collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋  (อ่าน 30249 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ประวัติโดยสังเขป  ท่านนักบุญแซ่หวัง นามซู่ถง นามรองเฟิ่งอี๋ อริยฐานะที่ได้รับโปรดจากเบื้องบน

      ในภายหลังคือ "องค์อริยราชเจ้ากระจ่างธรรม"  ท่านนักบุญเป็นชาวอำเภอเฉาหยัง มณฑลเย่อเหอ

       เยาว์วัยขาดการเล่าเรียนศึกษา เนื่องจากยากจนมาก ต้องรับจ้างเลี้ยงวัวเลี้ยงควายหารายได้ช่วย

       ครอบครัว ท่านมีจิตใจซื่อสัตย์  โอบอ้อมอารีย์ ปรองดอง กตัญญู เป็นนิสัยเที่ยงแท้

       เมื่ออายุ 35 ปี  ได้ยินท่านนักบุญใหญ่หยังป๋อเซวียน อรรถาธรรม พลันกระจ่างธรรมต่อประโยคที่ว่า

       "เมธาชนชิงเป็นผู้ผิด ปถุชนชิงเป็นผู้ถูกต้อง" ทันทีที่ได้ยิน ท่านเกิดความสำนึกผิดที่มักจะขัดใจ

       โกรธแค้นต่อความไม่ยุติธรรมตลอดเวลา พอสำนึกจบสิ้น ชั่วเวลาข้ามคืน ฝีหนองหัวใหญ่บนหน้าท้อง

       ที่เรื้อรังมาสิบสองปีพลันฝ่อหายไป

       เดือนห้าปีเดียวกันนั้น เกิดความรู้สึกสะท้อนใจต่อชาวโลก ที่ชายไม่กตัญญู หญิงไม่เป็นกัลยาณี

       ค่านิยมตกต่ำ ทำให้เบื่อหน่ายต่อชีวิต จึงอดอาหารเพื่อจะละกายสังขาร แต่พออดถึงวันที่ห้า

       กลับบังเกิดญาณวิเศษ อีกทั้งได้คิดว่าตายไปก็ไร้ประโยชน์  จะต้องทำความกตัญญูให้ถึงพร้อม

       อยู่เพื่อกล่อมเกลาชาวโลกจะดีกว่า จิตใจเที่ยงธรรมแน่วแน่ พลันก่อเกิดมิติมหัศจรรย์ ภาวะจิตใจ

       เกิดความใสสว่างกระจ่างธรรมทันทีล่วงรู้เหตุการณ์อดีต ปัจจุบัน อนาคตของสรรพสิ่ง ณ บัดใจ

       ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ ยังได้ล่วงรู้ภาวะจิตของผู้คน โดยเฉพาะผู้ป่วยอันเกิดจากการผิดต่อธรรมะ

       ท่านจึงพูดธรรมะรักษาผู้ป่วยให้หายได้อย่างอัศจรรย์

        ในชีวิตของท่านได้สร้างผลงานอันเป็นกุศลประโยชน์ไว้เกินกว่าคณานับ สร้างโรงเรียนสงเคราะห์

        ไว้หกร้อยกว่าแห่ง เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมแก่คนทุกระดับชั้น จนถึงชมรมคุณธรรม

         ระดับโลกสากลพันกว่าชมรม

         ท่านเกิดปีจอ ก่อนหมินกั๋วสี่สิบแปดปี (ค.ศ.1863) ละสังขารบรรลุธรรมปีหมินกั๋วที่ยี่สิบหก

          ปีฉลู (ค.ศ.1937) รวมธรรมายุ เจ็ดสิบสามปียี่สิบวัน  (ท่านไม่ได้รับธรรมะ)       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 14/07/2010, 10:03 »


         ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ เข้าสู่วิถีจิตได้โดยตรงเอง จากพลังการุณย์หาญกล้าอันบริสุทธิ์แน่วแน่

         บังเกิดภาวะ "จิตใสใจสว่าง " ทันที   จุดนี้เป็นข้อคิดแก่ชาวเราว่า เราไดรับเบิกจุดญาณทวาร

         จากพระวิสุทธิอาจารย์ ให้เข้าสู่วิถีจิตโดยตรง แต่เราหาได้บังเกิดภาวะจิตใสใจกระจ่างไม่เพราะเหตุใด

         ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ เป็นชาวนาผู้แร้นแค้นยากไร้สมัยร้อยกว่าปีก่อน  ตรงกันข้ามกับชาวเราในยุคโลกาภิวัฒน์

         ที่บำเพ็ญอยู่กับความสะดวกสบาย อิงอาศัยสถานธรรม อิงอาศัยนักธรรม ผู้นำพา

         " บำเพ็ญต่อเมื่อเกิดปัญหาติดขัด  ปฏิบัติต่อเมื่อได้รับมอบหมาย "  ท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋กับผู้ร่วม

         ปฏิบัติบำเพ็ญในสมัยของท่าน เป็นผู้รู้ตื่นก่อนที่วิถีอนุตตรธรรมจะปรกโปรดอย่างแพร่หลาย

         หากเป็นสมัยนี้ ท่านเหล่านั้นคงมิพ้นจากความเป็นนักธรรมระดับสูงอย่างแน่นอน  มีคำกล่าวว่า

         "มาก่อนสู้มาพอดีไม่ได้" เราท่านทั้งหลายนับว่า " มาพอดี " แล้ว
         

         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 14/07/2010, 10:46 »

         อะไรคือบุญ   ทำการถูกต้องตามหลักธรรม  ทำการให้ดี จิตใจเที่ยงธรรม  คือบุญ

        อะไรคือบาป   ผิดต่อหลักธรรม  ทำการให้เสีย  เห็นแก่ตัว     คือบาป

        ในโลกนี้มี 3 คนร้ายใหญ่ซึ่งไม่นับรวมโจรขโมย คนร้ายที่ว่าคือ

        1.    พูดธรรมะ แต่ไม่ทำตามธรรมะ

        2.   รู้ว่าผิดไม่แก้ไข  นี่ร้ายอันดับหนึ่ง

        3.   เสียเปรียบหน่อยไม่พอใจ  ได้เปรียบหน่อยดีใจ   นี่ร้ายอันดับสอง

        4.  ไม่ใช่เรื่องส่วนตน ไม่อาจมีส่วนได้ แต่จรดใจใคร่ได้ไม่ลืม เรื่องผิดกฏระเบียบ

             รู้ว่าไม่น่า ไม่ควรทำ แต่แอบไปทำ   นี่ร้ายอันดับสาม

        " ได้ " ดีใจ  " เสียใจ " โกรธ  ล้วนไม่ใช่คนดี   พอเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกได้มาก ข้าวขึ้นราคา

        เขามีความสุข พอฝนตกข้าวลงราคา เขาไม่พอใจ อย่างนี้ใหนเลย ใจจะเป็นบุญ

        อยากเป็นคนดีนั้นง่ายมาก เมื่อเห็นเรื่องที่เขาทำ ผิดต่อน้ำใจงาม เราอย่าทำ อย่างนั้นบ้างเป็นใช้ได้

        ต่างจัดการบำเพ็ญตนให้ดี โลกก็จะดี  เมื่อเราดีแล้วไปถึงใหนก็จะดีไปถึงนั่น คนหนึ่งคน ก็คือโลกหนึ่งโลก

        สุขาวดี (พุทธเกษตร) หนึ่งพระเยซูคริสต์บรรลุเท่ากับก่อเกิดหนึ่งโลกสวรรค์ วันนี้ทุกคนต่างรอให้โลกดีแล้ว

        จึงจะไปเป็นคนดี หารู้ไม่เมื่อถึงเวลาที่โลกนี้ดีแล้วจริง ๆ เธอจึงค่อยคิดทำดี ก็จะไม่ทันเสียแล้ว
               

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 15/07/2010, 13:30 »

       อ่านหนังสือ  เรียนรู้ธรรมะ  สูงส่งอยู่ที่ปฏิบัติ จะต้องน้อมตนลง  ความมุ่งมั่นจะต้องสูงขึ้น

      หากสมานจิตญาณกับคนโบราณ เราก็จะสูงส่งงดงามเป็นเช่นท่านโบราณ

      คนอ่านหนังสือจากคนโบราณ จะต้องเอาเยี่ยงอย่างคนโบราณจึงจะถูกต้อง

      คนสมัยนี้ ได้แต่อ่าน แต่ไม่ทำตาม  คนรู้แต่จะอ่านหนังสือให้มาก ให้คล่อง ไม่รู้จักปฏิบัติตาม

      หนังสือที่ได้อ่าน เหมือนอ่านตำราอาหาร แต่ไม่เคยกินอาหารนั้น ๆ จะรู้รสชาดจริงได้หรือ

      ตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือเลยสักตัว ได้ยินว่าคนโบราณท่านนั้นดี ฉันก็เรียนเยี่ยงอย่างท่าน

      ถ้าเห็นว่าคนปัจจุบันคนนี้ดี ฉันก็จะไม่ยอมห่างจากท่าน ดูว่าท่านปฏิบัติตนอย่างไร รู้จักอีกท่านหนึ่ง

      ก็ได้รู้จักเรียนรู้มากขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  การเรียนรู้ปฏิบัติ เป็นธรรมะที่เข้ากับอริยชน แต่น่าเสียดาย

      ที่ชาวโลกศรัทธาไม่จริง ไม่ยอมเรียนเยี่ยงอย่าง ได้พบคนดีก็ไม่ใส่ใจนั่นคือการเรียนรู้ที่ไม่ได้เป็นจริง

      อ่านหนังสือไม่สู้อ่านคน   ให้เห็นทุกคนเป็นอักษรตัวหนึ่ง    เห็นครอบครัวหนึ่งเป็นหนังสือประโยคหนึ่ง

      เห็นหมู่บ้านหนึ่งเป็นหนังสือบทตอนหนึ่ง   เห็นอำเภอเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง   จังหวัดเป็นหนังสือหนึ่งชุด

      อักษรหนึ่งอธิบายได้กว้าง คนหนึ่งคนมีเรื่องมากมาย อย่างนี้เรียกว่าอ่านคน

      ความกระจ่างต่อธรรมะก็เช่นเดียวกัน อ่านคัมภีร์มหาบุรุษปฐมบทให้เข้าใจ ได้รู้ธรรมะของความเป็นคน

      อ่านคัมภีร์ทางสายกลางปฐมบทให้เข้าใจ ได้รู้ธรรมะของฟ้าเบื้องบน เท่านี้ก็ใช้ได้ไม่หมดสิ้นแล้ว สำหรับ

      ที่จะบรรลุเซียนพุทธะอริยปราชญ์  น่าเสียดายที่คนชอบเรียนรู้ แผ่กว้างออกไปแต่ปล่อยให้มันรกร้าง

      วัยชราของท่านบรมขงจื่อ มักจะพูดเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจกับมวลศิษย์ ท่านตั้งปณิธานเพื่อ

      "ผู้สูงวัยได้ปกติสุข ผู้เยาว์ได้รับการใส่ใจ" ท่านพูด แต่ยังไม่ได้ทำ

       ฉันก่อตั้งสถานอภิบาลคนชรา และศูนย์อุ้มชูผู้เยาว์  หลายแห่ง คือเจริญปณิธานให้เป็นจริงแทนท่านขงจื่อ

       ท่านขงจื่อแพร่ธรรม อบรมแต่นักศึกษาชาย ไม่ได้อบรมนักศึกษาหญิง ฉันก่อตั้งโรงเรียนสตรี คือเติมเต็ม

       ส่วนขาดพร่องของท่านขงจื่อ ฉันจึงกล้าพูดว่า "ฉันเป็นอาจารย์ผู้สร้างพุทธะ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 16/07/2010, 03:53 »

     มีจิตใจเยี่ยงพุทธะ พูดวาจาของพุทธะ ปฏิบัติกิจของพุทธะ ทุกอย่างถูกต้องเป็นจริงก็คือพุทธะ

     สมัยนี้ คนที่ศึกษาความเป็นพุทธะล้วนมุ่งหมายให้ได้สวยใสในโลก ไม่รู้จักเริ่มจาก "สำรวมกาย

     ใจเที่ยงตรง ศรัทธาจริงแท้ รู้ถึงที่สุด เข้าถึงปลดปลงต่อสรรพสิ่ง

      คนไม่รู้จักพิจารณาความหมายของคำว่า "พุทธะแห่งตน" นั่นคือตนเอง กลับแสวงไปไกลคนโบราณจึงว่า

      "พุทธะอยู่ ณ พุทธญาณบรรพต มิพึงแสวงหาไปไกล พุทธบรรพตอยู่ ณ ตนที่ใจ ทุกคนต่างมีหนึ่งเจดีย์

       พุทธญาณบำเพ็ญได้ใต้ฐานเจดีย์ที่บรรพตนี้ 

       คนสมัยนี้ถูกสวมด้วยหมวกใบใหญ่ถอดไม่ออก  คนศึกษาพุทธธรรมก็เข้าใจว่าพระพุทธองค์ทรงบรรลุ

      ได้พระองค์เดียว พระพุทธะทรงปรารถนาให้ทุกคนบรรลุพุทธะ ไม่ถืออภิสิทธิ์เพียงพระองค์เดียว

       คนที่อบรมสั่งสอนใคร ๆก็จะต้องสอนเขาให้สูงกว่าตนเอง จึงจะไม่ผิดต่อเขา

       ในโลกของพุทธะ ใครคนใดคนหนึ่งมีข้าวกิน ทุกคนล้วนได้กิน ใครคนหนึ่งมีของใช้ ทุกคนล้วนได้ใช้

       ของนั้น ก็เพราะไม่ได้แบ่งเขา - เรา จึงเป็นคนในโลกของพุทธะ

       เพียรทำความดี คือ ทำดี   เพียรธรรม คือเพียรธรรม  แบ่งแยกไม่ถูกไม่ได้ คนอื่นเอ่ยปากก็อ้างแต่พุทธะ

       ส่วนฉันพูดแต่ตัวฉัน ความถูกผิดของตัวฉัน  ส่วนฉันก็ทำดีของฉันไป องค์พุทธะไม่พูดจา ฉันยังพูดได้

      พุทธะเป็นแบบอย่างแก่คน ทำตามที่พุทธะท่านสอน จึงจะเป็นพุทธะ กล่าวอ้างแต่พุทธะทุกวันแสดงว่ารู้มามาก

      แท้จริงนั่นคือ เพียรทำดี  ไม่ใช่ เพียรธรรม  ได้แต่พูดเหมือนดอกไม้ลวงโลก ไม่อาจตกผลได้

      ฉันได้ธรรมะจากการรับจ้างทำงาน ทุกคนต่างดูแคลนฉัน ปีหนึ่ง ญาติธรรมกล่าวปริศนาธรรมแก่ฉันว่า

      "เมล็ดผักกาดแฝงเอาภูเขาพระสุเมรุไว้ได้" ฉันอธิบายว่าเมล็ดผักกาดนั้นคือฉันเอง ฉันคนนี้มีชีวิตอยู่ในโลก

       เล็กกระจิริดเหมือนเมล็ดผักกาดเท่านั้น แต่ภายในจิตใจของฉันแฝงเอาพุทธเกษตร แดนสวรรค์ ทะเลทุกข์

       และนรก สี่โลกใหญ่ไว้ คุณธรรมแปดคือประตูทั้งแปด ล้วนเข้าสู่พุทธเกษตรได้  ฉันรับจ้างเลี้ยงวัว

       มีแต่ความคิดจะทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภัคดีกับกตัญญูต่อบิดามารดาบุพการี ฉันถือมั่นกตัญญู

       ฉันกล้าเชื่อมั่นต่อตนเองอย่างนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 17/07/2010, 03:04 »
    คนหลงอยู่ในอะไรก็ต้องรับทุกข์จากอันนั้น คนรวยตายบนความรวย คนสูงส่งตายบนความสูงส่ง
    คนที่มีอารมณ์ผูกพันมากก็ต้องตายบนความผูกพันธ์นั้น หลุดพ้นออกมาได้จึงจะนับว่ามีธรรม
    หลุดพ้นไม่ได้ก็คือคนหลง ฉันว่าโลกนี้คือค่ายกล ไม่มีอะไรสักอย่างที่ไม่ทำให้คนลุ่มหลงงงงวย
    คนระดับสูง  หลงอยู่บนหลักเหตุผล หลงอยู่บนอักษรหรือศาสนา
    คนระดับกลาง  หลงอยู่บนชื่อเสียง ลาภสักการะหลงลูกเมีย
    คนระดับล่าง    หลงสุรานารี ตลอดชีวิตไม่อาจคลายค่ายกลได้
    คนระดับต่ำสุด  หลงผีสางเทวดา หลงกิน หลงแต่งตัว พอตายก็จบเห่ น่าสงสารแท้
    จะต้องแบ่งแยกสี่โลกใหญ่ได้ชัดเจน คือรู้จิตมุ่งมั่น รู้เจตนาดำริ รู้ใจ รู้กาย จึงจะไม่หลง
    คนที่หลงรูป หลงทรัพย์ หลงสุรายาเมาเหล้าบุรี่ หลงลูกเมีย ไม่มีลูกอยากมี เอาลูกเขามาเลี้ยง
    เอาเมี่ยงเขามาอม บ้างแย่งชิงเพื่อลูก จนลืมความกตัญญู โลกจึงเลวร้ายเสียหายไป
    คนในชมรมคุณธรรม หลงฉัน เคารพยกย่องฉัน บอกว่าฉันมีธรรมะแท้จริงฉันไม่ได้ทำให้เขาหลง
    เขาหลงกันไปเอง
    คนที่ใช้อารมณ์  ล้วนอาศัยฐานรองรับ       คนร่ำรวยใช้อารมณ์โดยอาศัยทรัพย์สิน
    คนสูงศักดิ์ ใชัอารมณ์โดยอาศัยสถานภาพ  คนยากจนใช้อารมณ์จากความยากจน
    เ้ด็กใช้อารมณ์โดยอาศัยความเยาว์วัย       นักธุรกิจใช้อารมณ์โดยอาศัยเงินลงทุน
    ล้วนเป็นความหลงมองดูแล้วร่ำรวยมาก ยศศักดิ์ใหญ่มากนัก กลับไม่ใช่เรื่องดี ถูกผูกมัดด้วยลาภสักการะ
    หลงอยู่กับลาภสักการะ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ จะปลอดโปร่งสบายกว่า คนอยู่ท่ามกลางลาภสักการะ แต่ล่วงพ้น
    ความมีนั้นได้ จึงจะนับว่าเหนือชั้น จึงจะเป็นคนจริง ชาวโลกมีที่งมงายในประตูทั้งแปดของดวงชะตา
    ทุกครั้งที่จะออกจากบ้านไปทำธุระ ต้องตรวจสอบดูประตูทั้งแปดตามหลักคำนวณการ ของดวงชะตาชีวิต
    ฉันว่าประตูดวงชะตาสู้ประตูคุณธรรมทั้งแปดไม่ได้ คือ กตัญญู พี่น้องปรองดอง ซื่อสัตย์จงรักฯ สัตย์จริง
     จริยา มโนธรรม สุจริต ละอายต่อบาป แปดประตูนี้ดีที่สุด คนจะต้องเดินตามประตูเหล่านี้ ประตูดวงชะตา
     แปดด้านก็จะไม่มีที่ไม่ดีได้ จะบรรลุอริยเมธา เดินตามแปดประตูนี้ คุณประโยชน์ใช้ได้ไม่หมดสิ้น
     เกิดคุณธรรมซื่อสัตย์จงรักฯหนึ่งข้อได้ อีกเจ็ดข้อก็จะไม่ขาด ดีกว่าประตูดวงชะตาเป็นแน่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 21/07/2010, 10:51 »
   
    ฉันศึกษาวิเคราะห์เห็นเป็นประจำว่า ไฟโทสะตีขึ้นจากทรวงในมักจะกระอักเลือด  แรงดันตีขึ้นก็จะกระอักอาหาร
    อาเจียน จะต้องปฏิบัติธรรม เข้าใจธรรม แรงดันและไฟก็จะสลายไป
    ไฟโทสะตีขึ้นคือ "มังกรคำรณ"  โทสะโกรธ คือ "เสือคำราม" คนหากสยบไฟโทสะได้ จึงอาจบรรลุธรรม
     มีคนทำให้โกรธ เราอย่าโกรธ ถ้าโกรธแรงดันกลับเวียนลงจะกลายเป็นพลังหนาวยะเยือก มีเรื่องบีบคั้น
     เธออย่าร้อนรน หากร้อนรนแรงดันไฟเวียนขึ้นกลายเป็นพลังร้อนแรง
     ผู้บำเพ็ญธรรมเจอเรื่องดี ไมดีใจ เจอเรื่องร้าย ไม่ทุกข์ร้อน ไฟโทสะก็จะไม่เกิดอย่างนี้สยบมังกรเสือ
     ไฟกับโทสะเป็นผีสองตนที่เอาความแน่นอนไม่ได้ คุมตัวเองไม่ได้ ก็หลุดพ้นไม่ได้ อนุสัย(อารมณ์) พอขยับ
     ก็เป็นไฟ ความเห็นแก่ตัวพอขยับก็เป็นโทสะ "สยบมังกรเสือ"ก็คือบังคับโทสะอนุสัยไว้ให้อยู่ หากทำได้
     โลกของกายสังขารเท่ากับได้สำรวมบำเพ็ญแล้ว หากย้อนคิดพิจารณาทุกขณะได้ กล่อมเกลาจิตเสมอ
     ก็จะสยบมังกรเสือได้ ฉันว่าไม่ยึดหมายทุกอย่างย่อมไม่มีที่ให้แปดเปื้อน หากต้องพบกับสิ่งไม่สนใจ ก็ใช้
     อารมณ์ไขว่คว้าเมื่อไม่ได้ดั่งตั้งใจก็เกิดอารมณ์อย่างนี้คือแปดเปื้อนฝุ่นธุลีแล้ว
     อารมณ์โทสะเป็นพลังอิน ไฟโทสะเป็นพลังหยาง ไฟเกิดจากใจ ใจขยับไฟก็เกิด ใจคนขยับใจธรรมก็ดับ
     แย่งชิงโลภ หลงเกิดขึ้นทันทีไฟโทสะรุ่มร้อนหัวใจ วุ่นวาย ทุกข์ใจทั้งวัน อย่างนี้แม้จะร่ำรวยก็ขาดความสุข
     ฉะนั้นคนโบราณรักษาใจดังรักษาโรค ฉันจึงว่าหักต้นตอคือหักใจ หักใจได้หมดเรื่องหมดราว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 22/07/2010, 04:40 »
      ค้นหาความดีเป็นรากฐานของการปฏิบัติธรรม ยอมรับความผิดเป็นปัญญาใสดุจน้ำ น้ำผสมผสานสมาน
      เข้ากับกลิ่นสีทั้งห้าได้อารมณ์ของคนจะต้องฝึกฝนให้เหมือนน้ำได้ก็จะบรรลุธรรม กุศลสูงสุดดุจน้ำ
      คนกับฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่รู้วิสัยของตนอย่างแท้จริง จะยอมรับผิดได้แน่นอนให้เข้าใจว่าคน
      มีจิตญาณจากฟ้าเป็นวิสัยหลัก มีธรรมวิสัยเป็นคุณสมบัติเพื่อใช้ เข้าใจจริงจังต่อความไม่ดีได้แล้ว
      จิตใจความรู้สึกก็จะปลอดโปร่งแจ่มใสสบายอารมณ์ ค้นพบความดีจิตใจเบาสบายลอยตัวเป็นภาวะ
      ของฟ้ากว้าง ยอมรับความไม่ดี ภาวะขุ่นหนักของความไม่ดีจะลงต่ำผลึกแน่นเป็นแผ่นดิน
      ยอมรับความไม่ดีจะเกิดปํญญาโปร่งใส หาความดีจะเกิดเสียงจากใจภาคภูมิ หาความดีคือเปิดเสียงสวรรค์
      ยอมรับผิด คือปิดประตูนรก หาความดี ดีกว่ากินยาแก้ร้อนใน ยอมรับผิดดีกว่ากินยาบำรุงหัวใจ
      ธาตุทั้งห้า ที่ฉันพูดคือเอาธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ  ห้าคำมานิยาม เช่นเดียวกับศีลห้าศาสนาพุทธ
      ห้าพลังเดิมแท้ของศาสนาเต๋า  คุณธรรมห้าของศาสนาปราชญ์  ธาตุทั้งห้าที่ฉันพูดเป็นเช่นเดียวกับศีลห้า
      ศาสนาพุทธ เกิดโทสะ (ธาตุไม้) คือข้อปาณา ฯ   ชอบสำรวยสวยงาม (ธาตุไฟ) คือข้อกาเมฯ
      ซื้อของจ่ายเงินให้เขาขาดไปแม้ไพเบี้ย (ธาตุทอง) คือข้อทินนาฯ  กินหรูหราฟุ่มเฟือย (ธาตุน้ำ)คือข้อสุราเมรัยฯ
      พูดโกหกแม้เพียงครึ่งคำ (ธาตุดิน) ก็คือข้อมุสา ฯ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 28/07/2010, 02:31 »
  ธาตุทั้งห้าที่ฉันพูดคือ ธาตุไม้ ไฟ ดิน ทอง น้ำ  ห้าคำมานิยามเช่นเดียวกับศีลห้าศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับห้าพลัง
  เดิมแท้ของศาสนาเต๋า และคุณธรรมห้าของศาสนาปราชญ์  เกิดโทสะ (ธาตุไม้)คือ ข้อปาณาฯ ชอบสำรวยสวยงาม
  (ธาตุไฟ) คือ ข้อกาเมฯ ซื้อของให้เงินเขาขาดไปแม้ไพเบี้ย (ธาตุทอง) คือ ข้ออทินนาฯ กินหรูหราฟุ่มเฟีอย(ธาตุน้ำ)
  คือ ข้อสุราเมรัยฯ พูดโกหกแม้เพียงครึ่งคำ (ธาตุดิน)ก็คือข้อมุสาฯ
  คนธาตุไม้     มีวิบากภัย           คนธาตุไฟ  ได้รับทุกข์           คนธาตุดิน   ต้องเหนื่อยหนัก
  คนธาตุทอง   ต้องยากจน          คนธาตุน้ำ   ต้องเสียอารมณ์
  ธาตุในตัวเป็นอะไรก็เกิดวิสัยเป็นธาตุนั้น ๆ มหาพรหมราชเจ้าเหลาจื่อ โปรดว่า "เคราะห์ภัยวาสนาหามีประตูเปิดไม่"
  ตนเองสิเรียกไว้ให้เอาเข้ามา""ไม่ผิดทีเดียวฉันจึงว่า เรื่องดีเรื่องร้ายล้วนแตวิสัยของตัวเองนั่นแหละชักนำเข้ามา
  ความทุกข์ของคนล้วนอยู่ในจิตวิสัยของตน ไม่ยอมใคร คือพลังอินธาตุไม้  ชอบเอาชนะเหตุผลคือพลังอินธาตุไฟ
  ชอบขัดเคืองโทษโพย คือพลังอินธาตุดิน   ชอบถกเถียงโต้แย้ง คือพลังอินธาตุทอง  ชอบจุกจิกยุ่งยาก คือ
  พลังอินธาตุน้ำ  ญาณที่เบื้องบนประทานมาเรียกว่า ธรรมญาณ   ธรรมญาณวิสัยจะไม่เอนเอียง ส่วนญาณวิสัยที่มี
  อยู่ในโลกีย์ชน เรียกว่า"อนุสัย (สันดาน) มีบางมีหนา สิ่งที่มาเรียนรู้ใหม่ในภายหลังเรียกว่านิสัยความเคยชินมีดีมีชั่ว
  อนุสัยไม่ปรับเปลี่ยนจะไม่ไหวคม นิสัยเลวไม่กำจัด ไม่อาจหยัดยืน หากอนุสัยหนักไปทางธาตุไม้การพูดจามัก
  จะกระทบกระเทียบ เปรียบเปรย อนุสัยหนักไปทางธาตุไฟ การพูดจามักจะเผาไหม้ทำลาย อนุสัยหนักไปทางธาตุดิน
  การพูดจามักจะกดขี่บังคับ อนุสัยหนักไปทางธาตุทอง การพูดจามักจะเชือดเฉือนบาดใจ อนุสัยหนักไปทางธาตุน้ำ
  การพูดจามักจะหมกจมเขา คนหากแปรเปลี่ยนกำจัดอนุสัยได้ ธรรมญาณวิสัย ก็จะสำแดงคุณ
  อารมณ์วิสัยของคนทั่วไปล้วนไม่เที่ยงตรง ถ้าหนักไปทางธาตุไฟก็ชอบจะเอาชนะยื้อยุดเหตุผล หนักไปทางธาตุดิน
  จะข่มแหงรังแกเขา  หนักไปทางธาตุทอง จะทำร้ายคน หนักไปทางธาตุน้ำ จะหมกจมเขา  หนักไปทางธาตุไม้
  จะไม่ยอมรับนับถือใคร กำจัดปรับเปลี่ยนความหนักเอียงไปข้างหนึ่งข้างใดได้ ก็จะได้ธรรมะ
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 29/07/2010, 08:50 »
รู้หยุดจึงเกิดสมาธิ                    เป็นภาวะของพลังหยาง  ธาตุไม้
มีสมาธิจึงสงบนิ่ง                     เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุไฟ
สงบนิ่งจึงสุขแท้คงมั่น               เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุดิน
สุขแท้คงมั่นจึงพิจารณาได้จริง     เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุทอง
พิจารณาได้จริงจึงได้ผลจริง        เป็นภาวะของพลังอยาง  ธาตุน้ำ

คัมภีร์มหาบุรุษปฐมบท สอนเราจนครบถ้วนด้วยธรรมะของความเป็นคนหนอ  คัมภีร์ทางสายกลางปฐมบท ก็กล่าวถึงวิถี
อนุตตรธรรมไว้อย่างทะลุปรุโปร่งหนอ
ธาตุไม้  โดยแท้เป็นรากฐานของความเป็นพุทธะ วิสัยของคนธาตุไม้โดยแท้(อยาง) จะมีวิจารณญาณโดยตน อดทน
           อดกลั้น  เสริมสร้างสรรพสิ่ง
ธาตุไฟ   โดยแท้เป็นรากฐานของเทพ วิสัยของคนธาตุไฟโดยแท้ จะเป็นผู้เข้าถึงหลักสัจธรรมได้ รู้กาละเทศะ รู้บรรลุ
            การอันควร ปรับแปรสรรพสิ่ง  ไม่ถูกสรรพสิ่งผูกมัด
ธาตุดิน   โดยแท้เป็นรากฐานของธรรมะ  วิสัยของคนธาตุดินโดยแท้ จะเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ยอมรับฟัง อดกลั้นได้
            ปรับแปรได้ เสริมสร้างสรรพสิ่งได้ ผู้อื่นเลวเป็นเหตุเป็นผลกรรมของผู้อื่น เธออย่าได้กล่าวโทษเขา และไม่
            ต้องร้อนรนแทนเขา                                                                       
ธาตุทอง  โดยแท้เป็นรากฐานของความเป็นเซียน หาความดีของผู้อื่นได้ เสียงของธาตุทองดังกังวาลใส  ร่วมบุญ
             สัมพันธ์กับคนมากมาย มีพลังมโนธรรม มีความเฉียบขาดในการตัดสินใจ ฝ่าฟันอุปสรรคได้
             สร้างสรรค์สรรพสิ่งได้
ธาตุน้ำ     โดยแท้เป็นรากฐานของอริยะ ยอมรับผิดได้ ยอมรับผิดจะเกิดปัญญาจากธาตุน้ำ จิตใจจะอ่อนโยนอุ้มชู
             สรรพสิ่งได้
คน แม้หากไม่ได้ธาตุแท้ทั้งห้าไว้ ทิฐิยึดหมาย ใช้แต่อารมณ์ของอนุสัย จะต้องตายในความวิปริตของธาตุทั้งห้า
                                                                               

Tags: