สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต 1 : ตัวอย่างบุคคลในอดีต
ในสมัยจั๋นกั๋ว (ปีที่ 307 ก่อน ค.ศ.) "อู่หลิงหวาง" เจ้าเมืองแห่งรัฐจ้าว หากว่ากันตามทฤษฏีโหราศาสตร์แล้วมีรูปลักษณะที่ต้องชะตาอดตาย : แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง เมื่อเขามีศักดิ์เป็นถึงเจ้าเมืองแล้วจะอดตายได้อย่างไร ?. ทว่าในบั้นปลายชีวิตของท่านอู่หลิงหวางราชโอรสทั้งสองของท่านได้แย่งชิงราชบัลลังก์กัน เนื่องจากเกรงว่าท่านอู่หลิงหวาง จะเกิดความลำเอียง จึงได้ปิดประตูวังพร้อมทั้งสั่งทหารคอยเฝ้าหน้าประตู มิให้ใครเข้าออก ทำให้เหล่าขุนนางข้าราชบริพารต่างก็ใกล้จะอดอยากตาย เพราะไม่มีเสบียงอาหารเหลืออยู่ในราชวังเลย ส่วนเจ้าเมืองอู่หลิงหวางนั้น ข้าวก็ไม่ได้กิน น้ำก็ไม่ได้ดื่ม มาเป็นเวลา 7 วัน พลันแลไปเห็นรังนกที่มีไข่นกอยู่ใบหนึ่ง ก็ได้เอื้อมมือกำลังจะหยิบ ในขณะที่หยิบไข่นกขึ้นมากำลังจะกิน ทันใดนั้นได้มีนกตัวหนึ่งบินตรงดิ่งมาหาท่านอู่หลิงหวาง ด้วยความตกใจท่านเจ้าเมืองจึงได้ปล่อยไข่ที่อยู่ในมือตกพื้นแตกไป ก็เพราะสาเหตุของรูปลักษณะที่ถูกลิขิตให้ต้องอดตาย จึงทำให้ไม่ได้กินแม้ไข่ใบสุดท้าย
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ ฮั่น กษัตริย์ "ฮั่นเฉินตี้" มีขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนาม "เติ้งทง" วันหนึ่ง เติ่งทงได้พบกับหมอดูท่านหนึ่ง ซึ่งหมอดูท่านนั้นได้ทำนายโชคชะตาของเติ้งทงว่า จะต้องอดตาย เติ้งจึงได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ฮั่นเฉินตี้ เพื่อกราบทูลเรื่องราวที่หมอดูได้ทำนายทายทักให้ทรงทราบ พร้อมทั้งกล่าวว่า "ข้าน้อยเติ้งทง เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีทรัพย์สมบัติเงินทองเป็นส่วนตัว หมอดูทำนายว่าข้าน้อยต้องอดตาย ข้าน้อยได้พิจารณาแล้ว เกรงว่าในอนาคตต้องอดตายจริงอย่างที่หมอดูทำนายไว้ไม่มีผิดเลย" กษัตริย์ฮั่นเฉินตี้ทรงตรัส "ข้าเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน สามารถทำให้คนร่ำรวยได้ และก็สามารถทำให้คนมีชีวิตหรือตายได้เช่นกัน คำทำนายของหมอดูจะเอาอะไรมาอ้างอิง ?. ข้าจะประทานเขาทองเหลืองแห่งมณฑลอวิ๋นหนันให้เจ้าได้หลอมเป็นเงินตราใช้ 1 ปี เจ้าจะเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยมหาศาล แล้วเจ้าจะอดตายได้อย่างไร ?."เติ้งทงคิดว่า เมื่อได้รับพระกรุณาล้นพ้นโปรดเกล้าเช่นนี้ ตนคงรอดพ้นจากชะตากรรมที่หมอดู ที่ทำนายไว้อย่างแน่นอน" คาดไม่ถึงว่าไม่นานกษัตริย์ฮั่นเฉินตี้ ก็เสด็จสวรรคต ต่อมา เมื่อราชโอรสขึ้นครองราชย์เหล่าขุนนางจึงถวายฏีกากล่าวใส่ความว่าเติ้งทงกุเรืองหลอกลวงบรรพกษัตริย์เพื่อครอบครอง"เขาทองเหลือง" ของบ้านเมืองมาหลอมเป็นเงินตราเก็บไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว มีโทษมหันต์ อภัยให้ไม่ได้ กษัตริย์น้อยเมื่อได้ทรงอ่านฏีกาก็ทรงกริ้ว พร้อมทั้งมีกระแสรับสั่งให้ยึดทรัพย์ของเติ้งทง และนำไปขังโดยไม่ให้ทั้งอาหารและน้ำ เติ้งทงอดอยากได้ 7 - 8 วัน ก่อนจะตายก็ขอดื่มน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ทหารผู้คุมขังเกิดความสงสารจึงรินน้ำหนึ่งชามให้เติ้งทง แต่อนิจจา ! หัวหน้าผู้คุมเห็นเข้าจึงได้ตะโกนเสียงดัง ! ด้วยความตกใจกลัว ทำให้ทหารผู้คุมขังผู้นั้นทำชามตกลงบนพื้น เป็นเหตุให้เติ่งทงต้องอดตายอย่างหน้าอนาถ แม้น้ำหยดสุดท้ายก็ไม่ได้ดื่ม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าชะตาลิขิตให้อดตายก็ต้องอดตายในที่สุด ไม่อาจรอดพ้นได้" หลังจากที่ท่านชิวฉางชุน ได้ฟังเรื่องราวที่ที่ผู้เฒ่าไซ่ม๋าอีเล่าแล้ว ความศรัทธามุ่งมั่นในวิถีธรรม ฉับพลันก็ได้แตกสลายไป ในใจเกิดความฟุ้งซ่าน คิดว่าไหน ๆ ชะตาลิขิตให้ต้องอดตาย สู้ตายก่อนเพื่อที่จะได้รีบกลับมาเกิดในชาติหน้าอีก แล้วบำเพ็ญปฏิบัติธรรมไม่ดีกว่าหรือ ?. เมื่อคิดเช่นนั้น นักพรตชิวจึงได้มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำแห่งหนึง ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา จากนั้นก็เอนกายลงนอนบนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ อดอาหารถึง 7 วันไม่มีน้ำสักหยดเข้าปาก ใจหนึ่งใจเดียวต้องการแต่ความตาย แต่ทว่าท่านนักพรตเป็นผู้บำเพ็ญธรรม มีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมจึงทำให้ไม่ตายง่าย ๆ
เมื่อมาถึงวันที่ 9 ไม่รู้ว่าฝนได้โปรยปรายมาจากที่ไหน ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้น และยังมีลูกท้อลูกหนึ่งลอยมาตามกระแสน้ำ ส่งกลิ่นหอมชวนทานยิ่งนัก จนลูกท้อที่ไหลมาตามกระแสน้ำได้หยุดอยู่ข้างกายของท่านชิวฉางชุน อันที่จริงแล้ว ท่านชิวฉางชุนไม่คิดอยากจะกิน แต่พอนึกถึงเรื่องราวทั้งสองเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนตายกับคนสมัยก่อนที่หมอดูไซ่ม๋าอีได้เล่าให้ฟัง จึงเกิดความสงสัยว่า ไม่รู้จะเกิดขึ้นกับตัวท่านเองหรือเปล่า ?. ท่านจึงได้ตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบลูกท้อมากิน ยิ่งกินก็ยิ่งอร่อย เลยกินลูกท้อจนหมด ทำให้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีก ไม่รู้สึกหิวหรือกระหายเลย ไม่นานระดับน้ำในแม่น้ำก็ลดลง นักพรตชิวคิดในใจว่า ริมแม่น้ำนี้คงไม่ใช่ลิขิตให้ตายจึงได้เดินขึ้นไปบนเขา จนมาพบวัดร้างแห่งหนึ่ง ท่านมีความรู้สึกว่าวัดร้างแห่งนี้ต้องเป็นที่ตายของท่านอย่างแน่นอน ว่าแล้วท่านก็นอนรอความตายอยู่ใต้แท่นบูชา ขณะที่อดอาหารมาได้ 7 - 8 วัน เห็น ๆ อยู่ว่าความตายกำลังจะใกล้เข้ามาทุกที ทันใดนั้น ก็มีเสียงคนทะเลาะวิวาทกันอยู่ข้างนอก ด้วยความอยากรู้ นักพรตจึงเหลือบไปดูเห็นกลุ่มโจรที่กำลังแบ่งสันปันส่วนเงินทองที่ปล้นมา ในบรรดากลุ่มโจร มีโจรที่ชื่อ"หวังเหนิน" ได้เห็นชิวฉางชุนนอนอยู้ใต้แท่นบูชาจึงถามว่า "ท่านมาจากที่ไหน ?." ท่านชิวฉางชุนเพิกเฉยกับคำถาม หวังเหนินเห็นสภาพอิดโรยปางตายของชิวฉางชุน จึงไม่ซักไซร์ต่อ เดินออกไปที่กลุ่มเพื่อน พร้อมทั้งพูดว่า "ชั่วชีวิตนี้พวกเราทำแต่ความชั่ว ไม่เคยทำความดีเลย วันนี้พวกเราน่าจะมาทำความดีสักอย่าง" กลุ่มเพื่อน ๆ โจรจึงถามว่า "มีความดีอะไรที่พวกเราทำได้ล่ะ ?." หวังเหนินตอบ "ใต้แท่นบูชามีนักพรตท่านหนึ่งดูท่าทางไม่เจ็บป่วยอะไร แต่อาจจะเป็นเพราะอดอาหารมานาน พวกเราน่าจะต้มหมี่ให้กินเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้" เพื่อน ๆ ทุกคนต่งก็ผงกหัวก็เห็นด้วยกับหวังเหนิน จึงเริ่มจัดหาอาหารมาให้ สักครู่หนึ่งเมื่อต้มหมี่เสร็จ ก็เข้าไปในวัดเรียกท่านชิวฉางชุนออกมากิน แต่ชิวฉางชุนกลับปฏิเสธไม่ยอมกิน จนในที่สุด โจรทั้งหลายก็ต้องฉุดกระชากลากถูชิวฉางชุนออกมา และกรอกหมี่เข้าปาก กรอกติดต่อกัน 2 ชาม จนอิ่มท้องทำให้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกครั้ง สำหรับท่านชิวฉางชุนก็ได้แต่พร่ำบ่นว่า "เดิมทีข้ากำลังจะบรรลุงานใหญ่เป็นเพราะพวกเจ้าทั้งหลาย ไม่รู้เอาอะไรมาให้ข้ากิน ทำให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปอีก เวลาอยากจะอยู่ก็ลิขิตให้ตาย เวลาอยากจะขอตายก็มาบังคับให้อยู่ต่อ" เหล่าโจรทั้งหลายซึ่งไม่รู้สาเหตุจึงเกิดโทสะคิดว่าทำดีแล้วยังโดนตำหนิ พลันคว้ามีดขึ้นมาพลางพูดว่า "เจ้าคนไมู่้จักบุญคุณ พวกเราได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ แทนที่เจ้าจะกล่าวคำขอบคุณ แต่เจ้ากลับมาต่อว่าพวกเราอีก ในเมื่อเจ้าอยากตายข้าก็จะสนองให้เอง" พูดจบก็ทำท่าจะฆ่าชิวฉางชุน ถึงกระนั้นชิวฉางชุนกลับไม่สะทกสะ้ท้านหรือเกิดความกลัวแม้แต่น้อย ซ้ำยังชี้พุงตัวเองว่า "จะเชือดก็เชือดตรงนี้ ไม่ต้องไปเชือดที่อื่น จะได้เอาอาหารอะไรก็ไม่รู้ของพวกท่านกลับคืนไปข้าจะได้ตายอ่างไร้กังวล"โจรทั้งหลายได้ฟังแล้วก็รู้สึกขำ "อาจารย์ท่านนี้ช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ๆ มีใครที่ไหนที่กินของคนอื่นแล้ว ควักออกมาคืนได้อีก พวกเราจะไม่ฆ่าท่าน แต่ขอให้ท่านเล่าถึงต้นสายปลายเหตุให้พวกเราได้เข้าใจด้วย"
นักพรตชิวจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่หมอดูได้ทำนายให้โจรทั้งหลายได้ฟัง หลังจากที่โจรทั้งหลายได้ฟังแล้ว จึงกล่าวว่า "ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร หากท่านกลัวตายพวกเราพี่น้องทั้งหลายก็จะร่วมสมทบทุนให้ท่านสร้างวัดเพื่อเป็นที่พำนัก และยังสามารถรับลูกศิษย์ลูกหา ทุกคนขยันหน่อยตุนเสบียงอาหารไว้มาก ๆ เช่นนี้แล้วท่านจะอดตายได้อย่างไร?. ท่านชิวฉางชุนฟังแล้วตอบว่า "ไม่เอา ! ไม่เอา ! ชีวิตนี้ข้าไม่เคยรับสิ่งของที่ได้มาโดยไม่ถูกครรลองครองธรรมของใคร สุดท้ายก่อนจากไป นักพรตชิวฉางชุนก็ได้อรรถาธรรมให้โจรทั้งหลายฟังจนเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมและต่างกลับใจมาเป็นคนดี แม้ชิวฉางชุนจะสามารถสั่งสอนโจรทั้งหลายให้กลับตัวกลับใจจนสำเร็จ ทว่าความมุ่งมั่นที่จะตายก็ยังคงอยู่ในจิตใจตลอดเวลา เขาจึงลงเขาไปเพื่อหาโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าป่าลึกที่ซึ่งไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่เลย เลือกต้นไม้ใหญ่ได้ต้นหนึ่งแล้วจัดการมัดตัวเองด้วยโซ่ไว้กับต้นไม้ เมื่อใส่กุญแจล็อคเสร็จเรียบร้อยก็โยนลูกกุญแจทิ้งไป คิดว่าคราวนี้คงต้องตายสมดังที่หวังแน่ ๆ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้สะเทือนถึง "เทพเจ้าไท่ไป๋ซิงจวิน" ที่อยู่เบื้องบนแปลงกายลงมาเป็นคนเก็บสมุนไพรและเดินมาตรงหน้าชิวฉางชุน พร้อมทั้งถามว่า "ท่านนักพรต ! ท่านนักพรต ! ท่านกระทำผิดอะไร ถึงต้องมัดตนเองกับต้นไม้ใหญ่ด้วย ?. ทีแรกชิวฉางชุนไม่คิดจะตอบ แต่เมื่อถูกถามหลายครั้งจึงตอบว่า "ท่านไม่ต้องมาสนใจเรื่องของข้าหรอก" ชายเก็บสมุนไพรกล่าวอีก "เรื่องในโลกเป็นเรืองชาวของโลกที่ต้องช่วยกันจะให้ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร ?. ท่านพูดออกมาเถอะ ! เผื่อข้าจะช่วยเหลือท่านได้" ชิวฉางชุนเห็นชายผู้นี้พูดอย่างมีเหตุผลจึงได้เล่าคำทำนายของหมอดูไซ่ม๋าอีให้ฟัง ชายเก็บสมุนไพรหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น พร้อมทั้งกล่าวว่า "ท่านช่างโง่จริง ๆ ! คิดว่าเรื่องใหญ่โตอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพียงความคิดที่ถูกมารผจญเพียงชั่ววูบเท่านั้นเอง ทำให้คิดผิดและหลงทางมาตลอด" ... จากนั้นจึงได้อธิบายหลักธรรมให้ชิวฉางชุนฟังว่า "รูปลักษณะเกิดจากจิตใจ จิตใจเปลี่ยนแปลง ชะตาชีวิตก็แปรเปลี่ยนได้" นักพรตชิวฉางชุนเมื่อได้ฟังดังนี้ ก็เปรียบเสมือนตื่นจากอวิชชารู้ว่าตนเองโง่เขลาจริง ๆ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักพรตชิวฉางชุนจึงได้มุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ฉุดช่วยกล่อมเกลาเวไนย นอกจากท่านจะสามารถเอาชนะชะตาลิขิตของรูปลักษณะ "งูคู่เฝ้าถ้ำ" ที่ถูกทำนายให้ต้องอดตายแล้ว ท่านยังได้เปลี่ยนแปลงชะตาของตนเองเป็นรูปลักษณะ "มังกรคู่ลูกแก้ว" ที่เป็นลักษณะของผู้ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ยิ่งกว่านั้นยังได้สำเร็จธรรม บรรลุมรรคผล เป็นมหาเทพอีก