collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1  (อ่าน 18063 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร : ตอนที่ 11
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 11/07/2013, 14:29 »
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 11 ประสบการณ์แห่งรัก)

.....หญิงโสดคนหนึ่ง ย้ายบ้านใหม่ พบว่า ข้างบ้านเป็นครอบครัวยากจน ประกอบด้วยแม่หม้ายและลูกอีกสองคน...

.....อยู่มาคืนหนึ่ง ไฟฟ้าเกิดดับ หญิงคนนั้นจึงจุดเทียนไขนั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียว สักพัก มีคนมาเคาะประตู...

.....เป็นเด็กข้างบ้านนั่นเอง เด็กถามอย่างตื่นเต้นว่า "คุณน้า ในบ้านมีเทียนไขไหม?"...

.....หญิงคิดในใจ "บ้านเขาจนถึงขนาดไม่มีเทียนไขรึ ช่างหัวมันเถิด เดี๋ยวได้คืบจะเอาศอก...

.....หญิงจึงตอบเด็กแบบมะนาวไม่มีน้ำว่า "ไม่มี"...

.....ขณะที่หญิงเตรียมจะปิดประตูส่งแขก เห็นเด็กหน้าตายิ้ม "นึกแล้วว่าไม่มี" พอพูดจบ เด็กควักเทียนไข2เล่มออกจากอกเสื้อ "แม่ฉันห่วงว่าคุณน้าอยู่คนเดียว คงไม่มีเทียนไข จึงเอามาให้คุณน้า2เล่ม"...

.....ทันใดนั้นเอง: หญิงรู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ กอดเด็กไว้แน่น...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร                  ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร : ตอนที่ 12
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 16/07/2013, 21:47 »
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 12: รักแบบว่า งงง้งงง แล้วรักป่ะ รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก???....เครป่ะ...)

.....เมื่อเอ่ยถึง มิสเตอร์จอห์น รณภีย์ นักธุรกิจหนุ่มแห่งประเทศสารขันธุ์ ไม่มีใครไม่รู้จักท่าน เนื่องจาก ท่านเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านธุรกิจ นอกจากความร่ำรวยติดระดับต้นๆของประเทศ ความมีบุคลิกภาพที่ดี ความมีน้ำใจเอื้ออารีย์ และความมีเสน่ห์ของท่านแล้ว ยังเป็นที่กล่าวขวัญกันว่า จอห์นเป็นผู้ที่รักภรรยาอย่างมาก...

.....ร่ำลือกันว่า จอห์นจะพกพารูปถ่ายของภรรยาติดตัวไว้เสมอ บรรดาคนใกล้ชิดและลูกน้องของจอห์นต่างก็รู้กันว่า จอห์นมักจะหยิบเอาภาพของภรรยาออกจากกระเป๋าเสื้อมาดูอยู่บ่อยๆ ซึ่งทำให้ ผู้หญิงในประเทศนี้ ต่างอิจฉาคุณนายจอห์น ที่มีสามีที่เพรียบพร้อมและรักเธอมากมายขนาดนี้...

.....ในงานเลี้ยงของสโมสรนักธุรกิจ Million Club ของประเทศสารขันธุ์ จอห์นได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวปาฐกถา ถึงความสำเร็จในชีวิตของท่าน ซึ่งถือได้ว่า จอห์นได้รับเกียรตินี้อย่างสูงสุด เพราะนักธุรกิจส่วนมาก ต่างก็หวังที่จะเป็นผู้กล่าวปาฐกถาในงานนี้ ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง...

.....ไฮไลท์ของปาฐกถาครั้งนี้อยู่ที่ตอนสุดท้าย จอห์น ได้กล่าวถึงเคล็ดลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจและในชีวิตครอบครัว...

.....ก่อนที่จะพูดต่อไป จอห์นได้บรรจงหยิบภาพถ่ายของภรรยาจากกระเป๋าเสื้อ และชูภาพภรรยาขึ้นสูง พร้อมกับกล่าวว่า...

....."ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อย ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง ความรู้สึกเหนื่อยล้า ก็จะหายไป ทำให้มีแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ"...

...............ที่ประชุม ปรบมือกันสนั่น และ นาน..............

....."ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้ารู้สึกท้อ ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง ความรู้สึกท้อ ก็จะหายไป ทำให้มีแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ"...

...............ที่ประชุม ปรบมือกันสนั่น และ นาน..................

......"ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้าไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง จะมีพลังใจขึ้นมามากมายอย่างเหลือเชื่อ ทำให้มีแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อไป"...

...............ที่ประชุม ปรบมือกันสนั่น และ นาน.................

....."ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง ไม่ว่ามีปัญหาอะไร ข้าพเจ้าก็สามารถแก้ไขได้ ทุกๆครั้งไป และมีกำลังใจและพลังใจที่จะเดินหน้าสู้ต่อไป ภรรยา คือ สุดที่รักของผม เธอคือแรงบรรดาลใจที่ดีที่สุดของผม เบื้องหลังความสำเร็จของผมก็คือ เธอ นั่นเอง"...

.....ที่ประชุมทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับตบมือกันสนั่น และนาน ซึ่งเป็นการให้เกียรติจอห์น อย่างสูงสุด พร้อมกับการแสดงความยินดี และอิจฉาคุณนายจอห์นกันไปต่างๆนาๆ แต่ก็เป็นบรรยากาศที่สุดจะชื่นมื่นกันเลยทีเดียว...

...................ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา.....................

.....ณ.ห้องรับแขกที่บ้านจอห์น จอห์นนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว ใบหน้าอิดโรย และรู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า แววตาบ่งบอกถึงความเศร้า...

.....จอห์น บรรจงหยิบภาพภรรยาขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับพูดเบาๆกับตัวเองว่า...

....."ถ้ากูทนอีนี่ได้ ไม่มีอะไรที่กูจะทนไม่ได้อีก"

.....ไปอาบน้ำดีกว่า.....

.....นอนเร๊ะ.....

................รวย รวย รวย...........

............................เครป่ะ.........................

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร       ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 13
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 16/07/2013, 21:50 »
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 13:ความรักในยุค 3G,4G)

.....สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ยิ่งสมัยนี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วมากๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมากับออนไลน์...

.....ในแง่ของธุรกิจ การค้า การขายแล้ว ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราพบว่า การซื้อของของชาวอเมริกาในขณะนี้ ตั้งแต่ การค้นหาสินค้า การเลือกสินค้า การตัดสินใจซื้อสินค้า การจ่ายเงิน ระบบขนส่ง ระบบภาษี และศุลกากร ใบเสร็จรับเงิน 90% จบบนมือถือ บนออนไลน์...

.....ผมมาทำเครือข่าย ผมก็เลือกบริษัทที่มีระบบออนไลน์ 100% ไม่ต้องไปประชุมตามโรงแรมต่างๆ ทุกอย่างผ่านระบบออนไลน์หมด ผมนั่งทำงานประจำตรวจคนไข้ที่คลินิคผม เวลามีคนไข้มา ผมก็ตรวจ เวลาไม่มีคนไข้ ผมก็นั่งทำงานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ประมาณว่า ที่ไหนบนโลกนี้มีคลื่นโทรศัพท์ ผมก็ทำธุรกิจกับเขาได้ ผมจึงมีเครือข่ายจากทุกมุมโลก จากทั่วโลก...

.....ไม่เว้น แม้แต่เรื่องของความรัก.....

..... ความรักของหนุ่มสาวในสมัยก่อน กว่าจะได้เห็นหน้ากัน หรือได้พูดคุยกัน มันช่างยากเย็นเหลือเกิน บางทีต้องใช้เวลาหลายๆปี ถึงจะได้พูดคุยหรือเห็นหน้ากัน...

.....ในยุคต่อๆมา ก็มีการสื่อสารผ่านทางจดหมาย โทรเลข แฟ็กซ์ และโทรศัพท์...

.....แล้วความรักหนุ่มสาวในยุคออนไลน์ 3G,4G นั้นเป็นไฉน?...

.....นี่เป็นบทสนทนาระหว่างคุณพ่อและลูกสาว...

ลูกสาว: คุณพ่อค่ะ หนูกำลังมีความรักกับหนุ่มแดนไกล เขาอยู่ที่ประเทศอังกฤษค่ะ...

คุณพ่อ: มันไกลกันเหลือเกิน อย่าลืมว่า เราอยู่ที่ประเทศกาน่า นะ มันคนละทวีปเลยล่ะ แล้วหนูไปเจอเค้าได้อย่างไรล่ะ?

ลูกสาว: ตอนแรก หนูก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เพื่อนมันบอกว่า มันเจอแฟนในเวป เพื่อนก็เลยแนะนำให้หนูไปเล่นดู...

คุณพ่อ: แล้วมันเป็นอย่างไงล่ะ ลูก?

ลูกสาว: หนูก็แค่พิมพ์คำว่า "เวปหาคู่" "dating "ลงไปใน google google มันก็บอกเราหมดเลยว่ามีที่ไหนบ้าง ส่วนเรื่องบทบาทคนรัก หรือวิธีการต่างๆ ไม่ว่าหนูอยากจะรู้เรื่องอะไร ก็พิมพ์เรื่องที่หนูสงสัยลงไป google มันจะบอกเราหมดเลย...

คุณพ่อ: น่าตื่นเต้น ลูก...

ลูกสาว: ถ้าหนูสงสัยในเรื่องใดๆ แล้วหนูอยากเห็นภาพจริงๆ หนูก็แ่่ค่พิมพ์ชื่อเรื่องที่หนูสงสัยลงใน youtube youtube ก็จะมีภาพทุกอย่างให้หนูดู อย่างเรื่องการปฎิบัติต่อแฟนหนู แต่ก่อนหนูไม่ประสีประสาอะไรหรอก แต่เดี๋ยวนี้ หนูจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยค่ะ...

ลูกสาว: ในที่สุด หนูกับแฟนก็เจอกันในเวปหาคู่ค่ะ dating website...

........: แล้วเราก็เริ่มเป็นเพื่อนกันบน Facebook ทุกๆเช้า เราจะทานกาแฟด้วยกันผ่านทาง Inbox ขณะทำงาน เราก็แอบส่งความคิดถึงกันบ่อยๆ ก่อนจะกินข้าวเที่ยง เมื่อสั่งอาหารเสร็จ ก่อนที่หนูจะกิน หนูต้องถ่ายภาพ แล้วส่งไปให้เขาก่อนเสมอ พอตกบ่ายๆ เราก็จะทานน้ำปั่นด้วยกันอีกครั้ง เมื่อไหร่ที่หนูรู้สึกง่วง แฟนหนูก็จะส่งกาแฟที่น่าทานมากๆ ผ่านมาทาง Inbox หนูรู้สึกดีมากๆค่ะ...

........: ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้คุยกันมานานบน Whatsapp และ Line...แม้แต่เวลา เราออกไปที่ไหน ถ้ามีโอกาส เราก็ไลน์หากันตลอด ไม่ว่าจะขณะนั่งรถ ขณะประชุม หรือแม้แต่เวลาคุยกับคนอื่น เวลาทานข้าว หรือแม้แต่เวลาอุจจาระ เราก็จะไลน์หากันเสมอ...

.........: เมื่อเลิกงาน ตอนเย็นกลับถึงบ้าน เราจะรีบวิ่งไปเฝ้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เราจะเริ่มบอกรักกัน มันสุดแสนจะโรแมนติคมากๆ เราสามรถคุยกันได้ทุกเรื่องผ่านทาง Inbox พอดึกเข้า เราต่างก็มีอารมณ์โหยหา ซึ่งกันและกัน เราจึงเปิดกล้อง Notabook สุดท้าย เราจึงได้เสียกัน ผ่านทางกล้องบน Notebook แต่หนูก็ไม่ได้คุมกำเนิดนะ ไม่ทราบว่า หนูจะตั้งครรภ์มั้ย นี่ประจำเดือน ก็ขาดไปสองเดือนแล้ว...

........: แต่ว่า คุณพ่อค่ะ เมื่อคืน หนูอารมณ์เสียมากเลยค่ะ ในขณะที่หนูกำลังมีอะไรกับแฟนหนู เน็ตมันช้ามากค่ะ ในจังหวะที่หนูต้องการให้เน็ตมันแรงและเร็ว มันก็เอาแต่หมุน หมุน หมุน เลยได้แต่ในเวอร์ชั่น slow motion ค่ะ...

........: คุณพ่อค่ะ คุณพ่อช่วยเปลี่ยนโปรโมชั่นเน็ตเป็นแบบ Unlimited Ultra High Speed Internet ค่ะ หนูต้องการความแรงและความเร็วของเน็ตค่ะ...

........: เรารักกันมากค่ะ เลยขอแต่งงานกันผ่าน Skypeค่ะ...

........:คุณพ่อค่ะ หนูอยากให้พระเจ้าประทานพรให้หนูค่ะ...

คุณพ่อ: wow really!! ว้าวววว จริงๆเหรอลูก...

.........: ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จัดงานแต่งงาน และงานฉลองสมรสผ่านทาง Twitter ไปเลยดีมั้ย...

.........:แต่ว่า ก่อนอื่น ลูกต้องเชิญแขกที่จะมาในงานผ่านทาง google drive และเชิญผ่านทางกิจกรรมกลุ่มบน Facebook...

.........: สำหรับแขกที่จะช่วยงาน ก็ให้เขาโอนเงินเข้าที่ e-wallet ของหนูก็ได้

.........: พ่อว่าหนูและแฟนควรจะไปฮันนี่มูนกันบน Tango ให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย...

.........: หลังจากแต่งงานผ่านไปสักระยะหนึ่ง พ่อก็อยากจะเลี้ยงหลานแล้ว ก็ซื้อลูกน้อยๆผ่าน E-bay โดยให้ส่งผ่านมาทาง gmail...
.
.........: และถ้าหากลูกเกลียดสามีหนูเมื่อไหร่ ก็ขายมันผ่านทาง Amazon แต่อย่าลืมให้จ่ายเงินผ่าน pay pal นะลูก...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร        ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 14
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 19/07/2013, 12:54 »
ความรักคืออะไร (ตอนที่ 14: น้ำตา1)

.....น้ำตาที่ไหลออกมานั้น "ที่รักครับ" มันหลั่งออกมาจากทุกอณูของหัวใจผม มันไม่ใช่ความเศร้าหรือความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความปิติและความสุข...

.....ตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกันมา จนมาถึงวันนี้ แต่ละวันที่เราได้คุยกัน ได้ทำความรู้จักกัน ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนของคุณ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็คงรู้จักตัวตนของผมมากขึ้นว่า ผมเป็นคนแบบไหน...

.....ทุกๆวัน เราทั้งสองได้คุยกัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เราไม่ได้คุยกันเลย บางวันเราก็ได้เจอกัน ได้ไปทานข้าวด้วยกัน...

.....ทุกครั้งที่เราคุยโทรศัพท์ ถ้าอยู่ใกล้เตียงนอนหรือโซฟา ผมจะเอนนอนลง แล้วก็เอาโทรศัพท์แนบติดหู มันทำให้เสียงใสๆ ที่คุณพูดผ่านมา ไม่ต่างอะไรจากคุณได้นอนพูดกระซิบข้างหูผม ที่รักจ๋า มันทำให้ผมรู้สึกว่า เราไม่ห่างกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทุกๆวัน ทุกๆเวลาเหมือนเราอยู่ใกล้กัน ทั้งๆที่เราอยู่กันคนละจังหวัด ห่างกันตั้งหลายร้อยกิโลเมตร...

.....ทุกๆวัน ผมจะคิดถึงคุณตลอดเวลา ไม่มีเวลาไหนที่ผมไม่คิดถึงคุณเลย ทุกอิริยาบทของคุณ มันโลดเล่นอยู่ในทุกๆส่วนทุกๆอณูในร่างกายผมเลยทีเดียว...

.....แต่ละคืนที่ผมเอนตัวลงนอน ทันทีที่หลับตา ภาพทุกภาพของคุณจะปรากฎขึ้นมาในมโนผมทันที ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กิริยาท่าทางการนั่งการยืน ท่าเดิน ที่รักจ๋า คุณรู้มั้ย เวลาที่คุณงอน คุณมีเสน่ห์มากที่สุด น่ารักที่สุดเลย แต่ตอนนี้ภาพทุกภาพ มันวิ่งเต้นในมโนผมตลอดเวลา...

.....ณ.วินาทีนี้ น้ำตาผมกำลังไหล มันไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว ไหลออกมาไม่หยุด มันเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปิติที่สุดในหัวใจผมเลยทีเดียว แต่ก็ปนไว้ด้วยความกลัว ทำไมมันทะลักออกมาจากหัวใจได้มากมายขนาดนี้ น้ำตาเจ้าเอ๋ย...

.....ทำไมผมถึงเห็นภาพที่เป็นคุณ มันเหมือนมีร่างของคุณหนึ่งร่างวิ่งอยู่ในหัวใจผม มันเป็นภาพที่มีชีวิต เป็นชีวิตคุณที่ซ้อนอยู่ในหัวใจผม ในหัวใจผมทำไมอัดแน่นไปด้วยคุณขนาดนี้ นี่เป็นเหตุกระมังที่เวลาคุณเข้าไปอยู่ในหัวใจผม น้ำตาคงไม่มีที่อยู่ ที่อยู่ปกติของน้ำตาถูกแทนที่โดยคุณ น้ำตาจึงทะลักล้นออกมาทางเบ้าตาได้มากมายขนาดนี้...

..... ที่รักจ๋า ผมกลัวเหลือเิกิน ผมกลัวมาก กลัวว่า สักวันหนึ่งคุณจะจากผมไป เพราะว่าในเวลานี้ ที่หัวใจผมเต้นได้ ก็เพราะว่ามีคุณอยู่ข้างใน ถ้าเมื่อไหร่ ที่คุณไม่อยู่ในนี้ หัวใจผมก็คงหยุดเต้นเหมือนกัน ที่รักจ๋า ผมกลัวเหลือเกิน...

.....ที่รักจ๋า ผมรักคุณมากเหลือเกิน ทุกขณะจิตของผมมีแต่เธอ จนผมไม่มีแรงที่จะลุกไปทำอะไร ข้าวก็ไม่อยากจะกิน งานก็ไม่อยากจะทำ เงินก็ไม่ต้องการ ทรัพย์สินต่างๆก็ไม่สน เกียรติยศก็ไม่เอา ทุกๆขณะจิตมีเพียงเธอ จนบางที รักคุณจนลืมหายใจ นี่คือภาพที่ผมเคยบอกคุณว่า มีคุณอยู่ในใจผมตลอดเวลา...

.....ที่รักจ๋า มาถึงวินาทีนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ทำไมขณะนี้ ในหัวสมองผมมันเหมือนกลวงว่างเปล่า ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเธอ ทั้งสมอง หัวใจ และจิตวิญญาณมีแต่เธอเท่านั้น...

.....ที่รักจ๋า ที่รักคงเข้าใจความรักของผมแล้วใช่ไหม มาถึงขณะนี้ คุณไม่ต้องบอกผมหรอกว่า คุณมีอดีตเป็นมาอย่างไร อดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ คุณจะเรียนจบอะไรก็ไม่เป็นไร คุณจะรวยหรือจนก็ไม่ใช่ประเด็น จะขาวหรือดำก็แล้วแต่ จะสูงจะเตี้ยก็ไม่ว่ากัน รอบเอวคุณจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนก็ไม่เป็นไร ในเมื่อในหัวใจผมมีแต่คุณเท่านั้น มันจะเป็นอื่นไม่ได้อีกแล้ว ต้องเป็นคุณเท่านั้น...

.....น้ำตาเจ้าเอ๋ย เจ้าเป็นน้ำตาที่น่ารักที่สุด เป็นน้ำตาที่น่าปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตผม พอเจ้าหลั่งออกมา มันช่วยชะโลมพิษที่ค้างคาอยู่ในหัวใจผมจนหมดสิ้น เป็นหัวใจที่สดใส ที่พร้อมจะเป็นอิสระ อีกครั้งหนึ่ง...

.....น้ำตาเจ้าเอ๋ย เจ้าหยุดหลั่งได้มั้ย ผมต้องการพลังอย่างมากในการสร้างสรรค์ความรักของผมกับที่รัก ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไม่นาน ผมคงต้องตายจริงๆ ที่รักจ๋า กอดผมสิครับ กอดผมให้แน่นๆ กอดนานๆ ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ...

.....ที่รักจ๋า คุณคงรู้แล้วสินะ ว่าน้ำตาที่หลั่ง มันมีที่มาที่ไปอย่างไร คุณได้รับรู้มันหมดแล้ว จากนี้ไป เราจะไม่พรากจากกันนะ กอดผมแน่นๆสิครับ กอดผมแน่นๆสิครับ ที่รักจ๋า ผมรักคุณมากมายเหลือเกิน ผมรักคุณมากมายเหลือเกินนนนนนนนน...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร                ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 15
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 24/07/2013, 09:42 »
24 กรกฏาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 15:ความรัก10มิติ: มิติที่ 4:ชุมชนนิยม)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 3มิติแล้ว...

.....ความรักมิติที่ 4 คือ ความรักที่เริ่มขยายออกสู่ผู้อื่นที่นอกจากญาติ เป็นการขยายความรักที่อยู่แค่วงศาคณาญาติออกไปสู่หมู่มิตรสหาย อันเป็นสังคมใกล้ชิดมิตรสหายที่กว้างขึ้นกว่าเพียงวงศ์ญาติเท่านั้นออกไปได้อีก อาจจะแผ่ความรักความเกื้อกูลออกไปแค่เพื่อนฝูงหมู่คณะยังไม่กว้างมากมายถึงระดับมีใจมุ่งหมายเพื่อประชาชนทั้งชาติทั้งประเทศทีเดียว...

.....แต่คนที่มีความรักในระดับมิตินี้ ก็เป็นความเห็นแก่ผู้อื่นเผื่อแผ่กว้างเกื้อกระจายออกจากขอบแคบแค่วงศ์ญาติพี่น้องสายโลหิตมากขึ้น แผ่ความรักสู่มวลชนเพื่อนพ้องกว้างขึ้น เป็นกลุ่มชุมชน เป็นตำบล อำเภอ จังหวัด เป็นความรักที่มีภาระมากขึ้น...

.....แต่เราก็ยังถือว่า ความรักในมิตินี้ เป็นความรักที่มีคุณค่าสูงขึ้น เพราะความรักเช่นนี้ คือการลดความเห็นแก่ "ตัวเรา-ของเรา" ที่เป็นแค่วงศาคณาญาติ ซึ่งยังคับแคบมาก ก็ขยายกว้างขึ้นไปสู่มวลมนุษยชาติเพิ่มขึ้นแล้ว จึงนับว่า มีคุณค่าเพิ่มขึ้นกว่า "ความรัก" มิติที่ 3...

.....ใครก็ตาม ที่เห็นแก่ความสุขของผู้อื่นที่กว้างขึ้น สามารถเสียสละ เผื่อแผ่ หรือช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้มากไปกว่าวงศาคณาญาติ แม้จะเป็นเพียงมิตรสหายแวดล้อมก็ดี หรือผู้คนอื่นๆในแวดวงใกล้ๆก็ตาม ก็นับว่า มีความรักที่เจริญขึ้น...

.....ความรักที่เจริญขึ้นในระดับที่มากขึ้นๆ จึงเป็นความรักที่ดีงาม เป็นประโยชน์ใหญ่กว้างขึ้น มีค่าสูงขึ้นตามความเอื้อเฟื้อเกื้อกว้างที่กว้างขึ้นๆนั้นๆจะแผ่ขยายออกไปจริง ยิ่งเผื่อแผ่กว้างเกื้อออกไปได้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็น "ความรัก"ที่มีคุณประโยชน์สูงค่ามากขึ้นเท่านั้น...

.....ความรักมิติที่ 4 นี้ เรียกว่า "ชุมชนนิยม" หรือ "สังคมนิยม"

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 16
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 26/07/2013, 13:08 »
26 กรกฏาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 16: นอนไม่หลับ: อีกด้านหนึ่งของความรัก)

.....นอนไม่หลับ: ใครๆก็เคยนอนไม่หลับ แต่คนนอนไม่หลับส่วนใหญ่จะไม่ทราบเลยว่า สาเหตุที่ทำให้ตัวเองนอนไม่หลับนั้นคืออะไร แต่ละคน แต่ละครั้งที่นอนไม่หลับก็มีสาเหตุที่แตกต่างกันไป...

.....แต่ถ้าหากว่าท่านคิดถึงปัญหาๆหนึ่ง แล้วทำให้ท่านนอนไม่หลับ หรือหลับๆตื่นๆทั้งคืน มีแต่ท่านต้องประสบเอง จึงจะรับรู้รสชาติมันว่า ทรมานขนาดไหน การที่จะต้องพลิกซ้ายพลิกขวา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหลับหรือตื่นตลอดทั้งคืน ดิ้นรนทรมานอยู่บนเตียง มองไปทางไหนก็ยังมืด ไม่สว่างเสียที เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งคืน มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือ รสชาติความรู้สึกแบบนี้ ไม่อยากจะขอเจอมันอีกตลอดไป...

.....แต่ที่แย่ที่สุดคือ หลังจากที่นอนไม่หลับเพราะปัญหาๆหนึ่งจนนับคืนไม่ถ้วน ปัญหานั้น ก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไขให้มันลุล่วง...

.....เราจะทำอย่างไรดี ร้อยทั้งร้อยก็คือ มีแต่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม คือจะไม่คิดถึงมันอีก สาบานเลยว่า จะลืมมันเสีย กดข่มมันไว้ จะไม่คิดถึงมันอีก ชาตินี้จะต้องลืมมันให้ได้...

.....แต่ทุกวัน ก็ยังคงต้องไปทำงานตามปกติ จนผ่านไปสักระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าเราได้ลืมปัญหาที่เคยทำให้เรานอนไม่หลับไปจนหมดสิ้น ก็เพราะว่า เราได้สาบานกับตนเองไว้ว่า เราจะต้องลืมมันให้ได้ แล้วจะไปคิดถึงมันทำไมอีก เราจะไปคิดถึงมันอยู่ไย...

.....ถามว่า ท่านลืมปัญหานั้นเสียแล้วจริงๆหรือ?...

.....ท่านไม่ได้ลืมมันเลย...

.....ที่ท่านไม่ไปคิดถึงปัญหานั้นอีก ก็เพราะว่าท่านรู้คำตอบของปัญหานั้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่าท่่านปฎิเสธที่จะยอมรับมันเท่านั้น...

.....เพราะว่าคำตอบนั้น ได้กระทบเข้ากับส่วนที่เปราะบางที่สุดและเจ็บปวดที่สุดในใจของท่านนั่นเอง...

.....มนุษย์นั้นมากด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์หรือหลักการอะไรที่แน่นอนตายตัว และไม่มีใครสามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะตัวเองแล้ว ยิ่งเกินความสามารถที่จะควบคุมได้...

.....ท่านพยายามให้ตนเองไ่ม่คิดเช่นนี้ แต่มันกลับมักจะคิดอย่างนั้น ท่านต้องการให้ตนเองไม่ไปคิดถึงคนๆนั้น แต่ในสมองของท่านก็มักปรากฎเงาของคนเช่นนั้นอยู่ทุกเวลานาที...

.....ความรู้สึกเช่นนี้ มันมีอาการคล้ายๆ ใครเอามีดคมๆมาเฉือนใจเรา...

.....ถ้าท่านกระทำความผิดมาเรื่องหนึ่ง ในใจของท่านคิดที่จะไม่ไปคิดถึงมัน ท่านเคยรักใครคนหนึ่ง แล้วคนๆนั้นทิ้งจากท่านไป ท่านสาบานว่า จะไม่ไปคิดถึงคนผู้นี้และเรื่องๆนี้...

.....แต่ทุกครั้งที่ท่านอยู่เดี่ยว เดียวดาย หรือบรรยากาศชวนให้เดียวดาย วังเวง ท่านจะนอนพลิกซ้ายพลิกขวา ก้มิอาจหลับได้ เรื่องที่ท่านไม่ต้องการคิดถึง พลันก็เอ่อท้นเข้ามาในใจในชั่วพริบตา...

.....มีแต่ "ความคิด" เท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอิสระที่สุด...

.....มนุษย์ใยจึงมักจะคิดถึงในสิ่งที่เขาไม่ควรคิดเล่า...

.....หรือว่า นี่คือเรื่องเศร้าอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์?...

.....สำหรับผมแล้ว "ความคิด" มันไม่เป็นอิสระจริงๆ...

.....ต่างจาก "จินตนาการ" ที่มีความอิสระที่สุด...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร        ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
5 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 17:ความรัก กับ ความโกรธ)

.....มิติหนึ่ง ที่ผมยึดถือในวิชาชีพแพทย์มาตลอดชีวิต คือ ประโยชน์สูงสุดของคนไข้ บางที เรายึดถือแนวแบบนี้ แต่คนไข้กลับไม่เข้าใจ มนุษย์หนอมนุษย์...

.....มีงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก มีการสอนกันในโรงเรียนแพทย์ว่า ในจำนวนคนป่วย 100คนที่มาหาหมอ 60% ไม่จำเป็นต้องต้องถึงมือหมอ เพียงแต่ว่า ถ้าเขาดูแลสุขภาพให้ดี เขาจะไม่เป็นอะไรเลย อีก 30% แพทย์เวชปฎิบัติทั่วไป สามารถรักษาและให้ยากลับไปทานที่บ้าน และก็หายได้ มีเพียง 10%เท่านั้น ที่จะต้องนอนโรงพยาบาล และให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษา...

.....แต่คนกลุ่มนี้ ก็มาหาหมอ เกิดความสูญเสียทางเศรฐกิจมากกว่าครึ่งหนึ่งของความจำเป็นเลยทีเดียว...

.....เวลา มีคนไข้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ ผมก็จะปฎิบัติต่อเขา เหมือนเขาเป็นญาติเรา คือ ผมจะสำนึกในใจตลอดเวลาว่า ถ้าคนไข้คนนี้เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ หรือคนรักเรา เราก็จะรักษาเขาแบบเดียวกัน ใช้ยาตัวเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน...

.....คนไข้ในกลุ่มนี้ เวลามาหาผม ถ้าคนไหน ไม่ต้องใช้ยาเลย ผมก็จะไม่ให้ยา ก็คงมีแต่เพียงคำแนะนำการปฎิบัติตัว ก็ไม่รู้จะจ่ายยาไปทำไม เอาสารเคมีไปใส่ในตัวเพื่อนมนุษย์เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นทำไม ถ้าไม่มีการจ่ายยา ผมก็ไม่คิดค่ารักษา ประมาณว่า ปรึกษาฟรี ไม่เสียค่าหมอ...

.....เมื่อเดือนที่แล้ว คนไข้ชายไทย อายุ 42ปี มาหาผมด้วยอาการเป็นหวัด เมื่อซักประวัติ และตรวจร่างกายแล้ว พบว่า คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย วิธีการรักษาก็คงเพียงแค่พักผ่อนสักวันสองวัน โดยไม่ต้องกินยาเลย ก็เพียงพอแล้ว ผมก็ได้อธิบายและทำความเข้าใจ จนแจ่มแจ้งแล้ว ก็เลยบอกไปว่า ไม่ต้องกินยาอะไร กลับไปพักผ่อนวันสองวันก็หาย ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้คิด...

.....ทันใดนั้นเอง คนไข้แสดงท่าทีโมโห เกรี้ยวกราดใส่ผมทันที กล่าวหาผมต่างๆนาๆ แต่ทุกคำพูดที่พูดออกมา ก็เป็นไปตามกรอบความคิดของตัวเอง เช่น ไม่สบาย ไม่กินยา ไม่ฉีดยา จะหายได้ไง, คุณเรียนจบหมอมาได้อย่างไร, มีจรรยาบรรณมั้ยมั้ย? ผมมีเงินนะ คุณหมอหายาที่ดีที่สุด ค่ายาเท่าไหร่ไม่อั้น เอาแบบเข็มเดียวหาย ฯลฯ...อีกสารพัด ที่เป็นคำลบๆ...

.....ท่านผู้ชมครับ ถ้าเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อครับ?...

.....ร้อยทั้งร้อย ก็คงตอบเหมือนกัน โกรธสิครับ.....

.....ความโกรธเป็นโทสะมูลที่มีความชั่วร้าย เป็นพลังฝ่ายอกุศลที่เปี่ยมพลังยิ่ง เมื่อมีพิษร้ายความโกรธอยู่ในดวงจิตแล้ว จะก่อให้เกิดกรรมและความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด ความโกรธก่อให้เกิดความเคืองแค้น และนำไปสู่ความก้าวร้าว เมื่อคนถูกทำร้าย มนุษย์ส่วนใหญ่จะอยากตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เช่น...

.....ถ้าใครมาด่าฉัน ฉันจะด่าตอบ...
.....ถ้าใครมาตีฉัน ฉันจะตีตอบเป็นสองเท่า...
.....คนๆนี้เป็นศัตรูของฉัน ฉันจะต้องฆ่ามัน ฉันจึงจะมีความสุข...เป็นต้น

.....อยากให้ตระหนักว่า หากเรามีแนวโน้มที่จะโกรธและก้าวร้าว เราก็จะมีศัตรูทั่วทุกหนทุกแห่ง เราจะชอบคนน้อยลง จะเกลียดคนมากขึ้น คนจะเริ่มหลีกลี้หนีห่างจากเรา เราจะยิ่งโดดเดี่ยวและเหงาเศร้าสร้อย เวลาที่เราโกรธมากๆ เราจะด่าคำหยาบคาย คำผรุสวาทต่างๆก็จะออกมา...

....."แม้ในถ้อยคำไม่มีอาวุธ แต่มันสามารถทำร้ายจิตใจคนได้มากเป็นอย่างยิ่ง" วาจาของมนุษย์จึงเป็นภัยต่อคนอื่น และต่อตนเองอย่างยิ่ง...

.....นิสัยความเคยชินของมนุษย์ มักจะเป็นไปในทางไม่สร้างสรรค์ เช่น ถ้ามีใครมาสบประมาทเรา เราก็จะหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องนั้น คิดแล้วคิดอีก วนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด "ทำไมเขาจึงพูดแบบนั้นกับฉัน" คิดฟุ้งซ่านไปไม่มีที่สิ้นสุด มันเปรียบเสมือนการยิงธนูพลาดเป้า การหมกมุ่นกับปัญหา เหมือนกับการเก็บลูกธนูขึ้นมาทิ่มแทงตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วใจก็โทษคนอื่น กล่าวหาคนอื่นว่า "เขาทำให้ฉันเจ็บปวด ไม่คิดว่า เขาจะใจดำขนาดนี้"...

.....คนไข้มีอาการโกรธ และแสดงอัตตาตัวตนที่่ยิ่งใหญ่ออกมา ดูไปแล้วเหมือนคนบ้า...

.....ถ้าเป็นวิธีการจัดการแบบเดิมของผม คุณหมอก็คงโกรธ และเกิดการโต้เถียงกันอย่างหนัก...

.....เป็นการดีกว่าที่จะสลายความโกรธลงก่อนที่มันจะชักนำไปสู่ความขัดแย้งอันรุนแรง โดยอาศัยการอดทนข่มใจ ความรับผิดชอบและความเข้าใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ย่อมช่วยให้ระงับโทสะได้...

.....การตอบสนองความโกรธด้วยความโกรธจึงเหมือนการกระโดดตามคนบ้าลงจากหน้าผา คุณหมอจำเป็นต้องทำขนาดนั้นมั้ย ถ้าหากการกระทำของเขา เราถือว่าเขาบ้า เราก็ยิ่งบ้ากว่าเขา หากทำเช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนการเอายาพิษมารักษาโรค แล้วมันจะหายมั้ย...

.....ลองพิจารณาจากคำพูดเหล่านี้ดูสิ ถ้าหากมีใครมาพูดว่า "เจ้าเป็นคนเลว" คุณลองถามตัวเองดูสิว่า "นั่นทำให้ฉันเป็นคนเลวจริงหรือ แต่ถ้าฉันเป็นคนเลวและมีใครมาบอกว่าฉันเป็นคนดี นั่นจะทำให้ฉันเป็นคนดีขึ้นมาหรือไม่"...

.....ถ้ามีใครมาบอกว่าถ่านก็คือเพชร นั่นมันจะทำให้เป็นเพชรขึ้นมาได้ล่ะหรือ แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าเพชรก็คือถ่าน นั่นมันจะทำให้กลายเป็นถ่านจริงล่ะหรือ...

.....สิ่งต่างๆ ย่อมจะไม่แปรเปลี่ยนไป เพียงเพราะมีคนมาพูดอย่างนี้ เหตุใดเราจึงต้องใส่ใจจริงจังกับคำพูดทำนองนี้ด้วยเล่า...

.....วันนี้กลับถึงบ้าน ลองฝึกปฎิบัติแบบนี้ก็ได้ ท่านไปนั่งอยู่หน้ากระจก และดูเงาสะท้อนของตัวเอง ท่านลองสบประมาทตัวเองดู "เจ้าช่างน่าเกลียด เจ้าช่างแสนเลว" ครั้นแล้วก็ลองชมตัวเองดู "เจ้าช่างงดงาม เจ้าช่างแสนดี" ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร ภาพสะท้อนนั้นก็ยังคงอย่างที่มันเป็น คำชมหรือคำตำหนิ หาใช่สิ่งจริงในตัวของมันเองไม่ มันเหมือนเงา เหมือนภาพสะท้อน มันคงไม่มีอำนาจที่จะเกื้อกูลหรือทำร้ายเราได้...

.....เมื่อเราฝึกมาถึงตรงนี้ เราคงจะเริ่มตระหนักได้ว่า สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนไร้ซึ่งแก่นสาร มันเป็นเหมือนมายา เหมือนความฝัน เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เราโกรธ อย่าเพิ่งตอบสนองอย่างทันทีทันควัน ลองพิจารณาดู และถามขึ้นว่า...

....."อะไรกันนี่ อะไรที่ทำให้ฉันตัวสั่นและหน้าแดงก่ำ มันอยู่ที่ไหนกันเล่า" สิ่งที่เราค้นพบคือ ไม่มีแก่นสารใดๆอยู่ในความโกรธ ไม่มีสิ่งใดให้ค้นพบได้...

.....วันนี้ท่านจะดี ก็คงดีด้วยตัวของท่าน วันนี้ท่านจะไม่ดี ก็คงไม่ดีด้วยตัวของท่าน คำพูดของคนอื่น คงไม่มีผลต่อสาระในชีวิตของผมได้...

.....คุณคนไข้ผู้น่าสงสาร นอกจากคุณจะป่วยทางร่างกายแล้ว ยังจะหายา ซึ่งเป็นสารเคมีมายัดเข้าร่างกายตัวเอง โดยที่ไม่มีความจำเป็นใดๆเลย มิหนำซ้ำ ยังมีโทสะมูลฝังแน่นอยู่ในดวงจิต ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดได้ตลอดเวลา มันเป็นการป่วยทางจิตวิญญาณ ที่น่าสงสารจริงๆ ผมต้องการช่วยเหลือคุณเหลือเกิน...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                   ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

30 กรกฏคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 18:รักตัวเองก่อน จึงจะรักคนอื่นได้)

.....ขอบคุณมากครับ ที่รัก ขอขอบคุณจากใจจริงๆ...

.....เป็นเวลานานเหลือเกิน สิบกว่าปีแล้ว ที่ผมไม่อีนังขังขอบกับความเป็นความตาย จะเป็นก็เป็น จะตายก็ตาย ชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่ว่า ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่า การมีชีวิตอยู่ ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง...

.....ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ นับว่า วันนี้เป็นวันที่ผมมีความรู้สึกว่า ยอมตกบ่วงรักเธอ ไม่มีอะไรที่จะต้องลังเลอีก จะรักเธอ จะรักเธอ เรื่องใดๆ ก็ไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป...

..... .....เราเจอกันวันนี้ หลังเธอเลิกงาน ที่รัก ทำไมเธอเหนื่อยอย่างนี้ โทรมเลยล่ะ หน้าเป็นผื่นเต็มไปหมดเลย ขอบตาดำคล้ำ คงไม่ได้พักหลายวัน ทำไม ทำไม ทำไม...โอ....น่าสงสารจัง ผมรู้สึกเสียใจมากๆเลย มันเป็นความผิดของผมเอง ผมควรจะดูแลเธอได้มากกว่านี้ ผมไม่อยากให้เธอต้องลำบากอีกแล้ว...

.....ที่รัก ผมขอใช้พลังที่เหลือในชีวิตผม ทุ่มเทให้กับความรักที่ผมมีต่อคุณ ผมจะต้องมีชีวิตที่ดี เพื่อที่จะได้ดูแลที่รักไปนานๆ และจะได้ไม่ต้องทำความลำบากกายและใจให้กับที่รักอีก...

....ผมจะต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดี ตั้งแต่วินาที่นี้เป็นต้นไป ผมจะรักสุขภาพของผม จะต้องดูแลสุขภาพของผมให้ดีสุดๆ ผมจึงจะมีพลังที่จะดูแลที่รักได้...

.....ถ้าสุขภาพของผมไม่ดี เดี๋ยวป่วยเป็นโน่นเป็นนี่ แล้วผมจะเอาพลังที่ไหนมาดูแลที่รัก จะเอาแรงกายที่ไหนไปทำงานหาเงิน แล้วไหนจะต้องค่ารักษาพยาบาลอีก แล้วจะต้องทำให้ที่รักเสียเวลาเป็นห่วงมาดูแลผมอีก...

.....ทุกๆเช้า ผมจะตื่นตรงต่อเวลา เพื่อมาออกกำลังกายทุกวัน จะกี่วันกี่ปี ก็ขอจะทำ ตลอดไป...

.....ผมจะตั้งสัจจะเรื่องอาหาร:จากนี้ไป อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ ผมจะไม่ยอมให้มันเข้าปากผมอีกเป็นอันขาด ทุกๆคำที่เข้าสู่กระเพาะ จะต้องเป็นไปเพื่อสุขภาพที่ดี จะมีสติในการกินตลอดเวลา...

.....เหล้า เบียร์ แอลกอฮอร์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผมจะไม่ดื่มมันอีก คงจะดื่มแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น...

.....วันนี้ได้รู้ซึ้งประจักษ์แกใจตนเองว่า การที่เราจะรักคนอื่นได้นั้น เราจะต้องรักตนเองก่อนนั้นว่ามันเป็นอย่างไร...

.....ที่ผ่านมา มีการเข้าใจผิดๆมากมาย ถามทุกคน ว่ารักตัวเองมั้ย ร้อยทั้งร้อยก็ตอบว่ารัก ยังไม่เคยเจอคนไหนบอกว่าไม่รักตัวเองเลย วันนี้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว...

.....ระหว่างการรักตัวเองกับความเห็นแก่ตัว มันต่างกันอย่างนี้เอง...

.....คนบางคนบอกว่ารักตัวเองมากๆ แต่กินเหล้าทุกวัน สูบบุหรี่ทั้งวัน กินอาหารตามใจปาก โดยไม่สนใจเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ แถมมีการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ก็เพราะรักตัวเองไง อยากจะทำอะไรก็รีบทำ ไม่นานก็ตายแล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้ทำ...

.....คนบางคนบอกว่ารักตัวเอง แต่ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วร่างกายจะแข็งแรงได้อย่างไร ในวันหนึ่งๆ ทุกคนมีเวลา 1,440นาที เพียงแค่เจียดเวลาวันละ 30-40นาที มาออกกำลังกาย ก็ทำไม่ได้ ข้ออ้างคือ ไม่มีเวลา.....

.....พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ใช่การรักตัวเอง แต่เป็นความเห็นแก่ตัว เอาความพอใจของตัวเอง เอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้คิดเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นเลย คิดถึงแต่ความสะดวกสบายของตัวเอง เห็นแก่ตัวเอง การกระทำดังกล่าว มันส่งผลเสียต่อสุขภาพ ถ้าตัวเองเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา คนที่อยู่ข้างหลังก็คงลำบาก...คนแบบนี้ เขาไม่เรียกว่า เป็นคนรักตัวเอง แต่ คือ คนเห็นแก่ตัว...

.....นักธุรกิจเครือข่าย หลายๆคน ปากก็พร่ำบ่นว่ารักดาวไลน์ รักอย่างนั้น รักอย่างนี้ อยากจะให้ดาวไลน์ไปประสบความสำเร็จ แต่ตัวเองไม่เคยเรียนรู้วิธีการทำงานเลย ไม่เคยสนใจที่จะหาความรู้มาถ่ายทอดให้ทีมงาน เอาแต่โมติเวทให้ซื้อของอย่างเดียว เดือนไหนยอดมาน้อย ก็จะแสดงอาการที่ไม่ดีออกมา อย่างนี้ คุณไม่ได้มีความรักดาวไลน์เลย เป็นความเห็นแก่ตัว เขาเรียกว่า ห่วงยอด ไม่ห่วงใย...

.....หัวหน้า ผู้จัดการ ในที่ทำงานบางคน ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อที่จะทำยอดให้ถึงเป้าหมายอย่างเดียว โดยไม่สนใจถึงปัจจัยอื่นๆเลย ขอเพียงให้ยอดถึงเป้าหมาย แต่ปากก็บอกว่ารักลูกน้องทุกคน...

.....ขอบคุณที่รักมาก วันนี้ เราคุยกัน ที่รัก ก็จะดูแลสุขภาพ เหมือนที่ผมดูแล เราต่างก็จะเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน...

.....ขอบคุณที่รักมาก ที่บอกว่า จะดูแลสุขภาพเหมือนที่ผมดูแล เป็นเพราะพี่ดีแบบนี้ ที่รักก็จะดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ไห้ผมต้องห่วง หรือกังวลกันต่อกันอีกต่อไป...

.....รักตัวเองให้เป็นก่อน แล้วจึงจะไปรักคนอื่น แล้วความรักที่ได้รับกลับมา จะเพิ่มเป็นทวีคูณ ถ้าท่านแบ่งปันความรักให้คนอื่น ความรักนั้นก็จะย้อนกลับมาสู่ท่านเป็นทวีคูณ ความรักที่แบ่งปันออกไป ยิ่งแบ่งปันออกไป ยิ่งมีแต่เพิ่มพูน ไม่มีพร่องเลย...

.....คืนนี้ เมื่อถึงเวลาจะนอน ทันทีที่หัวถึงหมอน ผมจะมีคำมั่นสัญญากับตัวเอง ก่อนหลับว่า พรุ่งนี้เช้า ผมจะรีบลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพื่อที่รัก การนอนในคืนนี้ ช่างมีคุณค่า และมีความสุขเสียนี่กระไร เมื่อมีความรักเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นย่อมสวยงาม การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น อยู่เพื่อคนที่เรารัก มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่ยามนอนยังมีความหมาย อยากให้โลกนี้มีแต่ความรัก รักเธอ รักเธอ รักเธอ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                 ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ความรักคืออะไร ตอนที่ 19 : วาสนา
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 1/08/2013, 10:20 »
1 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 19: วาสนา)

.....คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนมากเชื่อกันว่า การที่คนเราได้มาเจอกันในชาติหนึ่งๆนั้น เป็นเพราะเคยทำบุญร่วมกันมา หรือเคยก่อกรรมร่วมกันมา แล้วแต่ว่า เป็นกรรมดี หรือกรรมไม่ดี ถ้าเคยก่อกรรมไม่ดีร่วมกันมากันมาในชาติปางก่อน เมื่อถึงเวลาของมัน อย่างไงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องชดใชักรรมเก่าอยู่ดี ถึงเวลา มันจะเดินมาหาเอง ไม่มีใครหนีพ้น...

.....แต่ถ้าเป็นกรรมดี อันนี้ เราเรียกว่าเป็นบุญกุศล เมื่อถึงเวลา เราก็จะได้อานิสงค์จากผลบุญนั้นๆ...

.....แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าได้ให้ความกระจ่างหมดแล้ว เราสามารถศึกษาได้ ไม่ยาก ซึ่งสรุปได้ว่า ทุกๆสิ่งบนโลก หรือจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดๆที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด...

.....เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงไม่มี...

.....เวลาที่ท่านปัสสาวะทิ้ง น้ำปัสสาวะสุดท้ายก็ลงสู่ดิน หรือแม่น้ำ เมื่อแดดออก ก็เผาเอาน้ำที่ท่านปัสสาวะทิ้งนั้นกลายเป็นเมฆขึ้นไปอยู่บนฟ้า เมื่อเมฆมีก้อนใหญ่ขึ้น และอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม (ภาษาธรรมมะ เรียกว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม) เมฆนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน น้ำฝนนั้นก็ลงสู่อ่างเก็บน้ำ สุดท้ายก็เป็นน้ำประปาที่ท่านเอามาดื่มอีก...

.....วันนี้ ท่านกินหมู เห็ด เป็ด ไก่ อาหารทุกๆอย่างที่ลงสู่กระเพาะท่าน ไม่กี่วันก็ถ่ายออกมาเป็นมูลอุจจาระ มูลอุจจาระนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นปุ๋ย ปุ๋ยนี้ก็ใช้ปลูกพืชปลูกผัก พืชผักนั้นก็กลับมาเป็นอาหารให้กับมนุษย์และสัตว์ต่างๆกินอีก...

.....มนุษย์เมื่อเสียชีวิต ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกฝัง สุดท้ายก็ย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ...

.....ส่วนประกอบร่างกายมนุษย์ 60% เป็นน้ำ เวลาที่มนุษย์เสียชีวิต น้ำในร่างกาย 60%นี้ก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ สุดท้ายน้ำนี้ก็คืนสู่ธรรมชาติให้คนและสิ่งมีชีวิตดื่มต่อ และเป็นไปตามวงจรเดิม...

.....ส่วนประกอบของร่างกายที่เหลือ 40%ก็จะย่อยสลายคืนสู่ดินเหมือนกัน ซึ่งจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดี่ยม โปเตสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ฯลฯ แร่ธาตุต่างๆเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นส่วนประกอบของดิน ใช้เป็นอาหารของพืชของสัตว์ต่อไป พืช สัตว์ ก็จะกลับมาเป็นอาหารของคนอีก วนกันไป เป็นวัฐจักร...

.....ร่างกายเราที่อยู่ได้ และเติบโตมาได้ก็เพราะ เราได้รับสารอาหารต่างๆจากธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งการบริโภคพืชและสัตว์ และน้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านเสียชีวิตลง ส่วนประกอบของร่างกายทั้งหมดของท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ และจะกลายเป็นส่วนประกอบของพืช และสัตว์ต่อไป ก็วนกันอย่างนี้มากี่ล้านๆปีแล้ว...

......ถึงได้กล่าวว่าทุกๆสิ่งบนโลก หรือจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดๆที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด กล่าวในอีกแง่หนึ่งก็คือ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวเรา ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคนอื่นๆ สัตว์อื่นๆ หรือพืชอื่นๆ มาแล้วทั้งสิ้น...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวของ นพ.ไมตรี พิชญังกูร ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคน สัตว์ และพืชอื่นๆมาเป็นล้านๆปีแล้ว...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวของท่าน ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคน สัตว์ และพืชอื่นๆมาเป็นล้านๆปีแล้วเหมือนกัน หมุนเวียนกันเป็นวัฐจักรอย่างนี้...

.....วันนี้ เราจะมองอะไร ขอให้เรามองให้มันเชื่อมโยงกัน มองไปที่ต้นทานตะวัน ทำไมดอกจึงแบ่งบานออกมาได้ใหญ่ขนาดนี้ ก็เพราะแสงแดดได้ส่องมันเต็มที่ ได้รับน้ำสมบูรณ์ ได้รับสารอาหารที่ดีและครบ อยู่ในที่อุณหภูมิพอดี ดอกมันจึงงาม อาหารคือแร่ธาตุต่างๆและน้ำนั้น ส่วนหนึ่งก็เคยผ่านจากร่างกายเราไป...

.....ไม่ว่าจะมองไปทางไหน สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนเป็นญาติเราทั้งนั้น...

.....วันนี้ เราเกิดมาแล้ว การที่เราได้พบใครหรือเจออะไรในแต่ละวัน เราถือว่าเป็นวาสนา ทำไมเราจะไม่ถนอมวาสนานั้นไว้...

......วันนี้ เราได้เจอใครต่อใครมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรถนอมวาสนานี้ไว้...

.....ในโลกนี้ มีสิ่งมากมายที่เราควรจะถนอมรักไว้ เงินทอง ญาติสนิท เพื่อนรัก ล้วนต้องถนอมรักไว้ หมู่คณะ สังคม แม้ประเทศชาติ หรือโลกใบนี้ เราจักต้องช่วยกันถนอมรักไว้...

.....คนเราควรมีการถนอมน้ำใจ ถนอมรัก ถนอมเวลา ถนอมสิ่งของ พืช และสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ...

.....การถนอมรักประเภพต่างๆนี้ การถนอมบุญวาสนาถือเป็นบุญกุศลที่สำคัญยิ่ง...

.....วันนี้ มาถึงสี่แยกไฟแดง ได้พบกับตำรวจ ถ้าไม่มีท่านช่วยอำนวยความสะดวก รถคงติดจนวุ่นวายน่าดู ท่านได้ช่วยให้เราเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....วันนี้ เราได้เจอน้องหมา บิลลี่ ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....วันนี้ เราได้เจอคุณพยาบาล ท่านช่วยดูแลเรา ยามเราเจ็บป่วย ถ้าไม่มีพวกท่านช่วยดูแลเรายามเจ็บป่วย คนไข้ทั้งหลายก็คงลำบากมาก ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....เจ้าแมวเหมียว เจ้าน้องหมา เรามีบุญวาสนากับมัน จึงถนอมมิตรสัมพันธ์ที่มีต่อกัน...

.....ดอกไม้ในสวนและริมรั้ว เรามีบุญวาสนาได้พบปะมันทุกวัน จึงไม่อยากให้มันถูกทำลาย...

.....คนอื่นๆ ให้บุญวาสนาต่อเรา เราควรถนอมรักคุณค่าที่หาได้ยากยิ่งนี้ และควรจะพัฒนาบุญวาสนานี้ให้งดงามยิ่งๆขึ้น...

.....ครูบาอาจารย์สั่งสอนเรา เราจะไม่ถนอมรักวาสนาที่มีกับครูบาอาจารย์ได้อย่างไร...

.....พ่อแม่ให้ชีวิตเรา บุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เราจะไม่ถนอมรักให้สุดกำลังได้อย่างไร...

.....เกษตรกร ชาวนา พ่อค้าวานิช พวกเขาให้อาหารเรากิน ให้เรามีเสื้อผ้าสวยๆสวมใส่ ให้เรามีเครื่องใช้ ที่เรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยเหล่านี้ ถ้่าเราไม่ถนอมรักบุญวาสนาเหล่านี้ไว้ แล้วชีวิตเราจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?...

.....ในธรรมชาติ...ดอกไม้ดอกเล็กๆ มันยังต้องขอบคุณน้ำค้าง ขอบคุณแสงแดด ขอบคุณสายลมที่อบอุ่น ขอบคุณอากาศ เพราะว่า มีสิ่งเหล่านี้มันจึงผลิดอกมีสีสันสวยสดสะดุดตาได้ ถ้าชีวิตคนเราเหมือนดอกไม้ เราก็ควรจะถนอมรักสายน้ำ แสงแดด อากาศ ที่รายล้อมอยู่ในชีวิตเราด้วย ไม่ใช่หรือ?...

.....เพื่อนๆทุกคนของผม วันนี้ เราได้มาเจอกัน ผมถือว่า เรามีบุญวาสนาต่อกัน ขอขอบคุณบุญวาสนาที่เรามีต่อกัน ขอขอบคุณอย่างลึกซึ้งจากใจจริง ทุกๆคนคือทุกๆบุญวาสนา จะถนอมรักบุญวาสนาอย่างจริงใจ...

.....ทุกๆบุญวาสนาที่มีต่อกันคือความรัก ความเมตตา รักวาสนาทุกๆวาสนา วาสนาจึงเป็นสุดที่รัก ที่จะต้องถนอมรัก เข้าใจกัน ให้อภัยกัน และดูแลกัน อันเป็นปัจจัย4แห่งรักแท้ ตลอดไป...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร          ขอบคุณค่ะพี่หมอ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
Re: ความรักคืออะไร ตอนที่ 20 : น้ำตา
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 2/08/2013, 12:55 »
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 20: น้ำตา 2:สาเหตุที่ผมหลั่งน้ำตา)

.....ที่รัก วันนั้น ที่รักเป็นต้นเหตุให้ผมต้องหลั่งน้ำตา น้ำตาไหลจนเหือดแห้ง ตาบวมจนลืมตาแทบไม่ขึ้น แม้แต่เวลากระพริบตาก็ยังปวดจนทนไม่ไหว...

.....ไปหาหมอตอน2ทุ่ม เราเองก็เป็นหมอ แต่ตาบวมจนแทบมองอะไรไม่เห็น แล้วเราจะไปแหกตาตัวเอง เพื่อที่จะตรวจตาตัวเอง ก็คงไม่ได้ อีกอย่าง เราก็ไม่ใช่ผี ที่จะเที่ยวไปแหกตาคน หลอกคนได้...

.....อ้าว อ้าว อ้าว.....คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร...

.....คุณบอกว่า ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา ถามจริงๆ ฉันไปทำอะไรให้เธอ ตอนไหน...

.....ก็วันนั้นไง ที่คุณโทรมา แล้วบอกให้ผมช่วยหาเอกสารชิ้นหนึ่งให้คุณ ผมก็เข้าไปหาในห้องเก็บเอกสาร ก็รู้อยู่ ห้องนั้นฝุ่นเยอะมากๆ...

.....ขณะที่กำลังค้นหาเอกสารอยู่นั้น ฝุ่นเล็กๆชิ้นหนึ่งก็ปลิวเข้าที่ตาผม ผมก็เริ่มขยี้ ตามันก็บวม น้ำตาก็หลั่ง อย่างที่บอกนั่นแหละ แล้วอย่างนี้ ต้นเหตุมันก็เริ่มจากคุณนั่นแหละ หรือว่าจะเถียง...

.....โอเค ฉันยอมรับก็ได้ว่า ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา ฉันจะชดใช้คุณก็แล้วกัน...

.....จะชดใช้อะไร ค่ายาค่าหมอ หมดไปพันกว่าบาท...

.....คุณเข้ามาใกล้ๆสิ ...

.....ทำไมต้องใกล้ๆ จะให้อะไรเหรอ?...

.....เอาไปสัก2หมัด พอมั้ย? เฮ้ย...รมณ์เสีย...ฝุดฝุด อุตส่าห์แอบหลงดีใจ คิดว่าจะรักเราซาบซึ้งใจ จนน้ำตาไหล...บ้า บ้า บ้า บ้าที่สุดเลย...

.....อ้าว ไรฟ่ะ เป็นอะไรของมัน ไม่เข้าใจเลยอ่ะ ผู้หญิง งงง้งงง...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร             ขอบคุณค่ะพี่หมอ

Tags: