collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: จิ่วหยังกวน สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ  (อ่าน 30052 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 5 

                    ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระหนาว

                             (หันฉือกวน)

                 วันที่  31  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ด้วยรักชีวิตเขา     จึงเฝ้าพร่ำ        คำเมตตา
สู่สัมมา                      สัมพุทธัง         อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา              ทุกโอกาส        คาดจำนง
ด้วยประสงค์               ถ่ายทอดให้      ได้บรรลุจริง

พระฯ จี้กง   :  บารมีธรรมระดับพระพุทธะอริยะเสมอด้วยฟ้าดิน ผู้บำเพ็ญจะยังไม่สมบูรณ์และบรรลุจริง หากไม่ผ่านจิ่วหยังกวน ฉะนั้น การที่เบื้องบนจัดตั้งจิ่วหยังกวนจึงมิใช่โหดร้าย แต่เพื่อส่งเสริมผู้บำเพ็ญ ให้ขัดเกลารัศมีญาณจนบรรลุจริงโดยสมบูรณ์ หากไม่ทำการทดสอบอย่างนี้ จะรู้ความเป็นจริงของการบำเพ็ญได้อย่างไร   ถึงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับวันนี้แล้ว ฉงซิวรีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เราเตรียมออกเดินทางกันเถอะ

ฉงซิว   :  ศิษย์น้อมรับพระบัญชา  ขอทูลถามพระอาจารย์ว่าเราได้ไปมาจิ่วหยังกวนหลายครั้งแล้ว แต่จิ่วหยังกวนตั้งอยู่ที่ไหน และผู้บำเพ็ญจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร ขอรับ

พระฯ จี้กง   :  เมื่อผู้บำเพ็ญดับขันธ์ลง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นั้นได้ถวายตัวเป็นศิษย์ก็จะมานำไปถอนบัญชีชื่อผู้ตายในยมโลก ตรวจสอบบาปบุญ หากบุญมากบาปน้อยก็จะถูกส่งขึ้นไปข้ามสะพานทองไม่ต้องรับโทษในนรก ที่สะพานทองจะมีเทวทูตที่ส่งไปประจำ คอยรับตัวแล้วนำส่งไปขัดเกลาที่จิ่วหยังกวน  จิ่วหยังกวนตั้งอยู่ในดินแดนตะวันตก ตรงทางแพร่งระหว่างสวรรค์กับนรกนั่นเอง

ฉงซิว   :  เทวทูตที่ประจำอยู่ที่สะพานทอง เบื้องบนได้จัดส่งลงมาอย่างนั้นหรือขอรับ   

พระฯ จี้กง   :  ไม่ใช่  จัดส่งมาจากตำหนักอนุโมทนาบุญ (เล่อซั่นถัง) 

ฉงซิว   :  ตำหนักอนุโมทนาบุญ ศิษย์คิดว่ามีแต่จิ่วหยังกวนเท่านั้น ไม่มีส่วนอื่น ๆ อีก

พระฯ จี้กง   :  ไม่เฉพาะเล่อซั่นถังเท่านั้น  ยังมีตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" (เจียซิวถัง)  อีกรวมสองตำหนัก

ฉงซิว   :  ทั้งสองตำหนักนี้รับผิดชอบภาระอะไรในจิ่วหยังกวนหรือขอรับ  วันหน้าเราจะไปเยี่ยมเยือนด้วยไหม

พระฯ จี้กง   :  ตำหนักอนุโมทนาบุญ ทำหน้าที่รายงานและนำส่งผู้บำเพ็ญที่ "ประจักษ์ธรรม" แล้ว และรอรับพุทธบุตรเดิมผู้บำเพ็ญไปรายงานตัว ณ ด่านจิ่วหยัง  ส่วนตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" เห็นชื่อก็รู้ความหมายว่า เป็นสถานที่ให้ผู้บำเพ็ญได้รับการอบรมอีก ต่อไปอาจารย์ก็จะต้องพาเจ้าไปที่นั่น รายละเอียดเจ้าจะรู้ได้เมื่อถึงเวลานั้น เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว เราไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว  ฉงซิวรีบลงมา  ข้างหน้าคือด่านที่สามของจิ่วหยังกวน มีชื่อว่า "ด่านสระหนาว"  พระองค์นายด่านกับบริวารคอยต้อนรับเราอยู่แล้วรีบเข้าไปคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวคารวะพระองค์นายด่านและท่านผู้คุมด่านสระหนาวทุกพระองค์  คืนนี้ ศิษย์ได้รับสนองพระโองการฯ ติดตามพระอาจารย์จี้กง
มาหาขัอมูลที่ด่านของพระองค์เพื่อสร้างหนังสือเตือนใจผู้บำเพ็ญ หวังว่าพระองค์ผู้อาวุโสได้โปรดแนะนำ

หมายเหตุ  :  ประจักษ์ธรรม  คือ ผู้บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม เมื่อทิ้งกายสังขารไปได้ประจักษ์ในหนทางแห่งการบรรลุฯ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 5 

                    ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระหนาว

                             (หันฉือกวน)

                 วันที่  31  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ด้วยรักชีวิตเขา     จึงเฝ้าพร่ำ        คำเมตตา
สู่สัมมา                      สัมพุทธัง         อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา              ทุกโอกาส        คาดจำนง
ด้วยประสงค์               ถ่ายทอดให้      ได้บรรลุจริง

พระฯ นายด่าน   :  ฉงซิวลุกขึ้นเถิด  ด่านของเราได้รับพระโองการจากพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าตำหนักฉงเซิงถังจะต้องรับสนองพระโองการมาหาข้อมูลที่จิ่วหยังกวน เพื่อสร้างหนังสือ ทางด่านของเราเฝ้ารอรับอยู่นานแล้ว พระพุทธะจี้กงและฉงซิว โปรดเข้านั่งพักในตำหนักสักครู่เถิด

พระฯ จี้กง   :  รบกวนแท้ ๆ อาตมาท่องเกือบทั่วแล้วทั้งสามโลก (เทวโลก  โลกมนุษย์  และยมโลก)   แต่ด่านจิ่วหยังนี้เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฉงซิวเรารีบเข้าไปเถิด

ฉงซิว   :  ขอรับ  สองข้างประตูพระตำหนักมีกลอนคู่อยู่บทหนึ่งว่า
        "เมื่อชีพยัง     ไม่ชั่งใจ     ในอัตตา
         ชีพอำลา       ไม่อาจผ่าน    ด่านสระหนาว" 

พระฯ นายด่าน   :  เชิญพระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดนั่ง เมื่อกี้ พระฯจี้กงบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มาด่านนี้ฟังดูขัด ๆ  ครั้งที่พระองค์ประจักษ์ธรรมก็ได้ผ่านการขัดเกลาจากจิ่วหยังกวนมาแล้วมิใช่หรือ จึงได้บรรลุมรรคผล

พระฯ จี้กง   :  ฮะ  ฮะ  ฮะ จะว่าไปก็ใช่ แต่ที่อาตมาว่าเป็นครั้งแรกนั้นหมายถึงครั้งแรกที่มาเก็บข้อมูล เกือบจะทุกแห่งในสามโลกนี้ อาตมาเคยพามือทรงเอกของพระตำหนักต่าง ๆ ในโลกมาท่องจนเกือบทั่วแล้ว มีแต่จิ่วหยังกวนเท่านั้นที่ไม่เคยมา

พระฯ นายด่าน   :  พระองค์พูดถูก หากมิใช่วาระที่โลกเป็นไปเช่นนี้ มีหรือที่เบื้องบนจะโปรดเปิดเผยให้รู้เห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้โดยสิ้นเชิง

พระฯ จี้กง   :  สมควรแก่เวลาแล้ว ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไแหาข้อมูลในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้บำเพ็ญเถิด

พระฯ นายด่าน   :  ขอน้อมรับ  บัญชาให้นายทะเบียนรีบนำพระฯ จี้กง พร้อมด้วยฉงซิวไปเยือนด่านย่อยของด่านสระหนาวทันที

นายทะเบียน   :  ผู้น้อยขอน้อมรับ ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว ที่นี่คือด่านย่อยของด่านสระหนาว ผู้คุมด่านรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว 

พระฯ ผู้คุม   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว มาเยือนสระของเรา

ฉงซิว   :  ที่นี่ไอเย็นแรงมาก มิน่าเล่าจึงได้ชื่อว่า "ด่านสระหนาว"  โอ้โฮ ในสระมีผู้คนมากมายถูกแช่แข็งอยู่ บางคนหนาวสั่นสะท้านน่าสงสาร บางคนหนาวจนหน้าเขียวแล้ว  เรียนถามพระฯ ผู้คุม ที่นี่มิใช่นรก ในสระล้วนแต่ผู้บำเพ็ญวิถีธรรมจริงทั้งนั้นมิใช่หรือ แต่เหตุใดจึงได้รับโทษหนักอย่างนี้

พระฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกให้มาสอบถามเองสักสองสามรายก็จะเข้าใจ  สามคนนั่นมานี่ รีบกราบรับพระบาทพระพุทธะจี้กง และคารวะต่อนักบุญฉงซิวมือทรงเอกจากพระตำหนักไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์เสีย  เสร็จแล้วให้เล่าความผิดของตนในระหว่างบำเพ็ญเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือบุญ เป็นข้อเตือนใจผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ว่าอย่าได้ทำผิดซ้ำรอยเช่นนี้ด้วย

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  รับบัญชา  น้อมกราบพระบาทพระพุทธะจี้กงและคารวะท่านนักบุญฉงซิว

ฉงซิว   :  มิกล้ารับคารวะ  ข้าพเจ้าผู้น้อยเป็นมือทรงเอกแห่งพระตำหนักไถจงฉงเซิงในโลกมนุษย์ รับพระบัญชาให้มาหาข้อมูลที่นี่ ดูท่านทั้งหลายล้วนเป็นผู้บำเพ็ญดี เหตุใดจึงถูกกักขังให้รับทุกข์อยู่ในด่านสระหนาวนี้เล่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 5 

                    ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระหนาว

                             (หันฉือกวน)

                 วันที่  31  ตุลาคม  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ด้วยรักชีวิตเขา     จึงเฝ้าพร่ำ        คำเมตตา
สู่สัมมา                      สัมพุทธัง         อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา              ทุกโอกาส        คาดจำนง
ด้วยประสงค์               ถ่ายทอดให้      ได้บรรลุจริง

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  น่าละอายใจจริง ๆ ฉันเป็นถึงเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ก่อนหน้านั้นได้สร้างตำหนักภายในบ้านไว้ให้ผู้คนมากราบไหว้บูชา ต่อมาผู้มีศรัทธามากขึ้นทุกวัน สถานที่ในบ้านเล็กเกินไป จึงเสนอให้ซื้อที่สร้างตำหนักใหม่ ด้วยเหตุที่ฉันมีความจริงใจ ไม่นานต่อมาเทวสถานใหญ่ก็ก่อตั้งได้สำเร็จ จากนั้น เหลาเทวทายาทหญิง ชาย (หลวนเซิง) ก็เห็นว่าควรจะอารธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรง ทุกคนจึงพร้อมใจกันกราบทูลความประสงค์ต่อเบื้องบนทักษิณาลัย ขอให้มีการประทับทรงเพื่อฉุดจูงเวไนยสัตว์ ไม่นานต่อมา เบื้องบนทักษิณาลัยก็ประทานอนุญาต การประทับทรงก็ได้เริ่มขึ้นอย่างราบรื่นและเฟื่องฟูยิ่งขึ้นทุกวัน เหตุนี้ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกทะนงตน ฉันปั้นสีหน้าเคร่งขรึมต่อเทวทายาททุกคนที่เข้ามาในตำหนักฯ ทำให้ผู้คนเกรงขามไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หากเทวทายาทคนใดฐานะดี ฉันก็สนิทชิดชอบด้วย จิตใจที่แบ่งแยกระหว่างคนร่ำรวยสูงศักดิ์กับคนจนต่ำต้อย ก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น ฉันได้สร้างบุญไว้มาก เมื่อตายไปกระจกส่องกรรมจึงส่องไม่เห็น พญายมส่งให้ฉันขึ้นสะพานทอง ฉันเข้าใจว่าจากนี้ไปหมดทุกข์แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกนำมาที่สระหนาวของจิ่วหยังกวนนี่ พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันรังเกียจคนจน รักคนรวย ผู้บำเพ็ญที่มีจิตใจอย่างนี้จะต้องนำมาสำนึกผิดด้วยการแช่น้ำแข็ง
         ฉันจึงถูกตัดสินให้ลงสระหนึ่งปี มันทุกข์ทรมานจนบอกไม่ถูก ฉันพยายามเรียกร้องต่อพระองค์นายด่านว่า  ฉันมีบุญมาก น่าจะหักลบกับความผิดได้ พระองค์ว่าจิตใจของฉันไม่เรียบเสมอกัน จิตปุถุชนยังไม่หมดไป ยากที่จะให้เข้าสู่ดินแดนพระอริยะได้ พระองค์สอบสวนแต่ความผิดแต่ไม่พิจารณาความชอบ เพียงแต่ให้ปรับใจกลับตัวใหม่ ก็จะบรรลุดินแดนสุขาวดีได้ตามบุญกุศลที่ได้สร้างมา ถึงตอนนี้สำนึกเสียใจก็สายเสียแล้ว

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ให้ความกระจ่าง เชื่อว่าประสบการณ์ของท่านจะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับผู้บำเพ็ญรุ่นหลังต่อไป  เรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ดูท่าทางของท่านเหมือนพระเณรผู้ใหญ่ เหตุใดจึงได้รับโทษทนทุกข์ในด่านสระหนวนี้ด้วย

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง เป็นเพราะมีทิฏฐิมากไม่สำนึกรู้ในความเป็นจริงว่า ศาสนาใหญ่ทั้งสามล้วนกำเนิดเดียวกัน ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงศาสนาอื่น อาตมาก็จะดูแคลนว่าเป็นมิจฉาศาสตร์ หากใครเล่าว่าตำหนักพระที่ไหนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงประทานพระโอวาทได้ลึกซึ้งก็จะปรามาสว่าเป็นพวกติดรูปลักษณ์เข้าพวกมาร โดยที่ตนเองก็ไม่เคยศึกษาพระโอวาทในหนังสือบุญเหล่านั้น ตั้งหน้าแต่จะกีดกันศิษยานุศิษย์ไม่ให้เลื่อมใส เมื่อมีชีวิตอยู่อาตมาเป็นพระผู้ใหญ่ ด้วยเหตุที่ยึดมั่นในตัวอักษรของคัมภีร์วัชรญาณฯ (จินกังจิง) ตีความผิดว่ารูปธรรมทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งสมมุติ โดยไม่รู้ว่าที่ว่าสมมุตินั้นหมายถึงสรรพรูปนามทั้งหลายที่มีอยู่ในสากล แต่มิใช่หมายถึงสัจธรรมคำสอนของศาสนา
        เมื่อทิ้งกายสังขาร ก็ได้ท่องเที่ยวไปทั่วแดนนรก พอพญายมส่งข้ามสะพานทอง อาตมาก็กระหยิ่มใจคิดว่า ได้บรรลุสู่พุทธเกษตรแน่แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาด่านสระหนาวเช่นนี้  พระองค์นายด่านบอกว่า อาตมาได้รับการอุปถัมภ์จากสาธุชนมาชั่วชีวิต แต่มิได้สำนึกรู้อย่างแท้จริงว่า ศาสนาก็คือสิ่งที่เบื้องบนได้อาศัยรูปนามต่าง ๆ เป็นสมมุติฐานเพื่อกล่อมเกลาฉุดช่วยชาวโลก  อาตมามีทิฏฐิเป็นอารมณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้ผู้บำเพ็ญอาศัยรูปนามสมมุติบำเพ็ญวิถีธรรมจริงแต่มิใช่ให้ยึดถือเป็นอารมณ์
        ทุกศาสนาล้วนแต่ได้รับสนองพระโองการฯ ลงมาฉุดช่วยชาวโลกตามกาลกำหนดทั้งนั้น อาตมาเองแม้จะมีกุศลผลบุญอยู่ แต่กรรมปากไม่เคยลดน้อยเลย อารมณ์อย่างนี้ก็ยากจะบรรลุได้ จึงต้องมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่ บัดนี้ได้รู้แล้วว่า ที่เคยคิดนั้นผิด แต่ก็สายเสียแล้ว พระองค์นายด่านตัดสินให้อาตมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่หนึ่งปี ให้หนาวจนเข้ากระดูกอยู่ในสระนี้ทุกวัน มันทรมานจนบอกไม่ถูก ถ้าพะวงอยู่กับความหนาวจนลืมสำนึกผิดก็จะยิ่งหนาวจัด แต่ถ้าหากสำนึกได้แม้แต่น้อยความหนาวก็ลดลง แปลกแท้ ๆ  จึงขอเตือนสงฆ์สาวกทั้งหลาย ขอให้ร่วมมือร่วมใจกับศาสนาอื่นกล่อมเกลาชาวโลก อย่ามีทิฏฐิแบ่งเขาแบ่งเรา วันข้างหน้าจะได้ไม่ซ้ำรอยอาตมา

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความกระจ่าง สำหรับสาวกของศาสนาพุทธที่รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาอื่น ๆ ศิษย์ก็เคยประสบมาทำให้ไม่ใคร่อยากไปวัด หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะเตือนใจสงฆ์สาวกได้บ้าง  เรียนถามท่านอาวุโสท่านที่สาม ท่านห่มผ้าอย่างนี้เห็นทีจะเป็นแม่ภิกษุณี

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ท่านคิดไม่ผิด โอ้ย หนาวเหลือเกิน ขอบคุณท่านและพระพุทธะจี้กงได้โปรดมาเยือน ทำให้ฉันพ้นออกมาจากสระน้ำแข็งได้ชั่วขณะ

ฉงซิว   :  ขอได้โปรดเล่าการบำเพ็ญเมื่อครั้งมีชีวิต เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือเตือนใจชาวโลกและผู้ที่กำลังบำเพ็ญอยู่ในขณะนี้

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ฉันปฏิบัติบำเพ็ญในเพศฆราวาส ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่วัด ๆ หนึ่งด้วยความศรัทธายิ่ง อาจารย์บอกว่าพระพุทธองค์ของเราใหญ่ยิ่งที่สุดแล้ว ไม่ควรไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ อีก มิฉะนั้นจะถูกคนหัวเราะเยาะ ฉันจึงเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นอยู่ในระดับต่ำ เห็นว่าพระองค์เหล่านั้นไม่ได้บรรลุจริง มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น ที่เป็นพระศาสดาสูงสุดพระองค์เดียว เคราะห์ดีที่จิตใจของฉันมีเพียงจุดนี้เท่านั้นที่ยังยึดมั่นอยู่ ด้วยความศรัทธาในการบำเพ็ญ เมื่อตายลงจึงได้ไปลบชื่อออกจากบัญชียมโลก พญายมส่งฉันข้ามสะพานทอง ฉันสำคัญญว่าตนเองได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกส่งมาที่ด่านสระหนาวของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า จิตของฉันไม่สำนึกจริง ชาวโลกชอบก่อเหตุแห่งกรรม พระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นล้วนเมตตาไม่แบ่งชั้น แต่คนในโลกกลับจัดการแบ่งให้สูงต่ำเช่นนี้ ฉันจึงถูกตัดสินให้เข้าสำนึกผิดในด่านสระหนาวสามเดือน  บัดนี้เสียใจก็สายเสียแล้ว หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เปิดใจ อย่ามีทิฏฐิยึดมั่น วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องรับทุกข์อย่างนี้

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณที่ท่านได้โปรดให้ความกระจ่าง หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะได้รับการสะท้อนตอบในเร็ววัน

พระฯ ผู้คุม   :  ผู้บำเพ็ญทั้งสามจบคำให้การแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กง อำลาท่านนักบุญฉงซิว แล้วกลับเข้าสำนึกผิดในสระต่อไป

พระฯ จี้กง   :  ขอบพระคุณท่านผู้คุม ที่เหนื่อยเพื่อเราในวันนี้ หมดเวลาแล้วเราขออำลา  ช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนเราด้วย ฉงซิวรีบออกจากด่านขึ้นหลังนกเผิงใหญ่

พระฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระฯ จี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิวกลับพระตำหนัก

ฉงซิว   :  ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดนำกลับ

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงตำหนักฉงเซิง วิญญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                 จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ ศิษย์เห็นพระองค์ต้องไปอรรถาธรรมทุกหนแห่ง เหนื่อยยากนักหนา ล้วนทำเพื่อเวไนยสัตว์ พวกเราเป็นหนี้พระองค์มากมายเหลือเกิน

พระ ฯ จี้กง   :  เฮ้ย ฉงซิวพูดเรื่องนี้ทำไม ก็ใครใช้ให้คนหลงงมงายกันอย่างนี้ล่ะ อาจารย์ทนดูเหล่าพุทธะ ทนทุกข์ตกต่ำ เวียนว่ายอยู่ในโลกีย์วิสัยไม่ได้จึงต้องมาเคี่ยวกันหน่อย

ฉงซิว   :  กำหนดกาลนี้พระอาจารย์รับสนองพระโองการ ศิษย์ทั้งหลายจึงโชคดีได้รับการฉุดช่วยจากพระอาจารย์ ในขณะที่พระองค์กำลังอรรถาธรรมอยู่ที่นี่ พร้อมกันนั้น พระองค์จะโปรดสัตว์ในที่อีกแห่งหนึ่งก็ได้ใช่ไหมขอรับ

พระฯ จี้กง   :  ใช่แล้ว  "ในแม่น้ำพันสายมีจันทณ์ฉายอยู่พร้อมกัน"  ขณะนี้แม้อาจารย์จะกำลังนำเจ้าไปหาข้อมูลในจิ่วหยังกวน แต่ก็สามารถประทับทรงให้โอวาทในที่ต่าง ๆ ได้พร้อมกัน

ฉงซิว   :  พระอาจารย์สูงด้วยพระบุญญาธิการจริง ๆ  มิน่าเล่าชาวโลกจึงยกย่องพระองค์ว่า  "พระพุทธะเดินดิน" 

พระฯ จี้กง   :  ชาวโลกยัดเยียดสมญานี้ให้ จนอาจารย์อยู่นิ่งไม่ได้ต้องออกวิ่งเต้นโปรดสัตว์ไปทั่ว

ฉงซิว   :  พระอาจารย์มีบุญญาธิการและอิทธิปาฏิหาริย์ยิ่งนัก จนชาวโลกต้องถวายสมญาแด่พระองค์อย่างนี้ต่างหาก

พระฯ จี้กง   :  ค่ำแล้วเราไปกันเถอะ รีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว เชิญพระอาจารย์

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว ฉงซิวรีบลงมา ข้างหน้าคือด่านสระร้อน ด่านที่สี่ของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านคอยเราอยู่ที่นั้นแล้ว เข้าไปกราบคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวกราบเฝ้าพระองค์นายด่านสระร้อน และเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่ด่านของพระองค์ขอได้โปรดอภัย

พระฯ นายด่าน   :  ฉงซิวไม่ต้องคารวะ ลุกขึ้นเถิด  พูดว่ารบกวนไปใย เจ้ารับสนองพระโองการสร้างหนังสือบุญ เราทั้งหลายจะต้องร่วมมือจึงจะถูก นิมนต์พระฯ จี้กง กับฉงซิวเข้าไปพักผ่อนในตำหนักสักครู่ก่อน

พระฯ จี้กง   :  ดี เข้าไปนั่งข้างใน ฉงซิวรีบเข้าไปด้วยกัน

ฉงซิว   :  ขอรับ สองข้างประตูตำหนัก มีกลอนคู่เขียนไว้ว่า 
             บรรลุเซียนพุทธะใครจะไม่ผ่านทางนี้
             พระวิสุทธีอริยปราชญ์ไม่คลาดผ่านทวารนี้

พระฯ นายด่าน   :  นิมนต์พระพุทธะจี้กง กับฉงซิวโปรดนั่ง  พนักงานข้างในยกน้ำชามาถวาย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

พระ ฯ จี้กง   :  พระฯ นายด่านเกรงใจไปแล้ว คืนนี้อาตมาพาฉงซิวมาที่ด่านของท่าน ขอท่านได้โปรดแนนะนำ

พระฯ นายด่าน   :  พระฯ จี้กงช่างถ่อมพระองค์ ทางด่านของข้าพเจ้าจะเรียนให้ทราบทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือ ฉงซิว  มีปัญหาอะไรจะถามไหม

ฉงซิว   :  ทูลถามพระองค์นายด่าน เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "ด่านสระร้อน" 

พระฯ ผู้คุม   :  ในสังกัดด่านนี้ยังมีด่านย่อยอีกเก้าด่าน  แต่ละด่านมีพระผู้คุมหนึ่งท่าน ภายในด่านร้อนระอุ โดยเฉพาะด่านย่อยที่เก้าจะร้อนเท่ากับไอร้อนในหม้อหุงข้าว เพื่อเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ เมื่อมีชีวิต แม้เขาจะเดินอยู่บนเส้นทางอริยะ แต่มักไม่พ้นผิด ผิดแล้วรู้ตัวรีบเปลี่ยนแปลง ชื่อที่จารึกอยู่กับด่านสระร้อนก็จะถูกลบออกไปได้เอง

ฉงซิว   :  เป็นเช่นนี้เอง ขอบพระคุณพระองค์นายด่านที่โปรดประทานความกระจ่าง

พระ ฯ จี้กง   :  ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไปเก็บข้อมูลในสถานที่จริงด้วย

พระฯ นายด่าน   :  น้อมรับ ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงและฉงซิวไปหาข้อมูลที่ด่านสระร้อน เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือทันที ...

นายทะเบียน   :  ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา  เชิญพระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว

พระฯ ผู้คุม   :  ขอต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิวมาเยือนด่านของเรา

พระฯ จี้กง  :  มิต้องคารวะ รีบพาเขาเข้าไปเถิด

พระฯ ผู้คุม   :  ขอน้อมรับ เชิญตามข้าพเจ้ามาได้

ฉงซิว   :  เอ ทำไมไม่เห็นมีอะไร แต่ผู้บำเพ็ญเหงื่อท่วมกันทุกคน บางคนอย่างกับร้อนจนหน้าแดงก่ำแต่ไม่เห็นเครื่องทำความร้อนอะไรที่ไหนเลย

พระฯ ผู้คุม   :  นักบุญฉงซิว ขณะนี้ท่านไม่มีกรรมนี้ จึงไม่อาจรับรู้ได้ว่า เขาเหล่านั้นกำลังถูกเผาผลาญด้วย เพลิงไฟของฟ้าดินที่เกิดขึ้นในกายตนตาม "บาปเวรที่เกิดแก่จิต" 

ฉงซิว   :  "เพลิงไฟของฟ้าดิน"  แต่ศิษย์ไม่เห็นเพลิงไฟมาจากไหนเลย

พระฯ ผู้คุม   :  เพลิงไฟของฟ้าดินก็คือ เพลิงบาปที่เกิดขึ้นในแต่ละตน  เป็นอากาศธาตุที่มองไม่เห็นรูปลักษณ์

ฉงซิว   :  ถ้าเช่นนั้น เพลิงบาปนั้นเมื่อไรจะมอดดับเล่าขอรับ เมื่อมองไม่เห็นแล้วจะดับได้อย่างไร ศิษย์ว่าอย่างนี้หน่วยดับเพลิงโลกก็ทำอะไรไม่ได้

พระฯ ผู้คุม   :  นักบุญฉงซิวพูดให้ขบขัน เพลิงไฟนี้เกิดจากบาปเวรก็ดับได้เมื่อบาปเวรได้ลบล้างไปน่ะซิ

ฉงซิว   :  แล้วจะดับได้เมื่อไรเล่าขอรับ


พระ ฯ ผู้คุม   :  ผู้บำเพ็ญทุกคน หากสำนึกผิดได้อย่างจริงใจ แสงญาณก็จะปรากฏขึ้นใหม่อีก เพลิงบาปก็จะดับไป ทำให้รู้ได้ว่าเขาได้สำนึกผิดแล้ว ผู้คุมก็จะรายงานต่อพระองค์นายด่านให้พ้นด่านนี้ไปได้

ฉงซิว   :  ขอกราบเรียนถามอีกว่า ผู้ที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้ มีที่ทนไม่ไหวบ้างไหม ศิษย์หมายถึงว่าถ้าเขาทนไม่ไหวจะรู้ได้อย่างไรและจัดการอย่างไร

พระ ฯ ผู้คุม   :  นักบุญฉงซิวถามได้เหมาะ  ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้จะผ่านพ้นไปได้ทุกคน บางคนก็ทนร้อนไม่ไหวจน  "แสงแตก" คือแสงญาณแตกกระจายดับไปหมด อย่างนี้เราก็จะส่งเขาลงไปในนรกให้เข้าวงเวียนกรรมเกิดเป็นคนบำเพ็ญใหม่

ฉงซิว   :  อย่างนี้นั่นเอง ศิษย์เข้าใจแล้ว

พระฯ ผู้คุม   :  ข้าพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญบางคนมาให้ท่านซักถามจะได้เข้าใจดียิ่งขึ้น  เจ้าทั้งสามมากราบคารวะพระพุทธะจี้กงและคารวะนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักพระไถจงฉงเซิง  พร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญและเหตุที่ถูกตัดสินให้เข้ามารับการเคี่ยวกรำในด่านสระร้อนนี้โดยละเอียดด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค.   :  กราบคารวะพระพุทธะจี้กง  คารวะนักบุญฉงซิว เอ๊ะ คนในโลกมนุษย์มาถึงที่นี่ได้อย่างไร

ฉงซิง   :  ท่านอาวุโสทั้งสามอย่าได้แปลกใจไปเลย ผู้น้อยกับพระอาจารย์จี้กงได้รับสนองพระโองการให้มาบันทึกเรื่องราวในด่านจิ่วหยัง เพื่อสร้างหนังสือบุญเอาไว้เตือนใจชาวโลก เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ ดูท่านร้อนมากเหลือเกิน

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ใช่ ร้อนมาก จนเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว

ฉงซิว   :  เรียนท่านผู้คุม จะให้ท่านทั้งสามนี้พักโทษจากไฟร้อนชั่วคราวได้ไหมขอรับ เพื่อจะได้เล่าเรื่องราวได้สบายหน่อย

ผู้ควบคุม   :  ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจผ่อนผันให้ได้ ด่านนี้สร้างขึ้นจากธรรมชาติของฟ้าดิน ผู้มีบาปเวรกรณีย์นี้ติดตัวเมื่อมาถึงที่นี่ก็จะร้อนขึ้นมาเอง คนที่ไม่มีบาปเวรนี้จะไม่รู้สึก ข้าพเจ้าได้แต่รับสนองพระบัญชาควบคุมดูแลผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำ แต่ไม่สามารถจะทำให้เขาพักการเคี่ยวกรำจากเพลิงบาปของเขาเองได้

พระฯ จี้กง   :  ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดูฤทธิ์ของอาตมาซิ โอมมานิปามิ ฮง เพี้ยง

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ขอขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง เราคนเขลาทั้งสามรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาฉับพลันทีเดียว

พระฯ ผู้คุม   :  อิทธิฤทธิ์ของพระพุทธะจี้กงสูงส่งเสมอ แค่ขยับพัดนิดเดียวเท่านั้นก็ยิ้มระรื่นกันได้แล้ว

ฉงซิว   :  อาจารย์ท่านนี้ได้โปรดเล่าความเป็นมาเถิด

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ได้  เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง ได้สร้างบุญฉุดช่วยคนและบำเพ็ญดีมาก่อน พอตายไปกลับถูกพามารับโทษที่นี่ไม่น่าเลย โอย  (เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากความร้อนที่กลับเผาไหม้ผู้บำเพ็ญรายนี้อีก) 

พระฯ ผู้คุม   :  จนบัดนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่สำนึก มิน่าเล่าเพลิงบาปจึงมาถึงตัวอีก หากไม่สำนึกผิดที่แล้วมาถึงขั้นแสงญาณแตกกระจายเจ้าจะต้องถูกส่งลงนรกไปเข้าวงเวียนเกิดตายอีก ถึงเมื่อนั้นสำนึกก็สายเสียแล้ว

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  โอย ร้อน ร้อน ร้อน พระพุทธะจี้กงได้โปรดช่วยด้วย

พระฯ จี้กง   :  สร้างกรรมเองโทษใครไม่ได้ เพื่อเห็นแก่การสร้างหนังสือจะช่วยเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  เฮ้อ  เย็นสบายแล้ว ๆ  ขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง

พระฯ ผู้คุม   :  ยังไม่รีบเล่าอีก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  จะเล่าแล้วขอรับ
        ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระ (ถังจู่) ตำหนักหนึ่ง เดิมทีทำการค้า ต่อมาได้รับพระโองการจากพระองค์เสวียนเทียนซั่งตี้ (ตี้เอี่ยกงหรือตั่วเหล่าเอี้ย) อยากให้ลูกศิษย์สร้างตำหนักพระเพื่อพระองค์จะแสดงบุญญาภินิหาริย์กล่อมเกลาชาวโลก ดังนั้น ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ ฉันจึงได้เปลี่ยนแปลงร้านค้าของตนให้เป็นตำหนักพระฯ   พระองค์เสวียนเทียนซั่งตี้ก็ได้ปรากฏบุญญาธิการช่วยผู้คนได้มากมาย ฉันจึงสนองพระบัญชาทำหน้าที่เจ้าตำหนักพระ อีกทั้งเป็นมือทรงด้วย  ฉันใฝ่ธรรมและฉุดช่วยผู้คนไว้ไม่น้อย เทวบุตร (สาธุชนที่ขึ้นต่อตำหนักพระเทวสถาน) มีมากขึ้นทุก ๆ วัน  แต่ด้วยนิสัยมุทะลุชอบใช้อารมณ์รุนแรงบ่อย ๆ  ทำให้เทวบุตรของตำหนักพระค่อย ๆ หายหน้าไป แต่เนื่องด้วยมีผู้เข้าออกกันมาก ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจ
        ฉันทำหน้าที่มือทรงของพระองค์ตี้เอี่ยกงอยู่ถึงยี่สิบปี ในระหว่างนั้นฉันมีความเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา ไม่โลภในเงินทองแต่โทสะแรงมากและไม่ยอมให้ใครติติง พอตายไป พญายมยกย่องว่าฉันเคยฉุดช่วยคนให้บำเพ็ญถือเป็นบุญใหญ่ จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง  ฉันดีใจว่าจะได้ท่องสวรรค์ให้หรรษากันคราวนี้ ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่สระร้อนนี่ จึงขัดใจมาก คิดว่าตนเองอนุเคราะห์ชาวโลกมายี่สิบปีเพื่อสัมปทานธรรม อีกทั้งไม่เคยโลภเงินทองของตำหนักพระ ฉันทำเพื่อเป็นปากเสียงแทนฟ้าเบื้องบนโดยแท้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องตกทุกข์ทรมานอย่างนี้

พระฯ จี้กง   :  เอาละ อย่าคับอกคับใจไปเลย การจะบรรลุจริงนั้นจะต้องกำจัดนิสัยปุถุชนให้หมดไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นไร ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงจะต้องถูกส่งไปเวียนว่ายต่อในนรก  ส่วนบุญก็จะเป็นเพียงวาสนาได้เชยชม แล้วไปเกิดใหม่ในชีววิถีหกด้วยชีวประเภทไหนก้ไม่รู้  อาตมาขอเตือนให้ท่านละอารมณ์เสีย จะได้เสวยสุขบนวิมานนับหมื่นปี ไม่ต้องทุกข์ยากกับการเวียนว่ายต่อไป ไม่วิเศษกว่าหรือ

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  ขอบพระคุณพระพุทธจี้กงได้โปรดชี้นำ ศิษย์จะจดจำไว้

ฉงซิว   :  ผู้น้อยก็ขอภาวนาให้ท่านพ้นจากด่านได้ในเร็ววัน  ขอเรียนถามอาจารย์ที่สวมชุดพิธีกรรมท่านนี้ ท่านคงเป็นผู้อาวุโสในตำหนักพระกระมัง เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 6 

                    ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านสระร้อน

                             (สู่ฉือกวน)

                 วันที่  1  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา     พาพ้นความฝันหนันกัว  (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว                    พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ            ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย        ให้ป่วยการ

ผู้บำเพ็ญ ข.   :  ใช่แล้ว ...  พูดแล้วมันน่าอับอาย ครั้งมีชีวิจฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง อีกทั้งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง  ได้สนองพระโองการจัดบัลลังก์ทรงเพื่อสิ่งศักด์สิทธิ์ได้ประทับประทานพระโองวาทกล่อมเกลาสาธุชน ฉันทำหน้าที่เป็นมือทรง มีสาธุชนศรัทธากันมาก จากนั้นฉันก้เริ่มลำพองตน สำคัญว่าเบื้องบนได้อาศัยความสามารถของฉันจึงเกิดคุณประโยชน์เช่นนี้ได้  ฉันไม่รู้ตัวว่าโอหังอย่างนี้ แม้มีใครตักเตือนด้วยอาการเกรงใจฉันก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังเชิดหน้าบอกว่า "ฉันกล่อมเกลาชาวโลกแทนเบื้องบน" 
        พอตาย ฉันก็ถูกรับตัวไปถอนชื่อจากบัญชียมโลก พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันยิ่งคึกคักมาก ขึ้น ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาที่ด่านจิ่วหยัง พระองค์นายด่านบอกว่า  "ผู้บำเพ็ญมีจิตใจลำพอง ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  เสียแรงที่พระอริยปราชญ์ได้โปรดอบรมสั่งสอน"  จึงตัดสินให้ฉันเข้าสำนึกผิดในด่านสระร้อนหนึ่งปี ไม่คิดว่าพอเข้ามาถึง ก็เหมือนตกอยู่ในหม้อไฟใหญ่ร้อนจนตาย
        ขณะที่เหงื่อตกพลั่ก ๆ นั้น หากเกิดจิตลำพองเหมือนเมื่อมีชีวิตอยู่ ตรงหน้าก็จะเกิดภาพชั่วร้าย ที่ไม่กล้าคิดว่านั่นคือตัวเอง  ละอายต่อพระพุทธะอริยเจ้าที่พระองค์อุตส่าห์กล่อมเกลาเหลือเกิน  เคราะห์ดีที่เคยสร้างตำหนักพระ และอรรถาธรรมเป็นผลบุญไว้บ้าง จึงได้พ้นจากการถูกทรมานในนรก แต่ถ้าจะก้าวสู่แดนวิมุติ ยังจะต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่ไปก่อน  จึงหวังว่าเพื่อนผู้บำเพ็ญในโลก จงอย่าเอาเยื่องอย่างฉัน พึงรู้ว่าเบื้องบนอาศัยคนช่วยแพร่ธรรม และยิ่งจะต้องรู้ว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนร่วมกันทำจึงเป็นงานธรรม  ลำพังคนอย่างเดียว ไม่มีน้ำหนักเท่าใดเลย"

ฉงซิว   :  ขอบคุณท่าน หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้บำเพ็ญในโลกได้ และขอให้ท่านพ้นจากด่านในเร็ววัน   ขอเรียนถามผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง ท่านก็คงเป็นผู้รับผิดชอบตำหนักพระแห่งใดคนหนึ่งกระมัง

ผู้บำเพ็ญ ค.   :  ใช่  ฉันเป็นศิษย์ของพระอริยมาตานภาลัย (เจ้าแม่เทียนซั่งเซิ่งหมู่  เป็นพระองค์หนึ่งที่รักษาการแทนเจ้าแม่ทับทิม) ด้วยบุญบันดาล ฉันได้สร้างศาลเจ้าแม่ทับทิมไว้ให้สาธุชนกราบไหว้ ตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นมือทรงของพระองค์ด้วย  จิตใจของฉันมุ่งแต่จะฉุดช่วยชาวโลกโดยไม่มีอคติแม้แต่น้อย ฉะนั้นเมื่อสร้างศาลจึงมีสาธุชนมาร่วมบุญมากมาย งานบุญก็กว้างขวางยิ่งขึ้นทุกวัน  ฉันไม่โลภ และมีจิตใจที่เที่ยงตรง มุ่งช่วยคนทั้งหลาย แต่อารมณ์ร้อนแรง สานุศิษย์ที่ขึ้นอยู่กับศาลนี้จึงต้องพากันหลีกหนี ไปตั้งศาลใหม่ให้สาธุชนกราบไหว้กัน  ฉันโกรธมาก ถือว่าพวกเขาทรยศต่อฉัน จึงเกิดริษยาหาทางโจมตีทุกวิถีทาง กล่าวหาว่าพวกเขาสร้างศาลเพื่อหวังเอาเงินเข้าพกของตัวเอง
       ฉันหาโอกาสกล่าวร้ายพวกเขาเสมอ จนกระทั่งเมื่ออายุได้  50 ปี  ฉันก็ตายด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก  วิญญาณได้ลงไปลบชื่อจากบัญชียมโลก พญายมให้ส่งฉันข้ามสะพานทอง  ฉันมั่นใจว่าจะได้กราบเฝ้าเง๊กเซียนฮ่องเต้แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาเคี่ยวกรำที่ด่านจิ่วหยัง ฉันไม่เคยได้ยินชื่อด่านนี้มาก่อนเลยขณะมีชีวิต  เมื่อมาถึง  พระองค์นายด่านจึงได้บอกว่า ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ พระองค์ว่า ฉันมีจิตริษยามาก ไม่เข้าใจว่าทุกคนทำหน้าที่ประกาศวิถีธรรมได้ ต่างฉุดช่วยผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับตนมา เป็นงานของชาวโลกที่ทุกคนทำได้ ไม่ควรคิดริษยา จึงตัดสินใจให้ฉันเข้าสำนึกผิดในด่านสระร้อนหนึ่งปี  บัดนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจงอย่าเอาเยี่ยงอย่างฉัน จะได้ไม่ต้องมาร้องโอดโอยในด่านจิ่วหยัง เพราะเมื่อนั้นจะไม่ทันการ

พระฯ ผู้คุม   :  ทั้งสามเล่าจบแล้ว กราบลาพระอาจารย์จี้กงกับนักบุญฉงซิวได้

ผู้บำเพ็ญ ก.   :  กุศลที่เราได้เล่าเรื่องของตัวเองเพื่อพิมพ์หนังสือจะมีผลลดหย่อนกำหนดโทษได้ไหม

พระ ฯ  ผู้คุม   :  ในขณะที่เล่า เจ้าได้เย็นสบายไปพักใหญ่ ถือเป็นความกรุณาแล้ว อย่าได้ร้องขอวุ่นวาย แม้ได้ลดหย่อนแต่เมื่อนั้นจิตของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงก็จะถูกเคี่ยวกรำต่อไป  จงสงบใจกลับเข้าไปสำนึกจะเหมาะกว่า

พระ ฯ จี้กง   :  ถูกต้อง ต่างคนต่างบำเพ็ญ ต่างคนต่างบรรลุ การสำนึกผิดก็เหมือนกัน ใครแก้ไขได้ก่อน ก็ผ่านด่านไป ขอจากใครไม่สู้ขอกับตนเอง 

ฉงซิว   :  หวังว่าท่านจะได้พ้นด่านในเร็ววัน  ผู้น้อยขอภาวนา

พระ ฯ จี้กง   :  วันนี้ดึกมากแล้ว เรารีบกลับตำหหนัก ฯ กันเถิด  ขอท่านผู้คุมได้ขอบพระคุณนายด่านแทนเราด้วย เราขอลากลับ

พระ ฯ ผู้คุม   :  กราบส่งพระ ฯจี้กง  ส่งนักบุญฉงซิวคืนตำหนัก ฯ 

พระ ฯ จี้กง   :  นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไป เราไปกันได้แล้ว

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดออกเดินทาง

พระ ฯ จี้กง   :  หลับตา ... ไปได้ ...  ฉงซิวได้กลับถึงตำหนัก ฯ วิญญาณกลับคืนเข้าร่างดังเดิม 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

พระ ฯ จี้กง   :  ทุกคนรู้ว่าศึกษาธรรมเป็นเรื่องดี แต่ก็พาตัวให้พ้นจากวิสัยโลกีย์กันได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเซียนได้แหละดี แต่จะให้ปลงใจไม่ให้มีอารมณ์รักใคร่ผูกพันก็ทำไม่ได้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเองก็เถอะ บางคนยังตัดเรื่อง สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร ลาภสักการะไม่ได้เลย ยิ่งความผูกพันกับคนรักสนิทลูกเต้าแล้ว ยิ่งตัดไม่ขาด เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่ของผู้บำเพ็ญ

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ขอรับ ฟังพระองค์พูดแล้วขัด ๆ พิกล

พระฯ จี้กง   :  ขัดตรงไหน

ฉงซิว   :  พระองค์บอกว่าพ้นจากโลกีย์วิสัยได้ยากเช่นเหล้า ... พระอาจารย์บางีก็ดื่มเหล้าไม่ใช่หรือขอรับ แม้แต่เทวสถานสงเคราะห์บางแห่ง เมื่อพระอาจารย์ประัทับทรงลงก็ยังมีการดื่มด้วยมิใช่หรือขอรับ

พระฯ จี้กง   :  เห็นทีสัญญลักษณ์นี้จะติดตรึงอยู่ในใจของผู้คนเสียแล้ว จะกลับตัวก็คงยาก อาจารย์เพียงแต่จะแสดงบุญญาภินิหาริย์ในบางโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่ติดในน้ำจัณฑ์ หวังว่าุกคนคงเข้าใจ  แล้วยังไงอีก

ฉงซิว   :  พระอาจารย์ว่าความผูกพันเป็นอุปสรรคใหญ่ของการบำเพ็ญ บัดนี้วิถีธรรมถ่ายทอดสู่ครัวเรือน ให้เอาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเป็นบรรทัดฐานของการบำเพ็ญิใช่หรือ ถ้าตัดขาดควาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวแล้วจะบรรลุได้อย่างไร

พระ ฯ จี้กง   :  ฉงซิวเอ๊ย อย่าชอนเข้าปลายเขาควายซิ ที่อาจารย์พูดหายถึงควาผูกพันของผู้บำเพ็ญที่อาลัยอาวรณ์ต่อลูกหลานากเกินไป ลูกหลานคนรักสนิท เป็นผลกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันาแต่ชาติก่อน เื่อไรผลกรรนั้นจบสิ้นลง ทุกอย่างก็ควรให้เป็นไปตามนั้น  เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นเรื่องธรรดาที่สุด ขณะบำเพ็ญหรือตายจาก หากผูกใจอาวรณ์ก็ยากจะบรรลุ ิใช่ให้ตัดขาดควาผูกพันในภาวะปกติ แต่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ 

ฉงซิว   :  ฮิ ที่จริงศิษย์ก็เข้าใจ แต่จงใจถามสักหน่อย

พระฯ จี้กง   :  อาจารย์ก็รู้เจตนาของเจ้า เอาละได้เวลาแล้วเราไปกันเถอะ

ฉงซิว   :  ไ่ม่ทราบว่าวันนี้จะท่องด่านไหนขอรับ

พระฯ จี้กง   :  คืนนี้เราจะไปด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวนคือ ด่านลายโลกีย์ ฯ

ฉงซิว   :  ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว เชิญพระอาจารย์ได้

พระฯ จี้กง   :  หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว  เบื้องหน้าคือด่านมลายโลกีย์ ฯ  ด่านที่ห้าของจิ่วหยังกวน นายด่านรออยู่ที่นั้นแล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย

ฉงซิว   :  ขอรับ  ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่านมลายอารมณ์ คืนนี้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่นี่ ขอพระองค์ได้โปรดอภัย

พระฯ นายด่าน   :  คารวะเฝ้าพระพุทธะจี้กง  ฉงซิวยืนขึ้นเถิดมิต้องมากจริยา เชิญเข้าไปพักข้างในสักครู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             จิ่วหยังกวน

                         สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ

                                ตอนที่ 7 

                    ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน

                            ด่านมลายโลกีย์

                             (เหลี่ยวฝันกวน)

                 วันที่  2  พศจิกายน  พ.ศ. 2525     

พระพุทธะจี้กงประทับทรง  โปรดนำด้วยโศลกความว่า  :

        หฤทัย ฯ คัมภีร์     ที่ทูลอ่าน        สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว              เป็นเรื่องง่าย    ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร                     รู้แจ้งตาม        คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก                  สามศาสนา      ว่านัยเดียว

ฉงซิว   :  สองข้างประตูห้องพระโรงมีกลอนคู่เขียนไว้ว่า 

        "หญิงชายปล่อยกายใจ      ไ่ม่รอดด่าน     ผ่านสอบจริง
ฟ้าดินยิ่งปัญญา          จะปล่อยผ่านสายตา        ให้เจ้าผิดไ่ได้"

พระฯ นายด่าน   :  เมื่อกี้ ฉงซิวพูดเกรงใจนัก เจ้ากับพระพุทธะจี้กงสนองพระโองการฯ มา หนังสือที่สร้างก็เพื่อกล่อมเกลาเหล่าคนเดิมบำเพ็ญ ความตั้งใจดีเช่นนี้ข้าพเจ้าขอคารวะด้วยความชื่นชมจริง

        ด่านจิ่วหยังเดิมทีมิได้เปิดเผยโดยง่าย หากมิใช่กลียุคขณะนี้ มีหรือจะแพร่งพราย  เป็นบารมีเก่าและผลบุญในชาตินี้ที่ฉงซิวเจ้าเฝ้าบำเพ็ญมานานปี ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เกิดบุญวาระนี้

        เมื่อชีพจรของธรรมะเวียนมาถึง ตำหนักพระของเจ้าก็ต้องรับหน้าี่ที่ใหญ่กล่อมเกลาชาวโลก เบื่องบนจึงได้มอบภาระสำคัญแก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะสำนึกในพระเจตนาของเบื้องบน กล่อมเกลาชาวโลกให้ไพศาล ซึ่งถือเป็นบลุญวาสนาของเวไนย์สัตว์ทั้งหลาย

ฉงซิว   :  ขอบพระคุณพระองค์นายด่านได้โปรดเอ็นดูอบรมศิษย์ ศิษย์ละอายยิ่งนัก จากนี้ไปจะยิ่งทำเต็มสติกำลัง เพื่อมิให้ผิดต่อเบื้องบนที่โปรดมอบหมาย

พระฯ จี้กง   :  ที่ท่านนายด่านพูดมาถูกหมด หวังว่าฉงซิวเจ้าจะจำไว้ให้ดี ดูซิว่ามีปัญหาอะไรจะทูลถามพระองค์ท่านบ้าง

ฉงซิว   :  ขอรับ  ทูลถามว่าเหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า  "มลายโลกีย์"

พระฯ นายด่าน   :  ชื่อนี้หมายถึงให้หมดสิ้นความเป็นปุถุชน ผู้บำเพ็ญถึงขั้นนี้แล้ว หากยังติดนิสัยความเคยชินไม่ดี หรือผูกใจกับอะไรในทางโลก จะต้องมารับชการชำระที่ด่านนี้

ฉงซิว   :  เอ๊ะ ชำระยังไงจะสิ้น "โลกีย์"  ขอรับ

พระฯ นายด่าน   :  ให้นายทะเบียนนำเจ้าไปดูเหตุการณ์จริงก็จะเข้าใจได้ดีกว่านี้

นายทะเบียน   :  ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เรียนเชิญนักบุญฉงซิวโปรดตามผู้น้อยมา

พระฯ ผู้คุม   :  ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวมาเยือน

พระฯ จี้กง   :  มิต้องคารวะ มิต้องคารวะ  รีบนำเราเข้าไปข้างในเถิด

พระฯ ผู้คุม   :  ทูลเชิญ

ฉงซิว   :  อุ๊ย  ทำไมในด่านมีแต่เสียงร้อง โอย โอย  ดังขรม  โอ้โฮ แมลงตัวใหญ่จัง มันพากันกัดต่อยผู้บำเพ็ญกันใหญ่ บนใบหน้าของบางคนเกาะอยู่ตั้งหลายตัว โอ๊ย น่ากลัวจัง ดูพวกเขากัดฟันทน ปล่อยให้มันกัดต่อย ทำไมไม่มีใครไล่เลย

Tags: