collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 27600 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่  5

                                บุญกุศลแท้จริง

        ท่านกลัวว่างานที่ทำจะไม่มีใครเห็นหรือเปล่า  ยินดีด้วย เพราะเหตุใด  ไม่มีคนเห็นเรียกว่า บุญกุศลแฝง  เบื้องบนจารึกไว้ชัดเจน  ที่มีคนเห็นนั้นเจตนาให้เขาเห็นเรียกว่า บุญกุศลแจ้ง  มีคนเห็นแล้ว ได้รางวัลชื่นชมไปแล้ว เบื้องบนจารึกไว้น้อยมาก  อะไรที่เบื้องบนเห็นแล้ว เป็นบุญกุศลแท้จริงแน่นอน นั่นก็  คือสิ่งที่บกพร่อง ไม่สมบูรณ์แต่เดิมที  เติมเต็มให้สมบูรณ์  อย่างนี้จะมีบุญกุศล เช่นในการประชุมธรรม  บางครั้งไม่อาจละเว้นสิ่งตำหนิติเตียน เจี่ยงซือบางท่านอาจเสียใจมาก เพราะได้ทุ่มเทมากอยู่ แต่ไม่มีใครยอมรับ เราจะต้องรีบไปปลอบใจ หรือหากรู้ว่าญาติธรรม คนไหนถูกทดสอบ เกิดการสอบแล้ว อารมณ์ไม่ดี เราก็รีบไปปลอบขวัญ  เราทำให้อาณาจักรธรรมเกิดการไม่สมบูรณ์  ให้กลับเป็นสมบูรณ์  นี่ก็คือบุญกุศล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่  5

                                ช่วยงานธรรมะมีกุศล

        วันหนึ่ง  มีการถ่ายทอดเบิกธรรมที่สถานธรรมส่วนรวม  เดิมทีจัดให้ผู้น้อยส่งผ้าเช็ดมือ แต่เพราะตื่นสายไป  ทำให้ลืมมาส่งผ้าเช็ดมือที่สถานธรรม แต่ก็ยังมา พอมาถึงสถานธรรม น้อง ๆ นักศึกษาได้ช่วยกันส่งผ้าเช็ดมือแล้ว  ผู้น้อยล้างมือเสร็จ  "ซันเจี้ย"  กราบคารวะรายงานตัวเสร็จไม่มีอะไรให้ทำ จึงลงไปที่ห้องบรรยายชั้นล่าง ลงไปถึงเห็นคนรอรับธรรมะสามคนนั่งอยู่ที่นั่น  ดูอย่างกับนั่งคอย จึงนั่งลงเป็นเพื่อน ชวนกินผลไม้ (ปอก หั่นแล้ว) หลังจากเจี่ยงซือมาเชิญให้เขาขึ้นไปฟังปฐมนิเทศธรรม พวกเขาไปกันหมด ผู้น้อยจึงช่วยกินผลไม้ที่เหลือต่อไปจนหมด แล้วก็กลับบ้าน วันนั้น  ไปสถานธรรมไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ได้ส่งผ้าไม่ได้ร่วมอาราธนา ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ผลงานหนึ่งเดียวคือกินผลไม้ที่เหลือจนหมด (ไม่ต้องเสียของ) ปรากฏว่าเบื้องบนจารึกว่า "มีกุศลมาช่วยงานธรรมะ" ทำไมจึงว่ามีกุศลจากการช่วยงานธรรมะ ก็เพราะไม่มีใครต้อนรับดุแล เราเข้าไปช่วยต้อนรับดูแล  แต่ก่อนท่านเหล่าเฉียนเหยินเคยกล่าวว่า "เธออยู่ในอาณาจักรธรรม ปฏิบัติบำเพ็ญ ไม่เป็นคุณก็เป็นโทษ  ไม่ใช่สุขวาสนาก็เป็นการลบล้างบุญวาสนา"  เราไม่ได้ทุ่มเทใจให้ก็เป็นลบล้างบุญวาสนา ผู้น้อยตั้งใจจะบริการรับใช้ แต่ตื่นสายไป กลายเป็นรับบริการ เราไม่มีบุญกุศลยังรับบริการเสียอีก  ฉะนั้น  เราปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรม จะต้องเอาจริงเอาจังจริง ๆ จะต้องทันท่วงที  ทันการ  เพราะ "มีงานสร้งบุญได้ง่าย  ไม่มีงานสร้างบุญได้ยาก"  เราไม่ได้สร้างบุญ บุญกุศลก็จะไม่พอ เราก็ยากที่จะจิตใจใสสว่าง อันนี้มันแน่นอน  เรามักจะจำคนที่รับธรรมะที่สถานธรรมได้แม่นยำ แต่กับคนที่ไม่ได้มารับธรรมะที่สถานธรรมเรามักจะลืมเขา ผู้น้อยไม่รู้ว่าตนเองเคยได้ถามคนมาห้าพันคนกว่าคนแล้ว เพื่อเชิญเขามารับธรรมะที่สถานธรรม ถ้าหากให้ท่านไปถามใครอย่างนี้ วันละหนึ่งคนสิบปีก็พึ่งจะถามได้สามพันหกร้อยคน ตอนนั้น  ผู้น้อยรับธรรมะยังไม่ถึงสิบปี แต่ก้ได้ถามเพื่อนำพาเขามารับธรรมะแล้วถึงห้าพันคน  เราปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจะต้องจับเวลาไว้ให้มั่น  ไม่ให้เสียโอกาส ถ้าถึงเวลาต้องทำการงานรับผิดชอบครอบครัวแล้ว จะไม่มีเวลาร่วมงานธรรมได้มาก ฉะนั้น เมื่อยังทำได้ ได้ทำ  ทุกเวลาจะต้องจับไว้ให้มั่น ร่วมงานได้  ร่วมให้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวคนทางบ้านจะขัดขวางต่อต้าน ถ้าเราไม่ทะยานตนออกมา การถูกทดสอบจากทางบ้านก็จะใหญ่มากขึ้น จึงต้องหาทางไปร่วมงานจับโอกาสเวลาทุกขณะที่จะร่วมงานได้ไว้ให้มั่น พอผ่านการทดสอบแล้ว พลังจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่  5

                             แจกแจง "หอผิดบาป"

         ผู้น้อยได้เห็นข้อความเหล่านั้นแล้ว เกิดอาการดีใจผยองตนขึ้นมาทันที คิดว่า "ที่แท้บุญกุศลของเราไม่น้อยแล้ว มิน่าเล่า พระองค์จอมชันษาฯจึงช่วยชีวิตเรา"  แน่นอน นี่เป็นความคิดของคนตาบอด เพียงแค่คิดเท่านั้น พระองค์จอมชันษาฯก็รับทราบทันที พระองค์เรียกว่า "เจ้าออกมานี่  ออกมานี"  ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยจะก้มศรีษะเหลือบดูพระองค์จอมชันษาฯ ตลอดเวลา แต่พอเห็นผลบุญบารมีของตนเองแล้วชักลืมตัว จึงเงยหน้ายืดไหล่ พระองค์โปรดว่า "อย่าดีใจไป เห็นบ้านหลังตรงข้ามนั่นไหม" ที่ดูอยู่ตรงหน้าขณะนี้คือ หอบุญกุศลรูปทรงเสลี่ยงเจ้า สูงกว่าโต๊ะพระขนาดใหญ่ฟุตกว่า แต่ที่พระองค์ให้ดูหอตรงข้ามนั้น เป็นสิ่งปลูกสร้างสูงสามชั้น สีดำ  ชั้นหนึ่งของหอดำ ยกระดับสูงขึ้นไปอีก (เหมือนอาคารต่อเติม) เท่ากับความสูงของอาคารทางโลกอีกสามชั้นและอีกสามชั้น ฉะนั้น หอดำสามชั้นจึงเท่ากับเก้าชั้นของเรา  พระองค์จอมชันษา ฯโปรดว่า  "ในหอนี้ บันทึกโทษผิดบาปในการปฏิบัติบำเพ็ญของผู้ที่ได้รับธรรมะแล้ว"  พระองค์โปรดว่า "เจ้าก็เข้าไปดูเสียด้วย"  ผู้น้อยกลัวมาก คิดว่า "เราทำอะไรไปบ้างหนอ... ทำไมจึงมีโทษผิดบาปมากมายอย่างนี้" เข้าไปชั้นที่หนึ่ง เป็นบันทึกเกี่ยวกับ "เทียนมิ่ง" 

        ข้อหนึ่ง "ตั้งปณิธาน ไม่บรรลุปณิธาน"  เช่น มาตั้งปณิธานที่สถานธรรม (มาบนบาน) จะบริจาคเพื่อตนเองหรือบริจาคเพื่อสถานธรรม ทุกคนทำการอุทิศส่วนกุศลทำเป็น โดยมีแต่ปณิธาน ไม่มีการกระทำจริง เบื้องบนก็จะจดว่า "ตั้งปณิธาน ไม่สำเร็จปณิธาน"  ยังมีอีกคือ "ปณิธานพล่อย ๆ" พูดเล่นไปตามเพลง เช่น "นำพามารับธรรมะ หนึ่งร้อยคนไม่มีปัญหา" ตั้งปณิธานแล้วจะต้องไปทำจริง ๆ ให้ได้หนึ่งร้อยคน จึงว่าบางอย่างพูดพล่อย ๆไม่ได้ เราตั้งปณิธานพล่อย ๆ แต่เบื้องบนบันทึกไว้จริง ๆ ถ้าเราจะไม่ทำตามนั้นก็ต้องหาทางบอกกล่าวต่อเบื้องบนเอง เราไปชักชวนคน คน ๆ นั้นยอมรับว่าจะมารับธรรมะ แต่สุดท้ายเราไม่ได้นำพาเขามา อย่างนี้เราก็มีผิดบาป ในเรื่องนี้ ผู้น้อยเห็นความผิดใหญ่สองกรณีคือ

1. คนคนนี้รับปากว่าจะมารับธรรมะ แต่พลาดจากวาระบุญ ข้าง ๆ ชื่อของเขา มีชื่อคนอื่น ๆ อีกประมาณห้าร้อยกว่าคน (เขาพลาดวาระบุญ เพราะเราไม่ได้ไปนำพาเขามา) มีหมายเหตุว่าห้าร้อยกว่าคนนี้ จะถึงวาระบุญได้รับธรรมะ ครั้งหน้าเมื่ออีกสิบชาติต่อไป

2. อีกคนหนึ่งที่พลาดจากบุญวาระรับธรรมะ ข้าง ๆ ชื่อของเขาก็มีรายชื่อหนึ่งพันกว่าคน มีหมายเหตุว่า หนึ่งพันกว่าคนเหล่านี้ จะถึงวาระบุญได้รับธรรมะครั้งหน้าเมือ่อีกสามสิบชาติต่อไป

        ทั้งสองรายนี้ ผู้น้อยได้พูดจากับเขาไว้อย่างมั่นเหมาะ  คิดว่าไม่ยาก เสร็จธุระแล้วพาเขามารับธรรมะ ทุกอย่างโอเค  แต่ผลสุดท้าย พอผู้น้อยหายป่วยแล้วไปหาเขาปรากฏว่า เขาทั้งสองตายไปก่อนหน้านี้  คนหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากรถชน  อีกคนหนึ่งเป็นมะเร็งตายจากยาเสพติด   คนนี้อีกสามสิบชาติจึงจะได้มารับธรรมะ คนที่เกิดอุบัติเหตุจะต้องอีกสิบชาติ ผู้น้อยไม่รู้ว่าเขาตายเสียแล้ว ไม่ทันได้เพิ่มพูนบุญปัจจัยแก่เขา เมื่อถึงเวลาบุญจะได้รับธรรมะอาจเป็นไปได้ว่า ขณะเดียวกัน เวรกรรมตามมาทวงก็ได้ประชิดติดตัวแล้วพร้อมกัน เมื่อเวรกรรมที่ร่วมกันกระทำมาถึงคราวจะเก็บล้าง เหตุนั้นจะเป็นไปได้หลายอย่าง ทั้งไต้ฝุ่น  แผ่นดินไหว  อุทกภัย  จี้ปล้น  อุบัติเหตุเรื่องรถ  เรื่องถนน  พร้อมที่จะกวาดล้างผู้ร่วมเวรกรรมหมู่ไปพร้อมกัน ฉะนั้น จึงมีเหตุบันดาลใจให้ใคร่ับวิถีธรรมบำเพ็ญ เหตุนี้ เราทุกคนจึงต้องรีบไปสกัด ไปฉุดช่วยนำพาใคร ๆ ให้ได้รับธรรมะ โดยเฉพาะยุคกาลนี้ เป็นวาระของบาปเวรประดังมา ผิดจากบุญวาระนี้แล้ว ไม่รู้จะต้องรอไปอีกกี่ชั่วคน หนึ่งชั่วคนหนึ่งชาติ  หนึ่งชาติคือสามสิบปี  สิบชาติ สามร้อยปี  สามร้อยปีภายหลัง จะได้พบการปรกแผ่แพร่ธรรมอย่างนี้อีกหรือไม่ จะได้พบคน ๆ นี้อีกหรือไม่ เป็นเรื่องยาก  รับรองไม่ได้  ถ้าสามสิบชาติ เก้าร้อยปี หนึ่งพันปียิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย จึงต้องรีบรักษาโอกาส

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่  5

                          แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 2 - 3

        ข้อสอง  " มนุษยธรรมไม่สมบูรณ์ "

      ความผิดอีกข้อหนึ่งที่ใหญ่หลวงเช่นกัน คือ มนุษยธรรมไม่สมบูรณ์ หลังจากรับธรรมะและเราทำเต็มที่ต่องานทางอาณาจักรธรรม แต่กับพ่อแม่พี่น้อง เราไม่ได้ไปส่งเสริมนำพา ไม่ได้เป็นพี่น้องที่ดี ไม่ได้เป็นลูกที่ดี เป็นได้แค่ญาติธรรมที่ดี ยึดหมายข้างเดียวอย่างดี "มนุษยธรรมไม่สมบูรณ์" มรรคผลจะไม่กลมสมบูรณ์  ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดไว้แต่ต้นว่า "ในชีวิตมีผู้เกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้น  ที่จะต้องพยายามหาทางนำพาให้ได้คือ

1.  พ่อแม่  หากท่านจากไปเสียก่อนก็จะต้องทำการฉุดช่วยวิญญาณของท่านให้ได้รับวิถีธรรม
2.  สามี  ภรรยา  ลูก  จะต้องฉุดช่วยนำพา
3.  พี่น้องหญิงชาย  ที่คลานตามกันมา แสดงว่ามีบุญสัมพ์ต่อกันมา จะต้องฉุดช่วยนำพา

        สุดท้ายคือ ญาติ  เพื่อนพ้อง  นี่ก็มีบุญสัมพันธ์ต่อกันมา จะต้องฉุดช่วยนำพาเช่นกัน  เราจะต้องฉุดช่วยนำพาจากคนสนิทชิดเชื้อ แล้วขยายวงกว้างออกไปให้ทุกคนทางบ้านได้รับผล รับความสำเร็จในวิถีธรรม  หากทุกคนทำความสำเร็จนี้ให้แก่ครอบครัวของตนได้ อาณาจักรธรรม  การปฏิบัติบำเพ็ญก็จะมั่นคง เบื้องต้นที่ผู้น้อยเข้าสู่อาณาจักรธรรม ก็ด้วยความตั้งใจจะอุทิศตนเพื่องานธรรม เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ในอาณาจักรธรรม  ไม่ได้ใส่ใจทางบ้านเลยอย่างนี้ผิด  บางท่านที่บำเพ็ญพรหมจารี  ไม่มีพันธะ  อุทิศตนทั้งหมด  แต่ยังจะต้องปฏิบัติมนุษยธรรม กตัญญูดูแลพ่อแม่ มิฉะนั้น จะเสียหายแก่วิถีธรรมยุคขาว  แม้ทางบ้านจะพูดจากันยาก ก็จะต้องหาทางส่งเสริม  ไม่ส่งเสริม หนี้เวรจะยังติดค้างกัน

        ข้อสาม  "เจี่ยงซือไม่บรรยายธรรม  ไม่ชี้แจงปณิธาน"

     บ้านสีทองทรงเสลี่ยงเจ้าของผู้น้อยที่อยู่ในพื้นที่  "เทียนปั่ง ผังฟ้า"  นั้น  ชั้นสองเป็นที่เก็บข้อมูลโทษ ผิด บาปด้วยวาจา การกระทำของเจี่ยงซือ เจี่ยงเอวี๋ยน  ถันจู่  ปั้นซื่อ  เจี่ยงซือ จะต้องคล่องมหาปณิธานสิบ  ใบคำขอรับธรรมะ  แต่ก่อนไตรรัตน์จะเป็นเตี่ยนฉวนซือบรรยาย  เจี่ยงซือทำหน้าที่พูดปณิธานกับใบคำขอ แต่ภายหลังธรรมกิจขยายใหญ่ เตี่ยนฉวนซือจึงรับผิดชอบปั้นเต้า  ซันเป่าให้เจี่ยงซือบรรยาย  เป็นเจี่ยงซือ จะต้องบรรยายปณิธานในการรับธรรมะ มิฉะนั้น แม้เขาจะรับธรรมะแล้วแต่ไม่มาปฏิบัติบำเพ็ญอีก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองได้ถวายปณิธานอะไรไว้  เป็นเจี่ยงซือ ไม่พูดเรื่องปณิธานสิบกับใบคำขอถวายชื่อ สนใจแต่จำนวนคนรับธรรมะ เจี่ยงซือผู้นั้นจะมีความผิด เมื่อมีผู้รับธรรมไม่เข้าใจ เขาก็จะผิดศีล ผิดปณิธาน เพราะเจี่ยงซือไม่ได้บอกกล่าวจึงต้องรับผิดชอบความผิดของเขาด้วย หลายคนเข้าใจว่า พูดปณิธานสิบทุก ๆ ข้อ คนรับธรรมะฟังแล้วจะกลัว ไม่กล้ากลับมาบำเพ็ญ แท้จริงแล้วไม่ใช่ญาติธรรมกลัว  เจี่ยงซือเองต่างหากที่กลัว จึงไม่พูด  เจี่ยงซือควรจะบอกเขาว่า "วันนี้ เราได้มารับวิถีธรรม ถวายปณิธานบุญเบื้องหน้าพระแท่นฯ จากนี้ไปเราจะต้องรักษาใจดีงาม แปรร้ายให้เป็นดี เป็นคนใหม่..."  อธิบายคร่าว ๆ อย่างนี อย่างน้อยทำให้เขารู้ว่าปณิธานที่กล่าวถวายไปเมื่อสักครู่นั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญเรื่องนี้นัก วันข้างหน้าจะต้องรับโทษที่เบื้องบนทั้งนั้น  ปณิธานหกที่ถวายหลังการประชุมธรรม เราจะบอกว่ามีหัวข้อบรรยายไปแล้วไม่ได้ เราเป็นอิ๋นเป่าซือ  จะต้องย้ำเตือนเขาว่า "มีปณิธานข้อนี้ ๆ ให้ได้ถวาย คุณประมาณการดู" เราเกรงแต่ว่าเขาจะกลัว จะไม่ถวายปณิธาน จึงไม่กล้าพูด ไม่พูดเราก็จะต้องรับผิดชอบเอง เดี๋ยวนี้คนรับธรรมะจึงด้อยคุณภาพลงไปทุกที ญาติธรรมก็ส่งเสริมได้ยากขึ้นทุกที ใจพระโพธิสัตว์ไม่บังเกิด ภายหน้ายิ่งจะต้องยากต่อการส่งเสริม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร

                                     ตอนที่  5

                         แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 4 - 5 

          ข้อสี่   "สามบริสุทธิ์  สี่เที่ยงตรง  พุทธระเบียบไม่พูด หรือ พูดพล่อย ๆ"

     พูดสามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง ให้เขาฟังครั้งหนึ่ง ญาติธรรมก็ก้าวหน้าขึ้้นอีกครั้งหนึ่ง  พอญาติธรรมมาถึงสถานธรรม  บรรยายกาศก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งไม่พูด บรรยายก็ยิ่งจะตกต่ำ  งานธรรมะสืบต่อมาได้นานเพียงนี้ ก็ด้วยอาศัยการปฏิบัติ  "สามบริสุทธิ์  สี่เที่ยงตรง"  แต่ถ้าหากเราคิดจะดำเนินธรรมกิจเพียงไม่กี่สิบปีก็ไม่ต้องพูดถึง  "สามบริสุทธิ์  สี่เที่ยงตรง"  เราก็จะพูดถึงแต่ปาฏิหาริย์  ประจักษ์หลักฐาน  ปรากฏการณ์วิเศษ  แต่ถ้าจะดำเนินต่อไปให้ยาวนาน จะไม่พูดถึง "สามบริสุทธิ์  สี่เที่ยงตรงกับพุทธระเบียบ "  ไม่ได้  เจี่ยงซือ  เจี่ยงเอวี๋ยน  ยังผิดต่อข้อ "ไม่บำเพ็ญฝึกฝนจริง" ต่อพุทธระเบียบ  ต่ออาณาจักรธรรม   ต่อพงศาธรรม  ไม่เข้าใจหลักแท้จริง ใครเขาถาม ก็ตอบไปตามเรื่อง นี่คือก่อเกิดโทษผิดบาป  ถ้าไม่รู้ก็ต้องตอบว่า "ผู้น้อยยังไม่ค่อยถ่องแท้ รอให้ผู้น้อยเรียนถามเตี่ยนฉวนซือให้เข้าใจดีเสียก่อน แล้วจึงจะพูดให้คุณฟังได้ไหม"  เมื่อก่อน ผู้น้อยชอบแสดงความสามารถ พูดไปตามเรื่อง เบื้องบนได้จดความผิดข้อนี้ไว้  ไม่เข้าใจอย่าทำเป็นเข้าใจ มิฉะนั้นจะก่อโทษผิดบาปไว้แก่ตน  ปัจจุบัน อาณาจักรธรรมของเรามีปัญญาชนมากมาย  ความรู้สูง  เราจะพูดส่ง ๆ ไปไม่ได้  โดยแท้จริง ธรรมะวิเศษสูงส่งยิ่ง พวกเขาก็รับรู้ แต่พอฟังเราพูดไม่รู้เรื่อง เขากลับถดถอยไม่อยากเข้ามาร่วมด้วย เราก็จะมีผิด

          ข้อห้า   "เคลือบแฝงเสแสร้ง"

     เป็นเจี่ยงซือ  เจี่ยงเอวี๋ยน  ดีแต่บอกผู้น้อยว่า  "เธอไปทำนั่น เธอไปกวาดนี่"  เท่ากับเราทำได้แค่มอบหมายให้ผู้อื่นทำงาน ธรรมกิจกับธุรกิจแตกต่างกันมากที่สุด ก็คือ ธรรมกิจจะต้องเอาตนเป็นแบบอย่าง  ไม่ใช่แจกงานให้ใคร ๆ โดยที่ตนเองไม่ได้ลงมือทำหรือนำพา  อย่างนี้ก็เรียกว่า "เคลือบแฝงเสแสร้ง"  เป็นเจี่ยงซือ จะต้องเกรงการพูดที่ตนเองไม่ได้ทำจริง เรียกว่า "ดีแต่พูด"  ที่พูดมานี้  ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้น้อยเคยผิดมา ที่ไม่กล้าสารภาพเพราะรักษาหน้าเป็นสำคัญ หลายปีมานี้ ผ่านการส่งเสริมด้วยเมตตาจากเตี่ยนฉวนซือแล้ว ผู้น้อยจึงค่อยวางอัตตาลง จึงกล้าสารภาพต่อท่านทั้งหลายได้ว่านี่เป็นโทษผิดบาปของผู้น้อย  ถ้าเราดีแต่พูด ก็จะเป็นแต่ชื่อไม่มีผล  เราก็จะเป็นแค่เจี่ยงซือที่พูดได้ ได้แต่ชื่อจอมปลอม  เราจะต้องตั้งตนเป็นแบบอย่าง เป็นเจี่ยงซือที่เป็นปากเสียงกล่อมเกลาผู้คนแทนฟ้าเบื้องบนจึงจะถูก 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                    ตอนที่  5

                        แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 6 - 7

            ข้อหก   "ไม่บำเพ็ญฝึกฝนจริง"

        หากเข้าร่วมงานประชุมฝ่าฮุ่ย หรือชั้นศึกษาธรรมเพื่อร่วมวง ใหเดูดีมีเรามาด้วย หรือวันนี้มีอาวุโส มีบุคคลสำคัญมา หรือถูกเรียกร้องให้มาเข้าครบจำนวนห้าสิบคน ลำดับจากอาวุโส แล้วเราเป็นคนที่ห้าสิบพอดี ต่างมาด้วยความไม่เต็มใจ อย่างนี้ผิด เพราะไม่บำเพ็ญฝึกฝนจริง จะต้องรู้ว่า หัวข้อไหน ๆ ก็มีประโยชน์ อยู่ในตัว เพียงแต่เข้าศึกษาแล้วรู้จักพิจารณา ค้นหาคุณประโยชน์ จากการบรรยายนั้น  ก็คือบำเพ็ญฝึกฝนจริง หากมาอย่างเสียไม่ได้ ให้มันครบจำนวนก็แล้วกัน ร่วมวง ร่วมวันเวลาไปเรื่อยเปื่อย ล้วนจะต้องรับผิดในข้อนี้

            ข้อเจ็ด   "ไม่ทำตามท่านจัดสรร" 

        ได้รับเชิญให้มาบรรยายในหัวข้อนี้ ก็เพราะเขาเห็นความสามารถของเรา แต่เรากลับไม่มา ปฏิเสธว่า "ไม่ได้"  ถ้าขัดจริง ๆ จะต้องบอกว่า "เปลี่ยนเวลาได้ไหม" อย่างนี้ปณิธานเจี่ยงซือจึงจะไม่ขาดแหว่ง จะปฏิเสธว่า  "ไม่ได้ ก็คือไม่ได้"  ไม่ได้  เดี๋ยวนี้ มีเจี่ยงซือไม่น้อยที่สลับหัวข้อ สุดท้าย คนอื่นได้ลุล่วงปณิธานไป ตัวเองกลับไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า "ไม่ทำตามท่านจัดสรร"  ฉะนั้น  เมื่ออาวุโสจัดสรรมอบหมายให้ไปรับผิดชอบชั้นศึกษา แต่เราไม่ยินดีอีกทั้งความไม่ยินดีนั้นยังไม่มีเหตุอันควรเสียอีก แน่นอน ต้องเรียกว่า "ไม่ทำตามท่านจัดสรร"   แต่ถ้ามีเหตุอันควร เช่นที่บ้านจำเป็นให้กลับไปดูแล นั่นก็จะไม่อยู่ในข่ายความผิดนี้         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                    ตอนที่  5

                          แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 8 - 9 

              ข้อแปด   "ไม่เห็นทางอริยะสำคัญกว่าทางโลก"

        ที่ผู้น้อยผิดข้อนี้คือ ชั่วโมงการบรรยายของอาณาจักรธรรม กำหนดไว้แน่นอนแล้ว แต่เวลาชนกับงานทางโลกของผู้น้อย จึงคิดไม่อยากไปเจริญปณิธานหาเหตุผลเบี่ยงบ่าย อย่างนี้เรียกว่า "ไม่เห็นทางอริยะสำคัญกว่าทางโลก"  เรามาสถานธรรมด้วยความรู้สึก "วันนี้ที่มาฉันได้เสียสละเวลาไปไม่น้อยเลย..." ถ้าคิดอย่างนี้ก็ผิดต่อข้อ "ไม่เห็นทางอริยสำคัญกว่าทางโลก"  เช่นกัน ฉะนั้น ทุกครั้งที่มาสถานธรรม อย่าได้รู้สึกเหมือนจำใจ อึดอัดขัดข้องอย่างนี้ไม่ตรงต่อใจฟ้า

             ข้อเก้า   "ถันจู่ไม่พูด  ไม่สอนพุทธระเบียบ"

        ที่ตำหนักพระมีชั้นศึกษา แต่ถันจู่ไม่มา ในปีหนึ่งแม้แต่ชั่วโมงศึกษา ก็ไม่เคยมารักษาการณ์ เป็นถันจู่บกพร่อง  ผู้เป็นถันจู่ จะต้องสอนญาติธรรมให้เข้าใจพุทธระเบียบ ฉะนั้น ตนเองจะต้องคล่องพุทธระเบียบ ถ้าหากตำหนักพระนี้เปิดชั้นเรียนมาทั้งปี มีญาติธรรมจบหลักสูตรไปร้อยกว่าคน แต่ไม่เป็นพุทธระเบียบ  ถันจู่ที่รับผิดชอบตำหนักพระนี้ก็จะต้องแบกรับความผิดหนึ่งร้อยราย ฉะนั้น จึงต้องสอนเขา และอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่สอนให้คำนับฉบับย่อทุกครั้ง พอถึงวันจะปั้นเต้า เขายังคารวะไม่เป็น จึงต้องสอนอย่างเป็นทางการพิธีเต็ม ที่ญาติธรรมไม่เต็มที่ได้ ก็เพราะเราถันจู่ไม่เต็มที่ นี่เป็นความผิดของถันจู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                    ตอนที่  5

                       แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน !0-11   

               ข้อสิบ  "ถันจู่ผิดศีลปาณาติบาต"

        เราถันจู่ได้เก็บกวาดตำหนักพระหรือไม่ ตอนเก็บกวาดเห็นแมลงสาป ยุง แมงมุม  เราทำอย่างไร คนทั่วไปคือฆ่า แต่บ้างก็เชิญเขาออกไปให้พ้น จะฆ่าไม่ได้ ตำหนักพระเป็นของมวลเวไนยฯ สรรพชีวิตแมลงเหล่านี้ เขาก็เป็นสรรพชีวิต จะให้เขาไม่เข้ามาอยู่ จะต้องทำความสะอาดทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  ครัวเราก็ไม่เก็บทำความสะอาด  มีแมลงสาป  มันของแน่อยู่แล้ว ถ้าเราฆ่ามัน เราจะผิดข้อปาณาฯ  มาสถานธรรมแท้ ๆ ยังมาฆ่า  ก็จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต  "ไม่ใช่เพราะเราพาคนมารับธรรมะหนึ่งคน จึงฆ่ายุงได้หนึ่งตัว"  แต่จะต้องเอาบุญกุศลจากที่เราพาคนมารับธรรมหนึ่งคน อุทิศให้แก่เขาทั้งหลาย ที่เราเคยละเมิดศีลทำลายล้างไป

               ข้อสิบเอ็ด   "ไม่เคารพเซียนพุทธะ"

        เรามักจะถวายธูปกำใหญ่ ขอเซียนพุทะะได้โปรดเมื่อญาติธรรมมีปัญหา  นี่เป็นความผิดข้อที่ "ไม่เคารพเซียนพุทธะ"  เราวอนขอแต่จะต้องมีข้อแม้ คือจะต้องมีปณิธาน จึงจะแสดงเหตุได้  จะต้องมีการอุทิศเสียสละจึงจะมีแรงหนุนช่วยได้ ได้แต่ขอ นั่นไม่ใช่หวังพึ่งพระมหาเมตตากรุณาธิคุณ แต่เป็นการขู่เข็ญบีบเค้นพระองค์ เราวอนขอเบื้องบนทรงโปรด อย่าให้เจ้ากรรมนายเวรมารังควานญาติธรรม แต่เซียนพุทธะล้วนยุติธรรม อีกทั้งเจ้าหนี้นายเวรมาถึงตัวจริง ๆ ก็ต้องหมายถึง ญาติธรรมคนนั้นเคยเป็นหนี้เขา ฉะนั้น จะต้องมีบุญกุศลอุทิศแก่เขา พระองค์จึงจะรอมชอมคลี่คลายได้ มิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นว่าเซียนพุทธะท่านขาดความยุติธรรม ไปละซิใช่ไหม

        วิธีกราบวอนขอ จะต้องทำอย่างนี้ คือ

     ถวายน้ำชา  ถวายผลไม้  แล้วจึงถวายธูปกำใหญ่ จากนั้น ถวายปณิธาน  เช่นจะนำพาคนมารับธรรมะหนึ่งร้อยคน  แสดงปณิธานต่อเซียนพุทธะเสียก่อน แล้วจึงค่อยวอนขอพระองค์ ได้โปรดช่วยพลิกผัน จากนั้นผู้วอนขอจะต้องตั้งใจปฏิบัติงานธรรม มีปณิธาน จึงจะมีเหตุปัจจัยให้พลิกผันได้  มิฉะนั้น จะพลิกผันอย่างไรได้  ถ้าเราเอาแต่วอนขอถ่ายเดียว มักจะเกิดการทดสอบ  เราถวายธูปกำใหญ่ แล้วบอกญาติธรรมว่า "คงจะไม่มีปัญหา"  แท้จริงแล้วผลจะกลายเป็นตาลปัตร อย่างนี้  ไม่ใช่เกิดการทดสอบหรือ  ฉะนั้น จะต้องถวายปณิธานเสียก่อน  แล้วค่อยวอนขอต่อเบื้องบนได้โปรด สมควรผ่านด่านก็จะผ่านได้  ไม่สมควรผ่าน ผ่านไม่ได้  ก็ขอเซียนพุทธะได้โปรด ประทานปัญญา และความกล้า ที่จะฝ่าด่านไปให้ได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่  5 

                  แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 12-13-14   

            ข้อสิบสอง  "ไม่เคารพพระอาจารย์ ไม่เทิดทูนธรรมะ"

        เาลาที่เราประชุมปรึกษาหารือการงานในอาณาจักรธรรม  มักจะโยนระเบิดใส่ผู้อื่นง่าย ๆ แต่ไม่ใช่โยนให้แต่ปัญหาที่จะต้องแก้ไข  เราจะต้องพิจารณาความผิดพลาดของตน ไม่ใช่ไปพิจารณาของผู้อื่นเขา  ถ้าเราวิจารณ์พี่น้องของตนเอง ก็เท่ากับลบหลู่พระอาจารย์ของเรา เองทางอ้อม อย่างนี้เรียกว่า "ไม่เคารพพระอาจารย์ ไม่เทิดทูนธรรมะ"  ในระหว่างผู้บำเพ็ญด้วยกัน จึงควรชื่นชมส่งเสริมให้กำลังใจแก่กัน อย่าได้ตำหนิติเตียน  ผลักภาระรับผิดชอบ ผลักความผิดไป โอบไว้แต่ความดี จะต้องฝึกการ ปกปิดสิ่งผิดของคนอื่น เอาแต่ความดีตีแผ่ สิ่งดีในอาณาจักรธรรม แพร่สะบัดได้ให้มาก สิ่งบกพร่องจะต้องช่วยกันโอบอุ้มอภัย สิ่งที่อภัยให้ไม่ได้เลยก็คือ ทำให้เขาเสียชื่อเสียง หากผิดต่อข้อนี้ จะไม่ควรแก่การเป็นผู้บำเพ็ญเลย เราทุกคนเมื่อมาถึงสถานธรรม ล้วนเป็นโอกาสที่จะเจริญปณิธานได้ โอกาสเหล่านั้น บางครั้งเป็นเตี่ยนฉวนซือมอบหมายให้  บางครั้งเป็นเจี่ยงซือมอบหมายให้ เราอย่าคิดว่าถ้าเป็นเตี่ยนฉวนซือมอบหมายละก็จะรับ  ถ้าเป็นญาติธรรมใหม่รับมอบหมายผ่านมาให้ เราก็จะปฏิเสธว่า ไม่ว่าง  ปฏิบัติบำเพ็ญ จะดูแต่หน้าตาใครไม่ได้ ให้ดูที่งานที่ความรับผิดชอบ

            ข้อสิบสาม   "วจีกรรม" 

        เบื้องบนทรงดูวจีกรรมอย่งไร อย่างเช่นมีคนพูดกับผู้น้อยว่า คนนั้นเขาเป็นอย่างนั้น ๆ อีกทั้งกำชับเป็นพิเศษว่า "อย่าพูดไปนะ" สุดท้ายผู้น้อยพุดต่ออีกทั้งยิ่งเล่าลืออกไปใหญ่  ข่าวนี้เข้าหุคนมากมายเท่าไร เราก็จะต้องรับผิดชอบเท่าจำนวนรายนั้น  เบื้องบนตัดสินแรงกรรมของผู้นั้นจากผลสะท้อนของวจีกรรมนั้นว่า หนักหนาเพียงไร  วจีกรรม จะเป็นผลสะท้อนต่อปัญญาญาณ ของอาณาจักรธรรมด้วย ภายหน้ากลับคืนเบื้องบน แน่นอนจะต้องถูกขังคุกสวรรค์ ฉะนั้น  อาณาจักรธรรม จะต้องไม่นินทาว่าร้ายเป็นอันขาด แต่จะต้องกระตุ้นเตือนกันให้มาก เมตตากรุณาต่อกันให้มาก ให้กำลังใจส่งเสริมซึ่งกันให้มาก

             ข้อสิบสี่   "ไม่ชำระปาก  ไม่กินเจ"

        ถวายปณิธานกินเจแล้ว แต่กลับไปทุเจผิดศีล หรือญาติธรรมทำผิด เราใช้คำว่าร้ายให้เขาตกไป บีบเค้นให้เขาไปจากอาณาจักรธรรม อย่างนี้ก็นับว่า " ไม่ชำระปาก ไม่กินเจ "  เราเห็นใครเขาทำผิด ก็ด้วยใจเขาไม่ถูกต้อง แสดงว่าเราไม่ได้ชำระปาก บางคนชอบพูดว่าวิจารณ์นิสัยใคร ๆ อย่างนี้ แม้ได้ถวายปณิธานกินเจแล้ว ก้ไม่นับว่ากินเจ ความคิดจิตใจของตนเอง จับมั่นไว้ได้ชัดเจนแล้วหรือยัง ควบคุมความคิดจิตใจของตัวเองไว้ ควบคุมปาก ของตัวเองไว้ได้หรือเปล่า ไม่ทำร้ายเขา ไม่สอบเขา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่  5

                     แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 15-16   

           ข้อสิบห้า   "ลบหลู่นักธรรมอาวุโส"

       เราอาจเข้าใจว่า "ลบหลู่นักธรรมอาวุโส"  หมายถึงลบหลู่เตี่ยนฉวนซือกับเจี่ยงซือ เท่านั้น แท้จริงสำคัญที่สุดคือ ลบหลู่อิ๋นเป่าซือของตนเอง  แรกเริ่มผู้น้อยนำพาคนมารับธรรมะเก่งมาก เกิดความรู้สึกว่า อิ๋นซือของเราอ่อนไปหน่อย เกิดความดูแคลน รู้สึกว่าอิ๋นซือของเราไม่เท่าไร ไม่รู้เลยว่าผิดต่อข้อ ""ลบหลู่นักธรรมอาวุโส"  ไปแล้ว  วันนี้ ที่เราปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรมอย่างนี้ได้  เป็นบุญคุณของใคร ลบหลู่อิ๋นเป่าซือ ก็คือลืมบุญคุณ อย่างนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ เราจะต้องสำนึกคุณอยู่ทุกวัน ที่เรากราบพระทุกวัน เรากราบอิ๋นเป่าซือหนึ่งกราบด้วยใช่ไหม จึงมิให้ละเลยดูแคลนพระคุณของอิ๋นเป่าซือ

           ข้อสิบหก   "ผลไม้  ธูป  ตกสู่พื้น"

       เวลาจัดพานผลไม้ หากผลไม้ตกสู่พื้น ทั่วไปเราก็จะไม่ใส่พานถวายอีก แต่ปัญหามีอยู่ว่า ผลไม้เหล่านี้เราเราเป็นเจ้าภาพหรือเปล่า หรือว่าทางสถานธรรมเตรียมไว้แล้ว จึงให้เรามาจัดใส่พาน มาศึกษาเจริญปณิธาน เรายังไม่ทันได้ศึกษาก็ทำเสียหายแก่เงินทองของสาธุชนเสียแล้ว  ฉะนั้น  ถ้าเราทำตกหล่น จะต้องออกเงินซื้อมาเติมเต็ม นี่คือ  บริสุทธิ์เรื่องเงินทอง  พึงรู้ไว้ ของใช้ทุกอย่างในสถานธรรม ล้วนเป็นเงินบุญวาสนาจากสาธุชน  ทำเสียหายจะต้องถูกตัดทอนไป ก็คือเสียหายแก่อายุขัย  อย่าเข้าใจผิดว่า มาสถานธรรมแล้วจะอายุยืนแน่ ๆ ทั้งนี้  จะต้องดูจากเรารักบุญวาสนาเพียงไร ไม่ทิ้งขว้าง ไม่เสียหาย ไม่ฟุ่มเฟือย... ไม่รักวาสนา อายุจะไม่ยาวนาน   ธูปกับไม้จันท์ก็เช่นกัน  ซึ่งบางครั้งก็ตกหล่น ธูปที่ตกหล่น เช่นเดียวกับผลไม้ เท่ากับได้ก่อโทษผิดบาป อีกทั้งมากกว่าผลไม้  เพราะธูป ไม้จันท์ วางอยู่บนโต๊ะบูชา  ไม่ได้เคลื่อนไหว  ไม่น่าตกหล่น  ทำตกหล่นแสดงว่า ความศรัทธา เคารพของเราไม่เพียงพอ ไม่มีใจนบนอบ             

Tags: