นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 14:51

หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 14:51
                                          เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                       นำโดย  พระอรหันต์จี้กง

                                      ทพ. บัญชา  ศิริไกร  แปล

 คณะผู้จัดทำ

ทพ. บัญชา      ศิริไกร                  แปล

นายสมรัตน์       ธนกมลนันท์           ปกและรูป
                                                   
นางนภาพร        สุคนธ์น้อย             เหรัญญิก 
                                               
พิมพ์ครั้งแรก              พ.ศ. 2530               จำนวน        18,000  เล่ม

พิมพ์ครั้งที่เจ็ด            พ.ศ. 2543                จำนวน       10,000  เล่ม

พิมพ์ที่   :   ห้างหุ้นส่วนจำกัด รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์ 
93 - 93/1 ถนนนครสวรรค์  แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ 10100  โทร. 281-4283 , 282-4520 โทรสาร 281-9123

โรงเจลั้งเต็กตึ้ง  236  ซอยอาภาภิรม ( ข้างอาคารแสดงสินค้า กรมพาณิชย์สัมพันธ์ )
ถนนรัชดา แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 513 - 1056

                                                            สารบัญ

คำนำผู้แปล

ประวัติพระอรหันต์จี้กง

พระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์

เทวโอการ  พระบรมจักรพรรดิ์จอมเทพเจ้า  ( ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ )

คำอนุโมทนา  พระศาสดาแห่งเต๋า

ไท้เสียงบ้อเก็กฮุ้งง้วนเทียนจุง

คำอนุโมทนา  สมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์

คำอนุโมทนา  พระอวโลเกติศวรโพธิสัตว์ ( พระแม่กวนอิม )

ครั้งที่ 1     เที่ยวสวรรค๋ด่านทักษิณ ( หน่ำเทียนมิ่ง ) ฟังธรรมท่านมหานักปราชญ์ ( ไต่เซี่ย )

ครั้งที่ 2     ชมพระที่นั่งวรสวรรค์ทักษิณ นมัสการพระบุ้งฮ้วง ราชาแห่งนักปราชญ์

ครั้งที่ 3     ชมพระที่นั่งวรสวรรค์ทักษิณ ฟังธรรมจากราชาแห่งนักปราชญ์อีกครั้ง

ครั้งที่ 4     ชมมหาวิสุทธิปราสาท ( ไท้เชงเก็ง ) ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า พระไท้เสียงเล่ากุง

ครั้งที่ 5     ชมมหาวิสุทธิปราสาท (ไท้เชงเก็ง) ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋าอีกครั้ง

ครั้งที่ 6     ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

ครั้งที่ 7     เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา (ซำซองฮ้อ) ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา (ฮ้อเจี่ยกง)

ครั้งที่ 8     ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพอีกครั้ง

ครั้งที่ 9     ชมวรวิสุทธิปราสาท (เง็กฮือเก็ง) ฟังธรรมจากพระบุพวิสุทธิเทพ (ง่วนซี่เทียนจุง)

ครั้งที่ 10   เยี่ยมวร (สูญญูต) วิสุทธิปราสาท ฟังพระบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรมอีกครั้ง

ครั้งที่ 11   เยี่ยมวร (สูญญูต) วิสุทธิปราสาท ครั้งที่ 3 ฟังธรรมจากพระบุพวิสุทธิเทพ และเข้าพบพระจอมราชัน (เฮี้ยงเฮี้ยงเซี่ยงหยิ้ง)

ครั้งที่ 12   ชมปราสาทบูรพมังคลาวิหาร (ตังฮั้วเก็ง) ฟังการบรรยายธรรมจากพระบูรพมงคลเทพเจ้า (ตังฮั้วตี้กุง)

ครั้งที่ 13   ชมปราสาทบูรพมังคลาวิหาร ฟังการบรรยายธรรมจากพระบูรพมงคลเทพเจ้าอีกครั้ง

ครั้งที่14   เที่ยวปราสาทบูรพมังคลาวิหาร ชมต้นไม้วิญญาณเดิมของชาวโลก

ครั้งที่ 15   เที่ยวปราสาทบูรพมังคลาวิหาร ชมต้นไม้วิญญาณเดิมของชาวโลก อีกครั้ง

ครั้งที่ 16   เที่ยวปราสาทบูรพมังคลาวิหาร (หน่ำฮั้วเก็ง) ฟังพระทักษิณมงคลเทพเจ้า (หน่ำฮั้วตี้กุง)

ครั้งที่ 17   ชมปราสาททักษิณมังคลาวิหาร อีกครั้ง  ฟังการบรรยายธรรมจากท่านพระทักษิณมงคลเทพเจ้า

ครั้งที่ 18   ชมปราสาทประจิมมังคลาวิหาร (ไซฮั้วเก็ง) ฟังการบรรยายธรรมจากสมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์ (เอี่ยวตี้กิมบ้อ)

ครั้งที่ 19   ชมปราสาทประจิมมังคลาวิหาร ฟังการบรรยายธรรมจากสมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์ อีกครั้ง

ครั้งที่ 20   ชมปราสาทประจิมมังคลาวิหาร ฟังการบรรยายธรรมจากสมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์ ครั้งที่สาม

ครั้งที่ 21   ชมปราสาทอุดรมังคลาวิหาร (ปั๊กฮั้วเก็ง) ฟังการบรรยายธรรมจากพระอนุตตรมงคลเทพเจ้า (ปั๊กฮั้วตี้กุง)

ครั้งที่ 22   ชมปราสาทอุดรมังคลาวิหาร ครั้งที่สอง ฟังการบรรยายธรรมจากพระอนุตตรมงคลเทพเจ้า

ครั้งที่ 23   ชมปราสาทมัชฌิมามังคลาวิหาร (ตงฮั้วเก็ง) ฟังการบรรยายธรรมจากพระมัชฌิมามงคงเทพเจ้า (ตงฮั้วตี้กุง)

ครั้งที่ 24   ชมปราสาทมัชฌิมามังคลาวิหาร ครั้งที่สอง ฟังการบรรยายธรรมจากพระมัชฌิมามงคลเทพเจ้า

ครั้งที่ 25   ท่องดอยนพเทพคีรี (กิ้วเซียงซัว) ชมคูหาสวรรค์ (ท้อง้วนตั่ง) เยี่ยมนมัสการท่านมหาเทพสิทธบุตร (ก้วงเซ้งจื้อไต่เซียง)

ครั้งที่ 26   เที่ยวชมสิทธาลัยมหาปราสาท (ไต่เซ้งเต่ย) เข้าเยี่ยมคำนับท่านบุพเมธาจารย์ (จี่เซี่ยโซยซือ)

ครั้งที่ 27   เที่ยวอัครมหาวิหาร (ไต่เฮี้ยงป้อเต่ย) ทิศตะวันตก เข้านมัสการเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระศากยมุนีพุทธเจ้า) (เสกเกียม้งนี่ฮุก)

ครั้งที่ 28   ท่องโพธาคีรี (โพวท้อซัว)แห่งทะเลใต้ฟังการบรรยายธรรมจากพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (พระแม่กวนอิม)

ครั้งที่ 29   ท่องแดนสุขาวดีแดนพุทธเกษตร (ไซฮึงเก๊กลัก) ฟังการบรรยายธรรมจากพระอมิตาภพุทธเจ้า (ออนี่ท้อฮุก)

ครั้งที่ 30   ท่องปราสาทตรีรัชภพ (ซำกัวเต่ย) นมัสการพบพระรัชสวรรคภพมหาราช (เทียนกัวไต่ตี่)

ครั้งที่ 31   ท่องปราสาทตรีราชภพ (ซำกัวเต่ย) นมัสการพบพระธรณีศวรมหาราช (ตี่กัวไต่ตี่)

ครั้งที่ 32   ท่องปราสาทตรีราชภพ (ซำกัวเต่ย) นมัสการพบพระรัชสุธารสมหาราช (จุ้ยกัวไต่ตี่)

ครั้งที่ 33   ชมปราสาทวีรชน (ตงหงีเต่ย) และปราสาทบุตรกตัญญู (เฮ่าจื้อเต่ย)

ครั้งที่ 34   เที่ยวแดนต่อแดนระหว่างโลกมนุษย์กับยมโลก (อิมเอี้ยงไก่ย์) เพื่อดูผู้คนกลับคืนสู่สวรรค์

ครั้งที่ 35   ท่องเที่ยวไตรภพ (ซำไก่ย์) ได้พบกับเทวดาแปดองค์ (โป๊ยเซียน)

ครั้งที่ 36   ไปงานฉลองความสำเร็จที่วังสระทิพย์

เทวโองการพระบรมจักรพรรดิ์จอมเทพเจ้า (ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้)       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ คำนำ พิมพ์ครั้งที่สอง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 15:46
                             เที่ยวเมืองสวรรค์   

                                  คำนำ

                             พิมพ์ครั้งที่สอง

        นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525  ที่ข้าพเจ้าได้พิมพ์หนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ออกเผยแพร่ ก็ได้รับความสนใจจากท่านทั้งหลายเป็นอย่างมาก จนต้องพิมพ์ซ้ำถึง 7 ครั้ง นับจำนวนหลายหมื่นเล่ม และในปี พ.ศ. 2528  ก็ได้แปลหนังสือวงเวียนกรรมสัตว์เดรัจฉาน (สัตว์โลก) ออกเผยแพร่อีกเล่มหนึ่ง ก็เป็นที่สนใจอย่างมาก จนต้องพิมพ์ซ้ำถึง 3 ครั้ง จำนวนกว่าสองหมื่นเล่ม ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า เป็นหนังสือธรรมะที่ดี ในปีนี้ ข้าพเจ้าก็ได้แปลหนังสืออีกเล่มหนึ่งคือ "เที่ยวเมืองสวรรค์" ซึ่งอยู่ในมือของท่านขณะนี้  เป็นหนังสือที่แปลจากฉบับภาษาจีนอีกเช่นเคย เป็นหนังสือธรรมะที่มีหลักธรรม ของศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื้อ ผสมผสานกลมกลืนเป็นหนึ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณกาลจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นวัฒนธรรมจีนไป ขอท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจด้วย เพื่อแยกแยะให้ออกว่าธรรมะข้อใดเป็นของ พุทธ เต๋า หรือ ขงจื้อ จะได้ไม่สับสน  ความผิดพลาดย่อมมีอย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะ ความรู้ในด้านพระธรรมของข้าพเจ้ายังห่างไกลนัก อีกทั้งด้อยสติปัญญาในเชิงภาษา กาพย์ กลอน ส่วนปกและรูปในหนังสือ ข้าพเจ้าก็พยายามเขียนให้เข้ากับเนื้อเรื่อง สีสันไม่ปราณีตเท่าที่ควร หากมีนักเขียนภาพ ที่มีกุศลจิต จะร่วมสร้างกุศลก็ขอเชิญ เพื่อจะได้ลงพิมพ์ในคราวหน้า ความดี เฉกเช่น เมืองนรกสำหรับผู้ก่อกรรมทำชั่ว ซึ่งเป็นไปตาม "กฏแห่งกรรม" อันเป็นหลักเหตุและผล ทั้งนรกและสวรรค์เป็นผลจากกรรม อันเป็นเหตุปัจจัยทั้งสิ้น หลาย ๆ ท่านก็เข้าใจว่า นรกสวรรค์อยู่ที่ใจเท่านั้น  อันนั้นก็เป็นเหตุผลเพียงปลอบประโลมใจ ของผู้ที่ยังเข้าไม่ถึง สัจธรรม  อนึ่ง หนังสือเล่มนี้ ประกอบไปด้วย หลักธรรมต่าง ๆ มากมายอันเป็นสาระ แก่นสารสำหรับผู้อ่านจะได้เลือกไปใช้ให้ถูกกับจริตของตนเอง เพื่อความสุขความเจริญของชีวิตยิ่ง ๆ ขึ้น สำหรับความผิด บกพร่องต่าง ๆ และความไม่สันทัดในเชิงภาษา กาพย์ กลอน กระผมกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ส่วนที่สร้างกุศล ก็ขอให้กุศลผลบุญ จงเป็นพลวปัจจัย ให้ท่านได้บรรลุนิพพานเทอญ
                                                              สวัสดี

                                                   ทันตแพทย์ บัญชา  ศิริไกร

                                                      22  มีนาคม 2532
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : คำนำ พิมพ์ครั้งที่เจ็ด
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 16:23
                                    เที่ยวเมืองสวรรค์   

                                          คำนำ

                                    พิมพ์ครั้งที่เจ็ด

        นับตั้งแต่ขัาพเจ้าได้แปลหนังสือธรรมะเล่มแรกคือ "เที่ยวเมืองนรกเมื่อปี 2524 เป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ได้แปลหนังสือเล่มอื่น อาทิ วงเวียนกรรมสัตว์โลกเที่ยวเมืองสวรรค์  เส้นทางอริยะฯ  ซึ่งมีจำนวนสิบกว่าเล่ม มีอยู่หลายเล่มที่ได้รับการพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเสมอมา  ความดีเป็นธรรมที่คู่กับความชั่วฉันใด สวรรค์ก็เป็นธรรมคู่กับนรกฉันนั้น กฏแห่งกรรมเป็นมติที่ชาวโลกยอมรับ ดังนั้น นรก และ สวรรค์ ก็คือผลของกรรม มีผู้ถามข้าพเจ้าบ่อยด้วยคำถามอันเดียวกันนี้ว่า นรกและสวรรค์มีจริงหรือไม่  คำถามเช่นนี้ก็คงไม่ต่างกันกับถามที่ว่า จิตวิญญาณมีจริงหรือไม่ หลายพันปีมาแล้ว นับตั้งแต่มนุษยชาติได้เจริญและพัฒนาก้าวหน้ามาโดยตลอด ปัญหานี้ก็ยังคงเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยมาโดยตลอด  มนุษย์ที่สงสัยและเคลือบแคลงไม่เชื่อถือ จึงกล้าที่จะกระทำความชั่ว ยิ่งผู้ที่กระทำความชั่วแล้วมักไม่ถูกลงโทษ กลับร่ำรวยและมีอำนาจ จึงยิ่งเหิมเกริม กระทำความชั่วหนักเข้าไปอีก เพราะไม่เชื่อว่านรกมีจริง ตรงกันข้ามผู้ที่เชื่อกฏแห่งกรรมก็จะสังวร ไม่กล้าที่จะกระทำความชั่ว สวรรค์จึงเป็นสุคติสำหรับผู้กระทำความดี ปัจจุบัน วิทยาศาสาตร์ก้าวหน้ามาก แม้มนุษย์จะสามารถค้นคิดคอมพิวเตอร์ได้ หรือสร้างหุ่นยนต์ได้ก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างมนุษย์ขึ้นมาได้ ทั้งนี้ เพราะจิตวิญญาณไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ จึงไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ การโคลนนิ่ง ดูผิวเผินเหมือนกับการสร้างสิ่งมีชีวิต แต่ความเป็นจริงการโคลนนิ่งก็คือ การนำเซล,์จากสัตว์ผ่านกรรมวิธีเพาะเลี้ยงจนสำเร็จเป็นสัตว์ตัวใหม่ แต่เซลล์ก็คือชีวิต ชีวิตมีอยู่ด้วยจิตวิญญาณ จิตวิญญาณไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์ นรกสวรรค์ก็เป็นภพภูมิอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตามนุษย์ได้เช่นกัน สิ่งที่มองไม่เห็นจะปฏิเสธว่าไม่มีอยู่ได้หรือไม่  ก็เฉกเช่นเดียวกับคลื่นวิทยุที่หูสัมผัสไม่ได้แต่ก็มีอยู่มิใช่หรือ เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ พิจารณาเอาเองเถิด

                                                              ด้วยความปรารถนาดี

                                                              ทพ. บัญชา  ศิริไกร 

                                                                มกราคม 2543

              ปฏิบัติศีลสมาธิและปัญญา        มีดวงตาเห็นธรรมล้ำสดใส

ได้จุติเป็นนางฟ้าสุราลัย                         ทั้งหญิงชายจงเร่งรัดปฏิบัติธรรม

จงประกอบกรรมดีกันเสียเถิด                   ชีวิตประเสริฐสู่ทางสว่างล้ำ

สะอาดสว่างสงบพบพระธรรม                    เป็นสื่อนำสู่สวรรค์นิรันดร์กาล

          ตะวันให้ความสว่างฉันใด         พระธรรมก็ให้ปัญญาฉันนั้น       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ประวัติ พระอรหันต์จี้กง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/11/2011, 14:24
                               เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                            ประวัติ พระอรหันต์จี้กง

        อรหันต์จี้กง                             ทรงเมตตาช่วยชาวโลก
ให้พ้นเคราะห์คลายโศก                        สุขสันติประเสริฐล้ำ
กิริยาวาจา                                       เป็นปริศนาช่วยชี้นำ
ท่านชองเสแสร้งทำ                            กระตุ้นจิตบรรลุธรรม

        พระนามเิดมของท่าน คือ  ซิวอ้วง  แซ่ลี้  เป็นชาวเมืองเทียนไถ เกิดในสมัยราชวงศ์ซ้อง ท่านได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง  ตำบลไซโอ้ว  เมืองหางโจว ประเทศจีน และใช้พระนามทางศาสนาว่า เต้าจี้  ท่านโปรดสัตว์โลกโดยวิธีพิศดาร จนชาวบ้านขนานพระนามว่า "พระสติเฟื่อง " (จี้เตียง)  ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ ได้บรรลุพระธรรม 3 ประการ  ที่สำคัญได้แก่ "สรรพสิ่งเกิดจากจิต  ท่านยึดมั่นแต่พุทธจิต ไม่คำนึงถึงเครื่องทรงภายนอก ดังคำกล่าวว่า "รักษาศีลทางจิต  ไม่ถือศีลทางปาก  ปฏิบัติตนตามสบาย"   (หมายความว่า  พระภิกษุในประเทศจีนต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับการฉันอาหาร สุดแท้แต่โอกาส)  ที่ท่านประพฤติเช่นนี้  เพราะว่าในสมัยนั้นได้แต่ถือศีลปาก  คือฉันเจ แต่ไม่รักษาศีลทางใจ  เพื่อเป็นการสอนธรรมะโดยใช้วิธีรุนแรง เหมือนเอาไม้กระบองตีให้เจ็บจนรู้สึก ท่านพยายามทำให้ภิกษุสมัยนั้นให้ตื่นจากผู้ติดอยู่ในพิธีกรรม ให้มาพิจารณาทางวิปัสสนาธุระ

         ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างไกล โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมาย โดยอาศัยวิธีการต่าง  เพื่อช่วยให้ชาวบ้านพ้นภัย ช่วยกอบกู้พวกที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญ  แต่ใจบาป  กลั่นแกล้งจนเขาเหล่านั้นรู้สึกสำนึกตัว  และกับผู้ที่โหดร้ายทารุณ จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้น ทุกผู้ทุกนามจึงสรรเสริญว่าเป็น "พระศักดิ์สิทธิ์" เหมืิิอนพระพุทธที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ  แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ

        พระอรหันต์จี้กงเคยอยู่วัด "เจ็งซื้อ"  ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้ จำเป็นต้องได้รับปลูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ้งต้องการได้ไม้จากเขา "เงี้ยมเล้ง"  ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์  โดยใช้จีวรกลางออกไป ฉับพลันนั้น จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้งทั้งหมด ไม้จากเขาถูกถอนขึ้นมาหมด  แล้วถูกนำลงแม่น้ำ ล่องมาสู่เมืองหางโจว เสร็จแล้วท่านก็มาบอกชาวบ้านว่า  ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างนั้นบัดนี้อยู่ในบ่อธูป (บ่อธูปนี้เป็นบ่อที่ขุดขึ้น ใช้สำหรับเทขี้ธูปและก้านธูป)  ทั้งพระและชาวบ้านต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อ ๆ กันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่อีกมากมาย

        พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระจักรพรรดิ  "เกียเตีย"  อัฐิของท่านบรรจุไว้ในเจดีย์  "เสือผ่าน"  ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร  ท่านได้ให้ปริศนาธรรมไว้ว่า "หกสิบปีมานีี  กำแพงตะวันออกล้มตีกำแพงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้  ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องน้ำก็ยังคงจรดขอบฟ้าเช่นเดิม"  หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กงนั่งอยู่ใต้เจดีย์ ชื่อ  "หลักฮั้ว"  และยังได้ฝากหนังสือไว้บทหนึ่งว่า "หวนรำลึกสมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า ถึงบัดนี้รู้สึกหนาวเหน็บกระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตาแล้วยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ"  ที่ท่านลงมาอีกครั้งเป็นเพราะประสงค์ของมหาโพธิสัตว์

        ตลอดพระชนชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้าน โดยวิธีเสแสร้งต่าง ๆ กันมาตลอดเวลาโดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ และมีจิตเป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาด ๆ รองเท้าขาด ๆ คู่หนึ่ง  โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่  มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง  ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศรีษะก็โล้น  ลมก็ไม่พัด  ฝนก็ไม่ตก  ไม่ต้องมีย่าม  ไม่ต้องบิณฑบาต  เพราะไม่หิวไม่กระหาย  ไม่ต้องแต่งองค์  เพราะศรีษะไม่มีผม  พบใครก็เอาแต่ยิ้ม  เพื่อจะได้แผ่บุญ  ไม่หลบสังคม  ค้นหาเสียงทุกข์เพื่อจะให้ช่วยเหลือ ชาวบ้านนับถือ ทุกครัวเรือนมีแต่พระอรหันต์  หลักการของท่านพระภิกษุทั่วไปไม่ชอบ เนื่องจากความไม่สำรวมของท่าน ทำให้พระภิกษุที่มีความรู้ รู้สึกเสียหน้า  ไม่สบายใจ  ดังนั้น พระภิกษุผู้ใหญ่จึงไม่กล่าวขานถึง ไม่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

        สืบเนื่องจากพระอรหันต์จี้กงมีเมตตาจิตไม่ถือสา การปรากฏตนของท่านเอาแน่นอนไม่ได้  กิริยาวาจาล้วนเป็นปริศนาธรรม ซึ่งทำให้ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ว่าท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม แต่ธรรมะของท่านยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า  เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่  ก็เนื่องด้วยเหตุฉะนี้ 

        ในสมัยกลียุค มวลชนหลงไหลอยู่ในกิเลส วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ อรหันต์ใจร้อนรนและเพื่อจะกอบกู้ชาวโลกอีกวาระหนึ่ง ท่านจึงยอมลงมาประทับทรง ที่  "สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง"  นี้  โดยเอาวิญญาณคุณหยางเซิงไปเที่ยวเมืองสวรรค์  เปิดเผยความลี้ลับของสวรรค์ เพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้

        ชาวโลกนับว่าโชคดี ดังอาบน้ำฝนอันศักดิ์สิทธิ์ ออกจากทางมารโดยตลอด  สาธุ !  หนังสือเล่มนี้สำเร็จลง สืบทอดนับหมื่นปี อันนับว่าเป็นผลงานของท่าน

บทสรรเสริญ   :

        เริ่มแรกต้องตีหัว                              เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง
ยิ้มยื่นดอกไม้ดง                                      ยังคงเป็นปริศนาธรรม
ชีวิตคือละคร                                          สะท้อนได้เหมือนจริงจัง
สรรพสิ่งสู่จิตดัง                                       ท่องสวรรค์แลยมบาล   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : พระราชเสาวนีย์สมเด็จพระแม่เจ้าแดนสุขาวดี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/11/2011, 15:10
                               เที่ยวเมืองสวรรค์   

                               พระราชเสาวนีย์

                       สมเด็จพระแม่เจ้าแดนสุขาวดี

        เทพธิดาสนองพระราชเสวนีย์ เทพธิดามั้วโกว  ลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        สัทธรรมอันยิ่งใหญ่          ถ่ายทอดให้เซี้ยเฮี้ยงตึ้ง
สวรรค์เฝ้ารำพึง                      ถึงวิญญาณกลับถิ่นเดิม
        ตั้งแต่โบราณนับ            ความลี้ลับไม่เผยเพิ่ม
จวบฟ้านิมิตเริ่ม                     ธรรมทั้งหลายจึงประทาน

        ในราตรีกาลนี้ ข้าพเจ้าได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระแม่เจ้าแดนสุขาวดี ให้ประกาศแก่มวลเทพยดาและมวลมนุษย์ทั้งหลาย ขอให้เทพยดาและมวลมนุษย์ จงกราบลงและฟังประกาศ  ความว่า

        จากเอกธาตุแปรเปลี่ยนเป็นไตรวิสุทธิธาตุ  จากไตรวิสุทธิธาตุนี้ ได้ก่อกำเนิดธาตุไม้ทางทิศบูรพา  ธาตุทองทางทิศประจิม  ตรงศูนย์กลางคือธาตุดิน  ธาตุไฟอยู่ทางทิศทักษิณ  และธาตุน้ำทางทิศอุดร  เมื่อธาตุทั้งห้าครบองค์  วิถีแห่งจักรวาลจึงเริ่มเคลื่อนหมุน  ธาตุไม้ (บิดา)  ธาตุทอง (มารดา)  ได้ผสมผสานกันขึ้น ได้ก่อกำเนิดวิญญาณขึ้นเก้าสิบหกดวง แผ่คลุมไปทั่วสากลโลก

        มาบัดนี้  สังคมโลกแหลกเหลวเลอะเทอะ ศีลธรรมของมนุษย์ถูกทำลายไม่เหลือหลอ ทำให้แม่นี้สังเวชยิ่ง จึงมีบัญชาให้สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง แห่งเมืองไถ่ตง เิปดสำนักประกาศสัจธรรม เพื่อให้ผู้คนเลิกหลงงมงาย ศิษย์ในสำนักต่างอุทิศพลังกายและจิต ด้วยความศรัทธาไม่ยิ่งหย่อน รัศมีธรรมะได้พุ่งโรจน์สู่สวรรค์

        หลังจากหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ได้แต่งสำเร็จลุล่วงลงสู่สายตาของชาวโลกได้ช่วยมนุษย์ไปอย่างกว้างขวาง ถึงแม้กระดาษจะแพง แม้นมีคนต้องการอ่านและสามารถกลับใจประพฤตธรรมได้ก็ย่อมคุ้มค่าในการลงทุน ช่วยเหลือเหล่าวิญญาณให้หลุดพ้นจากกิเลส ได้บุญกุศลมาไม่น้อยทีเดียว

        แม่มีความห่วงใยลูก (มนุษย์)  ทั้งหลาย ที่ได้รับทุกขเวทนามากมาย ก่อกรรมทำเข็ญไม่หยุดหย่อน ใจแม่นี้ทนเวทนาไม่ได้ ด้วยเหตุฉะนี้ ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม ( 26 พ.ค. พ.ศ. 2522)  ณ  หน้าวิมานบ้อเก๊ก  ได้เปิดประชุมทั้ง  3  ภพขึ้น  เนื่องด้วยความลับแห่งยมโลกได้ถูกเปิดเผยไปแล้วได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากมาย ได้อย่างเกินคาด ทำให้ผู้คนสามารถปิดหนทางไปสู่นรกได้  ก็สามารถที่จะอุบัติขึ้นในสวรรค์ได้ ดังนั้น วันนี้จึงใคร่เปิดเผยทัศนียภาพแดนสวรรค์  เพื่อนำพาเหล่าวิญญาณได้กลับคืนสู่สวรรค์ เพื่อความกลมกลืนของเอกธาตุอีกครั้ง ต่างเสวยสุขในสวรรค์กาลนาน

        แม่จึงมีเสาวนีย์  ให้จัดทำหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ขึ้น  โดยการนำของ พระอรหันต์จี้กง นำวิญญาณนักทรงเอกเที่ยวชมเมืองสวรรค์ เพื่อบันทึกคัมภีร์อมตะ เป็นมรดกสืบทอดตลอดกาล จึงมีคำสั่งให้ทั้งสามภพว่า เมื่อวิญญาณของนายหยางเซิงไปถึง ให้เปิดประตูต้อนรับ ห้ามปฏิเสธ  หากมีการฝ่าฝืนราชโองการ ก็จะได้รับโทษมหันต์  ขอให้ศิษย์สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง จงมีศรัทธาตั้งมั่น มีวิริยะอุตสาหะ จนกว่าหนังสือจะแล้วเสร็จ ก็จะได้ปูนบำเหน็จ

                                               จงแสดงความเคารพ   จงอย่าประมาท

                                                ให้กราบขอบพระคุณพระราชเสาวนีย์       

                                                  สั่ง ณ วันขึ้น  5  เดือน 5  ปีมะแม     

                                                ตรงกับวันพุธที่  30  พฤษภาคม  2522
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : เทวโองการ พระบรมจักรพรรดิ์จอมเทพเจ้า (ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/11/2011, 17:09
                             เที่ยวเมืองสวรรค์   

                  เทวโองการ พระบรมจักรพรรดิ์จอมเทพเจ้า

                            (ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้)

          สมุหนายกแห่งตำหนักทอง เทวดาชื้อประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        สำนักทรงรับบัญชา                 มาแต่งคัมภีร์สวรรค์
โปรดช่วยเหลือเกื้อกัน                      ธรรมะำนำสามโลกชู
        ท่องนรกจบลงแล้ว                  หนทางแผ้วสว่างรู้
เหนือเมฆินทร์ถิ่นที่อยู่                      หมู่เทวะทิพย์พิมาน

        ค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้า ได้นำเทวโองการ ของท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ มาประกอบขอให้เทพยดา  และมนุษย์ จงก้มกราบรับฟังเทวโองการ  ความว่า

        ข้า ฯ  สถิตแดนสวรรค์ จิตเป็นห่วงศีลธรรมมนุษย์ เห็นความเสื่อมทรามของผู้คน แม้ขุมนรกจะสร้างเพิ่มเติมสักเท่าใด ก็ตาม ก็ไม่เพียงพอ ส่วนวิมานใหญ่แดนสวรรค์ไร้เทพสถิต  ในวโรกาสโปรดสัตว์สามโลก สัทธรรมถ่ายทอดสู่มนุษย์โลก เพื่อมวลมนุษย์มีศีลธรรมดีขึ้น จึงได้เสด็จลงทรง ณ  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง  ไต้หวัน  จะได้ขัดเกลาสั่งสอนผู้คน ให้ธรรมะแพร่หลาย ธรรมสารช่วยให้ผู้คนเลิกหลงงมงาย เป็นกุศลบารมี

        ตั้งแต่หนังสือเที่ยวเมืองนรกออกสู่สายตาโลก แผ่นดินดูสดใส ยานเมตตากอบกู้สัตว์โลก ผู้ได้รับธรรมะหันหลังให้กับบาป ผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นเหลือคณานับ  จิตข้า ฯ เบิกบานยิ่ง  เพราะเมื่อสภาพขุมนรกถูกเปิดเผยแล้ว ทัศนียภาพแดนสวรรค์ จะเปิดเผยบ้างไม่ได้เชียวหรือ ดังนั้น ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม  (วันที่ 26 พค. พ.ศ. 2522) จึงได้เปิดประชุมทั้งสามภพ โดยมีเหล่าเทวดา และโพธิสัตว์มากมายร่วมประชุมพร้อมเพรียงกัน เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์เป็นสำคัญ จึงเปร่งเสียงพร้อมกันทั้งสามภพ ให้เปิดเผยสภาพแดนสวรรค์สู่สากลโลก เพื่อให้สังคมโลก ร่มเย็นโดยทั่วกันอย่างรวดเร็ว  จึงมีบัญชาขอให้ท่านอรหันต์จี้กง ได้นำพาวิญญาณนายหยางเซิง ท่องเที่ยวสรวงสวรรค์  ตื่นตาตื่นใจกับทิพย์พิมาน รับฟังสัทธรรมเพื่อสั่งสอนผู้คน และเมื่อหนังสือแต่งสำเร็จลงเมื่อไร มนุษย์ก็จะรู้สภาพ "ความทุกข์ทรมานของขุมนรก และ ความสุขสบายของสรวงสวรรค์ "  เป็นที่หมายของทุก ๆ คนที่จะแสวงหาสัทธรรม  เพื่อบรรลุสู่สวรรค์  เหนือเมฆินทร์แดนนิพพาน เสวยทิพย์สุขกาลนาน

        หนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์" นี้ ให้เขียนแต่งในวันลงประทับทรงจนกว่าจะแล้วเสร็จ มีคำสั่งมายัง ด่านทุกด่านทั้งสามภพ หากพบนายหยางเซิงมาเยี่ยมชม ก็ให้เปิดประตูต้อนรับ ช่วยกันจัดแต่งหนังสือ หากใครขัดคำสั่ง จะลงโทษอย่างหนักไม่ละเว้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศิษย์ทั้งหลายจะร่วมแรงร่วมใจกัน เทิดทูนสัทธรรมอันยิ่งใหญ่ บุญบารมีมห่ศาล จะได้รับกันทั่วหน้า เมื่อหนังสือสำเร็จลง ทั้งเทพและมนุษย์

        ขอให้เทพและมนุษย์จงปฏิบัติตามคำสั่ง โดยเคร่งครัด

                               ประกาศ  ณ  วันขึ้น  5  ค่ำ  เดือน 5  ปีมะแม
                     
                                ตรงกับวันพุธที่ 30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2522 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : คำอนุโมทนาของพระศาสดาแห่งเต๋า พระวิสุทธิเทพ ไท้เสียงบ้อเก๊กฮุ้งง้วน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2011, 08:20
                               เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               คำอนุโมทนาของ

                             พระศาสดาแห่งเต๋า

                 พระวิสุทธิเทพ ไท้เสียงบ้อเก๊กฮุ้งง้วน

            เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอน  ความว่า

        พระนิพพานแดนสุขี              มีเอกธาตุบริสุทธิ์
บรรยายกาศอบอุ่นผุด                  ธรรมสุดแผ้วปกคลุมทั่ว
แดนสราญศักดิ์สิทธิ์เพิ่ม                ถิ่นดั้งเดิมอยู่สุดขั้ว
ทิพย์อาสน์หยกไร้ขุ่นมัว                ปราสาทบัวงามเฉิดฉาย
อยากหลุดพ้นการหมุนเวียน            เพียรตัดหกทวารทลาย
เมล็ดบาปต้องละคลาย                 สักการะแด่สวรรค์
เตาไฟร้อนหลอมสุวรรณ                ผุดผ่องพลันดั่งเทพธรรพ์
ปรมัตถสัทธรรม                          ควรเร่งทำบำเพ็ญเพียร

        ตำนานท่านกล่าวไว้ "อันวัตถุต้องมีต้นมีปลาย การงานต้องมีเริ่มต้นและสิ้นสุด เมื่อรู้จักอันไหนก่อนอันไหนหลัง ก้แสดงว่าใกล้บรรลุธรรมแล้ว"  มนุษย์เกิดมาจากที่ไหน ตายไปแล้วกลับไปที่ไหน ตั้งแต่โบราณมา นักปราชญ์ย่อมล่วงรู้เรื่องราวของ ผี  เทวดา  ฟ้า  ดิน  และสัทธรรมของฟ้าดิน  จึงได้เผยแพร่สัทธรรมเรื่อยมา เพื่อจะได้คลายความสงสัย การเกิดดับของมนุษย์ ศาสนาช่วยชี้ช่องทางแห่งการเกิดการดับ แต่ว่าปัจจุบันนี้ ความทะยานอยากของมนุษย์เต็มไปหมด หากไม่ได้รับการขัดเกลาจากพระศาสนาแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของมนุษย์ผุดผ่องสะอาดได้ ยากที่จะมีสภาพจิตบริสุทธิ์ดั่งเดิมได้ เนื่องจากพระศาสดาได้ปรินิพพานไปนานแล้ว ความเข้าใจในหลักธรรมของคนสมัยใหม่มักเพี้ยนไป จนไม่สามารถยึดถือเป็นหลักได้  ยิ่งคนในสมัยนี้ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่พยานหลักฐานทางวัตถุนิยม สิ่งที่มองไม่เห็นไม่อาจจับต้องจึงถูกปฏิเสธ ดังนั้น จิตใจจึงเต็มไปด้วยวัตถุนิยม  ส่วนวิญญาณและจิตใจกลับอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวชีวิตไม่มีที่ยึดเหนี่ยว การก่ออาชญากรรมจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

        พระแม่เจ้าแดนสุขาวดี  ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้  ทรงตระหนักในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ จึงได้มีเทวโองการ ขอให้ท่านอรหันต์จี้กง นำวิญญาณนายหยางเซิงคนทรงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งไปเที่ยวเมืองนรกเปิดเผยการรับกรรมของคนบาป แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  เสมือนหนึ่งเป็นหลักเอกที่ต้านความชั่วร้าย และเป็นการปลุกปลอบผู้คนให้ประกอบแต่กรรมดี เพื่อจะได้ขึ้นบันไดสู่สวรรค์ เสพสุขหรรษาในแดนสวรรค์ มาบัดนี้ ได้ให้ไปเที่ยวเมืองสวรรค์อีกคำรบหนึ่ง เพื่อแต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เพื่อเปิดเผยสภาพความเป็นอยู่ของเทวดาอย่างแท้จริง พระศาสดาไไท้เสียง กล่าวต่อว่า "โชคลาภหรือฆาตเคราะห์ใด ๆ ไม่มาเยือนท่าน นอกจากท่านจะก่อขึ้นมาเองเท่านั้น การสนองตอบของบาปบุญคุณโทษ จึงเป็นเงาตามตัวตลอดเวลา"  ซึ่งหนังสือ  2 เล่มนี้ จะเป็นภาพสะท้อนความจริงอย่างดีเลิศ คนเราเกิดมาจากฟ้าสวรรค์ เมื่อตายควรกลับคืนสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นหนทางอันถูกต้อง ผู้ที่ใคร่ให้วิญญาณตนกลับคืนสู่สุคติภูมิ เสวยสุขกาลนาน จึงควรมุ่งสู่หนทางแห่งธรรมะเท่านั้น

        หนังสือเล่มนี้ นอกจากจะเปิดเผยถึงทิวทัศน์อันพิศดารแดนสวรรค์แล้ว ยังได้ถ่ายทอดคำเทศนาธรรมของเทพยดา และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มหาสัทธรรมได้ถูกเปิดเผยสู่ชาวโลก นับเป็นบุญกุศลของมนุษย์ ผู้ที่มีหนังสือนี้ควรใฝ่ใจศึกษา เพื่อชำระล้างวิญญาณให้สะอาดเพื่อจะได้กลับสู่สวรรค์ ทางไปสู่สวรรค์หรือหนทางสู่ธรรมะ จึงหวังว่าจะรู้สำนึกตน จะได้ขึ้นสวรรคืพร้อมเพรียงกัน อันเป็นที่ปรารถนาของข้าฯ

                                  พระวิสุทธิเทพไท้เสียงบ้อเก๊ก

                             วันที่  16  เดือน 12  ปีวอก  (ของจีน)

                        ตรงกับวันศุกร์ที่  20  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2524         
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : คำอนุโมทนาของสมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2011, 09:05
คำอนุโมทนาของ สมเด็จพระชนนีเจ้าแห่งสระทิพย์
เสด็จลงตรัสเป็นกลอนว่า

          สมเด็จแม่ผู้ชิดเชื้อ            คอยเอื้อเฟื้อแต่ปางก่อน
เฝ้าเพียรปลูกท้อทิพย์                  ประทานเป็นนิจผู้ทรงธรรม
ทรงแปลงเป็นแม่กวนอิม               ยินดีปลดทุกข์โทษทัณฑ์
พระเมตตาแนะนำ                        คำปลอบเตือนให้เร่งเพียร

          แดนสวรรค์ผุดผ่องเพียร       ควรฝึกเรียนแสวงหา
เส้นทางสำเร็จมรรคผล                 หนทางเดียวไม่มีสอง
ทุกทุกบทล้วนบันทึก                  เหตุล้ำลึกทางสายทอง
คุณธรรมดั่งแทรกซ้อง                 ปกคลุมทั่วปฐพี

          เจริญพร !  สุขาวดี ก่อเกิดวิญญาณดวงบริสุทธิ์ในสมัยเริ่มแรก เมื่อจุติลงเพื่อบุกเบิกในโลกมนุษย์ ในระยะแรก ๆ ผู้คนมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่ลืมชาติกำเนิด เมื่อหมดอายุขัยในโลก วิญญาณก็กลับสู่สวรรค์ ต่อมาภายหลังจิตคลุกคลีกับฝุ่นกิเลสมากเข้า จิตประภัสสรจางหายไป นานวันก็ลืมชาติกำเนิด จมดิ่งอยู่ห้วงแห่งกรรม หมกมุ่นอยู่ในทะเลแห่งทะยานอยาก เห็นมนุษย์ภูมิเป็นแดนสุขี ดังนั้น จิตใจยิ่งจมลึกลงทุกที สร้างเวรสร้างกรรม กลายเป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยบาป จึงจำเป็นต้องสร้างขุมนรก เพื่อจะได้รับโทษทัณฑ์เป็นการฝึกอบรมจิตใจ หวังที่จะได้หวนกลับคืนสู่จิตเดิม

        แม่ได้เคยอวตารเป็นพระแม่กวนอิมและพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์องค์อื่น ๆ เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้คน หูแม่คอยสืบฟังเสียงทุกข์ร้อนและไปช่วยเหลือตามควรแก่วาสนาของชาวโลก  สมัยนี้ วิทยาการทันสมัย มีฝีมือผลิตอุปกรณ์การเดินทางไปในอวกาศได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่เจริญธรรมให้ได้ดีเทียบสมัยโบราณได้ วิญญาณธาตุกลายสภาพเป็นวัตถุธาตุเข้าทุกที บาปเวรเหลือล้น นรกมีทีท่าว่าจะหล้นคุก น่าเวทนายิ่งนัก

        แม่ คิดอยู่เสมอว่า สรรพสัตว์ล้วนมีชาติกำเนิดจากแหล่งเดียวกัน ทั้งจักรวาลเป็นหนึ่งเดียว แม่ไม่อาจทนเห็นจิตเดิมของสรรพสัตว์หลงงมงายหมกมุ่นอยู่ในโลกีย์ ก่อกรรมทำเข็ญ ดังนั้น จึงมีพระเสาวนีย์ ขอให้อรหันต์จี้กงนำวิญญาณนายหยางเซิง ไปท่องเที่ยวเมืองนรก เพื่อรวบรวมหลักฐาน ของวิญญาณบาปทั้งหลายที่ได้รับโทษทัณฑ์ในขุมนรก เปิดเผยให้ชาวโลกได้รับรู้ไว้ และเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ก่ออาชญากรรมอีก ยับยั้งความทะยานอยากของมนุษย์ วันนี้ จึงมีพระเสาวนีย์อีกครั้ง ให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ขอให้ท่านอรหันต์จี้กงนำพาวิญญาณนายหยางเซิงไปเที่ยวเมืองสวรรค์ นำเอาความงดงามของสวรรค์ให้ชาวโลกรับทราบ จะได้โน้มน้าวจิตใจให้ใฝ่แต่กรรมดี วิญญาณจิตรุ่งโรจน์ขึ้น มารยาทงดงามสูงส่ง เป็นที่หมายในการกลับภายหลังสิ้นอายุขัยแล้ว จิตวิญญาณจะได้อุบัติในแดนสวรรค์ เสวยสุขกาลนาน ไม่ต้องหมุนเวียนอีก

        เวลาผ่านไปครึ่งปี  ลูกหยางได้ผ่านพ้นความลำบากต่าง ๆ นานา ในการท่องสวรรค์ วันนี้หนังสือได้แต่งสำเร็จลง แม่รู้สึกปิติอย่างยิ่ง ผลท้อทิพย์ข้างสระทิพย์กำลังสุกปลั่ง รอคอยจนกว่าลูก ๆ จะได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว  รู้ความเป็นมาของจิตวิญญาณ จะได้ขยันประกอบแต่กุศลกรรมเพื่อบรรลุสัทธรรมอันยิ่งใหญ่ จะได้อยู่ในแดนที่ปราศจากทุกข์  ในสรวงสวรรค์สืบไป  ทั้งหมดนี้เป็นที่สุดปรารถนาของแม่ จึงเขียนคำอนุโมทนาให้ไว้

ณ  วันที่  16  เดือน  12  ปีวอก (ของจีน)   
ตรงกับวันศุกร์ที่  20  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2524
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : คำอนุโมทนาของพระอวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2011, 09:54
คำอนุโมทนาของพระอวโลกิเตศวร
(เจ้าแม่กวนอิม)

                  พระอวโลกิเตศวรเสด็จลง   ตรัสเป็นกลอนว่า

                   ตถาคตเสด็จมา             พาสัทธรรมอมตะ
อัศจรรย์แห่งพุทธะ                            สมถโสตสดับฟัง
พู่กันทรงศักดิ์สิทธิ์                            นิพนธ์คัมภีร์ดัง
หยางเซิงผู้ทรงพลัง                          เสียงร่ำลือระบือพลิ้ว
                  น้ำมนต์จากกิ่งหลิว         ปลิวร่อนต้องหยางเซิง
หมดเวรกรรมกายเปล่งปลั่ง                 ดุจดั่งขึ้นทิพย์พิมาน
ทิวทัศน์ล้ำเลิศนาน                          เป็นสวรรค์จิตสำราญ
สุขาวดีแดนนิพพาน                          คือถิ่นอยู่ของจิตเดิม

        พระตถาคตพุทธเจ้าทรงเมตตาตั้งพระศาสนา เผยแพร่สัทธรรมไปทั่วโลก ส่วนสำนักทรงมีความรักความกรุณาเป็นที่ตั้ง ช่วยกอบกู้สรรพสัตว์ทั่วหล้า 
ซึ่งก็มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน แม้จะอุบัติขึ้นคนละถิ่นฐานก็ตาม เพื่อสะดวกในการโปรดเวไนยสัตว์ สำหรับข้าฯ แล้ว หากไม่สามารถโปรดสัตว์ให้หมดโลกแล้ว ก็จะไม่เสด็จปรินิพพานเป็นพระพุทะเจ้า เพราะต้องการโปรดสัตว์ให้หมดโลก จึงต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันมหาศาล โดยมิใช่เพียงอาศัยแต่ พระสูตรโบราณเท่านั้น  ยังต้องอาศัยความรู้ใหม่ ๆ ให้ตรงต่อเหตุการณ์สมัยใหม่ จึงสั่งยาลงเข็ม จึงจะสามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ กลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง

        ตั้งแต่โบราณกาลมา เมื่อพูดถึงนรก - สวรรค์  ย่อมฝังใจทุกคนตลอดมา ที่น่าเสียดายก็คือ บทบันทึกและตำนานชาวบ้าน ขาดการปะติตปะต่อเป็นชิ้นเป็นอันไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้น หนังสือที่มีคุณค่าในการป้องปราม และปลอบเตือนชาวบ้านจึงไม่มี  ทำให้ชาวโลกไม่รู้จะปฏิบัติตนอย่างไร ท่องไปสู่ทางสามแพร่งหกทิศทาง  ในที่สุดก็ตกอยู่ในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักจบจักสิ้น ดังนั้น ทั้ง ตถาคตเจ้า  เทวดา  อินทร์  พรหม  ซึ่งตระหนักดีจึงได้ประชุมกันทั้งสามภพ มีความเห็นพร้อมเพรียงกันว่า ควรให้ชาวโลกได้รู้ถึงสภาพของสวรรค์ เพื่อกระตุ้นเตือนชาวโลกให้หันสู่ทางธรรม ปฏิบัติตามหลักสัทธรรม เพื่อที่จะได้อุบัติขึ้นบนสรวงสวรรค์อีกวาระหนึ่ง ปราศจากทุกข์โศก เสวยสุขในแดนวิสุทธิ์

        มีคำกล่าว ๆ ว่า  "ของที่ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ต้องผลิตจากเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ" การที่จะเลือกเฟ้นวิญญาณปุถุชนที่จะสามารถท่องเที่ยวไปได้ทั้งสามภพนั้น หาได้ไม่ง่ายนัก นอกเสียจากต้องเป็นบุคคล ที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ว่าจะช่วยเหลือชาวโลก แล้วต้องมีกุศลจิต  ปัญญา  และจิตที่ผุดผ่องจึงสามารถแบกภาระอันหนักหน่วงนี้ได้ หลังจากได้ทำการคัดเลือกแล้ว ปรากฏว่านักทรงเอกหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง มีความเหมาะสมยิ่ง ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 5 เดือน 5 ปีมะแม  (30  พ.ค.  พ.ศ. 2522)  มีคำสั่งขอให้ท่านอรหันต์จี้กงนำพาวิญญาณนายหยางเซิง ไปท่องเที่ยวทั้งสามภพประดุจเหมือนครั้งเมื่อ พระถังซำจั๋งออกเดินทางไปรับ พระไตรปิฏก (จากอินเดีย)  เสาะหาสัทธรรม เพื่อสั่งสอนชาวโลก ผ่านความลำบากมากมาย จนแต่งหนังสือสำเร็จลงในวันนี้ ใต้หล้านี้ก็มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อีกเล่มหนึ่ง ซึ่งสวรรค์ได้แซ่ซ้องสรรเสริญ หกช่องทางเกิดต่างแจ้ง ข่าวอันมงคลนี้ แก่กันและกัน บนช่องทางเวียนว่ายตายเกิด ได้ถูกปิดอีกครั้งหนึ่ง เหมือนความมืดของท้องทะเลทุกข์ ได้มี กระโจมไฟส่องสว่างขึ้น สรรพสัตว์ที่ผ่านความทุกข์มานานแล้วได้มีโอกาสทอง ในวันนี้  ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เหมือนได้ท่องแดนวิเศษสามแห่ง  ผู้นับถือขงจื้อก็จะได้เป็นนักปราชญ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์  ผู้นับถือเต๋าก็จะได้เป็นพระวิสุทธิเทพ  ส่วนผู้นับถือพุทธก็จะได้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวสวรรค์ต่างปรีดาปราโมทย์ เป็นอย่างยิ่ง

        หนังสือแต่งสำเร็จลง ทั้งสามภพต่างฉายรัศมีแวววาว ทั่วพิภพมีเหล่าวิญญาณบนบัวทองลอยละล่อง จิตข้าฯ  ยินดียิ่งนักที่ท้องทะเลทิศใต้จะมีมหายานเมตตาเพิ่มขึ้นอีกลำหนึ่งเพื่อกอบกู้สรรพสัตว์ให้หมดโลก จึงได้ฝากคำอนุโมทนา เพื่อสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์

                                      ณ  วันที่ 16  เดือน 12 ปีวอก (ของจีน)

                                  ตรงกับวันศุกร์ที่  20  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2524 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 1 เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณรับฟังท่านมหานักปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/11/2011, 10:22
                                  เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                        ครั้งที่ 1

                            เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ
                           
                           รับฟังท่านมหานักปราชญ์

                       วันที่ 3  มิถุนายน  พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ดวงวิญญาณท่องไป                       ไกลถึงสวรรค์ถิ่นทิพย์
เบื่อหน่ายเมื่อยล้าเป็นนิจ                          สลัดทิ้งให้เต็มกำลัง
กลางขุนเขาเขาเสาะหา                            สัทธรรมพาพบทางแจ้ง
สำนักทรงหมายเป็นแหล่ง                         เรือเมตตาพาผู้คน

อรหันต์จี้กง   :  ฮา ฮ้า !.  ท่องเที่ยวเมืองนรก  ทุก ๆ ขุม  บรรยายกาศมืดทึม อึมครึม  ทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง เชื่อแน่ว่า ไม่มีใครอยากไปในสถานที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นแน่  นอกจากคนป่วยที่เป็นโรคใกล้ตาย หรือที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อาตมาได้พานายหยางเซิง เที่ยวทั่วเมืองนรกหมดแล้ว ได้โปรดพวกวิญยาณผี ขึ้นมาไม่น้อย ผู้คนก็ได้ละบาปก่อกุศล เป็นการลดเม็ดพันธ์ในขุมนรกไม่ใช่น้อย เมื่อนรกไม่ต้อนรับแล้ว ผู้คนไม่ย่างเท้าลงไป จึงพากันไปชะเง้อชะแง้อยู่หน้าประตูแดนสวรรค์ เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริง  อาตมาเที่ยวโปรดผู้คน ที่มีวาสนาตามตรอกตามซอย พบว่าปัจจุบันนี้ ผู้คนกลับตัวกลับใจใฝ่หาธรรม เพื่อที่จะได้ขึ้นสวรรค์บ้าง ทำให้อาตมาสุขใจขึ้นอย่างมาก วันนี้ ได้โอกาสอันดีงาม อาตมาจะได้ถือโอกาสถอดสลักประตู เปิดประตูแดนสวรรค์ไว้ต้อนรับ ผู้มีกุศลจิตได้เข้ามา..... ฮา ฮ้า !. ประตูกล ถูกอาตมาใช้ลูกกุญแจอภินิหารไขออกแล้ว ไม่มีใครจะขัดขวางทางเรา เจ้าหยางเซิงเอ๋ย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะเข้า - ออก  แดนสวรรค์ได้อย่างสบาย เที่ยวชมให้ชุ่มใจไปเลย เป็นบุญตาจริง ๆ ตั้งแต่หนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ได้ออกสู่สายตาชาวโลกแล้ว กอบกู้ผู้คนไม่น้อย ผู้ที่อ่านแล้ว ล้วนตั้งจิตอธิษฐานจะประกอบแต่กรรมดี รัศมีธรรมพุ่งทะยานสู่เบื้องบน  ท่านเง็กเซียนฮ่องเต้บัญชาให้เปิดประตูแดนสวรรค์ออกมาดู เราก็สามารถใช้โอกาสอันหายากนี้ เข้าไปเยี่ยมชมสักครา เพราะภาระอันหนักหน่วงนี้ ข้าจึงอยากให้เจ้าทำสมาธิ เพื่อสะสมพลัง จะได้ตามข้าขึ้นไปเที่ยวเมืองสวรรค์ เธอจงดูดอกบัวช่อนี้ซิ มันขยายใหญ่ขึ้นอีกแล้ว รัศมีระยิบระยับ แสบตายิ่งนัก การที่ได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่และมีจิตกุศล จึงได้รับเกียรติให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  อีกวาระหนึ่ง ข้าได้รับเทวโองการให้พาเจ้าไปเที่ยวสวรรค์ จงรีบขึ้นดอกบัวเถิด!.

หยางเซิง   :  นานมากแล้วไม่ได้พบปะท่านอาจารย์ รู้สึกคิดถึง วันนี้รับคำสั่งให้ไปเที่ยวเมืองสวรรค์ เพื่อแต่งคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ กระผมรู้สึกหนักใจมาก เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้สำเร็จ ต้องขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเหลือด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ศิษย์อาจารย์ดุจดั่งพ่อลูก  เจ้ามีศรัทธานับถือข้า ข้าก็ได้แผ่บารมีคุ้มครองเจ้าอยู่เสมอ ๆ ครั้งนี้เราได้รับภาระร่วมกัน ขอเพียงแต่เจ้าแน่วแน่เชื่อแน่ว่าต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เจ้าไม่ต้องอิดเอื้อนไปเลย ข้าได้เตรียมน้ำมนต์มาเต็มขวด ขอให้เจ้าดื่มกิน สามารถชำระความสกปรกโสมมของตับไตใส้พุงได้ จึงจะสามารถขึ้นแดนสวรรค์ได้

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ประทานน้ำมนต์ให้..... พอดื่มถึงท้องเท่านั้น จิต - กาย ก็เบาสบาย กระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น กายลอยดุจเทวดา

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ามีบุญวาสนาแล้ว หากไม่ได้ดื่มน้ำมนต์นี้ เกรงว่ากายหยาบจะเพิ่มน้ำหนักให้ดอกบัว จะไม่สามารถลอยขึ้นได้ รีบขึ้นดอกบัวเร็ว ๆ จะได้ออกเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าจะต้องหลับตาหรือเปล่า   

อรหันต์จี้กง   :  ไม่จำเป็น  แดนสวรรค์ไม่เหมือนแดนนรก เจ้าสามารถทัศนาทิวทัศน์ข้างทางได้ หากถ้าลมแรงไปหน่อย เจ้าก็หลับตาพักสักหน่อย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 1 เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ รับฟังท่านมหานักปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/12/2011, 09:46
                                  เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                        ครั้งที่ 1

                            เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ
                           
                           รับฟังท่านมหานักปราชญ์

                       วันที่ 3  มิถุนายน  พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ดวงวิญญาณท่องไป                       ไกลถึงสวรรค์ถิ่นทิพย์
เบื่อหน่ายเมื่อยล้าเป็นนิจ                          สลัดทิ้งให้เต็มกำลัง
กลางขุนเขาเขาเสาะหา                            สัทธรรมพาพบทางแจ้ง
สำนักทรงหมายเป็นแหล่ง                         เรือเมตตาพาผู้คน

หยางเซิง  :   ขอรับกระผม !  กระผมนั่งนิ่งแล้ว เชิญอาจารย์ออกเดินทางได้ ล่องลอยในอากาศมองเห็นเมฆเบื้องใต้ แสงไฟหลายดวงเปล่งแสงระยิบระยับ ภาพยามราตีกาลของชาวโลก ช่างทำให้คนหลงใหลเสียจริง ๆ  รัศมีเหลืองอร่ามนับหมื่น ๆ ลำแสงจากสำนึกเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง พุ่งสู่นภากาศ สว่างไสวดุจแสงไฟตรวจท้องฟ้า ฉายกราดอย่างไรอย่างนั้น เบื้องหน้ามีกลุ่มเมฆ สีฟ้า ๆ มีเหล่าเทพ เทวดา ไป ๆ มา ๆ ได้อย่างสบาย ๆ เหมือนไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

อรหันต์จี้กง  :   ที่นี่ใกล้เข้าสู่แดนสวรรค์ด่านทักษิณแล้ว ทิศทางของสวรรค์นั้น ได้กำหนดไว้ห้าทิศทาง  ทิศทางใต้ ด่านทักษิณเป็นด่านไฟ เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายจะเข้าออกทางด่านนี้ ถ้าหากว่า ถ้าไม่ได้มรรคผล ก็ไม่สามารถผ่านเข้าได้ (แดนสวรรค์ แบ่งเป็นทิศ ตะวันออก ตก เหนือ ใต้และตรงกลาง) ด่านทั้งสี่นี้จะปิดแน่น เปิดเพียงด่านเดียวเท่านั้น ถ้าหากความสามารถแห่งฤทธิ์เดชยังไม่ถึงขั้น ก็ยังไม่สามารถจะเข้าด่านเพลิงทางทักษิณนี้ได้  เพราะเจ้าได้ดื่นน้ำมนต์แล้ว จะสามารถต้านทานความร้อนนี้ได้ไม่ต้องกลัวไฟ เราเปลี่ยนเป็นขี่เมฆเข้าด่านไปดีกว่า

หยางเซิง  :   ขอรับ กระผม!  ผู้เฝ้าประตูด่าน ดูเหมือนจะเป็นท่านเห้งเจีย (ซุนหงอคง) ในเรื่องไซอิ๋ว ในมือถือไม้พลองทองคำ กระโดดโลดเต้นไม่หยุดดูเหมือนคอยพิทักษ์ประตูอยู่

อรหันต์จี้กง  :   ไม่ใช่หรอก เขากำลังฝึกวิทยายุทธอยู่เท่านั้น

หยางเซิง  :   เขาใช่ ท่านเห้งเจีย  (ซุนหงอคง) หรือเปล่า ?.

อรหันต์จี้กง  :   ใช่

หยางเซิง  :   เท่าที่ได้ฟังมา เขาว่า ซุนหงอคง เป็นเพียงตัวละครในนิทาน ทำไมจึงพบอยู่ในที่นี้  ในวันนี้

อรหันต์จี้กง  :   ความจริงชาวโลกเข้าใจผิด พระถังซำจั๋ง มีลูกศิษย์ที่ติดตามเรียกซุนหงอคงนั้น  ความจริงก็เป็นเพียง "ลิงค่าง"  ในภูเขา ผู้บำเพ็ญธรรมผู้หนึ่งจะเดินทางไปทิศตะวันตก (เพื่อนำพระไตรปิฏก) ผู้ที่มีพุทธจิตย่อมต้องมี จิตฟุ้งซ่านของลิง (สามัญจิต) ติดตามอยู่ด้วย เพราะต้องผ่านการฝึกอบรมจิตนานัปการ ต้องผจญมารต่าง ๆ เช่น เงินทอง  อิสตรี  เป็นต้น หากสามารถที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์ จิตของลิงเป็นจิตที่ฝึกฝนยากที่สุด ตราบเมื่อเข้าใจคำว่า "ตัณหาคือ ความว่าง  ความว่างคือตัณหา"  นั่นก็หมายความว่า สวรรค์เบื้องตะวันตกที่อยู่ไกลถึง สิบหมื่นแปดพันลี้  ฉับพลัน ก็จะอยู่ที่เบื้องหน้าแล้ว ดังนั้น ซุนหงอคง ที่ติดตาม พระถังซำจั๋งนั้น ก็คือ เป็นคำกล่าวที่มีตัวตน หากแต่ไม่มีรูป ชาวโลกจึงไม่ควรดูแคลนเป็นอันขาด

หยางเซิง  :   ความจริงเป็นเช่นนี้เอง เขากำลังหัวเราะ พลางเดินทางใกล้เข้ามาทางเราแล้ว

มหาปราชญ์  :   ยินดีต้อนรับ ท่านอรหันต์จี้กงและคุณหยางเซิงนักทรงเอก ได้มาถึง ท่านทั้งสองได้รับเทวโองการให้มาเที่ยวชมแดนสวรรค์ เพื่อแต่งคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ทางด่านทักษิณ ได้รับเทวโองการตั้งแต่วันที่ 5 เดือน 5  แล้ว  ได้เตรียมต้อนรับท่านทั้งสองไว้แล้ว วันนี้มาต้้อนรับล่าช้าไปหน่อย กรุณาให้อภัยด้วย

อรหันต์จี้กง  :   ท่านมหาปราชญ์ ไม่ต้องคารวะ วันนี้เราศิษย์อาจารย์ได้รับบัญชาให้มาท่องเที่ยวสวรรค์ มาเยี่ยมคำนับ บรรดานักปราชญ์ เทพ เทวดาและพระพุทธเจ้าทั้งหลายในไตรภพ เพื่อฟังคำบรรยายธรรม วิธีการบำเพ็ญเพียร เพื่อนำไปอบรมชาวโลก จะได้ขึ้นสวรรค์ในเร็ววันนี้ ครั้งต่อไป หากต้องผ่านประตูด่านทักษิณของท่านไปยังสวรรค์แดนต่าง ๆ ก็ต้องขอรบกวนให้ความสะดวกด้วยเถิด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 1 เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ รับฟังท่านมหานักปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/12/2011, 10:13
                                  เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                        ครั้งที่ 1

                            เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ
                           
                           รับฟังท่านมหานักปราชญ์

                       วันที่ 3  มิถุนายน  พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ดวงวิญญาณท่องไป                       ไกลถึงสวรรค์ถิ่นทิพย์
เบื่อหน่ายเมื่อยล้าเป็นนิจ                          สลัดทิ้งให้เต็มกำลัง
กลางขุนเขาเขาเสาะหา                            สัทธรรมพาพบทางแจ้ง
สำนักทรงหมายเป็นแหล่ง                         เรือเมตตาพาผู้คน

มหานักปราชญ์  :   ที่จริงสวรรค์ไม่มีประตู มีเพียงกลุ่มเปลวไฟด้านหน้าเท่านั้น หากยังไม่สามารถบรรลุ  ความว่าง  พอมาถึงที่นี่ สิ่งที่นำพามากับตัวก็จะถูกไฟเผาพลาญ แต่ร่างกายก็ต้้องร้อนเจ็บปวดทุรนทุราย ตกลงสู่นรกเบื้องล่างแน่นอน

หยางเซิง  :   เรียนถามท่านมหาปราชญ์ ท่านรักษาด่านทักษิณอยู่นี้ รู้สึกว่าอย่างไรบ้าง ?.

มหาปราชญ์  :   แต่ละวันมีผู้ศักดิ์สิทธิ์ แห่งสามภพเข้า ๆ ออก ๆ ที่ประตูนี้มากมาย หากเป็นผู้สำเร็จมรรคผลแล้ว การเข้า ๆ ออก ๆ มีอิสร ไม่ถูกบังคับ ส่วนผู้ศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง - ล่าง เนื่องจากยังไม่บรรลุมรรคผล การเข้าออกต้องมีหนังสือกำกับตัว ห้ามเข้าออกโดยพลการ กระบองทองของข้าพเจ้าร้ายกาจยิ่งนัก ไม่ว่าเทวดาองค์ไหนมาเจอข้า ต้องร่นถอยไปทุกราย ดังนั้น จึงมีชื่ออีกว่า "กระบองเพชร (วัชรปรมิต) (กิมกังห้ง) คือมีความหมายดั่งวัชรปรมิตสูตร  ที่มีคุณค่ายิ่ง ข้าพเจ้ารักษาด่านนี้ เป็นหน้าที่แดนสวรรค์ เมื่อส่องดูมนุษย์ในโลกสร้างแต่บาปกรรมมากขึ้น ดังนั้น ผู้สำเร็จมรรคผลใหม่ ๆ จึงมีน้อย ดูอย่างข้าพเจ้าซิ "หงอคงรูปเก่า" ไม่มีรูปใหม่ ๆ ให้เห็นเลย

หยางเซิง  :   วันนี้ กระผมกับอาจารย์ได้รับคำสั่งให้มาแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ครั้งแรกก็ได้มาด่านทักษิณก่อน ขอความกรุณาจากท่านมหาปราชญ์ ให้อนุเคราะห์ด้วย กรุณาเล่าถึงวิธีการปฏิบัติให้ได้สำเร็จมรรคผลด้วยเถิด

มหาปราชญ์  :   หากหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ แต่งสำเร็จลง ข้าพเจ้าหงอคง คงจะวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว เพราะว่าจะมีคนจำนวนมากอยากขึ้นสวรรค์ จึงได้ปฏิบัติบำเพ็ญเพียร แต่ละวันตั้งแต่เ้ช้าจรดค่ำ จะต้องมีผู้สำเร็จมรรคผลขึ้นสวรรค์เป็นแน่แท้

หยางเซิง  :   นั่นก็เป็นเรื่องน่ายินดี แดนสวรรค์ก็จะมีกัลยาณมิตรเพิ่มขึ้นมากมาย ทำไมจะต้องวุ่นวายด้วยเล่า ?.

มหาปราชญ์  :   พูดเล่นหรอกน่า อย่าถือสาเลย เธอเห็นข้าพเจ้าเหมือนอะไร เห็นเป็น  "สิ่งประหลาด"  ไหม ?.

หยางเซิง  :   มิได้  เห็นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 1 เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ รับฟังท่านมหาปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/12/2011, 10:58
                                   เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                        ครั้งที่ 1

                            เที่ยวสวรรค์ด่านทักษิณ
                           
                           รับฟังท่านมหานักปราชญ์

                       วันที่ 3  มิถุนายน  พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ดวงวิญญาณท่องไป                       ไกลถึงสวรรค์ถิ่นทิพย์
เบื่อหน่ายเมื่อยล้าเป็นนิจ                          สลัดทิ้งให้เต็มกำลัง
กลางขุนเขาเขาเสาะหา                            สัทธรรมพาพบทางแจ้ง
สำนักทรงหมายเป็นแหล่ง                         เรือเมตตาพาผู้คน

มหาปราชญ์  :   ฮา  ฮ้า !  พูดถึง "บำเพ็ญเพียร"  พูดให้จบสั้น ๆ ยาก  อย่างเช่น ข้าฯ สามารถแปลงร่างได้ถึง 72 อย่าง ก็ยังไม่สามารถก้าวพ้น นิ้วทั้งห้าของตถาคตเจ้า  ผู้คนฝึกฝนวิปัสนาถึงแม้นสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ถ้าหากฐานไม่มั่นคง ไม่รักษาศีลห้าประการของสังคมแล้ว อันได้แก่  ความมีพรหมวิหารสี่ (ยิ้ง)  ความยึดหลักในคุณธรรมในการรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น  (หงี) ความมีคารวะต่อผู้อื่น อ่อนน้อมตามควรแก่ฐานะของแต่ละบุคคล (โหล้ย) ความมีปัญญาที่เราเห็นปัญญา  (ตี่) และความมีสัจจะ  (สิ่ง) ก็ยากที่จะหลุดพ้นจากกรรมลิขิตได้  ก็ไม่สามารถบรรลุมรรค - ผล  มนุษย์เพาะเลี้ยงใจลิง (จิตฟุ้งซ่าน)  ไว้ตัวหนึ่ง กระโดดโลดเต้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่ยอมเชื่อง คิดจะดู คิดจะกิน คิดนั่นคิดนี่ คิดฟุ้งซ่าน ไม่เคยสงบลงสักชั่วยาม เอาแต่แกว่งไกวอยู่บนต้นไม้ ยากที่จะขึ้นสู่ประตูแดนสวรรค์ได้ ดังนั้น ชื้อข้าฯ หงอคง (ว่างเปล่า) ก็เพื่อที่จะให้คน "ปล่อยวาง"  ไม่ให้ไปติดยึด จะได้มีจิตสงบไม่ต้องไปก่อเวร พอตายบาปเวรจะได้ไม่ติดตัว มิฉะนั้นหากมีบาปติดตัวพอไปถึงด่านทักษิณ จะถูกไฟเผาผลาญจนร่างหล่นไปสู่ภูมิต่ำเบื้องล่างมิใช่ได้รับการทุบตีจากกระบองของข้าฯ ก็หาไม่ ดังนั้น หากจะเข้าประตูด่านทักษิณละก็ ต้องกายที่สะอาดบริสุทธิ์ จึงสามารถผ่านด่านไปได้ สู่แดนสววรค์ผู้ทรงธรรมะสูง มีกายที่วิสุทธิ์ เป็นธรรมกายในความว่างเปล่า ดังนั้น จึงจะสำเร็จธรรมะ ของคำว่าหงอคง (ว่างเปล่า)  ข้าฯ ไม่มีอำนาจควบคุมใครได้ แตะต้องก็ไม่ได้ ดังนั้น จึงปล่อยให้เข้าออกโดยเสรี วิญญาณในภูมิขั้นกลางและล่าง ยังมีร่างที่เพ้อฝันเลื่อนลอย ไม่บรรลุถึงขั้น "ว่างเปล่า"  จึงต้องมีใบอนุญา๖เข้า - ออก ด่านได้ การบำเพ็ญธรรมของมนุษย์ ไม่น่าจะมีอุปสรรค หรือยากลำบากอะไรเลย เพียงแต่ขจัด กามตัณหา  และมิจฉาทิฐิ (ความเห็นผิด) ก็จะสามารถผ่านด่านนี้ได้

หยางเซิง  :   ท่านนักปราชญ์พูดถูกต้อง !  ดูบนศรีษะซิ มีห่วงทองคำที่ตถาคตเจ้าสวมให้ หากจิตใจไม่สงบอย่างใจลิง เมื่อมาถึงด่านทักษิณนี่ ก็ต้องร่วงหล่นจะตะเกียกตะกายขึ้นมาไม่ได้ ทำวิปัสนาก็เหมือนขึ้นบันไดสวรรค์  ไม่วอกแวก ทีละก้าว ๆ ไปข้างหน้า ไม่นานก็จะถึงสวรรค์ ใจลิง (จิตฟุ้งซ่าน) ยากที่จะขจัดได้ ใครจะกล้าขึ้นบันได ที่ผูกม้าที่โลดเล่นติดกับบันได ขอชาวโลกจงเข้าใจ หากต้องการเดินทางขึ้นสวรรค์ ก็ต้องล้างเท้าให้สะอาด มีสติมั่นคง  มีปัญญาเห็นธรรม ก็เหมือนน้ำมนต์ปะพรมเต็มร่างซุนหงอคงที่ด่านทักษิณ ก็ไม่สามารถทำอะไรใครได้  ใช่ไหม ?.

มหาปราชญ์  :   ถูกต้องแล้ว ผู้ที่มีธรรมะสูงเช่นนี้ ข้าฯ จะต้อนรับ ด้วยความเคารพ อย่างเช่นวันนี้ ที่ได้ต้อนรับท่านทั้งสอง ดุจเดียวกัน

อรหันต์จี้กง  :   ฮา  ฮ้า!  วันนี้เที่ยวเมืองสวรรค์ครั้งแรก ได้พบหน้ามหาปราชญ์ สนทนาธรรมที่ดียิ่ง คิดว่าเมื่อกลับไปแล้ว เห็นทีต้องเข้าห้อง ทำวิปัสนาสักที หยางเซิง !  รีบคารวะลาท่านมหาปราชญ์เอกเสีย

หยางเซิง  :   หน้าประตูด้านทักษิณ มีเทพเจ้าแต่งเสื้อเกราะทอง ตั้งแถวทั้งสี่ทิศ หน้าตาขึงขังปราศจากรอยยิ้ม ดูน่าเกรงขามยิ่ง

มหาปราชญ์  :   เทพเหล่านี้ ทหารแดนสวรรค์ ท่านมิต้องหวั่นวิตก

อรหันต์จี้กง  :   ขอขอบคุณท่านมหาปราชญ์เอก ที่ได้บรรยายธรรมะอันมีค่ายิ่ง ขอลาก่อนละ

มหาปราชญ์  :   มีคำสั่ง !  ให้ทหารตั้งแถวสั่งแขก

อรหันต์จี้กง  :   หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง  :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางเถิด

อรหันต์จี้กง  :   พอเริ่มเบิกตาปัญญา ก็ได้ชมความงามของสวรรค์ ซึ่งไม่เหมือนที่ใดในโลกมนุษย์ แต่การรับภาระอันยาวนี้ ขอให้หยางเซิงอย่าเกียจคร้านจงลงแส้ม้า มุ่งสู่แดนสวรรค์อย่างกล้าหาญ และรอคอยผู้มีบุญวาสนา พากันมาอย่างพร้อมเพรียงกัน สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 2 ชมพระที่นั่งหยก สวรรค์ทักษิณ นมัสการพระบุ้งฮ้วงราชาแห่งปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/12/2011, 08:22
                           เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่  2

                ชมพระที่นั่งหยก   สวรรค์ทักษิณ

            นมัสการพระบุ้งฮ้วง   ราชาแห่งปราชญ์
 
                วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        วิธีฝึกมีร้อยแปด             แบบที่พบหนทางเดียว
ใต้หัวเขามีจิตเปลี่ยน               ปลูกท้อทิพย์พิศเพริศพริ้ง
จะก้าวพ้นทั้งสามภพ               จงสงบตัดสามใจทิ้ง
หกช่องทางเกิดสลัดกลิ้ง          หกทวารต้องตัดสิ้น

อรหันต์จี้กง   :   วิธีฝึกจิตมีมากมายแต่ที่สำคัญที่สุด จิตต้องบริสุทธิ์แน่วแน่ ให้ละใจทั้งสามทิ้ง คือ สิ่งที่ผ่านไปใจไม่คิด  ปัจจุบันใจไม่ติดอยู่  อนาคตที่ยังมาไม่ถึง ใจไม่ฟุ้งซ่าน  ถ้าทำได้ ก็จะบรรลุมรรค - ผล  หลุดพ้นทั้งสามภพ  การที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ในหกช่องทาง ก็ต้องฝึกตัด หกมหาโจร (ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ) ทิ้ง  เมื่ออายตนะทั้งหกตัดขาด หกช่องทางเกิดก็หมดเส้นใยผูกมัด  ชาวโลกที่ฝึกฝนธรรมมักมีสองจิตสามใจ  ไม่มีสติมั่นคง  ทำให้พวกมารคอยขวางทาง ฉุดดึงลงทะเลจมอยู่ในหกช่องทางเกิด ไม่สามารถก้าวพ้น ควรคิดให้ตก !  หากอยากขึ้นสวรรค์เหมือนกายเบาไม่มีหนี้ จึงจะสามารถลอยขึ้นสู่เบื้องบน  สำหรับวันนี้ได้เวลาไปเที่ยวสวรรค์  หยางเซิง เจ้ารีบขึ้นดอกบัว เตรียมออกเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  ดอกบัวทิพย์ลอยขึ้นสู่เบื้องบน เราศิษย์อาจารย์หลุดพ้นจากโคลนตม ฝุ่นไอ (กิเลส)  เมฆขาว ขุนเขาเขียว รัศมีเจิดจ้าอยู่เบื้องหน้า แค่พริบตาเดียว ก็ถึงประตูด่านทักษิณ

หยางเซิง   :  เหตุไฉน ถึงมีทหารอยู่ที่ประตูนับพัน ๆ เหมือนกับจะเตรียมพร้อมรบ ท่านมหาปราชญ์กำลังยิ้มระรื่นมาทางนั้น

อรหันต์จี้กง   :  บนสวรรค์ เหล่าทหารเพิ่งจะเสร็จจากการฝึกซ้อม กำลังพักผ่อน จึงเห็นมีทหารอยู่มากมาย เจ้าอย่าตกใจ อย่าให้ภาพข้างหน้า ทำให้หวั่นไหวเหมือนจิตลิงจิตม้า

หยางเซิง   :  ครับ - อาจารย์  เกิดใจลิงขึ้น แต่จิตม้าไม่หวั่นไหว จะจัดการอย่างไรดี ?. (หมายถึงใจฟุ้งซ่าน)

อรหันต์จี้กง   :  ช่างมัน  "ไปเถิด"

หยางเซิง   :  ครับ .....ผม  ม้าอยู่ลิงไป

อรหันต์จี้กง   :  ช่างมันปะไร

มหาปราชญ์   :  ขอต้อนรับ ท่านอรหันต์จี้กง และคุณหยางเซิง เชิญเข้าประตูด่านทักษิณ เพื่อเยี่ยมชมภายใน         
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 2 ชมพระที่นั่งหยก สวรรค์ทักษิณ นมัสการพระบุ้งฮ้วงราชาแห่งปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/12/2011, 09:37
                          เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่  2

                ชมพระที่นั่งหยก   สวรรค์ทักษิณ

            นมัสการพระบุ้งฮ้วง   ราชาแห่งปราชญ์
 
                วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        วิธีฝึกมีร้อยแปด             แบบที่พบหนทางเดียว
ใต้หัวเขามีจิตเปลี่ยน               ปลูกท้อทิพย์พิศเพริศพริ้ง
จะก้าวพ้นทั้งสามภพ               จงสงบตัดสามใจทิ้ง
หกช่องทางเกิดสลัดกลิ้ง          หกทวารต้องตัดสิ้น

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณท่านมหาปราชญ์ วันนี้ พวกเราจะเข้าไปพระที่นั่งหยก แห่งสวรรค์ทักษิณ เพื่อนมัสการท่านประมุขแห่งสวรรค์ทักษิณ พระบุ้งฮ้วงราชาแห่งปราชญ์ ขอให้ท่านมหาปราชญ์ ช่วยนำเข้าไปด้วยเถิด

มหาปราชญ์   :  อ๋อ ต้องการเช่นนี้ ขอเชิญตามข้าฯ มา

หยางเซิง   :  มหาปราชญ์เพียงแต่กลับตัว ก็มีก้อนเมฆเกิดขึ้น รีบขึ้นไปทันที แดนสวรรค์ช่างสะดวกจริง ที่เท้าก็มีเมฆไปมาอิสระ น่าจะได้เรียนไว้ ไม่ทราบ ท่านอาจารย์จะยอมสอนอิทธิฤทธิ์นี้ให้ได้หรือไม่ ?.

อรหันต์จี้กง   :  สิ่งนี้เป็นการดี จะสอนให้บ้าง อยากจะเรียนอย่างหงอคง ก็ให้ฟ้งข้าฯ พูดให้ดีนะบนศรีษะหงอคงมีห่วงทองสวมอยู่ เรียกว่า "ศรีษะอรหันต์"มือถือกระบองทองคำ แต่ถ้าวางลงจะคลุมทั่วภิภพ พอเก็บขึ้นก็จะหดเล็ก เก็บไว้ในที่ลับ (มองไม่เห็น)  นี่คือ สัทธรรม (เต๋า) อันยิ่งใหญ่อยู่ในอุ้งมือ จะยืดหรือหดได้ตามใจ  พระไท้เสียงเล่ากุงได้หล่อหลอม "อัคนีย์เนตร" (หวยงั่งกิมเจ็ง) ไว้ให้ เพื่อรักษาด่านเพลิงของสวรรค์?ักษิณ ไม่มีอะไรทำให้เขาเสียหาย  เมื่อตีลังกา พลิกกายได้ตามชอบใจ ซ้ำที่เท้ายังเสกกลุ่มเมฆได้ด้วย นี่ก็คือ สัญญลักษณ์แห่งสิ่งวิเศษสามประการได้แก่ พรหมจรรย์  เอกธาตุ  และสติ  (เจ็ง  ขี่  ซิ้ง)  เปรียบเหมือนน้ำในกระติกยิ่งร้อนเท่าไร ไอร้อนก็ยิ่งพุ่งแรงเท่านั้น ใต้อุ้งเท้าก็มีพลังของธาตุพุ่งออก เหมือนจรวดพุ่งออกด้วยแรงส่งจากการเผาไหม้ บนศรีษะมีกำลังแห่งสติพุ่งออก มือเท้าร่างกายพลิกกลับได้รวดเร็ว ดังนั้น เพียงแค่พลิกกายเท่านั้นก็ไปถึงถึงสามพันลี้ มนุษย์หากต้องการความสามารถนี้ ต้องรักษาพรหมจรรย์และเอกธาตุ ตัดความทะยานออก มีสติมั่นคง เหมือนน้ำในกระติกเพิ่มถ่านไฟ เพียงขยับก็สามารถพุ่งขึ้นฟ้าหรือแทรกลงดิน มิฉะนั้นแล้ว ทุก ๆ วันจะจมปลักอยู่ในสุรานารี และทรัพย์สมบัติ ในที่สุดจะต้องตกลงสู่ปฐพีเหมือนลูกโปร่งแตก ตกลงมาผลแห่งบุญกุศลเสื่อมสลาย  แล้วจะเหาะเหินขึ้นสู่สวรรค์ได้อย่างไร?. วิชาอันนี้ ควรจดจำให้ดี ฝึกฝนกายให้ได้รับธรรมกายแล้ว จะสามารถซ่อนธาตุไว้ในสามโลก ห่อหุ้มฟ้าดินไว้

หยางเซิง   :  ที่แท้ยังต้องมีวิชานี้ จึงจะสามารถกระพือปลีกบินได้

อรหันต์จี้กง   :  ถึงพระที่นั่งหยก ของ พระบุ้งฮ้วงแล้ว หยางเซิงโปรดเงียบ เตรียมตัวเข้าพบพระบุ้งฮ้วงราชาแห่งปราชญ์ ขอบคุณมหาปราชญ์ที่นำทาง

มหาปราชญ์   :  ไม่ต้องเกรงใจ  ต้องขอลาไปก่อน

หยางเซิง   :  ขอคารวะ ท่านบุ้งฮ้วงราชาแห่งปราชญ์ ข้าน้อยหยางเซิง มากับท่านอาจารย์ ขอให้ท่านโปรดชี้แนะด้วยเถิด

ราชาแห่งปราชญ์   :  มิต้องคารวะ เชิญท่านทั้งสองนั่งเถิด ขอให้เทพบริการน้ำชาเร็ว !

เทพ   :  รับคำสั่ง..... ได้บริการแล้วขอรับ

ราชาแห่งปราชญ์   :   ท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงไม่ต้องเกรงใจ ราชาท่านประทานน้ำชาให้ดื่มแล้วจะมีประโยชน์

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านราชาที่ทรงเมตตาประทานชาให้ ชานี้ดูใสสะอาด ดื่มแล้วทั้งเย็นและชุ่มคอ วันนี้เราศิษย์อาจารย์ได้รับคำสั่งให้มาแต่งหนังสือ จึงได้ตรงมาเยี่ยมคำนับท่าน ขอให้ท่านโปรดประทานพระวรพจน์ด้วยเถิด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 2 ชมพระที่นั่งหยกสวรรค์ทักษิณ นมัสการพระบุ้งฮ้วงราชาแห่งปราชญ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/12/2011, 10:09
                         เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่  2

                ชมพระที่นั่งหยก   สวรรค์ทักษิณ

            นมัสการพระบุ้งฮ้วง   ราชาแห่งปราชญ์
 
                วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        วิธีฝึกมีร้อยแปด             แบบที่พบหนทางเดียว
ใต้หัวเขามีจิตเปลี่ยน               ปลูกท้อทิพย์พิศเพริศพริ้ง
จะก้าวพ้นทั้งสามภพ               จงสงบตัดสามใจทิ้ง
หกช่องทางเกิดสลัดกลิ้ง          หกทวารต้องตัดสิ้น

ราชาแห่งปราชญ์   :  ท่านทั้งสองลำบากมามากแล้ว พวกท่านแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เสร็จแล้ว ได้ช่วยเหลือผู้คนไม่น้อย ดังนั้น เสด็จแม่แดนสุขาวดีและท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ จึงโปรดให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์" ขณะนี้เป็นเทศกาลโปรดสัตว์ทั้งสามโลก เทพเจ้าและอรหันต์ทั้งสามโลกจึงมีงานมากเป็นพิเศษ เสด็จแม่และเง็กเซียนฮ่องเต้ต้องการโปรดสรรพสัตว์จึงมีบัญชาการให้เทพเจ้าและอรหันต์ลงจากสวรรค์มาโปรดชาวโลกและได้จัดให้มีการรับพระทับทรง เปิดความสะดวก เปลี่ยนกกฏเกณฑ์โปรดสัตว์ใหม่ เผยแพร่สัทธรรม กอบกู้วิญญาณให้กลับถิ่นเดิม ดังนั้น สวรรค์ทักษิณของข้านี้จึงควบคุมการทรงของสำนักทั่วพิภพ ผู้ที่เปิดสำนักประทับทรงนั้น ๆ  ล้วนได้มีการบันทึกไว้ในสมุดของสำนักอย่างชัดแจ้ง หวังว่า มนุษย์ที่บำเพ็ญธรรมในสำนักทรง ควรที่จะอุทิศตนอย่างจริงจัง ผู้ที่ได้ปฏฺญญาณเข้าบำเพ็ญธรรมในสำนักทรง จะมีชื่ออยู่ใน สวรรค์ทักษิณ หากได้อุทิศตนเสมอต้นเสมอปลายโดยตลอด เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็จะมีเทพยดานำไปสู่สวรรค์ทักษิณ แจ้งชื่อสำรวจกุศลบุญที่บำเพ็ญมา เพื่อไปเสวยสุขตามกุศลในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ หากเข้าสำนักทรงแล้ว ยังประพฤติผิดศีลทำผิดต่อปณิธานที่ให้ไว้ ก็ต้องถูกตีให้ตกลงสู่นรก สรุปความว่า มีศีลมีธรรมขึ้นสวรรค์ ผิดศีลผิดธรรมตกนรก อันนี้เป็นกฏตายตัว ชาวโลกหากไม่รักษา คุณธรรม 5 ประการ จะไม่สามารถขึ้นสวรรค์ ทำให้ข้าสังเวชใจนัก !  หวังว่า เมื่อสภาพสวรรค์ได้ถูดเปิดเผยแล้ว ผู้คนจะหลั่งไหลพากันมาที่นี่ อพยบมาอยู่ที่นี่ อย่างสุดความสามารถ ข้าฯจึงจะมีความดีใจ

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณมาก ที่ประทานวรพจน์ วันนี้คงต้องขอลากลับก่อน

หยางเซิง  :  ขอบพระคุณมาก ที่ท่านราชาแห่งปราชญ์ ทรงประทานพระวรพจน์ เนื่องจากหมดเวลาลงแล้ว ต้องขอกราบบังคมลาก่อน

ราชาแห่งปราชญ์   :  มีคำสั่ง !  ให้เทพยดาตั้งแถวสั่งแขก

เทพดา   :  รับด้วยเกล้า  ขอส่งท่านอรหันต์จี้กงและคุณหยางเซิงกลับสำนัก

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอรับ  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว  เชิญอาจารย์ออกเดินทางเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ทิวทัศน์แดนสวรรค์ไม่มีที่สิ้นสุด การจัดเตรียมการเดินทางแสนจะเหนื่อยยากลำบากใจ แต่มันก็ค่อย ๆ เข้าสู่วิถีทางโคจรแล้ว ทุก ๆ แห่งดูอัศจรรย์ วิญญาณได้เที่ยวสวรรค์ก็มีความสุขเพลิดเพลินมิใช่น้อย ไฉนหนอมนุษย์จึงไม่ย่างเข้ามาเล่า..... ถึงสำนักแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 3 ชมพระที่นั่งหยก สวรรค์ทักษิณ ฟังธรรมจากราชาแห่งปราชญ์อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/12/2011, 10:57
                             เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 3

                     ชมพระที่นั่งหยก  สวรรค์ทักษิณ

                   ฟังธรรมจากราชาแห่งปราชญ์อีกครั้ง

                     วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง   กล่าวเป็นกลอนว่า

        เพียงพัดโบกเบาเบา                  ลมพัดเอาสัทธรรมมา
ในกระติกอมฤตา                               ใช้ชะฝุ่นในลำไส้
มนุษย์เลียนแบบข้าฯ                          จะมีสุขตลอดไป
นึกถึงวัดเล้งอุ้งไซร์                            คือข้าฯ พระอรหันต์

อรหันต์จี้กง   :  ในมือข้าฯ มีพัด  พัดเบา ๆ ในกระติกมีน้ำอมฤต คอยเทเข้าไปในปาก ลักษณะย่างก้าวเหมือนพระอรหันต์ ชาวโลกจะเลียนแบบข้าฯ มีสักกี่มากน้อย ?.  น้ำอมฤตปราศจากกลิ่น  มีพัด  พัดก็ไม่เย็น ที่สุดแล้วจะเล่นกลอะไรกัน มีคนเขาว่า ข้าฯ ฉันเนื้อหมา  ดื่มเหล้า  บ้า ๆ บอ ๆ ต่างเห็นว่าเป็นพระเก๊ ๆ ข้าฯว่า พวกเขาดูข้าผิดไป !  ในโลกมนุษย์ยังมีพระฉันเนื้อ แต่มนสวรรค์ไม่มีพระอรหันต์ดื่นเหล้าหรอก  ในสมัยก่อนโน้น ข้าฯยังอยู่บนสวรรค์ เห็นคนที่ออกบวช ปากก็ฉันมังสวิรัติ แต่ในใจมีอุบายร้อยแปด มีพระน้อยองค์นักที่มีความรู้ในพระสัทธรรม  ล้วนแล้วแต่หลอกข้าวกิน ข้าฯ ไม่อาจทนดู พระสัทธรรมเหมือนเส้นด้ายกำลังจะขาด ดังนั้ ข้าฯ จึงจุติจากสวรรค์ มาเกิดในโลกมนุษย์มีชื่อว่า  ซิวอ๋วง  (บำเพ็ญเพียร)  เพื่อโปรดผู้คน แสร้งทำเป็นบ้า ๆ บอ ๆ เที่ยวเล่นไปในโลก จำเพาะเจาะจงคอยเล่นตลกกับพวกพระเหล่านั้น พวกเขาว่าฉันไม่ได้ ข้าฯ ก็จะฉัน เขาว่าไปไม่ได้ ข้าฯ ก็จะไป  ช่วยเหลือผู้ที่มีความศรัทธาด้วยวิธีตรงกันข้าม ดังนั้น พวกที่มีปัญญาน้อย จึงเห็นข้าฯ เป็นมารศาสนา  หารู้ไม่ว่า กายข้าฯ บ้า ๆ บอ ๆ แต่ใจข้าฯ ไม่เป็น  ข้าฯ สวดอภิธรรมแท้ ๆ ไม่เหมือนพวกเขาสวดแต่ของปลอม  อันที่จริงพวกที่แกล้งทำเป็นเมตตา คือ พวกที่หลอกกิน หลอกดื่มเพื่อยังชีวิต  พอข้าฯ ไปถึงเมื่อไร  ข้าฯ ทำให้สะรับข้าวเขาแตก หมดทางหากิน  ดังนั้น พระสงฆ์ในสมัยนั้น จึงเกลียดข้าฯ จะตาย ด่าข้าฯ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้  พวกสงฆ์ยังมีอคติต่อข้าฯ  หาว่าข้าฯ เป็นพระที่ไม่บริสุทธิ์ หารู้ไม่ว่าข้าฯ คือ พระอรหันต์ที่อวตารมา มีธรรมกายที่แฝงเร้นโดยสัทธรรม  ดังนั้น การฉันเนื้อดื่มเหล้าจึงมีรสชาติเพียงลึกแค่สามนิ้วในลำคอเท่านั้น มิได้ลงไปในกระเพาะเลย  เป็นการเล่นกลในปากเท่านั้น  เพื่อที่จะเย้ยหยันพระสงฆ์ ที่บำเพ็ญธรรมอยู่ด้วยกัน  อย่างนี้เรียกว่า "กินเปล่าดื่มเปล่าเท่านั้น ไม่มีรสชาติเลย"  ผู้คนเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจ  ข้าฯ คือ อรหันต์สมประสงค์ อรหันต์เจ้าสำราญ !  ฮาฮ้า  ผู้คนไหว้ "พระตาย"  ไม่ไหว้ "พระเป็น"  น่าสงสาร ! น่าสงสาร !  เหตุการณ์เปลี่ยนไป ตอนนี้ ข้าฯ จะไปตามบ้านไม่ไปตามวัด อยากให้ชาวบ้านสร้างพระพุทธทุกบ้านมีพระพุทธ วันนี้ก็ต้องมานำหยางเซิงไปเที่ยวสวรรค์ ไปกันเถอะเจ้าหยาง 

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ  พูดเสียยืดยาว  ชาวบ้านเขาจะหาว่าท่านกล่าวโอ้อวดนา

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องกลัว !  ข้าฯ ชินกับชาวบ้านแล้ว ข้าฯ ไม่สนอยากจะอยู่วัดวาอารามใหญ่โต ถึงอย่างไร ข้าฯ ก้ไม่เสแสร้งหลอกลวง จึงจะเป็นทางที่สะดวกที่จะช่วยเหลือชาวบ้านก็ตาม ชาวบ้านว่าข้าฯ บ้า ๆ บอ ๆ แต่ข้าฯ กลับสงสารพวกเขานะ รีบขึ้นดอกบัวเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิด ..... วันนี้ทำไมมาที่นี่ ?. ที่นี่มันทางสามแพร่งของแดนต่อแดนระหว่างยมโลกกับมนุษยโลก

อรหันต์จี้กง   :  เราจะไปที่สวรรค์ทักษิณ โดยผ่านที่นี่ก่อน ค่อยไปสวรรค์ทักษิณ       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 3 ชมพระที่นั่งหยก สวรรค์ทักษิณ ฟังธรรมจากราชาแห่งปราชญ์อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/12/2011, 16:35
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 3

                     ชมพระที่นั่งหยก  สวรรค์ทักษิณ

                   ฟังธรรมจากราชาแห่งปราชญ์อีกครั้ง

                     วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง   กล่าวเป็นกลอนว่า

        เพียงพัดโบกเบาเบา                  ลมพัดเอาสัทธรรมมา
ในกระติกอมฤตา                               ใช้ชะฝุ่นในลำไส้
มนุษย์เลียนแบบข้าฯ                          จะมีสุขตลอดไป
นึกถึงวัดเล้งอุ้งไซร์                            คือข้าฯ พระอรหันต์

หยางเซิง   :  แดนต่อแดนระหว่างมนุษย์กับยมโลก  กระผมเคยมาเมื่อครั้งก่อนแต่งหนังสือเที่ยวเมืองนรก แต่วันนั้น กระผมเห็นทางนี้กว้างใหญ่ แถมยังมีรัศมีเจิดจ้าไปจรดเมฆบนเส้นทางมีผู้คนมากมาย บางคนก็นั่งคันหาม บางคนก็มีเมฆพาไป  บางคนก็เดินทอดน่องตามสบาย ทุกคนก็มีเทวดาบ้าง เทวทูตบ้าง เป็นพระบ้างนำไป  มิทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด

อรหันต์จี้กง   :  พอคนตายลง บางคนที่ไม่ต้องตกนรก พอมาถึงแดนต่อแดนระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก เมื่อมาถึงทางสามแพร่ง ก็จะต้องไปยังภูเขาหัวใจ คือเส้นทางที่เจ้าเห็นเมื่อสักครู่ นี้  ก็คือคนที่ได้ทำบุญ สร้างมหากุศล เมื่อตายลงแล้ว ก็สุดแท้แต่เทวทูต แต่ละศาสนาจะพาไปบนสวรรค์ไปรายงานตัว  แต่สำหรับผู้ที่บรรลุสัทธรรม ก็ไม่ต้องมาแบบนี้ ทั้งนี้เพราะผู้บรรลุสัทธรรมแล้วก็จะรู้ การเกิด การตาย  รู้หนทางดี  ตอนมีชีวิตอยู่ก็รู้จักหนทางในแดนสวรรค์ดี พอตายลงก็สามารถไปได้สบายเพราะรู้จักเส้นทางดีอยู่แล้ว มีอิสระทุกอย่าง วิญญาณจิตเดิมก็ล่องลอยไปเอง มีความสุขสบาย รายละเอียดของผู้คนที่กลับสู่สวรรค์ วันหลัง ๆ ข้าฯ จะพาเจ้าไปดู  สำหรับวันนี้เราจะไปที่พระที่นั่งหยก  นมัสการพระบุ้งฮ้วง  ราชาแห่งปราชญ์ เพื่อฟังธรรม

หยางเซิง   :  ก็ดีครับ !  มองดูผู้ที่จะกลับสู่สวรรค์เหนือศรีษะต่างมีวงรัศมีแตกต่างกัน แต่ละบุคคลต่างก็ดีใจ มีความสุขสบายต่างจากพวกที่ตกนรก แต่ละคนร้องไห้โหยหวน

อรหันต์จี้กง   :  แน่นอนทีเดียว !  ขึ้นสวรรค์สู่แดนบรมสุขลงนรกรับโทษทัณฑ์ สภาพทั้งสองจะเหมือนกันได้อย่างไร ?. มนุษย์อยากขึ้นเวทีรับรางวัล หรือคุกเข่ารับการโบยตีล่ะ ?. เร็ว ๆ พวกเราไปยัง  สวรรค์ทักษิณ  กันเถอะ 

หยางเซิง   :  ดอกบัวทะยานไปลิ่ว ๆ เบื้องหน้ามีเส้นทางใหญ์ สว่างไสวลอยอยู่ ชั่วพริบตาก็มาถึง สวรรค์ทักษิณแล้ว แลเห็นท่านมหาปราชญ์ กำลังฝึกกระบองทองคำอยู่พลางยิ้มพลาง ไม่หยุดนิ่ง !

อรหันต์จี้กง   :  เราจะไม่หยุด... เพียงแต่ทักทายก็พอ ..... ถึง พระที่นั่งหยกสวรรค์ทักษิณแล้ว หยางเซิงรีบคารวะ ราชาแห่งปราชญ์เร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ..... ขอคารวะท่าน ราชาแห่งปราชญ์ วันนี้ พวกกระผมก็ได้มาอีกครั้ง ขอความกรุณาโปรดประทานโอวาทด้วยเถิด

ราชาแห่งปราชญ์   :  มิต้องคารวะ !  เชิญท่านทั้งสองนั่งลง เทพดาจงบริการน้ำชา

เทพยดา   :  รับคำสั่ง !  ได้บริการเรียบร้อยแล้วขอรับ

ราชาแห่งปราชญ์   :  ท่านทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมากนัก  ท่านอรหันต์ก็รับภาระอันยิ่งใหญ่ โปรดกู้สรรพสัตว์ โดยนำนายหยางเซิงท่องแดนทั้งสามโลก เพื่อแต่งหนังสือเตือนสติ ต้องลำบากมิน้อย เบื้องบนสวรรค์มีคำสั่งให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ต้องมีความหมายที่พิเศษมาก เพราะต้องแพร่งพรายความลับของสวรรค์  ดังนั้น จึงต้องได้รับผลประโยชน์จากการเตือนสติผู้คน มิฉะนั้น จะเป็นการเหนื่อยเปล่า การที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ได้มีผู้ศรัทธาร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ  พระสูตร  ออกแจกจ่ายเพื่อปลอบเตือนผู้คน เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์  ที่ให้ความชุ่มชื่นแก่สรรพสัตว์ทั่วโลก ถ้าหหากหนังสือเล่มนี้จัดทำที่นี่ก็เกรงว่า จะเผยแพร่ไม่ได้กว้างขวาง  เหมือนจัดทำการสำนักของท่าน  ดังนั้น หนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  จึงจำเป็นต้องเลือก  คน  สถานที่  และสวรรค์ทั้งสามส่วนนี้ให้เหมาะสม ฉะนั้น จึงเลือกสำนักของท่าน  มิใช่ว่าฟ้าจะลำเอียง สัทธรรมไม่เข้าใครออกใคร  ใครมีศีลธรรม ผู้นั้นย่อมได้รับการสนับสนุน ดังนั้น จึงหวังว่า ศิษย์ทั้งหลายควรตระหนักถึงเกียรติที่ได้รับ และควรอุทิศทวีคูณช่วยสวรรค์ กอบกู้ผู้คนเป็นการตอบแทนพระคุณสวรรค์

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ ท่านราชาแห่งปราชญ์  พวกกระผมจะบำเพ็ญเพียรจนสุดความสามารถเพื่อฟื้นฟูศีลธรรม อย่างสุดกำลัง  และโชคดีที่ฟ้าเมตตา พวกกระผมรู้สึกขอบคุณเป็นล้นพ้น  กระผมจะกลับไปรายงานให้พวกเขาทราบถึงคำสั่งของท่าน

ราชาแห่งปราชญ์   :  แดนสวรรค์กว้างไกล หากจะไปให้ทั่วถึง เกรงว่าจะไปไม่หมด  สำหรับความคิดเห็นของข้าฯ  ควรจะเลือกไปเฉพาะที่เข้ากับศีลธรรมปัจจุบัน ก็เพียงพอเพื่อให้หนังสือสำเร็จลุล่วงไปโดยเร็ว จะได้ไปกอบกู้ผู้คน คงต้องลำบากท่านอรหันต์จี้กงมากหน่อย

อรหันต์จี้กง   :  สิ่งนี้คือหน้าที่ของอาตมา ขอเพียงแต่ท่าน ราชาแห่งปราชญ์ได้ดปรดให้ความสะดวก

ราชาแห่งปราชญ์   :  เกรงใจไปไย !  ปัจจุบันนี้ ประจวบเหมาะในการโปรดสัตว์สามโลก  ได้แก่  สวรรภูมิ  นรกภูมิ  และมนุษย์ภูมิ  แต่ละแห่งจะมีทั้งคนและผีปฏิบัติธรรม คราวนี้การแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เพื่อเน้นหนักการถ่ายทอดความจริงด้านนี้  เพื่อผลการกอบกู้ผู้คน เหมือนตรงต่อการให้ยาถูกโรค  ยังสามารถกล่อมเกลาจิตมนุษย์  นอกจากนี้ก็จะได้แบบพิมพ์เขียวของ  "สวนสวรรค์อันสมบูรณ์"  ขอสั่งเสียเพียงเท่านี้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ขอบพระคุณมาก ที่ท่านราชาแห่งปราชญ์ กรุณาประทานโอวาท วันนี้ จำเป็นต้องขอลาก่อน

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณมาก ที่ท่านราชาแห่งปราชญ์ ให้ความห่วงใย

ราชาแห่งปราชญ์   :  มีคำสั่ง  ให้เทพยดาตั้งแถวสั่งแขก !

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว เราจะกลับสำนักกัน

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 4 ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า พระไท้เสียงเล่ากุง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/12/2011, 21:38
                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระอรหันต์จี้กง   :  ฟ้าดินถือกำเนิดจากเอกธาตุ พิภพอันใหญ่ปกครองด้วยสรรพสิ่ง พระศาสดาของห้าศาสนา  แม้จะใช้ยานพาหนะที่ต่างกันออกเผยแพร่พระธรรม และบนยานพาหนะ จะมีพระคัมภีร์ จะมีอักษรนับหมื่นตัวก็ตาม ล้วนแล้วแต่สอนให้มนุษย์ เดินทางไปสู่สวรรค์ทั้งหมด  แต่มาสมัยนี้ ในพระคัมภีร์จะถูกแก้ไขเรื่อยมา  บ้างก็เพิ่มเติมเสริมแต่งความคิดเห็นส่วนตัวลงไป  ทำให้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (ลายแทงขุมทรัพย์) เลอะเทอะผิดเพี้ยน  ทำให้ผู้แสวงธรรมต้องหลงทางอยู่ในขุนเขา โดยหารู้ไม่ว่าทุกศาสนามีหลักธรรมเหมือน ๆ กัน  ซึ่งมุ่งสู่สันติภาพมีความซื่อสัตย์ที่จะสั่งสอนผู้คน เหนี่ยวรั้งความเสื่อมโทรมของสังคม  มุ่งสู่ความสันติสุขร่วมกัน มนุษย์ควรตระหนักถึงสวรรค์ที่มีต่อที่มีชีวิต การเผยแพร่พระศาสนา ก็เพื่อส่งเสริมให้มีความผาสุกและสันติภาพ ต่อมนุษยชาติอย่างเดียวกัน  ดังนั้น จึงไม่ควรที่จะดูถูกเหยียดหยาม และกล่าวร้ายกันและกัน สรรพชีวิตที่อยู่กันคนละแห่ง ล้วนมาจากสวรรค์แห่งเดียวกัน ต่างเลี้ยงชีพปกครองโลก พอนานวันเข้า ต่างก็ลืมสวรรค์ถิ่นเดิม บัดนี้  สวรรค์ต้องการให้สรรพชีวิตสำนึกตน  นึกถึงบรรพบุรุษสู่ถิ่นฐานเดิม ดังนั้น จึงมีคำสั่งมายังสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง  ให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เปิดเผยสวรรค์ เพื่อให้มนุษย์เข้าใจถึงหลักการเดิมของชีวิต  เพื่อกลับสู่สวรรค์ได้ในเร็ว ๆ วัน  หากยังไม่สำนึกตน ปฏิบัติธรรมก็รังแต่จะถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร มีทุกข์มหันต์ ไม่อาจกลับคืนสู่ถิ่นเดิมได้ !  หยางเซิง ! รีบขึ้นดอกบัวเตรียมออกเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญ ท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  นั่งอยู่บนบัวช่องาม เหินอยู่ในเวหานับหมื่นลี้ ทะยานสู่แดนสวรรค์อันสดใส ความรู้สึกเบาหวิว ๆ คล้ายกับเทวดาจริง ๆ  เคลิบเคลิ้มเหมือนดั่งเมาเหล้า เหาะเหินได้อย่างสะดวกสบาย  เบาตัวเบาใจ  มีความสุขเสียจริง ๆ ศิษย์รัก เจ้าไม่พูดไม่จาว่ารู้สึกอย่างไร ?.

หยางเซิง   :  จิตใจรู้สึกโล่งปลอดโปร่ง มีแต่แสงระยิบระยับ ไม่มีเมฆหมอกแห่งความเศร้า เห็นแต่มาลีสวรรค์เต็มไปหมด มีนกแปลก ๆ บินร่อนอยู่ไปมา ส่งเสียงร้องเจี้อยแจ้ว เหมือนกำลังร้องเพลงทิพย์ สัตว์แปลก ๆ มุดอยู่สุมทุมพุ่มไม้อันเขียวขจี  กระผมดูจนตาลายเหมือนคนเมาเหล้าแล้ว  ณ  ที่นี้ไม่มีวี่แววของผู้คนอาศัยอยู่เลย  แดนสวรค์มีทิวทัศน์งดงาม  ชวนให้หลงใหลเสียจนไม่อยากกลับไปโลกมนุษย์เลย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 4 ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า พระไท้เสียงเล่ากุง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/12/2011, 21:40
                              เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

อรหันต์จี้กง   :  ทิวทัศน์เช่นนี้  หาดูไม่ได้ในแดนมนุษย์ นอกเสียจากแดนสวรรค์ อันเนื่องจากเจ้ายังไม่หมดอายุขัยของมนุษย์ ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้  ควรจะช่วยกอบกู้สรรพสัตว์ ร่วมกันปฏิบัติธรรม วันข้างหน้า เจ้าก็สามารถมาท่องเที่ยวแห่งนี้ได้  ชมเขาชมน้ำอยู่อย่างเทวดาได้นานทีเดียว !

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ อาจารย์ทีแนะนำ !  ด้านหน้ามีอาคารตั้งอยู่บนเมฆ  แสงทองส่องระยิบระยับ ยังมีความเขียวเขาเดี่ยวเดินตรงมาทางเรา  ทำไมบนสวรรค์ยังเลี้ยงควายด้วยหรือ ?.

อรหันต์จี้กง   :  อ๋อ !  นั่นเป็นพาหนะของท่านพระไท้เสียงเล่ากุง... ควายเขียวเขาเดี่ยว นั่นเป็นสัตว์เทวดา ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา เจ้าไม่ต้องกลัวเขามาต้อนรับเรา ควายและวัวในโลกมนุษย์น่าสงสารที่สุด ถูกใช้ให้ไถนา  ลากเกวียน เนื้อใช้เป็นอาหาร นมใช้เลี้ยงทารก  วัวควายมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมหาศาล พระเล่ากุงเลี้ยงควายนี้ เป็น ควายเทวดา ก็เหมือนกับวัวควายในโลกมนุษย์เป็นต้นตระกูลไงล่ะ ในเมืองมนุษย์มีทั้งวัวเหลียง วัวขาว วัวดำ และวัวแดง แต่หามีความยเขียวไม่ !

หยางเซิง   :  ปราสาทด้านหน้าสง่างามมาก ลักษณะผิดธรรมดา ยังกับสร้างด้วยทองคำและหยกเหมือนเนรมิต ความสง่าผ่าเผย ทำให้คนเห็นแล้วเกรงขาม ข้างบนมีหนังสือเขียนว่า  "มหาวิสุทธิปราสาท" (ไท้เซงเก็ง) แวววับจับตา

อรหันต๋จี้กง   :  ที่นี่เป็นที่ พระไท้เสียงเล่ากุงประทับอยู่ บัลลังก์ไตรวิสุทธินี้ สถิตอยู่ ณ มหาสุทธาวาสภูมิ (ไต่เฉียะเทียน) วันนี้ เราจะมาที่นี่ก่อนเพื่อฟังธรรมเทศนาเกี่ยวกับการกำเนิดของฟ้า - ดิน   เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ถ่องแท้จะได้ปฏิบัติธรรม เป็นแนวทางไปสู่สวรรค์ การแต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ ควรกล่าวถึงวิถีทางของ ฟ้า - ดิน ก่อน  ท่านพระไท้เสียง ทรงเป็นพระศาสดาแห่ง  "เต๋า"  ดังนั้น จึงอยากให้ท่านเป็นผู้บรรยายเรื่องนี้

หยางเซิง   :  อ๋อ ... เป็นเช่นนี้เอง

อรหันต์จี้กง   :  เทพเต๋ายืนเรียงรายอยู่สองปากทาง คอยต้อนรับเราอยู่แล้ว

หยางเซิง   :  ขอนมัสการท่านเทพเต๋าทั้งหลาย  ข้าน้อยคือคนทรงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง  วันนี้ได้รับบัญชาติดตามพระอาจารย์มาเที่ยวสวรรค์ ขอเชิญท่านเทพเต๋าได้โปรดชี้แนะ

เทพเต๋า   :  ขอต้อนรับ พระอรหันต์จี้กงกับท่านหยางเซิง  ที่มาเยี่ยม ท่านพระศาสดาได้ให้มาเชิญ  ขอเชิญท่านทั้งสองตามพวกเรามาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ ... เดินตามเหล่าเทพเต๋าเข้าไปข้างใน มหาวิสุทธิปราสาท ภายในปราสาทงามสง่า น่าเกรงขาม เงียบสงัดปราศจากเสียง พระศษสดา อันมีพระพักตร์อ่อนวัย แต่มีพระเกศาขาวดั่งขนนกกระเรียน ประทับอยู่เหนือบัลลังก์สูง ด้านหน้ามีกระถางกำยานตั้งอยู่ กลิ่นกำยานกระจายขึ้นสู่เบื้องบน รอบ ๆ พระวรกายมีรัศมีสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า  ดวงตาของกระผมไม่อานทนรับแสงได้แล้ว ! ขอกราบนมัสการ พระศาสดาเจ้าท่านไท้เสียงเล่ากุง ข้าพระพุทะเจ้า ได้รับเทวโองการติดตามพระอาจารย์ ให้มาท่องสวรรค์เพื่อแต่งหนังสือ วันนี้ได้มาถึงยัง มหาวิสุทธิปราสาท ขอเข้าพบพระศาสดาเจ้าขอทรงพระเมตตาโปรดประทานแนะนำ ความหมายของ  "เต๋า"  เพื่อลงในหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  เพื่อเตือนสติชาวโลก

พระศาสดาเจ้า   :  มิต้องคารวะ !  หยางเซิงโปรดลุกขึ้น !  ท่านอรหันต์ก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เชิญทั้งสองนั่งลง !  หยางเซิงมีกายเนื้อ ตาปัญญาเพิ่งจะเปิด บารมียังไม่แกร่งกล้า มาถึงสวรรค์ชั้น มหาสุทธาวาส ดวงจิตทนได้ยาก  ข้าจะประทานยาทิพย์ให้เม็ดหนึ่ง เพื่อเพิ่มพละกำลังให้แก่เจ้า จงรับไป ! 

หยางเซิง   :  ขอกราบขอบพระคุณท่านศาสดาเจ้าที่เมตตา กระผมรู้สึกจะทนไม่ได้จริง ๆ แดนสวรรค์แม้จะสวยงาม แต่ ดวงจิตไม่สงบ ! 

พระศาสดาเจ้า   :  สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพละกำลังนี้ นอกเหนือจากสวรรค์ทั้งสามสิบสามภูมิแล้วอย่างเช่น  สวรรค์ชั้นมหาสุทธาวาส นี้  หากไม่ใช่ผู้สำเร็จผลมรรค - นิพพานแล้ว จะไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ เจ้าน่ะมีบุญวาสนา อาศัยคำสั่งให้มา ข้าจะต้อองช่วยเจ้าอีกแรงหนึ่ง รีบ ๆ รับประทานเข้าไปเสีย

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ... กระผมรับเข้าไปแล้ว ฉับพลันรู้สึกใจถูกร้อนลน ทำให้เกิดพละกำลังเพิ่มขึ้น  เบื้องบน นัยน์ตาทั้งสองเบิกกว้าง รู้สึกสามารถมองอะไรรอบ ๆ ได้เต็มที่แล้ว กราบขอบพระคุณท่านศาสดาเจ้า

พระศาสดาเจ้า   :  ยานี้เป็นยาทิพย์ เก้าวงกต ได้หลอมในเตาทองนี้นานถึงแปดสิบเอ็ดปีแล้ว รอคอยที่จะประทานให้แก่ผู้ที่มีบุญวาสนา วันนี้นายหยางเซิงมาที่นี่ นับว่ามีบุญวาสนา !

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ท่านศาสดาเจ้าที่ประทานยาทิพย์ให้แก่ศิษย์ของอาตมา ช่วยเสริมพละกำลังให้มิใช่น้อย  วันนี้ เรามาเยี่ยมคำนับท่านศาสดาเจ้าเพื่อที่จะมาฟังธรรมเทศนาความเป็นมาของ "ฟ้า - ดิน"  เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจถึงสัทธรรมอันยิ่งใหญ่ จะได้อบรมจิตเพื่อกลับสู่ถิ่นเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 4 ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋าพระไท้เสียงเล่ากุง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/12/2011, 06:49
                              เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระศาสดาเจ้า   :  ความอัศจรรย์ของ ฟ้า - ดิน  นอกจากผู้บรรลุสัทธรรมแล้ว ทั่ว ๆ ไปก็เพียงรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โชควาสนาที่มีการโปรดสัตว์อันยิ่งใหญ่ ความลี้ลับอัศจรรย์แห่งวิถีโคจรของฟ้า - ดิน  จึงถูกเปิดเผยเพื่อแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ใจข้าห่วงใยสรรพสัตว์ ที่ไม่สามารถจดจำหลักการ ที่จะกลับสู่ความจริง ดังนั้น จึงขอถือโอกาสนี้เปิดเผยกิจ  "ความเป็นมาของฟ้าดิน"  ให้แก่ชาวโลก เพื่อผลในการโปรดสัตว์   อันว่า ฟ้าอยู่สูง  แผ่นดินอยู่ต่ำ
มนุษย์อยู่เบื้องกลาง  ทั้งสามสิ่งสมบูรณ์ก็เกิดจักรวาล นับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์  ฟ้า -ดิน   สุริยัน - จันทรา  ยังเป็นเอกภาพ ไม่มีการแบ่งแยก ในขณะนั้น ด้วยเอกธาตุแต่ปางก่อน ของจอมปราชญ์  พระพุทธเจ้า  พระวิสุทธิเทพ  พระมหาจอมมุนี อันนับเป็นจำนวนโกฏิ ๆ พระองค์  ที่มีธาตุอันบริสุทธิ์ที่ต่างพร้อมใจกันเปล่งรัศมีสุดประมาณ หมุนเคลื่อนอวกาศ ท่านเหล่านั้นคือ  "มหาบุรุษจอมราชัน"  ที่สถิตอยู่เบื้องสูงสุด  หรือถูกยกย่องว่าเป็น "พระผู้เป็นเจ้า"  และเนื่องจากเป็นที่กำเนิดของสรรพสิ่ง จึงขนานอีกพระนามหนึ่ง "บิดาสวรรค์  พระแม่ธรณี"   เนื่องจากไม่ทราบพระนาม  จึงเรียกว่า "มหัศจรรย์"  เนื่องจากไม่ทราบที่มา จึงเรียกว่า "องค์ปฐม"   นั่นคือ ที่มาของ  "มหาสัทธรรม"  เริ่มจากไม่มีชื่อ  "เริ่ม"  เมื่อได้มีการหมุนเคลื่อนให้ครบรอบวงกลม เอกธาตุถูกแบ่งแยก  จึงแปรเป็น  ไตรวิสุทธิ์   อันได้แก่  พระวรสุทธิ์องค์แรก  พระวิสุทธิจิต  และพระมหาวิสุทธิธรรม  เมื่อพระทั้งสามองค์ประสานเป็นกายเดียวแล้วก็กลายเป็นองค์สมบูรณ์ จากไตรวิสุทธิ์นี้  แยกออกเป็นรูปวิสุทธิธาตุที่เบาจึงลอยสู่เบื้องบน  เป็นการเบิกฟ้า กำเนิด  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาววิเศษสามสิ่งจึงสำเร็จลง   พระไตรวิสุทธิ์ก็ได้อวตารเป็นห้าอาวุโส   บิดาธาตุไม้อยู่ทางตะวันออก   มารดาธาตุทองอยู่ทางตะวันตก   อาวุโสธาตุไฟอยู่ทางทิศใต้   อาวุโสธาตุน้ำอยู่ทางทิศเหนือ   และอาวุโสพระธรณีอยู่ศูนย์กลาง  นั่นคือ ห้าอาวุโส   

        เมื่อทั้งห้าอาวุโสอยู่ครบ ธาตุที่ขุ่นและหนักก็ตกลงสู่เบื้องล่าง  จึงเกิดแผ่นดินขึ้น  เมื่อมีฟ้า - ดินแล้ว  แต่ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์  มหาบุรุษจอมราชัน จึงทำสมาธิเดินธาตุบริสุทธิ์  ให้ทั้งห้าอาวุโสจัดสร้างมนุษย์ เมื่อจักรวาลสำเร็จลง แต่ไม่มีที่สำหรับมนุษย์อยู่  ดังนั้น ทั้งห้าอาวุโสจึงแบ่งวิญญาณ  ขยายพันธุ์  ทั้งห้าอาวุโสได้รับคำสั่งแล้ว ก็ให้  แม่ธาตุทอง  กับบิดาธาตุไม้ จัดแจงให้วิญญาณไปเกิด  ขณะนั้น  ทั้งห้าอาวุโสได้เลือกเขาสิเนรุเป็นศูนย์กลางเสาะหาถ้ำที่อยู่อาศัย  นำเอาดินสีเหลืองปั้นเป็นหม้อต่างครรภ์  ทำฝาครอบกลม ๆ ปิดลง และทำที่หมุนทั้งสี่มุม  จัดตั้งให้เรียบร้อย   บิดาธาตุไม้ได้สลักเอาโลหะจากหิน ทำเป็นสามขา ต่างเป็นขาหยั่งไว้ตั้งกระทะ  แม่ธาตุทองเก็บดินห้าสี จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ปั้นเป็นเตารูปจันทร์เสี้ยว  มีน้ำเซาะหินตัดผ่านภูผา ได้หินงามประหลาด  คลุกกับน้ำแล้วกอบไว้ในเตา เอาหม้อดินวางไว้ข้างใน  ด้านนตั้งกระทะทองไว้ เอาแก่นไม้แห้งจากทางใต้ ใช้ไฟจริง (พลังจิต)  ต้มน้ำมัน  ชั่วครู่เดียว ความร้อนได้ขับดันไอ (ธาตุแท้) ออกมา  จากความสงบจึงหยดธาตุ (ไทฮั้ว) ลงสู่ในหม้อ ใต้หม้อยังมีไอ (ธาตุ)  เล็ดรอดออกมา ส่วนที่ดูดซับน้ำ ได้หุ้มธาตุทอง (กิมฮั้ว)  มีการยุบ ๆ พอง ๆ โดยธรรมชาติ  ระดับน้ำขึ้น ๆ ลง ๆ  ภายในเต็มล้นและอิ่มเอิบ

        ห้าอาวุโส สามารถล่วงรู้เหตุการณ์อันสำคัญว่า  ส่วนศรีษะแดง ได้เชื่อมติดแน่นแล้ว จึงรื้อเตาออก อุ้มหม้อออกมาดู รัศมีเปล่งประกายรอบ ๆ อยู่ถึงเจ็ดวันจึงหยุดลง   ท่านอาวุโส  ธาตุดิน  ธาตุไฟ  และธาตุน้ำ  ขึ้นนั่งในที่สูง  คอยดูอย่างตั้งใจ  (พ่อ) ธาตุไม้  และ (แม่) ธาตุทอง   จึงก่อเตาขึ้นใหม่นำหม้อขึ้นตั้งบนเตาใหม่  ยามเช้าเกรงว่าจะหนาว จึงสุมเปลวแดดไว้ข้างล่าง !  ยามเย็นก็เกรงว่าจะแห้ง  จึงหยดน้ำธาตุ  (ไท้อีก) ด้านบน  ทั้งอาวุโสธาตุไม้และธาตุทอง  ได้อาศัยวิธีหลอมทองให้เป็นรูป (กิมเอ๊กเลี่ยงเฮ้ง)  จนกระทั่งคงไว้แต่สติ  เพื่อเพิ่มพลังจิตให้ลืมความกังวล  และความคิดต่าง ๆ คงสภาพไว้เฉย ๆ คอยเพิ่มหรือลดพลังจิตตามจังหวะจนกระทั่งแล้วเสร็จ  รอคอยให้ครบกำหนด  เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนดแล้ว  ปรากฏมีเมฆสีต่าง ๆ ลอยอยู่เบื้องบน  น้ำมนต์ก็ปะพรมลงสู่เขาสิเนรุ ได้ยินเสียงจากในกระทะ ทั้งอาวุโสไม้ และทอง ต่างรู้ว่า  ทารกน้อยได้กำเนิดแล้ว               
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 4 ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า พระไท้เสียงเล่ากุง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/12/2011, 10:35
                             เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระศาสดาเจ้า   :  เมื่อเปิดฝาบนออกดู จึงเห็นมีของสิ่งหนึ่งกอดรัดอยู่  อาวุโสทองจึงเอามืออุ้มออกมาคนหนึ่ง มองเห็นเป็นทารกเพศชาย  อาวุโสไม้อุ้มอีกตนหนึ่งขึ้นมา ปรากฏเป็น ทารกเพศหญิง  ทั้งสองยิ้งร่าแล้วกระโดดออกจากระทะ  นี่คือบรรพชนในอดีต  นามว่า "มหาบุรุษ"  (ไท้เฮี้ยง)  และวรสตรี(เง็กนึ่ง)  อีกนัยหนึ่งคือ อาดัม กับ อีวา  ซึ่งเป็นพืชพันธุ์มนุษย์ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และในขณะที่ ธาตุบริสุทธิ์ ทั้งห้าทิศให้กำเนิดมนุษย์ ก็มีธาตุที่ไม่บริสุทธิ์ ซึมแผ่ออกมาด้วย คลุมทั่วพื้นพิภพ  ทำให้เกิดสัตว์ต่าง ๆ เช่น พวกสัตว์ปีก  พวกพืช  และยังมีพวกโลหะ  มีแม่น้ำ  ทะเล  มหาสมุทรไฟฟ้าในอากาศและหินไฟรวมทั้งฝุ่นละอองและสัตว์ต่าง ๆ คัมภีร์ที่ปั้นดินเสกให้เป็นคน ก็เกิดจากที่นี่  คนที่แท้ทำจากดิน  ดินให้กำเนิด  ก็ต้องอยู่กับดินไปตลอด ดังนั้นเมื่อตายลงก็ต้องคืนสู่ดินอีก การสร้างโลกจึงสำเร็จลง  ทารกทั้งชายหญิงจึงจุติจากสวรรค์มาสู่โลก  เริ่มแรกมนุษย์ยังมีกายบริสุทธิ์ เนื่องจากได้เสพสิ่งหลงติดในโลก ทั้งในที่สว่าง - ที่มืดมิด  (อิม - เอี้ยง)  ผสมผสาน  ดังนั้น มนุษย์จึงเกิดแล้วเกิดอีก  ทั้งหมดนี้ เริ่มจากที่ไร้ขอบเขต (บ้อเก๊ก) เกิดการเคลื่อนที่  ทำให้เกิดขอบเขตอันไพศาล (ไท้เก๊ก)  ขอบเขตอันไพศาลนี้มีทั้งในที่สว่าง - ที่มืดมิด (อิม - เอี้ยง)  ทำให้เกิดสรรพสิ่ง ...เริ่มจาก หนึ่งแพร่กระจายเป็นหมื่น ๆ ดังนั้น คำว่า  "สรรพสัตว์" จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "วิญญาณ 96 ดวง"  หมายความถึง ลักษณะฟ้า 9 ส่วน  ดิน 6 ส่วน  ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

        ธาตุทั้งห้าก่อกำเนิดวิญญาณเดิม แต่ละดวงมีธาตุแท้ ดังนั้น มนุษย์จึงมีอวัยวะภายในครบทั้งห้า  มีธาตุทั้งห้าแข็งแรง  ล้วนเป็นพระคุณของธาตุทั้งห้า ในโลกนี้มีผิวพรรณต่าง ๆ กัน ทั้งห้าสี  ในทิศทางต่าง ๆ  ทิศตะวันออกผิวสีเขียว   ทิศตะวันตกผิวสีขาว   ทิศใต้ผิวสีแดง  ทิศเหนือผิวสีดำ  ทิศเบื้องกลางผิวสีเหลือง  ก็เหมือนดินเหนียวที่เผาอยู่ในเตา ความแรงของไฟไม่เท่ากัน  ทำให้เกิดแสงสีทั้งห้า

        วิญญาณเดิมจุติสู่ในโลก เริ่มแรกจิตเดิมบริสุทธิ์  มีใบไม้พันกาย จิตจึงเป็นจิตเดิม ไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ดังนั้น พอมนุษย์ตายลงแล้วก้กลับคืนสู่สวรรค์แต่ทว่าจิตใจได้หมกมุ่นอยู่ในแผ่นดินนานเข้า  ชาติพันธุ์และวิญญาณแปรเปลี่ยน  ในสมัยโบราณยุคกลาง วิญญาณไม่บริสุทธิ์ เมื่อมนุษย์ตายลงวิญญาณจึงไม่สามารถกลับคืนสู่สวรรค์ วิญญาณที่มีบาปจึงตกต่ำ  ดังนั้น  นรกจึงบังเกิดขึ้น

        ท่านอาวุโสทั้งห้า  มีความเสียใจอย่างยิ่ง จึงได้ร่วมกันปรึกษา เพื่อวางแผนรับวิญญาณคืนถิ่น  อาวุโสทั้งห้าจึงจำเป็นต้องจุติ ลงมายังโลกด้วยตัวท่านเอง แยกกันไปคนละทิศทาง  ต่างก็เป็นจอมศาสดาของห้าศาสนา  เผผยแพร่พระศาสนาให้แก่สาวก เพื่อโปรดสัตว์ให้คืนถิ่น  แต่ว่า ภายหลังพระศาสดาเสด็จดับขันธ์ลงแล้ว พระสาวกก็ได้หลีกไกลจากพระสูตรผิดธรรมะ    ทำให้วิญญาณเดิมอยู่ห่างไกลจากธรรมะ  เกิดการกล่าวร้ายซึ่งกันและกัน  กระทำสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม  กระทบกระเทือนต่อ ฟ้า - ดิน  ท่านอาวุโส  พระแม่ (ธาตุทอง)  เศร้าเสียใจที่ลูกไม่กลับคืนถิ่น  ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้นำพระสัทธรรมมาสู่โลก  เพื่อกอบกู้ผู้คน  เพื่อเร่งให้ได้ผลรวดเร็วขึ้น  จึงได้ลงประทับทรง สั่งสอน ปลอบเตือนลูกเกเร 

        เพราะต้องการโปรดสัตว์อย่างแท้จริง  ดังนั้น ทั้งสามภพ  ถึงได้ประชุมกันขึ้นในวันที่  1  เดือน 5  ปีมะแม  (26 พ.ค. 22)  ประธานทั้งสามภพจึงลงมติ ให้เปิดเผยสภาพทิวทัศน์ของสวรรค์ เพื่อการชักจูงเหล่าวิญญาณ ให้กลับคืนสู่สวรรค์ อันบรมสุข  อันเป็นความตั้งใจของพระแม่ หวังว่าชาวโลกเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะกลับตัวกลับใจ เข้าหาพระสัทธรรม จะได้กลับสู่สวรรค์  วิญญาณผนึกเข้ากัน กลับคืนสู่ ไตรวิสุทธิ์เป็นเอกธาตุอีกครั้ง  เสวยสุขนิจนิรันดร์

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ที่ท่านศาสดาเจ้าได้เปิดเผยถึงความลี้ลับของสวรรค์ เพื่อชักนำมวลมนุษย์ เนื่องจากเวลามีจำกัด อาตมาจะพานายหยางเซิงกลับไปยังสำนัก วันหน้าค่อยมาเยี่ยมคารวะใหม่

พระศาสดาเจ้า   :  ก็ดี !  มีคำสั่ง  ขอให้เทพเต๋าตั้งแถวส่งแขกทั้งสอง

เทพเต๋า   :  รับคำสั่ง !  ขอส่ง ท่านอรหันต์จี้กง  และคุณหยางเซิงกลับสำนัก หวังว่าจะได้มาเที่ยวอีก

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ท่านจอมศาสดาแห่งเต๋า ที่ประทานวรพจน์อันล้ำค่า ขอกราบลาก่อน  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญ ท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 5 ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/12/2011, 10:11
                             เที่ยวเมืองสวรรค์ :

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม         

อรหันต์จี้กง   :  กลอนบทนี้ เชื่อว่าคนจำนวนมากรู้จักกันดี แต่อย่าคิดว่าเพียงท่องได้ก็จะบรรลุธรรมก็หาไม่ เนื่องจากปากกับใจยังอยู่ห่างกัน ในบทกลอนคำว่า  "ภูผาจิต"  ก็คือ  "ภูเขาหัวใจ"   และที่นี่ก็เป็นทางสามแพร่ง ที่จะแยกไปสวรรค์ และ ยมโลก  จากถนนสู่มนุษยโลกไปสู่ถนนไปยังสวรรค์ หรือถนนไปยังยมโลก  ก็จะแยกกันตรงนี้แหละ ดังนั้น ชาวโลกหากจะปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาจากที่ไหนไกล ๆ  เพียงมีกระจกสักบานหนึ่ง ส่องดูหน้าตาตนเอง ดูซิว่าเหมือนคนดีหรือเหมือนคนเลว คลำดูที่ใจว่าเป็นใจที่ดี หรือใจเลว ภูผาจิตก็อยู่ในใจของเจ้าเอง ชั่วขณะหนึ่งที่ขึ้นภูเขาแล้วพบพุทธฉับพลันนั่นก็คือ ได้ค้นพบเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์แล้ว  วันนี้  ก็ต้องพานักทรงเอก วิญญาณเจ้าหยางเซิงไปท่องสวรรค์อีก หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ผมขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้  ก็ยังต้องไปมหาวิสุทธิปราสาท ไปเยี่ยมคารวะท่านไท้เสียงเล่ากุง ศาสดาแห่งเต๋าอีกครั้ง ศิษย์รัก  นั่งอยู้บนดอกบัวลอยละลิ่วพลิ้วไปตามลมขึ้นสู่แดนสวรรค์

หยางเซิง   :  รู้สึกร้อนเหลือเกิน

อรหันต์จี้กง   :  ก็จวนจะถึงสวรรค์ทักษิณนะซิ  ที่นี่อยู่ใกล้แนวอวกาศ อากาศเบาบางมาก จวนจะไม่มีอากาศอยู่แล้ว อีกอย่างก็เนื่องจากความเร็วของการเดินทาง จึงทำให้รู้สึกร้อน

หยางเซิง   :  ที่แท้บนแดนสวรรค์มีอากาศอยู่หรือไม่ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่า มนุษย์ที่เข้าไปในอวกาศ ต้องห่อหุ้มร่างกายไว้ อาศัยออกซิเจนจากโลกขึ้นไป มิฉะนั้นแล้ว จะเข้าไปในอวกาศได้หรอกหรือ  ปุถุชนที่มีกายเนื้อ คิดจะมีชีวิตในแดนสวรรค์จะเป็นได้อย่างไร ?. ควรจะบำเพ็ญธรรมจนได้  "กายทิพย์"  จึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นแล้ว กายเนื้อเมื่อมาถึงที่นี่คงจะแข็งตายไปเท่านั้น ด้วยเหตุฉะนี้  หากมนุษย์คิดจะย้ายมาอยู่ยังอวกาศ ก่อนอื่น ควรทำใจให้กว้างเหมือนอวกาศ กว้างจนไม่มีสักสิ่งเดียว จึงจะเบาจนรู้สึกสบาย จึงจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้  เจ้าเคยเห็นนายอาร์มสตรอง  ตอนที่ไปเหยียบดวงจันทร์ไหม ?.  ลักษณะการล่องลอยคล้ายเทวดาเป็นการพิสูจน์ เหตุผลที่ว่าอากาศบริสุทธิ์ จะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เทพดา  อรหันต์  ต่างมีความสุขสบายอิสระ  อย่างไรนั้น !  เป็นเพราะได้รักษาพรหมจรรย์จนกลายเป็นพลัง ฝึกพลังให้มีสติ  ฝึกสติสู่ความว่าง  จากกายเนื้อสู่กายทิพย์ เห็นรูปเป็นอรูป (ว่าง)  ดังนั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในแดนสวรรค์ พวกเจ้าควรรับรู้เอาไว้

หยางเซิง   :  ความเป็นมาของจักรวาล ทำไมจึงพิศดารอย่างนี้ ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 5 ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาดาแห่งเต๋า อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/12/2011, 10:53
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ :

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม         

อรหันต์จี้กง   :  สวรรค์ได้จัดระบบของจักรวาล  เช่น การโคจรตามแนววิถีของมัน พลังดึงดูดจากใจกลางของโลก เป็นบ่อเกิดของกระแสไฟฟ้า รักษาระบบการโคจรของดวงดาวให้ปกติ ไม่เกิดการเสียดสี หรือชนกันขึ้นได้  อันนี้นับว่าเป็นความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ของสวรรค์  ในโลกนี้ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า  ในแต่ละดวงดาว มีดาวเทียมประจำอยู่ สามารถเทียบเท่ากับฝีมือสวรรค์ แต่เหล่านี้ก็เทียบไม่ได้กับการฝึกใจอบรมจิตจนบรรลุปัญญามีตาทิพย์ได้เห็นความเป็นอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่งได้ จะถ่ายทอดสภาวะแห่งความจริงได้มากกว่า  การใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์หยั่งเอานั้น ทำได้เ้เพียงผิวเผิน ส่วนของชีวิตในแผ่นดินสวรรค์ ที่สูงขึ้นไปอีกนั้น พวกเขาไม่สามารถจะรู้ได้เลย เปรียบเสมือนเจ้ามองเห็นความกว้างของท้องทะเลนั้น แต่ของมีค่าจำนวนมหาศาลใต้ทะเลและฟ้า - ดินนั้น  เจ้าจะเห็นได้ไหม ?.

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ได้เปิดเผยความลี้ลับ แห่งจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ซึ่งเป็นข่าวใหม่เสียจริง ๆ เห็นทีจะต้องประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้กันต่อไปอีกเป็นพัน ๆ ปีเลยทีเดียว

อรหันต์จี้กง   :  ความลี้ลับของสวรรค์มีมากมาย เพียงเปิดเผยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกนั้นให้ชาวโลกค่อย ๆ ค้นหากันเอาเองเถอะ อาจารย์กับศิษย์สนทนาธรรมกันมา ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงมหาวิสุทธิปราสาท วันนี้ที่นี่สงบเงียบ ภายใต้ต้นไม้หรือศาลมีเทพเต๋าที่หน้าตาดูสดใส หรือเหล่าวิสุทธิเทพ เทพที่มีหน้าตาส่อแววเมตตาปรานี นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่

หยางเซิง   :  พวกเขาเหล่านั้น ล้วนมีรัศมีเปล่งประกาย อันนี้เนื่องจากอะไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  พวกเขากำลังขับเคลื่อนพลังจิตให้หมุนรอบกาย จิตว่างดังอวกาศอันนี้ เป็นความสามารถขั้นสูงในการบำเพ็ญเพียร ดังเช่น แก้วมณีที่ปราศจากฝุ่นละออง ย่อมเปล่งแสงแวววาวออกมาโดยอัตโนมัติ เราอย่าได้เสียเวลาคุย รีบเข้าไปในปราสาท เพื่อขอให้พระศาสดาแห่งเต๋าทรงบรรยายธรรมเถิด

หยางเซิง   :  ก็ดีครับ !  เจ้าควายเขียวเขาเดี่ยวตัวนั้น มันเดินลอยชายอยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางสุขสบายเสียจริง ๆ

อรหันต์จี้กง   :  ควายนี้ มิใช่ควายธรรมดามันกำลังเดินจงกลมอยู่  พวกเรารีบเข้าไปในปราสาท ตั้งใจฟังธรรมดีกว่า

หยางเซิง   :  ครับกระผม !... ข้าน้อย ขอคารวะท่านพระศาสดาเจ้า  วันนี้ก้ได้มากับอาจารย์อีก ขอโปรดได้บรรยายธรรมเถิด ! 

พระศาสดาเจ้า   :  มิต้องคารวะ ! ท่านทั้งสองลำบากนะ ขอเชิญนั่ง !  มีคำสั่งให้เทพเต๋าบริการน้ำอมฤต ! 

เทพเต๋า   :  รับคำสั่ง !... ได้บริการแล้วขอรับ ขอเชิญท่านอรหันต์และคุณหยางเซิง โปรดใช้น้ำอมฤตเถิด

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ที่ท่านศาสดาทรงเมตตารักใคร่

พระศาสดาเจ้า   :  ไม่ต้องเกรงใจ ท่านทั้งสองได้มาเยือนอีกครั้งในวันนี้ ข้ารู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าข้าจะอยู่ในแหล่งสุขสบายแดนสวรรค์ แต่ใจยังคงห่วงถึงมวลมนุษย์ในโลก เห็นแล้วว่าผู้คนในปัจจุบันนี้ น้อยคนนักที่จะรักษาศีลธรรม  ทำให้ข้าเสียใจมาก เพื่อที่จะนำวิญญาณกลับสู่ถิ่นเดิม ดังนั้น ทั้งสามภพจึงได้เปิดประชุม โดยยอมเปิดเผยทิวทัศน์แดนสวรรค์เพื่อกอบกู้มวลวิญญาณกลับถิ่นเดิม ในการที่ท่านได้รับเกียรติ ให้ทำหน้าที่แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ซึ่งเป็นภาระอันหนักมาก ดังนั้น  ข้าจึงยกเอาการกำเนิดของฟ้า - ดิน   และหนทางการกลับสู่สวรรค์มาเปิดเผยให้เต็มที่  จึงจะไม่ทำให้ผู้อยู่บนสวรรค์ต้องเสียใจ

หยางเซิง   :  ปัจจุบันนี้ มนุษย์กำลังหลงใหลอยู่กับวัตถุนิยม แต่สติกำลังสูญไป คิดจะเจริญสติเพื่อฝากความหวังไว้ แต่ไม่ทราบว่าจะปฏิบัติให้ถึงสัทธรรมได้อย่างไร ?. เพื่อให้ผลในการฝึก ขอเชิญท่านศาสดาเจ้าโปรดชี้แนะด้วยเถิด   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 5 ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/12/2011, 16:36
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม     

พระศาสดาเจ้า   :  การปฏิบัติแม้จะมีวิธีร้อยแปด แต่จุดหมายปลายทางก็คือ แดนสวรรค์อันสงบสุข ดังนั้นก่อนที่จะปฏิบัติ ควรเข้าใจถึงหลักของมหาสัทธรรมเสียก่อน  จะได้ไม่เสียเวลาปฏิบัติไปเปล่า ๆ สูญเสียพละกำลังในการเดินทางผิด น่าเสียดายมิใช่น้อย การปฏิบัติธรรม ข้อแรก ต้องมีบุญบารมี ผู้ไม่มีบุญก็ไม่รู้จักธรรม เมื่อไม่รู้ธรรม ก็จะตกอยู่ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยว จะไปหาที่ใดเป็นที่หยุดยืนได้เล่า แต่ธรรมก็มีการผันแปรอยู่เสมอ ผู้ที่ไม่รู้จักการผันแปรของสวรรค์นั้น แม้จะมีบุญบารมี ก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้ ดังเช่น รู้จักทางที่จะไปที่นั่น แต่ไม่รู้ว่ารถที่จะไปจะออกกี่โมง เมื่อคนมาถึงท่ารถ รถก็ออกไปแล้ว นั่นก็เหมือนคนมีบุญบารมี แต่ไม่รู้จักการแปรเปลี่ยนของสวรรค์ ก็จะสูญเสียแรงงานไปเปล่า ๆ ก็ยังไม่เข้าสู่กระแสธรรมได้ เมื่อรู้จักการแปรเปลี่ยนของสวรรค์ ก็จะทำให้เรารู้จักการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ยุ่งยากอะไร  เพียงต้องคอยระวังทุกฝีก้าว หากไม่ระมัดระวังจะเกิดอุบัติเหตุได้ ผู้อยู่ในระหว่างปฏิบัติธรรม จะไม่ยอมให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากมีการขัดต่อระเบียบวินัย ถ้าไม่โดนปรับโทษ ก็จะมีอันตรายถึงชีวิต ยามปกติที่ทำบุญทำประโยชน์สร้างกุศล เปรียบเสมือนหนึ่งเติมน้ำมันตามรายทาง ในที่สุดก็จะไปถึงจุดหมาย พวกที่ทำบาปก่อเวร ก็เหมือนกับขวางลำชนแหลก ก็ตายอยู่บนถนนทางเดียว ไม่มีโอกาสที่จะไปถึงธรรมได้ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมพึงระมัดระวังให้มาก

หยางเซิง   :  ทางศาสนาเต๋า ถือการปฏิบัติธรรมถึงขั้นสามบุปผาชูช่อ  ห้าธาตุสามัคคี (ซำฮวยจูเต้ง  โหงวขี่เชี่ยวง้วน) เป็นจุดสุดยอดสำเร็จเป็นเทพทอง มิทราบว่าปฏิบัติอย่างไร ?.

พระศาสดาเจ้า   :  เทพเต๋า ถือว่า  "เทพทอง"  เป็นสิ่งสูงสุด นั่นคือ เทพทองอันไร้ขอบเขตมีเกิดไม่ดับ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิด  ดังนั้น  สามบุปผาชูช่อ  ห้าธาตุสามัคคี  จึงเป็นการฝึกขั้นสูงสุด  หากยังไม่บรรลุถึงขั้นนี้ ก็ไม่อาจเข้ามาอยู่ในแดนสวรรค์เทพทองอันไร้ขอบเขตได้ ข้าฯจะอธิบายสามบุปผาชูช่อ ห้าธาตุสามัคคี ให้ฟังดังนี้

                        สามบุปผาชูช่อ  (ซำฮวยจูเต้ง) 

บุปผาชน  (หนั่งฮวย) ฝึกพลังแห่งพรหมจรรย์ให้กลายเป็น  ธาตุ 
         มนุษย์นั้นเกิดจากอสุจิ  ดังนั้น  อสุจิจึงเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำใจให้ว่างในช่วงล่าง ตัดความกำหนัดในกามออก อสุจิไม่รั่วไหล เมื่ออสุจิเต็มเปี่ยม ก็ไม่มีความยินดีในกามแล้ว บุปผผาตะกั่วก็เกิดขึ้น 

บุปผาธรณี  (ตี่ฮวย)  ฝึกธาตุให้กลายเป็น  สติ   
          มนุษย์นั้นมีชีวิตอยู่ได้ก็อาศัยอากาศธาตุ ต้องทำให้จิตว่างในช่วงกลาง ไม่มีการหวั่นกลัว ไม่มีการโกรธแค้น อากาศธาตุจึงจะสงบราบเรียบ หนทางจะปลอดโปร่ง ธาตุในช่วงกลางจะอิ่มเอิบ จึงไม่อยากจะกินอาหาร บุปผาเงินจึงเกิดขึ้น

บุปผาสวรรค์  (เทียนฮวย)  ฝึกพลังสติให้คืนสู่  ความว่าง
        เมื่อ อสุจิ อากาศธาตุ เต็มเปี่ยม หากขาดสติก็เหมือนร่างกายไม่เปล่งปลั่ง คน ๆ นั้นก็ไม่มีชีวิต ดังนั้น พลังสติเป็นประธานการฝึก ขณะที่ใจว่างในช่วงบนไม่ติดไม่ยึด สติก็จะสมบูรณ์เต็มที่ ไม่ง่วงนอน ตื่นอยู่ตลอด เหมือนสำรอกเปลือกออก สู่ความว่างเปล่า กลับคืนสู่ดินแดนแห่งความว่างเปล่า นั่นคือบุปผาสวรรค์เกิดขึ้นแล้ว

                         ห้าธาตุสามัคคี  (โหงวขี่เชี่ยวง้วน)

1.  หัวใจเป็นที่อยู่ของจิต   ภพหลังเป็นจิตรู้อารมณ์  ภพก่อนอ่อนน้อม ว่างจากการเศร้าโศก สติจึงมั่นคง ธาตุไฟจากทิศใต้จึงเข้าร่วม
2.  ตับเป็นที่อยู่ของวิญญาณ   ภพหลังเป็นวิญญาณท่องเที่ยว ภพก่อนมีเมตตาว่างจากการหรรษา วิญญาณจึงมั่นคง  ธาตุไม้จากทิศตะวันออกจึงเข้าร่วม
3.  ม้ามเป็นที่อยู่ของธัมมารมณ์   ภพหลังเป็นธัมมารมณ์หลง ภพก่อนมีสัจจะ ว่างจากกามตัณหา ธัมมารมณ์จึงมั่นคง ธาตุดินจากทิศศูนย์กลางจึงเข้าร่วม
4.  ปอดเป็นที่อยู่ของเจตสิก   ภพหลังเป็นกุศลเจตสิก  ถพก่อนมีความซื่อสัตย์ ว่างจากโทสะ เจตสิกจึงมั่นคง ธาตุทองจากทิศตะวันตกจึงเข้าร่วม
5.  ไตเป็นที่อยู่ของอสุจิ  ภพหลังเป็นอสุจิขุ่น ภพก่อนมีปัญญา ว่างจากความสุข พรหมจรรย์จึงมั่นคง  ธาตุน้ำจากทิศเหนือจึงเข้าร่วม

        ข้อความข้างบนคือ สามบุปผาชูช่อและห้าธาตุสามัคคี  ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นต้องรวมธาตุจากห้าทิศ แปรสามบุปผาเป็น ไตรวิสุทธิ์  จึงจะคืนสู่ถิ่นอันไร้ขอบเขต ให้บรรลุถึงสภาพที่กลมกลืนโดยตลอด แต่การบำเพ็ญนั้นไม่ยากอะไรเลย  ให้รักษาพรหมจรรย์  ธาตุ  และสติไว้  ปฏิบัติตามหลักมีเมตตา  สัจจะ  มารยาท (อ่อนน้อม)  ซื่อสัตย์  และเจริญปัญญา  ให้ละว่างจาก  โศกเศร้า  หรรษา  ตัณหา  โทสะ  และความสุข  แล้วภาวะจิตก็จะเป็นอิสระ  ได้รับมรรค - ผล กลายเป็น  เทพทอง  หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า  บุคคลคน ๆ หนึ่งสามารถบำเพ็ญตนเจริญสติ  เพื่อตนเองปราศจากความผิดใด ๆ สามารถที่จะไปไหน ๆ โดยอิสระเสรี ถึงแม้จะมีกฏหมายสักหมื่นข้อ ก็ไม่สามารถเอาผิดจากเขาได้ ก็เหมือนสามารถหลุดพ้นจากสามภพ   หลุดพ้นจากห้าธาตุ  ซึ่งก็เป็นไปตามความหมายของสามบุปผาชูช่อ  ห้าธาตุสามัคคี  สามบุปผากับห้าธาตุ คือ  พลังจิตเจริญขึ้น สติตั้งมั่นเป็นหนึ่ง  ด้วยพลังอันนี้สามารถที่จะทะยานขึ้นสู่ฟ้าหรือแทรกแผ่นดิน  เทพ - เทวา ก็ไม่อาจขวางกั้น เป็นมรรคผลนิพพานที่สูงสุด เป็นเทพทองในแดนนิพพาน

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ  ที่ศาสดาเจ้าทรงบรรยายธรรม กระผมยังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง ทำไมนอกมหาปราสาทนี้ จึงยังมีควายเขียวเขาเดี่ยว ความเป็นมาเป็นอย่างไร จะกรุณาเล่าให้ฟังได้ไหม ?.   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 5 ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/12/2011, 17:15
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม   

พระศาสดาเจ้า   :  เจ้าใคร่อยากรู้  ข้าฯก็จะเล่าพอสังเขป  เมื่อครั้งเล่าจื้อขี่ควายเขียวผ่านด่านฮ่ำก๊กกวง  เพื่อไปดปรดกษัตริย์ทางทิศตะวันตก ซึ่งชาวโลกก็รู้ประวัติดี  ข้าฯ ได้อวตารไปเกิดเป็นเล่าจื้อในประเทศจีน  ประเทศจีนสร้างชาติด้วยเกษตรกรรม และใช้ความไถนา ดังนั้น ข้าฯขี่ควายเขียวปรากฏกายช่วยชาวโลก การที่ข้าฯ อวตารเป็นเล่าจื้อ ประกาศธรรมช่วยชาวโลก ขี่ควายเขียวผ่านด่านฮ่ำก๊กกวง ถ่ายทอด  "เต้าเต็กเก็ง"  เป็นอักษรห้าพันคำให้นายด่านชื่อ  "อีฮี้"  และไปดปรดกษัตริย์ทางทิศตะวันตก คือประเทศอินเดียในปัจจุบันนี้แหละ  ดังนั้น ประชาชนชาวอินเดียจึงรู้จัก วัว  ควาย  คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็สืบเนื่องมาจากประการฉะนี้  มนุษย์ทุกวันนี้ใช้นมวัวเลี้ยงทารกให้โตขึ้นมา เกินครึ่งหนึ่งใช้นมสดจากวัว  นมผงนั้นผลิตขึ้นจากนมวัวทั้งนั้น  ทั้งนี้เพราะการชุบเลี้ยงของคนได้เสื่อมลง จึงใช้นมวัวแทน เมื่อใช้ดื่มกินเป็นเวลานานเข้าจึงติดนิสัยวัวมากขึ้น และจิตใจคนก็หลงในภพหลังเสียด้วย และเกิดอยู่บนแผ่นดินสีเหลือง จากควายสีเขียวแปรเปลี่ยนเป็นวัวสีเหลือง  มิน่าเล่าจิตแห่งธรรมจึงไม่เหมือนกัน ทำให้จิตใจเพี้ยนไป จึงหวังว่า เมื่อฟังธรรมจากข้าฯแล้ว คงนึกถึงบุญคุณของวัว - ควายบ้าง รักษาศีลเป็นขั้น ๆ ไป จึงจะได้สนองน้ำใจข้าฯ  ที่ได้อวตารมาช่วยเหลือชาวโลก แล้วไฉนควายตัวนี้จึงมีเขาอันเดียวนั้น แสดงว่าธรรมของข้าฯ  มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ไม่ว่าบนสวรรค์หรือใต้ฟ้า

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ที่ศาสดาแห่งเต๋าได้เปิดเผยวรพจน์ เนื่องจากเวลาดึกแล้ว อาตมาจำต้องพาหยางเซิงกลับสำนัก ต้องขอกราบลาก่อน

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ที่พระศาสดาเจ้าประทานวรพจน์อันมีค่า เนื่องจากเวลาหมดแล้ว กระผมต้องตามพระอาจารย์กลับสำนัก ขอนมัสการกราบลา

พระศาสดาเจ้า   :  หวังว่า  ทั้งสองคงได้มาอีก

อรหันต์จี้กง   :  หากมีบุญบารมีคงได้มาอีก

พระศาสดาเจ้า   :  มีคำสั่ง ให้เทพเต๋าตั้งแถวสั่งแขก

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง ถึงแล้ว วิญญาณกลับเข้าร่าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 6 ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมของพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/12/2011, 10:21
                             เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

อรหันต์จี้กง   :  มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนรักชอบดอกไม้ ที่สวยสดงดงาม แต่ว่าดอกไม้นั้นไม่สามารถบานอยู่ได้ถึงร้อยวัน กลับมาดูนางฟ้าโปรยดอกไม้บนสรวงสวรรค์ จะไม่มีการร่วงโรยตลอดทั้งสี่ฤดู และไม่มีการหยุดในวันตรุษสารทด้วย โดยปราศจากความร่วงโรย คนเราต่างชอบอากาศบริสุทธิ์ แต่ฝุ่นละอองแห่งโลกีย์หนาแน่นขึ้นทุก ๆ วัน  จึงต้องฝืนใจสูดมันเข้าไป เมื่อฝนทิพย์โปรยปราย แผ่นดินกลับชุ่มชื้น จิตใจสดใสอารมณ์ก็เย็นสบาย ปรากฏการณ์ 2 อย่าง มันแยกให้เห็นอย่างชัดเจนมาก คือ ธาตุที่เบาและสะอาดได้ลอยขึ้นเบื้องบน กลายเป็นฟ้า ส่วนธาตุที่หนักและขุ่นจะตกลงเบื้องล่างแข็งตัว กลายเป็นดิน หวังว่าผู้คนในโลกจงรักษาจิตญาณให้ผ่องใส แผ่วเบา  สลัดทิ้งซึ่งสิ่งขุ่นข้องหมองใจ จึงจะสามารถลอยขึ้นสู่แดนนิพพานเพื่อที่จะไม่ต้องตกลงไปยังขุมนรก  เจ้าหยางเซิง เตรียมตัวออกเดินทางได้ วันนี้จะต้องไปชมสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้ ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อกี้ท่านกล่าวคำว่า  "ทัศนศึกษา"  กระผมรู้สึกว่ามีความหมายมาก ท่านอาจารย์จะอธิบายความมุ่งหมาย ของอักษร 2 ตัวนี้ ได่ไหมครับ

อรหันต์จี้กง   :  ฮาฮ้า !  พอเจ้าพูดถึงคำว่า  "ทัศนศึกษา"  สองคำนี้ ไฟในสำนักเกิดดับลงกระทันหันเลยกลายเป็น  "ทัศนมืด" มันมีความหมายจริง ๆ นะ

หยางเซิง   :  อันนี้เป็นเพราะเหตุใดมิทราบ

อรหันต์จี้กง   :  ข้าฯ รู้ก่อนที่ใจเจ้าจะเคลื่อนไหวแล้ว  เพื่อที่จะสั่งสอนพวกศิษย์ในสำนักให้รู้สึกตัว จึงแสดงอภินิหารทำให้ไฟฟ้าดับ 15 วินาที อันนี้ ประกอบด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่นัก ตอนที่ไฟฟ้าดับ ข้าฯเห็นศิษย์แต่ละคนเหลียวหน้าแลหลังกันเลิกลั่ก คิดจะหาแสงสว่าง จึงไปหยิบเอาเทียนมาวางไว้ข้างถาดทราย อยากจะดูให้ชัดเจนว่า ที่กำลังเขียนอยู่นั้นเป็นตัวอักษรอะไร นี่แหละว่า  "ทัศนศึกษา"  (เห็นชัดแจ้ง , เห็นความสว่าง)  ดังนั้น  คำว่า "ทัศนศึกษา" คือ มองไปข้างหน้าที่มีความสว่าง ทัศนาทิวทัศน์ธรรมชาติ ทุกวันนี้โลกมีวิทยาการก้าวหน้า ผู้คนทั้งหลายต่างถือโอกาสไปทัศนาจรยังที่ต่าง ๆ ที่ใกล้ก็ทัศนศึกษาในประเทศ ที่ไกลก็ไปต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าไปทัศนศึกษาจริง ๆ หรือเปล่า  ฮา้ฮ้า  บ้างก็ไปแหล่งเริงโลกีย์  เพื่อทัศนศึกษาในห้องมืด  อาตมาว่าเขากำลังทำการ  "ทัศนมืด"  ชาวโลกทุกวันนี้ใฝ่หาแต่สีสัน รูปโฉมต่าง ๆ หารู้ไม่ว่า ทิวทัศน์บนสรวงสวรรค์นั้นงดงามกว่าทิวทัศน์ในโลกมนุษย์เป็นหมื่น ๆ เท่า แล้วเหตุไฉนจึงไม่คิดไปเยือนด้วยเล่า  วันนี้ ข้าฯจะพาหยางเซิงไปยังปราสาททวิมานซึ่งไม่ใช่  "ไฟหิ่งห้อย"  ส่องเพื่อ  "ทัศนศึกษา"  นะ

หยางเซิง   :  นั่นเป็นบุญของผม ที่กลายเป็นนักทัศนาจรไปแล้ว ! 

อรหันต์จี้กง    :  ใช่แล้ว !  คราวหน้า เจ้าจะได้นำมนุษยชาตินับหมื่น ๆ มาที่นี่ ดั่งค้นพบแผ่นดินใหม่

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  เราต้องรีบรุดหน้าไป  ภูเขาจิตทะลุถึงพุทธจิต จากมนุษยโลกทะลุถึงแดนสวรรค์ ขอเพียงมีจิตคิดฝึกธรรม ก็สามารถบรรลุสัทธรรมได้  ตอนนี้เรามาถึงวรวิสุทธิปราสาทสวรรค์ไร้เขต เพื่อเข้าพบท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  หยางเซิงเจ้าเตรียมตัวเข้านมัสการ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 6 ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมของพระญาณรัตนวิสุทธิเทพฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/12/2011, 11:23
                           เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  มาถึงที่นี่จิตไม่อาวรณ์มนุษยโลก รู้สึกเบาลอยอย่างสบาย ข้างหน้ามีหอสูงตระหง่านเทียมฟ้า ทั้งสี่ด้านก็มีอาคารห้อมล้อมแสงทองสาดส่องหอทองปราสาทหยก สร้างด้วย  แก้ว  แหวน  เพชร  นิล  จินดา  ต่างกับการก่อสร้างด้วยดินไม้  เหล็ก คอนกรีต ในโลกมนุษย์ ตื่นตาตื่นใจจนไม่สามารถจะบรรยายถึงความโอ่อ่าสง่างามได้หมดสิ้น บุปผาสวรรค์โปรยปรายไม่ขาดสาย ฝนทิพย์ก็ปะพรมพรำ ๆ สนเขียวชอุ่มงามสะพรั่ง ไม่ปรากฏมีบรรยายกาศแห่งความโศกเศร้า ทุกข์ทรมานดั่งเมืองมนุษย์ นกกระเรียนขนขาวผ่องยืนพักอยู่บนต้นไม้ มัจฉาสวรรค์เวียนแหวกผุดว่ายในสระโบกขรณี ธรรมชาติงามวิจิตรพิสดาร จนชวนให้หลงใหลลืมโลกมนุษย์ ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เหตุไฉน จึงมีรัศมีสีทองเปล่งประกายระยิบระยับตลอดเวลารอบพระวิสุทธิปราสาท โดยไม่มีหยุดหย่อนเลย ?.

อรหันต์จี้กง   :  อ๋อ... อันนี้ก็คือ ขณะนี้ท่านพระรัตนญาณวิสุทธิเทพ กำลังบรรยายธรรมให้เจ้าอยู่นะซิ  แสงเหล่านี้คือ  แสงแห่งฟ้าบันดาล 36  และธรณีพิฆาต 72  ที่ได้หมุนเวียนสอดส่องในสากลโลก เรารีบเข้าไปคารวะท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพกันเถอะ

หยางเซิง   :  บรรดาเทพเต๋า ต่างยืนเรียงแถว  2 ข้างทาง ประหนึ่งคอยต้อนรับเราอยู่

เทพเต๋า   :  ยินดีต้อนรับ ท่านพระอรหันต์๗ี้กง และนายหยางเซิง  ท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ ขอเชิญท่านทั้งสองให้เข้าไปพบได้

หยางเซิง   :  พอย่างเท้าเข้าสู่ภายในปราสาท ณ บัลลังก์กลางห้องโถงใหญ่ มีพระผู้ทรงธรรม หน้าตาแฝงไว้ด้วยความเมตตา รอบ ๆ พระวรกายมีรัศมีเปล่งออกมา  ผินพระพักตร์มายังเรา พลางแย้มพระสรวลส่งให้... กราบคารวะ  ท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  ข้าน้อยได้รับเทวโองการ ติดตามอาจารย์ให้มาเที่ยวสวรรค์เพื่อแต่งหนังสือ วันนี้ ได้มีโอกาสมายังไตรวิสุทธิสวรรค์ ขอความกรุณาให้ พระญาณรัตนวิสุทธิเทพประทานธรรมสักครั้ง

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ท่านทั้งสองมิต้องคารวะ  ขอเชิญนั่งตามสบาย !  เทพเต๋า ! รีบบริการน้ำอมฤต

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ  ท่านเทพมีความกรุณาอย่างมาก   กระผมรู้สึกกระดาก ไม่กล้ารับ ! 

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้ อาตมานำลูกศิษย์มาถึงพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท  ขอท่านเทพช่วยชี้แนะเพื่อจะได้ตื่นจากความหลงงมงาย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 6 ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมของพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/12/2011, 15:39
                            เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  เป็นการถูกต้องแล้ว ที่สำนักของท่านรวมพลังทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ ทำการกอบกู้ชี้แนะอย่างจริงจังเพื่อเผยแพร่พระสัทธรรม และขยายศาสตร์ของท่านขงจื้อ ทั้งหลักธรรมแห่งพุทธศาสตร์ด้วย เพื่อทำการกอบกู้ชาวโลก มีความดีความชอบใหญ่หลวงนัก เมื่อได้มาถึงอนุตตรวิสุทธิปราสาทในวันนี้  ข้าฯ จะมอบคัมภีร์ญาณรัตนวิสุทธิมรรคให้   อันข้าฯ ได้สถิตอยู่ใน ไตรวิสุทธิสวรรค์นี้ เป็นผู้รักษากฏแห่งธรรม  กฏในโลกมนุษย์ก็ไม่พ้นไปจาก  36 กฏ แห่งฟ้าบันดาล  และ 72 กฏ แห่งธรณีพิฆาต ซึ่งวิทยาคมทั้งหมดนี้ ผู้คนในโลกนี้ยังไม่มีใครจะรู้ได้อย่างครบถ้วน เพราะเหตุว่าจิตใจของมนุษย์ส่วนใหญ่โหดเหี้ยม อันตราย  หากได้วิทยาคมแล้วมักจะประพฤติในทางชั่ว ไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ข้อบังคับของสวรรค์  ที่ให้รักษาศีลบำเพ็ญธรรมเพื่อใช้วิทยาคมนี้ช่วยเหลือชาวโลก  ดังนั้น  ในปัจจุบันนี้การโปรดมนุษยโลก ซึ่งเน้นในทางธรรมมากกว่าทางวิทยาคม  ผู้ที่มีวิทยาคมมักจะไม่ฝึกอบรมบำเพ็ญจิต  แต่กลับหลงไปในทางอุบาทว์ จึงทำให้วิทยาคมขาดหายจากโลกมนุษย์  ทั้งนี้  ก็เนื่องจากข้าฯ ได้รับคืนมาในวันปราสาทนี้แล้ว 36 กฏ แห่งฟ้าบันดาล  และ 72 กฏแห่งธรณีพิฆาต  คือ  วิทยาคมที่รวบรวมสรรพสิ่งอันไม่มีที่สิ้นสุด  ทุก ๆ กฏจะคืนสู่ต้นสังกัด ก็อยู่ที่จิตใจเท่านั้น ดังนั้น ข้าฯจึงได้ถ่ายทอดวิชาจิตวิทยาให้แก่หยางเซิงสักบทหนึ่ง จะได้ใช้มันตามชอบใจ  เนื่องจากข้าฯ ต้องการจะกอบกู้วิญญาณกลับถิ่นเดิม จึงได้ถือโอกาสนี้บรรยายธรรม  อันว่าสามภพนั้นนับว่าศาสนาเต๋ามีความลึกล้ำที่สุด เป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่เป็นเพราะจิตใจของผู้คนไม่บริสุทธิ์ดังเช่นคนโบราณ  พลอยทำให้วิทยาคมของเต๋าดับลงไปเอง เพราะหวั่นเกรงว่า พวกที่มีจิตใจไม่ซื่อตรงเอาไปใช้ในทางทำลายคน ข้าฯจึงได้ถอนเอาวิทยาคมของเต๋าคืน แล้วได้ประทาน  "วิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี่ อันแยบคาย"  ลงไปให้ใช้แทน  ทั้งนี้เป็นการใช้วิทยาศาสตร์เข้าเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น ในที่นี้  ข้าฯจะบอกชื่อตามกฏ 36 กฏ ฟ้าบันดาล  และ 72 กฏ ธรณีพิฆาต  ดังต่อไปนี้

                     36  กฏ ฟ้าบันดาล
1.  หมุนเวียนธรรมชาติ                  2.  สว่างมืดกลับกัน                  3.  เคลื่อนย้ายดวงดาว

4.  คืนดวงอาทิตย์กลับสวรรค์          5.  เรียกลม - ฝน                     6.  ธรณีสั่นสะเทือน

7.  เหาะเหินเดินอากาศ                 8.  เสกน้ำให้เป็นดิน                  9.  แสงทองส่องทั่วปฐพี

10.  กลบน้ำกวนทะเลปั่นป่วน        11.  ขี้ดินเป็นเหล็ก                  12.  หายตัวในธาตุทั้งห้า

13.  หกเกราะประตูกล                 14.  สามารถรู้อนาคต               15.  เคลื่อนหิน  ทลายภูเขา

16.  ตายแล้วฟื้นคืนชีพได้             17.  ตัวลอยไปที่อื่นได้             18.  เก้าทหารพักเพื่อคืนชีพ

19.  ชักจูงให้วิญญาณปรากฏ        20.  ปราบเสือเผด็จมังกร           21.  เสริมฟ้าตากแดด

22.  ทลายภูเขาถมทะเล              23.  ขี้หินเป็นทอง                   24.  ยืนตรงไม่พบเงา

25.  ย้ายครรภ์เปลี่ยนรูป              26.  ให้เล็กหรือใหญ่สมใจ          27.  ทำให้ดอกไม้บานทันที

28.  พลังสติต้านธาตุ                  29.  มองทะลุผนังได้                 30.  คืนไฟกลับลม

31.  มือกาอัศนีทั้งห้า                 32.  ย่อดิน - ดำในน้ำ               33.  ทรายร่อนหินบิน

34.  หอบภูเขาข้ามทะเล             35.  เสกถั่วเป็นทหาร               36.  เจ็ดธนูติดหัวตะปู
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 6 ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมของพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/12/2011, 21:18
                           เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

                          72 กฏ  ธรณีพิฆาต

1.  ติดต่อกันได้        2.  ขับเทพเจ้า        3.  แบกภูเขา         4.  กักน้ำ        5.  ยืนลม

6.  ทำหมอก          7.  ทำให้ฟ้าแจ้ง      8.  ทำฝน              9.  นั่งบนไฟ   10.  ดำน้ำ

11.  กั้นตะวัน       12.  ขี่ลม              13.  ต้นหิน            14.  พ่นไฟ       15.  กลืนดาบ

16.  เก็บแสง      17.  เทพเจ้าเดิน      18.  เดินบนน้ำ        19.  แยกไม้      20.  แยกกาย

21.  หายตัว      22.  ต่อหัว              23.  กายมั่นคง        24.  ฆ่ามาร      25.  เชิญเทวดา

26.  ตามวิญญาณ   27.  เก็บวิญญาณ  28.  เรียกเมฆ         29.  เก็บจันทรา  30.  ขนส่ง

31.  สมรสในฝัน    32.  ทำให้แยกสลาย  33.  ฝากไม้         34.  ตัดสายน้ำ    35.  สะเดาะเคราะห์

36.  หลบภัย       37.  เหลืองขาว         38.  วิชาดาบ       39.  ปิดให้ทาย   40.  ดำดิน

41.  ดาราศาสตร์  42.  ตั้งแนวรบ          43.  ปลอมรูป       44.  พ่นให้ละลาย 45.  ชี้ให้ละลาย

46.  แยกศพ      47.  ย้ายภาพ             48.  เรียกให้มา     49.  ลอยล่อง      50.  ชุมนุมสัตว์

51.  เรียกใช้นก  52.  กักธาตุ              53.  พลังมหาศาล   54.  ทะลุหิน       55.  เกิดแสง

56.  ปกปิดอาภรณ์    57.  ชักจูง        58.  รับประทาน       59.  หลีกเลี่ยง    60.  โดดพ้นภูเขา

61.  หัวหงอก         62.  ขึ้นรอก       63.  คืนน้ำ        64.  นอนบนหิมะ        65.  ตากแดด

66.  เล่นลูกกลม      67.  น้ำมนต์      68.  รักษาด้วยยา   69.  รู้เวลา            70.  รู้จักภูมิศาสตร์

71.  อดอาหาร        72.  บวงสรวงแก้บน

        ในสมัยนั้น 36 กฏ ฟ้าบันดาล มีสิ่งที่เป็นไปแล้วดังนี้ คือ
1. คนโบราณสามารถทำให้สว่างเป็นมืด ทำให้มืดกลับสว่าง เดี๋ยวนี้มีไฟฟ้า กลางคืนก็ทำให้สว่าง เช่น ตลาดกลางคืนคึกคัก กลางวันไม่ค่อยมีคน

2. คนโบราณสามารถเหาะเหินเดินอากาศ  เดี๋ยวนี้  ก็นั่งเครื่องบินเดินอากาศ เป็นวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไป 

3. คนโบราณมีวิธี แยกย้ายดวงดาว คนสมัยนี้ก็เปลี่ยนหัวใจ เปลี่ยนไตได้ อาจใช้ของสุนัข หรือ ลิง  มาเปลี่ยนให้คนได้ อันนี้คือหลักการแยกย้ายดวงดาว

4. คนโบราณเขาหายตัวในธาตุได้ ปัจจุบันก็คือ การหายตัวในธาตุต่าง ๆ ได้ เช่น หายตัวในธาตุน้ำ โดยเรือดำน้ำ ธาตุทองก็มีเครื่องไอพ่นทำขึ้น

5. คนโบราณสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต ปัจจุบันมนุษย์มีเครื่องเรด้าร์  สามารถรู้ตำแหน่งของเครื่องบิน ข้าศึก หรือรู้เรือดำน้ำที่จะลอดเข้ามาได้ สามารถรู้การเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ  โดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์

6. คนโบราณสามารถลอยตัวไปที่ไหน ๆ ก็ได้ สมัยนี้มีเครื่องบิน รถไฟฟ้า ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ไปอยู่ที่อื่นแล้ว

7. คนโบราณสามารถทะลายภูเขา ถมทะเลได้ สมัยนี้ก็มีระเบิด ๆ ภูเขา นำไปถมทะเลได้

8. คนโบราณปราบเสือเผด็จมังกร คนสมัยนี้ใช้แส้ไฟฟ้าสยบเสือมังกร

9. คนโบราณมีฤทธิ์มองทะลุผนังได้   สมัยนี้มีโทรทัศน์ ส่งภาพเป็นพัน ๆ ไมล์ ตอนนี้เหมือน  "คนพันตา"  แล้วมีโทรศัพย์ฟังได้ไกลเป็นหมื่น ๆ ไมล์ ก็เหมือนคน  "หูทิพย์" แล้ว

10. คนโบราณเสกถั่วให้เป็นทหารได้ สมัยนี้สร้างลูกระเบิดเพียงลูกเดียว พอระเบิดก็กระจายเป็นหลาย ๆ ชิ้น ก็เหมือนเสกถั่ว พิษสงร้ายแรงมาก

        ทั้งหมดนี้เปรียบเทียบโบราณกับปัจจุบัน ให้ดูว่าเหมือนใน  36 กฏ ฟ้าบันดาลอย่างไร                               
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 6 ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมของพระญาณรัตนวิสุทธิเทพฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/12/2011, 23:43
                            เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

                              ตัวอย่าง  72 กฏ ธรณีพิฆาต

1. ยืนลม     ปัจจุบันได้แก่ เครื่องปรับอากาศ พัดลม

2. ทำหมอก      ปัจจุบันได้แก่ ทำน้ำแข็งแห้ง

3. ขอฝน     ปัจจุบันได้แก่ ทำฝนเทียม

4. ดำน้ำ     ปัจจุบันได้แก่ ประดาน้ำ

5. เดินบนน้ำ     ปัจจุบันได้แก่ สกีน้ำ  สกีน้ำแข็ง

6. เชิญเทพเจ้า     ปัจจุบันได้แก่ การทรงเจ้า

7. เก็บจันทรา     ปัจจุบันได้แก่ ถ่ายเป็นภาพยนต์ แล้วเอามาฉายใหม่

8. ขนส่ง     ปัจจุบันได้แก่ลิฟท์ ส่งสินค้า ไปรษณีย์

9. กักน้ำ     ปัจจุบันได้แก่ เขื่อนกั้นน้ำ

10. ปลอมรูป     ปัจจุบันได้แก่ตกแต่ง เสริมสวย

11. เคลื่อนภาพ     ปัจจุบันได้แก่ภาพยนต์ โทรทัศน์ 

12. เรียกให้มา     ปัจจุบันได้แก่ ควบคุมทางไกล

13. พลังมหาศาล     ปัจจุบันได้แก่ มือกล มนุษย์หุ่นยนต์

14. ทะลุหิน     ปัจจุบันได้แก่ เครื่องเจาะหิน ระเบิดหิน

15. เกิดแสง        ปัจจุบันได้แก่ แบตเตอร์รี่ หลอดไฟฟ้า

16. รักษาทางยา     ปัจจุบันได้แก่ การแพทย์แผนปัจจุบัน

17. รู้เวลา     ปัจจุบันได้แก่ นาฬิกา

18. รู้ภูมิศาสตร์     ปัจจุบันได้แก่แผนที่ เข็มทิศ

        ที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างสำหรับ 72 กฏ ธรณีพิฆาต ที่ปัจจุบันเรียนรู้ได้  ทั้ง 36 ฟ้าบันดาล และ 72 ธรณีพิฆาต ล้วนเกิดจากธาตุที่ดีและเลวของฟ้า - ดิน อย่างเช่น การให้มาเกิดเป็นนักวิทยาศาสตร์ หากเอาสิ่งค้นพบไปใช้ในทางที่ดีก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าใช้ในทางที่เลว ก็จะทำลายมนุษยชาติเช่น ระเบิด  ใช้ระเบิดเขาได้  สร้างถนน มนุษย์ก็ได้ประโยชน์มหาศาล ถ้านำมาทำสงคราม ก็จะเป็นผลร้ายต่อมนุษย์ เช่น ปัจจุบันมีปืนใหญ่ จรวด อีกไม่นานดาวพิฆาตจะมาเกิด ควรจะรู้เอาไว้ว่า ใจคนน่ะไม่โบราณ ใจคนจะดลให้ฟ้าดินบันดาล ให้ดาวพิฆาตมาเกิดในแดนมนุษย์ ถึงแม้ว่า มนุษยชาติจะสามารถหาความสุขความสำราญอย่างไม่มีขอบเขต ก็ตาม ชีวิตของมนุษย์ก็มีอันตรายอยู่ทุกขณะจิต อันนี้ หาใช่เป็นความไม่ปรานีของสวรรค์ก็หาไม่ สาเหตุแท้จริงเกิดจากอกุศลจิตของมนุษย์นี่เอง ดังนั้น หวังว่ามนุษย์จะฟังคำของข้าฯ รีบปล่อยวางใจเพชฌฆาต เพื่อไม่ให้ไอพิฆาตระเบิดขึ้น อันเป็นสาเหตุให้มนุษย์ทำลายตนเอง จนทำให้สถานการณ์ของโลกเกิดการปั่นป่วนปรวนแปร  ถ้าหากมนุษย์มีจิตใจสร้างกุศล ปลูกฝังวิญญาณแห่งสันติภาพ ก็เหมือนวิทยาการของโลกได้เจริญรุดหน้า ก็ดุจดั่งสวรรค์ได้สร้างความสุขเสมอหน้ากันทั่วพิภพ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า โลกมนุษย์ก็เหมือนแดนสวรรค์ ผู้คนก็สามารถไป ๆ มา ๆ ได้โดยอิสระ  การกินอยู่อาศัยพร้อมพรั่ง ก็เหมือนชีวิตของอรหันต์  เทพดา  สิ่งเหล่านี้เป็นการ  "โปรดสัตว์"  ของสวรรค์  นั่นแล

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ ที่เปิดเผยความจริง  รู้สึกเป็นบุญคุณมหาศาลดีกว่าอ่านหนังสือถึงสิบปี  ความจริงแล้วเหตุการณ์ของโลกปัจจุบันนี้ ก็เป็นไปตามการจัดวางของท่านอย่างแยบคาย ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ยิ่งนัก

อรหันต์จี้กง   :  อัศจรรย์ ! อัศจรรย์ !   เราเห็นจะต้องลาก่อนแล้ว

หยางเซิง   :  กราบนมัสการลา ท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  มีคำสั่งให้เทพเต๋าจัดแถวส่งแขก

เทพเต๋า   :  ขอส่งท่านทั้งสอง กลับสำนัก 

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ และเหล่าเทพเต๋า ... กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญท่านอาจารย์ ออกเดินทางเถิด

อรหันต์จี้กง   :  เซี่ยเฮี้ยงตึ้ง  ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 7 เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/12/2011, 01:23
คง     สัทธรรมห่อไว้        บรรจุในจิต
คา     นิ่งสงบเงียบ         สว่างแพร้ว
สะ     อาดยิ่งส่องลุ         พื้นต่ำ แลเห็น
วรรค์  ใหม่ชาติหน้าแล้ว    นิ่งน้ำชโลมกายฯ

โลกสังคมมั่วฟุ้ง                  หลงใหล เสพติด
สักครู่ประด๋าวได้                 ทุกข์แน่
บำเพ็ญบ่มจิตไซร์               สงบ ทรงฌาน
รู้แก่นสัทธรรมแท้               ผ่องแผ้ว วิญญาณฯ

                                  เที่ยวเมืองสวรรค์

                                      ครั้งที่ 7

                  เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา   ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา

                            วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนความว่า

        ไตรวิสุทธิ์สี่ตรง                  ฤทธิ์ดำรงเดชารุ่งเรือง
ห้าธาตุสามัคคี                           พลีเคลื่อนธรรมจักรสถิต
น้ำไฟผสานติด                           เป็นนิมิตแดนศักดิ์สิทธิ์
บำเพ็ญธรรมฝนจิต                      พิชิตขึ้นสู่สวรรค์

อรหันต์จี้กง   :  ไตรวิสุทธิ์ นั้นคือ วรสูญญตวิสุทธิ์  อนุตตรวิสุทธิ์  ธรณีวิสุทธิ์  และมนุษย์วิสุทธิ์  พระคัมภีร์เต๋ากล่าวว่า สวรรค์เป็นหนึ่งจะสดใส  ธรณีเป็นหนึ่งจะสงบ  มนุษย์เป็นหนึ่งจะศักดิ์สิทธิ์  ดังนั้นจึงรู้ได้ว่า  ไตรวิสุทธิ์ เป็นหลักธรรมของมหาสัทธรรม  วันนี้ ข้าฯจะพาศิษย์ไปเที่ยวชมไตรวิสุทธิ์  ฟังศาสดาคัมภีร์ ไตรวิสุทธิ์บรรยายธรรม อันว่าไตรวิสุทธิ์เป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสมัยดึกดำบรรพ์ ผู้มีวิทยาคมจะเขียนยันต์จะต้องอันเชิญไตรวิสุทธิเทพเสียก่อน คือ ต้องเขียนเครื่องหมายสามหยักบนตัวยันต์ก่อน  อันว่า สี่ตรง ก็คือ  กายตรง  ใจตรง  วาจาตรง  การประพฤติตรง คนเราควรต้องมีสี่ตรง จึงจะสามารถบรรลุธรรม  ดังนั้น  สี่ตรง  จึงเป็นบันไดขึ้นสู่สวรรค์ คนที่จะเรียนวิทยาคมข้างใต้ของยันต์จึงต้องเขียน  สี่ตรง  เพื่อเน้นถึง สี่ตรง (กาย ใจ วาจา ความประพฤติ)  เมื่อทุกส่วนตรง เทพที่ตรงจึงจะลงประทับ เพื่อเขียนยันต์ อานุภาพรุนแรงไม่มีเทียบ จุดใหญ่ ๆ ที่สำคัญเช่นนี้ผู้คนมักไม่รู้ การใช้ยันต์นั้น ข้าฯจะไม่พูดมาก รอสักพักจะเชิญให้ท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพเป็นผู้บรรยายละเอียด หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัว เตรียมไปท่องสวรรค์เพื่อแต่งหนังสือเถอะ

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้ ...

อรหันต์จี้กง   :  นั่งนิ่งบนบัวอาสน์ บุปผาจิตเบิกบาน หลงกิเลสในทะเลทุกข์ เมื่อความสุขหมดลง ภัยพิบัติก็จะผุดขึ้น ความหรูหราครื้นเครงในโลกมายานี้ เมื่อไรจึงจะรู้สึกสำนึกหนอ ?.  บนเกาะสวรรค์เทวภูมินี้จัดตั้งสำนักทรง เทพ พุทธ ต่างลงประทับทรงสอนสัทธรรมเพื่อโปรดมนุษยโลก

หยางเซิง   :  คำกล่าวไม่กี่ประโยคนี้  ช่างมีความหมายยิ่งนัก !

อรหันต์จี้กง   :  คำง่าย ๆ แต่ความหมายลึก จับปลาในน้ำตื้น สิ้นเปลืองแรงน้อย  ไม่สบายกว่ารึ ?.

หยางเซิง   :  ที่ตื้น ๆ มีแต่ปลาตัวเล็ก ๆ  มันจะไม่มักน้อยไปหน่อยหรือ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ฮาฮ้า !  คันเบ็ดเล็ก ๆ จะตกปลาตัวใหญ่ ๆ เกรงว่าจะไม่ได้ปลา คนกลับจะถูกปลาฉุดลงทะเล  เพราะฉะนั้นเมื่อน้ำลึกมาก ปลาจึงอยู่ลึกมาก คิดแล้วมันไม่คุ้มกันหรอก

หยางเซิง   :  พูดมีคติ !  เอ้อ !  ฉับพลันข้างหน้า ทำไมมีแม่คงคากว้างใหญ่อยู่สายหนึ่ง ?. น้ำใสจนไม่มีที่ติ ดูเหมือนแบ่งแยกเป็นสามสาย ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี่คือ  "ไตรวิสุทธิคงคา"  อยู่เหนือสวรรค์  33 ชั้น  หรือเรียกอีกชื่อว่า  "คงคาสวรรค์"  ที่เห็นนี้เป็นตอนต้น ดังนั้น น้ำจึงใสแลดูระยิบระยับ วันก่อนเราเหินผ่านไป ดังนั้นเจ้าจึงไม่เห็นทิวทัศน์แถบนี้ วันนี้ได้มาที่นี่ก็จะเห็นได้เต็มตา !

หยางเซิง   :  แม่น้ำสายนี้ ขวางกั้นทางไปของเรา เราจะข้ามไปได้อย่างใด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ครั้งที่ 7 เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/01/2012, 07:21
คง     สัทธรรมห่อไว้        บรรจุในจิต
คา     นิ่งสงบเงียบ         สว่างแพร้ว
สะ     อาดยิ่งส่องลุ         พื้นต่ำ แลเห็น
วรรค์  ใหม่ชาติหน้าแล้ว    นิ่งน้ำชโลมกายฯ

โลกสังคมมั่วฟุ้ง                  หลงใหล เสพติด
สักครู่ประด๋าวได้                 ทุกข์แน่
บำเพ็ญบ่มจิตไซร์               สงบ ทรงฌาน
รู้แก่นสัทธรรมแท้               ผ่องแผ้ว วิญญาณฯ

                                  เที่ยวเมืองสวรรค์

                                      ครั้งที่ 7

                  เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา   ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา

                            วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนความว่า

        ไตรวิสุทธิ์สี่ตรง                  ฤทธิ์ดำรงเดชารุ่งเรือง
ห้าธาตุสามัคคี                           พลีเคลื่อนธรรมจักรสถิต
น้ำไฟผสานติด                           เป็นนิมิตแดนศักดิ์สิทธิ์
บำเพ็ญธรรมฝนจิต                      พิชิตขึ้นสู่สวรรค์

อรหันต์จี้กง   :  อันดอกบัวเกิดจากตม แต่ไม่เปื้อนตม บัวอาสน์ช่อนี้ จะลอยข้ามคงคานี้ คงไม่ง่ายนักเนื่องจากดอกบัวชอบน้ำที่มีตม ดังนั้น จึงเกรงว่าจะไม่มีวิทยาคมพอที่จะข้ามแม่คงคานี้

หยางเซิง   :  เพราะอะไรหรือขอรับ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากอาหารที่หล่อเลี้ยงไม่พอ ดอกบัวมีตมหล่อเลี้ยง เพื่อความขาวของดอก แต่ว่าแม่คงคาสวรรค์นี้ น้ำสะอาดจนถึงก้น ไม่มีตมเลนเลย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับอุปนิสัยของดอกบัว

หยางเซิง   :  เหตุผลอันนี้ กระผมคิดไม่ออก ดอกบัวเป็นสิ่งของขาวบริสุทธิ์ ตามเหตุผลแล้ว มันน่าจะเหมาะกับน้ำที่ใสสะอาด

อรหันต์จี้กง   :  เธอไม่รู้อะไร ดอกบัวเหมือนตัวแทนพระพุทธเจ้า  การสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็เพื่อโปรดสรรพสัตว์ แต่สรรพสัตว์จมอยู่ในตมเลนของสังคม ทรัพย์สมบัติ สุรา นารี ยศ ลาภ สรรเสริญ  ผูกมัดยุ่งเหยิงไปหมด  พระพุทธเจ้าจึงต้องส่งยานเมตตาเพื่อช่วยเหลือ ดังนั้น ดอกบัวจึงเกิดจากตมเลน  ความหมายก็คือ พระพุทธองค์ก็ดำรงชีพอยู่ท่ามกลางสรรพสัตว์ หากไม่มีสรรพสัตว์ ก็ไม่อาจถูกยกย่องว่า เป็นพุทธองค์ ดังนั้น ตอนที่ไม่มีสรรพสัตว์  เหล่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เรียกว่าสรรพสัตว์ได้  ดังนั้น  เมื่อดอกบัวอยู่ท่ามกลางตมเลน  ก็ต้องรักษาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง มิฉะนั้นแล้ว ดอกบัวก็จะถูกกลบเกลื่อนจมหายไป มิอาจจะผลิตใบที่เขียวขจีและดอกที่ขาวได้  ก็เหมือนจิตของสรรพสัตว์ อาจมีความใสสะอาดเหมือน้ำในคงคาสวรรค์แล้ว ดอกบัวก็จะร่วงโรยไป เพราะฉะนั้น ชาวโลกต้องมีจิตบริสุทธิ์  เมื่อเหยียบลงบนพื้นน้ำคงคาสวรรค์ ก็จะเหมือนเหยียบลงบนแผ่นดิน ก็จะสามารถข้ามไปได้อย่างสบาย ๆ ตนเองก็เหมือนอวตารของดอกบัว  เหมือนมนุษย์รวมกายเป็นไตรวิสุทธิ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว ก็จะสำเร็จเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

หยาางเซิง   :  อาจารย์กล่าวอย่างสมเหตุผล

อรหันต์จี้กง   :  สวรรค์เป็นหนึ่ง จะเกิดนที  เป็นนทีแห่งไตรวิสุทธิ์ ไปหลลงสู่คุงลุ้งเบื้องล่าง แล้วไหลไปยังโลกมนุษย์ เลยกลายเป็นน้ำขุ่น เป็นแม่น้ำเหลือง  ดังนั้นจึงมีคำกล่าว ๆ ว่า  "เมื่อใดแม่น้ำเหลืองใสสะอาดขึ้น ก็จะมีสิ่งศักดิ์สิิทธิ์ลงมาเกิด"  ทั้งนี้หมายถึงแม่น้ำคงคาสวรรค์ หากไหลไปสู่โลกมนุษย์แล้ว ก็จะมีเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ล่องลงตามน้ำไปปฏิสนธิ

หยางเซิง   :  ฉับพลัน ข้างหน้าก็มีผู้เฒ่าผู้หนึ่ง เดินบนผิวน้ำมา ไม่ทราบว่าเป็นใคร
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 7 เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/01/2012, 08:06
คง     สัทธรรมห่อไว้        บรรจุในจิต
คา     นิ่งสงบเงียบ         สว่างแพร้ว
สะ     อาดยิ่งส่องลุ         พื้นต่ำ แลเห็น
วรรค์  ใหม่ชาติหน้าแล้ว    นิ่งน้ำชโลมกายฯ

โลกสังคมมั่วฟุ้ง                  หลงใหล เสพติด
สักครู่ประด๋าวได้                 ทุกข์แน่
บำเพ็ญบ่มจิตไซร์               สงบ ทรงฌาน
รู้แก่นสัทธรรมแท้               ผ่องแผ้ว วิญญาณฯ

                                  เที่ยวเมืองสวรรค์

                                      ครั้งที่ 7

                  เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา   ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา

                            วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนความว่า

        ไตรวิสุทธิ์สี่ตรง                  ฤทธิ์ดำรงเดชารุ่งเรือง
ห้าธาตุสามัคคี                           พลีเคลื่อนธรรมจักรสถิต
น้ำไฟผสานติด                           เป็นนิมิตแดนศักดิ์สิทธิ์
บำเพ็ญธรรมฝนจิต                      พิชิตขึ้นสู่สวรรค์

อรหันต์จี้กง   :  เขาเป็นหลวงปู่คงคา หยางเซิงเจ้ารีบไปคารวะ ! 

หยางเซิง    :  คารวะท่านหลวงปู่คงคา !

หลวงปู่   :  เออ เอ่อ!  มิต้อง! มนุษย์มาถึงที่นี่เชียวรึ คงจะแอบข้ามคงคาสวรรค์ซินะ ?.

หยางเซิง   :  มิกล้า ! มิกล้า! กระผมติดตามท่านอาจารย์มาเที่ยวสวรรค์ เพื่อแต่งหนังสือ วันนี้มาถึงที่นี่ กำลังฟังท่านอาจารย์พูดถึงอยู่ ทำไมจะกล้าแอบข้ามละ !

หลวงปู่   :  ที่จริงเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะข้ามหรอกหรือ ?.  อันที่จริงก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะแอบข้ามหรอก หากเท้าของเจ้าสกปรก เมื่อย่างก้าวเท่านั้น ก็จะจมดิ่งสู่ข้างล่าง ข้าจะพาเจ้าข้ามไป ไม่รู้ว่าเจ้าจะว่ากระไร ?.

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ หลวงปู่  โอกาสอย่างนี้จะหาได้ที่ไหน ขอให้หลวงปู่ ช่วยเสกแพให้กระผมข้ามเถอะ

หลวงปู่   :  ก็ได้ ! นึกถึงครั้งอดีตกาล ในสมัยกษัตริย์ฮั่นบุ้ง ปกครองประชาราษฏร์ด้วยความเมตตา และกตัญญู เพียรพยายามฝึกฝนธรรม เเช้า - เย็น ก็อ่านพระคัมภีร์  "เต้าเต๊กเก็ง"  หากแต่ไม่เข้าใจได้หมด  ข้านี้ต้องแปลงกายมาอยู่ในกระต๊อบริมฝั่งคงคา เรียกตนเองว่า  "หลวงปู่คงคา"  ข้ามีความต้องการจะโปรดกษัตริย์ ฮั่นบุ้งให้บรรลุสัทธรรม  กษัตริย์ฮั่นบุ้งทรงทราบกิติศักดิ์ จึงแต่งทูตให้มาหา เพื่อให้อธิบายปัญญาธรรมที่ยาก ข้าจึงพูดว่า  "สัทธรรมมีค่าล้ำไม่สามารถฝากคนถามได้"  ท่านทูตกลับไปรายงานตามความเป็นจริง ให้กษัตริย์ทรงทราบ กษัตริย์จึงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ทรงคุกเข่าเข้ามาถาม ข้าก็ได้แต่หลับตาทำเฉย ดูซิว่ากษัตริย์ฮั่นบุ้งจะปฏิบัติอย่างไร ?.  กษัตริย์ฮั่นบุ้งทรงกริ้วอยู่ในพระทัยว่า  "แม้ตนจะมีธรรม แต่ก็เป็นข้าทาส - ข้าแผ่นดิน  ทำไมจึงเย่อหยิ่งนัก"  ข้านี้ก็รู้ว่ากษัตริย์ฮั่นบุ้งคิดว่าอย่างไร ฉับพลันข้าก็ทะยานทะลุหลังคากระต๊อบขึ้นสู่เบื้องบนสูงร้อยฟุต แล้วพูดลงมาว่า  "ข้าอยู่เหนือสวรรค์ เบื้องล่างก็ไม่อยู่ที่แผ่นดิน  ไฉนเลยจะมีข้าทาส - ข้าแผ่นดิน"  เสียงนั้นก้องกัมปนาท แผ่นดินสั่นสะเทือน กษัตริย์ฮั่นบุ้งได้ยินได้รู้สึกสำนึกผิด ก้มเศียรขอขมาลาโทษ  ข้านั้นรู้สึกถึงความศณัทธา จึงกลับลงมาอีกครั้งและได้สอนธรรมให้แก่เขา  ดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะใฝ่หาธรรม จะต้องทำจิตให้ว่างเพื่อรับการสั่งสอน  มิฉะนั้นก็มิอาจจะได้พบสิ่งศักดิ์ศิทธิ์  วันนี้เจ้าหยางเซิงมาถึงที่นี่ ข้าก็จะช่วยเหลือเจ้า ตอนนี้ให้เจ้าลูบคลำที่ฝ่าเท้าว่ามีฝุ่นละอองหรือไม่

หยางเซิง   :  อายเหลือเกิน ที่ยังมีอยู่ !

หลวงปู่   :  ถ้าอย่างนั้น  วันหลังค่อยมาใหม่ น้ำในคงคาสวรรค์นี้ ไม่อนุญาตให้เจ้าล้างเท้า เจ้าต้องไปล้างที่แม่น้ำเหลืองโน้น

หยางเซิง   :  ไปที่แม่น้ำเหลือง นั่นมิใช่ว่ายิ่งล้างก็ยิ่งเปื้อนหรอกหรือ ?.

หลวงปู่   :  ไม่ไปที่แม่น้ำเหลือง ใจไม่ตาย เมื่อถึงแม่น้ำเหลืองแล้ว ตายแล้วต้องเกิดใหม่ ! 

อรหันต์จี้กง   :  ศิษย์รัก !  ข้าฯจะสอนวิธีให้เจ้าหน่อย! ฝ่าเท้าทาน้ำมัน ลื่นแล้วก็ยิ่งดี

หลวงปู่   :  น้ำมันทำให้ตัวเบาและลอยได้ ลื่นไปตามผิวน้ำก็ข้ามได้ เป็นวิธีที่แยบยล แต่ต้องขัดให้มันเสียก่อน แล้วอย่าเอาน้ำมันสกปรกทา มิฉะนั้นเจ้าจะล้างไม่ออก จะทำให้เท้าเน่าเสียอีกด้วย

หยางเซิง   :  ทาน้ำมันแล้วไปข้างหน้าก้แล้วกัน

อรหันต์จี้กง   :  ขอเชิญท่านหลวงปู่ เล่าถึงสรรพคุณของน้ำคงคาสวรรค์หน่อย !   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 7 เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/01/2012, 15:14
คง     สัทธรรมห่อไว้        บรรจุในจิต
คา     นิ่งสงบเงียบ         สว่างแพร้ว
สะ     อาดยิ่งส่องลุ         พื้นต่ำ แลเห็น
วรรค์  ใหม่ชาติหน้าแล้ว    นิ่งน้ำชโลมกายฯ

โลกสังคมมั่วฟุ้ง                  หลงใหล เสพติด
สักครู่ประด๋าวได้                 ทุกข์แน่
บำเพ็ญบ่มจิตไซร์               สงบ ทรงฌาน
รู้แก่นสัทธรรมแท้               ผ่องแผ้ว วิญญาณฯ

                                  เที่ยวเมืองสวรรค์

                                      ครั้งที่ 7

                  เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา   ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา

                            วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนความว่า

        ไตรวิสุทธิ์สี่ตรง                  ฤทธิ์ดำรงเดชารุ่งเรือง
ห้าธาตุสามัคคี                           พลีเคลื่อนธรรมจักรสถิต
น้ำไฟผสานติด                           เป็นนิมิตแดนศักดิ์สิทธิ์
บำเพ็ญธรรมฝนจิต                      พิชิตขึ้นสู่สวรรค์

หลวงปู่   :   ก็ได้ !  สรรพคุณของน้ำคงคาสวรรค์ ชาวโลกยังไม่รู้จักกันเลย !   ย้อนไปถึงสมัยดึกดำบรรพ์ จากเอกธาตุแปรเปลี่ยนเป็นไตรวิสุทธิ์ คงคานี้ก็เป็นแหล่งกำเนิดของน้ำเชื้อ ของเหล่าวิญยาณเดิม เลือดและน้ำอสุจิมันเหมือนน้ำ การถือกำเนิดของมนุษย์ จากน้ำอสุจิของบิดา และเลือดของมารดามีสัมพันธ์แล้วเกิดตั้งครรภ์  แล้วก้กำเนิดมนุษย์ ก็เหมือนคงคาสวรรค์ที่ไหลสู่มนุษยภูมิ พุ้งสู่เขาคุงลุ้งตอนกลาง เป็นแม่น้ำเหลือง ดินนี่เองจึงเป็นจุดกำเนิดของชีวิต การก่อตัวของน้ำ คล้ายลูกอ๊อดเป็นเพศผู้ รวมกับเพศเมียในน้ำ พอนานวันเข้าก้กลายเป็นลูกกบ การกำเนิดของมนุษย์ก้เช่นเดียวกัน มนุษย์เกิดจากการผสมของธาตุ  อิม - เอี้ยง  (เป็นกฏของลัทธิคู่ เช่น ดวงอาทิตย์เป็นเอี้ยง   ดวงจันทร์เป็นอิม    ความสว่างเป็นเอี้ยง  ความมืดเป็นอิม    ผู้ชายเป็นเอี้ยง ผู้หญิงเป็นอิม   สีขาวเป็นเอี้ยงสีดำเป็นอิม ฯลฯ )   หากมีเอี้ยงมากเป็นเพศชาย หากเป็นอิมมากกว่าก็เป็นเพศหญิง  ดังเช่นตัวดักแด้จึงกลายเป็นผีเสื้อ ลูกอ๊อดจึงกลายเป็นกบ  เมล็ดจะกลายเป็นผักหรือต้นไม้  การเกิดของสรรพสิ่ง ย่อมไม่หลีกพ้น ธาตุทั้งห้า  เพราะฉะนั้น ห้าอาวุโสจึงเป็นบุญคุณของสรรพสิ่ง  อาจไม่เชื่อถือก็สามารถพิสูจน์พิสูจน์ได้  จากการค้นคว้าของวิทยาศาสตร์ ข้า ฯ เชื่อว่าที่พูดนั้นไม่เหลวไหล ฉะนั้น ผู้คนปฏิบัติธรรม ควรจะทิ้งไอแห่งธาตุทั้งห้า  ก็เหมือนดับเชื้อพันธุ์ในวัฏสงสาร  เกิดเกิด  ดับดับ  เหมือนเมล็ดที่ต้องงอกต้องเกิด เป็นต้น  ต้นก็ให้เมล็ด  เมล็ดก็ให้ต้นอีก   จากหนึ่งกลายเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่ - ห้า  เป็นหมื่น ๆ เชื้อพันธุ์ตัณหาของมนุษย์ก็เป็นเชื้อพันธุ์ในวัฏสงสาร  จึงมีคำพูด ๆ ว่า  "ความทะยานอยาก จะสืบทอดการเกิดการตาย"  พืชพันธุ์สามารถปลูกได้ในประเทศจีน  อเมริกา  อินเดีย  แอฟริกา  นานาประเทศ  หากจะต่างกันออกไป  ดังนั้น  มนุษย์ในโลกนี้จึงมีผิวพรรณและลักษณะออกไป  ดังนั้น   มนุษย์ในโลกนี้จึงมีผิวพรรณและลักษระแตกต่างกัน

        บัดนี้  เมื่อชาวโลกปฏิบัติธรรม ก็ควรจะสลัดทิ้ง ความแตกต่างภายนอกเสีย แล้วเสาะแสวงหา  "แก่น" อันเป็นพื้นฐานเดิม พึงรำลึกเสมอว่า  สรรพสัตว์ในโลกล้วนมีจุดกำเนิดจากแหล่งเดียวกัน เหมือนพระจอมราชัน ผู้ประทานเมล็ดเผ่าพันธุ์เมล็ดหนึ่ง แล้วแตกกระจายออกไป ดังนี้แล้ว การปฏิบัติธรรมควรน้อมระลึกไว้เสมอว่าจากธาตุทั้งห้า เมื่อรวมกันแล้ว จะเป็น  ไตรวิสุทธิ์  และจากไตรวิสุทธิ์นี้  เมื่อรวมกันอีกครั้ง ก็จะเป็นเอกธาตุ ไหลย้อนไตรวิสุทธิคงคา กลับเข้าสู่สวรรค์ถิ่งดั้งเดิม เมื่อสำเร็จมรรค - ผล  ก็เสวยสุขนิรันดร์ หลุดพ้นจากสามภพ ไม่ถูกควบคุมโดยธาตุทั้งห้า ชีวิตก็จะมีแต่ความอิสระ  สุขสำราญ  ความพิสดารนี้ พระจอมราชันเจ้าผู้ก่อกำเนิดสรรพสัตว์มีพระคุณเหลือล้น  อันเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรจะกราบนมัสการมิใช่หรือ ?. 

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ หลวงปู่คงคา ที่เผยความลับสวรรค์

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีเทพบุตรหนึ่ง หน้าตาดูวัยรุ่นอยู่ ลอยข้ามแม่น้ำคงคาสวรรค์มาโดยไม่ต้องใช้เรือ กระผมใคร่จะสนทนาด้วยจะได้ไหม ?.

หลวงปู่   :  เขาคือ เทพฟ้าเมฆินทร์ เจ้าสามารถถามไถ่เขาได้

หยางเซิง   :  ขอเรียนถามท่านเทพ ไม่ทราบว่าท่านมาจากไหน ?.   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 7 เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/01/2012, 02:24
คง     สัทธรรมห่อไว้        บรรจุในจิต
คา     นิ่งสงบเงียบ         สว่างแพร้ว
สะ     อาดยิ่งส่องลุ         พื้นต่ำ แลเห็น
วรรค์  ใหม่ชาติหน้าแล้ว    นิ่งน้ำชโลมกายฯ

โลกสังคมมั่วฟุ้ง                  หลงใหล เสพติด
สักครู่ประด๋าวได้                 ทุกข์แน่
บำเพ็ญบ่มจิตไซร์               สงบ ทรงฌาน
รู้แก่นสัทธรรมแท้               ผ่องแผ้ว วิญญาณฯ

                                  เที่ยวเมืองสวรรค์

                                      ครั้งที่ 7

                  เที่ยวไตรวิสุทธิคงคา   ฟังธรรมจากหลวงปู่คงคา

                            วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนความว่า

        ไตรวิสุทธิ์สี่ตรง                  ฤทธิ์ดำรงเดชารุ่งเรือง
ห้าธาตุสามัคคี                           พลีเคลื่อนธรรมจักรสถิต
น้ำไฟผสานติด                           เป็นนิมิตแดนศักดิ์สิทธิ์
บำเพ็ญธรรมฝนจิต                      พิชิตขึ้นสู่สวรรค์

ฟ้าเมฆินทร์   :  ผมมาจากอนุตตรวิสุทธิปราสาท เป็นศิษย์ของท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ วันนี้มีกระแสจิตดลใจทราบว่า อรหันต์จี้กงและคุณหยางเซิงมาท่องสวรรค์ เพื่อแสวงหาธรรมะ ดังนั้นจึงมายังคงคาสวรรค์เพื่อสนทนาด้วย เมื่อครู่นี้ท่านหลวงปูคงคา ก็ได้เล่าถึงความเป็นมาของคงคาสวรรค์แล้ว เพื่อที่จะโปรดสัตว์โลก จึงมาเพื่อขยายความอีกนิด เมื่อมนุษย์ปฏิบัติธรรม จิตใจไม่แน่วแน่ ไม่เคร่งครัดต่อศีล  แต่ละครั้ง ๆ ก็มัวแต่อโหสิให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา อันเป็นสาเหตุที่ไม่เจริญรุดหน้า เนื่องจากพระจอมราชัน ต้องการกอบกู้วิญญาณกลับถิ่นเดิม จึงได้แพร่งพรายความลับสวรรค์อีก วันนี้ ผมจะชี้แจงถึงการปฏิบัติธรรม  3  ขั้นตอน ถ้าหากทุกคนทำได้ขอรับรองว่าก็จะสามารถลอยข้าม คงคาสวรรค์ได้

1.  ฟ้าสดใส  ศรีษะของคนถือว่าเป็น  "ฟ้า"  เป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณ จำต้องมีปัญญาไหวพริบดี ต้องละความคิดที่อกุศลทิ้ง   ละตัณหา  ดังนั้น  สติปัญญาจึงสดใส จิตวิญญาณจึงเชื่อมโยงถึงสวรรค์ในขณะที่สิ้นลมปราณ วิญญาณบริสุทธิ์จึงจะลอยขึ้นสู่สวรรค์ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า  "ฟ้าสดใส"

2.  ธรณีวิสุทธิ์  ส่วนท้องของมนุษย์เปรียบเหมือน  "ธรณี"  กระเพาะและม้ามเป็นธาตุดิน ดำรงชีพด้วยธัญธาตุทั้งห้า ห้ามรับประทานสิ่งมีชีวิต ท้องไส้ก็บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเน่าบูดของปลา  เนื้อสัตว์  เมื่อสิ้นลมปราณ ธาตุบริสุทธิ์ก็กลับแหล่งเดิม จิตวิญญาณก็จะกลับคืนสู่ดินแดนบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงเรียก    "ธรณีสงบ" 

3.  มนุษย์วิสุทธิ์  ส่วนล่างของมนุษย์เปรียบเป็น  "มนุษย์"  ชายและหญิงมีความกำหนัดยินดี  ก็จะหลั่งเลือดอสุจิ หากความสัมพันธ์นอกเหนือจากสามี - ภรรยา เรียกว่า  "กามอุบาทว์"  เมื่อเกิดกามอุบาทว์ความสว่าง - มืด  (อิม - เอี้ยง)  จะสับสนกลับกันผิดศีลธรรม เลือดอสุจิเป็นรากเหง้าเผ่าพันธุ์ ดังนั้น ถ้าปล่อยให้เคลื่อนออกโดยไม่มีการควบคุม มีเพศสัมพันธุ์ไม่หยุดยั้ง ผิดผัวผิดเมีย  เป็นการทำลายเผ่าพันธุ์แห่งวิญญาณ เป็นการทำร้ายต่อวิญญาณ  เลือดอสุจิปนเปกันก็เหมือนน้ำในแม่น้ำขุ่นคลั่ก ผู้ที่มักมากในกามมารมณ์ มีคำกล่าว ๆ ว่า  "นิยมชมชอบสมสู่กันมากกว่าอยากเป็นเทวดา" เพราะฉะนั้น จึงมีความคิดว่าจะเลิกธรรมะตกลงสู่ความกำหนัดยินดีในความใคร่อันยาวนาน จิตวิญญาณเสื่อมสลายลง ไฟราคะเพิ่มสูงเด่น ความกำหนัดยินดีในกามตัณหา ก่อกำเนิดจากเบื้องใต้ทะเลลึกของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหล่งที่ชุมนุมและการระบาย แห่งความสกปรก (ตมเลน) ทั้งหลาย ดังนั้น ผู้มักมากในทางนี้ เมื่อสิ้นลมปราณลง ย่อมตกลงสู่มหาสมุทรในยมโลก ตรงกันข้าม ความสะอาดจากกามมารมณ์ แปรเป็นบุญกุศลผุดผาดบริสุทธิ์ในทะเลทุกข์ กลายสภาพเป็นทะเลธรรม  เมื่อกิเลสของคนหมดลงตามหลักแห่งสวรรค์ เมื่อสิ้นลมปราณ จากมนุษย์ที่บริสุทธิ์ เชื่อมต่อธรณีวิสุทธิ์ ต่อโยงถึงฟ้าวิสุทธิ์อย่างอัตโนมัติ เหมือนกับนักพรตในโลกนี้  หากมีความตั้งมั่นบำเพ็ญเพียร แต่ใจไม่ยอมห่างจากกามมารมณ์ และได้ตกลงสู่ห้วงเหวแห่งนี้นับไม่ถ้วน ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วต้องล่องลอยไปกับกระแสน้ำที่ขุ่นหมอง จมดิ่งอยู่ในทะเลรักหรือจำอยู่ในนรก หรือเกิดเป็นคนอีก หมุนเวียนไม่จบ บัดนี้ได้มีการโปรดสัตว์ชาวโลกปฏิบัติธรรม หากสามารถละกามราคะ รักษาพรหมจรรย์ ก็เหมือนสามส่วนของร่างมนุษย์  "บน  กลาง  ล่าง"  ไตรวิสุทธิ์ไม่ติดขัด ซึ่งเป็นการทดสอบเพื่อผ่านคงคาสวรรค์ไปได้ สามารถขึ้นฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขต มิฉะนั้นแล้ว แม้จะสร้างคุณงามความดีไว้มากมายเพียงไร เมื่อตายลงแล้ววิญญาณยังต้องได้รับความช่วยเหลือจาก อรหันต์  หรือวิสุทธิเทพในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ทำการฝึกฝนอบรมอีก จนกว่าจิตจะบริสุทธิ์ จึงจะค่อย ๆ สขึ้นสู่สวรรค์ตามลำดับขั้น หวังว่าชาวโลกจะเข้าใจ

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณ ท่านเทพฟ้าเมฆินทร์ ที่ประทานวรพจน์ วรพจน์แต่ละคำมีค่ายิ่งกว่าเพชรนิลจินดา ไพเราะเสนาะหูและใช้การได้อย่างแท้จริง

อรหันต์จี้กง   :  เวลาดึกมากแล้ว อาตมาต้องพาศิษย์กลับสำนัก กล่าวนมัสการลาท่านทั้งสองเถอะ

หลวงปู่   :  ไม่ต้องเกรงใจ  ลาก่อน !

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  เซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเเข้าร่าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 8 ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/01/2012, 03:45
                            เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

อรหันต์จี้กง   :  คุณภาพชีวิตของมนุษย์ได้ยกระดับขึ้นมามากแล้ว บ้างก็อาศัยอยู่ในตึกระฟ้า แต่ก็ไม่พ้นกำแพงหนาลูกกรงเหล็ก กักขังตนเองอยู่ในนั้น ถึงแม้จะปิดกั้นกันขโมยได้ แต่ใน  "ห้องจิต"  ไม่อาจจะปิดกั้นได้จากเหล่ากามราคะ โจรผู้ร้ายจากความกังวลบุกเข้ามาเสมอ ๆ  เจ้าดูประตูหอห้องของปราสาทวิมานในแดนสวรรค์ซิ ไม่เคยปิดเลย ขโมยก็ไม่เข้า เสียงรบกวนก็ไม่มี เพราะฉะนั้น จึงวางใจไป ๆ มา ๆ มีอิสระ ความสุขเช่นนี้ เจ้าไม่คิดอยากได้หรือ ?.  มาซิ !  ไม่ต้องเกรงใจหรอก !  เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัว  วันนี้เราจะไปยังอนุตตรวิสุทธิปราสาท ไปเฝ้าท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ

หยางเซิง   : ดีครับ !  กระผมขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  ........ถึงปราสาทแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง   :  ชั่วประเดี๋ยวเดียว อนุตตรวิสุทธิปราสาท ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า รัศมีจาก  36  ฟ้าบันดาล และ 72  ธรณีพิฆาต ยังคงสาดส่องแวววาวไม่หยุดกระผมรู้สึกแสบตานิดหน่อย

อรหันต์จี้กง   :  ต้องมีสติมั่นคง  จิตอย่าสับส่าย

หยางเซิง   :  ขอรับ !  ตอนนี้จิตค่อยสงบลงแล้ว ขอนมัสการเข้าพบท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  มิต้องคารวะ !  ท่านทั้งสองได้มาที่ปราสาทนี้อีก ยินดีต้อนรับ ครั้งก่อนที่มาเนื่องจากเวลาจำกัด เพียงแนะนำให้รู้จัก  36  ฟ้าบันดาล และ  72  ธรณีพิฆาตเท่านั้น ยังไม่ได้สนทนาธรรมกันเลย วันนี้ก็ใคร่จะอธิบายเกี่ยวกับมหาสัทธรรมจิตพิศดารเพื่อโปรดชาวโลก ข้า ฯ จะพาเจ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ พระที่นั่ง

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ! เดินมาข้าง ๆ พระที่นั่ง มองเห็นเหนือพระที่นั่งมีอักษรว่า  "จิตพิศดารคืนถิ่น"  รอบ ๆ อักษรมีรัศมีทองเปล่งประกายวาววับ แต่ไม่เข้าใจความหมายของอักษร ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ : ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/01/2012, 05:42
                         เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  เจ้าคอยสักประเดี๋ยวก็จะรู้เอง

หยางเซิง   :  พอเข้าไปข้างในพระที่นั่ง เวิ้งว้างว่างเปล่า โปร่งใส ราวกับกระจกแก้วไร้ขอบเขตไม่เห็นมีอะไรเลย

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ดวงตาเจ้ายังไม่แกร่งพอ ข้าฯ จะทำการปัดเป่าให้นิดหนึ่ง เจ้าก็จะได้เห็นชัดเจนทุกอย่าง

หยางเซิง   :  ท่านเทพใช้แส้ปัดผ่านหน้ากระผมไป ภาพที่อยู่ข้างหน้าพลันก็เปลี่ยนแปลงไป พบแต่สิ่งสีขาวดวงหนึ่งลอยอยู่เบื้องบน แสงดวงข้างหน้าแวววาว คล้ายกับกำลังหมุนอยู่อย่างเร็ว มิทราบว่าเป็นอะไร ?.

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ฮ้า ฮ้า !  ดวงนี้เป็นดวงวิญญาณของเจ้าเอง  ฟ้าสดใส  ธรณีสงบ มนุษย์ศักดิ์สิทธิ์  สามส่วนนี้หากขาดธาตุนี้แล้ว ฟ้าจะถล่มดินจะทลายผู้คนจะดับสูญ วิญญาณบริสุทธิ์นั้นสุดค่าสุดหวงแหน จึงเรียกว่า  "วิญญาณพิสดาร"  บนฟ้ามีสุริยัน  จันทรา  และดวงดารา  ธรณีก็มีน้ำ ลม ไฟ  มนุษย์ก็มีพรหมจรรย์  ธาตุ  สติ  นี้แหละคือ สามส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์มีค่ายิ่ง เพราะเหตุนี้ ข้าฯจึงควบคุมพิธีกรรมของสวรรค์ปางก่อนโดยท่านพระเสียงเล่ากุงเป็นผู้ทำพิธี ชาวโลกผู้เข้าพิธีจะต้องกราบเชิญองค์พระไตรวิสุทธิ์ก่อน จึงจะทำพิธีได้ หากต้องการความศักดิ์สิทธิ์ ต้องรวบรวมพลังสติ ตั้งจิตมั่น ลองมาดูตอนที่มีแผ่นดินไหว มนุษย์จะสงบได้อย่างไร ?. เพราะฉะนั้น การดำเนินการทำพิธี ข้อสำคัญอยู่ที่จิตต้องมีศรัทธามั่นคง มีไตรวิสุทธิ์และสี่ซื่อตรง ดังนั้น ฟ้า - ดินก็สามารถเชื่อมโยง  การทำยันต์นั้น พิสดารอยู่ที่  "จิต"  หากว่า จิตกล้า พิธีก็ขลัง หากจิตอ่อนแอ พิธีก็ไม่ขลัง ถ้าไม่มีพลังจิต ก็จะสูญเปล่า

หยางเซิง   :  การทำยันต์ด้วยใจ จะสามารถถ่ายทอดให้บ้างได้ไหม ?.

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ    :  ฮา ฮา !  มิต้องหรอก ใช้ใจที่ดีตั้งใจให้กล้า ยันต์นี้ก็คือ ยันต์ที่มีใจที่ถือเอาความสัจจะและความซื่อสัตย์

หยางเซิง   :  อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง !  ความพิสดารที่ไม่มีที่สิ้นสุด ก็ขึ้นอยู่กับจิตที่มั่นคง   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 8 : ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/01/2012, 14:29
                          เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ชาวโลกมักไม่บำรุงเลี้ยงพื้นจิตให้ดี ผู้ที่เรียนวิทยาคม มักจะเย่อหยิ่งจองหอง สำคัญผิดคิดว่า ตนเองนั้นล้ำเลิศ บ้างก็อิจฉากัน กล่าวหากัน หรือไม่ก็ละโมฐทรัพย์ บ้างก็มัวเมาในกามราคะ ไร้ศีลธรรม ใช้คาถาอาคมไปในทางมิชอบ ทำร้ายคนด้วยอาคมอุบาทว์ ตัดต่อคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ คนจำพวกนี้เมื่อตายลงต้องตกนรกดังคำปฏิญาณที่ให้ไว้ รับโทษทรมาน จากเครื่องพันธนาการของฟ้า - ดิน หรือไม่ก็ไปกำเนิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก หรือไข่ หรือน้ำ หรือจากการแยกตัวต่าง ๆ เพื่อรับอกุศลกรรมที่ตนก่อไว้ ถ้าหากว่าจะใช้วิทยาคมตามกฏระเบียบเพื่อช่วยเหลือมนุษย์แล้ว ควรรักษาศีล 10 ข้อดังนี้

1. ไม่ฆ่าสัตว์........อย่าเห็นแก่การกิน

2. ไม่ผิดเพศ........ผิดลูกเมียเขา

3. ไม่ลักขโมย.......ทรัพย์อันมีเจ้าของ

4. ไม่กล่าวเท็จ........กล่าววาจาที่ไม่จริง

5. ไม่มัวเมา........สำนึกในความประพฤติ บริสุทธิ์เสมอ ๆ

6. สนิทสนมกลมเกลียวในหมู่ญาติพี่น้อง

7. เห็นเขาทำบุญสร้างกุศล เราก็อนุโมทนาด้วย

8. เห็นเขาทุกข์ร้อน เราก็ช่วยเหลือ

9. เขามุ่งร้ายต่อเราแต่เราไม่โต้ตอบ

10. ใฝ่ใจในมวลมนุษย์ที่บรรลุธรรม แล้วเราก็จะไปนิพพาน

        ถ้าหากได้ยึดถือปฏิบัติตามศีล 10 ข้อ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ไม่ว่าจะเรียนธรรมะ หรือเรียนวิทยาคม ก็จะได้รับผลสำเร็จแน่นอน  ขณะนี้เป็นระยะเวลาโปรดสัตว์ ชาวโลกควรสดับรับฟังธรรม ปฏิบัติธรรม มิฉะนั้นหากพลาดโอกาสแล้วก็จะสายไป ข้าฯจะกล่าวคติธรรมให้ฟัง  ดังนี้

        ยมโลกตรวจสอบไม่เว้นวัน
ทุกค่ำคืนยันรุ่งร้องทุกข์ทรมาน
เพราะปางก่อนไม่คิดทำบุญทำทาน
เมื่อตายลงวิญญาณจึงถูกฉุดเข้าคุก
ยมทูตหัวควายไม่เคยปราณี
ผู้คุมมีเมตตามีได้อย่างไรกัน
กินลูกอมเหล็กร้อนแดงจนปากคับ
นกทองเหลืองขยับบินฉกลูกกะตา
เจ้าหนี้คู่แค้นมีนับไม่ถ้วน
ต้องใช้คืนล้วนทุกรายเคลียร์บัญชี
ตอนมีชีวิตไม่รู้จักรัตนตรัยดี
เมื่อตายลงมีที่ไหนจะแคล้วคลาด
ครั้งดิ่งลงนรกอันมืดมิดตลอดกาล
แม้เนิ่นนานพันปีมิรู้เหตุเกิด - ตาย
เตียงเหล็กยามราตรีร้อนรุ่มกาย
ต้นไม้เหล็กกิ่งก้านตายบ่รู้ฤดูกาล
ชาวโลกแลผีเปรตร้องระงม
แค้นระบมพวกผู้คุมหัวควาย
หมู่มีดเย็นยะเยือกตำทั่วกาย
เตาถ่านรายลุกโชติช่วงลวกผู้คน
หมื่นแปดพันเคราะห์ไม่มีวันกลับ
อาจจะสับไปเกิดเป็นหมูหมาเอา
ตอนเป็นคนไม่ให้ความสะดวกเขา
เมื่อเป็นผีเอากุศลได้อย่างไร
ที่นี่นี้ทุกข์ยากทั้งร้อยแปด
ร้อนแดดแบกทุกข์ไปบอกใคร
ควรใคร่ดูกายสลายบ่เหลือใด
ธาตุทั้งสี่อวัยวะห้าใช้ของจริง
ข้อกระดูกมีถึงสามร้อยหกสิบ
เนื้อหนังขลิบเข้าเลือดใส่รวมเป็นร่าง
คิดก็คิดว่ามันอยู่ไม่ตลอดทาง
แต่ก็ยังคิดพลางวุ่นวายพลางตลอดคืน
พ่อแม่ลูกเมียฝากเพียงชั่วคราวก่อน
พี่น้องมีโอกาสตอนอยู่ไม่ถึงเฒ่า
เมื่อลมปราณขาดกลับบ้านเก่า
ทุกส่วนเน่าเปื่อยกลายเป็นดิน
แม้ลูกชายหญิงร่ำไห้เคียงข้าง
ก็ไม่มีทางจะช่วยให้หลุดพ้น
ขอให้เพียรสร้างกุศลให้มากล้น
ระวังอย่าสนใจทิ้งทรัพย์ไว้ให้ลูกหลาน

อรหันต์จี้กง   :  ท่านเทพกล่าวอย่างซาบซึ้ง ทำให้เจ้าหยางเซิงเศร้าสลดใจจนน้ำตาไหลไม่หยุด ชาวโลกได้ฟังคติพจน์เตือนสติ เชื่อว่าผู้ที่มีเลือดเนื้อคงรู้สึกสะเทือนใจบ้าง เห็นอย่างนี้แล้ว ท่านจะไม่รีบ ๆ บำเพ็ญเพียรหรือ ?. จะได้ลอยขึ้นสู่สวรรค์ไงเล่า

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ข้าฯจะนำดวงวิญญาณกลับคืนสู่ร่างเจ้าหยางเซิง

หยางเซิง   :  ดวงแสงที่อยู่ข้างหน้าได้หายไปจริง ๆ ด้วย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 8 ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/01/2012, 01:24
                          เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ภายในใจของเจ้าก็มี  "องค์จิตพิศดาร"  อันเป็น "จิตดั้งเดิม"  ก็คือ  "องค์วิสุทธิเทพ"  จึงกล่าวได้ว่า "คาถาอาคมต่าง ๆ ล้วนเกิดจากใจ"  เมื่อคนผจญกับความยากลำบากเพื่อที่จะผ่านเคราะห์กรรม ควรจะหาวิธีแก้ไขเสียก่อน หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า "วิทยาคมเกิดจากใจ" หากใจตรงอาคมก็ขลัง (ศักดิ์สิทธิ์)  สามารถที่จะป้องกันตนเองเพื่อเจริญธรรม ในทางตรงกันข้าม หากใจคด  อาคมก็อุบาทว์ สามารถทำลายผู้คน ทำให้บุญบารมีเสื่อมถอย ชวโลกอยากได้อาคม แต่ไม่อาจจะได้รับ อยากได้ธรรมะ แต่ก็ไม่อาจจะได้ธรรมะ มีคนกล่าวว่า  "บารมีสูง เสือมังกรสยบ  มีศีลสูงผีเทพเกรง"  อันนี้เป็นการสำเร็จทางวิทยาคม ดูอย่างมหาบุรุษ แม้ตัวท่านเองจะไม่มีคาถาอาคม แต่ข้างตัวท่าน ต้องมีผู้ติดตามให้ความคุ้มครองเสมอ อันนี้คือ คาถาป้องกันตัว การเรียนธรรมะก็เช่นเดียวกัน ต้องตั้งมั่นปฏิบัติธรรม อดทนต่อมารผจญ เมื่อบุญบารมีเพิ่มพูนขึ้นแล้ว ความร้อนจากกำลังไฟสมบูรณ์เพียงพอแล้ว ยังสามารถนำไฟกลับที่เดิม

หยางเซิง   :  อะไรคือ  "การนำไฟกลับที่เดิม" ?. 

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  การบำเพ็ญเพียรก็เหมือนกับการสะสมพลังไฟ เมื่อเกิดไอขึ้นก็จะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เบาบริสุทธิ์กลับที่เดิม หากว่าจิตไม่มั่นคงแล้ว พลังไฟกลับเย็นลง เมื่อไอเย็นลงก็จะตก (จม) ลงไป เพื่อเป็นการโปรดชาวโลก วันนี้ ข้าฯจะถ่ายทอดสูตร "จิตพิศดารเพ่งมั่น" 

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณท่านเทพที่ช่วยเหลือชาวโลก เจ้าหยางเซิงจงเงียบฟัง

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  เงียบสงบฟังท่านเทพ กล่าว
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 8 ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง (สูตรจิตพิศดารเพ่งมั่น)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/01/2012, 02:14
                         เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

                                 สูตร  จิตพิศดารเพ่งมั่น

        อันว่าจะบำเพ็ญธรรม ต้องสามารถละจากภารกิจ
อธิบาย  :  เมื่อจะเจริญภาวนา ได้ชื่อว่า บำเพ็ญธรรม ต้องไม่เกี่วข้องกับทุกอย่าง  จึงได้ชื่อว่า ละจากภารกิจ

        เรื่องภายนอกตัดให้มากอย่าขวางอยู่ในใจ     
อธิบาย  :  อายตนะภายนอก เรื่องภายนอก ต้องหลีกให้ห่างไกล  อายตนะภายนอกได้แก่ รูป  กลิ่น  เสียง  รส  โผฏฐัพพะ (สัมผัส)  ธรรมารมณ์ (มโนภาพ) หากไม่ได้สัมผัส จึงได้ชื่อว่า ตัดให้มาก จิตและภาพละว่างได้ก็จะปราศจากความกังวล จึงได้ชื่อว่า อย่าขวางในใจ

        ภายหลังนั่งสมาธิ  จิตเริ่มเพ่งภายใน
อธิบาย  :  เมื่อความกังวลละได้แล้ว ให้นั่งตัวตรง หากมี (ความคิด) อะไรแวบเข้ามาให้รีบปัดออกไปเสีย จงทำให้สงบเงียบ จิตเริ่มมีปัณหาให้เพ่งภายในเรียกว่า เพ่งภายใน  หากยังขจัดความคิดไม่หมด เรียกว่า จิตฟุ้ง  กล่าวคือ ความคิดอันแรกมีขึ้นฉับพลัน ความคิดอันหลังจึงตามมา หากจิตหลับลง ความรู้สึกผ่องใสก็ดับไปด้วย จึงต้องขจัดออกไป เมื่อจิตไม่ฟุ้ง คือจิตสงบลงแล้ว รู้สึกดวงจิตไม่กระสับกระส่าย กล่าวคือ สงบ หมายถึง สงบราบเรียบ

        ถัดมา  เรื่องความโลภ  ล่องลอยเที่ยวแตร่  คิดสับสน  ต้องขจัดให้หมด
อธิบาย  :  ความคิดต่าง ๆ ไม่ผุดขึ้น ความคิดสับสนลืมสิ้น เมื่อความคิดสับสนไม่ผุดขึ้น จะมีความโลภได้อย่างไร จึงเรียกว่าขจัดให้หมดสิ้น

        เพียรตลอดวัน  ไม่ผ่อนคลาย
อธิบาย  :  กลางวันเรียกว่าสะอาด  กลางคืนเรียกว่าสกปรก ให้ลืมทั้งสะอาดและสกปรกเสีย ให้เพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีเวลาผ่อนคลาย จึงเรียกว่า ไม่ผ่อนคลาย

        คอยระมัดจิตฟุ้ง  ไม่ต้องระวังจิตเพ่ง
อธิบาย  :  แยกความคิดกังวล ได้ชื่อว่า จิตฟุ้ง เอาจิตเพ่งไปกำหนดเรียกว่า ขจัด ปัญญาผ่องใสตลอดเวลาไม่ขาดตอน ได้ชื่อว่า ไม่ต้องระวังเพ่งจิต

        ผนึกจิตว่าง ไม่ผนึกจิตที่คงอยู่
อธิบาย  :  การมุ่งมั่น เรียกว่า ผนึกจิต จิตทั้งหลายไม่ฟุ้งซ่าน ได้ชื่อว่า จิตว่างไม่ยึดติดใด ๆ ได้ชื่อว่า ไม่ผนึกจิตที่คงอยู่

        ไม่ทำตามวิธีเดียว แล้วจิตจะอยู่ประจำ
อธิบาย  :  หากใช้วิธีอันเดียว ได้ชื่อว่าติดรูป  จิตไม่เลือกวิธี ได้ชื่อว่า ไม่ทำตามวิธี ปัจจุบันก็จะสงบ ได้ชื่อว่า จิตประจำ

        สามัญจิตจะคึกคักเร่งร้อน ผู้ฝึกใหม่ทำจิตให้สงบยาก หรือสงบลงไม่ได้ พักชั่วครู่ก็กลับสูญ
อธิบาย  :  กล่าวกันว่า นิสัยที่กังวลสามารถจะปราบลงได้ ผู้ฝึกใหม่พลังสติไม่สมบูรณ์ จึงปราบลงได้ยาก หากยังพักชั่วครู่ (พักความเพียร) ก็จะสูญเปล่า

        ไปกับอยู่ต่อสู้กัน ร้อยร่างไหลวน
อธิบาย  :  จิตฟุ้งสัมผัสภาพ ภาพก็จะดึงจิตไป จิตและภาพจะสัมผัสกัน ความอยากกับธรรมะแยกกันยาก ได้ชื่อว่า ต่อสู้กัน ความคิดที่สับสนไม่ดับสูญลง ความไม่ถูกต้องทั้งหลายจะเกิดขึ้น ได้ชื่อว่า ร้อยร่างไหลวน

        เพ่งพิจารณานานาน จึงจะคล่องแคล่ว อย่าคิดว่ายังไม่บรรลุ เลยทิ้งภารกิจพันชาติ
อธิบาย  :  จิตมีสติไม่ฟุ้งซ่าน ก็จะรับรู้ตามความเป็นจริง ความคิดชั่วแล่นไม่ละธรรมกิจ ที่ได้ทำมาเป็นพัน ๆ ชาติ ก็จะละลายสูญไป การบำเพ็ญเพียรก็เหมือนการปรุงอาหาร เมื่อความร้อนยังไม่เพียงพอ และยังไม่ใส่เครื่องชูรส รสชาติก็ยังไม่ดี จำต้องรอให้สุกงอมเสียก่อน จึงจะได้รสชาติที่อร่อย มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นการทอดนิ้วตัวเอง ธรรมกิจที่ทำมาตั้งพันชาติก็จะสูญสลาย

        มักน้อย จะได้ความสงบ
อธิบาย  :  เริ่มแรกฝึกหัด จะได้รับความสงบสบายสะอาด ปัญญายังไม่เกิด อันนี้เรียกว่า ได้รับผลน้อย ก็แต่เพียงความสงบ

        ปฏิบัติในอริยาบถทั้งสี่
อธิบาย  :  ให้ปฏิบัติ ในท่า  เดิน  ยืน  นั่ง  และนอน ให้มีความสง่างามทั้งสี่อริยาบถ

        ที่ที่ทำงาน  และที่ที่อึกทึก
อธิบาย  :  พบเห็นรูปต่าง ๆ ในแหล่งธุรกิจ  ที่ที่ทำงาน จิตทุกชนิดที่เกิดขึ้นทุกรูปแบบ ได้ชื่อว่า ที่ที่อึกทึก

        ล้วนทำให้ความคิดสับสน
อธิบาย  :  ความวุ่นวายสงบลง กลับคืนสู่ความสงบเงียบ ได้ชื่อว่านำความคิดอยู่ที่ ๆ สงบ ได้ชื่อว่า สงบ 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 8 ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง (สูตรจิตพิศดารเพ่งมั่น)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/01/2012, 10:48
                        เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

                                 สูตร  จิตพิศดารเพ่งมั่น

        มีหรือไม่มีธุระ เหมือนไม่ใส่ใจ ที่เงียบที่อึกทึก ตั้งจิตให้เป็นหนึ่ง
อธิบาย  :  มีหรือไม่มีให้ปล่อยคลาย  ความเงียบหรือการใช้ ต้องละ (ลืม) นานานศาสตร์ไม่มีความแตกต่าง ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่ง

        เร่งรัดจิตจนเกินไป ร่างกายจะเจ็บป่วย สติฟั่นเฟือน ค่อยเป็นค่อยไป
อธิบาย  :  ใจเร่งร้อน ยึดเอาแต่ความเงียบ ได้ชื่อว่า เร่งรัดจิต จิตเกิดเห็นรูปภายนอก อันนี้คือ สติฟั่นเฟือน ที่พูดว่าบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญจิต ไม่อาจร้อนเร่งรัด มิฉะนั้น ก็จะเกิดเจ็บป่วยได้

        เมื่อจิตไม่ฟุ้ง ต้องปล่อยเลย ช้าหรือเร็วก็ถึงที่
อธิบาย  :  เมื่อสติตั้งมั่น ดวงปัญญาจะเกิด ได้ชื่อว่า ปล่อยเลย สติ ปัญญาจะสมดุลกัน ได้ชื่อว่า ถึงที่ มรรควิธีการบำเพ็ญเพียร ควรจะรีบ และปล่อยได้ตามต้องการ

        ปรับให้เข้ากันโดยธรรมชาติ
อธิบาย  :  ระวังแต่สติเกินไป ก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าใช้ปัญญาเกินไปก็จะเกิดความวิปลาศ ดังนั้น ต้องมีทั้งสติปัญญาควบคู่กันไป จึงได้ชื่อว่า ปรับให้เข้ากันโดยธรรมชาติ

        บังคับไม่อยู่ ปล่อยไม่ฟุ้งซ่าน อยู่ที่อึกทึกไม่เคือง ทำธุระหัวไม่เสีย อันนี้เป็น ความมีสติที่แท้จริง
อธิบาย  :  ยามเงียบสงบก็เพ่งจิตอยู่เสมอ   เมื่อเพ่งเสมอก็จะเงียบสงบ แม้จิตว่างก็ทำธุระได้ ขณะทำธุระก็ยังว่างอยู่ เป็นการบรรลุถึงต้นตอแห่งความสงบ นั่นคือ ความมีสติที่แท้จริง

        ไม่ใช่ทำธุระหัวไม่เสีย เลยทำงานมากขึ้น ไม่ใช่อยู่ที่อึกทึกไม่เคือง ก็เลยจมปลักอยู่ในที่อึกทึก
อธิบาย  :  นิสัยที่ชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำ ควรระงับห้ามปรามเสมอ ๆ อย่าปล่อยให้มันเตลิดไป มิฉะนั้นจะเป็นการหาทุกข์มาใส่ตัวเอง

        การปราศจากธุระเป็นที่พำนักจริง เมื่อมีธุระก็ทำตามธุระ
อธิบาย  :  เมื่อพบว่า จิต สงบเงียบว่าง ไม่มีเสียงรบกวน ไม่มีความกังวล นั่นคือ ที่พักอาศัยของจิตจริง ปัญญาจึงใช้ได้ไม่หมด เมื่อมีปัญหาก็สามารถแก้ได้ ดังนั้น เมื่อมีธุระก็ทำตามธุระ

        ใช้ผิวน้ำต่างกระจกส่องดู เมื่อตามดูจะพบรูป
อธิบาย  :  พื้นจิตสะอาดใส เหมือนผิวน้ำ ส่องดูได้โดยไม่มีสิ่งขัดขวาง สรรพสิ่งจึงปรากฏให้เห็น จึงเรียกว่าพบรูป

        กุศลจิตมีอิสระ สามารถเข้าสมาธิได้ง่าย
อธิบาย  :  อุปนิสัยของจิต ย่อมว่าง ความสงบเงียบไม่มีที่ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงสามารถเข้าสมาธิได้ง่าย

        ดวงปัญญาจะเกิดเร็วหรือช้า คนกำหนดไม่ได้ อย่าเพียรเร่งให้เกิดปัญญา ในขณะมีสมาธิความเร่งร้อนจะเป็นอันตรายต่อจิต เมื่อจิตได้รับอันตรายก็จะไม่เกิดปัญญา
อธิบาย  :  จิตเร่งรัดอยากให้รู้ให้เห็น ยิ่งทำให้สมาธิสูญสลาย ก็โลภในรูป ทำอันตรายต่อจิต  ได้ชื่อว่า ไร้ปัญญา ให้ใช้วิธีธรรมชาติในการปฏิบัติธรรม ธรรมนั้นจะเกิดขึ้นเอง

        เมื่อได้สมาธิแต่พึงได้ปัญญา ปัญญาจะเกิดเอง เรียก สัจจปัญญา
อธิบาย  :  พื้นจิตสงบเงียบ จะใช้ได้อย่างพิศดาร ที่เกิดขึ้นคือสัจจปัญญา

        ปัญญาหากไม่ใช้ ที่แท้คือผู้โง่
อธิบาย  :  เมื่อไม่มีการแยกแยะออกจากกันเลย ได้ชื่อว่า ไม่ได้ใช้ปัญญา  การซ่อนเร้นปิดบังไม่ให้ผู้อื่นรู้  ได้ชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ได้มรรคผล มักจะมีลักษณะคล้ายคนเบาปัญญา  จะนับได้ว่าถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

        ประโยชน์เพิ่มพูนแก่สมาธิปัญญาจะงดงามอย่างไร้ขอบเขต
อธิบาย  :  ความสงบเงียบ และการเพ่งพินิจสมดุลกัน การเคลื่อนไหวและความเงียบเป็นไปอย่างธรรมชาติ จึงได้ชื่อว่างดงามอย่างไร้ขอบเขต

        หากมีความคิดในสมาธิ จะมีผลต่อสิ่งอกุศล ภูติผีปีศาจร้อยแปดจะผุดขึ้นมาให้เห็นตามที่ใจนั้นนึกคิดไว้
อธิบาย  :  หากใจได้รูป รูปต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นสนองตอบ บรรดามารทั้งหลายจะแย่งกันมารบกวน

        การได้พบเห็นเทพเทวดา และ พระอรหันต์ เป็นนิมิตดี
อธิบาย  :  หากได้พบเพ็น เทพ เทวดา หรือพระอรหันต์ แม้จะเป็นนิมิตดี แต่ไม่สามารถจะสัมผัสได้

        เบื้องบนของสมาธิจิต ไม่มีอะไรบดบัง เบื้องใต้ของสมาธิจิต ก็ไม่มีพื้น
อธิบาย  :  ความนึกคิดเบื้องก่อนไม่เกิด ได้ชื่อว่า ไม่มีอะไรบดบัง ความนึกคิดภายหลังไม่เกิด ได้ชื่อว่าไม่มีพื้น

        กิจเก่าหมดไปทุกวัน กิจใหม่ไม่สร้าง
อธิบาย  :  อุปนิสัยเก่า ๆ ค่อย ๆ หมดไป ได้ชื่อว่า กิจเก่าหมดไปทุกวัน จิตยิ่งไม่ฟุ้ง ดังนั้น จึงได้ชื่อว่า กิจใหม่ไม่สร้าง

        ไม่มีอะไรห่วง หลุดพ้นจากกิเลส
อธิบาย  :  ไม่ข้องเกี่ยวกับเหตุหารณ์ต่าง ๆ ได้ชื่อว่า ไม่มีอะไรห่วง หลุดพ้นจากสิ่งผูกพัน จึงได้ชื่อว่า หลุดพ้นจากกิเลส

        ปฏิบัติไปสม่ำเสมอ ย่อมบรรลุเองโดยธรรมชาติ
อธิบาย  :  ปัญญาเกิดขึ้นไม่หยุด ได้ชื่อว่า ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ สมเหตุผลเป็นไปตามความเป็นจริง จึงได้ชื่อว่า บรรลุธรรม

        ผู้บรรลุธรรม ย่อมได้ 7 ประการ
อธิบาย  :  ผู้บรรลุธรรมจะมีลักษณธ 7 ประการ
        1.  จิตเป็นสมาธิ รู้สึกกิเลสต่าง ๆ โดยง่าย
อธิบาย  :  เมื่อ จิต สว่าง สงบ เงียบ ก็สามารถรับรู้กิเลสต่าง ๆ โดยง่าย
        2.  โรคเก่าหดหาย ร่างกายและจิตใจเบาสบาย
อธิบาย  :  ธาตุที่สะอาดเหมาะกับการหายใจ โรคที่เป็นมานานก็ค่อย ๆ หายไป  ร่างกายและธรรม จะผสมผสานเข้ากันได้อย่างแท้จริง ร่างกายจึงเบาสบาย
        3.  เสริมสร้างสิ่งที่สูญหายไป ทำให้อายุยืนคืนชีพได้
อธิบาย  :  กระดูกเข้มแข็งเต็มตึง ได้ชื่อว่า เสริมสร้างสิ่งที่สูญหายไป สีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ได้ชื่อว่าอายุยืนคืนชีพได้
        4.  อายุยืนถึงหมื่นปี ได้ชื่อว่า เทวดา
อธิบาย  :  เมื่อมีอายุยืนยาวไม่ตาย จนนับได้ถึงหมื่นปี ได้บันทึกชื่อไว้ใน บัญชีสวรรค์ จึงได้ชื่อว่า เทวดา
        5.  ฝึกรูปเป็นธาตุ ได้ชื่อว่า ผู้สำเร็จ
อธิบาย  :  การที่สามารถรับธาตุเดิมได้ ได้ชื่อว่า ฝึกรูปเป็นธาตุ จิตเดิมไม่แปลกปลอม จึงได้ชื่อว่า ผู้สำเร็จ
        6.  ฝึกธาตุเป็นเทพเจ้า ได้ชื่อว่า เทพเจ้า
อธิบาย  :  วิสุทธิธาตุ เชื่อมโยงถึง เทพเจ้า อิม - เอี้ยง ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ได้ชื่อว่า เทพเจ้า
        7.  ฝึกจิตแท้รวมกับธรรม ได้ชื่อว่า ผู้วิเศษ
อธิบาย  :  จิตแท้เมื่อรวมกับธรรม ได้ชื่อว่า ผู้วิเศษ หรือ เทพทองคำ อรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้า

        พลังเพ่ง จะโชติช่วงตลอดเวลา
อธิบาย  :  พลังเพ่ง เพ่งอยู่ตลอดเวลาไม่มีการหยุดนิ่ง ยิ่งโชติช่วง ก็จะสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา พลังสัทธรรมยิ่งสูง พลังไฟยิ่งแจ่มแจ้งขึ้น

        เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ปัญญาจะสมบูรณ์กลมกลืน
อธิบาย  :  หากได้ละนิสัยเดิมแล้ว เมื่อได้มรรค - ผล เป็นผู้สำเร็จ ปัญญาจะสมบูรณ์กลมกลืน ทุก ๆ ศาสตร์จะมีพร้อม

        หากฝึกสมาธิจิตมานาน แต่ไม่ได้คุณสักอย่าง กิเลสจะพอกพูน ชีวิตจะสั้น  รูปจะเสื่อมสลาย ผู้ที่ยกตนว่ามีปัญญาสูง บรรลุธรรม แสวงหาเหตุแห่งธรรมจะเป็นการไม่ถูกต้อง
อธิบาย  :  เมื่อจิตเชื่อมโยงรวมกับธรรมได้แล้ว ธรรมที่ได้จะจริงแท้ หากจิตหลงจนตัวตาย ก็ไม่สามารถหลีกจาก เกิด - ตาย ในพระสูตร อรุณตะวันตกกล่าวว่า "เป็นเพราะสูญเสียต้นตอแห่งการเกิด แล้วจะรู้สึกต้นตออย่างไรกัน"  ดังนั้น ผู้บำเพ็ญธรรมไปนาน ๆ แล้ว ยังไม่ได้คุณอะไรสักอย่าง แสดงว่าบารมียังไปไม่ถึง วันเดือนผ่านไป อายุก็เพิ่มขึ้น ร่างกายเสื่อมทราม ยกตนว่าสำเร็จมรรค - ผล ล้วนไม่เป็นความจริงเลย ดังนั้น จึงฉวยโอกาสอันดีงามนี้ ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ

                            กลอนสรรเสริญ
        ความรู้เกิดแต่สภาวะ
ไฟจะเกิดต้องมีเหตุแน่
แต่ละชนิดต้องมีนิสัยจริงแท้
เนื่องจากการไหลนั่นแลจึงสูญต้นตอแห่งธรรม
จิตทะยานอยากจึงหยุดความรู้
เมื่อจิตรู้จึงเกิดความทุกข์
เมื่อหมดรู้ความว่างจึงบุก
ความรู้บุกทุกประตูย่อมพิศดาร

หยางเซิง  :  กราบขอบพระคุณ ที่ท่านเทพได้ประทานคัมภีร์อันมีค่า โสตสัมผัสสูตรแท้ หากแทงทะลุ จิตวิญญาณย่อมสะอาด ใต้หล้านี้ชาวโลกก็มีพระคัมภีร์แท้อีกเล่มหนึ่ง เป็นที่พึ่งพาได้

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ  :  หวังว่า ชาวโลกที่ปฏิบัติธรรม จะฝึกหัดพระสูตรสติเพ่งพินิจ สำหรับผู้ที่ฝึกสติให้สงบเงียบนั้น ควรจะท่องจำให้ได้ ก็สามารถจะเข้าสมาธิจนบรรลุธรรมได้ จะมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างมหัศจรรย์ จงอย่าดูแคลน ข้าฯ จะพาหยางเซิงไปชมพระที่นั่ง "จิตบำเพ็ญ" เพื่อฟังท่านผู้สำเร็จได้อธิบายให้ฟังบ้าง

หยางเซิง  :  ดีซิครับ ขอบพระคุณที่ท่านเทพชักนำ พระที่นั่งจิตบำเพ็ญ ภายในกว้างขวางผิดธรรมดา เหล่าวิสุทธิเทพมากมาย รอบพระวรกายก็มีรัศมีเปล่งออกมาพระพักตร์เปี่ยมไปด้วยความเมตตา กราบเรียนถามท่านวิสุทธิเทพองค์นี้ว่า มิทราบว่าท่านได้บำเพ็ญเพียรอย่างไรจนกระทั่งได้มรรค - ผล ในวันนี้?.         
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 8 ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระญารรัตนวิสุทธิเทพ อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/02/2012, 01:48
                          เที่ยวเมืองสวรรค์

                               ครั้งที่ 8

                    ไปชมอนุตตรวิสุทธิปราสาท

           ฟังธรรมจากพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  อีกครั้ง

                    วันที่  7  กันยายน  พ.ศ.  2522

         อรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า

        ทิวทัศน์แดนสวรรค์             สวรรค์สร้างงดงามล้ำเลิศ
แจ่มจำรัสแพรวพราย                   ประกายทองสว่างนิจนิรันดร์
ประตูบัญชรหอ                         บ่มีขโมยต้องปิดกั้น
เหล่าเทพเทวานั้น                     ใฝ่ธรรมมั่นแสวงหา 

สุวรรณเทพ   :  เจริญพร !  อาตมาสำเร็จมรรคผลมานานกว่าร้อยปีแล้ว  เดิมทีอาตมาเป็นคนในเมืองเสฉวนประเทศจีน ตอนเยาว์วัยกำพร้าบิดามารดา ยากจนมาก จึงออกขอทานไปทุกสารทิศ แต่ใจอาตมาไม่ละโมบ มีกินเพียงอิ่มเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะหยุด มีอยู่วันหนึ่ง อาตมาได้พักอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง ท่านมหาครูเซี่ยเต็ก ได้กรุณารับอาตมาไว้เป็นศิษย์ของท่าน ท่านได้ถ่ายทอดวิชาความรู้แก่อาตมา  ได้ขยันหมั่นเพียรในการฝึกอบรมมาเป็นเวลานับสิบปีได้รับการทดสอบจากเหล่ามารมากมายอย่างไม่ย่อท้อ จึงได้รับมรรค - ผล ในวันนี้

หยางเซิง   :  จะกรุณาเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรให้ฟังด้วยจะได้ไหม ?. เพื่อให้ผู้คนชาวโลกจะได้ศึกษาเป็นตัวอย่าง

สุวรรณเทพ   :  เรื่องขอโลกมนุษย์ อาตมาไม่คิดจะถามหา ไม่คิดที่จะพูดมาก

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  เพื่อเป็นการโปรดผู้คน ขอให้ท่านพูดให้กระจ่างเถอะ ! 

สุวรรณเทพ   :  ก็ได้ !  มิใช่ว่าอาตมาจะไม่เมตตานะ อันที่จริงแล้วชาวโลกนี้ยากที่จะโปรดจริง ๆ   คิดถึงครั้งเมื่ออาตมาบำเพ็ญเพียรอยู่ หนทางขรุขระผ่านความทุกข์ลำบากนานัปการ กินก็แต่น้ำใส ๆ นอนก็เป็นเตียงไม้ มีบางครั้งทำสมาธิฝึกธรรมวิทยา เพ่งจิตเข้าฌานนานนับเป็นเดือน  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เกิดเป็นโรคฝีหนองเต็มไปหมดทั้งตัว ไม่หาย ถูกอาจารย์ไล่ออกนอกวัด หายใจแขม่ว ๆ ปางตาย แต่จิตยึดมั่นในสัทธรรมไม่เสื่อมคลาย ภายหลังอาจารย์จึงให้ยาวิเศษมารับประทาน ทำให้โรคภัยหายไป จนเป็นปกติเหมือนเดิม  มีอยู่คราวหนึ่ง ได้ใช้พลังเทพรักษาโรคให้ชาวบ้าน  เลยทำให้ชาวบ้านแห่กันมารักษาโรคนับเป็นพันคน ทางการเขากล่าวหาว่าหลอกลวงประชาชนเลยจับเข้าคุก  อาตมาก็เลยทำสมาธิเข้าฌาน จึงรู้ว่า เหตุที่เกิดก็เนื่องจากกรรมเก่าที่สะสมเอาไว้แต่ปางก่อน และเป็นการทดแทนการติดคุกในแดนนรก จำเป็นต้องอาศัยโซ่ตรวนแห่งมนุษยโลกเป็นการสะสางหนี้กรรม เลยไม่มีการโกรธแค้นหรือผูกใจเจ็บแต่อย่างไร ได้แต่สำนึกถึงกรรมเก่าที่ได้กระทำมาอยู่ภายในคุกและเป็นการฝึกพลังภายในไปด้วย ติดคุกอยู่ครึ่งปีภายหลังสอบสวนแล้วไม่มีความผิดจึงถูกปล่อยตัวออกมา   มีอยู่วันหนึ่งขณะพลบค่ำกำลังเดินทางกลับวัดได้พบหญิงสาวสวยงามผู้หนึ่งระหว่างทาง ต้องการที่จะเข้ามาคำนับอาตมาถวายตนเป็นศิษย์ และพูดจาหว่านล้อมให้อาตมาเสพสวาท บอกว่าให้บำเพ็ญธรรมพร้อมกับเสพโลกียธรรมไปด้วย นางมีรูปโฉมโนมพรรณที่ชวนให้ลุ่มหลงยิ่งนัก วาจาก็หวานซึ้งฉอเลาะชวนหลงใหล แต่อาตมาบอกปัดด้วยวาจาเฉียบขาด ไม่ให้ความสนใจ ถึงแม้จะถูกตื้อหนักสักเพียงใดก็ตาม จิตของอาตมาก็ยังแน่วแน่ในสัทธรรม และแล้วในที่สุดนางจึงต้องจำจากไป ต่อมาภายหลังจึงทราบว่า เป็นการทดสอบของนางมารทางโลกีย์ นับว่าโชคดีมากที่ไม่ลุ่มหลง ตกลงไปสู่ทะเลรักทะเลใคร่ ท่านผู้บำเพ็ญธรรมโปรดระมัดระวังให้จงหนัก !  หากได้พบกับเหตุการเช่นว่านี้ ให้พยายามคิดว่า นั่นคือตัวหลอน ที่ตกแต่งด้วยสีขาว ๆ เขียว ๆ สวยงามหยาดเยิ้ม  ล้วนจะทำให้หูตาผู้คนหลงใหล เป็นอาวุธที่ฆ่าคนอันคมกริบ มีคำขวัญอยู่ว่า  "การบำเพ็ญเพียรควรยึดถือคติที่ว่า รูปและนามล้วนสูญเปล่าจะโลภไปไย สี่มหาภูตรูป (ธาตุ) อันจอมปลอมไม่มีที่สิ้นสุด ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่จะพ้นโลกไป"  จะไม่น่ากลัวหรือ !  สำหรับผู้บำเพ็ญธรรมต้องได้รับความลำบากมากมาย ไหนจะให้หมดเวรกรรมในชาติปางก่อน ๆ แล้ว ยังต้องยินดีเผชิญกับการทดสอบของมารต่าง ๆ อีกด้วย ขอเตือนผู้บำเพ็ญเพียร หากได้พบกับมารความทุกข์ยาก การเจ็บป่วยต่าง ๆ หรือฐานะของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง  จิตใจจงอย่าได้ท้อถอยเป็นอันขาด หากเกิดท้อถอยหมดกำลังใจ ก็จะเป็นชัยชนะของมาร  และเป็นการพ่ายแพ้ธรรมะ อาตมาได้บำเพ็ญเพียรจนกระทั่งเวรกรรมหมดลง  จนปรากฏวิญญาณเดิมแล้วละร่าง ลอยขึ้นสู่สวรรค์ชั้นนิพพาน  (มหาไพศาลภูมิ)  ได้รับความสุขชั่วนิรันดร์ ในขณะนี้ได้สนทนาธรรมกับเหล่าสุวรรณเทพองค์อื่น ๆ ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากเวลาหมดลงแล้ว เราศิษย์อาจารย์จำต้องลากลับสำนัก ขอบคุณท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ และเหล่าสุวรรณเทพที่ได้สนทนาธรรม

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ขอส่งท่านทั้งสอง

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณท่านญาณรัตนวิสุทธิเทพ และท่านสุวรรณเทพ ขอกราบลาก่อน

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 9 ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/02/2012, 02:52
        จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

อรหันต์จี้กง   :  ชาวโลกอยากกระโดดลงสู่ทะเลทุกข์ เพียงขยับก็ดิ่งลง หากจะลอยขึ้นสู่สวรรค์ กระโดดได้เพียงไม่กี่ฟุตก็จะถูกแรงดึงดูดของโลกดูดลงมาดังนั้นชาวโลกผู้บำเพ็ญธรรมที่ต้องการหลุดออกจากวัฏสงสาร ก่อนอื่นจิตต้องละโลภ  หลง  จากสิ่งของรูปลักษณ์บนโลกเสียก่อน หากมนุษย์ลุ่มหลงต่อสิ่งต่าง ๆ แล้วไซร์ จิตใจก็จะถูกครอบงำด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ความขุ่นของธาตุจะเกาะกุมกันจมดิ่งสู่ดิน ใต้ดินจึงก่อกำเนิดเป็นธาร  ทะเล  แห่งทุกข์ทั้งปวงเราศิษย์อาจารย์ที่จะไปในวันนีก็คือ สวรรค์ที่สะอาด  เบาสบาย  หยางเซิง รีบปล่อยว่างทุกสิ่งทุกอย่าง จึงจะสามารถลอยขึ้นสู่แดนศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตได้

หยางเซิง   :  ปล่อยวางอะไรมิทราบท่านอาจารย์ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ปล่อยวางที่เจ้าแบกไว้บนหลัง และความกังวลในจิตใจไงเล่า ?. อย่าไปคิดหลงมันเลยแม้แต่น้อย ! โยนตนเองไว้ในอวกาศ ไม่ให้นำสิ่งใดติดขึ้นไป ดังนั้นจึงจะรู้สึกว่าตัวจะเบาหวิว จึงสามารถลอยขึ้นสู่ฟ้าได้

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์พูดถูกต้อง !  แต่เหตุไฉนชาวโลกจึงไม่สามารถละสัมภาระ และความห่วงกังวลเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ตาเห็นแต่ไม่จำ หูได้ยินแต่ไม่บันทึก ก็คือ จิตใจ จะตรงไม่งอเป็นเข็มเบ็ด สัมภาระก็จะเกี่ยวไม่ติด สรรพกิจไม่มีอุปสรรค แล้วเลือด (จิต) ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นธรรม (+) เหมือนมนุษย์มีปีกสองข้าง เหมือนธนูยิงขึ้นไปในอากาศ หากจิตเหมือนเข็มเบ็ดตกปลา หย่อนลงในทะเลทุกข์ก็จะเกี่ยวเอาพวกไม้และสวะ กรรมเวรนั้นติดตามมา  ถึงแม้จะมีพระเจ้าคอยฉุดลากก็มิอาจลากขึ้นมาได้

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณอาจารย์ที่ช่วยตีซ้อมให้ละทิ้งใจที่สามัญ แปรเปลี่ยนเป็นใจที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องติดตามอาจารย์บินขึ้นสู่สวรรค์แน่นอน เพื่อไปเยี่ยมคำนับเหล่าวิสุทธิเทพ !

อรหันต์จี้กง    : ฮาฮ้า !  ได้กลับใจจริง ๆ แล้ว เฝ้าตาม (+) ตรงไปยังสวรรค์ รีบ ๆ ขึ้นบนดอกบัว เราศิษย์อาจารย์ท่องชมทิวทัศน์สวรรค์ด้วยกัน เพื่อคลายอารมณ์ ! 

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  กระผมได้นั่งเรียบร้อยแล้วขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางได้ ! 

อรหันต์จี้กง   :  พาศิษย์ผู้ปราดเปรื่องขึ้นนั่งบนดอกบัวทะยานขึ้นสู่แดนนิพพาน ยิ่งขึ้นสูงเท่าไรก็ยิ่งรู้สุกว่าจิตใจลอยละลิ่วเท่านั้น สิ่งหนักอึ้งทั้งหลายปล่อยวางไว้เบื้องหลัง ไม่ต้องไปสนใจมัน เมื่อจิตไม่พะวง จิตก็จะดิ่งขึ้นสู่สวรรค์เบื้องแรก  วันนี้เราจะไปยังวรสุญญตวิสุทธิปราสาท เยี่ยมคารวะท่าน พระบุพวิสุทธิเทพ..... อ้อ ถึงแล้ว เจ้าหยางเซิงลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง   :  เห็นแต่แสงรัศมี แปลบปลาบไปหมด ตาทั้งสองข้างสู้ไม่ค่อยไหว ลืมไม่ขึ้นแล้วอาจารย์ !     
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 9 ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/02/2012, 14:57
  จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

อรหันต์จี้กง   :  วรสูญตวิสุทธิแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากผู้คนบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระวิสุทธิเทพเท่านั้นที่จะเข้ามายังที่นี่ได้ เทพ  เทวดา ชั้นกลาง  และต่ำลงมาไม่อาจจะเข้ามาได้  อันสืบเนื่องจากแดนวิสุทธิ์นี้ ต้นเป็นกำเนิดธารแห่งมหาสัทธรรม ดังนั้นพลังแห่งสัทธรรมจึงแรงฤทธิ์หาที่สิ้นสุดและไร้ขอบเขต  ฤทธิ์เดชจึงไร้เทียมทาน เจ้าน่ะเป็นปุถุชนถึงแม้จะมีพลังธรรมก็จริง แต่พลังไฟยังไม่สดใส ดังนั้นจะมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตนี้ ย่อมเป็นอุปสรรค ข้าฯจะให้ยาวิเศษเจ้าสักเม็ด รีบ ๆ กินเข้าไปเพื่อช่วยพลังของเจ้า

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์ พอกระผมรับประทานลงไปเท่านั้นพลังจิตก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อย ๆ เท่า ฉับพลันนั้นเองรอบ ๆ กายก็ปรากฏมีรัศมีเปล่งออกมาด้วย แสงที่แผดกล้าเมื่อครู่ที่มาถึง รู้สึกว่ากำลังจะอ่อนลงเป็นแสงนุ่มนวล

อรหันต์จี้กง   :  อันนี้เข้าลักษณะรัศมีประสานรัศมี เหมือนหลักพลังจิตประสานพลังจิต หากมนุษย์สามารถบำเพ็ญเพียร จนสามารถเปล่งรัศมีออกมาได้นั้น ก็หมายความว่า  ก็มีธรรมะเพียงพอที่จะประสานกับธรรมะของพระพุทธเจ้า หรือ พระวิสุทธิเทพได้แล้ว

หยางเซิง   :  ด้านหน้ามีปราสาทหลังใหญ่หลังหนึ่ง ข้างบนมีอักษรว่า  "วรสุญญตวิสุทธิปราสาท"  มีรัศมีเปล่งประกายแสบตา ตัวปราสาทกว้างใหญ่ รอบ ๆ มีเมฆสีต่าง ๆ ลอยผ่านรู้สึกมีไอแห่งศิริมงคล มิทราบว่าปราสาทหลังนี้จะเป็นที่พำนักของท่านพระบุพวิสุทธิเทพหรือไม่

อรหันต์จี้กง   :  วรสุญญตวิสุทธิปราสาทก็มีอีกนามหนึ่งว่า  "วรวิสุทธิปราสาท"  เป็นที่พำนักของท่านพระบุพวิสุทธิเทพ  เรารีบเข้าไปกราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพกันเถอะ จะได้ไม่เสียมารยาท

หยางเซิง   :  นมัสการเข้าพบท่านพระบุพวิสุทธิเทพ กระผมเป็นคนทรงชื่อหยางเซิง  ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ วันนี้ก็ได้ติดตามพระอาจารย์มายังวรสุญญตวิสุทธิปราสาทเพื่อนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ กระผมได้ยินกิิศัพท์ อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านพระบุพวิสุทธิเทพ มานานแล้ว วันนี้นับว่ามีบุญวาสนาได้เห็นพระพักตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นบุญมหันต์ ขอเชิญท่านพระบุพวิสุทธิเทพได้โปรดประทานพระวรพจน์ เพื่อช่วยชักนำผู้ลุ่มหลงด้วยเถิด ขอรับ

บุพวิสุทธิเทพ   :  เจริญพร !  สัทธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้เผยแพร่ไปจากข้าฯ จนได้รับความสำเร็จรุ่งไพศาลติดต่อกันไปจนถึงทุกวันนี้ ข้าฯก็รู้สึกเจริญใจ สัทธรรมที่มีการเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่สามารถที่จะพูดให้จบในประโยคเดียวได้ ข้าฯจะไม่พูดละ เจ้าจงดูนิ้วมือที่ชี้ตรงหน้าเจ้าก็แล้วกัน

หยางเซิง   :  กระผมโง่มาก ไม่ทราบความหมายมันเลย

บุพวิสุทธิเทพ   :  "ข้างหน้ามีถนนสายหนึ่ง ตรงไปยังบ้านเก่าของเจ้า"  มือศักดิ์สิทธิ์ชี้ไปยังตัวเจ้า เจ้าเห็นกระจ่างแล้วหรือยัง?. "เข้าใจ"  แลัวหรือยัง

หยางเซิง   :  เข้าใจแล้วขอรับ !  "เข้าใจ" แล้ว ! 

บุพวิสุทธิเทพ   :  ข้าฯชี้ให้เจ้าดูหน้าตาที่แท้จริงของเจ้า สัทธรรมก็อยู่ในนั้น ผู้ค้นพบก็จะบรรลุ ผู้ที่หลงแม้จะมีโคมไฟส่องทางก็ยังมีจิตที่กระสับกระส่ายเหมือนลิง กระโจนไปทางซ้ายทีขวาที ตกลงสู่คลองอันมืดคลึ้ม !  พระมหาสัทธรรมแห่งพระบุพนภากาศ ทำไมจึงมีความหมายเพียง  "น้อยนิด"  ก็เพราะปัญญาอันน้อยนิดนี้ได้เกี่ยวเอาหัวของชาวโลกให้มึนงงมาแล้ว ที่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร?. น่าสงสาร !  น่าสงสารจริง ๆ

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านเทพที่ชี้แนะให้จดจำ !   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 9 ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/02/2012, 02:04
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

บุพวิสุทธิเทพ   :  เอกธาตุเริ่มแรก ที่ไร้ขอบเขต ก็เป็นต้นกำเนิด (หน้าตา) ของวิญญาณ จิตเดินเก้าพันหกร้อยล้านดวง แต่ชาวโลกยังหลงใหลไม่รู้สำนึกไม่กลับหลังกลับแสงส่องตนเพ่งพิจารณาตนเองให้ั่ถ้วนทั่ว กลับสนใจแต่รูปงามของผีเปรตในแต่ละวัน จิตใจเพ่งอยู่ภายนอก ดังนั้น จึงถอยห่างจากมหาสัทธรรมทุกที  วันนี้ข้าฯต้องการให้เจ้าหยางเซิงจดจำ  ต้องการให้เขาเฝ้าดูจิตของตนเอง ดูวิญญาณตนเองให้ทุ่มเทเอาใจใส่เรื่องนี้ให้หนักแน่น รวบรวมและรักษาความเป็นหนึ่ง ก็จะผลิตต้นอ่อนจนเติบโตเป็นใหญ่ให้ดอกผล การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ยากเย็นอะไร ขอให้จำคำข้าฯ  "เฝ้าถามตนเองให้มาก สนใจผู้อื่นแต่น้อย"  ให้ค่อย ๆ ฝึกไป รับรองได้ว่าจะสามารถเติบใหญ่ สำเร็จเป็น  "อริยบุคคล  เป็นวิสุทธิเทพ  เป็นพระพุทธเจ้าได้" 

หยางเซิง   :  ท่านวิสุทธิเทพให้สัทธรรมที่พิศดารแท้ ๆ

บุพวิสุทธิเทพ   :  เพราะพิศดารนี่แหละ  จากหนึ่งเดียวจนกระจายเป็นสรรพสิ่ง

หยางเซิง   :  ขอให้ท่านวิสุทธิเทพ ได้โปรดบรรยายธรรมเพิ่มเติมให้อีกด้วยเถิด

บุพวิสุทธิเทพ   :  เพื่อเป็นการเผยแพร่มหาสัทธรรม จะได้เป็นการโปรดชาวโลก  ดังนั้นจึงขอบรรยายธรรมะให้แก่ชาวโลก ดังนี้

                            ความเป็นมาของฟ้าดิน

        สืบเนื่องแต่  บุพวิสุทธิเทพ อันประกอบด้วย  จอมปราชญ์  พระผู้เป็นเจ้า  พระบิดาสวรรค์  พระจอมมารดา  พระจอมมุนี  พระพุทธเจ้า  และพระวิสุทธิเทพเป็นต้น เอกธาตุถูกแปรเปลี่ยน ธาตุวิสุทธิ์จะลอยขึ้น  ที่ขุ่นมัวก็จะจมลง ทำให้กำเนิดฟ้า - ดิน  ธรรมชาติได้ห่อหุ้มพื้นดินไว้ เหมือนกับเปลือกไข่ห่อหุ้มไข่ขาว - แดงไว้  มนุษย์ก็ได้อาศัยอยู่บนพื้นดิน เนื่องจากมีทั้งบนฟ้าและใต้ดิน และที่อาศัยอยู่ยังไม่รู้ว่าเป็นบนพื้นดินทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ล้อมรอบไปด้วยนภากาศ พื้นนั้นก็คล้ายนาฬิกาหมุนรอบสิบสองชั่วโมง เป็น สิบสองชั้นอยู่เบื้องบน เหมือนร่างกายมนุษย์ที่มีสิบสองชั้น  เหนือจากชั้นที่สิบสองเป็นชั้นที่ไม่มีขอบเขต ไร้ที่สิ้นสุด อาจกล่าวว่า เป็นสวรรค์ชั้นที่สิบสาม  พื้นดินอยู่เบื้องล่าง เป็นส่วนที่หนักที่สุด เมื่อคืนกลับก็จะบรรจบกับฟ้า จึงได้ชื่อว่าเก้าชั้น (คือสุดเก้าชั้นจะคืนกลับสู่ต้น) 

        เริ่มทีแรกจะพูดถึงชั้นที่อยู่เหนือสุดของพื้นดินก่อน เนื่องจากชั้นนี้ก่อเกิดจากอากาศที่บริสุทธิ์ก่อน แล้วก่อผผนึกแข็งตัวเป็นหิน ตั้งตระหง่านสูงเป็นยอด เช่น ยอดเขา  ที่สองลองลงมาก็เป็น  หลีบผา  ส่วนบนเป็น หลีบ  เนินใหญ่เป็น  ผา  ที่สามถัดมาเป็น  ดินร่วน  ทางตะวันตกเฉียงเหนือ  ที่ดินแห้งแล้งฝุ่นทรายบินว่อน  ที่สี่ถัดมาเป็นความชุ่มชื้น  อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ลักษณะที่มีน้ำเนืองนอง  ที่ห้าถัดมาเป็น  แม่น้ำ  ลำธาร  ได้แก่  แม่น้ำใหญ่ ๆ เป็นชั้นเบื้องล่างของพื้นดิน  ทำเขื่อนกั้นน้ำไว้   ที่หกเรียกว่า  ทรายเคลื่อน  ใต้พื้นดินมีทรายเคลื่อนไหว  ไหลไปตามกระแสน้ำ   ที่เจ็ดเรียกว่า  ธารน้ำเหลือง  ดินมีสีเหลือง   น้ำก็เป็นสีเหลืองขุ่น  เป็นบาดาลที่ลึกลับมาก  ที่แปดเป็น  เหวลึก  ลึกจนไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้  เป็นที่สิงสถิตของเจ้ามัง
กร  มันเป็นช่องทางที่ติดต่อกับอวกาศ  ที่เก้าเรียกว่า  หมอกบาง  คล้ายหมอกละอองฝน  ต่างสัมผัสอิงแนบในที่ว่างเปล่า 

        ถัดชั้นนี้ลงมาอีกเก้าชั้น  มีความบริสุทธิ์ของธาตุ เชื่อมต่อฟ้าชั้นที่เก้า ที่เรียกว่าสุขสงบเกิดความเคลื่อนไหว ความมืดจะหมดไป ความสว่างจะเข้าปกคลุม เนื่องจากโลกเหมือนลูกส้ม ดังนั้น จึงรู้ว่า ล้อมรอบปกคลุมไปด้วยอากาศ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 9 ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังพระบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม ฟ้าสิบสองชั้น
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/02/2012, 03:05
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

                                ฟ้าสิบสองชั้น

        1.  ชั้นบรรยากาศ  ด้านล่างจรดพื้นดิน  มองดูแล้วเวิ้งว้าง ว่างเปล่า

        2.  ชั้นแปรเปลี่ยน เช่น ชั้นของ  ลม  ฝน  เมฆ  หมอก  หิมะ  และกระแสไฟฟ้า  ได้แก่  ฟ้าแลบ  ฟ้าร้อง  ล้วนอยู่ในชั้นนี้ทั้งสิ้น 

        3.  ชั้นจันทร์โคจร  หรือเรียกอีกชื่อว่า  ชั้นนทีธาตุ  ธาตุอิม (มืด) จะกักน้ำ  ดังนั้น ด้านนอกจึงกึ่งมืดกึ่งสว่าง ด้านสว่างจะหันไปทางดวงตะวัน ด้านมืดก็จะอยู่ตรงข้ามกัน จะมืดจะสว่างก็อยู่ที่ระยะใกล้หรือไกล ดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกเป็นจันทร์ขึ้น หรือ จันทร์แรม

        4.  ชั้นเส้นทางโคจร  การโคจรของสุริยัน - จันทรา  มีสี่ฤดู เก้าทิศทาง   ฤดูใบไม้ผลิอิงทิศทางตะวันออก เป็นทิศทางสีฟ้า   ฤดูร้อนอิงทิศใต้เป็นทิศทางสีแดง   ฤดูใบไม้ร่วงอิงทางทิศตะวันตกเป็นทิศทางสีขาว   ฤดูหนาวอิงทางทิศเหนือเป็นทิศทางสีดำ  และในแต่ละทิศทางยังแบ่งเป็นสองทิศทางย่อย  ทางทิศใต้เพิ่มทิศทางเส้นผ่าศูนย์สูตรอีกทิศทางหนึ่ง  รวมทั้งหมดเป็นเก้าทิศทาง  แต่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงนั้น สุริยัน - จันทราส่องเข้าหากัน จึงมีการขาดเกินเกิดขึ้น  สี่ทิศทางต่างส่องเข้าหากัน เป็นเส้นทางสีเหลือง ดังนั้น จึงเรียกว่า  เส้นทางโคจร

        5.  ชั้นสุริยันเจิดจ้า  ตะวันเปรียบประดุจร่าง ความสว่างจะสะสมไฟ ดังนั้นภายในร่างจึงสว่างไสวโดยทั่ว ความมืดจะสู้ความสว่างไม่ได้ ดังนั้นจันทราจึงไม่กระจ่าง กลางคืนก็อาศัยใกล้ไกลหมุนเวียนกันไป ความกระปรี้กระเปร่าถดถอย แนวโคจรของสุริยันจึงอยู่ระดับเดียวกับโลก จึงสามารถส่องทั่วทั้งแปดทิศทาง  จึงมีอีกชื่อว่า ชั้นของตะวันเพลิง

        6.  ชั้นมวลดารา  สุดยอดสรรพสิ่ง ด้านบนเป็นดวงดาว และที่สุดของดารานั้นเป็นความสว่างสุกใสอันทรงเกียรติ อันเป็นผลจากดวงดาวทั้งยี่สิบแปดหมู่ จึงได้ชื่อว่า ชั้นมวลดารา 

        7.  ชั้นศูนย์กลางเล็ก  หมู่ดวงดาวต่าง ๆ ลอยอยู่ในนภากาศ ทาบขวางอยู่กับท้องฟ้า เมื่อจะโคจรหรืออยู่นิ่ง ล้วนต้องอาศัยธาตุ เหมือนลูกโป่งเมื่อเป่าก็ลอยขึ้น เมื่อลมออกก็ตกสู่ดิน ลมนั้นก็เหมือนแรงดึงดูด เนื่องจากมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ดังนั้น ดวงดาวต่าง ๆ จึงไม่โคจรชนกัน หรือตกลง  สิ่งเหล่านั้นเป็นผลจากเอกธาตุเดิมที่ไร้ขอบเขต  บริเวณตรงกลาง เป็นศุนย์กลางเล็ก ๆ มีดาวสี่ดวงอยู่บนยอด  อีกสามดวงเป็นด้าม เหนือด้ามก็เป็นศูนย์กลางเล็ก ปลายของด้ามมีแสงผุดผ่อง  ปลายด้ามเล็กชี้ไปยังดาวว่าวทางทิศใต้ อันเป็นศูนย์กลางของฟ้า จะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนที่ หมู่มวลดาราจะหมุนรอบศูนย์กลางนี้ เหมือนล้อรถหมุนไปตามแกน  ดังนั้น ยังเรียกว่า  จุดกลางการเคลื่อนที่  หมายความว่า ฟ้าขั้นต่าง ๆ ต่างอาศัยจุดกลางนี้เป็นแนวเคลื่อนที่ ตามตำรากล่าวว่า เครื่องมือหยั่งรู้ดินฟ้า - อากาศ  ต้องมีสิ่งพร้อมทั้งเจ็ดประการ เป็นกฏเกณฑ์ของฟ้า

        8.  ชั้นไม่เคลื่อนที่  สุริยันจันทราในนภากาศ การโคจรย่อมมีระยะช่วงยาวกำหนดไว้  ไม่เร็วไม่ช้า หมุนเวียนทั้งกลางวันและกลางคืน  แบ่งออกเป็นสี่ช่วง ล้วนหมุนเวียนตามแกนกลาง เมื่อหมุนไปได้ระยะหนึ่งที่แน่น ๆ แล้วแกนกลางเกิดไม่หมุน เกิดผนึกแน่นและแข็งแรง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฟ้าเงียบสงบจึงเรียกว่าว่างสุดขีด จะกลับกลายเป็นของแท้แน่นอน

        9.  ชั้นครึ่งวงกลม  ฟ้าชั้นนี้ก็เช่นเดียวกับแผ่นดิน ที่แบ่งเป็นเก้าเขต มีขอบเขตที่แน่นอน ตั้งชื่อตามสีสันลักษณะ  เช่น ทิศตะวันออก  เรียกว่า ฟ้าน้ำเงิน  ตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า ฟ้าเขียวขจี  ทิศใต้ เรียกว่า ฟ้ากระจ่าง  ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เรียกว่า ฟ้าแดง   ทิศตะวันตก เรียกว่า ฟ้าหม่น  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า ฟ้ามืดมัว   ทิศเหนือ เรียกว่า ฟ้าสีดำ  ตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกว่า ฟ้าหน้าร้อน   ตรงกลาง เรียกว่า ศูนย์กลางฟ้า  หรือเรียกว่า ฟ้าเหลือง 

        10.  ชั้นเปลวไฟร้อน  แบ่งเป็น  3  ตอน  ตอนกลาง เป็นกำแพงม่วงอ่อน  ด้านบน คือ ติดขบวนที่นั่งจักรพรรดิ  ด้านใต้เป็นดาวว่าวกลางที่นั่งทองคำ  ก่อนนี้เรียกกำแพงเมืองสวรรค์  ถัดไปเป็นท้องพระโรง พระที่นั่งจักรพรรดิ ทั่วทั้งฟ้าจะมีเปลวไฟร้อนทั่วไปหมด จึงได้ชื่อว่าชั้นเปลวไฟร้อน

        11.  ชั้นฟ้าโปร่ง  หรือเรียกว่าชั้นดุสิตตา  มีสภาพแจ่มกระจ่าง และสงบเงียบเสมอ เพราะเหตุว่า ด้านบนมีลักษณะกลมคล้ายเปลือกนอก ซึ่งได้ชื่อดังนี้ เป็นที่พำนักของศาสดาแห่งเต๋า  และเหล่าพระพุทธเจ้า

        12.  ชั้นนิพพาน  มีพระมหาจอมมุนี ไตรวิสุทธิเทพ และห้าอาวุโส พำนักอยู่  เป็นชั้นสูงสุด ท่องออกนอกสวรรค์ที่เหนือชั้นที่  12  นี้  เหล่ามหาจอมมุนีเจ้าพำนักอยู่ เพื่อมองลงไปยังโลกมนุษย์  เหนือสุดยอดของชั้นที่ 12 นี้  มีความสว่างไสวไร้ขอบเขต รวบรวมไว้ซึ่งสรรพสิ่งในสากลโลกนี้ไว้

หยางเซิง   :  เคยได้ยินท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ปกครองสวรรค์สามสิบหกชั้น   ปกครองพื้นดินเจ็ดสิบสองส่วน  ไม่ทราบว่ามีความหมายว่าอย่างไร     
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 9 ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม : การจัดระดับชั้นของฟ้า - ดิน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/02/2012, 06:09
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

บุพวิสุทธิเทพ   :  การจัดระดับชั้นของฟ้า - ดิน มีมากมาย ผู้คนในโลกบ้างก็ว่า   เก้าชั้นบ้าง  สามสิบสองชั้นบ้าง  สามสิบสามชั้นบ้าง  สามสิบหกชั้นบ้าง  ช้าฯ จะแยกแยะให้ฟังดังนี้  อันฟ้านั้นไม่มีขอบเขต เบื้องบน  ตรงกลาง  เบื้องล่างล้วนก็เป็นฟ้า  ฟ้าเริ่มแรกเป็นการเรียงราย ห้อมล้อมของดวงดาว จนกระทั่งถึงที่ ๆ ไม่มีขอบเขต เขตที่สิ้นสุดของอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จนกระทั่งถึงที่ ๆ ได้แยกห่างจากกลุ่มดวงดาว  ฟ้านั้นคือ  รอบวงกลมมี  360 องศา  โดยรอบดังนั้นจึงกล่าวว่า ฟ้ามีสามสิบหกชั้น  ชั้นฟ้าลงดิน  เหมือนเงาต้นไม้ เมื่อเพิ่มเป็น  2  เท่า  จึงกลายเป็นดิน  72 

        จากวงกลมสามารถแบ่งเป็น  เก้า  สิบสอง  ยี่สิบแปด  สามสิบสอง  สามสิบสาม  และสามสิบหกชั้นฟ้า เหมือนการก่อสร้างบ้านของมนุษย์ จะกั้นห้องเป็นห้อง ๆ ตามใจตน จะเพิ่มชั้นหรือเพิ่มห้องก็ได้ ถ้าหากจะแยกจำพวกจากทิศทาง  ก็มีฟ้าทางตะวันออก  ฟ้าตะวันตก  ฟ้าส่วนกลาง  ฟ้าทิศเหนือ  ฟ้าทิศใต้  รวมห้าฟ้า  ฟ้าเริ่มจากสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดคือ 0 ธรรม  เกิดจากหนึ่ง  หนึ่งเป็นสอง  สองเกิดเป็นสาม  สามเกิดเป็นสรรพสิ่ง  ดังนั้น จึงเรียกว่า  ฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด  ฟ้าที่สว่าง  ฟ้าแจ่ม  ถือว่าเป็น  มงคล  ฟ้าที่มืด  ฟ้ามัว  (ร่ม)  ถือว่าเป็นความอุบาทว์  การบำเพ็ญธรรม อย่าถือตัวเลขมากน้อยเป็นเกณฑ์  เพราะว่าตัวเลขก็มาจาก  0  1  2  3  4  5  6  7  8  9  จึงไม่พ้นจากเหตุผลของมหาสัทธรรม  ดังนั้น จึงใช้สิบสองชั้นฟ้ามาอธิบายพอสังเขป  เมื่อคูณด้วยสามก็จะเป็นสวรรค์  36  ภูมิ  ด้วยเหตุนี้จำนวนตัวเลขในแดนสวรรค์จึงมีไม่สิ้นสุด ถ้าหากนำมาบวกลบคูณหารด้วยแล้วก็จะแปรเปลี่ยนไม่รู้จักจบสิ้น  ผู้ปฏิบัติธรรมควรเข้าใจให้ถ่องแท้ เป็นใช้ได้ 

                        ศาสนาเต๋าแบ่งสวรรค์ออกเป็น  36  ภูมิ

1.  มหาไพศาลภูมิ                         2.  ละมุลวิสุทธิภูมิ
3.  อรูปภูมิ                                 4.  มหามณีภูมิ
5.  ทวีกัณฏกะภูมิ                         6.  วิมุติภูมิ
7.  โอฬาริกภูมิ                            8.  อวตารภูมิ
9.  เหนือสุขตระการภูมิ                 10.  เลิศบัณฑิตภูมิ
11.  มหรรณพแจ่มฟ้าภูมิ               12.  อาสนแจ้งเหินหาวภูมิ
13.  มหาเมฆินทรไร้เขตภูมิ           14.  เหนือพันสุขสันตภูมิ
15.  ไร้คำนึงนาธารภูมิ                 16.  มหาอาวุโสตภูมิ
17.  บุพกตัญญูภูมิ                     18.  ประจักษ์มั่นภูมิ   
19.  มหาศษนติภูมิ                     20.  บุพสังวัจฉระภูมิ
21.  มหารุ่งโรจน์ภูมิ                    22.  สว่างอัศจรรย์ฉลองฟ้าภูมิ
23.  ส่องสว่างศานติภูมิ                24.  สว่างว่างภูมิ
25.  ชมพูจุติภูมิ                         26.  แสงสุริยภูมิ
27.  สว่างอัศจรรย์รุ่งโรจน์ภูมิ          28.  สว่างมณีผสานสุริยภูมิ
29.  มหาพิรุณพรำไพศาลภูมิ           30.  สุญญตาสงบภูมิ
31.  เจ็ดแสงสุริยภูมิ                    32.  สว่างละมุลภูมิ
33.  ครรภ์อัศจรรย์สงบภูมิ              34.  สว่างวิสุทธิภูมิ
35.  มหาสว่างวรอวสานภูมิ             36.  มหาราชาสังฆภูมิ

                   สวรรค์ในพระพุทธศาสนา ในสามแดนมี  28  ชั้น  นิพพานเป็นแดนสูงสุดในพระพุทธศาสนา
1.  ปรินิพพาน     2.  นิพพาน

                  อรูปพรหม  มี  4  ชั้น
1.  อากาสานัญจายตนะ                 2.  วิญญาณัญจายตนะ
3.  อากิญจัญญายตนะ                  4.  เนวสัญญานาสัญญายตนะ

                  รูปพรหม  มี  16  ชั้น
1.  พรหม  ปาริสัชชา                  2.  พรหม ปุโรหิตา                 3.  มหาพรหมา                                             
4.  ปริตตาภา                           5.  อัปปมาณาภา                   6.  อาภัสรา
7.  ปริตตสุกา                           8.  อัปปมาณสุภา                   9.  สุภากิณหา
10.  อสัญญีสัตตา                    11.  เวหัปผลา                      12.  อวิหา
13.  อตัปปา                          14.  สุทัสสา                         15.  สุทัสสี
16.  อกนิฏฐา

                  สวรรค์ชั้น  กามาพจร  มี  6  ชั้น
1.  จาตุมหาราชิกา                    2.  ดาวดึงส์                3.  ยามา
4.  ดุสิต                                 5.  นิมมานรดี              6.  ปรนิมมิตวสวัตดี

หยางเซิง   :  ท่านบุพวิสุทธิเทพ บรรยายได้อย่างอัศจรรย์ทีเดียว  กระผมยังได้ยินมาว่า ผู้ปฏิบัติธรรมต้องหลุดพ้นจากสามโลก อันนี้หมายความว่ากระไรขอรับ                   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 9 ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/02/2012, 17:16
 จากเอกธาตุเปลี่ยนไป                  เป็นไตรวิสุทธิ์
กำเนิดมนุษย์ดินฟ้า                              มหาศาล
มีสุริยันจันทรา                                   ทิวาวาร
เกิดจักรวาลให้ประสบ                          ครบวงจร

                            ล่องลอยอยู่ในทะเลทุกข์
                            เพียงกลับใจก็จะเห็นฝั่ง   

                               เที่ยวเมืองสวรรค์

                                  ครั้งที่ 9

            ชมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรม     

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        แรกเริ่มนภากาศอัน                 อำพันนามแดนนิพพาน
วิญญาณเดิมรวมธาตุการ                  พระธรรมจักรกลมครบวงจร
มีพระพุทธเจ้านับหมื่น                      หมื่นวิสุทธิเทพนับพันองค์
จงกลับใจทวนกระแสวน                  ร่ำลาชีวิตแสนสามัญ

บุพวิสุทธิเทพ   :  สามโลกนั้น ได้แก่  อรูปภูมิ  รูปภูมิ  และ กามภูมิ  หากต้องการหลุดพ้นจากสามภูมิก็จะได้สำเร็จเป็นสุวรรณเทพ  (วิสุทธิเทพ)  อยู่ในมโนไพศาลภูมิ หรือสำเร็จเป็นวิสุทธิปราชญ์  หรือเป็นพระพุทธเจ้า  อรหันต์เจ้า  ในชั้นนิพพาน  ดูแผนภูมิ ประกอบดังนี้

O   ไร้มหาขอบเขต      ไร้อรูปภูมิ     ฟ้ามหาสัทธรรม     ฟ่าก่อนบุพกาล     วิสุทธิเทพ     พระพุทธเจ้า     วิสุทธิปราชญ์     เหนือศรีษะในอากาศ

O    ไร้ขอบเขต          อรูปภูมิ       ฟ้าสัทธรรม     ฟ้าบุพกาล     เทวดา     อรหันต์     ปราชญ์     ที่ศรีษะมันสมอง

O    มหาอาณาเขต     รูปภูมิ     ฟ้าอวกาศ     ฟ้าเบื้องกลาง     สัตตบุรุษ     โพธิสัตว์     บัณฑิต     ที่ท้องจุดกลางตัว

O4    ราชอาณาจักร     กามภูมิ     ฟ้าอากาศ     ฟ้าเบื้องหลัง     ปุถุชน     ปุถุชน     ปุถุชน     ที่ไตจุดขับถ่าย

        การบำเพ็ญ  มหาสัทธรรม  ถ้าได้บรรลุถึงขั้น อรูปภูมิ  คือได้ถึงชั้นไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นภูมิที่สูงสุดในสามภูมิแล้วและเพื่อไม่ให้ถูกครอบงำไว้ด้วยความว่างเปล่า ดังเช่นคนใส่สร้อย แม้ใบหน้าจะไม่ถูกปิดบัง แต่ก็ยังรู้สึกติดขัดอยู่ ดังนั้นเพื่อให้พ้นจากการถูกครอบงำ เปรียบเสมือนหลังคาบ้านถูกเปิดออกความโล่งที่กลมกลืนกับอากาศภายนอก ไม่มีขอบเขตขวางกั้น ความหมายอันนี้จึงนับได้ว่า พ้นจาก  3 โลก (3 ภูมิ)  และผู้คนในโลกนี้มักเข้าใจผิดในความหมายนี้มีจำนวนมากมาย โดยคิดว่ามีเพียงพระอรหันต์เท่านั้นที่หลุดจาก  3 โลก หากยังมี วิสุทธิเทพ  วิสุทธิปราชญ์  อีกที่อยู่ในแดนชั้นไร้ขอบเขต(นิพพาน)  ในพระสูตรกล่าวว่า "สิ่งที่เป็นรูปทั้งหลายล้วนอนิจจัง ว่างเปล่าทั้งสิ้น"  หากปราศจากรูป ก็อยู่ในที่ไร้ขอบเขต แต่เพื่อละร่างให้อิสระ จึงต้องละธรรมกาย เพื่อก้าวขึ้นสู่แดนไร้อรูปภูมิ  (ชั้นไร้ขอบเขต)  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เข้าสู่แดนนิพพาน

        สรรพสัตว์ใต้หล้านี้ ล้วนมีกำเนิดมาจากวิญญาณดั้งเดิม เก้าพันหกร้อยล้านดวง ไม่ว่าจะถวายตัวอยู่ศาสนาใดก็ตาม เริ่มด้วยการละทิ้งการยึดในรูป งดการให้ร้ายในศาสนาอื่นเสีย อย่าทำให้เกิดการแบ่งแยก  ชิงชัง  มิฉะนั้นจะเกิดมีอคติในจิตใจ แม้จะสร้างบุญมหาศาล แต่จิตใจไม่ปล่อยวางเหมือนรูปในแผนภูมิ ที่มีรูปครึ่งมืดครึ่งสว่าง (4 ) ก็จะมีผลเพียงขึ้นสู่มหาอาณาเขตเท่านั้น ไม่สามารถจะก้าวขึ้นสู่ชั้นไร้อรูปได้เลย

        ข้าฯ หวังว่าเมื่อได้ฟังการบรรยายแล้ว ให้รีบสำนึกกลับใจละสิ่งที่ติดยึดเสีย มิฉะนั้นจะไม่ได้รับผลอะไรเลย เสียแรงปฏิบัติธรรมไปเปล่า ๆ ที่ชอบแข่งขันเอาชนะกันด้วยฤทธิ์เดช ในที่สุดก็จะจมสู่นรกอเวจี

หยางเซิง   :  ท่านบุพวิสุทธิเทพบารมีสูงส่ง ได้กรุณาแสดงธรรมที่ไม่รู้มาก่อน ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ได้เปิดเผยความลี้ลับของมหาสัทธรรม กราบขอบพระคุณในการสั่งสอนของท่าน

อรหันต์จี้กง   :  บุพวิสุทธิเทพเป็นอาจารย์ของเทพมนุษย์ จึงได้บรรยายได้อย่างแยบยล ละเอียดพิศดารมาก ทำให้ผู้คนได้คิดคำนึง ชี้แจงแก้ไขความผิดพลาดของแต่ละศาสนาต่อต้านการกล่าวร้าย ยับยั้งสิ่งบิดเบือน  อยากให้ผู้คนที่ได้อ่านหนังสือนี้ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไข จะได้บรรลุมรรค - ผล  จะได้ฟื้นฟูรูปลักษณะดั้งเดิมของตนเสียที

บุพวิสุทธิเทพ   :  ในมหาักรวาลนี้ ล้วนได้ก่อกำเนิดจาก พระจอมราชันในบุพกาลทั้งสิ้น ผู้สอนศาสนาแต่ละศาสนา กล่าวหากันไม่หยุดยั้ง บรรยายกาศริษยาปลิวว่อน ยึดถือไม่ปล่อยว่างจึงไม่อาจพ้นจากสามโลกนี้ น่าสงสารยิ่งนัก !  ภายใต้วรวิสุทธิ์นี้ ด้วยพระวิสุทธิธาตุดั้งเดิมของจอมราชันนี้  ถ่ายทอดสู่มหาวิสุทธิธาตุอันเป็นธาตุรองลงมาจากพระจอมราชัน และลงสู่มนุษย์ ด้วยธาตุที่เหลือของพระจอมราชัน ด้วยเหตุนี้ ในแดนนิพพานเหล่าวิสุทธิเทพ  พระพุทธเจ้าต่างได้รับวิสุทธิธาตุอันเข้มข้นที่สุดในจักรวาล และบนสวรรค์ ชั้นกลาง  เหล่าเทพเทวดาจะได้รับธาตุที่แปรเปลี่ยนจากวิสุทธิธาตุบนสวรรค์ชั้นสูง ซึ่งวิสุทธิเทพนั้นจะเบาบางลงเรียงลำดับจนถึงมนุษย์และสรรพสัตว์ อันมีดวงดาว สุริยันจันทรา   พื้นพิภพและท้องทะเล ซึ่งจะได้รับธาตุที่เหลือจากเบื้องบน  ซึ่งมีเพียงเบาบางและกระจัดกกระจาย ถึงแม้ว่ามนุษย์จะได้รับธาตุที่เหลือจาก พระจอมราชันเพียงเล็กน้อยแต่ก็ได้รับ รัศมีจากวิญญาณจิตเบื้องบน ซึ่งนับว่าโชคดีไม่น้อยที่ยังสามารถกลับสู่สวรรค์ แต่ในทางตรงกันข้าม หากมนุษย์ที่ได้รับธาตุจากพระจอมราชันแล้ว กลับจมปรักอยู่กับความใคร่แห่งวัตถุ กัดกร่อนจนหมดตัว พลอยทำให้รัศมีจากวิญญาณจิตดับสูญ ซึ่งเป็นการสร้างนรกให้กับตนเอง

        หวังว่าชาวโลกคงเข้าใจในคำพูดของข้าฯ นี้ ร่วมใจกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตสวรรค์ จงรักษาจิตสำนึกเพื่อช่วยกอบกู้ชาวโลก ด้วยพลังจิตอันเด็ดเดี่ยว กอบกู้เพื่อนร่วมโลกให้ขึ้นสู่ฝั่ง นี่คือ  การสั่งเสียของข้า ฯ 

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณพระบุพวิสุทธิเทพ ที่ได้ถ่ายทอดในสัทธรรมครั้งนี้  ขอกราบนมัสการระลึกในบุญคุณ

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้ท่านบุพวิสุทธิเทพ ได้เปิดเผยความลี้ลับของสวรรค์ นับว่าชาวโลกมีบุญวาสนาแล้ว อาตมาต้องพานายหยางเซิงกลับสำนัก

บุพวิสุทธิเทพ   :  ความพิศดารของธรรมะ พูดไม่มีวันจบ เพีบงจิตตั้งมั่นก็จะประสบผลสำเร็จเอง

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณท่านพระบุพวิสุทธิเทพ พวกเราขอกราบลานมัสการไปก่อน

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจกดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง             
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 10 เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังพระบุพวิสุทธิเทพบรรยายธรรมอีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/02/2012, 17:47
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่ 10

          เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ

                         บรรยายธรรมอีกครั้ง

                  วันที่  16  ตุลาคม  พ.ศ. 2522

         อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        ลาภยศศฤงคาร                  อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์                     กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา                             ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร                   พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน

อรหันต์จี้กง   :  สรวงสวรรค์เป็นแดนไพศาล มีสุขสบายไม่มีขอบเขต บนสวรรค์ไม่มีชั้นวรรณะ  ชาติ  ภาษา  และศาสนา ผู้ที่อยู่ได้ล้วนเป็นผู้ดี  ผู้มีบุญ  ผู้มีธรรม  ดั่งคุณภาพของวัตถุที่ดีเลิศ  ก็อยู่สวรรค์ชั้นสูง  ดีรองลงมาก็อยู่ชั้นกลาง และรอง ๆ ลงมาตามลำดับ...  เหมือนกับมนุษย์  สัตว์เดรัจฉาน  ผีเปรต  และอสูรกาย  ตามลำดับ  ดังเช่นดอกบัวที่มีถึงเก้าประเภท  ซึ่งแยกตามลักษณะผลบุญที่สร้างไว้ ทก ๆ คนต่างก็มีพุทธจิต มีธรรมะเป็นพื้นอยู่แล้ว ในชาติหน้าต่อ ๆ ไป ก็จะได้กลับคืนสู่แดนสวรรค์  ก็เหมือนได้กลับคืนสู่ต้นกำเนิดเดิม  หมายถึง การสำเร็จมรรค - ผล  นิพพาน นั่นเอง 

        สวรรค์ได้ประทาน  "จิตแท้"  แก่มนุษย์ทุกคน หากชั่วชีวิตสามารถจะรักษาดวงจิตดวงกลม ๆ นี้  ไม่ให้มีการเสื่อมสลาย คงรูปเดิมไว้ เหมือนของดีราคาสูง ตอนมีชีวิตมีดวงจิตที่ล้ำค่าอยู่ เมื่อตายลงแล้วก็ยังคงมีดวงจิตอันล้ำค่าอยู่  ในพระสูตรหนึ่่งกล่าวว่า  "ได้ชื่อว่าบรรลุธรรม จริง ๆ แล้วไม่ได้รับอะไรเลย"  อันที่จริง การบำเพ็ญธรรมก็เพียงให้ได้รู้จักหน้าตาดั้งเดิมของตนเท่านั้น ไม่มีความลี้ลับ  หรือทางอัศจรรย์ให้ได้เดินเลย ! 

        วันนี้ข้า ฯ  จะพาเจ้าหยางเซิงไปเยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  เข้านมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ เจ้าอยางเซิงรีบ ๆ ขึ้นดอกบัวตามอาจารย์ไปเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิดขอรับ

อรหันต์จี้กง   :  ละมุลวิสุทธิภูมิ วรสุญญตวิสุทธิปราสาท ถึงแล้ว  เจ้าหยางเซิง รีบ ๆ ลงจากดอกบัวเข้าไปกราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพเถอะ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 10 เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังพระบุพวิสุทธิเทพบรร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/02/2012, 22:34
  เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่ 10

          เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ

                         บรรยายธรรมอีกครั้ง

                  วันที่  16  ตุลาคม  พ.ศ. 2522

         อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        ลาภยศศฤงคาร                  อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์                     กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา                             ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร                   พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม...สวรรค์ละมุลวิสุทธิภูมินี้ช่างแตกต่างจากโลกมนุษย์จริง ๆ สว่างไสวราวกับกลางวันแดนมนุษย์ รัศมีเปล่งปลั่งแวววาว ข้าง ๆ ปราสาทเหล่ากุมารเทพแสดงการต้อนรับด้วยความยินดี

อรหันต์จี้กง   :  ละมุลวิสุทธิภูมิ เป็นเมืองของบุพวิสุทธิเทพ เป็นสวรรค์ที่อยู่เหนือภูมิที่ 33  ขึ้นไป พวกปุถุชนไม่อาจไปถึงภูมินี้ได้ นอกจากผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว หรือผู้ที่มีบุญบารมีสูง จึงจะมายังที่นี่ได้ ครั้งนี้เพราะได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ เป็นความเมตตาของสวรรค์ ข้า ฯ จึงสามารถพาเจ้ามาได้ อาจพูดว่ามีโชควาสนาที่สุดในสามชาติทีเดียวที่มีโอกาศอย่างนี้  สืบเนื่องจากอนุตตรวิสุทธิภูมิเป็นต้นกำเนิดของมหาสัทธรรม จึงได้ชื่อว่า  "บุพวิสุทธิเทพ"  วันนี้จะเข้าเยี่ยมท่านเทพ ขอให้บรรยายความเป็นมาของธรรมโดยละเอียด  หยางเซิงรีบกราบนมัสการท่านเทพ

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  ภายในปราสาทกลิ่นไอแห่งสวรรค์อบอวล เห็นท่านเทพมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์สิงห์ทองคำ มีรัศมีวงกลมหมุนรอบ ๆ ไม่หยุดหย่อน กระผมรู้สึกมึนงงอยากจะล้มลงให้ได้...

อรหันต์จี้กง   :  จงมีความสงบ ท่านเทพกำลังใช้พลังเอกธาตุแห่งธรรมรัศมีเสกให้เจ้า  ดังนั้นเจ้าจึงมีอาการเช่นนี้

หยางเซิง   :  ขณะนี้รู้สึกว่าพลังสติเพิ่มพูนขึ้น  กราบนมัสการท่านพระบุพวิสุทธิเทพ ข้าน้อยติดตามอาจารย์มายังอนุตตรวิสุทธิปราสาทอีกครั้ง ขอท่านได้โปรดประทานโอวาทสั่งสอนด้วยเถิด ! 

บุพวิสุทธิเทพ   :  ทั้งสองท่านลำบากมากนัก เชิญนั่ง !  เหตุการณืในโลกยุ่งเหยิงมนุษย์ใจทันสมัยเสมอเลยทำให้ธาตุจิตที่มีมาแต่เดิมเริ่มเสื่อมสูญ  วิทยาการก้วหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ก้าวหน้า แต่จิตใจของคนจมดิ่งลง บุญบารมีไม่สร้างสม ธาตุจิตแตกสลาย  จึงวนอยู่ในวัฏสงสาร วันแห่งการคืนกลับไม่มี  จิตสวรรค์เมตตาอยู่เสมอ ทนไม่ได้ที่เห็นจิตเดิมแตกสลาย ดังนั้นจึงมีบัญชาให้ศาสดา แห่งศาสนาทั้งห้าจุติสู่มนุษย์ภูมิในแต่ละภาค ช่วยชี้แนะทางขึ้นสวรรค์หลังจากพระศาสดาดับขันธ์ปรินิพพาน แม้จะมีพระสูตรเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ลูกศิษย์ก็เพิ่มหัวเพิ่มหาง ทำให้สูญหลักเดิม  ถึงแม้ปัจจุบันจะมีผู้เรียนรู้ธรรม แต่ก็มักใหญ่ใฝ่สูงไม่ตั้งอยู่ในหลักความเป็นจริง ไม่ใฝ่หาแก่นแท้ของธรรม กลับสะสม แม้จะตั้งใจศึกษาก็ตามกลับจะได้รับแต่เปลือกนอก ไม่ได้รสของแก่นแท้เลย ดังนั้น  วันนี้จึงให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์ขึ้น  เปิดทางสายใหม่ขึ้น เปิดเผยหลักธรรมที่แท้จริง เพื่อแก้ไขความผิดพลาด   ผู้ที่เรียนธรรมในโลกนี้จำต้องใส่ใจค้นคว้าหนังสือเล่มนี้ให้ดี  เข้าใจความหมายให้ถ่องแท้  ถือปฏิยัติสม่ำเสมอไม่เกียจคร้าน ข้า ฯ รับรองว่าจิตวิญญาณจะได้คืนสู่ต้นสังกัดเดิมโดยวิธีนี้ทางเดียว หากไม่ทำตามวิธีทางนี้แล้วก็ไม่มีทางบำเพ็ญธรรมให้สำเร็จได้

หยางเซิง   :  ขอเรียนถามว่า  ธรรมอันแท้จริงนั้นเป็นไฉน ?.

บุพวิสุทธิเทพ   :  ชาวโลกปฏิบัติธรรมตามแบบ พุทธ  เต๋า  ขงจื้อ  คริสต์  และอิสลาม  มีเป็นร้อย ๆ สำนัก พัน ๆ วิธี แต่ละศาสนาล้วนคุยว่าดิเลิศไม่มีใครเสมอเหมือน เลิศล้ำสุดยอดแต่ไม่รู้ว่า  "สูงสุด"  นั้นถึงจุดไหนขั้นไหน ?. 

        เริ่มแแรกเดิมที คำว่า  "ธรรม"  นั้นไม่มีชื่อเรียก จึงตั้งชื่อให้ว่า ธรรม  ดังนั้นจึงใช้วงกลมแทน ( O ) แทน ฉะนั้นผู้มีธรรมบนศรีษะจึงมีแสงรัศมี นั่นคือ รัศมีของวิญญาณเดิม  หากวิญญาณเดิมมืดมัวไม่มีแสง ซึ่งเรียกว่า  "เศษวิญญาณ"  หรือเรียกว่า  "มวลมนุษย์"  วิญญาณนี้เป็นพืชพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด  หากวิญญาณเดิมมีแสงรัศมี นั้นก็คือ พืชพันธุ์ไม่มีรากงอก  ไม่มีหนทางวัฏสงสาร  วิญญาณก็จะกลับคืนสู่ต้นสังกัด ดังนั้น ในพระสูตรของไท้เสียงป้อเก๊กฮุ้งง้วน  กล่าวว่า "สิ่งที่ภายนอกมีรูป  มีสมบัติเป็นร่าง  ภายในที่มีสี  มีรูปลักษณ์ ย่อมต้องกลับสู่สภาพเดิม ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ"

        เทพ  อรหันต์  ปราชญ์  ล้วนบำเพ็ญเพียรถึงขั้นคืนสู่ต้นสังกัด ดังนั้น ผู้รู้จักบำเพ็ญเพียร (ปฏิบัติธรรม)  ไม่ควรแบ่งนิกายนั้นนิกายนี้  เพราะเหตุว่าสิ่งนอกเป็นสิ่งปลอม  ภายในจิตจึงจะเป็นของแท้ ทุก ๆ สาขาวิชาชีพย่อมมีสิ่งสุดยอด ให้จดจำหลักธรรม และปฏิบัติให้จริงจัง นั่นก็คือ สัทธรรม

หยางเซิง   :  ใคร ๆ ก็ว่า มหาสัทธรรม ไม่ทราบว่า สัทธรรมที่แท้จริงเป็นอย่างไร ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์ ครั้งที่ 10 เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ บรรยายธรรม อีกครั้ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/02/2012, 07:17
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                               ครั้งที่ 10

          เยี่ยมวรสุญญตวิสุทธิปราสาท  ฟังพระบุพวิสุทธิเทพ

                         บรรยายธรรมอีกครั้ง

                  วันที่  16  ตุลาคม  พ.ศ. 2522

         อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        ลาภยศศฤงคาร                  อีกวิมานล้วนอนิจจัง
ดั่งความฝันตกภวังค์                     กลางราตรีอันยาวนาน
ผู้มีจิตหรรษา                             ชราชะลอไกลกาล
เศร้าโศกเหมือนมีมาร                   พาลกระทบซ้ำจิตสะเทือน

บุพวิสุทธิเทพ   :  มนุษย์หากสำเร็จเป็นหนึ่ง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นหนึ่ง ย่อมเป็นเอกธาตุแห่งบุพกาล  ขณะนี้ พระแม่เจ้าแห่งสระทิพย์มีพระราชเสาวนีย์ให้สะสางให้เสร็จสมบูรณ์  หมายความว่า ให้คืนสู่จิตวิญญาณเดิม ให้กลับสมบูรณ์ไม่บกพร่อง ด้วยเหตุนี้ แสงรัศมีที่ทุก ๆ คนควรบำเพ็ญ ทุก ๆ ครอบครัวก็บำเพ็ญได้  ทุก ๆ ศาสนาต้องบำเพ็ญให้สำเร็จสมบูรณ์ นำไปส่งมอบยัง  "คลังวิญญาณ"  แห่งบุพกาล ในพระสูตรเต้าเต๊กเก็ง กล่าวว่า  "ฟ้าดินแห่งบุพกาลไร้นาม มารดาแห่งสรรพสัตว์มีนามเป็นหมื่น.....สองสิ่งนี้ก่อเกิดพร้อมกันหากแต่นามต่างกัน ต่างกล่าวว่าพิศดาร  พิศดารแห่งพิศดารเป็นหนทางแห่งความพิศดารทั้งหลาย"  พระแม่เจ้าเป็นหนึ่งในห้าอาวุโส ซึ่งเป็นมารดาของจิตวิญญาณเดิมทั้งเก้าสิบหกดวง ล้วนมีนามว่า  "มารดา"  ที่ไร้นามว่า  "ธรรม"  ดังนี้  ภายหลังพระแแม่เจ้าได้รับวิญญาณเดิมกลับคืนสู่ร่างแม่แล้ว เมื่อผ่านการอวตารที่ไตรวิสุทธิภูมิแล้ว วิญญษณเดิมก็จะสะอาดบริสุทธิ์ ผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (เอกภาพ)  ดั่งนี้แล  จึงนับได้ว่าบำเพ็ญจนสำเร็จได้เต็มสมบูรณ์

หยางเซิง   :  รับฟังพระวรพจน์ด้วยความเคารพยิ่ง ได้ทราบถึขั้นตอนแห่งการบรรลุธรรม ดังประหนึ่ง "ปิรามิด" เหมือนบันไดสวรรค์ที่เห็นปลายเล็กแหลมไต่จากต่ำไปที่สูง จนกระทั่งถึงจุดสุดยอด และตั้งมั่นได้อย่างมั่นคง จึงนับว่าเสร็จสมบูรณ์

อรหันต์จี้กง   :  พระจอมมารดาแห่งไร้มหาขอบเขตภูมิ โอบอุ้มฟ้า - ดิน ไว้ในอ้อมอก ให้ไต่สู่บันไดสวรรค์พาพวกเจ้ากลับคืนสู่ พระจอมมารดาเฒ่า ดูท่านแลผ่านฤดูกาล เปล่งเสียงเรียกร้องเหลียวดูใจแม่ อยากรู้เหมือนกันว่า จะมีสักกี่คนที่ได้ยินเสียงเรียก และหวนกลับสำนึก ลองคิดดูซิ ก่อนที่พ่อแม่จะให้กำเนิดพวกเจ้าอยู่ที่ไหนกันเล่า?.  นอกจากบ้านธรรมดาสามัญ ที่พวกเจ้าได้อาศัยอยู่ในโลกนี้ไม่กี่สิบปี ยังมีวิมานทอง ที่ทั้ง  น้ำ  ลม  ไฟ  ไม่สามารถจะกระหน่ำ ทำลายได้ ที่อยู่บนสวรรค์กำลังรอพวกเจ้าอยู่ รีบ ๆ บำเพ็ญเพียรให้ได้กายทิพย์ ดุจเทพอรหันต์ที่ไม่เน่าเปื่อย จะได้เข้าอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่ฤดูกาลทั้งหลายดุจฤดูใบไม้ผลิตลอดกาลเถิด ! 

หยางเซิง   :  โธ่ !  อาจารย์รำพันจากใจเคล้าน้ำตาอย่างนี้ กระผมฟังแล้วเหมือนใจจะขาด ! 

บุพวิสุทธิเทพ   :  ดวงตาเจ้ายังไม่เสื่อมสลายลงซึ่งสามารถจะหาข้อมูลนี้ได้ ขอเพียงให้แต่งหนังสือเที่ยวเมืองสวรรค์สำเร็จลง มีเพียงวิมานทองของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น ยังสามารถช่วยชาวโลกนับหมื่น ๆ ได้สร้างวิมานสวรรค์อีกด้วย  หวังเป็นอย่างมากว่า ชาวโลกจะบำเพ็ญเพียรในเร็ว ๆ วันนี้ สร้างบุญก่อกุศล จากเล็กผสมน้อยจนได้เจดีย์ใหญ่ ตราบจนสิ้นอายุขัย ก็จะสามารถลอยขึ้นสู่สวรรค์ขั้นมหาไพศาลภูมิ วิมานเพชรนิลจินดาหลังนี้ จะมอบให้เจ้าอาศัยอยู่เสวยสุขชั่วกาลนาน

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณที่ท่านเทพได้กรุณาอธิบาย เคยได้ยินผู้ที่ปฏิบัติธรรม ที่ได้กลับไปยังพระจอมมารดาแห่งสวรรค์ไร้ขอบเขต ไม่ทราบว่าเป็นการสำเร็จธรรมแล้วใช่ไหม ?.

บุพวิสุทธิเทพ   :  คำว่่า  "บุพ" คือจักรวาลไร้นาม ส่วน  "มารดา" คือสรรพสัตว์มีนามเป็นหมื่น ๆ  ดังนั้น  "บุพมารดา"  จึงเป็นเอกภาพ ชาวโลกขนานนามว่า "พระจอมมารดา"  แสดงถึงความสัมพันธ์ชิดเชื้อของสวรรค์ต่อชาวโลก มารดาย่อมเห็นชาวโลกเหมือนลูกน้อย  ทั้งน่ารักน่าชัง !  ด้วยเหตุนี้ สวรรค์จึงดำริให้ความเมตตาของพระจอมมารดาสถิตสวรรค์แห่งห้าอาวุโส ท่านอิงประตูรออยู่  ณ  สระอโนดาษ  เฝ้ากอบกู้วิญญาณเดิมให้หมดสิ้น ดังนี้ หากชาวโลกทั้งหลายรู้สำนึกในกาลก่อน เข้าหามารดากลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมจึงนับได้ว่า  สำเร็จธรรม

        เมื่อรู้แล้วว่า มารดาให้กำเนิดลูกน้อย สวรรค์ก็ให้กำเนิดวิญญาณ พระจอมราชันคือผู้ควบคุมอำนาจของสรรพวิญญาณ หรือเรียกว่า พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง เมื่อกราบไหว้พระจอมมารดาก็คือกรบไหว้พระวิสุทธิเทพ  พระผู้เป็นเจ้า  จึงควรระลึกเสมอว่า พี่น้องเหล่าวิญญาณล้วนมาจากต้นตอเดียวกันกับพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ควรจะแบ่งแยกให้เกิดความเย่อหยิ่งลำพองใจ อันจะทำให้เหล่าวิญญาณเดิมไม่ผสานกับไอแห่งธรรมะ หากสำคัญผิดว่า  ข้านี้เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว โดยดูหมิ่นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าว่าเป็น "ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าเบื้องหลัง"  ก็จะเกิดความมืดมัวในจิตทันที ผู้ที่กีดกันผู้อื่นนั้น ตนเองก็จะถูกดีดให้ร่วงหล่นลงพึงสังวรไว้ว่า  เทพเจ้าอยู่ในใจเรา การดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่ากับดูถูกตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรประพฤติของผู้ปฏิบัติธรรม หากยึดมั่นในรูปลักษณ์ตนเอง เมื่อตายลง ก็ไม่สามารถจะผสานกับมหาสัทธรรมที่จะกลับสู่มารดาได้สำเร็จ

        สรรพสัตว์ใต้หล้าใช้อากาศ  (ธาตุ) เดียวกัน เมื่อลมปราณขาดลงตัวก็ต้องตาย ด้วยเหตุนี้อาจกล่าวได้ว่า สรรพสัตว์กำเนิดจาก  "เอกธาตุ"  ซึ่งเป็นเหตุที่ถูกต้องที่สุด  เมื่อวิญญาณของผู้ปฏิบัิติธรรมกลับคืนสู่ต้นสังกัดแล้ว รอคอยจนกว่าเหล่าวิญญาณทั้งหลายจะได้รับการกอบกู้หมดแล้วจึงลอยขึ้นสู่ไตรวิสุทธิ์ เป็นสามบุปผาชูช่อลอยสู่มหาไพศาลภูมิ  (สวรรค์ขั้นสูงสุด เหมือนนิพพาน)  ผสมกลมกลืนกับมหาสัทธรรม

        สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่สำเร็จมรรค - ผล ในปัจจุบันชาติ บำเพ็ญตนและรูปบารมีเต็มสมบูรณ์ เมื่อละร่างนี้ไปแล้ว ก็จะลอยขึ้นสู่มหาไพศาลภูมิเลยทีเดียว จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ชาวโลกจะละโลภ  โกรธ  หลง  และรูปจอมปลอม ก็จะบรรลุมหาสัทธรรมแน่นอน