล่านี้กลับกล่าวหาว่าเป้นผู้หลงเพราะดวงตาของเขาเหล่านั้นเปิดขึ้น เพื่อติดอยู่ในโลกเสมือนหนึ่งปลาที่แวกว่ายอยู่ในสายธารย่อมไม่รู้จักน้ำรอบตัว
ในกรณีของปุถุชน "ความรู้ท่วมหัวจึงเอาตัวไม่รอด" ด้วยประการฉะนี้ เพราะความรู้จักอยู่ในสัญญาขันธ์ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันย่อมแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา ถ้า "ความรู้ " แก้ทุกข์ได้ผู้ที่ร่ำเรียนมีความรู้มากมายย่อมปราศจากทุกข์ แต่ตามความเป็นจริง "ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก" เพราะผู้ที่มีความรู้ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมหรือทางโลกก็ยังคงเป็นไปตามสภาพของ "จักษุแห่งปุถุชน" นั่นแล
-
พุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนไม่น้อยมีความเข้าใจผิดต่อการท่องบ่นพระสูตรต่าง ๆ ด้วยความหลงว่าเป็น มนตราอันศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลสิ่งที่ตนเองปรารถนาได้ "สวดยอดกระกัณฑ์ไตรปิฏก 108 จบเมื่อไหร่ก็ไปนิพพานได้" "ถ้าเช่นนั้นนกแก้วก็คงมีโอกาสไปนิพพานเช่นกันนะ"
ความจริงพระสูตรต่าง ๆ นั้นเป็นคำสอนของพระศาสดาหรือพระอริยเจ้าทั้งปวงผุ้ที่เคยสดับคำสอนเหล่านี้มีความซาบซึ้งจึงบันทึกเอาไว้ แต่พอพุทธศาสนาแผ่เข้าไปในประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาแตกต่างกันชนชาวพื้นเมืองต่างไม่รู้จักภาษานั้น จึงได้แต่ท่องบ่นและเห็นเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระสูตรมิได้อยู่ที่อักษรหรือสำเนียงการท่องบ่นแต่ประการใด ความหมายของพระสูตรนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า แต่เพราะอ่านไม่เข้าใจและไม่รู้ความหมายการท่องจำจึงผิดเพี้ยนกลายมาเป็นการสวดเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ และส่งเสริมกิเลสความโลภเข้าครอบงำไปโดยไม่รู้ตัว
พระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงกล่าวแก่พระภิกษุฝ่าต๋าว่า "ท่านควรจะเปิดตาของท่านอยู่ทุกขณะ มิใช่เพื่อปุถุชนธรรมแต่เพื่อพุทธธรรมซึ่งเป็นสิ่งอยู่เหนือวิสัยโลก ในเมื่อปุถุชนธรรมเป็นของอย่างโลก ๆ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากท่านติดแน่นอยู่แต่ในความคิดของตัวเองว่าเพียงแต่สาธยายพระสูตรประจำวันอย่างเดียวก็เป็นการดีเพียงพอแล้ว ดังนี้ท่านจะหลงรักมันเหมือนจามรีหลงรักพวงหางของมันเอง" คนที่ติดยึดอยู่แต่การท่องบ่นมนตราตามพระสูตรจึงไม่พ้นเวียนว่ายในวัฏสงสาร จิตจึงวนอยู่แต่ในความโลภ โกรธ หลง และมือทึบต่อหนทางแห่งปัญญา คนหลงเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าตนเองมีกิเลสร้อยแปดบิดบังธรรมญาณของตนเองไว้ พระภิกษุฝ่าต๋าจึงถามว่า " ถ้าเป้นดังนั้น เราเพียงแต่รู้ความหมายของพระสูตรก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องสาธยายข้อความนั้น ๆ ถูกไหมขอรับ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "ไม่มีอะไรเป็นของผิดอยู่ในพระสูตรจนถึงกับท่านจะเลิกท่องเสียเลย การสาธยายพระสูตรจะช่วยให้ท่านตรัสรู้ธรรมหรือไม่ จะเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านหรือไม่ ข้อนั้นทั้งหมดมันเนื่องอยู่ที่ตัวท่านเอง" ความหมายแห่งการสาธยายพระสูตร จึงอยู่ที่คนท่องมากกว่าอยู่ที่พระสูตร เพราะเนื้อหาใจความแห่งพระสูตรล้วนแล้วแต่เป็นหนทางแห่งปัญญาพาให้พ้นทุกข์ทั้งสิ้น แต่เพราะผู้สาธยายมืดบอดทางปัญญาจึงมองไม่เห็นอัญมณีในพระสูตรนั้น ๆ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "ผู้ที่ท่องพระสูตรอยู่ที่ปากและเอาข้อความไปปฏิบัติอยู่เสมอด้วยใจ คนนั้นชื่อว่า"พลิก"พระสูตร ส่วนผู้ที่ท่องพระสูตรแต่ปาก ปราศจากการปฏิบัติแต่อย่างใดผู้นั้นชื่อว่า "ถูกพลิกเสียแล้ว" โดยพระสูตรที่เขาท่องนั่นเอง "เมื่อใจของเราตกอยู่ภายใต้อวิชชา สัทธรรมปุณฑริกสูตร "พลิกเรา" เมื่อมีใจสว่างไสวในธรรม เมื่อนั้นเรากลับ"พลิก" สัทธรรมปุณฑริกสูตร การสาธยายสูตรนับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่ทราบความหมายย่อมแสดงว่า ท่านเป็นแขกแปลกหน้าต่อใจความของพระสูตร วิธีที่ถูกต้องสำหรับการสาธยายพระสูตรก็คือ อย่ายึดถือตามความเห็นของตัว มิฉะนั้นแล้วมันจะต้องพลาด ผู้ที่อยู่เหนือ "การรับ" และ "การปฏิเสธ" ย่อมนั่งอยู่เนืองนิจบนเกวียนม้าขาว" ความหมายของเกวียนม้าขาวคือ พุทธยานอันเป็นการเหนือวิสัยแห่งโลกโลกีย์ เพราะผู้ที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของโลกย่อมมีการตอบโต้ยอมรับในสิ่งที่ปรารถนา แต่ปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ปรารถนา คุณภาพของโลกีย์มี ดี และ ชั่ว คุณภาพจิตใจอย่างโลกีย์ จึงมี บาป และ บุญ แต่พุทธจิตย่อมอยู่เหนือ ดี ชั่ว เพราะฉะนั้นดวงตาแห่งพุทธธรรมจึงมองได้รอบด้าน ความเข้าใจในพระสูตรจึงถูกต้องตรงต่อสัจธรรมที่พระศาสดาตรัสเอาไว้ ผู้ที่ติดอยู่ใน ความดี หรือ ความชั่ว ย่อมมองเห็นเพียงด้านเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นสภาพแห่งความเป็นจริงอันแท้ของสิ่งเหล่านั้น หลวงพ่อองค์หนึ่งบอกกับชายยากจนคนหนึ่งว่า "ถ้าเธออยากร่ำรวยก็จงท่องคาถาบทนี้ให้ขึ้นใจ ถ้าท่องได้วันละหนึ่งร้อยเที่ยวเธอก็มีโอกาสเป็นเศรษฐีอย่างน้อย ๆ ก็ร้อยล้าน" "แล้วคาถานั้นว่าอย่างไรครับหลวงพ่อ" "จำไว้นะ ถ้าจำไม่ได้ก็จดเอาไว้ วิริเย ทุกขมัจเจติ" ชายผู้นั้นแสนดีใจนัก กลับไปถึงบ้านไหว้พระทุกเช้าและท่องคาถานี้มิได้ขาด แต่ท่องไปเป็นหมื่นครั้งแล้วความรวยก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาหาสักที เขาก็ได้แต่โทษตัวเองว่าท่องสำเนีบงไม่ถูกต้อง ศรัทธาของตัวเองก็ยังไม่กล้าแข็ง เพราะฉะนั้นท่องคาถานี้ไปตลอดชีวิตชายผู้นี้ย่อมยากจนไปตลอดชีวิตด้วยไม่เข้าใจความหมายแห่งคาถาและไม่อาจนำไปปฏิบัติได้เลย ความโลภได้ปิดบังดวงตาปัญญาโดยสิ้นเชิง เขามองเห็นแต่คนอื่นที่รวยและเชื่อว่าคนเหล่านั้นประสบผลสำเร็จเพราะคาถาอันศักดิ์สิทธิ์นี้เอง แม้เขารู้ถึงความหมายของคาถาว่า "คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร" แต่เพราะจิตใจยังข้องแวะอยู่กับโลกีย์ จึงมองเห็นความทุกข์มิใช่การเวียนว่าย แต่เป็นเพราะปราศจากทรัพย์ ด้วยเหตุนี้ จึงแสวงหาทุกข์ใส่ตัวชาติแล้วชาติเล่าไม่สิ้นสุด เขาจึงเป็นผู้ถูกอิทธิพลของคาถาลากจูงไปในความโง่นั่นแล
-
แต่ละศาสนาในโลกนี้ภายหลังสิ้นพระศาสดาของตนไปแล้วบรรดาสาวกต่างคนต่างตีความหมายคำสอนของศ่สดาแตกต่างกันจึงแบ่งแยกออกเป็นนิกายมากมายจนสุดประมาณและเข่นฆ่าล้างผลาญกันจนไม่น่าเชื่อว่านับถือศาสดาองค์เดียวกันเหตุไฉนจึงทะเลาะกันไม่เลิก "ทำไมถึงเป็นอย่างนี้" "เพราะศาสนามีรูปลักษณ์ย่อมตั้งอยู่ในกฏของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสื่อมสิ้นสลายไปเพราะ "มี" เป็นเหตุ" "มีศาสนาใดบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง" "มีเพียงศาสนาเดียวในโลกนี้ที่ไม่มีนิกาย จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบ่งแยก ได้แก่ ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื๊อ เพราะมีแต่บำเพ็ญคุณธรรมปราศจากรูปลักษณ์"
ศาสนิกทั้งปวงไม่ทราบถึงความแตกต่างระหว่าง "ธรรมะ" กับ "ศาสนา" จึงมีความคิดอันผิดแผกว่า ศาสนาคือธรรมะ หรือ ธรรมะคือศาสนา ความจริงตัวศาสนามิใช่สัจธรรม แต่เพราะพระศาสดาตรัสรู้ สัจธรรมและนำเอามาเผยแผ่จนกลายเป็นพระคัมภีร์ให้คนเคารพนับถือเชื่อฟังเท่านั้น
สัจธรรมไร้รูปลักษณ์แต่คงทนไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นบรรดาศาสนาโบราณที่ล้มหายตายจากไปมีอยู่มากมาย แต่สัจธรรมที่ศานานั้น ๆ นำมาเผยแผ่ยังคงเป็นสัจธรรมมิได้สูญหายไปจากไหน แต่พระคัมภีร์ได้กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของศาสนิก เพราะฉะนั้นบางคนบูชาคัมภีร์เฉกเช่นพระศาสดาไม่ยอมให้ใครเตะต้อง แต่บางคนมีสติปัญญาล้นเหลือตีความหมายของอารมณ์ตนเองจนกลายเป็นคัมภีร์ใหม่และเผยแผ่หาผู้มายึดถือจนกลายเป็นนิกายใหม่ ๆ เมื่อภิกษุฝ่าต๋าได้ฟังคำอธิบายจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแจ่มแจ้งว่าแท้ที่จริงมิได้อยู่ที่คัมภีร์แต่อยู่ที่ตนเองหากยังมืดมัวต่อธรรมญาณแล้วย่อมถูก พระสูตร พลิก ไปตลอดน้ำตาแห่งความปลื้มปรีติ จึงหลั่งออกมาแล้วกล่าวว่า "เป็นความจริงที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าไม่สามารถ "พลิก" พระสูตร มีแต่พระสูตรเท่านั้นที่ พลิก ข้าพเจ้า พระภิกษุฝ่าต๋าจึงกราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงต่อไปว่า "พระสูตรได้กล่าวว่านับแต่พระสาวกขึ้นไปจนถึงพระโพธิสัตว์แม้ท่านเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดกำลัง ก้ไม่สามารถที่จะเข้าใจทั่วถึงในพุทธธรรม"ดังนั้น แต่ใต้เท้าได้ทำให้กระผมเข้าใจว่า แม้คนธรรมดาเราถ้าเข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมญาณของตน เขาก็ได้ชื่อว่าลุถึงพุทธธรรมแล้ว ดังนี้กระผมเกรงไปว่ายกเว้นพวกที่เฉียบแหลมอย่างยิ่งเสียแล้ว คนนอกนั้นจะสงสัยไม่เชื่อคำสองของใต้เท้า ยิ่งกว่านั้น ในสูตรมีกล่าวถึงยาน 3 ชนิด คือเกวียนเทียมด้วยแพะ (สาวกยาน) เกวียนเทียมด้วยกวาง (ปัจเจกพุทธยาน) และเกวียนเทียมด้วยวัว(โพธิสัตว์ยาน) แล้วก็ยานทั้งสามนี้ผิดแผกแปลกแตกต่างไปจากเกวียนวัวขาวอย่างไรเล่า" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า"ในข้อนี้พระสูตรได้แสดงไว้ชัดเจนแล้ว ท่านเองต่างหากที่เข้าใขผิด เหตุผลที่ว่าทำไมพระสาวก พระปัจเจกพุทธะและพระโพธิสัตว์ไม่สามารถเข้าใจในพุทธธรรมได้ก้เพราะท่านเหล่านั้นเพ่งจ้องต่อพุทธธรรมท่านเหล่านั้นสามารถประมวลกำลังความเพียรทั้งหมดเพื่อเพ่งก็จริง แต่เขายิ่งเพ่งหนักเท่าไร เขาก็ยิ่งห่างออกไปจากธรรมนั้นมากขึ้นเพียงนั้น ความหมายแ่ห่งคำตอบนี้หากนำเอาเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระอานนท์พุทธอุปฐากที่พยายามเร่งบำเพ็ญเพื่อให้พบธรรมญาณ อันเป็นทางแห่งการตรัสรู้เพื่อให้ทันต่อการเข้าประชุมสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งแรกอันประกอบไปด้วยพระอรหันต์ทั้งสิ้น พระอานนท์ยิ่งเร่งก็ยิ่งห่างไกลต่อความสำเร็จจนกระทั่งปล่อยวางเอนตัวลงนอน ในภาวะบัดนั้นก็พบธรรมญาณแห่งตนเป็นผู้บรรลุพระอรหันต์ด้วยท่าเอนกายลงนอนนั่นเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปอีกว่า พระโคตมะพุทธะได้ตรัสพระสูตรนี้แก่คนธรรมดาทั่วไป มิใช่ตรัสแก่พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ด้วยกัน แต่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถรับเอาคำสอนที่พระองค์ทรงแนะให้ พระองค์ก็ปล่อยให้เขาหลุดจากหมู่ดูเหมือนท่ายังไม่ทราบว่า เพราะเหตุได้นั่งอยู่บนเกวียนวัวขาวเรียบร้อยแล้วเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะออกเที่ยวแสวงหาเกวียนอื่นอีกสามชนิดเหล่านั้น ยิ่งกว่านั้นพระสูตรก้ได้บอกแก่ท่านอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า มีแต่พุทธยานเท่านั้นไม่มียานอื่นที่ไหนอีกในฐานะเป็นยานที่สองที่สาม เหตุที่จะให้เราเข้าใจในยานอันเอกอันนี้เอง พระพุทธองค์จึงได้ทรงสั่งสอนเรา ด้วยวิธีที่พระองค์ทรงช่ำชองมาแล้วมีปริยายต่าง ๆ ทรงใช้เหตุผลและข้อถกเถียงมีปริยายต่าง ๆ พร้อมทั้งนิทานและภาพเปรียบเทียบและอื่น ๆ ทำไมท่านจึงไม่อาจเข้าใจได้ว่ายานทั้งสามเหล่านั้นเป็นของชั้นสมมุติให้เด็กเล่น สำหรับใช้กับเรื่องที่ล่วงไปแล้ว ๆ ส่วนยานอันเอกคือพุทธยานนั้นเป็นของชั้นยอดเยี่ยมและเพื่อใช้ในเรื่องปัจจุบัน ๆ
ความหมายแ่ห่งพุทธยานคือ ผู้รู้ความเคลื่อนไหวแห่งจิตของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นความรู้อันสูงสุดและถ้าสามารถใช้กำลังปัญญาตัดกิเลสทั้งปวงได้หมดสิ้นย่อมเป็นปัญญาอันเลิศ ดังนั้นผู้ที่สามารถใช้ปัญญาเช่นนี้ได้ทันท่วงทีในปัจจับันสมัยเท่านั้น จึงพ้นไปจากการเวียนว่ายทั้งปวง เมื่อก้าวไปถึงความสูงสุดแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องแสวงหายานใด ๆ สภาวะเช่นนั้น จึงเรียกว่าเป็น "ธรรมญาณ" ของตนเองที่ไม่มีใครมาบัญญัติว่าเป็นอะไรได้เลย
-
พุทธะภาวะมีอยู่แล้วในทุกตัวคน เพียงแต่ใครสามารถค้นพบด้วยตนเองได้ก่อนเท่านั้น แต่มีคนเป็นจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่า พุทธะ อยู่นอกตัว จึงค้นหาจากตำราบ้าง จากเกจิอาจารย์บ้างหรือแม้แต่รูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอีกพวกหนึ่งแสวงหาพุทธะในตัวเองด้วยการนั่งสมาธิค้นหากันชาติแล้วชาติเล่าก็ยังหาไม่พบ เพราะประเภทหลังนี้ต่างนั่งหลับหูหลับตากำหนดท่าทางต่าง ๆ ด้วยคิดว่าวิะ๊การเช่นนี้จักค้นพบธรรมญาณของตน คนทั้งสองประเภทนี้ล้วนหลงผิดทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งภิกษุจื้อทง ซึ่งเป็นชาวบ้านโซ่วโจวแห่งอันเฟิง อ่านลังกาวตารสูตรเกือบพันครั้ง แต่ไม่สามารถเข้าใจความหมายของ ตรีกายและปัญญาทั้งสี่ ด้วยเหตุนี้จึงไปหาพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเพื่อให้ช่วยอธิบายความหมาย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงอธิบายว่า "ในการทั้งสามนั้นธรรมกายอันบริสุทธิ์ก็คือตัวธรรมชาติตัวแท้ของท่านนั่นเอง สัมโภคกายอันสมบูรณ์ก็คือ ตัวปรีชาญาณของท่าน ส่วนนิรมานกายนับด้วยหมื่นแสนก็คือการกระทำกรรมต่าง ๆ ของท่าน ถ้าหากจะให้กายทั้งสามนี้เป็นของต่างหากจาก ธรรมญาณ มันก็เกิดมี "กายซึ่งปราศจากปัญญา" ขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าท่านเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า กายทั้งสามนี้ ไม่มีตัวตนแท้จริงของมันเองอะไรที่ไหนอีก เพราะมันเป็นเป็นแต่เพียงสมบัติของธรรมญาณดังนี้แล้วท่านก็จะบรรลุถึงโพธิของปัญญาสี่ประการโดยแน่นอน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตรีกาย หรือ ปัญญาทั้งสี่ประการ ล้วนรวมอยู่ภายในธรรมญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นมากมายล้วนแต่มีแหล่งกำเนิดมาจากธรรมญาณทั้งหมด แต่สรรพสิ่งนั้นมิใช่ธรรมญาณอันแท้จริง เพราะสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นหามีวิญญาณความรับรู้ไม่ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวโฉลกอันน่าสนใจว่า "กายทั้งสามมีอยู่แล้วในธรรมญาณของเราซึ่งโดยการงอกงามของธรรมญาณนั่นเอง ปัญญาทั้งสี่ก็ปราฏกตัว เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านไม่ต้องหลับหูหลับตาหรืออุดหูของท่านเพื่อหลีกอารมณ์ภายนอก ท่านก็สามารถเข้าถึงพุทธะภาวะได้โดยจัง ๆ หน้ากับอารมณ์ เมื่อข้าพเจ้าได้อธิบายแก่ท่านอย่างเปิดเผยจนเห็นเองเช่นนี้แล้ว จงเชื่ออย่างแน่วแน่เถิด ท่านจะหลุดพ้นจากความหลงตลอดไป อย่าไปตามคนพวกที่แสวงหา "การตรัสรู้" จากภายนอกกาย คนพวกนี้พูดถึงโพธิอย่างพร่ำเพรื่ แต่ตัวเองยังไม่เคยรู้เห็นเสียทีความหมายแห่งโฉลกนี้ชี้ให้เห็นว่าการค้นพบภาวะแห่งพุทธะไม่จำเป็นต้องสลัดตัดอารมณ์แต่อย่างใดเพราะ ตรีกายและปัญญาที่มีอยู่แล้วในธรรมญาณย่อมไม่หนีไปไหน เพียงแต่เกิดปัญญาสว่างโพลงขึ้นมาก็สามารถรู้แจ้งในโพธิปัญญาเหมือนดังตัวอย่่างของอาจารย์ผู้แสวงหาธรรมญาณ ด้วยการคร่ำเคร่งนั่งหลับตาทำสมาธิในที่วิเวกชายป่า พระอาจารย์ผู้รู้แจ้งท่านหนึ่งจึงได้ไปนั่งขัดหินอยู่หน้าอาศรม อาจารย์ผู้นั่งหลับตาทำสมาธิลืมตาขึ้นเห็นพระอาจารย์ขัดหินอยู่ ทีแรกก็มิได้ว่ากระไร แต่ลืมตาทีไรก็เห็นพระอาจารย์ขัดหินอยู่จึงอยากรู้ว่าขัดไปทำไม "ท่านมานั่งขัดหินทำอะไรหรือ" "เราต้องการหินนี้กลายเป็นกระจก"พระอาจารย์ตอบ "เอ๊ะในโลกนี้มีด้วยหรือที่ขัดหินจนได้กระจก" ""อ้าวแล้วนั่งสมาธิหลับตาหาพระพุทธะพบหรือ""พระอาจารย์ถามกลับ การหลับหูหลับตาหาพระพุทธะในตัวเองย่อมไม่อาจพบได้ เพราะกิริยาอาการเช่นนี้ก็ยังคงเป็นการแสวงหาพระพุทธะนอกตัวจริงของตนเอง "ตัวจริงแท้เป็นไฉน" "ไม่มีรูปลักษณ์ให้พบเห็นได้เลย" "แต่พอหลับตาภาวนาจิตก็สงบ มิใช่พุทธะหรือ" "เมื่อเป็นจิตย่อมมิใช่พุทธะ เพราะจิตที่สงบย่อมคิดอะไรมิได้ มีแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปตามธรรมชาติของจิต"
ปัญหาที่โต้ตอบและหาข้อยุติกันมิได้มีอยู่สองประการคือ จิต กับ ธรรมญาณเพราะผู้ปฏิบัติบำเพ็ญมักสับสนเห็นเป็นเรื่องเดียวกันโดยสภาวะของจิตที่เคลื่อนไหว คิดเรื่องร้อยแปดพันประการนั้นย่อมิใช่สภาวะแห่ง "ธรรมญาณ" อย่างแน่นอน การนั่งหลับตาภาวนาจึงเป็นเพำียงการพบจิตที่นิ่งสงบเท่านั้น แตมิได้พบ "ธรรมญาณ" ของตนเองเพราะฉะนั้นบรรดานักนั่งสมาธิทั้งปวงจึงไม่อาจค้นพบธรรมญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงแท้ของตนเองได้เลยเพราะจิตติดยึดต่ออุปาทานทั้งปวงที่สร้างขึ้นมากมายหลายหมื่นรูป เมื่อ "ธรรมญาณ" ไหวตัว ได้สร้างจิตขึ้นมามากมายตามเหตุปัจจัยส่งเสริม บรรดา " จิต" เหล่านี้จึงเป็นของนอก "ธรรมญาณ" ทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นใครติดยึดอยู่เพียงแค่นี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นหา "พระพุทธะ" นอกตัวเอง แม้การบำเพ็ญภาวนา "จิต" จนมีกำลังกล้าแข็งแสดงอิทธิฤทธิ์ได้มากมายก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าค้นพบ "ธรรมญาณ" เพราะคนเหล่านั้นไม่มีทาง "รู้แจ้ง" หรือพบ ธรรมญาณ อันแท้จริงซึ่งเป็นสภาวะอันยากที่จักใช้ภาษาในโลกนี้มาบรรยายให้เข้าใจได้เลย เพราะฉะนั้นการหลับหูหลับตาค้นหา "พระพุทธะ" จึงเป็นเรื่องน่าสมเพชเพราะค้นกันข้ามภพข้ามชาติก็ไม่อาจพบได้เลย
-
มีพระพุทธวจนะอยู่บทหนึ่งซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ของผู้สนใจใฝ่ศึกษาพระพุทธธรรมว่า "ยิ่งอยากได้ ย่อมไม่ได้" และแม้ในทางการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า "ยิ่งแสวงหาพระนิพพานยิ่งไม่พบพระนิพพาน" ความนัยแห่งพระพุทธวจนะนี้ย่อมต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ ซึ่งผลสำเร็จของการใช้ปัญญาแยกแยะก็คงกลายเป็นเพียงความรู้เท่านั้น แต่การปฏิบัติให้เป็นไปตามพระพุทธวจนะนับเป็นเรื่องยากที่พานพบ แต่ก็ไม่ยากจนเกินวิสัยของมนุษย์ เพราะตามความเป็นจริงนิพพานมีอยู่ในธรรมญาณของตนเองแล้ว เหตุไฉนจึงต้องขนขวายหาจากที่อื่นด้วยเล่า พระภิกษุจื้อทงจึงขอร้องต่อพระธรรมาจารย์ได้กรุณาชี้แจงเกี่ยวกับปัญญาทั้งสี่นั้นมีภาวะเป็นอย่างไร พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า"ถ้าท่านเข้าใจในเรื่องกายสามนี้แล้ว ท่านก็จะเข้าใจในเรื่องปัญญาทั้งสี่ได้เอง ฉะนั้น คำถามของท่านจึงเป็นของไม่จำเป็น ถ้าท่านทำให้ปัญญาทั้งสี่อยู่ต่างห่างจากกายทั้งสามเสียแล้ว ก็จะเกิดปัญญาที่ปราศจากกายขึ้นโดยแน่นอน ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้ มันหาใช่ปัญญาไม่" ความหมายแห่งพระวจนะตรงนี้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า ปัญญามีอยู่แล้วในธรรมญาณและมิใช่ของสองสิ่งที่แยกออกจากกันได้ แต่ที่เห็นเป็นปัญญาก็เพราะแสดงบทบาทของธรรมญาณ ออกมาเป็นปัญญา เพราะฉะนั้น ตรีกาย อันประกอบไปด้วย ธรรมกาย สัมโภคกาย และ นิรมานกาย ล้วนแล้วแต่มีปัญญาอยู่ด้วยทั้งสามกาย หากมีแต่กายก็ไร้ปัญญา กายนั้นหาใช่ ตรีกายความหมายอันแท้จริงไม่ แต่กายเป็นรูปนิมิต ที่ไร้สาระแต่ทำให้ผู้ไร้ปัญญาหลงติดยึดกันชั่วกัปกัลป์ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวโฉลกอันเนื่องด้วยปัญญาว่า " ปัญญาอันเปรียบด้วยกระจกส่อง" นั้นบริสุทธิ์อยู่เองโดยธรรมชาติ ปัญญาเห็นความเสมอภาค"นั้นย่อมเปลื้องจิตเสียจากเครื่องกั้นทั้งปวง "ปัญญาเห็นสิ่งทั้งปวง"นั้น เห็นสิ่งทั้งปวงแจ่มแจ้งโดยไม่ต้องอาศัยแนวแห่งเหตุผล "ปัญญาเครื่องกระทำสิ่งทั้งปวง"นั้นมีลักษณะอย่างเดียวกับ "ปัญญ่อันเปรียบเหมือนกระจกส่อง" ความหมายแห่งโฉลกนี้ยืนยันสัจธรรมว่าปัญญาอันแท้จริงมีความบริสุทธิ์สะอาดอยู่แล้ว เพราะปราศจากเครื่องปรุงแต่งทั้งปวงเป็นความสะอาดพิสุทธิ์ที่ไม่สามารถนำเอาทั้งความดีและความชั่วลงไปได้ คนทุกคนจึงเสมอภาคเท่าเทียมกัน เศรษฐีและยาจก จึงมีโอกาสทำบาปและทำดีได้เท่าเทียมกัน แม้ผลแห่งการกระทำนั้นก็เสมอกัน เศรษฐีดีใจที่มีกำไรพันล้าน ขอทานย่อมดีใจที่หาเงินได้พันบาท ความดีใจของสองคนมีค่าเสมอกัน และที่ชัดเจนที่สุดเมื่อขอทานและเศรษฐีทิ้งกายสังขารต่างก็ไปมือเปล่าด้วยเหมือนกัน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "วิญญาณทั้งห้าข้างต้น และ อาลัยวิญญาณ ย่อมแปรรูป เป็นปัญญาในขั้นที่ตรัสรู้เป็นพุทธะอย่างเดียวกับที่ กลิษตมโนวิญญาณและ มโนวิญญาณแปรรูปเป็นปัญญาในขั้นที่เป็นเพียงโพธิสัตว์ คำที่เรียกว่า "การแปรรูปของวิญญาณ" ดังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อที่ใช้เรียกเท่านั้น ส่วนตัวจริงก็หามีอะไรเปลี่ยนไม่ เมื่อใดท่านสามารถเปลื้องตัวเองให้หมดจดจากความผูกพันธ์์ของโลกิยารมณ์ในขณะที่มี "การแปรรูปของวิญญาณ" ดังกล่าวมาแล้ว เมื่อท่านได้ชื่อว่าตั้งอยู่ในนาคสามธิอันทยอยกันเกิดขึ้นติดต่อกันไปตลอดกาลเนืองนิจ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ชี้ให้เห็นว่า วิญญาณทั้งห้าอันประกอบไปด้วย จักษุ โสต ฆาน ชิวหา ผัสสะ จิต กับ การเห็นโลกย่อมแปรเปลี่ยนเป็นการตรัสรู้เป็นพระพุทธะได้ เช่นเดียวกับวิญญาณเฉพาะตนและความนึกคิดย่อมแปรรูปเป็นปัญญาขั้นพระโพธิสัตว์ และไม่แน่ว่าความรู้สึกนึกคิดแปรเปลี่ยนไปแปดหมื่นสี่พันรูปและนาม ตัวจริงแท้เรียกว่า ธรรมญาณ แห่งตนนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเลย
เมื่อเข้าถึงพุทธะภาวะ วิญญาณทั้งห้าจะแปรรูป เป็นปัญญา เครื่องกระทำทั้งปวง อาลัยวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องของโลกจึงเป็นเช่นกระจกส่อง แต่ใน ธรรมญาณ ไม่มีอะไรที่เป็นการแปรรูป แต่การตรัสรู้ที่เรียก "ปัญญา" หากยังไม่ตรัสรู้ ก้เรียกว่า วิญญาณคือการรับรู้ มิได้เกิดความรู้แจ้ง ปุถุชน ซึ่งเป็นผู้รับรู้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่อาจแยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นสัจธรรมหรือไม่ แต่พอแยกแยะและกระทำตามสภาพแห่งความรู้นั้นจึงกลายเป็นปัญญาแห่งการตรัสรู้ เมื่อสภาวะเป็นเช่นนี้ การแสวงหานิพพานนอกธรรมญาณของตนเองด้วยการไปติดอยู่ที่การปรุงแต่งและกำหนดหมายสิ่งใดก็ตามผู้ปฏิบัติเช่นนี้ก็ติดตรึงหรือสร้างสรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะอำนาจของตัณหา คือ ความอยากชักนำไปโดยไม่รู้ตัว เช่น นิมิตเห็นดอกบัว และสามารถขยายใหญ่เล็กได้ตามใจปรารถนา ความปรีติย่อมเกิดขึ้นและเห็นเป็นความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติธรรม บางรายได้รับคำชี้แจงว่าการเห็นดอกบัวยังเป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น ถ้าปรารถนาความสำเร็จแห่งการบำเพ็ญย่อมต้องเข้าถึงธรรมกายอันเป็นรูปลักษณ์ของพระพุทธรูป ครั้นจิตกำหนดหมายสร้างเป็นพระพุทธรูปใสดังดวงแก้วจึงเกิดความปิติสุขและหลงคิดว่าเข้าถึงพระธรรมกายได้แล้ว เพราะฉะนั้นตัณหาที่ซ่อนอยู่ในรูปของความยินดีจึงกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้จิตพ้นไปจากภาวะของ "ธรรมญาณ" ชนิดกู่ไม่กลับ คนเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรกับคนแก่สวมแว่นตาเอาไว้บนศรีษะตนเองแล้วหาไม่พบนั่นแล
-
ร่างกายของเราล้วนเป็นของเทียมแท้ เพราะไม่มีใครบังคับหรือกำหนดให้มั่นคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะเหตุนี้จึงกำหนดว่าเป็น "ของปลอม" แต่เพราะคนติดอยู่กับของปลอมจึงเห็นเป็น "ของจริง" ยึดมั่นไม่วางลงไป จิตใจของคนเหล่านั้นจึงสับสนกระวนกระวายเมื่อเกิดอาการเปลี่ยนแปลง พระพุทธองค์ทรงค้นพบว่าภายในกายปลอมนี้มีของจริงอันเป็นสัจธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยคือ "ธรรมญาณ" เพราะฉะนั้นจึงสามารถเวียนว่ายอาศัยอยู่ตามรูปลักษณ์แตกต่างไปตามกรรมที่ตนเองปรุงแต่งเอาไว้ ภายใน "ธรรมญาณ" นั้นเองมีพระพุทธะอยู่และมี "มาร" จับจ้องสำแดงเดชอยู่ตลอดเวลาหาก ปัญญา เกิดไม่ทัน มาร ก็เอาธรรมญาณไปครองเสีย ถ้าความเห็นผิด วิถีแห่งการบำเพ็ญปฏิบัติก็ย่อมผิดแผกแตกต่างไปจาก "สัจธรรม" และพ้นไปจากหนทางของพระพุทธะแต่กลับเข้าสู่เส้นทาง มาร โดยตนเองหารู้ตัวไม่ เพราะเหตุนี้ "ความรู้แจ้ง" ในปัญญาของตนเองจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกัน มาร นั่นเอง
พระภิกษุจื้อทง เห็นแจ้งในปัญญาแห่งธรรมญาณในขณะนั้นเอง จึงได้กล่าวโฉลก แด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "แน่นอนเหลือเกิน กายทั้งสามมีอยู่ในธรรมญาณ เมื่อใจเรารู้ธรรมสว่างไสว ปัญญาทั้งสี่ก็ปรากฏเด่นอยู่ในนั้น เมื่อใด กาย และ ปัญญาเหล่านั้น เกิดความรู้แจ้งซึ่งกันและกันว่าเป็นของอันเดียวกันแล้ว เมื่อนั้นเราก็สามารถตอบสนองคำขอร้องของสัตว์ทั้งปวง โดยเหมาะสมแก่อุปนิสัยและอารมณ์ของสัตว์นั้น ไม่ว่าสัตว์นั้นจะอยู่ในรูปร่างชนิดใด การเริ่มต้นปฏิบัติ ด้วยการแสวงหากายทั้งสามและปัญญาทั้งสี่ นั้นเป็นการถือเอาทางผิดโดยสิ้นเชิง การพยายามจะ "จับฉวย" หรือ " กุมตัว " สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อธรรมชาติแท้ของมันอย่างตรงกันข้าม เพราะอาศัยใต้เท้าแหละขอรับ บัดนี้กระผมจึงสามารถจับใจความอันลึกซึ้งของมันได้ และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กระผมสามารถสลัดทิ้งความเท็จเทียมและชื่อต่าง ๆ ที่หลงตั้งขึ้นเรียกตามโมหะของตน ตลอดนิจกาล" ความหมายแห่งโฉลกนี้ได้ยืนยันชัดเจนว่า ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมานกาย ตลอดจนปัญญาทั้งสี่ ล้วนสถิตอยู่ในธรรมญาณเหมือนกัน แต่คนทั่วไปมักคิดว่าเป็นของคนละอย่างเพราะฉะนั้นจึงสำแดงอาการผิดแผกไปจากธรรมดาสามัญโดยจับฉวยเอาอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นรูปลักษณ์ของตนเอง บางคนอาศัยอำนาจจิตสร้างอิทธิฤทธิ์ บางคนแต่งกายผิดไปจากกลุ่มชนเพื่อสำแดงให้เห็นว่าตนเองสูงส่งกว่าชนทั้งหลาย และผู้ปฏิบัติเช่นนี้ล้วนแยกตนเองไปจากคนทั้งปวง แลเห็นผู้อื่นต่ำกว่าตนเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปกล่าวถึงว่า เขาจะเห็นสรรพสัตว์ทั้งปวงเสมอกันด้วย "ธรรมญาณ" เหมือนมนุษย์เพียงแต่เหตุปัจจัยแตกต่างกัน อาการสำแดงออกจึงไม่เหมือนกัน แต่ความรับรู้เหมือนกัน
สมัยหนึ่ง ผู้เขียน ได้จ้างให้แม่ค้าคนหนึ่งไปหา รังมดลี่ ซึ่งเป็นมดสีน้ำตาลปนดำชอบคาบดินขึ้นไปทำรังบนต้นไม้ แม่ค้า จัดแจงเอารังมดลี่มาวางไว้หน้าบ้าน มดเหล่านั้นออกจากรังขึ้นบ้านผู้เขียนเต็มไปหมด "แล้วเอารังมดมาทำไมกัน" "เอามาทำยารักษาโรคหืดหอบดีนักแล" "รักษาอย่างไรหรือ" "เอาแต่ดินนั้นมาต้มน้ำจนเดือดและปล่อยให้เย็นลงจนรังมดนอนก้น รินแต่น้ำ และดื่มสามเวลาหลังอาหาร ดื่มเพียงห้ารัง ๆ หนึ่งต้มสามเวลา เช้า กลางวัน และเย็น รับรองว่าหายแล" "เสร็จแล้วต้องทำอะไรอีกมั้ย" "กรุณาถวายสังฆทานเจอุทิศส่วนกุศลให้มดเหล่านั้น" ผู้เขียนกลับมาบ้าน มดขึ้นเต็มบ้าน จึงยืนที่ประตูบ้าน ทำจิตให้สงบและบอกกับมดทั้งหลายว่า "วันนี้ได้เบียดเบียนรังของเธอทั้งหลาย แต่ได้นำเอาไปทำยาสร้างเป็นบุญกุศลขออุทิศส่วนกุศลครั้งนี้แก่เธอทั้งหลาย จงอย่าเบียดเบียนเราเลย จงไปพ้นจากบ้านของเราเถิด" ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที มดที่ขึ้นอยู่เต็มบ้านต่างเดินพาเหรดลงดินไปจนสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติเดิมแท้ของมดเหล่านี้คือ ธรรมญาณอย่างเดียวกับมนุษย์ จึงรับรู้ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อทุกสิ่งอย่างมีอยู่ในธรรมญาณ ไม่ว่าเป็นนรก - สวรรค์ ความหลุดพ้น มิอาจไปค้นหาจากที่อื่นได้เลย เกาะกุม จับฉวยก็มิได้ เพราะไร้รูปลักษณ์ ล้วนเป็นวิธีที่ผิดทั้งสิ้น ที่ถูกต้องพิจารณาให้เห็นเป็นสัจธรรมว่า ในสรรพสิ่งล้วนมีภาวะเช่นเดียวกันคือ "ในเท็จ" มี "จริง" และใน "จริง" ก็ยังมี "เท็จ" แอบแฝงอยู่ ตราบใดที่ยังค้นไม่พบ "ธรรมญาณ" ย่อมตกอยู่ในภาวะยึด "เท็จ" เป็น "จริง" เยี่ยงนี้แล
-
ในทางวิทยาศาสตร์มีการค้นพบทฤษฏีใหม่ ๆ หลายอย่างและต่างเห็นเป็นเรื่องแปกใหม่ แม้แต่ค้นพบชามกระเบื้องฝังอยู่ใต้ดินนับเป็นพัน ๆ ปี ต่างก็ฮือฮาตื่นเต้นเพราะเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่คนสมัยโบราณนับพันปีมีความสามารถสร้างเครื่องปั้นดินเผามีคุณภาพด้ได้ ความแปลกจึงอยู่ที่คาดไม่ถึง แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดก็คือ "ธรรมญาณ" ของตนเอง อยู่กับเรามาเป็นแสน ๆ ปี ถือว่าคุ้นเคยกันที่สุด เก่าที่สุด ครั้นค้นพบกลับแปลกประหลาดนักภิกษุจื้อฉัง เป็นชาวบ้านตำบลกุ้ยกูแห่งซิ้นโจว เข้ามาบวชตั้งแต่เยาว์วัย และมีความเพียรเพื่อให้เห็น ธรรมญาณ วันนี้ภิกษุรูปนี้จึงมานมัสการพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงซึ่งถามว่า "ท่านมาแต่ไหนและมาทำไม" "เมื่อไม่นานมานี้ กระผมได้ไปที่ภูเขาผาขาวในเขตโหงโจว เพื่อสนทนากับพระอาจารย์ต้าทง ผู้ที่สามารถสอนผมได้เห็นแจ้งในธรรมญาณและลุถึงพุทธภาวะ แต่เพราะเหตุที่กระผมยังคงสงสัยอยู่หลายประการ จึงเดินทางไกลมาถึงที่นี่เพื่อนมัสการท่านอาจารย์ ขอได้โปรดอธิบายข้อสงสัยเหล่านั้นแก่กระผมด้วยเถิด" "เขาแนะนำท่านว่าอย่างไรเล่า" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถามต่อ หลังจากพักอยู่ที่นั่นจนถึงสามเดือนแล้วโดยมิได้รับคำแนะนำอย่างใดเลย และมีความกระหายในธรรมอย่างแรงกล้าขึ้นทุกที คืนวันหนึ่งภิกษุจื้อฉัง ลำพังผู้เดียวจึงเข้าไปในห้องของอาจารย์ต้าทงและถามท่าน "ท่านอาจารย์ขอรับ ธรรมญาณของผมคืออะไร" "เธอมองเห็นความว่างอันไม่มีขอบเขตจำกัดไหม" พระอาจารย์ต้าทงถาม "มองเห็น" ภิกษุจื้อฉังตอบ "ความว่างที่ว่านั้นมีรูปร่างเฉพาะของมันเองหรือไม่" "ความว่างย่อมไม่มีรูปร่างฉะนั้นจึงไม่มีรูปร่างโดยเฉพาะของมันเอง" "ธรรมญาณแท้ของเธอ เป็นเหมือนกับความว่างอย่างตรงเผ็งทีเดียวละ การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจมองพบตัวมันนี่คือ ทิฏฐิอันถูกต้อง การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจรู้จักมันให้ถูกต้องได้นี่แหละคือ ความรู้อันถูกต้อง การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า มันไม่ใช่เขียว มันไม่ใช่เหลือง มันไม่ใช่สั้น มันไม่ใช่ยาว ว่ามันเป็นของบริสุทธิ์อยู่โดยธรรมชาติ และว่าเนื้อแท้ของมันนั้น สมบูรณ์และสดใสนี่แหละคือการเห็นแจ้งธรรมญาณและลุถึงพุทธภาวะได้ ด้วยเหตุนี้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมะที่ทำให้คนเป็นพุทธะ พระอาจารย์ต้าทงอธิบายความ พระภิกษุจื้อฉังจึงกราบเรียนพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถึงความสงสัยนานาประการในคำสอนของพระอาจารย์ต้าทง "ขอให้ใต้เท้ากรุณาทำความแจ่มแจ้งให้แก่กระผมด้วยเถิดขอรับ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้ให้เห็นความเป็นจริงถึงคำสอนของพระอาจารย์ต้าทงยังเป็นผู้มีความรู้สึกที่นึกเอาเองในเรื่องอันเกี่ยวกับ "ทิฏฐิ" และ "ความรู้" และอันนี้จึงส่อให้เห็นว่า ทำไมเขาจึงไม่สามารถทำความกระจ่างให้แก่ภิกษุจื้อฉังได้ จงฟังโฉลกต่อไปนี้ "การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจมองพบตัวมันแต่แล้วก็ยังเก็บความรู้สึกว่า "ความไม่อาจจะมองเห็นได้" ไว้อีก ข้อนี้เปรียบเสมือนกับดวงอาทิตย์ ที่ถูกบังอยู่ด้วยเมฆที่ลอยมาขวางหน้า การเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอาจจะรู้จักมันได้แต่แล้วก็เก็บความรู้สึกว่า "ความที่ไม่อาจจะรู้ได้" ไว้อีก ข้อนี้เปรียบได้กับท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง แต่เสียรูปไปเพราะสายฟ้าแลบ การปล่อยให้ความรู้สึกนึกเอาเองเช่นนี้เกิดขึ้นตามสบายในใจของท่าน ย่อมแสดงว่า ท่านไม่รู้จัก ธรรมญาณ อย่างถูกต้องด้วย ทั้งไม่มีเครื่องมืออะไร ที่มีประสิทธิภาพพอที่จะทำให้ท่านรู้ได้ด้วย ถ้าท่านรู้อย่างแจ้งฉาน แม้เพียงขณะเดียวเท่านั้นว่า ความณุ้สึกที่นึกเอาเองเช่นนี้ เป็นของผิดใช้ไม่ได้แล้ว แสงสว่างภายในจิตของท่านเอง จะลุกโพลงออกมาอย่างถาวร คำสอนของพระอาจารย์ต้าทง เมื่อเทียบกับโฉลกของพระธรรมาจารย์ฮู่ยเหนิงย่องแตกต่างกันอย่างลิบลับ เพราะพระอาจารย์ต้าทงมิได้อธิบายถึง เหตุปัจจัยสำคัญของธรรมญาณ อันกล่าวได้ว่า เหนือเหตุเหนือปัจจัยใด ๆ เพราะโดยธรรมชาติแท้จริงของ "ธรรมญาณ" ย่อมไม่ตกอยู่ภายใต้เหตุปัจจัยทั้งปวง เพราะเหตุนี้จึงอยู่เหนือการเดาหรือกำหนดหมายเอาเอง เมื่อฟังคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ภิกษุจื้อฉัง ก็รู้สึกว่าใจของตนสว่างไสวในขณะนั้น จึงกล่าวออกมาเป็นโฉลกดังนี้.."การยอมให้ความรู้สึกว่า ""ความไม่อาจจะมองเห็นได้ "" และ ""ความที่ไม่อาจจะรู้ได้ "" เกิดขึ้นในใจตามความพอใจของตัวนั้นเป็นการแสวงหาโพธิโดยไม่ต้องเปลื้องตัวเองให้อิสระจากความคิดต่าง ๆ ที่ตนเดาเอาเองในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงผู้ที่ผยองพองตัวด้วยความรู้สึกอันเบาเต็งว่า "บัดนี้เรารู้แจ้งแล้ว" นั้นก็ยังไม่ดีไปกว่าเมื่อเขายังไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ได้มาหมอบอยู่แทบเท้าของพระธรรมาจารย์ ข้าพเจ้าก็ยังคงงงงัน ไม่รู้ว่าจะเดินทางไหนถูกอยู่นั่นเอง เพราะเหตุนี้ยิ่งเห็นความแปลกเกิดขึ้นก็ยิ่งห่างไกลต่อ ธรรมญาณ ของตนเองนั่นแล
-
ครั้งหนึ่งมีเศรษฐีผู้ปฏิบัติธรรมด้วยการทำตัวประหนึ่งยาจกเข็ญใจเพราะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาถูก เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ไม่มีติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และเธอภูมิใจนักกับวัตรปฏิบัติแห่งตน ครั้งนั้นยังมีชาวต่างชาติเธอเดินทางมาจากแดนไกลเข้าร่วมปฏิบัติธรรม แต่เธอไม่ทำตัวเยี่ยงยาจกกลับใส่สร้อยคอและข้อมือทองคำ "นี่หรือผู้ปฏิบัติธรรมยังรักสวยรักงามวางไม่ลง" เศรษฐียาจกเที่ยวติฉินนินทาจนเลื่องลือไปทั่วสถานธรรมและใคร ๆ ก้พากันเห็นดีเห็นงามตามคำตำหนิติฉินนั้น ดูถูกดูแคลนนักปฏิบัติธรรมจากแดนไกลมิใช่ผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะเครื่องร้อยรัดอย่างนี้ยังวางไม่ลงเลย พระอาจารย์จี้กงจึงเรียกเศรษฐียาจกมาคุยด้วย "เธอคิดว่าการวางสร้อยคอและข้อมือเป็นเรื่องยากใช่ไหม ถ้าวันนี้อาจารย์จะใช้ให้เธอทิ้งกิจการ ลูก พ่อแม่ เดินทางไปปฏิบัติธรรมยังประเทศเขมร เจ้าจะไปได้หรือไม่" คำสอนของพระอาจารย์จี้กงนี้เพียงเพื่อชี้ให้เห็นว่า การวางเครื่องร้อยรัดนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การวางหรือปล่อยเครื่องผูกมัดจิตใจล้วนเป็นเรื่องยากยิ่งนัก เพราะจิตใจที่ยึดเหนี่ยวแสนเหนียวแน่นยิ่งกว่าการผูกมัดด้วยเส้นเชือกใด ๆ วันหนึ่งพระภิกษุจื้อถัง ได้เรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเกี่ยวกับ พระพุทธองค์ได้ประก่ศคำสอนเรื่อง "ยานสามชนิด" และเรื่อง "ยานสูงสุด" ไว้ด้วย "แต่กระผมไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ขอความกรุณา ใต้เท้าช่วยอธิบายด้วยเถิด" "ในการพยายามเพื่อเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ท่านควรจะส่องดูที่ใจของท่านเองและทำตัวต่อสิ่งทั้งปวงภายนอกอย่างมีอิสระ ความแตกต่างระหว่างยานสี่ชนิด มิได้อยู่ที่ตัวธรรมะ แต่อยู่ที่ความแตกต่างของใจคนที่จะปฏิบัติธรรมะ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบและอธิบายถึงยานทั้งสี่ต่อไป "การดู การฟัง การท่องพระสูตร เป็นยานขนาดเล็ก การรู้ธรรมและเข้าถึงความหมาย เป็นยานขนาดกลาง การเอาธรรมะที่รู้นั้นมาปฏิบัติจนเป็นปกตินิสัยนี่คือยานขนาดใหญ่ การเข้าใจธรรมทั้งปวงอย่างปรุโปร่งได้ดื่มรสพระธรรมนั้นอย่างสมบูรณ์เป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง มีใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง และไม่ถืออะไรไว้โดยความเป็นของตน นี่แหละคือยานอันสูงสุด ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อธิบายถึงยานต่าง ๆ นั้นเป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่ายานขนาดเล็กเป็นเรื่องเฉพาะตัวและไม่อาจพาตนเองให้พ้นไปจากการเวียนว่ายได้เลย เพราะการฟัง การอ่าน หรือแม้แต่การท่องพระสูตรย่อมพาให้จิตหลงวนเวียนพ้นไปจากหนทางแห่งพุทธธรรมได้ง่ายนัก บางคนท่องพระสูตรด้วยเห็นเป็นความศักดิ์สิทธิ์จนกลายมาเป็นมนต์คาถาและใช้ปลุกเศก เพื่อหวังผลสำเร็จ แท้ที่จริงยิ่งกลายเป็นความมืดมิดหลงไปในวังวนแห่งการเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ท่องไม่รู้ความหมายแห่งพระสูตรเหล่านั้น จึงไม่อาจเกิดปัญญาของตนเองได้เลย ส่วนผู้ที่รู้ความหมายแห่งพระธรรมและเข้าถึงความหมายนั้นก็ยังเป็นเพียงผู้ปฏิบัติระดับกลาง เพราะมีแต่ความรู้ แต่หาได้ปฏิบัติให้เป็นจริงได้ไม่ คนเหล่านี้ยังอยู่ในระหว่างกึ่งกลางแห่งความหลงและรู้แจ้ง ถ้าติดในความรู้และความหมายยังคงมีโอกาสหลงวนเวียนได้เพราะยังมิได้ปฏิบัติให้เกิดผลจริง ๆ
สำหรับผู้ที่เอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติจนกลายเป็นปกตินิสัยย่อมจัดว่าเป็นยานระดับใหญ่ เพราะยังให้คนทั้งหลายได้เกิดศรัทธาปสาทะปฏิบัติตามได้ ส่วนยานอันสูงสุดนั้นย่อมพ้นไปจาก "ความดี" และ "ความชั่ว" ปล่อยวางได้ทั้งหมดจนเห็นแต่ "ธรรมญาณ" ของตนเท่านั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายต่อไป "เนื่องจากคำว่า "ยาน" หมายถึง "เครื่องเคลื่อน" ดังนั้นข้อโต้แย้งในเรื่องเหล่านี้จึงไม่มีความจำเปผ็นเสียเลย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเอง ดังนั้นท่านจึงไม่จำเป็นต้องถามปัญหาใด ๆ อีกเลย แต่ฉันขอเตือนให้ท่านระลึกไว้ว่า ตลอดทุกกาลเวลา ธรรมญาณ แท้ยังคงดำรงอยู่ในภาวะแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" อยู่เสมอ เมื่อเข้าใจความหมายของคำว่า "ยาน" คือการน้อมนำเข้ามาปฏิบัติจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว และเป็นจิตใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าเป็นปัญหาที่ต้องโต้แย้งว่า วิธีของใครถูกต้องตรงแท้ ผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังคงเคร่งครัดอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา แม้เอาพระสูตรไปอธิบายให้เ้ข้าใจความหมายอย่างไร จิตใจของคนผู้นั้นย่อมไม่เปิดรับเป็นแน่นอน ดังนั้นความหมายแห่งพระสูตร จึงไม่ "เข้าใจ" เพียงแต่ "เข้าหู" คนที่ขยันสวดมนต์ ใจจึงไม่อาจเปิดกว้างได้เพราะเชื่อเสียแล้วว่ามนต์ศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเอง แต่มิได้รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงอยู่ที่ จิตของแต่ละคนต่างหาก ความเชื่อเหล่านี้จึงปล่อยวางความติดยึดไม่ลง เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จึงมิได้อะไรเพิ่มเติม แม้เขาจะท่องพระสูตรไปชั่วกัปป์กัลป์ แต่ถ้าเขาปล่อยวางมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ความลึกซึ้งละเอียดอ่อนของความหมายแห่งพระสูตรนั้น ๆ พระภิกษุจื้อฉังแสดงความเคารพพระธรรมาจารย์ จากนั้นจึงเป็นผู้ปรนนิบัติพระธรรมาจารย์ตลอดพระชนม์ชีพของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง
-
การศึกษาและปฏิบัติธรรมหากยังก้าวไม่พ้นเขตแห่งความสงสัยในธรรมทั้งปวงแล้ว ความสับสนย่อมบังเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ความเป็นมาและความเป็นไปแห่งกายหยาบที่มองเห็นด้วยนัยตาเนื้อย่อมไม่สร้างความสงสัยให้เกิดขึ้น เพราะรู้อยู่ว่ามีต้นกำเนิดมาจาก พ่อแม่ และสิ้นสุดลงด้วยการแตกกายทำลายขันธ์กลายเป็นธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ กายเนื้อไม่มีใครสามารถบังคับมิให้เปลี่ยนแปลงเสื่อมสลายได้เลย "และอะไรเล่าที่ผู้คนสงสัยจนสับสนในต้นกำเนิด" "ธรรมญาณอันเป็นตัวตนที่แท้จริง ไม่มีวันเสื่อมสลายแตกดับนี่เอง" ความสงสัยเช่นนี้จึงก่อให้เกิดความสับสนจนมีผู้เชื่อถือว่า ไม่มีธรรมญาณตากแล้วดับสูญ หรือบางเหล่าก็เชื่อว่าตายแล้วไม่สูญสลายหายไป ความเชื่อทั้งสองประการนี้ถือเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นความรู้ที่ผิดโดยสิ้นเชิง ภิกษุจื้อเต้า เป็นชาวเมืองหนันไห่แห่งกวางโจว ได้มาหาพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเพื่อขอคำแนะนำตักเตือนโดยกล่าวแก่พระธรรมาจารย์ "นับแต่กระผมได้บวชมานี้ กระผมได้อ่านมหาปรินิรวาณสูตรมากว่า 10 ปีแล้ว แต่กระผมก็ยังไม่สามารถจับฉวยเอาใจความสำคัญของสูตรนั้นได้ ขอให้ใต้เท้ากรุณาสอนด้วยเถิด" "สูตรตอนไหนเล่าที่ท่านยบังไม่เข้าใจ" พระธรรมาจารย์ถามไถ่ "ข้อความในพระสูตรตอนที่กระผมไม่เข้าใจนั้นมีว่า สิ่งทุกสิ่งไม่คงอยู่ถาวร ดังนั้นสิ่งทั้งปวงจึงตกอยู่ใต้อำนาจของธรรมที่เป็นความเกิดขึ้นและความแตกดับ เมื่อความเกิดขึ้นและความแตกดับมาสิ้นสุดลงด้วยกัน ศานติสุขแห่งความหยุดได้โดยสมบูรณ์ และความสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลง ย่อมปรากฏขึ้น" "อะไรเล่าที่ทำให้ท่านยังสงสัย" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถาม"สิ่งมีชีวิตทั้งปวงย่อมมีกายสองกาย กล่าวคือ กายเนื้อและกายธรรม กานเนื้อไม่คงตัวอยู่อย่างถาวร มันมีอยู่และตายไป ส่วนกายธรรมนั้นตั้งอยู่อย่างถาวร ไม่รู้อะไร ไม่มีความรู้สึกอะไร ทีนี้ในพระสูตรกล่าวว่า "เมื่อความเกิดขึ้น และความแตกดับมาสิ้นสุดลงด้วยกัน ศานติสุขแห่งความหยุดได้โดยสมบูรณ์และความสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลงย่อมปรากฏขึ้นมา" ดังนั้น กระผมไม่เข้าใจได้เลยว่ากายไหนสิ้นสุดลงและกายไหนยังอยู่ เพื่อดื่มรสแห่งศานติสุขนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่กายเนื้อจะดื่มรสแห่งศานติ เพราะว่าเมื่อมันตาย มหาภูตะทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะกระจัดกระจายจากกันและการกระจัดกระจายนั้นเป็นความทุกข์ล้วน ๆ และตรงกันข้ามจากศานติสุขโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าเป็นธรรมกายที่สิ้นสุดลงไป แล้วมันจะตกอยู่ในลักษณะเช่นเดียวกันกับสิ่งที่มิใช่สัตว์ซึ่งได้แก่ ผักหญ้า ต้นไม้ ก้อนหิน และอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ใครเล่าจะเป้นผู้ดื่มรสแห่งศานตินั้น" ความหมายแห่งคำถามนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจผิดว่า ธรรมญาณนั้นไม่มีเมื่อสิ้นสุดลงจึงกลายเป็น ดับสูญหมดไป อันเป็นความเห็นที่สุดโต่งไปอีกข้างหนึ่งนั่นเอง ภิกษุจื้อเต้า แสดงข้อกังขาของตนต่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงต่อไป "ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สภาวะธรรมดา ย่อมเป็นหัวใจหรือตัวการของความเกิดขึ้นหรือความแตกดับ อันแสดงตัวออกมาในรูปของขันธ์ทั้งห้าอันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือจะกล่าวกันอย่างง่าย ๆ ก็คือมีตัวการแต่ตัวเดียว แต่อาการของมันมีถึงห้าอย่างนั่นเอง กระแสแห่งการเกิดขึ้นและการแตกดับนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่ออาการหรือการทำตามหน้าที่ยัง "มีออกมา" จากตัวการนั้นแล้ว กระแสนั้นมีไหลไปเรื่อย ๆ เมื่อการปฏิบัติงานหรืออาการนั้นถูกดูด กลับคืนไปยังตัวการกระแสก็หยุดไหล เมื่อการถือกำเนิดใหม่ยังมีอยู่เพียงใดก็ย่อมไม่มี "การสิ้นสุดแห่งการเปลี่ยนแปลง" อยู่เพียงนั้น ดังจะเห็นได้ในกรณีของสัตว์มีชีวิตทั่วไป ถ้าการถือกำเนิดใหม่ไม่เข้ามาแทรกแซงแล้ว สิ่งต่าง ๆ ก็จะอยู่ในสภาพของสิ่งที่ไร้ชีวิตดังเช่นวัตถุต่าง ๆ ที่ไม่มีชีวิตทั้งหลาย เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ภายในขอบเขตอันจำกัดเฉียบขาดของนิพพานนั้น ย่อมมีไม่ได้แม้แต่ความมีอยู่ของสัตว์ เช่นนี้แล้ว จะมีความปรีดิ์เปรมอะไรได้เล่า" ความสงสัยข้อนี้ตกอยู่ในความเชื่อที่ว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาหามีการดับสูญไม่ เพราะฉะนั้นภายใต้การเกิดย่อมปราศจากนิพพาน อันเป็นความเชื่อสุดโต่งอีกด้านหนึ่งแลเป็นความเชื่อที่ผิด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบข้อสงสัยนี้อย่างแยบยลโดยกล่าวถึงความเห็นทั้งสองประการล้วนเป็นความเห็นผิดแห่งสัสตทิฎฐิและอุจเฉททิฎฐิของพวกนอกศาสนาพุทธและเป็นการตำหนิคำสอนของลัทธิอุตตรยานคือยานอันสูงสุด "ข้อแย้งของท่านยืนยันว่า มีกายธรรมอยู่ต่างหากจากายเนื้อและว่า "ความหยุดได้สมบูรณ์" และ "ความสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลง"นั้น ต้องแสวงหาจากที่อื่นนอกจากไป "ความเกิดขึ้นและความแตกดับ" ยิ่งกว่านั้นจากข้อที่กล่าวว่า "นิพพานเป็นความปรีดิ์เปรมไม่มีที่สิ้นสุด" นั่นเอง ท่านเชื่อโดยการพิสูจน์เอาว่า ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้เปรมปรีดิ์" ความเห็นผิดเหล่านี้เอง มิใช่อื่น ที่ทำให้คนทั้งปวงทะเยอทะยานอาจเกิดเป็นสัตว์ชนิดที่มีอวัยวะรู้รสอารมณ์ และปรนปรือตัวเองด้วยความเพลินอย่างวิสัยโลก และเพื่อคนเหล่านี้ซึ่งเป็นเหยื่อของอวิชชา ซึ่งถือว่าการประชุมของขันธ์ห้าเป็น ตัวตน และถือสิ่งนอกนั้นว่ามิใช่ตัวคนจึงหลงรักการเกิดของตัวและชิงชังความตายอย่างสุดจิตสุดใจ จึงลอยไปมาอยู่ในวังวนของความเกิดและความตาย โดยไม่มีการสำนึกถึงความว่างกลวงไร้แก่นสารของโลกียภพ ซึ่งเป็นความเพียรแห่งความฝันของมายาจึงทำให้เกิดความทุกข์แก่ตัวโดยไม่จำเป็นด้วยการพ่วงตัวเองเข้ากับสังสารวัฎแห่งการเวียนเกิดอันเป็นความเข้าใจผิดต่อภาวะแห่งความเปรมปรีดิ์ ไม่มีที่สิ้นสุดของนิพพาน และตกอยู่ในฐานะเป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเล่นตามหาความเพลิดเพลินจากอารมณ์อยู่เนืองนิจ ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธองค์ผู้ทรงมหากรุณาจึงแสดงศานติอันแท้จริงของนิพพานไว้ให้นั้นเอง" หากขจัดความสับสนนี้ได้ ความสงสัยในด้านกำเนิดของ "ธรรมญาณ" จึงหมดไป
-
สรรพชีวิตในโลกนี้เมื่อมีการเกิดย่อมมีการดับเป็นธรรมดา และที่น่าสังเกตุชีวิตใดที่เกิดไวย่อมดับไว ตัวอย่างเช่น ยุงวงจรการเกิด - ดัับ สั้นยิ่งนัก ยุงจะเกิดเร็วและตายเร็ว แต่สภาวะการเกิดของจิตรวดเร็วจนกระทั่งเราจับไม่ทันการเกิด - ดับ นั้น เพราะฉะนั้นปุถุชนหลงยึดถือจิตของตนเองเป็น อัตตาตัวตนจึงนำความทุกข์มาให้ไม่สิ้นสุด "ทำไมถึงอยากไปนิพพานกันนัก" "เชื่อกันว่า นิพพาน ไม่มีเกิดและไม่มีดับมิใช่หรือ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง นิพพานไว้ดังนี้ "ไม่ว่าเป็นขณะใด นิพพานย่อมไม่มีปรากฏการณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงหรือแห่งการเกิดดับ ไม่มีแม้กระทั่งความสิ้นสุดของการทำหน้าที่ของความเกิดขึ้นและความแตกดับ นิพพานเป็นการแสดงออกของ "ความหยุดได้โดยสมบูรณ์และความสิ้นสุดของควงามเปลี่ยนแปลง" แต่แม้ในขณะแห่งการแสดงออกนั้นก็ไม่มี "ความเห็น" ว่าเป็นการแสดงออก ดังนั้นจึงถูกเรียกว่า "ความเปรมปรีดิ์อันไม่รู้จักหมดสิ้น" ซึ่งไม่ต้องมีตัวผู้เปรมปรีดิ์หรือผู้ไม่เปรมปรีดิ์แต่อย่างใด" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงไได้กล่าวโศลกเพื่อชี้ให้เห็นถึงนิพพาน "มหาปรินิพพานอันสูงสุดนั้น เป็นสิ่งที่เต็มเปี่ยม ถาวร สงบ และรุ่งเรืองสว่างไสว คนสามัญและคนเขลา หลงเรียกนิพพานนั้นว่า ความตาย ฝ่ายพวกมิจฉาทิฎฐิก็ถือเอาตามใจชอบว่า นิพพานนั้นเป็นความขาดสูญ พวกที่เป็นฝ่ายสาวกยานและปัจเจกพุทธยาน เห็นพระนิพพานว่าเป็นสิ่งที่ "ไม่มีการกระทำ" ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงชื่อต่าง ๆ ที่คิดเดาเอาเอง ประดิษฐ์ขึ้นเอง ในขณะที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อสัจธรรมอันสูงสุดนั้น ความหมายแห่งโศลกตอนนี้ ชี้ให้เห็นถึงภูมิปัญญาของผู้ที่ยึดติดในอุปาทานที่ตนเองสร้างขึ้นมาต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก สัจธรรม และหลงยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองสมมุติว่าเป็น สัจจะ เพราะเหตุนี้ นิพพานจึงติดอยู่แค่ริมฝีปากเท่านั้น
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงพวกที่มีใจสูงเหนือสิ่งทั้งหลายที่คนใจต่ำบัญญัติเอง "คนเหล่านี้อาจเข้าใจได้ถูกต้องว่า นิพพานนั้นคืออะไรกันแน่และวางตนไว้ในลักษณะที่เข้าพัวพันด้วยก็มิใช่ เฉยเมยก็มิใช่ทั้งสองอย่าง ท่านเหล่านั้นย่อมรู้ว่า ขันธ์ทั้งห้า และสิ่งที่เรียกกันว่า ตัวตน อันเกิดขึ้นจากการประชุมพร้อมของขันธ์ทั้งห้านั้น รวมทั้งวุตถุและรูปธรรมภายนอกทุกชนิดและทั้งปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของศัพท์และสำเนียง ล้วนแต่เป็นของเทียม ดังเช่นความฝันและภาพมายา เสมอกันหมด ท่านเหล่านั้นไม่เห็นว่ามีอะไรแตกต่างกัน ระหว่างพระมุนีกับคนธรรมดา หรือจะมีความคืดเดาเอาเองในเรื่องนิพพาน ก็หาไม่ ท่านเหล่านี้ย่อมอยู่เหนือ "การรับ" และ "การปฏิเสธ" และท่านเหล่านี้ทำลายเครื่องกีดขวางทั้งที่เป็น อดีต ปัจจับัน อนาคต ท่านเหล่านี้ย่อมใช้อวัยวะเครื่องทำความรู้สึกของท่าน ในเมื่อมีเรื่องต้องใช้แต่ว่าความรู้สึกยึดถือใน "การใช้" นั้นมิได้เกิดขึ้นเลย แม้ขณะที่ไฟประลัยกัลป์ล้างโลกในที่สุดของกัลป์ เมื่อท้องมหาสมุทรแห้งไปหรือขณะที่ลมมหาประลัยพัดทำลายโลกจนภูเขาล้มชนกันระเกะ ศานติสุขอันแท้จริงและยั้งยืนของ "ความหยุดได้โดยสมบูรณ์" และ "ความสิ้นสุดของความเปลี่ยนแปลง" แห่งนิพพานย่อมยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวแก่ภิกษุจื้อเต้า "นี่ฉันได้พยายามอธิบายแก่ท่าน ถึงสิ่งบางสิ่งที่เหลือที่จะพูดออกมาได้ เพื่อให้ท่านสามารถกำจัดความเห็นผิดของท่านเสีย แต่ถ้าท่านไม่ตีความแห่งคำพูดของฉันให้ตรงตามความหมายแล้ว ท่านอาจเรียนรู้ความหมายของนิพพาน แต่เพียงกะจิดริดนิดหนึ่งเท่านั้น " ความหมายแห่งโศลกของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงย่อมชี้ให้เห็นเป็นสัจธรรมชัดเจนในธรรมญาณนั้นไม่อาจกำหนดความหมายใด ๆ ได้เลย และไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในอายตนะหกประการ ครั้งหนึ่งพระสองรูปเดินทางร่วมกันระหว่างทาง พระอาวุโสช่วยอุ้มหญิงคนหนึ่งข้ามคลอง พระอ่อนพรรษาครุ่นคิดตลอดทั้งคืนว่าเป็นการกระทำผิดต่อพระวินัยอย่างร้ายแรง " ทำไม ท่านจึงอุ้มสีกาไม่กลัวบาปกรรมรึไง" พระอ่อนอาวุโสปรารถตอนเช้า " อ้าว อาตมาวางนางตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว นี่ท่านยังอุ้มเอาไว้ทั้งคืนรึเนี่ย" อาวุโสตอบ วงจรการเกิด - ดับ ของจิตนั้นรวดเร็วจนประมาณมิได้ เพราะฉะนั้นปุถุชนที่ยังไม่เข้าถึงธรรมญาณจึงเวียนว่ายอยู่ใน ทะเลทุกข์ไม่สิ้นสุด ด้วยยึดถือ "จิต" เอาไว้นั่นแล
-
ในหมู่ของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญที่หลงทางไปจากสัจธรรม ล้วนลุ่มหลงงมงายอยู่กับ คุณธรรมวิเศษ โดยเล็งที่ผลแห่งการบรรลุธรรม สามารถแสดงความวิเศษ ได้นานาชนิด อาการลุ่มหลงเช่นนี้มิได้มีแต่สมัยนี้ แม้ในอดีตกาลในสมัยพระพุทธองค์มีพระชนม์ชีพอยู่ก็ปรากฏความลุ่มหลงเช่นนี้ในหมู่ของปุถุชน พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นหายนะภัยแห่งการบำเพ็ญธรรมด้วยความลุ่มหลงในอิทธิปาฏิหาริย์ จึงทรงบัญญัติข้อห้ามสำหรับพระภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกคือ การอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีตัวตน ซึ่งมีความหมายว่าหากตนไม่มีคุณธรรมวิเศษแล้วอวดย่อมต้องอาบัติปาราชิก ส่วนพระอรหันต์ย่อมแสดงคุณวิเศษที่มีในตนได้ แม้กระนั้นก็ยังเป็นความผิดเล็กน้อย ที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิและห้ามมิให้แสดงโดยปฐมเหตุเกิดจากเศรษฐีผู้มีไม้แก่นจันทร์ได้แกะสลักเป็นบาตรและแขวนไว้กลางเวหา พร้อมทั้งประกาศให้พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์เหาะขึ้นไปเอาเอง เพราะเศรษฐีอยากเห็นพระอรหันต์ว่ามีฤทธิ์จริงหรือไม่ ในครั้งนั้นบรรดาผู้ปฏิบัติบำเพ็ญแบบหลงทางของลัทธิอื่นนิกายอื่นต่างก็ทำท่าทางว่าตนเองมีฤทธิ์แต่แสดงไม่ออกสักที พระเถระสององค์คือ พระโมคคัลลานะ และ พระปิณโฑติกเถระผ่านไป พระโมคคัลลานะเถระจึงนิมนต์ให้พระปิณโฑติกเถระแสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปเอาบาตรไม้จันทน์นั้น การแสดงปาฏิหาริย์ในครั้งนั้นทำให้อื้ออึงเลื่องลือไปทั่วกรุงสาวัตถีจนความล่วงรู้ไปถึงพระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติข้อห้ามนี้เอาไว้ เหตุที่พระพุทธองค์ทรงห้ามการแสดงอุตรมนุสธรรมนั้นคงเล็งเห็นว่าอิทธิปาฏิหาริย์มิใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริงมีแต่ทำให้ปุถุชนลุ่มหลงมัวเมาไร้สาระ ยึดติดในสิ่งที่ไม่เป็นปัญญาอันแท้จริง บัดนี้ผู้คนก็ยังคงลุ่มหลงในสิ่งที่ไร้สาระแก่ชีวิตมัวแต่วิ่งหาพระอรหันต์นอกกายกันวุ่นวายและเที่ยวตั้งองค์โน้นองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ล้วนเป็นอรหันต์แห่งความงมงายลุ่มหลงทั้งสิ้น เพราะทั้งผู้ชี้แนะและอาจารย์ยังมิใช่อรหันต์ การบำเพ็ญธรรมที่แท้จริงพระพุทธองค์ทรงสรรเสริญ ปาฏิหาริย์แห่งคำพูดที่เปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้อื่นจากกรรมชั่วให้มาประพฤติกรรมดี หรือชี้หนทางสว่างแห่งชีวิตพ้นไปจากอบายภูมิเช่นนี้จึงจะเป็นปาฏิหาริย์อันสูงสุดและอิทธิปาฏิหาริย์อันเลิศแท้ก็คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองจากการเวียนว่ายเข้าไปสู่กระแสของพระนิพพาน
ในสมัยของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง มีอาจารย์องค์หนึ่งในนิกายเซ็นนามว่า พระภิกษุหังจื้อ เกิดที่อันเฉิงแห่งจี๋โจว ในแซ่สกุลหลิว ได้ยินข่าวเล่าลือว่าคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยังให้ชนทั้งปวงมีความสว่างไสวในธรรม ท่านจึงตรงมาที่ตำบลเฉาซีทันที ทำความเคารพแล้วตั้งคำถาม ผู้ปฏิบัติควรส่งจิตของตนพุ่งไปยังสิ่งใด อันจะทำให้การบรรลุธรรมของเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดด้วย "เครื่องวัดคุณวิเศษ" ตามที่คนทั่วไปเขารู้กัน "ก็ท่านกำลังปฏิบัติอยู่อย่างไรเล่า" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงย้อนถาม "แม้ธรรมคืออริยสัจทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์สอนไว้ ข้าพเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเข้าไปแตะต้องด้วย" ภิกษุหังจื้อตอบ "แล้วเดี๋ยวนี้ท่านอยู่ใน "ชั้นแห่งคุณวิเศษ" ชั้นไหนเล่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถามต่อ "จะมีชั้นคุณวิเศษ อะไรที่ไหนเล่าในเมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธไม่เข้าเกี่ยวข้องด้วย แม้กับอริยสัจที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สอนไว้" ภิกษุหังจื้อตอบ การโต้ตอบได้ทันควันเช่นนี้ทำให้พระธรรมาจารย์สรรเสริญและถึงกับตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะหนึ่งในนิกายเซ็น
การสนทนาโต้ตอบในครั้งนี้มีลักษณะการสนทนาธรรมของผู้ที่เข้าใจแจ่มแจ้งใน ธรรมญาณ แห่งตนแล้ว เพราะฉะนั้นจึงฟังดูเหมือนกับถาม "ไปไหนมา" แต่กลับตอบ "สามวาสองศอก" แต่ความเป็นจริงแห่งคำสนทนานี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นสัจธรรมแห่งการบำเพ็ญปฏิบัตินั้น มิได้มีความหวังในเรื่องของ "คุุณธรรมอันวิเศษ" แต่ประการใดเลย เพราะโดยสภาพแห่งธรรมญาณ แล้วเราต่างมีคุณวิเศษเสมอเหมือนกันหมด คนธรรมดาปุถุชนกับพระอริยเจ้า ล้วนมีธรรมญาณเสมอเหมือนกัน โจรกลับใจจึงจะเป็นพุทธะ พระภิกษุหังจื้อเข้าถึงธรรมญาณของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสนใจศึกษาสัจธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย ด้วยเหตุที่เข้าใจภาวะเยี่ยงเดียวกับพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้ว สภาวะเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องหาเครื่องวัดอะไรมาเป็นเครื่องบ่งชี้แต่ประการใดเลย มีแตาปุถุชนเท่านั้นที่วิ่งหา "เครื่องวัด" เพราะตนเองไม่รู้ถึงความตื้นลึกหนาบางอะไรเลย วันหนึ่ง พระธรรมจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวแก่ภิกษุุหังจื้อ"ท่านควรไปประกาศธรรมในท้องถิ่นของท่านเอง เพื่อคำสอนนี้จักไม่ลับหายสิ้นสุดไป" เพราะเหตุนี้ พระภิกษุหังจื้อ จึงกลับไปยังภูเขาชิงเอวี๋ยน อันเป็นภูมิลำเนาของท่าน พระธรรมคำสอนแห่งนิกายเซ็นจึงถูกมอบหมายทอดช่วงและเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง และทำให้คำสอนนี้ได้ลงรากอย่างมั่นคง เมื่อพระภิกษุหังจื้อมรณภาพแล้ว สาธุชนจึงพากันให้สมัญญาแก่ท่านว่า "หงจี้" ผู้เป็นอาจารย์แห่งนิกาย เซ็น องค์หนึ่ง ผู้โง่งมที่วิ่งหาแต่ "คุณธรรมวิเศษ" จึงเป็นผู้หลงวนเวียนอยู่แต่ความหลงในทะเลทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด
-
บรรดาที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์ทางธรรมะของชนทั้งหลาย มักหลงติดในอัตตาตัวตนของตนเองด้วยเหตุที่บรรดาศิษย์ทั้งปวงยกย่องป้อยอจนหลงลืมตน ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเหล่านี้จึงมิได้พบหนทางสายกลางอันแท้จริง เพราะกำลังหลงไหลได้ปลื้มต่อคำยกย่องสรรเสริญ แลเห็นศิษย์ทั้งหลายเป็นสัตว์ผู้ยากที่ต้องโปรด ด้วยเหตุดังนี้ทั้งศิษย์แลอาจารย์จึงพากันเดินทางหลงไปด้วยกัน "ธรรมญาณ" ที่ลงมาสู่โลกนี้ต่างมาจากที่เดียวกัน แต่เพราะความไม่รู้ที่เวียนว่ายเสียหลายร้อยเที่ยวจนลืมเลือนศักยภาพของตนเองเสียสิ้นจึงพากันหลงในศักยภาพของผู้อื่น และใครมีศักยภาพมากกว่าคนอื่นก้ยกตนเองขึ้นเหนือกว่าเพื่อให้คนอื่นกราบไหว้บูชาและเชื่อฟังทุกสิ่งอย่างขัดแย้งมิได้ ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเช่นนี้จึงไม่รู้รากเหง้าที่แท้จริงของตนเองและผู้อื่น สมัยหนึ่งพระภิกษุนามว่า ไฮว๋ยั้ง เป็นอาจารย์ในนิกายเซ็นองค์หนึ่ง เกิดในตระกูลเต๋า ในจินโจว เมื่อไปเยี่ยมท่านอั่นกั๋วซื่อ แห่งภูเขาซงซัน ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำเมือง ก็ถูกท่านผู้นี้บังคับให้รีบไปที่ตำบลเฉาซี เพื่อสนทนาธรรมกับพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ครั้นมาถึงได้ทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงถาม "ท่านมาจากไหน" "มาจากซงซัน" "สิ่งที่มานั้นเป็นอะไร มาได้อย่างไร" พระธรรมาจารญ์ย้อนถามอีก "จะว่ามันเหมือนกับอะไร ก็เป็นการผิดทั้งนัี้น" พระภิกษุไฮว๋ยั้งตอบ "เป็นสิ่งที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติตนหรือ""มิใช่เป็นการสุดวิสัยที่จะลุถึงได้ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติตน แต่ว่าเป็นการสุดวิสัยจริง ๆ ที่จำทำสิ่งนี้ให้เศร้าหมองมีมลทิน" คำถามและคำตอบระหว่างพระธรรมาจารย์และพระภิกษุไฮว๋ยั้งดูเหมือนว่าจะเป็นคนละเรื่อง แต่ถ้าผู้ที่เข้าใจในอนุตตรธรรมก็จะเข้าใจว่าเป็นคำถามและคำตอบที่ตรงต่อหลัดสัจธรรมอันแท้จริง "ธรรมญาณ" เป็นเหมือนมาจากต่างดาวเพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเอาสรรพสิ่งรวมทั้งภาษาในโลกนี้มาเปรียบเทียบหรือบอกกล่าวได้เลยว่าเหมือนอะไร คุณสมบัติของสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนถูกครอบงำด้วยกระแสของโลกมันแปรเปลี่ยนไปได้ตามกาลเวลาหรือสิ่งแวดล้อม แต่ธรรมญาณมิได้เป็นเช่นนั้นพ้นไปจากอิทธิพลใด ๆ ที่จะทำลายเสริมสร้างให้ผอดแผกไปจากเดิมได้เพราะเหตุนี้จึงไม่อาจบอกได้ว่า "ธรรมญาณ" เหมือนอะไร "ภาษาธรรมและภาษาคนจึงแตกต่างกันตรงนี้" ภาษาคนสามารถเทียบเคียงเปรียบเทียบได้ทุกอย่าง เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบข่ายของโลก แต่ภาษาธรรม เป็นเรื่องนอกโลกเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง แต่ที่มันประหลาดสุด -สุดก็คือ มีอยู่เต็มพร้อมแล้วในธรรมญาณของเราเอง แต่กลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะเหตุนี้การบรรลุธรรมจึงมิได้อยู่ที่การฝึกฝนปฏิบัติตัวเอง ซึ่งความหมายแห่งคำตอบนี้ ต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่า การบำเพ็ญกายแต่เพียงสถานเดียวไม่อาจบรรลุธรรมได้เลย แม้การบำเพ็ญจิตอย่างเดียวก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้เช่นกัน เมื่อธรรมญาณอาศัยอยู่ในกายเนื้อจึงจำเป็นต้องอาศัยสองสิ่งมาปฏิบัติให้สอดคล้องกันตามหลักสัจธรรม เพราะทั้งสองสิ่งนี้เป็นปฏิภาคหรือสวนทางกันตลอดเวลา
กายไฝ่ต่ำ แต่ ธรรมญาณ ไฝ่สูง ถ้ากายนำ ธรรมญาณย่อมตก ถ้าธรรมญาณนำหน้า กายย่อมพ้นไปจากทุกข์ภัย ตามธรรมชาติเดิมแท้ " ธรรมญาณ" นั้นมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่แล้วจนไม่มีสิ่งใดที่จักทำให้ตัวของธรรมญาณสกปรกหรือสะอาดได้เลย แต่ทำไมคนจึงมีความคิดชั่วได้ ที่เป็นดังนี้เพราะอิทธิพลของจิตที่ถูกครอบงำด้วยพลังของความชั่วชักจูงไป พระพุทธองค์จึงมีพระพุทธวจนะว่า "สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง" แปลความว่า "บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ รู้ได้ด้วยตนเอง" นัยยะแห่งพระพุทธวจนะนี้ย่อมเล็งไปถึงว่า ไม่มีใครทำให้ใครบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ได้เลย นอกจากตัวเองเท่านั้นทั้งนี้เพราะ ธรรมญาณ เดิมย่อมบริสุทธิ์และเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้ พระพุทธวจนะดังกล่าวย่อมไร้ความเป็นจริง
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยินคำกล่าวของพระไฮว๋ยั้งจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ว่า "มันได้แก่สิ่งที่ไม่รู้จักเศร้าหมองนี้จริง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เอาพระทัยใส่ถึงท่านก็ต้องเป็นอย่างเดียวกัน ถึงแม้ข้าพเจ้าต้องเป็นอย่างเดียวกัน พระสังขปรินายกชื่อ ปรัชญาตาระแห่งอินเดียได้ทำนายไว้ว่า ลูกม้า ตัวหนึ่งจะออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของท่านและจำกระโจนเหยียบย่ำมหาชนไปทั่วโลก ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องพยากรณ์ความข้อนี้เร็วเกินไปเพราะคำว่าพยากรณ์นั้น ท่านหาดูได้ในใจของท่านเอง" คำรับรองของพระธรรมาจารย์ครั้งนี้ทำให้พระภิกษุไฮว๋ยั้งมีความเข้าใจปรุโปร่่่งซึมซาบแจ่มแจ้งในธรรมญาณ แต่วันนั้นเป็นต้นมาจึงได้เป็นศิษย์ติดตามพระธรรมาจารย์อยู่ 15 ปี มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาลึกซึ้งยิ่งขึ้นจึงได้ตั้งสำนักเผยแพร่คำสอนของพระธรรมาจารย์ออกไปกว้างขวาง และมีลูกศิษย์ แซ่สกุล หม่า คำนี้มีคำแปลว่า "ม้า" เป็นแรงช่วยให้คำสอนนั้นกว้างไกล สมคำพยากรณ์ เมื่อถึงแก่กาลมรณภาพแล้วจึงได้รับสมัญญาว่า "ต้าฮุ่ย" อันมีความหมายว่า "เป็นผู้มี ปัญญาอันยิ่งใหญ่" นั่นเอง วิบากกรรมผิดแผกกัน เพราะเหตุปัจจัยต่างกัน แต่ "ธรรมญาณ" นั้นเหมือนกัน
-
สามัญชนไม่รู้จัก "ธรรมญาณ" คุ้นเคยอยู่แต่ กาย ของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงคิดและกระทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ด้วยการดิ้นรนที่จะให้ กาย เป็นอิสระจากความตาย ความคิดและการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ มนุษย์สามัญจึงแสวงหาแต่ยาอายุวัฒนะเพราะเชื่อว่า ยาเช่นนี้จะทำให้ กาย อยู่เป็นอมตะนิรันดร "แล้วยาชนิดเช่นนี้มีอยู่หรือ" "มีซี แต่คนทำและคนกินต่างตายไปเรียบร้อยแล้ว "กาย" ไม่อาจเป็นอิสระจากสิ่งที่ควบคุมผูกมัดเอาไว้ตามธรรมชาติ เพราะ กาย ประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ย่อมเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เพราะฉะนั้นใครมัวแต่คิดให้ กาย อยู่เป็นอมตะ จึงเป็นความคิดอันไร้สาระโดยแท้จริง แต่สิ่งที่เป็นอิสระโดยธรรมชาติของมันเองมีอยู่แล้ว มนุษย์กลับผูกมัดรัดตรึงให้สิ้นอิสระภาพ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องน่าขันนักที่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ ธรรมญาณ เป็นอิสระโดยธาตุแท้อยู่แล้ว เพราะปราศจากรูปลักษณ์ แต่ที่สิ้นอิสระภาพเพราะถูกขังเอาไว้ใน กาย จึงยึดติดอยู่กับกายสังขารแล้วเกิดอาการปรุงแต่งไปตามสิ่งแวดล้อมชักจูงไป พระอริยเจ้าทั้งปวงได้แสวงหาหนทางแห่ง อิสระ จนพบธาตุแท้ธรรมญาณของตนจึงมิต้องกลับมาเวียนว่าย หนทางนั้นจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง สมัยหนึ่งพระภิกษุนามว่า เสวียนเจี๋ย แห่ง หย่งเจีย ซึ่งเป็นอาจารย์นิกายเซ็นรูปหนึ่ง ท่านเกิดในตระกูลไต่ในอุนโจว เมื่อยังหนุ่มอยู่ได้ศึกษาพระสูตรและศาสตร์ต่าง ๆ จนเป็นผู้แตกฉานในหลักสมถะ และวิปัสสนาแห่งนิกายเทียนไถ และโดยที่ได้อ่านวิมลกีรตินิเทศสูตร ทำให้ทราบถึงข้อลี้ลับแห่งใจของท่านอย่างปรุโปร่ง เมื่อพบพระภิกษุ เสวียนเซ่อ อันเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง หลังจากสนทนาธรรมกันแล้วเป็นเวลานาน ภิกษุเสวียนเซ่อ สังเกตุเห็นว่า ถ้อยคำสนทนานั้นเข้ากันได้ดีกับคำสอนต่าง ๆ ของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง "ผมใคร่ขอทราบนามอาจารย์ของท่าน ซึ่งได้สั่งสอนธรรมให้แก่ท่าน" ภิกษุเสวียนเซ่อถาม "ผมมีอาจารย์ที่มากมายสอนผม และขณะที่ผมศึกษาสูตรและศาสตร์ต่าง ๆ แห่งสำนักไวปูลยะ แต่หลังจากนั้นมาเป็นเพราะได้อ่านวิมลกีรตินิเทศน์สูตร ผมจึงมองเห็นแจ่มแจ้งถึงความสำคัญของนิกายพุทธจิตตะแล้ว ในตอนนั้นผมยังไม่มีอาจารย์คนใดที่จะพิสูจน์และยืนยันความรู้ของผม" พระภิกษุเสวียนเซ่อจึงกล่าวว่า " ถ้าในยุคก่อนหน้าพระภิสมควรชิตศวร พระพุทธเจ้าองค์แรก ก็พอเป็นไปได้ที่ใคร ๆ จะรู้ธรรมได้โดยไม่เกี่ยวกับอาจารย์ แต่หลังจากนั้นมาแล้ว ผู้ที่บรรลุธรรมโดยไม่อาศัยความช่วยเหลือและยืนยันของอาจารย์คนหนึ่งคนใดแล้ว ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้เป็นธรรมดา" "ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยเป็นผู้พิสูจน์การรู้ธรรมของผมได้ไหมเล่า" พระภิกษุเสวียนเจวี๋ย เอ่ยขึ้น "คำพูดของผมไม่มีน้ำหนัก ที่ตำบลเฉาซีมีพระธรรมาจารย์องค์ที่หกอยู่ที่นั่น คนเป็นจำนวนมากมาหาท่านจากทิศต่าง ๆ ด้วยความประสงค์อย่างเดียวกัน คือเพื่อการรับเอาธรรม ถ้าท่านใคร่จะไปที่นั่น ผมยินดีที่จะไปเป็นเพื่อนท่าน" พระภิกษุเสวียนเซ่อกล่าวรับรอง เมื่อเร็ว ๆ นี้มีนักบวชนิกายหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมยกย่องจากคนเป็นจำนวนมากโดยถ่ายทอดวิถีแห่งกวนอิมได้ให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางวิทยุรายการหนึ่งซึ่งมีผู้ถามว่า "อาจารย์ของท่านคือใคร" "เราไม่แน่ใจว่าอาจารย์ประสงค์จะให้เอ่ยนามหรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจบอกได้" คำตอบนี้แสดงให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งคือ ต้องการปิดบังอาจารย์เอาไว้ ส่วนตนเองประกาศชื่อเสียงเต็มท้องถนน ด้วยเหตุนี้ถ้าเอาถ้อยคำของท่านเสวียนเซ่อมาพิจารณาก็จะรู้ว่า ธรรมะ ที่นักบวชผู้นี้นำมาเผยแพร่ใช้ไม่ได้กับธรรมญาณของตนหรือว่าบรรดาผู้ที่ฝากตัวเข้ามาเป็นศิษย์มีหน้าที่เพียงแต่รองรับใช้อาจารย์เพียงสถานเดียว ส่วนหนทางแห่งความเป็นอิสระก็เป็นเรื่องที่อาจารย์จะชี้ให้เท่านั้นเอง เมื่อภิกษุทั้งสองรูปไปถึงเฉาซี และพบปะกับพระธรรมาจารย์ท่านเสวียนเจวี๋ย เดินเวียนรอบ ๆ พระธรรมาจารย์สามครั้งแล้วก็หยุดยืนถือไม้เท้านิ่งอยู่ โดยปราศจากแสดงความเคารพ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงเอ่ยขึ้น "ก็ภิกษุย่อมเป็นที่เกาะอาศัยของศีลสิกขาบทสามพันข้อ และสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกแปดพันข้อ ผมสงสัยเหลือเกินว่าท่านมาจากสำนักไหนและมีอะไรที่ทำให้ท่านถือตัวถึงเพียงนี้" ปัญหาของการเวียนเกิดไม่รู้สิ้นสุดเป็นปัญหาด่วนจี๋ และความตามอาจจู่มาถึงขณะใดก็ได้ ผมจึงมีเวลาไม่มากพอที่จะเสียไปในการทำพิธีรีตองเช่นนั้น" เสวียนเจวี๋ยตอบ "แล้วทำไม่ท่านไม่ทำความแจ่มแจ้งในหลักธรรมเรื่อง "ความไม่เกิด" และแก้ไขความยุ่งยากแห่งความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตให้หมดไปด้วยธรรมนั้นเล่า" "การเห็นแจ้งธรรมญาณเป็นการทำตนให้เป็นอิสระจากการเวียนเกิด จัดการกับปัญหาข้อนี้ให้ลุล่วงไปเพียงข้อเดียว ปัญหาเรื่องความไม่เที่ยง ก็จะไม่เหลืออีกต่อไป" ท่านเสวียนเจวี๋ยตอบ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบรับ "ถูกแล้ว ถูกแล้ว" ถึงตอนนี้ท่านเสวียนเจวี๋ยจึงยอมทำความเคารพอย่างเต็มที่ตามธรรมเนียมไม่กี่อึดใจจึงกล่าวคำอำลาพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เมื่อพบธรรมญาณด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ความเป็นอิสระเหมือนถูกปลกปล่อยจึงเกิดขึ้น
-
ธรรมะอันบริสุทธิ์ปราศจากรูปลักษณ์และการปรุงแต่งทั้งปวงเพราะอยู่เหนือสรรพสิ่งในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ ภาษาคน จึงอธิบายธรรมะได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในสวนประดู่ลาย พระองค์ทรงหยิบใบประดู่ขึ้นมากำมือหนึ่งแล้วถามสาวกทั้งหลาย "ใบประดู่ในมือของตถาคตกับในป่า อย่างไหนมากกว่ากัน" "ในป่าพระเจ้าข้า" สาวกทูลตอบ " แม้พระธรรมที่ตถาคตตรัสแล้วก็เฉกเช่นเดียวกันยังมีธรรมะที่ตถาคตยังมิได้ตรัสอีกประมาณมิได้" ความหมายแห่งพระพุทธวจนะพิจารณาได้เป็นสองนัยคือ ธรรมะที่ตรัสได้นั้นมีเพียงนิดเดียว ส่วนใหญ่ไม่อาจใช้ภาษาคนมาสั่งสอนได้ หรืออีกนัยหนึ่ง ธรรมะอันแท้จริงย่อมไม่พูดออกมาเป็นภาษาคนได้เพราะอยู่นอกเหนือเหตุผลของภาษาในโลกนี้ เวลาที่พระผู้เข้าใจแจ่มแจ้งในธรรมะสนทนากันหลายหนคนธรรมดาไหยเลยเกิดความเข้าใจความหมายแห่งคำพุดนั้น บางหนบางทีฟังดูเหมือนท่านพูดกันคนละเรื่อง อย่างที่พระภิกษุเสวียนเจวี๋ยกราบอำลาพระธรรมาจารย์ "ท่านกำลังจะกลับเร็วเกินไปแล้ว ใช่ไหมล่ะ" พระะรรมาจารย์กล่าว " ความเร็วจะมีได้อย่างไรกันในเมื่อความเคลื่อนไหวเอง ก็มิได้มีเสียแล้ว" คำตอบของพระภิกษุเสวียนเจวี๋ยเป็นการอธิบายให้รู้ว่า ธรรมญาณมิได้เคลื่อนไหวเพราะฉะนั้นจักมีความเร็ว ไปไม่ได้ พระธรรมาจารย์จึงย้อนถามอีก "ใครเล่า ที่จะรู้การเคลื่อนไหวก็มิได้มี" "ท่านขอรับ กระผมหวังว่าท่านจะไม่ชี้ระบุตัวตนอะไรที่ไหน" ภิกษุเสวียนเจวี๋ยตอบ ตามความเป็นจริงแห่งธรมญาณมิได้มีรุปลักษณ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจระบุตัวตนได้ ถ้าใครระบุตัวตนได้สิ่งนั้นย่อมมิใช่ ธรรมญาณ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงสรรเสริญท่านเสวียนเจวี๋ย "ท่านมีความเข้าใจในเรื่อง ความไม่เกิด ได้อย่างกว้างขวางปรุโปร่ง พระภิกษุเสวียนเจวี๋ยได้ตั้งข้อสังเกตุเชิงคำถาม "ก็ใน ความไม่เกิด นั้น มี ความเข้าใจอยู่ด้วยหรือ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับย้อนตอบเป็นเชิงคำถาม "ไม่มี ความเข้าใจ แล้วใครเล่าที่สามารถชี้ระบุตัวตน" พระภิกษุเสวียนเจวี๋ยจึงตอบว่า "สิ่งที่ชี้ระบุตัวตนนั้น หาใช่ความเข้าใจไม่" คำโต้ตอบของพระธรรมาจารย์และพระเสวียนเจวี๋ยล้วนมีความหมายถึง ธรรมะอันสูงสุดและชี้ตรงไปที่ ธรรมญาณ ทั้งสิ้น ซึ่งใช้ภาษาคนฟังแล้วย่อมไม่เกิดความเข้าใจใด ๆ เลย แต่ถ้านำเอาภาษาธรรมมาพิจารณาด้วยใจของตนเองแล้วย่อมบังเกิดความเข้าใจ ธรรมญาณเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเกิด เพราะเหตุนี้จึงไม่มีวันตายและคงอานุภาพเป็นอมตะนิรันดรที่ไท่มีเหตุใด ๆ มาแปรเปลี่ยนได้เลย แต่สิ่งที่มิใช่ธรรมะตกอยู่กับเหตุปัจจัยและการปรุงแต่งย่อมมีวันเกิด และ วันตาย ธรรมญาณมีความสมบูรณ์พร้อมอยู่ในธรรมชาติแล้ว มีปัญญารู้แจ้งด้วยตนเอง ส่วนความเข้าใจ ย่อมอาศัยเหตุแห่งการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นจึงมีผล ส่วนการที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งย่อมอยู่นอกเหตุ และเหนือต่อผลที่จะปรากฏขึ้นโดยไม่อาจระบุถึงเหตุได้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมญาณ จึงอยู่ในวิสัยของการเวียนว่ายไปตามเหตุ ปัจจัยที่จิตได้สร้างขึ้น และ ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้า ธรรมญาณ เกิด และ ดับได้ เสื่อมสลายได้ อาการเวียนว่ายย่อมไม่เกิดขึ้นเป็นแน่นอน สัจธรรมย่อมไม่เป็นสัจธรรม พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงร้อง "สาธุ" และขอร้องให้ท่านเสวียนเจวี๋ยยับยั้งการกลับอยู่ค้างคืนสักคืนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ท่านเสวียนเจวี๋ย จึงได้รับการขนานนามจากพวกเพื่อนในสมัยนั้นว่า ผู้รู้ ซึ่งเคยค้างคืนกับพระธรรมาจารย์" ต่อมาภายหลังท่านเสวียนเจวี๋ยได้ประพันธ์วรรณกรรมอันมีชื่อเสียงเรื่อง "บทขับเกี่ยวกับการบรรลุทางฝ่ายใจ" และแพร่หลายไปทั่วอย่างกว้างขวาง เมื่อท่านมรณภาพแล้วจึงได้สมัญญาว่า อู๋เชี่ยง" ซึ่งแปรความว่า ผู้อยู่เหนือสิ่งต่าง ๆในโลก แต่พวกเพื่อนในสมัยเดียวกันพากันเรียกท่านอีกนามหนึ่งว่า "ธยานาจารย์ เจินเจวี๋ย" ซึ่งมีความหมายว่า "เป็นอาจารย์ฌานผู้รู้จริง" ความรู้ที่แท้จริง ที่ท่านเสวียนเจวี๋ย ได้รับย่อมเกิดจากการบรรลุ ธรรมญาณ ของตนเอง มิได้รับคำสั่งสอนจากพระธรรมจารย์ฮุ่ยเหนิง เพียงแต่การยอมรับและรับรองว่าสิ่งที่ท่านรู้นั้นเป็น ของจริง อันอยู่ในตัวตนกายเนื้อนี้เท่านั้น และสามารถทำให้เป็นจริงได้ภายในธรรมญาณของตนเอง การรับรู้ได้เฉพาะตนจึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะใช้ภาษาคนมาอธิบายให้เกิดความเข้าใจเพราะอยู่ "นอกเหตุ " และ "เหนือผล" ของโลกียวิสัย
-
ความเห็นในเรื่องการนั่งสมาธิมีความแตกต่างกันจนประมาณมิได้และขัดแย้งกันมานานนับพัน ๆ ปี หาข้อยุติมิได้ ต่างฝ่ายต่างยึดว่าของตนเองเป็นของจริง ฝ่ายตรงข้ามของปลอม บางสำนักเถียงกันจนไม่เป็นอันนั่งสมาธิ และที่น่าขันบางสำนักอาจารย์ทำท่าว่าสมาธิแก่กล้า แต่ลูกศิษย์กลับกราดเกรี้ยวไม่แพ้อันธพาลเลย อาการหลงผิดในสมาธิยากแก่การแก้ไขนัก ถ้าตนเองดวงตาไม่เปิดกว้างมีแต่อุปาทานยึดมั่นถือมั่นสถานเดียว เหมือนอย่างพระภิกษุจื้อหวงเป็นนักศึกษาผู้หนึ่งในนิกายฌาน หลังจากได้สอบถามพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการบำเพ็ญธรรมของตนเองแล้ว ก็เกิดความเข้าใจเอาเองว่าตนเองบรรลุสมาธิ ดังนั้นจึงเก็บตัวเงียบอยู่ในวิหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเป็นเวลาถึงยี่สิบปีและเฝ้าแต่นั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเวลา ภิกษุกเสวียนเช่อ อันเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเดินทางจาริกไปทางฝั่งเหนือของแม่น้ำฮวงโห ได้สดับเรื่องราวเช่นนี้จึงแวะไปที่วัดเพื่อเยี่ยมเยียนพระภิกษุจื้อหวง "ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่" ภิกษุเสวียนเช่อถาม "ข้าพเจ้ากำลังเข้าสมาธิอยู่" ภิกษุจื้อหวงตอบ "ท่านว่าท่านกำลังเข้าสมาธิอยู่หรือ ข้าพเจ้าอยากทราบว่าท่านทำสมาธิอยู่ด้วยความรู้สึก เพราะถ้าหากท่านทำสมาธิอยู่โดยไม่มีความรู้สึก มันก็หมายความว่า สิ่งที่ไม่มีชีวิตทั้งปวง เช่น กระเบื้อง ก้อนหิน ต้นไม้และผักหญ้าทั้งหลาย ก็ลุถึงได้สมาธิเหมือนกัน หรือไม่อย่างนั้นถ้าท่านทำสมาธิโดยมีความรู้สึกอยู่ และตัวสัตว์ที่มีชีวิตหรือมนุษย์ก็ตามทั้งหมดนั้น ก็จะพลอยเป็นผู้ที่อยู่ในสมาธิไปด้วยทั้งสิ้น" เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในสมาธินั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกเลยว่า มีความรู้สึกหรือไม่มีความรู้สึก" ภิกษุจื้อหวงตอบ "ถ้าเอาอย่างที่ท่านว่า มันต้องเป็นความสงบตลอดกาล ซึ่งในภาวะเช่นนั้นไม่มีทั้งการเข้าอยู่และการออกมาอาการที่ท่านยังเข้า ๆ ออก ๆ ได้อยู่นั้น ยังไม่ใช่สมาธิชั้นเยี่ยม" ภิกษุจื้อหวงรู้สึกงงต่อคำตอบของภิกษุเสวียนเช่อไปพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยวาจา "ข้าพเจ้าขอทราบว่าอาจารย์ของท่านเป็นใคร" "อาจารย์ของข้าพเจ้าคือ พระธรรมาจารย์องค์ที่หกแห่งเฉาซี" "อาจารย์ของท่าน ได้กล่าวสรุปความเรื่องฌาน และสมาะิไว้อย่างไรเล่า" "คำสอนของอาจารย์มีว่า ธรรมกายเป็นสิ่งที่เต็มเปี่ยมและสงบ ตัวแท้และการทำหน้าที่ของธรรมกายย่อมอยู่ในภาวะแห่ง "ความคงที่เสมอ"ขันธ์ทั้งห้าเป็นของว่างโดยแท้จริงและอายตนภายนอกทั้งหก เป็นของไม่มีอยู่ ในสมาธิไม่มีทั้งการเข้าและไม่มีทั้งการออกไม่มีทั้งความเงียบและไม่มีทั้งความวุ่นวาย ธรรมชาติของฌานไม่ใช่เป็นความเข้าอยู่ ดังนั้นเราควรจะขึ้นไปให้เหนือภาวะแห่ง "การเข้าอยู่ในความสงบแห่งฌาน" ธรรมชาติของฌานนั้นมิใช่สิ่งที่ใครจะสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้น เราจึงควรจะขึ้นไปให้เหนือความคิดแห่ง "การสร้างภาวะของฌาน" ภาวะของจิตนั้น อาจเปรียบได้กับอวกาศ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีขอบเขตจำกัด ดังนั้นจิตจึงมีอยู่โดยปราศจากการจำกัดเขตของอวกาศ" เมื่อได้ฟังดังนั้น ภิกษุจื้อหวงจึงรีบออกเดินทางไปเฉาซี เพื่อไต่ถามพระภิกษุฮุ่ยเหนิง ภิกษุจื้อหวงจึงได้เล่าเรื่องที่ตนเองได้สนทนากับภิกษุเสวียนเช่อให้พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงฟังโดยละเอียด "ข้อความที่เสวียนเช่อพูดนั้นถูกต้องทีเดียว จงทำใจของท่านให้อยู่ในสภาพเหมือนความว่างอันหาขอบเขตมิได้ แต่อย่าให้มันเข้าไปติดอยู่ในทิฏฐิว่า "ดับสูญ" จงให้ใจของมันทำหน้าที่อย่างอิสระ ไม่ว่าท่านกำลังทำงานหรือหยุดพัก จงอย่าให้ใจของท่านเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด จงอย่าไปรู้สึกว่ามี ความแตกต่างระหว่างอริยบุคคลกับบุคคลธรรมดา อย่าไปคิดว่ามีความแตกต่างระหว่างตัวผู้กระทำกับสิ่งที่ถูกกระทำ จงปล่อยธรรมญาณและสิ่งทั้งปวงไว้ในสภาพแห่งความเป็นเช่นนั้น แล้วท่านก็จะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา" เมื่อได้ฟังถ้อยคำของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงดังนี้ ภิกษุจื้อหวงจึงสว่างไสวในธรรมถึงที่สุด ความคิดที่ตนเองได้บรรลุสมาธิมาแล้วตั้งยี่สิบปี บัดนี้ได้สูญสิ้นไปแล้วในคืนวันนั้นเอง พวกชาวบ้านเหยเป่ยได้ยินเสียงอัศจรรย์บนท้องฟ้า ซึ่งแสดงว่าท่านอาจารย์จื้อหวง แห่งนิกายฌานรู้ธรรมในวันนั้น และต่อมาอีกไม่นานภิกษุจื้อหวงก็อำลาพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกลับไปเหอเป่ย อันเป็นที่ซึ่งท่านได้สั่งสอนมหาชนชายหญิงเป็นจำนวนมากทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์สืบมา
วจนะของท่านฮุ่ยเหนิง ย่อมชี้ให้เห็นชัดเจนต่อธรรมญาณของตนซึ่งอยู่ในสภาวะไม่ยึดติดในสิ่งใดไม่ว่าสิ่งนั้นเป็น รูปธรรม หรือนามธรรม ถ้ายังติดอยู่ในนามธรรม ก็อาจกลายไปเป็นอรูปพรหมที่มั่นอยู่ในสมาธิินับเป็นแสนกัปป์กัลป์ ครั้นหมดอุปาทานเช่นนั้นแล้วว่าย่อมร่วงหล่นลงมาเวียนว่ายในทะเลทุกข์อีกไม่มีที่สิ้นสุด สภาวะมีของสมาธิก็คือ "ไม่มีอะไรเลย" แม้แต่การ "เห็น" หรือไม่เห็นก็เช่นเดียวกัน สมาธิที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเห็นอะไรเลย
ครั้งหนึ่งมีภิกษุองค์หนึ่งถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "บุคคลประเภทไหนที่สามารถรับเอาใจความสำคัญแห่งคำสอนของพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นแห่งหวงเหมยได้" "ผู้ที่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้นั่นแหละคือผู้ที่สามารถรับเอาไว้" "ก็ใต้เท้าเล่าได้รับหรือเปล่า" "ฉันไม่รู้สึกว่ามีธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบใครที่รู้สึกว่าตนเองบรรลุธรรมจึงไม่ใช่ผุ้บรรลุธรรมนั่นแล
-
พุทธศาสนิกชนไทยชอบทำบุญโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำบุญกับพระศักดิ์สิทธิ์ด้วย ความเชื่อว่าผลบุญนั้นแรงและส่งผลเร็วเพราะเป็นเนื้อนาบุญ แต่เขาขาดสติปัญญามองไม่เห็น พระศักดิ์สิทธิ์อันแท้จริงจึงหลงไปทำบุญกับพระอรหันต์ปลอมเสียเป็นจำนวนมากและผลร้ายนั้นก็ส่งผลแรงและเร็วเฉกเช่นเดียวกันด้วยเหตุที่เป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าพุทธศาสนิกชนจดจำพระวจนะแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตะเกียกตะกายไปหาพระอรหันต์ที่ไหนให้ถูกต้มตุ๋นจนเปื่อยยุ่ยเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พ่อแม่เป็นพระอรหันต์สำหรับลูก" แต่เพราะผู้คนในยุคนี้ไม่รู้จักกราบไหว้พ่อแม่เหมือนพระ ตนเองจึงไร้พระศักดิ์สิทธิ์อันแท้จริง ดังนั้นชีวิตจึงตกทุกข์ระกำซ้ำซากอยู่เช่นนี้
ผู้ชายคนหนึ่งไร้การศึกษาและยากจนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นครชัยศรี เหลือแม่ที่แก่ชราอยู่เพียงท่านเดียว ชายคนนี้ย้ายภูมิลำเนาไปตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น และจัดตั้งห้างหุ้นส่วนเพื่อประมูลงานของทางราชการ เมื่อยื่นประมูลต่อทางราชการแล้วตนเองก็ไม่รู้จักพระเด่นพระดังที่ไหน เห็นแต่แม่อยู่ผู้เดียว จึงเข้าไปกราบแม่แล้วเอาฝ่าเท้าของแม่เจิมหน้าผากพร้อมทั้งพูดว่า "แม่ครับ ผมอยากรวยขอให้ผมรวยนะครับ" แม่นั้นชราภาพและเป็นอัมพาตมิได้เอ่ยวาจาแต่ประการใดเลย แต่ชายคนนี้ไปประมูลงานที่ไหนก็สะดวกได้รับชัยชนะทุกงาน จนบัดนี้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีอยู่ที่เมืองขอนแก่น ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "เสี่ยเม้ง" "พ่อแม่จึงเป็นเนื้อนาบุญอันแท้จริงของลูก"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กว่าจะเป็นเนื้อนาบุญของโลก ต้องผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ กว่าจะเป็นเนื้อนาบุญของลูกย่อมต้องลำบากยากเข็ญเช่นเดียวกัน ดังนั้นการเป็น "เนื้อนาบุญ" จึงมิใช่เป็นกันได้ง่ายดังที่ผู้มืดบอดทั้งหลายคิดและปฏิบัติกันอยู่ วันหนึ่งพระธรรมาจารย์ต้องการซักจีวรที่ได้รับมอบหมายเป็นมรดกตกทอดมา แต่ไม่สามารถหาลำธารที่เหมาะ ๆ ได้ ท่านจึงเดินทางไปหลังวัดประมาณห้าไมล์ ณ ที่นั้นท่านสังเกตุเห็น ผักหญ้าและต้นไม้ขึ้นงอกงามหนาแน่น สิ่งแวดล้อมทำให้ท่านรู้ว่า ที่นี่เป็นที่อันเหมาะสม จึงได้สั่นไม้เท้าประจำตัวทำให้เกิดเสียงดังกริ่ง ๆ แล้วปักลงไปบนพื้นดิน ทันใดก็มีน้ำพวยพุ่งขึ้นมา และไม่นานก็กลายเป็นสระน้ำ ขณะที่พระธรรมาจารย์คุกเข่าลงบนก้อนหินเพื่อจะซักจีวร ทันใดนั้นก็ปรากฏภิกษุรูปหนึ่งขึ้นตรงหน้าทำความเคารพท่าน "กระผมชื่อฟังเปี้ยน เป็นชาวเสฉวน เมื่อครั้งที่อยู่ในประเทศอินเดียตอนใต้ กระผมได้พบพระธรรมาจารย์โพธิธรรม ท่านได้แนะนำให้กลับมายังประเทศจีนโดยบอกแก่กระผมว่า "ธรรมหฤทัยอันถูกต้อง พร้อมทั้งบาตร จีวร อันเราได้รับมอบต่อ ๆ ลงมาจากพระมหากัสสปะเถระนั้น บัดนี้ได้ตกทอดมาถึงพระสังขปรินายกองค์ที่หก ซึ่งอยู่ที่เฉาซี แห่งเซ่าโจว ท่านจงไปที่นั่นเพื่อจะได้ดูสิ่งเหล่านี้ และได้ถวายความเคารพแด่พระธรรมาจารย์องค์นั้น กระผมเดินทางมาเป็นเวลานานจนมาถึงที่นี่ ขอให้กระผมได้เห็นจีวรและบาตรที่ใต้เท้าได้รับมอบเป็นทอด ๆ ลงมานั้นเถิด "
ภายหลังได้ดูเจดีย์วัตถุทั้งสองอย่างแล้ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง จึงถามพระภิกษุฟังเปี้ยน ว่ามีความเชี่ยวชาญในงานชนิดใดบ้าง " กระผมถนัดมือในงานแกะสลัก ขอรับ" "ถ้าอย่างนั้นจงทำอะไรให้ฉันดูสักอย่างหนึ่ง"พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงระบุความต้องการ ภิกษุฟังเปี้ยน รู้สึกหัวหมุนในขณะนั้น แต่ต่อมาอีกสองสามวัน ท่านก็สามารถแกะสลักรูปพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอย่างประณีตเหมือนกับมีชีวิตอยู่จริงๆ ได้สำเร็จรูปหนึ่งสูงประมาณเจ็ดนิ้วนับเป็นงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่ง เมื่อได้เห็นรูปแกะสลักพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงหัวเราะและกล่าวแก่พระภิกษุฟังเปี้ยน "เธอมีความรู้เชี่ยวชาญในด้านหนึ่งของวิชาการแกะสลักจริง ๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวอันลึกซึ้งของพระพุทะเจ้าเสียเลย" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงเอื้อมมือไปลูบศรีษะภิกษุฟังเปี้ยนแล้วประกาศว่า "เธอจงเป็นเนื้อนาบุญของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ตลอดกาลนานเป็นนิจเถิด" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ตอบแทนงานด้วยการมอบจีวรผืนนั้นเป็นรางวัลซึ่งภิกษุฟังเปี้ยนได้ต้ดออกแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งตกแต่งรูปสลัก ส่วนหนึ่งสำหรับใช้เอง และอีกส่วนหนึ่งท่านได้ห่อด้วยใบลานแล้วฝังลงในดิน ขณะที่กำลังฝังได้ตั้งสัตยาทิษฐานว่า "เมื่อใดผ้านี้ถูกขุดขึ้นมา เมื่อนั้นขอให้ขัาพเจ้าได้เกิดใหม่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ และให้ได้รับภาระซ่อมแซมพระเจดีย์โบสถ์วิหารทั้งปวง"
เหตุการในครั้งเป็นเครื่องยืนยันให้รู้ว่าการถ่ายทอดธรรมะ โดยอาศัยสัญลักษณ์ของบาตรและจีวรได้จบลงตามคำพยากรณ์ของพระธรรมาจารย์หงเหยิน การถ่ายทอดธรรมะด้วยรูปลักษณ์ล้วนแต่ก่อให้เกิดการแย่งชิงเจดีย์วัตถุซึ่งมิใช่สัจธรรม แม้แต่ภิกษุฟังเปี้ยน ยังอุตสาหะรอนแรมด้วยความยากลำบากเพียงเพื่อได้มองเห็นเจดีย์วัตถุนั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า ไม่มีความรู้สึกอันลึกซึ้งเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเสียเลย แต่เหตุไฉนท่านจึงได้ประกาศให้เป็นเนื้อนาบุญของมนุษย์และเทวดา ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่าภิกษุฟังเปี้ยนได้รับถ่ายทอด "หัวใจแห่งธรรมะ" ย่อมไม่อาจเป็นเนื้อนาบุญ มีแต่จะก่อสร้างเนื้อนาบาปขึ้นโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น
-
ในบรรดาผู้ศึกษาพุทธธรรมหากไม่เข้าใจสัจธรรมล้วนวิ่งหาธรรมะนอกตัวเอง และที่น่าสงสารยิ่งนักวิ่งไปชั่วชีวิตย่อมไม่พบพุทธะที่แท้จริง นักวิ่งหาธรรมะจึงพบแต่อาจารย์ แม้อาจารย์จะสอนว่าอย่าติดอาจารย์แต่ศิษย์เหล่านี้ก็มักติดกึกอยู่ที่อาจารย์ คำสอนต่างก็บอกว่าให้ละทิ้งอัตตาตัวตนเสียให้สิ้น ลูกศิษย์ทิ้งอัตตาตัวตนลงไป ได้แต่กลับติดยึดในอัตตาตัวตนของอาจารย์ เพราะฉะนั้นการศึกษาปฏิบัติธรรมจึงไม่มีอะไรก้าวหน้า ดวงตาไม่เห็นธรรม เพราะมีแต่อัตตาของอาจารย์อยู่เต็มตา การวิ่งหาธรรมะนอกตัวจึงไม่มีทางสำเร็จด้วยเหตุที่ธรรมะอันแท้จริงมีอยู่ในตัวเองด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงมีพระวจนะเอาไว้ว่า "ผู้ที่อยากได้นิพพานจึงไม่ได้นิพพาน" ความจริงสภาวะนิพพานคือ จิตเดิมแท้ หรือ ธรรมญาณ ของตนเองซึ่งเป็นนิพพานอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาที่ไหนอีกเลย ปัญหาของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งปวงคือ การกลับสู่สภาวะเดิมของตนเองเท่านั้น สภาวะเช่นนี้เป็นเรื่องของการที่ก่อเกิดเป็นกายมนุษย์นั่นเองหรือสภาวะอันพ้นไปจากกฏของการผูกมัดในโลกนี้ การดิ้นรนให้พ้นไปจากบ่วงของโลกีย์ ผู้ที่ดวงตาไม่เห็นธรรมจึงกำหนดไปตามจริตหรือคาดหมายเอาเอง บุคคลเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรกับการผูกตาตัวเองคลำหาหนทางพ้นทุกข์ ส่วนผู้ที่ดวงตาเห็นธรรมย่อมเดินได้สะดวกและชี้แนะผู้อื่นได้อย่างถูกวิธี
สมัยหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งได้นำเอาโฉลกของอาจารย์เซ็นท่านหนึ่งซึ่งมีนามว่า อั้วหลุน มาท่องบ่นว่า "ที่จะกั้นจิตเสียจากความนึกคิดทั้งปวง เมื่ออารมณ์ต่าง ๆ มิได้กลุ้มรุมจิต ต้นโพธิก็จะงอกงามอย่างเป็นล่ำเป็นสัน" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ยินโฉลกนี้จึงกล่าวว่า "โฉลกนี้ย่อมแสดงว่าผู้แต่งยังมิได้เห็นธรรมญาณอย่างเต็มที่ ถ้าใครรับเอาข้อความมาปฏิบัติก็จะไม่ได้รับความหลุดพ้น แต่กลับจักผูกมักรัดตัวเองแน่นหนายิ่งขึ้น" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงบอกโฉลกบทหนึ่งให้แก่ภิกษุรูปนั้นไว่ท่องบ่นดังนี้ " ฮุ่ยเหนิง ไม่มีวิธีและเครื่องมือ ที่จะกั้นจิตเสียจากความนึกคิดทั้งปวง อารมณ์ต่าง ๆ ย่อมกลุ้มรุมจิตของข้าพเจ้าอยู่เสมอ และข้าพเจ้าสงสัยว่าต้นโพธิจะงอกงามได้อย่างไรกัน" โฉลกทั้งสองมีลักษณะตรงกันข้ามซึ่งหมายถึงหัวใจแท้ของโฉลกนี้ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นผลแห่งการปฏิบัติย่อมผิดแผกกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว การกำหนดวิธีการขึ้นมาย่อมกลายเป็นอัตตาตัวตน หรือรูปลักษณ์อันผู้กำหนดย่อมติดยึด แลแทนที่จะเข้าถึงธรรมญาณ ผู้ปฏิบัติเหล่านั้นจึงติดอยู่เพียง "จิต" เท่านั้น "ธรรมญาณ กับ จิต ไม่เหมือนกันหรือ" ปุจฉา
"แน่นอนเพราะธรรมญาณเป็นตัวตนที่แท้จริงแต่ดั้งเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุปัจจัยใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนจิตนั้นย่อมเป็นอาการไหวตัวของธรรมญาณ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วย่อมดับลงไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ" การกำหนดมิให้จิตคิดจึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสิ้นดี เพราะโดยสภาพแห่งจิตก็คือ "ความคิด" ถ้าปราศจากความคิดก็ย่อมไม่มี "จิต" อาจารย์เซ็นอั้วหลุนมองเห็นความงอกงามทางปัญญา เพราะฉะนั้นย่อมมองเห็นความเหียวเฉาของปัญญาด้วยเพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เมื่อมีเกิดย่อมมีดับเป็นสัจธรรม ไม่ว่าการเกิดนั้นจะเป็น "รูปธรรม" หรือ "นามธรรม" ก็หนีไม่พ้นกฏแห่งความจริงข้อนี้ได้เลย
เมื่อเป็น จิต ย่อมมี ดี และ เลว เพราะฉะนั้นจึงก่อเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมายจนประมาณไม่ได้ และใครเล่าจักไปกั้นอารมณ์เหล่านั้นมิให้เกิดขึ้นมาได้ อาจารย์เซ็นท่านผู้นี้จึงหลงทางไปเสียจาก ธรรมญาณ เพราะคิดว่าความคิดดีเป็น ปัญญา หรือ โพธิ ความเฉลียวฉลาดกลายเป็นความเจริญทางด้านปัญญา ความคิดเช่นนี้ล้วนผิดจากหลักสัจธรรมอันแท้จริง ส่วนความหมายแห่งโฉลกของพระธรรมาจารยฮุ่ยเหนิง ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ไม่อาจกำหนดวิธีการหรือเครื่องมือใด ๆ มากั้นจิตเสียจากความนึกคิดทั้งปวง เพราะธรรมชาติของ ธรรมญาณ เมื่อมีเหตุปัจจัยมากระทบย่อมเกิดความคิด และเกิดจิตขึ้นพร้อมกันและย่อมมีอารมณ์ปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยเหล่านั้นเอง เมื่อเห็น "ธรรมญาณ" ชัดเจนแล้วจะรู้ว่าปัญญาอันเป็นธรรมชาติแท้ของ ธรรมญาณ ไม่มีงอกเงยขึ้นมาแต่ประการใดเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอาการเหี่ยวเฉาด้วย
ปัญญา เป็น คุณสมบัติของ ธรรมญาณ เพราะฉะนั้นจึงไม่เกิดและไม่ดับไปเช่นเดียวกับธรรมญาณ ด้วยเหตุนี้ผู้เข้าถึง ธรรมญาณ มีอานุภาพทำให้ หลุดพ้น ไปจากบ่วงร้อยรัดของโลกีย์นั่นแล
-
บรรดาผู้ที่ติดยึดอาจารย์โดยไม่ลืมหูลืมตาได้ชื่อว่า "หลงอาจารย์" มีอยู่มากมายในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม อาการเช่นนี้มิได้มีแต่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมา กิเลสเช่นนี้มิได้หายไปจากจิตของมนุษย์ ทั้งนี้เพราะเขาเหล่านั้นเข้าไม่ถึงสัจธรรมภายในตัวเอง คนเหล่านี้ไม่มีปัญญาหยั่งถึงสัจธรรม เพราะฉะนั้นจึงมีอุปาทานยึดมั่นอยู่แต่คำสอนของอาจารย์แต่เพียงอย่างเดียว แลเห็นคำสอนและวัตรปฏิบัติของผู้อื่นต่ำและไร้ค่า ในสมัยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงพำนักอยู่ที่วัดเป่าหลิน อาจารย์เสินซิ่ว ซึ่งเป็นหัวหน้าศิษย์ของพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นก็สั่งสอนธรรมอยู่ที่วักอวี้เฉวียนในเมืองจิงหนัน สำนักของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอยู่ทางใต้ สำนักของอาจารย์เสินซิ่วอยู่ทางเหนือ สองสำนักนี้มีความรุ่งเรืองทัดเทียมกันและได้ชื่อว่า "ฉับพลันฝ่ายใต้" และ "เชื่องช้าฝ่ายเหนือ" ทำให้พุทธศาสนิกชนสมัยนี้สับสนว่าจะเข้าไปศึกษาปฏบัติฝ่ายไหนดีกว่ากัน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงปัญญาหานี้ "ในส่วนที่เกี่ยวกับธรรมย่อมมีเพียงสำนักเดียว ถัาจะต่างกันก็อยู่ตรงที่ผู้สถาปนาสำนักหนึ่งเป็นชาวเมืองเหนือ และผู้สถาปนาอีกสำนักหนึ่งเป็นชาวเมืองใต้ แม้มีหลักธรรมอยู่เพียงอย่างเดียว แต่สานุศิษย์บางท่านก็เข้าใจธรรมได้ดีกว่าผู้อื่น เหตุที่มีคำว่า "ฉับพลัน" และ "เชื่องช้า" ก็เพราะสานุศิษย์บางคนมีสติปัญญาเฉียบแหลมกว่ากันเท่านั้น สำหรับธรรมแล้วความแตกต่างระหว่าง "ฉับพลัน" และ "เชื่องช้า" ย่อมไม่มี
แม้พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวไปเช่นนี้ สานุศิษย์ของท่านเสินซิ่วก็ยังชอบที่จะกล่าวตำหนิพระธรรมาจารย์เสมอดูหมิ่นว่าท่านเป็นคนไร้การศึกษา ไม่อาจดำรงตนให้คู่ควรแก่การเคารพใด ๆ ได้ แต่ตรงกันข้ามกับอาจารย์เสินซิ่ว กลับยอมรับว่าท่านมีภูมิปัญญาต่ำกว่าพระธรรมาจารย์ และยอมรับว่าพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงบรรลุปัญญา โดยไม่ต้องมีอาจารย์แนะนำช่วยเหลือและมีความเข้าใจของคำสอนมหายานได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านเสินซิ่วกล่าวเสริมว่า "อาจารย์ของเราพระธรรมาจารย์องค์ที่ห้า คงไม่มอบบาตรและจีวรแกท่านผู้นี้อย่างปราศจากเหตุผลอันควร เราเสียใจที่เราเองไม่คู่ควรแก่พระบรมราชูปถัมภ์ของพระมหาจักรพรรดิ์ และเราไม่สามารถเดินทางไกล เพื่อไปรับคำสอนจากท่านผู้นี้ด้วยตนเอง พวกท่านทั้งหลายควรไปเพื่อไต่ถามธรรมจากท่านที่เฉาซี"
คำกล่าวของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงย่อมชี้ชัดถึง ตัวธรรมะ ย่อมไม่มีช้า ไม่มีเร็ว และไม่มีสูง ไม่มีต่ำ ธรรมะเป็นอย่างเดียวกันเสมอกัน แต่ที่เกิดภาวะ เร็ว ช้า สูง ต่ำ ล้วนเป็นเรื่องของ "คน" ที่ตนเองพอกพูนกิเลสยึดอัตตาตัวตนมั่นคงกลายเป็นกำแพงใหญ่ปิดบัง "ธรรมะ" ของตนจนหมดสิ้น ด้วยเหตุดังนี้จึงมีการแบ่งแยกแตกกอแลโจมตี ซึ่งกันและกันจนกลายเป็นสงครามระหว่าง "คน" ซึ่่งแม้นับถือพระศาสดาองค์เดียวกันยังทะเลาะกันไม่รู้จบ
วันหนึ่งท่านเสินซิ่วกล่าวแก่ศิษย์คนหนึ่งชื่อว่าจื้อเฉิง ว่า "เธอเป็นคนรอบรู้และปัญญาเฉียบแหลม ฉันขอให้เธอไปที่เฉาซีเพื่อฟังคำสอนที่นั่น เมื่อได้เรียนอะไรแล้ว ขอให้พยายามจำไว้ให้มากที่สุด และกลับมาเล่าให้ฉันฟัง" จื้อเฉิงได้ไปที่เฉาซีตามคำสั่งของอาจารย์ตน ได้ปะปนเข้าไปกับฝูงชนเพื่อฟังธรรมโดยไม่ได้บอกกล่าวว่าตนเองมาจากไหน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวขึ้นในที่ประชุม "มีคนซ่อนตัวเข้ามาในนี้เพื่อเรียนแบบคำสอนของเรา" ทันใดนั้น จื้อเฉิงก็ก้าวออกมาข้างนอก ทำความเคารพพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง และบอกว่าตนเองมาจากสำนักไหน พระธรรมาจารย์จึงกล่าวว่า "ท่านมาจากวัดอวี้เฉวียนใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นท่านต้องเป็นคนสอดแนม" "เปล่าครับ ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนสอดแนม" จื้อเฉิงตอบ "ทำไมไม่ใช่" "ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้บอกอะไรกับท่าน นั่นสิ ข้าพเจ้าจึงจะเป็นคนสอดแนม แต่นี่ข้าพเจ้าบอกกับท่านหมดจึงไม่ใช่" "อาจารย์ของท่านสอนลูกศิษย์ว่าอย่างไรบ้าง" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถาม "ท่านอาจารย์สอนให้พวกเจ้าทำสมาธิในความบริสุทธิ์ ให้นั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้นอน" จื้อเฉิงตอบ "การทำสมาธิในความบริสุทธิ์นั้น ไม่แน่วแน่และไม่ใช่สมาธิ การกักตัวเองให้นั่งขัดสมาธิอยู่ตลอดเวลานั้น ตามหลักแห่งเหตุและผลแล้วไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมา จงฟังโฉลกของฉัน
คนเป็นย่อมจะนั้ง และไม่นอนอยู่ตลอดเวลา
ส่วนคนตายนั้นนอน และไม่นั่ง
สำหรับร่างกายอันเป็นเนื้อหนังของเรานี้
ทำไมเราจะต้องคอยนั่งขัดสมาธิ"
เหตุการณ์ที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวแก่จื้อเฉิง เพื่อให้สำแดงตนออกมานั้นก็เพื่อให้จิตเปิดนอบน้อมยอมรับฟังคำสอนด้วยความบริสุทธิ์ใจ หากมาฟังโดยมีอคติแฝงเร้นอยู่ในใจ โดยมุ่งหมายจับผิดย่อมไม่อาจรับฟังคำสอนนั้นได้เลยความหมายแห่งคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตรงกันข้ามกับคำสอนของเสินซิ่วด้วยเหตุที่ บรรลุถึง "ธรรมญาณ" จึงรู้ชัดว่าธาตุเดิมนั้นมีความเป็นสมาธิอยู่ในตัวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนั่ง เพียงแต่กำกับกายเนื้อให้ปฏิบัติถูกต้องตรงตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว
-
มนุษย์เป็นทาสรับใช้ตัวเองมาตลอดกัปป์กัลป์ เพราะหลงยึดติดว่าเป็นตัวตนที่แท้จริง เพราะเหตุนี้จึงเวียนว่ายแสวงกายสังขารไม่มีที่สิ้นสุด คำสอนทั้งปวงสนับสนุนให้หลงติดยึด "กายสังขาร" นี่ก็เท่ากับเป็น อวิชชา หาความรู้แจ้งมิได้ ปุถุชนเหล่านี้จึงเวียนว่ายตายเกิดเพียงเพื่อได้รับกายสังขารต่าง ๆ อันเป็นไปตามอำนาจปรุงแต่งแห่งกรรมวิบากที่ตนเองสร้างขึ้นมาเท่านั้นเอง แม้แต่การนั่งสมาธิก็เป็นการกักขัง "ธรรมญาณ" ของตนเอาไว้ในกายสังขารอย่างน่าสงสารนัก จื้อเฉิง ได้ฟังคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว จึงทำความเคารพเป็นครั้งที่สองแล้วกล่าวว่า "แม้ว่าข้าพเจ้าฟังคำสอนของของท่านเสินซิ่ว มาเป็นเวลา 9 ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่บรรลุธรรมเลย แต่พอได้ฟังคำพูดของท่านเท่านั้น ดวงจิตของข้าพเจ้าก็สว่างไสว และเนื่องจากปัญหาแห่งการเวียนเกิดโดยไม่จบสิ้น เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ฉะนั้นขอให้ท่านได้โปรดเมตตาข้าพเจ้าโดยสั่งสอนต่อไปด้วย "ฉันรู้ว่าอาจารย์ของท่านสอนลูกศิษย์ทางศีล สมาธิ และปัญญา ลองบอกทีซิว่าเขาอธิบายความหมายของคำเหล่านี้ไว้ว่าอย่างไร " พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงถาม "ตามคำสอนของท่านอาจารย์นั้น การละเว้นจากการกระทำชั่วทั้งปวงเรียกว่า "ศีล" การปฏิบัติแต่ความดีเรียกว่า "ปัญญา" และการชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์เรียกว่า "สมาธิ" ท่านอาจารย์สอนพวกข้าพเจ้าในแนวนี้แหละขอรับ ขอท่านได้โปรดให้ข้าพเจ้าทราบหลักการของท่านบ้าง" เมื่อจื้อเฉิงตอบแล้วถามอย่างนี้พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวตอบ "ถ้าบอกว่าฉันมีหลักการในเรื่องธรรมสำหรับสอนผู้อื่นแล้วก็เท่ากับว่าฉันหลอกลวงท่าน วิธีที่ฉันสอนลูกศิษย์ของฉัน ก็ปลดปล่อยเขาให้พ้นจากความเป็นทาสของตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วแต่จะเห็นควร การเรียกชื่อเป็นอย่างนี้อย่างนั้นไม่เกิดอะไรดีขึ้นมา นอกจากเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้แทนเพียงชั่วคราวเท่านั้น ภาวะการหลุดพ้นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสมาํธิ วิธีที่อาจารย์ของท่านสอนเรื่องศีล สมาธิ และปัญญา เป็นวิธีที่ดีวิเศษ แต่วิธีของฉันเป็นคนละอย่าง" "มันจะต่างกันไปได้อย่างไรขอรับ พระคุณท่าน ในเมื่อศีล สมาธิ และปัญญาต่างก็มีอยู่แบบเดียวเท่านั้น" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงตอบว่า " คำสอนของอาจารย์ท่านใช้สำหรับสั่งสอนแนะนำสานุศิษย์แห่งสำนักมหายาน ส่วนคำสอนของฉันใช้สำหรับคำสอนของสานุศิษย์แห่งสำนักสูงเลิศ ความจริงก็อยู่ที่ว่า บางคนรู้แจ้งธรรมได้รวดเร็วและลึกซึ้งกว่าผู้อื่น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเราตีความหมาย ในพระธรรมนั้นต่างกัน ท่านคงเคยได้ยินและทราบแล้วว่า คำสอนของฉันเหมือนกับของอาจารย์ท่านหรือไม่ ในการอธิบายธรรมแํนไม่เคยเหออกไปจากภาวะที่แท้แห่ง "ธรรมญาณ" ฉันพูดในสิ่งที่ฉันตระหนักรู้ได้ด้วยปัญญาญาณ หากพูดอย่างอื่นไปแล้วก็แสดงว่าภาวะที่แท้แห่ง "ธรรมญาณ" ของผู้อธิบายยังมืดมัว และสามารถเขาแตะต้องได้เพียงเปลือกนอกของธรรมเท่านั้น คำสอนที่แท้จริงสำหรับศีล สมาธิ และปัญญา ควรจะยึดหลักที่ว่าอาการของสิ่งทั้งหลายได้แรงกระตุ้นมาจากภาวะที่แท้แห่ง "ธรรมญาณ"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงได้อธิบายเกี่ยวกับศีล สมาธิ และปัญญา ด้วโฉลกบทหนึ่งดังนี้
"การทำให้จิตเป็นอิสระจากมลทินทั้งปวงคือ ศีลของภาวะที่แท้แห่งจิต สิ่งที่ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั่นแหละ คือ วัชระ การมาและการไป เป็นสมาธิในขั้นต่าง ๆ "
ถ้าหากอธิบายโศลกของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็ตรงต่อพระวจนะที่ว่า ศีล คือความปกติของจิต หรือแท้ที่จริง "ธรรมญาณ" ทุกดวงต่างมีความปกติมีศีลอยู่แล้วโดยตามธรรมชาติ และใน ธรรมญาณ นั้นเอง มีปัญญา สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วที่สามารถตัด กิเลสทั้งปวงได้ มีความแข็งเกร่งดุจวัชระ จึงไม่อาจมีสิ่งใดทำให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปได้เลย
ส่วนการมาและการไป หมายถึงอาการเคลื่อนไหวของ "ธรรมญาณ" ที่ผลิตสภาพความเป็น "จิต" นั้นย่อมมีความเป็น "สมาธิ" อยู่ในตัวแล้ว เพราะฉะนั้นศีล สมาธิ และปัญญา จึงเป็นของอย่างเดียวกันแต่สำแดงลักษณะอาการแต่ละหน้าที่เท่านั้นเองจื้อเฉิงได้ฟังโฉลกแล้วจึงกล่าวขออภัยที่ได้ถามปัญหาโง่ ๆ ออกไป และได้กล่าวขอบคูณพร้อมทั้งกล่าวโฉลกว่า "ความเป็นตตัวตนนั้นไม่ใช่อะไร นอกจากเป็นภาพลวงอันเกิดจากการประชุมของขันธ์ห้า และภาพลวงนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับความจริงแท้ การยึดมั่นว่า มีตถตา สำหรับเราที่จะยึดหมาย และมุ่งไปสู่ย่อมเป็นธรรมที่ไม่บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวรับรองโฉลกของท่านจื้อเฉิง อันได้แสดงให้ปรากฏว่า ตนเองนั้นดวงตาเห็นธรรมปลดปล่อยความคิดพ้นไปจากรูปลักษณ์ไม่ว่่าจะเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรม
ผู้ศึกษาปฏิบัติธรรมทั้งปวงแม้หมายมั่นนิพพาน ความหลุดพ้นด้วยการสร้างรูปธรรมแห่งดินแดนนิพพานขึ้นมา จึงเป็นการสร้างกรงขังใส่ตัวเองให้ตกเป็นทาษไม่มีที่สิ้นสุด การเป็น "ทาษของตนเอง" ปลดปล่อยยากที่สุดมิใช่หรือ
-
การแสวงหาความเป็นอิสระเสรีของปุถุชนย่อมเป็นการดิ้นรนจากบ่วงอันหนึ่งไปสู่ป่วงอีกอันหนึ่ง และถ้าเกิดความพอใจป่วงใหม่ก็เข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นผลแห่งอิสระเสรีของตนเอง และยึดเอาไว้จนกว่าเบื้อหน่าย เห็นเป็นบ่วงจึงแสวงหาบ่วงใหม่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดที่เป็นดั่งนี้เพราะความไม่รู้ได้สร้างกฏเกณฑ์ต่าง ๆ เอาไว้จนกลายเป็นป่วงผูกรัดตัวเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวถึงเรื่องเช่นนี้เอาไว้เช่นกัน "คำสอนของอาจารย์ท่านในเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นใช้กับคนฉลาดประเภทด้อย ส่วนของฉันใช้สำหรับคนฉลาดประเภทเด่น ใครที่ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่ง ธรรมญาณ ก็อาจเลิกใช้ลัทธิเหล่านี้ได้ เช่น โพธิ นิพพาน และวิชาแห่งความหลุดพ้น ผู้ที่ได้รับมอบหลักธรรมหรือไม่มีหลักธรรมสักอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถวางหลักเกณฑ์ในธรรมทั้งปวงได้ และผู้ที่เข้าใจความหมายของคำที่ขัดกันเองเหล่านี้เท่านั้น จึงอาจใช้คำเหล่านี้ได้
ผู้ที่ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ ย่อมไม่มีอะไรที่เห็นว่าแตกต่างกัน ไม่ว่าเขาจะวางหลักเกณฑ์ในธรรมทั้งปวงหรือไม่ก็ตาม เขาย่อมเป็นอิสระที่จะมาหรือไป (เขาอาจอยู่ในโลกหรือจากโลกนี้ไปได้ตามประสงค์) และเป็นอิสระจากอุปสรรคหรือเครื่องข้องทั้งมวล เขาจะปฏิบัติการตามความเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่ควรเป็น เขาจะตอบคำถามตามอัธยาศัยของผู้ถาม เพียงแต่ชำเลืองดูเท่านั้น เขาก็จะเข้าใจดีว่า นิรมานกายทั้งหมดเป็นส่วนเดียวกับภาวะที่แท้แห่งจิต เขาบรรลุความเป็นอิสระ อภิญญา และสมาธิ ซึ่งทำให้เขาสามารถช่วยเหลือมนุษย์ชาติเป็นเป็นงานแสนลำบากได้อย่างง่ายดาย เสมือนกับว่าเป็นการเล่นสนุกของเขา บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณมาทั้งนั้น"
ความหมายแห่งคำสอนนี้ถ้าติดยึดอยู่กับความรู้ชนิดใดก็ไม่อาจเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของท่านได้ เพราะในธรรมญาณของตนเองไม่มีลัทธิความรู้แต่อย่างใดเลย เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ธรรมญาณ เหตุใดจึงไม่ต้องสนใจหรือเข้าใจความหมายของคำว่า โพธิ นิพพาน เพราะภาวะเช่นนั้นปรากฏชัดขึ้นแล้วโดยไม่เกี่ยวกับคำบัญญัติใด ๆ ในโลกนี้ เหมือนกับผู้ที่เคยเห็นเงินตราสกุลอเมริกา แล้วย่อมไม่จำเป็นต้องอธิบายลักษณะของเงินตรานั้น ผู้ที่ไม่มีหลักธรรมจึงสามารถวางกฏเกณฑ์ในธรรมทั้งปวงได้ย่อมชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ไม่รู้ย่อมสามารถสร้างกฏเกณฑ์ขึ้นสารพัดวิธีเพื่อให้เกิดความรู้ขึ้นมา แต่ความหมายในที่นี้ พระธรรมาจารย์ชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าผู้ที่เข้าใจภาวะแท้จริงของธรรมญาณย่อมสามารถวางหลักเกณฑ์ในธรรมทั้งปวงได้ เพราะภาวะแห่งธรรมญาณย่อมไร้กฏเกณฑ์ หากมีกฏเกณฑ์เสียแล้วย่อมไม่อาจวางได้อีก
ผู้ที่เข้าใจความหมายของคำที่ขัดกันเองหมายความว่า เขารู้ทั้งด้านบวกและลบของความหมายนั้นจึงถือว่าเป็นผู้ที่สามารถใช้ถ้อยคำเหล่านั้นเพื่อความเข้าใจของผู้อื่นได้ ความเป็นอิสระเสรีที่แท้จริงจึงอยู่ที่ว่าเราสามารถเข้าถึงภาวะแห่งธรรมญาณหรือไม่ ใครเข้าถึง ธรรมญาณ ย่อมเป็นอิสระเสรีอย่างแท้จริง เพราะเขาย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า สรรพชีวิตในโลกนี้มิได้มีสิ่งใดแตกต่างกันเลย ธาตุแท้ธรรมญาณ ล้วนมาจากที่เดียวกัน และอยู่ในภาวะเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีการแบ่งแยกด้วยฐานะ ความรู้ ยศศักดิ์ รูปลักษณ์ทั้งปวง มนุษย์แตกต่างกันด้วยวิบากกรรมที่ตนเองสร้างไว้ซึ่งล้วนเป็นเปลือกนอกทั้งนั้น หากเอาแก่นแท้ธรรมญาณ มาเทียบเคียงกันแล้วย่อมไม่แตกต่างกัน แม้ว่า พระอริยะกับสามัญสัตว์แตกต่างกันด้วย รูปลักษณ์ แต่ธาตุแท้ธรรมญาณ หาแตกต่างกันไม่
จื้อเฉิงเรียนถามพระธรรมาจารย์ว่า "พวกข้าพเจ้าจะใช้หลักการอะไร สำหรับยกเลิกหลักธรรมทั้งปวง" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวตอบดังนี้ "เมื่อถาวะที่แท้แห่งธรรมญาณของเราปราศจากมลทิน ปราศจากความโง่ และปราศจากความกระวนกระวาย เมื่อเราตรวจตราภายในจิตของเราด้วยปัญญาอยู่ทุกขณะไม่ว่างเว้น เมื่อเราไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งทั้งหลาย และไม่ยึดติดอยู่กับวัตถุที่ปรากฏเราก็เป็นอิสระและเสรี เราจะวางหลักเกณฑ์ในธรรมไปทำไม เมื่อเราอาจบรรลุจุดประสงค์ได้โดยไม่มีปัญหา ไม่ว่าเราจะเหลียวซ้ายแลขวา ทั้งนี้เนื่องจากความพยายามของเราเองที่ตระหนักชัดกับการปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติพร้อมกันไป ไม่ใช่ค่อยทำค่อยไปทีละขั้น การวางหลักเกณฑ์ในธรรมจึงไม่จำเป็น เพราะธรรมทั้งหลายย่อมมีลักษณะเป็นนิพพานอยู่แล้วในเนื้อหา เราจะสามารถไปกำหนดเป็นขีดขั้นได้อย่างไร"
เพราะเหตุนี้คำสอนที่ปลุกเร้าให้ยึดถือรูปลักษณะทั้งปวงจึงเป็นการหลอกลวง ทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมาทั้งนี้เพราะผู้หลอกลวงต้องการผลประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาลนั่นเอง การวางกฏเกณฑ์จึงเป็นเรื่องของปุถุชน ที่ยังเต็มไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ "ในตัวเรามีพระธรรมกายมิใช่หรือ" ปุจฉาจากนักปฏิบัติธรรม "แน่นอนอยู่แล้ว แม้แต่ผีก็มีอยู่มิใช่หรือ" วิสัชนา "แล้วรูปร่างหน้าตาเป็นไฉน" "ถ้ากำหนดออกมาเป็นรูปได้ไม่ว่าจะเป็น ดอกบัว พระพุทธรูป ล้วนเหลวไหลไร้สาระ มิใช่ธรรมกายที่แท้จริง" "แล้วทำไมจึงมีรูปผีที่น่ากลัวเล่า" "ถ้าพระธรรมกายมีรูปลักษณ์มันก็ไม่ต่างอะไรกับรูปลักษณ์แห่งผีมิใช่หรือ" ความมีทั้งปวงจึงมิใช่อิสระเสรี ของภาวะแห่งนิพพานอันแท้จริง ไม่ถูกหลอกด้วยรูปผีก็จะถูกหลอกด้วยรูปพระไม่เห็นต่างกันที่ตรงไหนใ่ช่ไหม
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : ถาวร -- ไม่ถาวร
การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ล้วนแต่เป็นเรื่องของ "ธรรมญาณ" มิใช่รูปกายสังขาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวรแปรเปลี่ยนได้ตลอดตามเหตุปัจจัย สิ่งที่เกิด - ดับ จึงไม่เวียนว่ายเพราะหมดภาวะที่จะเวียนว่าย สิ่งที่ไม่เกิด - ดับ คงที่ถาวรจึงอยู่ในภาวะที่จะเวียนว่าย "ธรรมญาณ" ไม่มีใครทำลายได้เป็นของคงที่แน่นอน ไม่มีใครทำลายได้ เพราะเหตุนี้จึงเป็นตัวการที่จะเวียนว่ายไปตามเหตุปัจจัยที่ตนเองสร้างเอาไว้ ปัญหาการเวียนว่ายจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาด้วยปัญญารู้แจ้งและรับรสด้วยตนเองเพราะความสับสนแห่งภาวะ "นิจจัง" และ "อนิจจัง" นี่เอง ผู้ที่สงสัยในปัญหานี้ก็คือ ภิกษุจื้อเซ่อ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงลึกล้ำนัก เมื่อครั้งเป็นฆราวาสมีนามว่า จางหังชัง เป็นชาวเมืองเจียงซี ในวัยหนุ่มชอบผจญภัย และเป็นเพราะข้อบาดหมางระหว่างศิษย์สำนักของท่านเสินซิ่วฝ่ายเหนือ กับพระธรรมาขารย์ฮุ่ยเหนิงฝ่ายใต้ สานุศิษย์บางคนหัวรุนแรงในทางถือพวกถือคณะ แม้อาจารย์ของทั้งสองฝ่ายต่างโอนอ่อนผ่อนตามกันมิได้ถือเขาถือเรา แต่ศิษย์ของท่านเสินซิ่ว กลับเรียกอาจารย์ของตนว่า พระสังฆนายกองค์ที่หก ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ของตนนั้นไม่มีสิทธิ์อะไรมากไปกว่าเป็นอาจารย์ของพวกเขาก็ตาม ศืษย์ของท่านเสินซิ่วชอบอิจฉาพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เพราะท่านเป็นผู้ที่ได้รับบาตรและจีวรจากพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้า จึงเป็นผู้ทรงสิทธิ์อันสมบูรณ์ในตำแหน่งนั้นใครจะปฏิเสธมิได้ ดังนั้นเพื่อกำจัดพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง บรรดาศิษย์ขี้อิจฉาจึงจัดการจ้าง จางหังชัง ครั้งเป็นฆราวาสให้มาฆ่าพระรรมาจารย์เสีย
พระธรรมาจารย์ย่อมเป็นผู้ที่รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น ด้วยอำนาจอภิญญาที่อ่านกระแสจิตของผู้อื่นได้ พระธรรมาจารย์จึงทราบแผนการณ์ทั้งปวงล่วงหน้า ท่านจึงเตรียมตัวไว้พร้อมเพื่อรอรับการฆาตกรรม ครั้งนี้โดยนำเงินสิบตำลึงมาวางไว้ข้าง ๆ อาสนะ พอจางหังซังมาถึงในเย็นวันหนึ่งก็ย่องเข้าไปในห้องพระธรรมาขารย์ฮุ่ยเหนิง ซึ่งยื่นคอออกมาให้ฟันถึงสามครั้งสามคราก็ไม่เข้า พระธรรมาจารย์จึงกล่าวว่า "ดาบที่ตรงย่อมไม่คด แต่ ดาบคดย่อมไม่ตรง ฉันเป็นหนี้ท่านก็เพียงเงินเท่านั้น แต่ชีวิตของฉันไม่ได้เป็นหนี้ท่านเลย" จางหังซังตกใจสุดขีดจนเป็นลมสลบไปเวลานาน ครั้นฟื้นขึ้นมาแล้วรู้สำนึกผิดและเสียใจ จึงอ้อนวอนขอความเมตตาจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงและขอบวชทันที พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมอบเงินสิบตำลึงให้และกล่าวว่า "ท่านอย่าอยู่ที่นี่เลย เพราะลูกศิษย์ของฉันจะทำร้ายท่าน ไปเสียก่อน แล้วเวลาอื่นต่อยปลอมตัวมาหาฉันใหม่ ฉันจะดูแลความปลอดภัยของท่าน"
เมื่อได้ฟังคำสั่งเช่นนั้นเขาจึงหนีไปในคืนวันนั้น และภายหลังได้บวชเป็นภิกษุนามว่าจื้อเซ่อ ปฏิบัติด้วยความพากเพียรยิ่ง วันหนึ่งระลึกถึงคำกล่าวของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง จึงได้เดินทางรอนแรมมาเป็นระยะทางไกล เมื่อได้เข้าไปนมัสการ พระธรรมาจารย์จึงกล่าวว่า "ทำไมถึงได้มาล่าช้าเช่นนี้ ฉันคิดถึงท่านตลอดเวลา" "เนื่องจากวันนั้น ท่านได้อภัยความผิดของข้าพเจ้าด้วยความเมตตาอย่างหาที่เปรียบมิได้ ข้าพเจ้าจึงได้บวชเป็นภิกษุและศึกษาพระพุทธศาสนาด้วยความพากเพียร แม้กระนั้นก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะตอบแทนพระคุณท่านได้เพียงพอ นอกจากข้าพเจ้าจะแสดงความกตัญญูได้ด้วยการเผยแพร่ธรรม เพื่อความหลุดพ้นแก่สามัญสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น ในการศึกษามหาปรินิพพานสูตร ข้าพเจ้าพยายามอ่านอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ถาวร" และ "ไม่ถาวร" ขอพระคุณท่านได้โปรดกรุณาอธิบายย่อ ๆ ให้ข้าพเจ้าด้วย" พระธรรมาจารย์อุ่ยเหนิงจึงตอบว่า "สิ่งที่ไม่ถาวรคือธรรมชาติแห่งพุทธะ สิ่งที่ถาวรคือจิตใจที่มีลักษณะต่าง ๆ ไป ตลอดจนธรรมที่เป็นกุศลและธรรมที่เป็นอกุศลด้วย" ภิกษุจื้อเซ่อกล่าวว่า "ท่านครับ พระคุณท่านอธิบายค้านพระสูตรเสียแล้ว" "ฉันไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอกเพราะฉันได้รับมอบหัวใจแห่งธรรมของสมเด็จพระพุทธองค์" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าว "ตามความในพระสูตรนั้น ธรรมชาติแห่งพุทธะย่อมถาวร ส่วนธรรมที่เป็นกุศลทั้งมวลรวมทั้งโพธิจิตไม่ถาวร แต่ท่านกล่าวเป็นอย่างอื่นเช่นนี้ จะไม่เป็นการค้านหรือ คำอธิบายของท่านยิ่งสร้างความสงสัยและความสับสนให้แก่ข้าพเจ้ายิ่งขึ้น" "ครั้งหนึ่งฉันได้ให้ภิกษุณีชื่อ อู๋จิ้นฉังอ่านมหาปรินิพพานสูตรให้ฟังตลอดทั้งเล่ม เพื่อที่จะได้อธิบายให้เธอฟังได้ทุก ๆ คำพูดและทุก ๆ ความหมายที่ฉันได้อธิบายไปในครั้งนั้นก็ตรงกับคัมภีร์ทั้งสิ้น และที่ฉันกำลังอธิบายให้ท่านฟังขณะนี้ก็อย่างเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากคัมภีร์เลย" พระภิกษุจื้อเซ่อถามว่า "เนื่องจากปัญญาของข้าพเจ้าทึบ ท่านกรุณาอธิบายอย่างละเอียดพิสดารให้ข้าพเจ้าฟังด้วย" "ท่านไม่เข้าใจดอกหรือว่า ถ้าหากธรรมชาติแห่งพุทธะเป็นสิ่งถาวรก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาพูดถึงธรรมที่เป็นกุศลและธรรมที่เป็นอกุศลและตราบจนสิ้นกัลป์ก็ยังไม่มีใครจะปลุกโพธิจิตได้ เพราะฉะนั้นเมื่อฉันพูดว่า ไม่ถาวรก็ตรงกับที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า ถาวรโดยแท้จริงเช่นเดียวกัน ถ้าธรรมทั้งมวลเป็นสิ่งที่ไม่ถาวร สิ่งต่าง ๆ หรือวัตถุต่าง ๆ ก็ย่อมมีธรรมชาติของมันเองที่จะเกิดและดับ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ก็หมายความว่า ภาวะที่แท้แห่งจิตอันเป็นสิ่งที่ถาวรอันแท้จริงย่อมไม่แผ่ซ่านไปทั่วทุกแห่ง เพราะฉะนั้น เมื่อฉันพูดว่า ถาวร ก็ตรงกับสิ่งที่สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ถาวร โดยแท้จริง"
ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวย่อมเล็งเห็นถึงความเข้าใจเป็นจุดสำคัญและแท้ที่จริงหาก พุทธจิตถาวร ก็จะไม่มีพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ลงมาฉุดช่วยเวไนย์สัตว์ เพราะเหล่าเวไนยนั้นมีความถาวรแห่งจิตพุทธะอบู่แล้ว การเวียนว่ายย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน "ธรรมญาณ" ย่อมเป็นสิ่งที่ถาวรเที่ยงแท้ เพราะฉะนั้นจึงตกอยู่ในภาวะแห่งการเวียนว่ายได้ และจำเป็นต้องได้รับการฉุดช่วยจากพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ทั้งปวง นอกจากธรรมญาณแล้วสรรพสิ่งย่อมไร้ความถาวรโดยสิ้นเชิง
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : ธรรมชาติที่ถาวร
ความเข้าใจในพุทธธรรมด้วยปัญญามีความหมายต่อชีวิตของทุกคน แต่ถ้าใช้เพียงอารมณ์อันเป็นสัญญาขันธ์อย่างเดียวนับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งใหญ่ต่อชีวิต เพราะเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปโดยไม่รู้ตัว บรรดาผู้ที่ยึดถือตำราเป็นสรณะ ล้วนไม่ยอมให้ใครโต้เถียงนอกตำราเป็นอันขาด ดังนั้นเมื่อตำราผิดไปจากสัจธรรมเขาย่อมปฏิบัติผิดต่อธรรมชาติอันแท้จริงของธรรมญาณ ชีวิตย่อมไม่พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ยึดมั่นถือมั่นจึงได้ชื่อว่าเป็น ปุถุชน อันหมายถึงเป็นผู้หนาไปด้วยความหลงผิดทั้งมวล พระธรรมาจารย์ฮุยเหนิงได้อธิบายให้เข้าใจถึงสามัญชนและพวกมิจฉาทิฏฐิว่า "เชื่อในความถาวรที่ผิดคือ เชื่อในความเที่ยงของวิญญาณและโลก ส่วนพวกสาวกที่เข้าใจผิดว่า ความเที่ยงแท้ของนิพพานเป้นสิ่งที่ไม่ถาวร จึงเกิดความเห็นกลับกันอยู่แปดประการ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นผิดของการมองด้านเดียวเช่นนี้ สมเด็จพระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เข้าใจง่าย ๆ ในมหาปรินิพพานสูตร ซึ่งอธิบายหลักธรรมอันสูงสุดของคำสอนในพระพุทธศาสนาคทอความถาวรที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริง อัตตะที่แท้จริง และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง การอ่านไปตามตัวหนังสือในพระสูตรโดยไม่รู้เรื่องอะไร ท่านจึงไม่เข้าใจในหัวใจพระสูตร ในการถือเอาว่า สิ่งใดที่แตกสิ่งนั้นไม่ถาวร ท่านจึงแปลความหมายในคำสอนครั้งสุดท้ายของสมเด็จพระพุทธองค์ผิด คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งและครบถ้วน ท่านอาจอ่านพระสูตรนี้สักพันครั้งแต่ท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากพระสูตรเลย" ความเห็นที่ว่าโลกเที่ยง วิญญาณ ไม่ดับสูญนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะคนเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมชาติแท้ของ ธรรมญาณ ซึ่งไม่เกิดไม่ดับ ไม่อาจทำลายได้ แต่บรรดาวิญญาณทั้งปวงแม้อยู่ในสภาพความเป็นทิพย์ก็เป็นเรื่องของการปรุงแต่งไปตามเหตุปัจจัยแห่งวิบากกรรมที่ตนเองสร้างสมเอาไว้ ล้วนเป็นเรื่องที่สามารถแปรเปลี่ยนได้ตลอดกาลสมัย หากเขาชดใช้หนี้เวรกรรมจนหมดสิ้น แต่ส่วนที่เป็น "ธรรมญาณ" ไม่อาจแปรเปลี่ยนหรือดับสูญไปได้เลย ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลานานสักกี่แสนกัปป์ และไม่มีความร้อนใด ๆ เผาไหม้ได้เลย "ธรรมญาณ" จึงเป็นความถาวรที่แท้จริง "ธรรมญาณ" จึงเป็นอัตตาที่แท้จริง "ธรรมญาณ" จึงเป็นความสุขที่แท้จริง "ธรรมญาณ" จึงเป็นความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ภิกษุจางหังชัง ซึ่งบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์ในครั้งนั้นและกล่าวโศลกแก่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงความว่า "เพื่อที่จะชี้ข้อผิดแก่ผู้ยึดมั่นใน "ความไม่ถาวร" สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสสอน "ธรรมชาติที่ถาวร" ผู้ไม่เข้าใจว่า คำสอนนี้เป็นเพียง วิธีการอันชาญฉลาด ก็เหมือนเด็กที่หยิบก้อนกรวดแล้วบอกว่าเป็นเพชร โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดในตัวข้าพเจ้าเลย ธรรมชาติแห่งพุทธะก็ปรากฏอยู่แล้ว สิ่งนี้ไม่ใช่เนื่องมาจากคำสอนของท่านอาจารย์ และก็ไม่ใช่เนื่องมาจากการลรรลุของข้าพเจ้า" ความหมายแห่งโศลกเพื่อแสดงให้เห็นว่า จางหังชัง อันเป็นภิกษุที่ลอบเข้ามาสังหารพระธรรมาจารย์ในครั้งก่อนนั้นได้เข้าใจถ่องแท้ต่อ "ธรรมญาณ" ของตนเองแล้วจึงเกิดความเข้าใจในสรรพสิ่ง และเกิดปัญญามองเห็นชัดเจนถึง สัจธรรม แห่ง ธรรมญาณ ว่ามันเป็นเช่นนั้นเองมีอยู่แล้วโดยสมบูรณ์ในตัวมันเอง จึงไม่จำเป็นต้องได้รับคำสั่งสอนของพระธรรมาจารย์ หรือแม้แต่การบรรลุก็ไม่มีภาวะให้เป็นที่ตื่นเต้นหรือแปลกประหลาดอันใดเลย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวชมเชยภิกษุจางหังชังว่า "เดี๋ยวนี้ท่านได้ตระหนักชัดโดยตลอดแล้วจากนี้ไป ท่านควรได้ชื่อว่าจื้อเซ่อ ผู้ตระหนักชัดโดยตลอด" ภิกษุจื้อเซ่อกล่าวขอบคุณพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงและนมัสการจากไป มนุษย์ทุกรูปทุกนามและทุกฐานะในโลกนี้ล้วนมีธรรมญาณ ตามธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่ตนเองหลงใหลลืมไปชั่วเวลาอันยาวนาน และในช่วงเวลาแห่งการเวียนว่ายนั้นเองได้สร้างสมเหตุแห่งบาปเวรกรรมเอาไว้มากมายจนสุดประมาณ แม้การเวียนว่ายแต่ละชาติภพก็เกิด อวิชชา คือ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นแต่ละชาติจึงสร้างสมแต่บาปเวรกรรมโดยเชื่อว่าไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เพราะมองไม่เห็น เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นั้น พระองค์ทรงค้นพบอะไร "อริยสัจสี่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ" "ความจริงเช่นนี้มนุษย์ทุกรูปนามล้วนรู้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องค้นพบเพราะประจักษ์แจ้งกันทั่วหน้า" แต่สิ่งที่ประจักษ์ชัดในวันเพ็ญเดือนหก นั้นคือ การมองเห็นพระองค์ได้ตั้งคำถามขึ้นว่า "ดวงตาที่มองเห็นอยู่นั้น ใครเป็นผู้เห็น ดวงตากระนั้นหรือ ถ้ามีแต่ ดวงตาจักเห็นได้หรือ ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก" พระองค์จึงประจักษ์แจ้งในธรรมญาณ อันเป็นตัวจริงแท้ตามธรรมชาติที่ถาวรในวันนั้น
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : เหนือปัญญา -- สมาธิ
เมื่อธรรมะไม่อาจใช้ภาษามาบรรยายได้แล้ว เหตุไฉนจึงมีการถ่ายทอดทั้งคำสอนและวิธีการเล่า ถ้าจะเปรียบกันแล้วน่าจะเป็นในลักษณะที่ว่ามือที่ชี้ไปยังดวงจันทร์ "ดวงจันทร์คือธรรมะ" นิ้วที่ชี้เป็นหนทางให้เห็นดวงจันทร์ แต่ปุถุชนที่ไม่ได้เข้าใจในธรรมะอันแท้จริงมักติดอยู่ที่นิ้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเห็นดวงจันทร์ หรือไม่รู้จักธรรมะ เพราะไปหลงเอาว่าคำสอนและวิธีการต่าง ๆ นั้นเป็นธรรมะ ในสมัยนั้นเป็นรัชสมัยของพระมหาจักร์พรรดิ์นีเจ๋อเทียน หรือ บูเช็คเทียน และมหาจักรพรรดิจงจง ได้มีพระบรมราชโองการประกาศเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน อ้ายของปีที่ 1 แห่งรัชกาลเสินหลงมีความว่า "เนื่องจากข้าพเจ้าทั้งสอง ได้เชิญท่านอาจารย์ฮุ่ยอัน และท่านพระอาจารย์เสินซิ่ว ให้พำนักอยู่ในพระราชวังเพื่อรับของถวาย ข้าพเจ้าได้ศึกษาพุทธยาน จากท่านพพระอาจารย์ทั้งสองนี้ ทุกโอกาสที่ว่างจากพระราชกรณียกิจ แต่ด้วยความถ่อมตนอย่างบริสุทธิ์ใจ ท่านพระอาจารย์ทั้งสองนี้ได้แนะนำให้ข้าพเจ้าขอคำแนะนำจากท่านพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแห่งสำนักใต้ซึ่งเป็นผู้ได้รับเลือก สำหรับรับมอบพระธรรมและบาตร จีวร จากพระสังฆปรินายกองค์ที่ห้า เช่นเดียวกับได้รับหัวใจแห่งธรรมของสมเด็จพระพุทธองค์ พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าทั้งสองได้ส่งขันทีเซียเจี่ยน เป็นผู้ถือพระบรมราชโองการมานิมนต์พระคุณท่านไปเมืองหลวง และมั่นใจว่าพระคุณท่านคงเมตตาอนุเคราะห์ข้าพเจ้าทั้งสองด้วยการไปเยี่ยมเมืองหลวงโดยด่วน" เนื่องด้วยสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ตอบปฏิเสธการนิมนต์ของพระมหาจักรพรรดิและขอพระบรมราชานุญาตที่จะใช้ชีวิตอยู่ในป่า เมื่อเข้าไปนมัสการสนทนากับพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เซียเจี่ยน ได้กล่าวว่า "บรรดาผู้เชี่ยวชาญในเมืองหลวงต่างได้แนะนำประชาชนเป็นอย่างเดียวกัน ให้นั่งขัดสมาธิเข้าสมาธิ ท่านเหล่านั้นบอกว่า เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะตระหนักชัดถึงหลักธรรมได้ ขอให้ข้าพเจ้าได้ทราบถึงแนวคำสอนของพระคุณท่านบ้างได้ไหมขอรับ" "หลักธรรมนั้นจะตระหนักชัดได้ด้วยจิต และไม่ได้ขึ้นอยู่กับการนั่งขัดสมาธิ ในวัชรักเขทิสูตรก็กล่าวว่าเป็นการผิดที่ใคร ๆ จะยืนยันว่าตถาคตมาหรือไปและนั่งหรือนอน เพราะเหตุใดหรือ เพราะว่าสมาธิแห่งความบริสุทธิ์ของตถาคต ไม่ได้หมายความว่ามาจากแห่งใดหรือไปที่แห่งใด ไม่ได้หมายความว่ามีการเกิดหรือการดับ ธรรมทั้งหลายย่อมว่างเปล่าหรือสงบ โดยทำนองเดียวกัน บัลลังก์แห่งความบริสุทธิ์ของตถาคตก็เป็นเช่นนั้น พูดอย่างตรง ๆ แล้วไม่มีแม้แต่สิ่งเหล่านี้ที่จะบรรจุได้ ด้วยเหตุนี้ทำไมเราจะต้องทรมานตัวเองด้วยการนั่งสมาธิ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวตอบ แต่ขันทีเซียเจี่ยนกล่าวว่า "เมื่อเดินทางกลับพระมหาจักรพรรดิทั้งสองต้องให้ข้าพเจ้ากราบทูลรายงานเป็นแน่ พระคุณท่านจะโปรดกรุณาให้คำเตือนที่เป็นหลักสำคัญในการสอนของพระคุณท่านแก่ขัาพเจ้าบ้างได้ไหมขอรับ เพื่อข้าพเจ้าจะได้สามารถกราบทูลให้พระมหาจักรพรรดิทรงทราบ และยังจะได้ชี้แจงแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป ในเมืองหลวงด้วย เสมือนกับว่าแสงเพลิงจากประทีปดวงหนึ่งที่อาจจุดต่อให้แก่ประทีปอื่น ๆ อีกหลายร้อยหลายพันดวง บรรดาคนโง่ทั้งหลายจะไดเกิดปัญญาและแสงสว่าง ย่อมก่อให้เกิดแสงสว่างต่อไปโดยไม่สิ้นสุด" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "หลักธรรมนั้นไม่ได้หมายถึงแสงสว่างหรือความมืด แสงสว่างและความมืดนั้น หมายถึงความคิดที่อาจสับเปลี่ยนกันได้ ฉะนั้น การกล่าวว่าแสงสว่างก่อให้เกิดแสงสว่างต่อโดยไม่สิ้นสุดจึงผิด เพราะว่ามันมีความจบสิ้น เนื่องจากความสว่างและความมืด เป้นคำคู่ปีะเภทตรงข้ามในวิมลกีรตินิเทศ สูตรกล่าวว่า หลักธรรมนั้นไม่มีข้ออุปมา เพราะว่าไม่ใช่เป็นคำที่อาจเทียบเคียงได้"
กิเลส คือ โพธิสองอย่างนี้เหมือนกันไม่ต่างกัน การทำลายกิเลสด้วยปัญญาเป็นคำสอนของสำนักสาวกถูมิ และสำนักปักเจกพุทธภูมิ ซึ่งสานุศิษย์ของสำนักเหล่านี้ ใช้ยานเทียมด้วยแพะและใช้ยานเทียมด้วยกวาง สำหรับผู้มีความเฉียบแหลม และปัญญาสูง คำสอนดังกล่าวคงจะไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงชี้แจง
ความหมายแห่งพระวจนะของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้ชี้ให้เห็นจิตเดิมแท้หรือธรรมญาณที่อยู่เหนือบัญญัติใดในโลกนี้ เพราะธรรมญาณอยู่เหนือกาลเวลา เพราะไม่มีเกิดและดับ เพราะฉะนั้น ธรรมญาณจึงไม่มีไปและมา
ส่วน " จิต " ซึ่งเป็นผลผลิตของธรรมญาณ ที่เคลื่อนไหวนั้นมีการไปและมา เมื่อเราคิดถึงอดีต เป็นเรื่องเศร้า จิตนั้นก้เศร้าหมอง ถ้าเป็นเรื่องสนุก จิตนั้นก็ร่าเริง หากคิดถึง อนาคต " จิต " นั้นก็แล่นไปสู่อนาคต ถ้าดีก็มีสุข ถ้าไม่ดีก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ธรรมญาณ แท้จึงไม่มีการเคลื่อนไหวดังจิตเพราะฉะนั้นจึงไม่ไปและไม่มา ความสงบเช่นนี้และว่างเปล่า จึงเป็นตัวแท้แห่งธรรมญาณ ที่ทุกคนต้องประสบพบด้วยตนเองจึงเกิดความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ธรรมญาณ จึงเหนือปัญญาและสมาธิ บางสำนักจึงติดในปัญญาจนกลายเป็นอวิชชาไปอย่างไม่รู้ตัว
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : ธรรมชาติที่แท้จริง
ความแตกต่างกันสองอย่างที่เป็นจริงในโลกนี้คือ มีรูป กับ ไม่มีรูป ศักยภาพแห่งการเห็นของกายหยาบ สัมผัสได้แต่สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ เช่น สัตว์ ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา ฯลฯ เท่านั้น ส่วน วิญญาณ อากาศ ความว่าง พลังงาน นัยน์ตาหยาบมองไม่เห็น เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมญาณ จึงถูกหลอกลวงจากกายหยาบจึงไม่รู้จัก"ธรรมชาติ" แม้อยู่ในระดับโลกโลกีย์ เพราะการที่มุ่งหมายให้ "ตัวจริง" รู้ธรรมชาติอันแท้จริงที่เหนือไปจากโลกนี้จึงเป็นเรื่องยากนัก เพราะธรรมชาติที่เหนือโลกเป็นสิ่งที่แท้จริงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ตกอยู่ในของกฏอนิจจัง พระพุทธองค์ตรัสรู้สิ่งนั้น พระองค์จึงทรงสิ้นสงสัยใน "ธรรมะ" ทั้งปวง แต่ผู้ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการศึกษาย่อมสับสนต้นปลาย แห่ง "ํธรรมญาณ" แลหลงไปว่าทุกอย่างขาดสูญ โดยเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในภาวะไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนไปหมดทุกอย่างเพราะฉะนั้นจึงเกิด "ความสงสัย" แม้ "ธรรมะ" ในตัวเอง ขันทีนามว่า เซียเจี่ยน ก็เช่นเดียวกัน ได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "คำสอนของสำนักมหายานได้แก่อะไร" "ในทัศนะของสามัญชน ปัญญา และอวิชชา เป็นของสองสิ่งแยกจากกัน ส่วนคนที่ฉลาด ผู้ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณโดยตลอดแล้วย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติเป็นอย่างเดียวกัน ธรรมชาติอันเป็นอย่างเดียวกัน หรือ ธรรมชาติอันไม่เป็นของคู่นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งในกรณีของสามัญชนและคนโง่ก็ไม่ได้มีน้อยลง และในกรณีของปราชญ์ผู้บรรลุความรู้แจ้งแล้วก็ไม่ได้มีมากขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ไหวสะเทือนในสภาพที่มีความวุ่นวายและก็ไม่ได้สงบนิ่งในสภาพที่มีสมาธิ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถาวร ไม่ได้ไปหรือมา ไม่อาจพบได้จากภายนอก และก็ไม่อาจพบได้จากภายใน หรือไม่อาจพบได้ในอวกาศ ซึ่งอยู่ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติ และปรากฏการณ์อยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไปเป็นสิ่งที่ถาวรและไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้แหละคือหลักธรรม" ความหมายแห่งพระวจนะของพระธรรมาจารย์นี้ ชี้ให้เห็นถึง "ธรรมญาณ" อันเป็นธรรมะที่แท้จริง ซึ่งไม่อาจเอาบัญญัติหรือภาษาใด ๆ ในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติในโลกนี้ไปเปรียบเทียบได้เลยเพราะ "ธรรมญาณ" มิได้เป็นของคู่ที่สามารถเปรีบยเทียบกันได้ ขันทีเซี่ยเจียน จึงถามต่อไป "ท่านกล่าวว่า เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ถ้าเช่นนั้นท่านจะอ้างว่า ต่างกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสอนอย่างเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายว่า "ในคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิคำว่า "ไม่มีอยู่" หมายถึงการสิ้นสุดของคำว่า "มีอยู่" ส่วนคำว่า "มีอยู่" ก็ใช้เปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับคำว่า "ไม่มีอยู่" สิ่งที่เขาหมายถึงความไม่มีอยู่ ไม่ใช่หมายถึงการทำลายล้างโดยแท้จริง และสิ่งที่เขาเรียกว่ามีอยู่ก็ไม่ได้หมายถึงความมีอยู่ที่แท้จริง สิ่งที่ฉันหมายถึงความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ก็คือ โดยเนื้อแท้แล้วย่อมไม่มีอยู่ แต่ในขณะปัจจุบันก็ไม่ได้ถูกทำลายล้างไป นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างคำสอนของฉัน กับ คำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ" ถ้าจะวินิจฉัย คำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐินั้นมีระดับความจริงแค่โลกีย์หรือในโลกนี้เท่านั้น จึงเป็นเรื่องของการปรากฏการณ์รุปลักษณ์ทั้งปวง แต่คำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นเรื่องของ โลกุตรภูมิอันเหนือไปจากความเป็นจริงของโลกนี้ และเป็น "ธรรมญาณ" อันแท้จริงที่มีสภาวะเดิมเหนือโลก เพราะฉะนั้น พระธรรมาจารย์จึงบอกแก่ขันทีเซี่ยเจี่ยนว่า "ถ้าท่านปรารถนาจะทราบถึงประเด็นสำคัญในคำสอนของฉันแล้ว ท่านควรสลัดตัวของท่านให้ปลอดจากความคิดทั้งปวง ไม่ว่าดีหรือเลว เมื่อนั้นจิตของท่านจะอยุ่ในถาวะอันบริสุทธิ์สงบและสันติตลอดเวลา ทั้งคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการนี้ก็มีมากมายเท่าดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา" คำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงทำให้ขันทีเซี่ยเจียนบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์อย่างฉับพลัน เขากราบนมัสการและอำลาพระธรรมาจารย์กลับเมืองหลวง เมื่อถึงพระราชวังแล้วจึงกราบทูลรายงานต่อพระมหาจักรพรรดิ ตามที่พระธรรมาจารย์ได้กล่าว การที่จิตของเรายังคงติดอยู่ในความดี หรือ เลว ย่อมทำให้ทัศนะของเราติดและหลงไปด้วยการปรุงแต่งตามสิ่งที่ติดจึงไม่พบ "ธรรมชาติที่แท้จริง" ครั้นถึงวันขึ้นสามค่ำ เดือนเก้าปีเดียวกัน พระมหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการประกาศชมเชยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมีความว่า "ด้วยเหตุแห่งชราภาพและสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระธรรมาจารย์ได้ปฏิเสธการนิมนต์มาเมืองหลวง ท่านขอสละชีวิตปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อคุณประโยชน์ของพวกเราท่านเป็นเนื้อนาบุญแห่งชาติโดยแท้จริง ท่านได้ปฏิบัติตามอย่างท่านวิมลกีรติ ซึ่งพักฟื้นอยู่ในเมืองเวสาลี ทำการเผยแพร่คำสอนของมหายานได้ไพศาล ด้วยการถ่ายทอดหลักธรรมของสำนักเซ็น และด้วยการอธิบายหลักธรรมแห่งการไม่เป็นของคู่ จากการถ่ายทอดของเซี่ยเจี่ยน ผู้ซึ่งได้รับส่วนแบ่งในความรู้ทางพุทธะจากพระสังฆนายก ข้าพเจ้าทั้งสองจึงมีโอกาสเข้าใจถึงคำสอนชั้นสูงของพระพุทธศาสนา นี่จะต้องเนื่องมาจากกุศลและรากเหง้าแห่งความดีที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาแต่ชาติปางก่อน มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็คงไม่ได้เกิดมาทันพระคุณท่าน ในการน้อมสักการะต่อพระคุณของพระสังฆปรินายก ข้าพเจ้าสุดวิสัยที่จะกล่าวคำใด ๆ ให้ทัดเทียมได้ ฉะนั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความคารวะอันสูงที่มีต่อพระคุณท่าน ข้าพเจ้าทั้งสองขอถวายจีวรโลมาและบาตรผลึก มาพร้อมนี้ และโดยคำสั่งนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าหลวงเซ่าโจวที่จะปฏิสังขรณ์พระอารามของพระคุณท่าน และดัดแปลงบ้านเดิมของพระคุณท่านให้เป็นวิหาร ทั้งให้ชื่อว่า กั๋วเอินซื่อ ซึ่งหมายถึงนาบุญแห่งรัฐ" ผู้ที่จะทำความเข้าใจสัจธรรมแห่ง "ธรรมญาณ" จึงต้องวางทุกสิ่งทุกอย่างลงไปไม่ว่าเป็น "นาม" หรือ "รูป" เมื่อนั้นเขาจึงพบ "ธรรมญาณอันแท้จริง" แห่งธรรมญาณของตนเอง
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : อนุสัย - สันดาน
มีคำกล่าวคล้ายคำพังเพยที่บอกว่า " สันดอนพอขุดได้ แต่สันดานยากที่จะขุด " ความหมายแห่งการพูดนี้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงว่า การยึดมั่นถือมั่นปฏิบัติจนเคยชินกลายเป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ในขันธ์ ย่อมยากที่จะเปลี่ยนแปลแก้ไขนัก ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุไฉนคำสอนของพระบรมศาสดาที่มีเกจิอาจารย์ทั้งปวงถ่ายทอดสั่งสอนต่อประชาชนมายาวนานนับเป็นพันปี จึงไม่อาจถอนรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายของคนลงไปได้ จิตใจของคนนับวันแต่โหดร้ายและมีพฤติกรรมไม่ได้ผิดแผกไปจากสัตว์เดรัจฉานเข้าไปทุกวัน มนุษย์สูญเสียความดีงามของตนจนเกือบหมดสิ้น แม้พระธรรมคำสอนก็ไม่อาจแทรกเข้าไปทำลายความมือบอดเหล่านี้ได้เลย อารมณ์ชั่วร้ายได้ฝังแน่นในธรรมญาณจนยากที่จะแก้ไขได้ จึงกลายเป็นอนุสัยหรือสันดานที่ตนเองเท่านั้นจักแก้ไขได้ วันหนึ่ง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงสั่งให้ตามตัวสานุศิษย์เช่น ฝ่าไห่ จื้อเฉิง เสินฮุ่ย จื้อฉัง จื้อจง จื้อเซ่อ จื้อเต้า ฝ่าหุย ฝ่าหยู ให้มาพบและกล่าวแก่ศิษย์เหล่านี้ว่า " ท่านทั้งหลายผิดกับคนอื่นที่เหลือ เมื่อฉันเข้าปรินิพพานไปแล้ว พวกท่านแต่ละคนจะได้เป็นอาจารย์ฌานคนละเมือง ฉะนั้น ฉันจะให้คำเตือนแก่พวกท่านในเรื่องสั่งสอน เพื่อท่านจะได้รักษาธรรมเนียมแห่งสำนักของเรา" เมื่อพระธรรมาจารย์พยากรณ์อนาคตของศิษย์เหล่านี้แล้ว จึงได้อรรถาธิบายหลักธรรมสำคัญ ๆ " ครั้งแรกกล่าวถึงธรรมสามประเภท ต่อไปก็กล่าวถึงสิ่งที่เป็นของคู่ประเภทตรงข้าม 36 คู่ อันเป็นภาวะไหวตัวที่แท้แห่งธรรมญาณ จากนั้น ก็สอนวิธีหลีกเลี่ยงความสุดโต่งทั้งสองข้าง ในการเข้ามาหรือออกไป การสอนทุกคราอย่าเบนออกไปจากภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณเมื่อใครถามปัญหาท่านจงตอบเขาไปในลักษณะคำตรงข้ามเพื่อให้เกิดเป็นคำคู่ประเภทตรงข้าม เช่น การมา และการไป ก็เป็นเหตุเป็นผลต่อกันและกัน เมื่อเพิกถอนการอ้างอิงต่อกันและกันของคำคู้นี้โดยสิ้นเชิงแล้วก็จะเหลือความหมายอันเฉียบขาด คือไม่ใช่การมาและการไป" ปุถุชนยึดในรูปลักษณ์ เพราะฉะนั้น จิต จึงติดอยู่ใน "ดี" และ "ชั่ว" แต่ธรรมญาณอันแท้จริงของตนเองปราศจาก "ดี" และ "ชั่ว" เพราะฉะนั้นตราบใดที่ไม่สามารถถอนความยึดติดใน "ดี" และ "ชั่ว" ก็ไม่อาจทำความเข้าใจ "ธรรมแท้" ภายในตัวเองได้เลย
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อธิบายเกี่ยวกับ ธรรม สามประเภทดังนี้
" ขันธ์ " ห้า อายตนะ สิบสอง และ ธาตุสิบแปด " ขันธ์ห้าได้แก่ รูป อันหมายถึง สสารหรือวัตถุทั้งปวง เวทนาการรับอารมณ์สัญญา ความจำได้หรืออาการสำเหนียกรู้ในอารมณ์ สังขารความเจตนาของจิต และวิญญาณ ความรับรู้ในอารมณ์
" ส่วนอายตนะ แบ่งออกเป็นภายนอกหก อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด อายตนะภายในซึ่งเป็นอวัยวะรับอารมณ์หกอัน ได้แก่ หู จมูก ลิ้น กายและใจ ธาตุทั้งสิบ ได้แก่ วัตถุแห่งอารมณ์หก อวัยวะรับอารมณ์หก และวิญญาณซึ่งรู้ในอารมณ์หก" ถ้าจะสรุปคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง พระองค์ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอยู่สองประการเท่านั้นคือ "ตัวปลอม" และ "ตัวจริง" ตัวจริงได้แก่ "ธรรมญาณ" ซึ่งไม่เกิดและไม่ดับไม่เปลี่ยนแปลงมากน้อย ย่อยสลายมิได้ เพราะฉะนั้นจึงเที่ยวไปอาศัยอยู่ในตัวปลอมซึ่งมีอิทธิพล แห่งการเปลี่ยนแปลงสัจธรรม จัดเป็นอนิจจัง ส่วนสภาวะแห่ง "ตัวจริง" ย่อมเป็น "นิจจัง" ซึ่งเป็นภาวะที่อยู่เหนือการพูดและบัญญัติใด ๆ ในโลกนี้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "เนื่องจากภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ" เป็นสิ่งก่อกำเนิดธรรมทั้งหลาย จึงเรียกว่า วิญญาณคลัง ในทันทีที่เริ่มวิถีแห่งความนึกคิด หรือ วิถีแห่งการหาเหตุผล ภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณก้กลายเป็นวิญญาณประเภทต่าง ๆ เมื่อวิญญาณซึ่งรับรู้อารมณ์ทั้งหกเกิดขึ้น ก็จะสำเหนียกรู้ในวัตถุแห่งอารมณ์ทั้งหกนั้นจากทวารทั้งหก ดังนั้น กิจของธาตุสิบแปด จึงเนื่องมาจากแรงกระตุ้นของภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะปฏิบัติกิจในทางชั่ว หรือจะปฏิบัติกิจในทางดี ก็แล้วแต่ว่าภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณจะตกอยู่ในอารมณ์เช่นใด อารมณ์ชั่วหรืออารมณ์ดี กิจอันชั่วก็เป็นลักษณะของสามัญชน กิจอันดีก็เป็นลักษณะของพุทธะ เพราะว่ามีความรู้สึกที่เป็นของคู่ประเภทตรงข้าม ฝังติดเป็นนิสัยอยู่ในภาวะแท้แห่งธรรมญาณ" เพราะเหตุนี้เองพระบรมศาสดาจึงสอนให้สำรวมจิต เพราะเป็นต้นเหตุแห่งความดี และชั่ว อันสืบเนื่องมาจากเหยื่อทั้งปวงที่ล่อหลอก ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหกประการ หากปิดทวารทั้งหกโดยเข้าใจว่า อายตนะเหล่านี้ไม่สามารถนำเหยื่อมาล่อหลอกจิตได้ แต่ที่ฝังเอาไว้ในธรรมญาณที่ได้เวียนว่ายมาไม่สิ้นสุดเล่า เหล่านี้ล้วนเป็น อนุสัยที่เป็นเชื้ออย่างดี ให้อารมณ์ทั้งปวงเกิดขึ้น คนหูหนวก ตาบอด จึงมิสิ้นกิเลสหรือไม่ถูกกิเลสทั้งปวงหลอกล่อ เพราะในขันธสันดานยังนอนเนื่องอยู่ในอารมณ์ความเคยชินนั้นเอง
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : หนึ่งเดียวเท่านั้น
การยึดมั่นในรูปลักษณ์ทั้งปวงย่อมมิใช่ ธรรมะ แต่เป็นผลการแสดงออกของ ธรรมะ เพราะฉะนั้นคนในโลกนี้จึงยึดติดอยู่กับ "ผล" มากกว่า "ราก" ความสับสนเช่นนี้จึงก่อเกิดเวรกรรมขึ้นมากมายจนประมาณมิได้ แต่การที่จะถอนบุคคลเหล่านี้ให้พ้นไปจากความยึดมั่นอันผิด ๆ นั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงอธิบายลักษณะแห่นรูปลักษณ์เอาไว้ดังนี้ "สิ่งที่เป็นของคู่ประเภทตรงข้ามสามสิบหกประการได้แก่ วัตถุภายนอก 5 ประการ คือ ฟ้าและดิน อาทิตย์กับจันทร์ แสงสว่างและความมืด ธาตุบวกและธาตุลบ ไฟฟ้าและน้ำ ธรรมลักษณะ 12 ประการ คือ คำพูดและธรรม การรับและการปฏิเสธ สาระและไม่เป็นสาระ รูปและปราศจากรูป ความแปดเปี้อนและความไม่แปดเปื้อน ความมีอยู่และความว่างเปล่า ความเคลื่อนไหวและความสงบนิ่ง ความบริสุทธิ์และมลทิน สามัญชนและปราชญ์ พระสงฆ์และฆราวาส คนแก่และคนหนุ่ม ความใหญ่และความเล็ก กิจของภาวะที่แท้แห่งพุทธจิต 19 คู่ คือ ยาวและสั้น ดีและชั่ว อวิชชาและปัญญา โง่และฉลาด กระวนกระวายและสงบนิ่ง กรุณาและชั่วช้า ศีลและไม่มีศีล ตรงและคด เต็มและว่าง ชันและระดับ กิเลสและโพธิ ถาวรและไม่ถาวร เมตตาและโหดร้าย สุขและโกรธ อ่อนโยนและหยาบช้า มีอยู่และไม่มีอยู่ ธรรมกายและกายเนื้อ สัมโภคกายและนิรมานกาย
ผู้ที่รู้จักวิธีใช้สิ่งทั้ง 36 คู่เหล่านี้ ย่อมตระหนักชัดถึงหลักการที่แผ่ซ่านไปในทุกสิ่ง ซึ่งกล่าวไว้ทั่วไปในพระสูตรทั้งหลาย ไม่ว่าเขาจะเข้ามาหรือออกไป เขาย่อมสามารถหลีกเลี่ยงความสุดโต่งทั้งสองข้างนี้ได้" ถ้านำเอาคำอธิบายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมาพิจารณาแล้วก็จะเห็นถึงความเป็นจริงแห่งความเคลื่อนไหวของ " ธรรมญาณ " อันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง โดยภาวะแห่งความว่างอันยิ่งใหญ่สามารถก่อเกิด จักรวาลและสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ฟ้าดิน ดวงดาว หรือความมืดหรือสว่าง ล้วนสามารถดับสิ้นไปด้วยกันทั้งนั้นเพราะมีรูปลักษณ์ปรากฏอยู่ย่อมเสื่อมไป กฏของการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับลงไป ส่วนธรรมลักษณะนั้นเป็นเรื่องของรูปที่อยู่ในลักษณะปราศจากรูป แต่เป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นเท่านั้น เช่น ธรรมกับคำพูด มีความหมายอันแท้จริงว่า คำพูดมิใช่ธรรมะ เพราะธรรมะไม่อาจพูดออกมาได้ หากจิตยึดติดสิ่งใดแล้วก็ย่อมสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด หรือแปดเปื้อน และยังคงอยู่ในภาวะไม่เที่ยงแท้นั่นเอง แต่การทำงานของ " พุทธจิต " ย่อมเป็นไปตามแรงส่งของสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในธรรมญาณ ว่าเป็นแรงแห่งดีหรือชั่ว โง่หรือฉลาด ใครที่เข้าใจเช่นนี้จึงรอดพ้นไปจากการยึดมั่นอยู่ในความสุดโต่งทั้งสองด้านไม่ว่าดีหรือชั่ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ในการปฏิบัติกิจของภาวะที่แท้แห่ง ธรรมญาณ และในการสนทนากับผู้อื่นทางภายนอกเราควรเปลื้องตัวเสียจากการยึดติดอยู่กับวัตถุ เมื่อจะต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุนั้น ๆ ส่วนภายในตามคำสอนหรือความว่างเปล่าเราควรเปลื้องตนออกจากความคิดว่าขาดสูญ การเชื่อว่าวัตถุทั้งหลายมีความจริงแท้ หรือเชื่อว่าขาดสูญ ย่อมก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิอย่างฝังรากลึก หรือพอกพูนอวิชชาให้หนาแน่นยิ่งขึ้น ผู้ที่เชื่อมั่นในลีทธิขาดสูญ ย่อมดูหมิ่นพระสูตรทั้งหลายในแง่ที่ว่าภาษานั้นไม่จำเป็น ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ผิดในการที่พูดเพราะคำพูดย่อมก่อให้เกิดเนื้อหาทางภาษา และเขาก็อาจแย้งได้อีกว่า สำหรับวิธีตรงนั้นภาษาเป็นอันยกเลิกได้ แต่เขาจะพอใจคำว่า ยกเลิก ซึ่งเป็นภาษาเช่นกันฉะนั้นหรือ เมื่อได้ยินผู้อื่นกล่าวถึงพระสูตร คนเช่นนี้จะตำหนิผู้พูดในทำนองว่า ติดอยู่ในตำรามันเป็นความชั่วอย่างพอตัวทีเดียว ที่ยึดถือความคิดเห็นผิด ๆ เช่นนี้ไว้กับตน พวกท่านควรรู้ว่า การกล่าวร้ายต่อพระสูตรเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะผลลัพธ์ที่จะได้นั้นหนักมากทีเดียว ผู้ที่เชื่อความจริงแท้ในวัตถุภายนอกก็พยายามค้นหารูปนั้นด้วยการปฏิบัติในลัทธิบางอย่าง เขาอาจจัดห้องบรรยายไว้อย่างกว้างขวาง เพื่อถกเถียงกันถึงลัทธิเที่ยงแท้และลัทธิขาดสูญ แต่คนเช่นนี้แม้อีกมากมายหลายกัลป์ ก็ไม่อาจตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่ง ธรรมญาณ ได้เลย เราควรเดินทางไปตามคำสอนของพระธรรม อย่าปล่อยให้เฉื่อยชา เพราะจะเกิดอุปสรรคแก่ความเข้าใจในหลักธรรมได้ การสอนหรือการฟังพระธรรมโดยไม่ได้ปฏิบัติตามย่อมเป็นการเปิดช่องให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ฉะนั้น เราควรเดินทางไปตามคำสอนของพระธรรม และในการเผยแพร่ธรรม ก็ไม่ควรให้ความคิดเห็นถึงความเจริญแท้แห่งวัตถุ มาชักนำเราไป ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด และนำไปใช้ในการสั่งสอน ในการปฏิบัติ และในชีวิตประจำวัน ท่านจะสามารถจับความสำคัญของสำนักเราได้" ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้เปลื้องตัวออกไปจากความคิดว่า มีหรือไม่มี นั้นเป็นเพราะต้องการให้สภาวะแห่ง ธรรมญาณ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา และมองเห็นความเป็นจริงแท้แห่งสภาวะทั้งปวงตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรายึดถือว่า ต้นไม้ เป็นของมี แต่แท้ที่จริงย่อมเสื่อมสลายหายไปเมื่อถึงกาลเวลา แต่ในขณะเดียวกัน เราไปคิดว่ามันขาดสูญ ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังคงสภาวะมีอยู่ เฉกเช่นเดียวกับ ธรรมญาณ ของเรา ถ้าหากกล่าวว่า ไม่มีก็ไม่ได้ กล่าวว่ามีก็ไม่ได้ เพราะภาวะแห่งภาษามนุษย์ไม่อาจกล่าวถึงหรืออธิบายได้ชัดเจน เพราะเป็นธรรมะที่แท้จริงย่อมเป็นหนึ่งเสมอหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายได้ยากนัก
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : ทางสายกลาง
วิสัยของปุถุชนย่อมติดในรูปลักษณ์ทั้งปวงเพราะฉะนั้น จึงเอามาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินหรือพิจารณาสภาวะธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ทางสายกลาง" ซึ่งเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในการปฏิบัติบำเพ็ญทั้งชีวิตทางธรรมและทางโลก สมัยที่พระพุทธอค์ทรงบำเพ็ญเพียร เพื่อหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยวิธีทารุณพระองค์เองจนหวุดหวินสิ้นพระชนม์ ตามตำนานกล่าวว่า ท้าวสักกะเทวราช ทรงพิณสามสายด้วยการขึงเสียตึง ดีดทีเดียวสายพิณขาดผึง จึงขันใหม่สายพิณหย่อนยานดีดหาเป็นเพลงไม่ ครั้นขึงสายพิณพอดี ๆ ดีดจึงเป็นเสียงดนตรีอันไพเราะ ปริศนาธรรมเช่นนี้จึงทำให้พระสิทธัตถะกุมารได้คิด จึงละเว้นการบำเพ็ญทุกขกิริยาเสีย หันมาเสวยพระยาหาร และค้นหาทางสายกลางแห่งจิต จนพบหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากบุญและบาปทั้งปวง เมื่อกลางคืนวันเพ็ญเดือนหก ความพอดีแห่งธรรมญาณคือ การพ้นไปจาก ดี และ ชั่ว หรืออีกนัยหนึ่งสภาวะแห่งทางสายกลางนั้นสามารถรองรับได้ทั้ง ดี และ ชั่ว พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้แนะวิธีแห่งการเผยแพร่คำสอนทางสายกลางเอาไว้อย่างแยบยลนัก "เมื่อมีปัญหาถามมา จงตอบไปในทำนองปฏิเสธ ถ้าเป็นป็ญหากล่าวปฏิเสธจงตอบทำนองตอบรับ ถ้าถูกถามถึงสามัญชน จงตอบเรื่องของปราชญ์ จากการเปรียบเทียบกันหรืออ้างอิงกันระหว่างสิ่งตรงข้ามทั้งคู่ จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจในทางสายกลางได้ ถ้าปัญหาต่าง ๆ ถามมาทำนองนี้ ท่านจงตอบอย่าให้ผิดไปจากสัจจะ" สภาวะจิตทียอมรับได้ทั้งสิ่งที่เป็นคู่กันนั่นแหละคือ ทางสายกลาง เพราะสภาวะจิตเช่นนั้นจักปราศจากการเปรียบเทียบอย่างแท้จริง พระธรรมาจารย์ชี้ถึงวิธีการเช่นนี้ต่อไปว่า "สมมุติมีคนมาถามท่านว่า ความมืดคืออะไร ท่านก็ตอบเขาไปว่าความสว่างเป็นเหตุ ความมืดเป็นปัจจัย เมื่อความสว่างหายไป ความมืดก็ตามมา สองสิ่งนี้อยู่ในลักษณะเปรียบเทียบต่อกันและกัน จากการเปรียบเทียบหรืออ้างอิงกันระหว่างสิ่งตรงข้ามกันทั้งคู่ก็จะเกิดทางสายกลางขึ้น" ปุถุชนที่ติดอยู่ในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งหมายถึงไม่ยอมรับสิ่งที่ตรงกันข้าม สภาวะจิตเช่นนี้มิใช่ทางสายกลาง เพราะเหตุนี้การนำเอามาอ้างอิงกันก็เพื่อให้สภาวะแห่งจิตยอมรับในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ตามสัจธรรม พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแม้เกิดต่างสมัยกับพระพุทธองค์ ซ้ำยังอ่านหนังสือไม่ออกสักตัวเดียว แต่เหุที่รุ้จักธรรมญาณแห่งตนจึงมีพระวจนะไม่ต่างไปจากพระพุทธองค์หรือพระอริยะเจ้าทั้งปวง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงห่วงใยในการถ่ายทอดธรรมจึงตักเตือนและย้ำแก่สานุศิษย์ทั้งปวงว่า "จงตอบปัญหาอื่น ๆ ทั้งปวงไปในทำนองเดียวกันนี้ ในการถ่ายทอดธรรมให้สานุ
ศิษย์ของท่าน ท่านควรมอบคำสอนนี้ ต่อ ๆ กันไปตามอนุชนแต่ละชั้น เพื่อนเป็นเครื่องประกันความถาวรแห่งเป้าหมายและจุดประสงค์แห่งสำนักเรา" ครั้นถึงเดือนเจ็ดแห่งปีเยิ้นจื่อ คือปีชวด อันเป็นปีที่หนึ่งแห่งรัชสมัยเอี๋ยนเหอ หรือไท่จี๋ พระธรรมาจารย์ได้สั่งให้ศิษย์บางท่านไปสร้างสถูปไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง ที่ซิ่นโจว และกำชับให้แล้วเสร็จโดยด่วน พอจวนสิ้นฤดูร้อนต่อมา สถูปนั้นก็สร้างเสร็จเรียบร้อย พอถึงวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนเจ็ด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็ประชุมสานุศิษย์และ
กล่าวว่า "ฉันจะจากนี้ไปในเดือนแปด หากใครยังมีข้อสงสัยอันใดเกี่ยวกับหลักธรรมแล้ว จงถามเสียให้ทันเวลาเพื่อท่านจะได้เข้าใจให้กระจ่างเพราะท่านอาจไม่พบใครที่จะสอนท่านอีก เมื่อฉันจากไปแล้ว" ข่าวร้ายเช่นนี้ ทำให้ท่านฝ่าไห่และสานุศิษย์อื่น ๆ น้ำตาไหล ส่วนท่านเสินฮุ่ยนั้น ตรงกันข้ามคงสงบนิ่ง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวชมเชยท่านเสินฮุ่ยว่า "อาจารย์หนุ่มเสินฮุ่ยคนเดียวเท่านั้นในที่นี้ ที่ได้บรรลุถึงฐานะของจิต ที่ไม่ยินดียินร้ายต่อความดีหรือความชั่ว ไม่รู้จักความดีใจหรือเสียใจ และไม่หวั่นสะเทือนต่อคำเยินยอหรือติฉิน แต่ท่านอบรมอยู่ในภูเขานี้ก็หลายปีแล้ว ท่านได้รับความก้าวหน้าอะไรบ้าง ขณะนี้ท่านร้องไห้ทำไม ท่านกังวลต่อฉัน เพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะไปที่ไหนกระนั้นหรือ แต่ฉันรู้มิฉะนั้นแล้วฉันคงบอกท่านล่วงหน้าไม่ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่ทำให้ท่านร้องไห้ก็คือ ท่านไม่รู้ว่าฉันจะไปที่ไหน ถ้าท่านร้องไห้เพราะเหตุนั้น ก็ไม่น่าจะร้อง ในสภาพแห่งความเป็นเช่นนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว ย่อมไม่มีการมาหรือการไป ไม่มีการเกิดไม่มีการดับ นั่งลงเถิดทุก ๆ ท่าน ฉันจะกล่าวโศลกด้วยความจริงแท้และความลวง กับโศลกว่าด้วยความเคลื่อนไหวและความสงบนิ่ง ให้ท่านฟัง จงนำไปศึกษา แล้วความเห็นของท่านจะอยู่ในแนวเดียวกับความเห็นของฉัน จงนำไปปฏิบัติแล้วท่านจะทราบถึงเป้าหมายและจุดประสงค์แห่งสำนักของเรา" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้ล่วงรู้ต้นกำเนิดแห่ง ธรรมญาณ ของพระองค์ เพราะเหตุนี้จึงเป็นพระอริยะเจ้าที่บรรลุถึงต้นกำเนิดคือ ดินอดนแห่งพระนิพพาน ปัญหาที่ค้างคาใจพุทธศาสนิกชนก็คือ การเข้าถึงพระนิพพานแล้วหมดสิ้นสูญทุกสิ่งอย่างกระนั้นหรือ มิได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะหากจบสิ้นด้วยเหตุนี้ก็หมายความว่า ธรรมญาณนั้นถูกทำลายได้ จึงมีเกิดและมีดับ ย่อมไม่เวียนว่ายในวัฏสงสาร แต่เพราะไม่มีกรรมวิธีใด ๆ ทำลายธรรมญาณ เพราะฉะนั้น การพ้นไปจากการเวียนว่ายก็คงเหลือแต่ " ธรรมญาณ " อันบริสุทธิ์เข้าร่วมอยู่กับ ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั่นเอง
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : วัตถุมายา
พระพุทธวจนะตอนหนึ่งที่ตรัสว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจัง สัพเพ สังขารา ทุกขา สัพเพ ธรรมา อนัตตา" ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาชาวบ้านก็ได้ความว่า "สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ทั้งปวงไม่ยั่งยืน และเพราะเช่นนี้เองจึงก่อให้เกิดทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ และท้ายที่สุดทุกสิ่งอย่างไม่มีรูปลักษณ์อันแท้จริงเลย" แต่เพราะปุถุชนไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ไม่แจ้งใจในความไม่เที่ยงทั้งปวง ของสรรพสิ่งเมื่อมีเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่มิได้และเสื่อมสลายไปในที่สุดจึงพากันหลงยึดถือเอาไว้ด้วยคิดว่าจะมีอยู่เป็นอยู่ชั่วกาลนาน "ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะตาย พลันความตายก้มาถึง" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงโศลกให้บรรดาศิษย์ทั้งปวงดังนี้ "ในสรรพสิ่งทั้งปวงย่อมไม่มีอะไรที่จริงแท้" ดังนั้นเราควรจะเปลื้องตน ออกเสียจากความคืดเห็นถึงความจริงแท้แห่งวัตถุเหล่านั้น ใครที่เชื่อว่าวัตถุเป็นสิ่งจริงแท้ ย่อมถูกพันธนาการอยู่ด้วยความคิดเช่นนั้นอันเป็นสิ่งที่ลวง ใครที่ตระหนักชัดถึงความจริงแท้ในตัวเขาเอง ย่อมรู้ว่า จิตที่แท้ต้องค้นหาต่างที่กับปรากฏการณ์ที่ผิด ถ้าจิตของใครถูกพันธนาการไว้ด้วยปรากฏการณ์ที่เป็นความลวงแล้ว จะไปหาความจริงแท้ได้ที่ไหน ในเมื่อปรากฏการณ์ทั้งหลายไม่ใช่จริงแท้ สัตว์ทั้งหลายย่อมเคลื่อนไหว วัตถุทั้งปวงย่อมหยุดนิ่ง ใครฝึกฝนให้เป็นผู้ไร้ความเคลื่อนไหว ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากทำตนให้แน่นิ่งอย่างวัตถุ ถ้าท่านจะหาความสงบนิ่งที่ถูกแบบก็ควรเป็นความสงบนิ่งภายในการเคลื่อนไหว ความสงบนิ่งอย่างวัตถุก็เป็นเพียงความสงบนิ่ง มิใช่ญาณ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้ความคิดเกี่ยวกับอาการหยุดนิ่งเอาไว้อย่างชัดเจนที่สุด ความสงบนิ่งที่ถูกต้องก็คือ เดิน นั่ง ยืน กิน ทุกอิริยาบถ ต้องแสวงหาความนิ่งในจิต ให้พบการเคลื่อนไหวที่มีความสงบนิ่งเป็นพื้นฐาน ย่อมหมายถึงผุ้นั้นเคลื่อนไหวอย่างมีสติอันสมบูรณ์และเป็นการเตรียมพร้อมเผชิญต่อสิ่งกระทบทั้งหลาย รู่เท่าทันและตัดทำลายได้ ใครทำได้เช่นนี้ในทุกอิริยาบถย่อมรอดพ้นไปจากกิเลสภัยทั้งปวง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปอีกว่า "ในสรรพวัตถุทั้งหลายนั้น ท่านจะไม่พบเมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะ ท่านผู้เชี่ยวชาญในการจำแนกธรรมลักษณะต่าง ๆ ย่อมพำนักอยู่อย่างสงบนิ่งในหลักธรรมเบื้องแรก ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสำเหนียกรู้ในสิ่งทั้งหลาย นี่แหละคือหน้าที่ของตถตา บรรดาผุ้ที่ดำเนินไปตามมรรค จงกระตุ้นตนเองและคอยหมั่นระวัง ในฐานะที่เป็นสานุศิษย์ในสำนักมหายาน จงอย่ารวบรัดเอาความรู้ ประเภทที่จะผูกพันท่านไว้กับกงจักรแห่งความเกิดและความตาย" ความหมายของโศลกนี้ยืนยันให้รู้ว่า แม้เราทำตัวหรือจิตให้นิ่ง ๆ ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะย่อมไม่รู้ความเป็นจริงแม้แต่ "จิต" ของตนเอง ความสงบนิ่งแห่งจิตใจจึงพร้อมที่รับรู้ในสรพสิ่งโดยไม่หวั่นไหวกับแรงกระตุ้นภายในและภายนอกและสามารถระวังกิเลสมากระทบได้ ตราบใดที่เรายังผูกติดกับความ "เป็น" และ "ตาย" ความคิดตลอดจนความเคลื่อนไหวย่อมพ้นไปจากหนทางอันถูกถ้วนของ ฎธรรมญาณ" เพราะเป็นสิ่งแท้ไม่มีเกิดและไม่ตาย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กล่าวโศลกต่อไปว่า "สำหรับบุคคลที่มีความรู้สึกสอดคล้องกัน จงอภิปรายกันในหลักธรรมทางพุทธศาสนา ส่วนบุคคลที่มีทัศนะต่างจากเรา จงปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพซึ่งจะเป็นการอำนวยความสุขให้แก่เขา เรื่องการโต้แย้งไม่ใช่วิธีการของสำนักเรา เพราะเป็นการขัดกับหลักธรรม การยึดมั่นหรือขัดแย้งกับสิ่งอื่น โดยไม่คำนึงถึงหลักข้อนี้ย่อมเป็นการผลักใสให้ภาวะที่แท้แห่งจิตของตนตกไปสู่ความขมขื่นแห่งโลกียภูมิ"คนที่มีความเห็นในทางธรรมสอดคล้องกันย่อมพูดจากันเข้าใจ และค้นคว้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ขัดแย้งเขาไม่เชื่อในหลักแห่งธรรม หากพูดกันย่อมก่อความไม่เข้าใจและเป็นศัตรูกัน อันทำให้ไม่สามารถผูกบุญสัมพันธ์กันต่อไปได้ การผูกบุญสัมพันธ์กันไว้ย่อมมีหนทางช่วยให้เราได้พบหลักสัจธรรมในครั้งต่อไป บรรดาคนที่ขัดแย้งต่อหลักสัจธรรม ย่อมมองไม่เห็นหนทางอันแท้จริง เขาเหล่านั้นล้วนหลงอยู่กับวัตถุทั้งปวง เขาย่อมตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน เพราะหลงในมายาเหมือนกัน ย่อมเศร้าหมองเหมือนตกอยู่ในทะเลทุกข์นั่นเอง
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : เมล็ดพืชแห่งพุทธะ
มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน ทรงความศักดิ์สิทธิ์เสมอกันเพราะมี "ธรรมญาณ" เป็นเช่นเดียวกัน แต่ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะ บาปเวรกรรม สร้างมาไม่เหมือนกัน ความผิดแผกกันตรงนี้จึงไม่สมควรแบ่งแยกมนุษย์ให้ต่ำสูงไม่เท่ากัน มนุษย์มักเอาสิ่งที่มองเห็นมาเปรียบเทียบแบ่งแยกซึ่งกันและกัน และดูถูกดูแคลนกัน จนเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันและสร้างเวรกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด อาการติดยึดในรูปลักษณ์ทั้งปวงจึงทำให้มนุษย์มีกังวลและเป็นทุกข์เมื่อรูปนั้นพังทลายลงไป ในโลกนี้จึงไม่มีใครสามารถรักษารูปลักษณ์ให้เป็นอมตะได้เลย ด้วยเหตุความหลงเช่นนี้ จึงทำให้การวินิจฉัยปัญหาทั้งมวลผิดพลาดไปได้โดยง่าย เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงประกาศจักละทิ้งกายสังขาร ท่านฝ่าไห่ ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสจึงเรียนถามว่า "เมื่อพระคุณท่านเข้าปรินิพพาานแล้ว ใครจะเป็นผู้ได้รับมอบบาตร จีวร และ ธรรมต่อไป" "สำหรับคำสอนของฉันทั้งหมด นับแต่ได้กล่าวเทศนาในวัดต้าฝัน ตราบจนบัดนี้ จงคัดลอกเป็นเล่มแล้วแจกจ่ายกันไปก็ได้ แต่ให้ชื่อว่า สูตรอันประกาศบนมหาบัลลังก์แห่งธรรมรถ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ทั้งปวง บุคคลที่สั่งสอนตามคำสอนนี้ เป็นผู้สั่งสอนตามธรรมแท้ พอแล้วสำหรับธรรม ส่วนการรับช่วงจีวรนั้น ถือเป็นการสิ้นสุดกันเพราะเหตุใดหรืือ เพราะว่าท่านทั้งหลายต่างก็ศรัทธาต่อคำสอนของฉันโดยพร้อมมูล ทั้งท่านก็ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ แล้ว ท่านสามารถสืบต่อจุดประสงค์อันสูงส่งของสำนักเราให่ลุล่วงไปได้ นอกจากนั้น ตามความหมายในโศลกของท่านโพธิธรรม พระธรรมาจารย์องค์แรกผู้ถ่ายทอดพระธรรมและบาตร จีวร ท่านก็ไม่ประสงค์จะมอบให้แก่ใครต่อไปอีก โศลกนั้นคือ " จุดประสงค์ในการมาดินแดนนี้ ก็เพื่อถ่ายทอดพระธรรม สำหรับปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกครอบงำไว้ด้วยความหลงผิด เมื่อมีกลีบครบห้ากลีบ ดอกไม้นั้นก็สมบูรณ์ หลังจากนั้น ผลจะปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ " ความหมายแห่งคำกล่าวของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเกี่ยวกับการส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์สมัยต่อไป เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง นับแต่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หนึ่งของอินเดีย มาจนถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง การส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์อาศัยจีวรและบาตร เป็นเครื่องหมายแห่งตำแหน่งและฐานะผู้แบกรับพระโองการสวรรค์อันชัดเจนเพื่อสืบต่อเป็นพงศาธรรม การสืบต่อ ยังคงรักษาพงศาธรรมเอาไว้ไม่ขาดสาย
แต่นับจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว ดอกไม้ก็สมบูรณ์บานครบห้ากลีบ ผลย่อมปรากฏเอง ความหมายก็คือ การสืบต่อพระโองการสวรรค์ย่อมแสดงได้ด้วยการบำเพ็ญปฏิบัติ โดยอาศัยผลแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นจริงขึ้นมาเอง ผู้ได้รับมอบหมายสืบต่อพงศาธรรม เมื่อมีพระโองการอยู่กับตัว การปฏิบัติบำเพ็ญ ย่อมปรากฏผลชัดเจนโดยใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ มิใช่บาตรและจีวรดังแต่ก่อน พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จงชำระจิตของท่านให้
บริสุทธิ์และฟังฉันพูด ใครที่ปรารถนาจะบรรลุปัญญาของพุทธะ ซึ่งรู้ไปในทุก ๆ สิ่ง เขาก็ควรรู้จัก สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์และสมาธิ เฉพาะแบบในทุกกรณี เราควรเปลื้องตนออกเสียจากความผูกพันธ์ในวัตถุทั้งหลาย และวางท่าทีต่อสิ่งเหล่านั้นให้เป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย อย่าปล่อยให้ชัยชนะหรือความปราชัย และการได้มา หรือการสูญเสีย ก่อความกังวลแก่เราได้ จงสงบและเยือกเย็น จงสุภาพและอารีอารอบ จงซื่อตรงและเที่ยงธรรม สิ่งเหล่านั้นคือ สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์ในทุก ๆ โอกาสไม่ว่าเราจะ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน จงเป็นคนตรงแน่ว เราก็จะดำรงอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และไม่ต้องเคลื่อนไหวแม้สักน้อย เราก็เหมือนอยู่ในอาณาจักรแห่งดินแดนบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้คือ สมาธิเฉพาะแบบ ผุ้ปฏิบัติตามสมาธิทั้งสองอย่างนี้ได้ครบถ้วนแล้ว ก็เสมือนกับเนื้อนาที่ได้หว่านเมล็ดพืชลงไป แล้วกลบไว้ด้วยโคลน เมล็ดพืชจึงได้รับการบำรุงและเจริญเติบโต ตราบจนกระทั่งผลิผล" ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า การสดับพระธรรมหรือคำพูดทุกอย่าง หากภายในใจของเรายังติดอยู่กับสิ่งใด คำพูดมิอาจฝ่าฟันไปสู่ความเข้าใจของเขาได้เลย เสมือนหนึ่งน้ำเต็มแก้ว ย่อมเติมลงไปมิได้ฉันใดก็ฉันนั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "คำสอนของฉันในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับฝนตกตามฤดูกาล ซึ่งจะนำความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งมีอยู่ภายใน เสมือนหนึ่งกับเมล็ดพืชที่ได้รับความชุ่มชื้นจากสายฝน ย่อมจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครที่ปฏิบัติตามคำสอนของฉัน ย่อมได้บรรลุถึงโพธิอย่างแน่นอน ใครที่ดำเนินตามคำสอนของฉันย่อมได้รับผลอันสูงเลิศเป็นแน่แท้ จงฟังโศลกดังนี้ "" เมล็ดพืชแห่งพุทธะ แฝงอยู่ในจิตของเราย่อมงอกงามตามสายฝน ที่ซึมซาบไปในทุกสิ่ง ดอกไม้แห่งหลักธรรม เมื่อได้ผลิออกมาด้วยปัญญาญาณ ผู้นั้นย่อมแน่แท้ ที่จะเก็บเกี่ยวผลแห่งการตรัสรู้"" มนุษย์ทุกคนจึงมีภาวะแห่ง พุทธะ คือผู้รู้อยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครมีมากหรือน้อยกว่ากัน แต่เหตุที่ไม่อาจบรรลุธรรมเท่าเทียมกันเป็นเพราะวิบากกรรมปิดบังปัญญาญาณของตนเองจนมือมิด แต่เมื่อใดที่เขาได้ใช้ปัญญาของตนเองแล้ว ย่อมเข้าสู่หนทางแห่งการรู้ตัวเองอย่างแท้จริง """คำว่า ตรัสรู้ หมายความว่าอย่างไร"""ปุจฉา """แปลว่า รู้เองไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน"""วิสัชนา """คำตอบอย่างนี้ใคร ๆ ก็ตอบได้ ไม่เห็นเข้าใจเลย""" """อย่างนั้น ถ้าเอาคำว่า พุทธะ มารวมกันเข้าก้อาจเข้าใจได้มากขึ้น เพราะคำนี้มีความหมายว่า ผู้รู้ มิได้หมายความรู้อะไรข้างนอกตัวเองเลย แต่รู้ทุกข์รู้สุข รู้ความเคลื่อนไหวในจิตของตนเอง สรุปอย่างสั้นและง่ายก็คือ รู้กิเลสตนเอง นั่นเอง รู้แล้วสามารถชำระและตัดมันออกไปได้โดยเด็ดขาด อย่างนี้จึงเรียกว่า ตรัสรู้ กรณีเช่นนี้ไม่มีใครช่วยเราได้เลยนอกจากตัวเองทั้งนั้น รู้เองแก้เอง """ ""ใคร ๆ ก็ทำได้อย่างนั้นหรือ""" ถาม """แน่นอน เพราะทุกคนมีภาวะ พุทธะ ในตัวเองอยู่แล้ว"""ตอบ
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : อย่าทำจิตให้ว่างเปล่า
ผู้ปฏิบัติธรรมมักสนใจที่จะทำให้จิตของตนว่างเปล่าด้วยการบังคับโดยอาศัยวิธีของสมาธิภาวนาิให้ "จิตว่างเปล่า" และถ้าทำได้เช่นนี้ ถือว่าเป็นการสำเร็จหนทางแห่งการทำสมาธิด้วยจิตที่ว่างเปล่ามันไร้ความคิดและยึดถือ ย่อมมีความสุข ความเชื่อเช่นนี้ผิดหนทางแห่งการปฏิบัติธรรม การบังคับหรือหลอกล่กให้จิตว่างเป็นเพียงการหลอกลวงตนเองชั่วคราวเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นไม่ยั่งยืนและไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อการบำเพ็ญภาวนาเลย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งปวง ""ธรรมนั้นไม่เป็นของคู่ และ ธรรมญาณ ก็เป็นฉันนั้น มรรค นั้นบริสุทธิ์และอยู่เหนือรูปทั้งมวล ฉันขอเตือนท่าน อย่าปฏิบัติสมาธิในเรื่องความเงียบสงบ หรือ อย่าทำจิตให้ว่างเปล่า ธรรมญาณบริสุทธิ์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรที่เราจะต้องใฝ่หาหรือยกเลิก แต่ละท่านจงปฏิบัติให้ดีที่สุด และไปในทุกแห่งตามแต่เหตุการณ์จะนำไป"" ธรรมะที่แท้จริงไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้เพราะเป็นหนึ่งเดียวและปราศจากรูปลักษณ์ จึงจนปัญญาที่ไม่อาจเอาอะไรมาเทียบหรือชี้ให้เห็นสภาพแห่ง ธรรมะได้เลย ธรรมญาณของคนเราก็เฉกเช่นเดียวกัน ""ธรรมญาณ นั้นคืออะไร""ปุจฉา ""คือตัวจริงที่ไม่มีวันเกิดและวันตาย ไม่มีใครทำลายให้สูญหายไปจากธรรมชาติของตนเองได้ เป็นอมตะนิรันดรเพราะเป็นญาณที่มาจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั่นเอง"" หนทางแห่งธรรมญาณที่แท้จริงจึงบริสุทธิ์สะอาดเพราะอยู่เหนือรูปลักษณ์ทั้งปวง จึงไม่อาจเอาความสะอาดในโลกนี้ไปเปรียบเทียบได้เลย ด้วยเหตุนี้การทำสมาธิเพื่อให้เกิดความเงีบยสงบจึงไม่ก่อประโยชน์ เพราะโดยธาตุแท้ของธรรมญาณล้วนสงบและสะอาดอยู่แล้ว เมื่อมีสภาวะเช่นนี้จึงไม่ต้องไปหาหรือยกเลิกอะไรทั้งสิ้น การนั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อใฝ่หาความสงบและยกเลิกความวุ่นวายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในธรรมญาณของเราเอง เพราะเหตุนี้ร้อยแปดวิธีที่บรรดาฤาษีทั้งปวงค้นคิด จนสามารถเข้าฌาณสมาบัติได้ ถอดจิตได้ จึงไม่อาจหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบและว่างเปล่่า จึงไม่อาจค้นหาวิธีการแห่งการหลุดพ้นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงละเลิกวิธีการเช่นนั้นเสียสิ้น มีนิทานเซ็นที่เล่าเปรียบเทียบ ให้เห็นความเป็นจริงแห่ง ""ธรรมะ""ได้ดีเรื่องหนึ่ง มีนักศึกษาเซ็นคนหนึ่งแสวงหาพระอาจารย์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงเพื่อศึกษาหาหนทางแห่งความหลุดพ้น ครั้นพบพระอาจรย์ผู้มีชื่อท่านหนึ่ง จึงฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ปรนนิบัติ เพื่อหวังจะได้รับคำสั่งสอนถ่ายทอดวิชาธรรมะอันลึกซึ้งจากพระอาจารย์ แต่อยู่ไปนานวันเข้าพระอาจารย์ก็มิได้สั่งสอนธรรมะแต่ประการใดเลย ""พระอาจารย์ขอรับ กระผมอยากศึกษาธรรมะ""ลูกศิษย์อ้อนวอน ""เธอหิวข้าวหรือยัง""พระอาจารย์ถาม ""หิวขอรับ"" ""ถ้าเช่นนั้นก็จงไปกินข้าวเสีย"" ""กินอิ่มแล้วขอรับ"" ""จงไปล้างจาน และ ถ้าง่วงก็ไปนอนเสีย""พระอาจารย์ตอบแล้วก็นั่งนิ่งเสียไม่กล่าวว่ากระไรอีกต่อไป ความจริงพระอาจารย์ได้สอนธรรมะอันลึกซึ้งให้แก่ศิษย์เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่หารู้ไม่ว่า ธรรมะนั้นคือธรรมชาติ มิได้มีอะไรผิดแผกไปจากชีวิตธรรมดาสามัญเลย แต่ผู้ที่ไม่รู้สภาพแแท้จริงของธรรมะ ย่อมคิดว่าต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากในการค้นคิดหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ และหลายครั้งไปติดอยู่ที่พระพุทธประวัติที่ได้แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานแห่งการค้นพบ สัจธรรม การที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ฯถึงทุกริยา ด้วยการทรมานพระวรกาย เพื่อแสวงหาหนทางแห่งการพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด สรุปแล้ววิธีการเช่นนี้มิใช่หนทางแห่งการค้นพบธรรมะอันแท้จริงเลย แต่กลับเป็นทางที่ผิด และพระพุทะองค์ทรงห้ามเอาไว้ ""ธรรมะอันแท้จริงอยู่ในธรรมญาณของตนเอง"" มรรคคือหนทางแห่งการค้นพบ หรือ เส้นทางเดินของธรรมญาณนั้นก้แสนจะบริสุทธิ์ธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ จนกลายเป็นแสงสีวิจิตรพิสดารก็หาไม่ แต่็ผู้คนทุกวันนี้ ล้วนหลงทางปฏิบัติ ไปจับเอาตอนที่ปฏิบัติผิดของพระพุทธองค์ว่าเป็นหนทางอันถูกต้อง เพราะฉะนั้น จึงพยายามเข้มงวดและบังคับตัวเองทุกวิถีทาง ยิ่งทำอะไรได้ผิดแผกไปจากคนธรรมดาสามัญได้มากเท่าไหร่ยิ่งกลายเป็นผู้วิเศษ เราจึงมีผู็วิเศษแปลกประหลาดมากมาย และ หลงกราบไหว้โดยเห็นว่าเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ แท้จริงแล้วผู้วิเศษผิดธรรมชาติเหล่านี้ กลับสร้างทุกข์ให้แก่ผู้หลงไปอีกมากมายจนประมาณมิได้ การควบคุมจิตของตนเองให้เดินอยู่ในหนทางที่มีสติตลอดเวลา และรู้หลักแห่งสัจธรรมแท้จริง ไม่ปฏิบัติผิดไปจาก สัจธรรมของธรรมชาติแล้วไซร์ น่าจะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่เกิด มรรคผลที่สุด
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : กลับคืนสู่รากเหง้าเดิม
กายเนื้อมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่มีข้อสงสัย ต้นกำเนิดมาจากพ่อและแม่ เมื่อสิ้นสุดลงไปก็กลับสู่บ้านเก่า ดินกลับไปสู่ดิน น้ำกลับไปสู่น้ำ ลมกลับไปสู่ลม ไฟกลับไปสู่ไฟ สรรพสิ่งล้วนกลับคืนไปสู่ต้นกำเนิดเดิมด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสับสนของปุถุชนอยู่ตรงที่ว่าไม่รู้ต้นกำเนิดแห่ง "ธรรมญาณ" ของตนเองเพราะฉะนั้นจึงหลงทางวนเวียนอยู่แต่ในทะเลทุกข์และหลง ร้ายกาจที่สุดล้วนคิดว่าไม่มี "ตัวจริง" เมื่อสิ้นสุดกายสังขารแล้วทุกอย่างก็ดับสูญไป ความเชื่อเช่นนี้ พระพุทธองค์เคยวินิจฉัยว่าเป็น "ความเห็นผิด" ไม่ควรเชื่อถือ เพราะมิได้เป็นจริงเช่นนั้น แม้มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" ก็ยังถือว่าเป็นความเห็นที่ผิดเช่นกัน เพราะ "ธรรมญาณ" ไม่มีวันเกิดจึงไม่มีวันดับ เมื่ออยู่ในภาวะเช่นนี้ย่อมมีต้นกำเนิดอย่างแน่นอน ซึ่งเรียกกันว่า "ต้นธาตุุต้นธรรม" พระพุทธองค์เคยตอบปัญหาพระสุภูติว่า ""เธอมิต้องสงสัย แม้ปริยัติธรรมจะลึกซึ้ง ยากแก่การเข้าใจ แต่ภายหน้าในธรรมกาลยุคสุดท้าย คือหลังจากตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว สองพันห้าร้อยปี ระหว่างนั้นจะมีผู้ถือศีลบำเพ็ญกุศลเกิดขึ้นมากมาย เมื่อนั้นแหละที่สัทธรรมจะได้เจิดจรัส โปรดสัตว์ทั่วไปอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญกุศลทั้งหลายจะบังเกิดศรัทธาอันแท้จริงทั่วกัน เมื่อได้สดับสัทธรรมแต่เธอพึงรู้เถิดว่าบุคคลเหล่านั้นที่บังเกิดศรัทธาอันแท้จริง มิใช่เหตุปัจจัยอันบังเอิญ แต่ด้วยกุศลมูลอันปลูกฝังมานานช้า ซึ่งมิใช่เพียงชาติเดียว สองชาติ หรือ สามสี่ห้าชาติ แต่ด้วยปลูกฝังกุศลมูลมากมายนับพันหมื่นชาติอันประมาณมิได้มาแล้ว ดังนั้น เมื่อได้สดับสัทธรรม จึงไม่เกิดความลังเลสงสัย ไม่สับสน บำเพ็ญทานโดยไม่ยึดถือ และโปรดสัตว์ทั่วไป""พระพุทธวจนะ ตอนนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงของกาลเวลาแห่งการบำเพ็ญ และเรียนรู้ความเป็นไปแห่ง "ธรรมญาณ" ซึ่งในบรดาที่ได้รับสัทธรรมย่อมไม่สับสนในต้นกำเนิดของธรรมญาณ เหมือนอย่างที่พระพุทะองค์เคยตรัสไว้ว่า ผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้นไม่พึงเกิด วิจิกิจฉา คือลังเลสงสัยในธรรมที่ตนเองปฏิบัติอยู่ """สัทธรรมของมนุษย์อยู่ที่ไหนล่ะ""ปุจฉา ""ธรรมญาณของตนนั่นแหล่ะ ธรรมะแท้ พ้นจากนี้ไปแล้วมิใช่ธรรมะ""วิสัชนา เพราะเหตุนี้ผู้ที่ลังเลสงสัยในธรรมก็คือ ผู้ที่สับสนแห่งความเป็นมาและเป็นไปของตัวจริงคือ "ธรรมญาณ" นั่นเองพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงครั้นถึงเวลาที่จะคืนกลับจึงสั่งสานุศิษย์ เมื่อวันขึ้นแปดค่ำ เดือนแปด จัดเรือโดยด่วนเพื่อท่านจักกลับไปซินโจว เมืองเกิดของท่าน บรรดาสานุศิษย์ทั้งปวง ต่างวิงวอนขอให้ท่านอยู่ต่อไป พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า ""เป็นธรรมดาเหลือเกินที่ฉันจะต้องไป เพราะความตายเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการเกิด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งเสด็จมาในโลกนี้ ก็ต้องผ่านการตายทางโลกีย์ก่อนจะเสด็จเข้าสู่พระมหาปรินิพพาน เรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น สำหรับกายอันเป็นเนื้อหนังของฉัน ซึ่งจะต้องเหยียดยาวลง ณ ที่ใดที่หนึ่ง ""เมื่อท่านได้เยือนซินโจวแล้ว จะเร็วหรือช้าก็ตาม ขอได้โปรดกลับมาที่นี่เถิด""สานุศิษย์พากันวิงวอน ""ใบไม้ที่หล่นจากต้นแล้วย่อมกลับคืนไปสู่ราก เมื่อฉันมาที่นี่ครั้งแรก ฉันก็ไม่ได้บอกใคร""พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบ ความหมายนี้บอกชัดเจนว่า เมื่อทิ้งกายสังขารแล้ว "ธรรมญาณ" ย่อมคืนกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม เพราะพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นผู้ที่รับรู้ต้นกำเนิดแห่ง "ธรรมญาณ" และท่านได้ปฏิบัติจนเป็นจริง จึงไม่มีความสงสัยอีกต่อไป ที่ประชุมจึงถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า ""ใครที่ได้รับการถ่ายทอดขุมกำเนิดแห่งดวงตาเห็นธรรมแท้"" พระธรรมามาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า ""มนุษย์ในหลักธรรมย่อมได้รับ และบรรดาผู้ที่หลุดพ้นแล้วจากความคิดเห็นอันเฉียบขาดย่อมเข้าใจ"" ความหมายแห่งวจนะนี้เป็นการบอกกล่าวปริศนาธรรมถึงการถ่ายทอดผู้รับสืบต่อสายทองหรือพงศาธรรมที่จะรักษา "ประตูศักดิ์สิทธิ์" เอาไว้ในโลกนี้ ""หลังจากนั้นจะมีเหตุวิบัติเกิดขึ้นแก่ท่านหรือไม่"" ""ห้าหรือหกปีหลังจากที่ฉันไปแล้ว จะมีคนผู้หนึ่งมาตัดศรีษะฉัน ฉันได้กำหนดคำทำนายไว้แล้วดังนี้ ""สิ่งสักการะและเลี้ยงดูบิดามารดา ได้เทิดทูนไว้เศียรเกล้า เมื่อมีเหตุวิบัติได้บังเกิดขึ้นแก่มุนี หยางและหลิวจะได้เป็นขุนนาง"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวเสริมอีกว่า ""เมื่อฉันจากไปแล้วเจ็ดสิบปี จะมีพระโพธิสัตว์สององค์มาจากทางทิศตะวันออก องค์หนึ่ง เป็นฆราวาส อีกองค์หนึ่งเป็นพระภิกษุ มาสั่งสอนธรรมในเวลาเดียวกัน จะเผยแพร่พระธรรมออกไปอย่างกว้างขวาง จะเสริมสร้างสำนักเราให้มีรากฐานมั่นคง ปฏิสังขรวัดของเรา และถ่ายทอดหลักธรรมให้แก่ผู้สืบทอดที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย""การพยากรณ์ในครั้งนี้ น่าจะมีความหมายชัดเจนแล้วในยุคปัจจุบันซึ่งการเผยแพร่สัทธรรมได้เข้าสู่ยุคแห่งการโปรดสัตว์ทั่วไปและในครั้งนี้ มีพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา องค์หนึ่งซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของฆราวาส และ พระพุทธจี้กง อันเป็นพระสงฆ์ผู้สำเร็จแต่ครั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และในการโปรดครั้งสุดท้ายนี้ล้วนแต่ทำให้ผู้ได้รับสัทธรรมสามารถกลับคืนสู่รากเหง้าเดิมได้ทั้งสิ้น
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : พงศาธรรม
การสืบสายทอดธรรมะเพื่อรักษาประตูศักดิ์สิทธิ์แห่งการคืนกลับสู่ "บ้านเดิม" อันเข้าใจว่าเป็นแดนนิพพาน ผู้รักษาประตูศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า""พระวิสุทธิอาจารย์""ทำหน้าที่ชี้หนทาง ส่วนการบำเพ็ญหรือเดินทาง ต้องกระทำด้วยตนเอง ไม่มีใครช่วยได้เลย การสืบทอดโองการสวรร์เพื่อให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงได้คืนกลับเป็นไปตามยุคสมัย ซึ่งแบ่งออกเป็น สามยุค คือ ยุคที่หนึ่งเรียกว่า ยุคเขียว ผู้ถือโองการสวรรค์เป็นฮ่องเต้ เพราะฉะนั้นฮ่องเต้จึงเป็นโอรสสวรรค์ พระพุทะเจ้าครองธรรมกาล 1,500 ปี คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า พระวิสุทธิอาจารย์ผู้รับสืบทอด พงศาธรรมมีอยู่ 18 พระองค์ เรียงลำดับได้ดังนี้ 1. พระเจ้าฝูซี 2. ปรมาจารย์เสินหนง 3. เซวียนเอวี้ยนฮ่องเต้ 4. เล่าเฮ่า 5. จวนซวี่ 6. ตี้คู่ 7. ตี้เหยา 8. ตี้สุ้น 9. เซี่ยอวี่ 10. อีอิน 11. วังทัง 12. ไท่กงอ้วง 13. อ๋นอ๋วงโจวกง 14. เหลาจื้อ 15.ขงจื่อ 16. เอวี๋ยวจื่อ 17. จื่อซือ 18. เมิ่งจื่อ เมื่อถึงท่านเมิ่งจื่อ ธรรมะที่แท้จริงไม่มีการถ่ายทอด ถือเป็นการเสร็จสิ้นการถ่ายทอดในประเทศจีน ในยุคเขียวตะวันออก สานุศิษย์พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้เรียนถามว่า ""ท่านจะให้พวกข้าพเจ้าได้ทราบไหมว่า ธรรมนี้ได้ถ่ายทอดกันมากี่ชั่วคนแล้ว นับจากพระพุทธเจ้าพระองค์แรกเป็นต้นมา" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบว่า "พระพุทะเจ้าเสด็จมายังโลกนี้ มีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน พระองค์ขอให้เรากล่าวนามพระองค์เพียง 7 พระองค์หลังเถิด กัลป์ที่แล้วเรียกว่า อาลัมกรกัลป์มี 4 พระองค์ พระพุทธเจ้าวิปัสสิน พระพุทธเจ้าสิขิน พระพุทธเจ้าเสสภู พระพุทธเจ้ากกุสันธ ส่วนกัลป์ปัจจุบันเรียกว่า ภัทรกัลป์ มี 3 พระองค์ พระพุทธเจ้าโกนาคมน พระพุทธเจ้ากัสสป พระพุทธเจ้าโคดม จากพระพุทะเจ้าโคดม ได้ถ่ายทอดธรรมะมาสู่ องค์ที่ 1 พระมหากัสสปะเถระ องค์ที่ 2 พระอานนท์เถระ องค์ที่ 3 พระสันนวสเถระ องค์ที่ 4 พระอุปคุปเถระ องค์ที่ 5 พระธริตกเถระ องค์ที่ 6 พระมิฉกเถระ องค์ที่ 7 พระวสุมิตรเถระ องค์ที่ 8 พระพุทธนันทิเถระ องค์ที่ 9 พระพุทธมิตรเถระ องค์ที่ 10 พระวาสวเถระ องค์ที่ 11 พระปุนยยัสสเถระ องค์ที่ 12 พระอัสวโฆศ มหาโพธิสัตว์ องค์ที่ 13 พระกปิมลเถระ องค์ที่ 14 พระนคารชุน มหาโพธิสัตว์ องค์ที่ 15 พระคนเทวเถระ องค์ที่ 16 พระราหุลตเถระ องค์ที่ 17 พระสังฆนันทิเถระ องค์ที่ 18 พระสังฆยัสสเถระ องค์ที่ 19 พระกุมารตเถระ องค์ที่ 20 พระฆยตเถระ องค์ที่ 21 พระวสุพันธุเถระ องค์ที่ 22 พระมนูรเถระ องค์ที่ 23 อักเลนยสัสเถระ องค์ที่ 24 พระสินหเถระ องค์ที่ 25 พระวสิอสิตเถระ องค์ที่ 26 พระปุนยมิตรเถระ องค์ที่ 27 พระปรัชญาตาระเถระ องค์ที่ 28 พระโพธิธรรม องค์ที่ 29 พระเสินกวง องค์ที่ 30 พระเซิงซั่น องค์ที่ 31 พระเต้าซีน องค์ที่ 32 พระหงเหยิ่นและฉันเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ 33 จากการสืบต่อทางสานุศิษย์ ที่พระธรรมได้ถ่ายทอดจากพระธรรมาจารย์องค์ที่ 1 ไปยังอีกองค์หนึ่ง นับจากนี้ไป ท่านทั้งหลายควรถ่ายทอดต่อไปให้คนรุ่นหลัง จากอนุชนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง เพื่อเป็นการรักษาประเพณีเอาไว้"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวถึงพงศาธรรม เอาไว้พอเป็นสังเขปเท่านั้น แต่ถ้าจะแบ่งยุคแห่งการถ่ายทอด ธรรมะ อันเป็น พงศาธรรมที่สืบต่อกันมาแล้ว หลังจากยุคสมัยพระพุทธองค์ปัจจุบันซึ่งครองธรรมกาล3,000 ปี ถือเป็นยุคที่ 2 เรียกว่า ยุคแดง ธรรมะอยู่ที่ปราชญือริยะบุคคล จึงเป็นที่น่าสังเกตุว่า เจ้าชายสิทธัตถะ จึงต้องสละฐานันดรแห่งกษัตริย์แสวงหาความหลุดพ้น ธรรมะถ่ายทอดมาจนถึง พระโพธิธรรม ได้แลเห็นแสงสว่างแห่งธรรมปรากฏขึ้นที่เมืองจีน จึงเดินทางไปประเทศจีนเมื่อสมัย เหลียงอู่ตี้ฮ่องเต้ ประมาณปีพุทธศักราช 1050 สมัยนี้จึงถือเป็นยุคแดง ตะวันออก มีพระธรรมาจารย์ถือโองการสวรรค์ 18 รุ่น โดยพระโพธิธรรมเป็นองค์ที่ หนึ่ง ของจีน ครั้นถ่ายทอดธรรมะมาถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงองค์ที่ 6 แล้ว ธรรมะถ่ายทอดลงสู่ครัวเรือน ผู้ที่รับโองการสวรรค์ตามลำดับพงศาธรรม มีดังนี้ 7. หม่าต๋วนเอี๋ยง ไป่อวี้ฉัน 8. หลออุ้ยฉวิน 9. หวงเต๋อฮุย 10. อู๋จื่อเสียง 11. เหอเหลียว 12.เอวี้ยนทุ่ยอัน 13 เอี๋ยงหวนซวี สวีหวนอู๋ 14.เอี๋ยวหาวเทียน 15.อ๋วงเจี๋ยอี 16. หลิวชิงซวี ยุคแดงสิ้นสุดลงที่พระธรรมาจารย์รุ่นที่ 16 จากนี้ไปเป็นการเริ่มต้นยุคขาว ซึ่งธรรมะถ่ายทอดลงสู่สามัญชน และเป็นการโปรดสัตว์ทั่วไปครั้งสุดท้าย พระพุทธเจ้าที่เสวยธรรมกาลคือ พระศรีอริยเมตตรัย ครองธรรมกาล 10,800 ปี ผู้รับโอกงการสวรรค์สืบสายพงศาธรรมเป้นปฐมบรรพจารย์ในยุคนี้คือ 17.ลู่จงอี และ 18.กงฉัง จือซี คือพระพุทธจี้กง และ พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา พระพุทธเจ้าทั้ง 10 พระองค์ ที่ลงมาเก็บงานให้สมบูรณ์ก็คือ ชี้หนทางให้เวไนยสัตว์คืนกลับสู่นิพพานนั่นแล
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : พญามาร
การบำเพ็ญปฏิบัติย่อมพบพานกับพญามารอย่างหลีกเลี่ยงมิได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พญามารที่อยู่ภายในย่อมมีฤทธานุภาพมากกว่าพญามารที่อยู่นอกตัวเราเสียอีก พระอริยเจ้ามีคำกล่าวเอาไว้ว่า "พุทธะสูงหนึ่คืบ มารสูงหนึ่งศอก" ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ บ่งบอกให้รู้ว่า การบำเพ็ญปฏิบัติต้องฝ่าฟันเอาชนะพญามารภายในตัวเราให้ได้ หากพ่ายแพ้ต่อพญามารเสียแล้วย่อมไม่อาจสำเร็จคืนสู่ "บ้านเดิม"ได้เลย ก่อนที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจะละกายสังขาร ท่านได้กล่าวโศลก โดยให้ชื่อโศลกนั้นว่า "พุทธะอันแท้จริงของภาวะที่แท้แห่งจิต" มีความว่า "อนุชนรุ่นหลังต่อไปในอนาคต ผู้เข้าใจในความหมายนี้ จะได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งจิตและบรรลุความเป็นพุทธะตามนัยนี้้ ภาวะที่แท้แห่ง ธรรมญาณ หรือ ตถตา เป็นพุทธะอันแท้จริง ส่วนมิจฉาทิฏฐิ และธาตุอันเป็นพิษร้าย 3 ประการ เป็นพญามาร การบรรลุธรรมด้วยสัมมาทิฏฐิ เรามุ่งไปสู่พุทธะในตัวเรา เมื่อธรรมชาติของเราถูกครอบงำด้วยธาตุอันเป็นพิษร้าย 3 ประการ อันเป็นผลมาจากมิจฉาทิฏฐิ เราก็ได้ชื่อว่าอยู่ภายใต้อำนาจ พญามาร เมื่อสัมมาทิฏฐิได้ขจัดธาตุอันเป็นพิษร้ายเหล่านี้ออกไปจากจิตของเรา พญามารก้กลายรางเป็น พุทธะอันแท้จริง" ความหมายแห่งโศลกนี้ ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า พญามาร อยู่ภายในจิตของเรานี่เอง มิต้องไปค้นหาที่ไหนเลย ในครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียร ก็ได้เอาชนะพญามารที่อยู่ภายในจิตใจอันเป็นพิษร้าย สามประการ ได้แก่ โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นหัวหน้าสำคัญของมารภายในจิตของเรา และสามารถแตกหน่อก่อลูกหลานมารรุมเร้าภายใน "ธรรมญาณ" ของเราได้มากมายโดยประมาณมิได้เช่นกัน เมื่อพญามาร ครอบครอง "ธรรมญาณ" อายตนะหก อันได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ย่อมกลายเป็นบริวาร และปฏิบัติตามอำนาจของพญามารโดยแท้ เพราะเหตุนี้ จึงไม่ต้องเที่ยวแสวงหารูปลักษณ์แห่งพญามาร จากที่ไหนเลย ขอเพียงพญามารครอบครอง ธรรมญาณ ของเราได้รูปลักษณ์ที่แสดงออกทั้งปวงล้วนเป็น พญามาร พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า ""ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมานกาย กายทั้งสามนี้ย่อมกำเนิดมาจากสิ่งหนึ่งคือ "ภาวะที่แท้ แห่ง ธรรมญาณ" ใครที่สามารถตระหนักชัดถึงความจริงข้อนี้ ได้ด้วยปัญญาญาณ ย่อมหว่านเมล็ดพืชและจะเก็บเกี่ยวผลถึงการตรัสรู้ จากนิรมานกายที่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของเรา ได้ถือกำเนิดภายในนิรมานกายนั้น และจะพบธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และภายใต้การนำของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นั้นเอง นิรมานกายจะดำเนินไปตามมรรคอันถูกต้อง ซึ่งวันหนึ่งจะได้บรรลุสัมโภคกายอันสมบูรณ์และไพศาล ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ก็ถือกำเนิดมาจากสันดานในทางกามคุณ เมื่อกำจัดความปรารถนาในทางกามคุณเสียได้ เราก็บรรลุธรรมกาย อันบริสุทธิ์ เมื่ออารมณ์ของเราไม่เป็นทาษของวัตถุแห่งกามทั้งห้าอีกต่อไป และเมื่อเราได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่ง "ธรรมญาณ" แม้เพียงขณะเดียว เมื่อนั้นเราก้แจ้งในสัจจะ" ความปรารถนาทางกามคุณดูเหมือนจะเป็น พญามารตัวร้ายที่ยากขจัดได้เด็ดขาดนัก เพราะโดยธรรมชาติของการสังขารย่อมปรารถนา การขจัดกามคุณ จึงมิได้อยู่ที่ ปากพูดอย่างเดียว แต่จิตต้องมั่นและตัดขาด ความสงบนิ่งจึงปรากฏ ในครั้งพุทธกาล บรรดาฤาษีทั้งปวง ล้วนถูกกามคุณตัดรอนการบำเพ็ญเสียนักต่อนักแล้ว ธรรมชาติ หรือสันดานของคน ย่อมปรารถนาในการสืบเผ่าพันธุ์ เพราะเหตุนี้การตัดกามราคะ จึงเป็นเรื่องยากยิ่งนัก เพราะ กามราคะ ตกอยู่ในองค์ประกอบ 5 ประการ พร้อมมูลคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ฤาษีตบะแก่กล้าจึง ตบะแตกมาเสียมากแล้ว การตัดกามราคะออกไปเสียจาก "ธรรมญาณ" ได้ย่อมพบเห็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เพราะ ภายในธรรมญาณนั้นหากามราคะมิได้เลย อันหมายถึงความเป็นพระพุทธะ นั่นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล็งเห็นภ้ยของกามคุณเพราะฉะนั้นจึงบัญญัติข้อปฏิบัติเพื่อสะกัดกั้น ตัณหาราคะเอาไว้อย่างดี แต่สาวกในภายหลังมิได้เอาใจใส่่ปฏิบัติ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธองค์ว่า จักปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร ""อย่าพบสตรีดีที่สุด"" "" ถ้าจำเป็นต้องพบ ควรปฏิบัติอย่างไรพระพุทธเจ้าข้า"" พระอานนท์ทูลถาม ""จงพูดให้น้อย พูดแต่ที่จำเป็น"" อิตถีภัยนั้นร้ายแรงนักและยากที่จะผ่านพ้นไปได้ จึงมีคำโบราณของจีนกล่าวเอาไว้เป็นอนุสสติบอกว่า ""ขุนพลผู้กล้าหาญ สามารถรบชนะผ่านกำแพงเมืองมานับไม่ถ้วน แต่ไม่อาจผ่านพ้นกำแพงแห่งหญิงสาวไปได้เลย"""พญามาร ปากแดงนัยตาหวาน เสียงไพเราะ จึงมีอานุภาพ ยิ่งนักแล
-
ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : ปัจฉิมกาล
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงโศลกสุดท้าย เพื่อฝากบอกเป็นเครื่องเตือนใจอนุชนรุ่นหลังว่า ""เมื่อเราโชคดีที่ได่มาเป็นสานุศิษย์ของสำนักฉับพลันในชาตินี้เราย่อมได้พบพระภควาของภาวะที่แท้จริงแห่ง "ธรรมญาณ" ได้ในทันที ใครที่ค้นหาพุทธะ ด้วยการปฏิบัติตามลัทธิอื่น ย่อมไม่ทราบว่าจะพบพุทธะที่แท้จริงได้ที่ไหน ใครที่ตระหนัดชัดถึงสัจจะ ภายในจิตเขาเองย่อมเป็นผู้หว่านเมล็ดพืชแห่งพุทธะ ใครที่ไม่ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ และค้นหาพุทธะจากภายนอกย่อมเป็นคนโง่ ที่มีความปรารถนาผิดเป็นเครื่องกระตุ้น โดยนัยนี้ฉันได้มอบคำสอนของสำนักฉับพลัน ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังแล้ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือมวลสัตว์ ที่สนใจจะปฏิบัติธรรม โปรดฟังฉัน บรดาสานุศิษย์ในอนาคต เวลาของท่านจะสิ้นไปเปลีอยเปล่า ถ้าท่านเพิกเฉยไม่นำคำนี้ไปปฏิบัติ" ความหมายแห่งพระวจนะนี้ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า การค้นหาพระพุทธะภายใน เป็นสิ่งพึงกระทำ หากไม่พบธรรมญาณ การค้นหาพุทธะย่อมไร้ประโยชน์ เพราะ "ธรรมญาณ" นั้นคือ สัจธรรมอันจริงแท้ เมื่อกล่าวโศลกจบแล้วพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวต่อไปว่า ""จงรักษาตัวให้ดี เมื่อฉันเข้าปรินิพพานแล้ว จงอย่าเอาอย่างธรรมเนียมโลก อย่าร้องไห้หรือโศกเศร้า ไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสียใจ หรือ คร่ำครวญ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องตรงกันข้ามกับคำสอนที่แท้ ใครที่ทำเช่นนั้น ย่อมไม่ใช่ศิษย์ของฉัน สิ่งที่ควรทำก็คือ จงรู้จักธรมญาณของท่านเอง และตระหนักชัดถึงธรรมชาติแห่งพุทธะของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งไม่สงบนิ่งและไม่เคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่ไม่เกิดและไม่ดับ เป็นสิ่งที่ไม่มาและไม่ไป เป็นสิ่งที่ไม่รับและไม่ปฏิเสธ เป็นสิ่งที่ไม่คงอยู่และไม่จากไป มิฉะนั้น แล้วธรรมญาณของท่านจะถูกครอบงำด้วยความหลงผิด ทำให้ไม่อาจเข้าใจความหมายได้ ฉันทบทวนเรื่องนี้กับท่าน เพื่อให้ท่านสามารถตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ เมื่อฉันจากไปแล้ว ถ้าท่านทำตามคำสอนของฉันและนำไปปฏิบัติ การที่ฉันจากท่านไป ก็ไม่เป็นข้อประหลาดอย่างใด ตรงกันข้าม ถ้าท่านฝ่าฝืนคำสั่งของฉัน แม้ฉันจะอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดคุณประโยชน์อันใด" ความหมายอันชดเจนเกี่ยวกับธรรมญาณ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ชี้ให้เห็นภาวะแท้แห่งธรรมญาณซึ่งเป็น อนัตตา ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเช่นใดสถานภาพอย่างไรก็ไม่แปรเปลี่ยน ยังคงสภาวะเช่นนั้นตลอดกาล เพราะการปราศจากรูปลักษณ์นั่นเองจึงสามารถคงอยู่ในทุกรูปลักษณ์ ซึ่งเหตุปัจจัยที่ตนเองสร้างขึ้นไว้และอาศัยได้ทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น ธรมญาณจึงอยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวได้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวปัจฉิมโศลกว่า ""ด้วยความเยือกเย็นและไม่กระวนกระวาย บุคคลชั้นเลิศไม่ต้องปฏิบัติความดี ด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นตัวของตัวเอง ท่านไม่ต้องกระทำบาป ด้วยความสงบและสงัด ท่านเพิกเฉยการดูและการฟัง ด้วยความเสมอภาคและเที่ยงตรง ธรรมญาณของท่านไม่ได้พำนัก ณ ที่ใด"" เมื่อจบโศลกแล้วพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็สงบนิ่งจนถึงยามสามของคืนนั้น ทันใดท่านก้กล่าวแก่สานุศิษย์สั้น ๆ ว่า""ฉันจะไปเดี๋ยวนี้"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเข้าปรินิพพานไปในขณะนั้น กลิ่นหอมอันประหลาดคลุ้งไปทั่วห้อง รุ้งจากแสงจันทร์ผุดขึ้นประดุจเชื่อมฟ้ากับดิน พรรณไม่ในป่ากลายเป็นสีขาว นกและสัตว์จตุบาทส่งเสียงร้องระงม ความหมายแห่งพระวจนะสุดท้ายได้ให้คำกำจัดความของบุคคลชั้นเลิศที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฟ้าดินแล้ว มีความดีเป็นธรรมดาสามัญแล้ว จึงไม่ต้องกระทำความดี เพราะการกระทำทั้งปวงของบุคคลเหล่านั้นล้วนเป็นเยื่องเดียวกับฟ้าดิน ครั้นถึงเดือนสิบเอ็ดในปีเดียวกัน ก็มีปัญหาถกเถียงว่า จะเก็บพระสรีรร่างของพระธรรมาจารย์ไว้ที่ไหน ข้าราชการแห่งเมืองกว่างตง เซ่าโจว และซินโจว ต่างต้องการเก็บไว้ในเมืองของตน ทั้งภิกษุและฆราวาส ต่างโต้แย้งกันเมื่อตกลงกันไม่ได้ จึงพร้อมใจกันจุดเครื่องหอมและอธิษฐาน ขอให้พระธรรมาจารย์บอกทิศทางโดยถือเอาการลอยควันเป็นเกณฑ์ ควันก็ลอยไปทางเฉาซี ฉะนั้น ในวันขึ้นสิบสามค่ำ เดือนสิบเอ็ด จึงได้อัญเชิญพระสรีรร่างพร้อมด้วยบาตรและจีวรของท่านไปยังเฉาซี ในปีรุ่งขึ้นวันแรมสิบค่ำ เดือนเจ็ด ได้อันเชิญพระศพของท่านออกจากสถูป ท่านฟังเปี้ยน สานุศิษย์องค์หนึ่งได้หุ้มร่างของท่านด้วยดินหอม เมื่อระลึกถึงคำทำนายของพระธรรมาจารย์ บรรดาสานุศิษย์จึงพร้อมใจกันเอาแผ่นเหล็กมาหุ้มคอของท่านไว้ และพันร่างด้วยผ้าอาบน้ำยา ก่อนอันเชิญเข้าไว้ในสถูปตามเดิม ทันใดนั้น เกิดเป็นแสงสว่างสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากสถูปสู่ท้องฟ้า เป็นเวลาสามวันจึงหายไป บรรดาข้าราชการแห่งเมืองเซ่าโจว จึงได้กราบทูลรายงานต่อพระมหาจักพรรดิ์ ซึ่งมีพระบรมราชโองการให้สร้างแผ่นจารึกบันทึกชีวะประวัติของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้รับมอบบาตรและจีวรเมื่ออายุ 24 ได้อุปสมบทเมื่ออายุ 39 และเข้าปรินิพพานเมื่ออายุ 76 ท่านได้เทศนาธรรมเพื่อประโยชน์แก่มวลสัตว์เป็นเวลา 37 ปีสานุศิษย์ของท่าน 43 องค์ได้รับมอบธรรมและเป็นผู้สืบต่อจากท่านด้วยกรรมวาจา ส่วนผู้ที่เห็นแจ้งในธรรม จนละฆราวาสวิสัยนั้นมีมากมายสุดประมาณ จีวรและบาตร อันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นพระธรรมาจารย์ ซึ่งพระโพธิธรรม ท่านได้มอบตกทอดมาตลอดจนจีวรโมราและบาตรผลึก ซึ่งพระมหาจักรพรรดิ์จงจงได้ส่งมาถวาย ภาพสลักของพระธรมาจารย์โดยท่านพังเปี้ยนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ นั้นอยู่ในความพิทักษ์รักษาของผู้เฝ้าสถูป เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ในวัดเป่าหลินชั่วกาลนาน เพื่อเป้นสวัสดิมงคลแก่วัด พระสูตรที่ท่านได้เทศนา ก็นำมาพิมพ์และแจกจ่ายทั่วกัน เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงหลักการจุดประสงค์ของสำนักธรรมงานต่าง ๆ เหล่านี้ได้จัดทำไปก็เพื่อความรุ่งเรืองสถาพรของพระรัตนตรัยและเพื่อนความเป็นสวัสดิมงคลทั่วไปแก่มวลสัตว์
จบบริบูรณ์
อานิสงฆ์จากการเผยแผ่หนังสือธรรมะ
1. กรรมเวรจากอดีตชาติจะได้ลบล้าง
2. หนี้เวรจะได้คลี่คลาย พ้นภัยจากทะเลทุกข์
3. โรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวรจะพ้นไป
4. วิญญาณทุกข์ของบรรพบุรุษจะพ้นจากถูกทรมานไปสู่สุคติ
5. วิญญาณของเด็กแท้งจะได้ไปเกิดใหม่
6. สามีภรรยาที่แตกแยกจะคืนดีต่อกัน
7. บุตรจะเฉลียวฉลาดเจริญรุ่งเรือง
8. พ่อแม่จะมีอายุยืน
9 . ลูกหลานเกเรจะเปลี่ยนแปลงเป็นคนดี
10. กิจการงานจะราบรื่น สมความปรารถนา
11. เป็นบารมีคุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข
บุคคลใดที่ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ แจกจ่ายเป็นวิทยาทาน จำนวนมาก ระยะยาว หรือ บรรยายถ่ายทอดธรรมวิทยา จะพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ และ เภทภัยเหตุร้ายทั้งปวง