collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ : คำนำ  (อ่าน 11997 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ   

            มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา

        เราจะพูดถึงจิตใจที่ใฝ่ "สั้นชั่วระยะ"  อีกเรื่องหนึ่งคือ บำเพ็ญเพื่อ "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" มันเป็นเรื่องดีเหลือเกินถ้าหาก "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" ได้ การปฏิบัติบำเพ็ญจะได้มีแต่แม่ทัพนายกองที่มีแต่บุญวาสนาต่อไป ไปถึงไหนก็ไม่มีเหตุอะไรให้ห่วงใยทุกข์ร้อน ญาติธรรมก้พากันร่ำรวย คน ๆ นี้คงไม่ใช่ธรรมดา ใครก็คิดว่าเขาคงเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดใหม่ ราบรื่นสบายไปทุกอย่างใช่ไหม  และยังอาจจะเป็นเทพเจ้าปกครองทรัพย์สมบัติมาเกิดใหม่ก็เป็นได้ "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา"  มันเป็นจิตใจที่ใฝ่ "สั้นชั่วระยะ"  แล้ว "ชั่วกาลนาน" คืออะไร  ชั่วกาลนานคือ "ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน...................." กับ คืนสู่รากเดิมแท้ พบพระแม่องค์ธรรม .................."  สิ่งที่เราหวังวอนคือ "คืนสู่รากเดิมแท้ พบพระแม่องค์ธรรม" ไม่ใช่หวังวอน "เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา"  เราไม่ได้มีจิตใจอย่างนี้  อาจเป็นได้ที่ดวงชะตาชีวิตของคุณนั้นเป็นดวง "เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา" แจ่ใจของคุณจะไม่อยู่บนจุดนั้น อย่างเช่นพระโพธิสัตว์ "เหวินฉือ"  นักธรรมก่อนเก่าหลายท่านต่างเล่ากันว่า อันที่จริงพระโพธิสัตว์เหวินฉือ  .............(ท่านหลี่เฉียนเหยิน) ไม่จำต้องทุกข์ยากลำบากอย่างนั้นเลยท่านสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ เพียงแต่ท่านเอ่ยปาก ท่านก็จะเสวยสุขได้ แต่ท่านไม่เอ่ยปากเป็นอันขาด ท่านยินดีจะใช้ชีวิตลำบากยากเข็ญเช่นนั้นทุกวันไป ท่านไม่ต้องการ "เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา"  อย่างนี้คือ "ข้อแกร่งแรงมุ่ง"  ใชไหม   

                                ไม่สร้างบุญวาสนาเพื่อหลบจากภัยพิบัติ

        ฉะนั้น  ถ้ามองจากแง่มุมที่ว่าบำเพ็ญเพื่อมุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วระยะละก็ เขาจะใฝ่ใจต่อไปว่าจะสร้างบุญกุศลเพื่อหลบหลีกจากพิบัติภัย เคราะห์ภัยจะมาแล้ว รีบสร้างบุญกุศลเถอะ จิตใจที่สร้างบุญกุศลอย่างนี้เป็นจิตใจอย่างไร เป็นจิตใจ "ทำมาค้าขาย" (ลงทุนแล้วได้กำไร)  อันที่สองคือ คาดคะเนความเป็นไปของกาลเวลา ฟ้ากำหนด  ที่ผ่านมาคาดว่าปี ๕.ศ. 1999 เป็นปีอันตรายมากนะ พวกเธอรีบสร้างบุญกุศลโดยเร็วเถอะ รีบฉุดช่วยนำพาคนให้มารับธรรมะ  การสร้างบุญกุศล กับ การฉุดช่วยคนให้ได้มารับธรรมะนั้น อันที่จริงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำอยู่แล้ว แต่เราจะไปเจาะจงกำหนดเวลา บอกว่าถ้าม่ายอย่างนั้น อาจถึงที่สิ้นสุด จบกัน ถ้าญาติธรรมป็นคนใฝ่ใจทำบุญกุศลเพื่อหลบจากภัยพิบัติ ก็จะไม่ใช่จิตเมตตากรุณา  ไม่เหมือนกันนะ แตกต่างกันมากเลย  ระหว่างฉุดช่วยนำพาคนด้วยจิตเมตตา กับจิตที่เห็นแก่ตัว ทำเพื่อตัวเอง

                                ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน

        เมื่อสักครู่  เราได้พูดถึงท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ท่านสามารถจะอยู่สบายโดยไม่มีเรื่องได้ แต่เพื่อจะช่วยชีวิตญาติธรรม ท่านส่งตัวเองกลับไปตาย  อย่างนั้นเรียกว่า "หวังให้กรุณาธรรม  ได้แก่นกรุณาธรรม"  ท่านจะช่วยชีวิตญาติธรรม นั่นคือ "ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน"  ที่ท่านเดินหนทางนี้ วันข้างหน้าเราก็อาจจะต้องได้พบทางนี้  เพราะสถานการณ์ภายหน้าจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้  สมัยนี้ ดูเหมือนจะต้องไม่ใช้ลูกกระสุน  ใช้ดอลล่าร์ก็โค่นเขาได้แล้ว  ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าภายหน้า  สักวันหนึ่งเราจะต้องเผชิญกับมัน ซึ่งตอนนั้นเรา "เข้าตาจน" แต่เราอาจไม่ได้ "สำแดงข้อแกร่ง" ก็เป็นได้ นี่เป็นปัญหาอันหนึ่ง
        วันนี้ เราพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่ง เราจะสามารถเห็นข้อแกร่งได้หรือไม่  การกระทำด้วยข้อแกร่งอันสูงส่งงดงามนั้น  (เจี๋ยเชา .......)  ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์สะเทือนใจผลักดันให้เป็นไป เอาละ ไม่เป็นไร ฉันจะไปตาย  มันไม่ใช่อย่างนี้ ถึงเวลาจริง อยู่ในสถานการณ์ เธอก็เข่าอ่อนเสียแล้ว ที่พูดนี้หมายถึงธาตุแท้ที่มีอยู่ซึ่งได้อุ้มชูให้คงไว้เสมอ ความคิดจิตใจของท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ไม่เคยไปจากเหลาหมู่ทุกขณะเวลา ฉะนั้น ท่านจึงพูดว่า "ตัดหัว ยิงเป้า เกษียณแล้วกลับบ้าน"  สำหรับท่านมันเป็นไปอย่างธรรมชาติที่สุด  ฉะนั้น ถ้าเมื่อเป็นสั้นชั่วระยะ เช่น เกียรติยศ  อัปยศ  ในโลกนี้ก็จะไม่สำคัญ  เธอจะยกย่องหรือดูถูกก็ไม่สำคัญ คนดูถูกแต่ฟ้าเบื้องบนยกย่องก็ใช้ได้แล้ว ทัศนคตินี้เป็นไปได้ไม่ง่าย เพราะเธอยังมีชีวิตอยู่  คนมากมายจะกระทบกระเทียบเสียดแทงเธอ "ทำงานธรรมอย่างไรกัน ไม่มีมาตรฐานถึงอย่างนี้"  "ไม่เป็นไร เธอดูถูกไม่เป็นไร เหลาหมู่ไม่ได้ดูถูกก็แล้วกัน"  ไม่ง่ายที่จะคิดอย่างนี้ได้ เหมือนเราที่พูดถึงท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ท่านคือผู้ที่มีจิตใจเป็นอย่างนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ   

              ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินผู้พลีชีพเพื่อธรรมโดยดุษณีย์

        ในสมัยต้น อาณาจักรธรรมของเรามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "ทฤษฏีใหม่ต่อศาสตร์แห่งธรรม....................."เขียนโดยท่านเหอเหล่าเฉียเหยิน นามว่า "เซี่ยนเหวิน " (......................) วันที่คอมมิวนิสต์บุกขยายมาถึงมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ท่านปักหลักรับมืออยู่ที่นั่น เรียกให้ญาติธรรมทุกคนขนย้ายหนีไปให้หมด ท่านจะแบกรับภัยพิบัติครั้งนี้เองแต่ผุ้เดียว ท่านกล่าวว่า ท่านได้ถวายปณิธานต่อเบื้องพระแท่นเหลาหมู่แล้วว่า ท่านจะเอาชีวิตของท่านแบกรับภัยพิบัติส่วนหนึ่งของเวไนยสัตว์ ท่านเห็นภัยพาลครั้งนี้ใหญ่หลวงหนักหนา (คอมมิวนิสต์กวาดล้างศาสนา ฆ่าคนถือศีลกินเจทั้งหมดทุกเพศทุกวัยไม่เว้นแม้แต่ผู้เดียว) จึงเอาชีวิตเข้าไปแบกรับด้วยความยินดี ท่านไล่ญาติธรรมทั้งหมดไปให้พ้นแล้ว ท่านเองนั่งอยู่ในสถานธรรมรอคอยพวกคอมมิวนิสต์  คอมมิวนิสต์ถือปืนครบมือกรุกันเข้ามา ท่านไปเปิดประตูรับแล้วกล่าวทักทายว่า "ท่านทั้งหลายเหนื่อยากกันมากแล้ว เชิญเข้ามาดื่มน้ำชากันเสียก่อนเถิด"  คอมมิวนิสต์ตะคอกว่า "เราไม่ได้มาเพื่อดื่มน้ำชา เรามาจับท่าน"  ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินตอบว่า "ฉันรู้แล้ว แันจะไปกับพวกคุณ ดื่มน้ำชาเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ" ดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นเดินตามพวกคอมมิวนิสต์ไป ตลอดทางท่านพูดคุยหัวเราะเบิกบาน ดูมีความสุขเหลือเกินที่จะได้ไปพลีชีวิต เดินมาตามทาง เลขาฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถามท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินว่า "ท่านไปจากที่นี่ได้ ทำไมไม่ไปให้พ้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรามา ท่านต้องตายแน่" ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินตอบว่า "ฉันรู้" แล้วท่านก็พูดถึงทัศนคติของท่านว่า "ฉันบำเพ็ญมานานปี รู้สึกว่าตนเองยังมีสิ่งกีดขวางอันหนึ่ง ยังไม่ได้ขจัดไป (กายสังขาร) ฉันจะอาศัยโอกาสในวันนี้ อาศัยมือของพวกคุณ ขอบคุณพวกคุณ ช่วยฉันกำจัดสิ่งกีดขวางตัวนี้ให้ด้วย" ท่านเหอเหล่าเฉียเหยินไม่ธรรมดาเลย ฉะนั้น เมื่อไปถึงลานยิงเป้า ซึ่งทั่วไปมือปืนเอาปืนคาร์บิ้นจ่อหลังคนที่จะถูกยิงเป้า  แล้สั่งให้คุกเข่าลง จึงจะลั่นไกลปืน แต่ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินกลับหันหน้ากลับมาหามือปืน แล้วบอกว่า "คุณอย่าอยู่ข้างหลัง จะเล็งไม่ตรงเป้า มาข้างหน้านี้แนะ" มือปืนตกใจมือไม้สั่น เพราะไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อนที่นักโทษประหารเรียกให้มือปืนมายืนข้างหน้า  มือปืนตั้งท่าเตรียมยิงระยะไกลพอสมควร ท่านก็บอกเขาอีกว่า "คุณเข้ามาใกล้อีกหน่อยซิ อย่ายืนไกลนัก นี่อย่างนี้  อย่างนี้..." พูดพร้อมจับกระบอกปืนขอมือปืนมาจ่อไว้ตรงหัวใจของท่าน แล้วยังบอกอีกว่า "จะบอกให้ หัวใจอยู่ตรงนี้  ยิงตรงนี้ กระสุนนัดเดียวก็ได้ผลแล้ว ไม่ต้องเปลืองกระสุน"  ตั้งแต่เดินตามพวกคอมมิวนิสต์มาจนถึงเวลายิงเป้า ท่านพูดคุยหัวเราะเป็นปกติตลอดเวลา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาขึ้นไกปืนแล้ว ท่านยังคุยกับเขาอีกว่า "น้องชาย ฉันเห็นว่าคุณอายุน้อยกว่าฉัน เลยเรียกว่าน้องชาย นี่ น้องชายคุณยิงเป้านาย "เหอเซี่ยนเหวิน" ได้ แต่เธอยิง "ฉัน" ไม่ได้หรอก เอาละยิงเลย ท่านเรียกให้เขายิง เร่งให้เขายิง มือปืนยืนเซ่ออยู่ครู่หนึ่ง งงอยู่ว่ามีคนอะไรอย่างนี้ด้วย กระสุนนัดเดียว แล้วท่านก็ล้มลง  แม่ทัพนายกองคอมมิวนิสต์ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น พร้อมกันลุกขึ้นยืน ถอดหมวกทำความเคารพ โค้งศรีษะโดยมิได้นัดหมายกัน ท่านไม่ใช่ธรรมดาเลย พวกคอมมิวนิสต์พูดว่า "ไม่เคยเห็นคนอย่างนี้ ทำให้ตกใจแทบตาย" และนี่คือสิ่งที่เราพูดถึงว่า "ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน คืนสู่รากเดิมแท้พบพระแม่องค์ธรรม" ทุกวันหากเราคิดแต่จะ "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" เราอาจจะโชคดี เราก็ไม่เป็นอย่างท่าน ถึงเวลานั้น รีบหนีเอาตัวรอดไปใช่ไหม แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างท่านได้ เพราะไม่มีเงื่อนไข (สถานภาพ) นั้น อย่างท่านเหอเหล่าเฉียนเหยิน ในตอนนั้น ก็มีเตี่ยนฉวนซือหลายท่านจะอยู่ร่วมแบกรับภัยพิบัติกับท่านเหล่าเฉียนเหยิน แต่ท่านบอกว่า "ไปเถอะ  พวกเธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแบกรับได้ พวกเธอมีสิ่งที่พวกเธอจะต้องทำต่อไป รีบไปเสีย พวกเธอเอาธรรมะติดตัวไป ไปถึงที่ไหนก็ให้เอาธรรมะไปถึงที่นั่น"  ท่านแบกรับ มิใช่ด้วยเจตนา แต่นี่คือ ชีวิตจิตใจ ขวัญวิญญาณตรงนั้น  วันข้างหน้า ไม่ว่าเราจะเดินไปถึงมุมไหนของโลก จะมีวันอย่างนี้ด้วยหรือไม่ ไม่รู้ได้ แต่ถ้าหากเกิดมีวันอย่างนี้ เราจะสามารถแสดงออกได้ถึงข้อแกร่งอันดีงามสูงส่งได้หรือไม่ นี่เป็นปัญหาอันหนึ่่งใช่ไหม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ   

                                 บทเรียนจากข้าวตัง

         พูดถึงยุคกาลปัจจุบัน ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับอาณาจักรธรรมของหน่วยสายธรรมอื่นที่ผู้น้อยเคยได้ยินมา น่าจะเป็นข้อสังวรณ์สำหรับเรา นี่คือ "ความคิดมุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย"  ปลายปีหมินกั๋วที่สี่สิบแปด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดประทานพระโอวาทอักษรแยบยลฉบับหนึ่ง มีใจความประโยคหนึ่งว่า "ถึงกาลเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า มีมหันตภัย" เตี่ยนฉวนซือบางท่านตีความพระโอวาทประโยคนั้นว่า ปีหมินกั๋วที่สี่สิบเก้าจะเกิดมหันตภัย  พระโอวาทอักษรนั้นจะดูอย่างนั้นก็ได้ ดูอีกอย่างก็ได้ อยู่ที่เราใช้จิตใจอย่างไรไปตีความ แต่เขาก็ตีความอย่างนั้นแล้ว ถ้าดูอย่างนี้ก้เท่ากับว่า "ไม่เกินอีกสามปี จะมีภัยพิบัติใหญ์" ที่ไต้หวันจะตายกันจนเหลือไม่กี่คน  จะทำอย่างไรดี รีบส่งเสริมกระตุ้นให้ทุกคนเริ่มกินเจกัน รีบจัดตั้งตำหนักพระ  ในครั้งนั้น  ทุกวันจะมีคนมาขอถวายปณิธานกินเจ ทุกสัปดาห์อย่างน้อยจัดตั้งตำหนักพระห้าแห่ง  คนมากมายจัดตั้งสถานธรรม  คนมากมายถวายปณิธานกินเจตลอดชีวิต  ยังมีคนอีกมากมายที่รู้สึกว่าเหลือเงินไว้ไม่มีประโยชน์แล้ว รีบเอาไปแจกทานเสีย ยังมีญาติธรรมแพร่ข่าวนี้ต่อไป จนญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของเขาก้พากันเอาเงินไปถลุงกินถลุงเล่นกัน เตี่ยนฉวนซือยังบอกอีกว่า "เวลาที่ภัยพิบัติมาถึง ภายในสามปีที่เราหลบภัยอยู่ เราอาจจะไม่มีอาหารกิน  อาหารภายนอกสถานธรรมจะแปดเปื้อนเป็นสารพิษไปหมด"  ดังนั้น จึงมีการเริ่มหุงข้าวตัง จากนั้นก็เอาข้าวตังไปตากแห้ง แล้วเก็บสะสมไว้ บรรจุถุงแป้งหมี่ไว้เป็นถุง ๆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยถุงข้าวตังเทินซ้อนกันไว้ ทุกบ้านก็พากันสะสมข้าวตัง เตรียมการว่าเกิดภัยพิบัติเมื่อไรก็จะใช้กัน  สุดท้าย ปีหมินกั๋วที่สี่สิบเก้าก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ปีหมินกั๋วที่ห้าสิบก้ไม่มีอะไร  ห้าสิบเอ็ด  ห้าสิบสอง  ก้ไม่มีอะไร แต่ข้าวตังที่สะสมไว้ขึ้นราหมดเลย  ภายหลังคนเหล่านั้นร้อยละเก้าสิบเลิกกินเจกินเจด้วยเหตุนั้นก็เลิกกินเจด้วยเหตุนั้น เพราะเพื่อให้พ้นจากภัยพิบัติจึงจัดตั้งตำหนักพระ ตำหนักพระเหล่านั้นก็พากันเก็บหมดไม่ไหว้แล้ว นั่นคือ เรื่องที่เกิดในปีหมินกั๋วที่สี่สิบเก้า  นี่คือ บทเรียนที่คนเมื่อก่อนได้รับ  ในระยะใกล้  ในอาณาจักรธรรมก้เล่าลือกันว่าในปี ค.ศ. 1999 จะเป็นปี มหันตภันยุคสุดท้าย เตี่ยนฉวนซือของเขาเหล่านั้นบอกว่า ในอาณาจักรธรรมของเราไม่กล้าพูดอย่างนั้นอีก เราเคยเสียเรื่องมาแล้ว เขาว่า "ถันจู่ของเราล้มไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์ภายหลังจึงได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่"  นี่คือปัญหาข้อหนึ่ง ตามหลักพื้นฐานแล้วจะต้องถามว่า "ทุกอย่างที่ท่านทำนั้น ท่านเริ่มจากจิตใจอย่างไร"  เพื่อหลบหลีกภัยพิบัติใช่ไหม แท้จริง เราไม่ได้บำเพ็ญเพื่อการนี้ จุดหมายของการบำเพ็ญคือ กลับคืนสู่พระแม่องค์ธรรมต้นกำเนิดเดิม  ที่กล่าวมานั้นอันหนึ่งคือสั้นชั่วระยะ อันหนึ่งเรียว่า ชั่วกาลนาน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ   

               รากธรรมเสียหายเมื่อชื่อเสียงกำจายได้ผลประโยชน์

        เราหวังแพร่ธรรมออกไป หลังจากแพร่ธรรมออกไปแล้ว ก้หวังได้เงินยิ่งมากยิ่งดี มีเงินทำงานได้ง่าย  พอได้เงินแล้ว หรือได้ัรับคำชื่นชมยอมรับจากใคร ๆ อย่างนี้ ไม่เป็นการดีต่อการบำเพ็ญ ท่านเหล่าเฉียนเหยินกล่าวว่า " เธอมีชื่อเสียง เธอแย่แล้ว"  แต่คนทั่วไปจะไม่ค่อยเห็นจุดนี้ง่าย ๆ เรามักจะรู้สึกว่า เราบำเพ็ญเป็นที่ยอมรับ เป็นที่เคารพ เช่น เขาชมว่า "เตี่ยนฉวนซือท่านนี้แน่มาก" ให้ความรู้สึกที่ดีทีเดียวใช่ไหม ฉะนั้น เมื่อไขว่คว้าสิ่งนอกตัวจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็มักจะรู้เห็นสิ่งกระทบกระเทือนใจบ่อย ๆ  คนบางคนอยากได้สักการะลาภ ญาติธรรมเอาเงินมา เราสำคัญว่าไม่เป็นไร ใช้จ่ายไป  นักธรรมผู้ใหญ่กล่าวไว้เสมอว่า  "เงินหนึ่งบาท เราเอามาใช้ได้คุณค่าถึงสองบาทสามบาท ก็จะเกิดบุญเกิดคุณ สองบาทสามบาท ใช้เป็นบาทเดียวไป ก็จะเกิดผิดบาป"  นี่เป็นเรื่องที่จะต้องชั่งใจคิดนะ นี่เป็นเงินของญาติธรรม เราสังวรแล้วสังวรอีก คิดแล้วคิดอีกไม่กล้าใช้ไป ใช้วิถีการต่าง ๆ เพื่อให้ประหยัด และนี่ก็เป็นทัศนคติสำคัญมากอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้บำเพ็ญ  ไม่หวังให้ได้บุญได้คุณ ขออย่าเป็นผิดเป็นบาป

               ท่านชิวเฉียนเหยินผู้มิให้ต้องรับผิดบาปเป็นอันขาด

        เราจะพูดถึงท่านชิวเฉียนเหยินอีกท่านหนึ่ง ท่านมีนามว่า หงหยู............... เป็นคนมีปรีชาญาณ มีความรอบรู้ในคัมภีร์ศาสตร์อย่างลึกซึ้งแตกฉานน้ำเสียงเมื่อท่านอรรถาธรรมดังกังวาลมีพลัง มีเมตตากรุณาเป็นปณิธาน  ฉุดช่วยเวไนยฯนับไม่ถ้วน  หลังจากรับธรรมะไม่นาน ท่านจังเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดชี้ทางให้ "อุทิศตนเพื่องานธรรม............................"  ท่านก็ตัดสินใจเด็ดขาดวางทุกอย่างลงทันที ช่วยท่านจางเหล่าเฉียนเหยินจัดประชุมอบรมธรรมฉุดช่วยผุ้คนมากมาย เมื่อตอนที่ท่านชิวเฉียนเหยินแสดงเจตนาปณิธานอุทิศตนให้ฮูหยินของท่านรับทราบ ฮูหยินของท่านตอบว่า "ท่านไปทำงานธรรมะไปช่วยท่านเหล่าเฉียนเหยิน ที่บ้านฉันจัดการเองทั้งหมด ท่านไม่ต้องเป็นห่วง" สามีภรรยาตกลงเห็นชอบด้วยกัน หลังจากนั้น ท่านชิวเฉียนเหยินก็ย้ายไปอยู่ที่สถานธรรม ช่วยท่านเหล่าเฉียนเหยินแพร่ธรรม จัดชั้นเรียนอรรถาธรรม สาธุชนมากมายซาบซึ้งเข้าถึงสัจธรรมกัน ญาติธรรมบางคนรู้มาว่า ฐานะทางครอบครัวของท่านชิวเฉียนเหยินไม่ค่อยดีนัก ก็จัดซื้อแป้งหมี่ส่งไปให้ ฮูหยินของท่านชิวเฉียนเหยินไม่กล้ารับไว้  ญาติธรรมอ้อนวอนให้รับไว้เขาบอกว่า "ท่านชิวเฉียนเหยินเมตตาเหลือเกิน ขอให้พวกเราผู้น้อยได้แสดงความสำนึกบ้างเถิด"  ฮูหยินท่านปฏิเสธไม่ถูก จึงจำใจต้องรับไว้  ท่านขนเอาแป้งหมี่ทั้งหมดนั้นไปที่สถานธรรม แล้วเชิญญาติธรรมที่เกื้อหนุนจุนเจือเหล่านั้นมา ท่านกล่าวแก่ทุกคนว่า "ขอทุกคนอย่าได้ให้โทษแก่ฉันเลย ทุกคนจะต้องเข้าใจนะว่า เราเป็นญาติทางธรรมต่อกัน ไม่ใช่ญาติทางโลก ญาติทางธรรมกับญาตืทางโลกไม่เหมือนกันใช่ไหม ญาติทางธรรมไม่ต้องมาเป็นธุระเรื่องทางบ้านของฉัน ถ้าเป็นญาติทางโลกเป็นธุระได้ ก่อนจะอุทิศตนทำงานธรรมะ ครอบครัวของฉันตกลงกันแล้ว พวกคุณไม่ส่งแป้งหมี่ไปให้ คนที่บ้านฉันก็ไม่อดตายหรอก" จิตใจอย่างนี้ ซึ่งผู้บำเพ็ญมีแต่จะสร้างบุญกุศล แต่จะไม่ยอมแบกรับความผิดมิควรใด ๆ เลยเป็นอันขาด นี่เป็นชีวิตจิตใจ เป็นข้อแกร่งแรงมุ่ง  คนสมัยนี้ ค่อนข้างใจกล้า กล้าสร้างบุญ อีกทั้งกล้าแบกรับ ความผิดมิควร ใช่ไหม  แต่คนสมัยก่อนจะกล้าแต่สร้างบุญ ไม่กล้าแบกรับความผิดมิควร ต่อให้อุทิศตนเพื่องานธรรมแล้ว จะยากจนเข็ญใจจนกระทั่งครอบครัวไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ทางบ้านจะต้องไปรับจ้างเย็บผ้า  ซักผ้า  แต่ท่านก็จะยืนยันว่า "นั่นเป็นปณิธานของเขา เขาจะต้องเจริญปณิธานของเขา" มองดูแล้วเหมือนคนไม่มีน้ำใจ แต่การปฏิเสธนี้  เป็นการมองดูด้วยแนวทางชั่วกาลนาน ถ้ามองดูชั่วระยะสั้น ก็จะบอกว่า "ไม่เป็นไร  ใครจะให้อะไรก็เอา ไม่ผิดหรอก เพราะฉันลำบากยากจน ขาดแคลน เขาช่วยเหลือจุนเจือเท่านี้จะเป็นไรไป "  นี่คือความแตกต่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ   

                      ความสำคัญของคุณธรรมที่มีต่อศรัทธา

        ที่สุดของความกตัญญูคือที่สุดต่อพระแม่องค์ธรรม ทุกคนลองคิดดู ต่อพระแม่องค์ธรรม เรามีจิตศรัทธาเด็ดขาดชัดจริงหรืิอไม่ ถึงกาลสุดท้ายจะมีการทดสอบเกิดขึ้นมากมาย เช่น ศาสนาต่าง ๆ จะพากันก่อเกิด จะปรากฏธรรมปฏิบัติและศาสนาต่าง ๆ มากมาย เราจะเรียนรู้ไหม เช่น ฉันเป็นเตี่ยนฉวนซือเรียนรู้วิธีการนั้นแล้ว อาจจะปั้นเต้าให้เจริญเฟื่องฟูยิ่งขึ้นได้ นี่คือ  อีกความคิดจิตใจหนึ่ง เรียนรู้ให้มากหน่อย ถ้าหากเรียนเวทมนต์คาถาสักบทหนึ่ง ใครป่วยมา เอามือลูบหัวทีเดียวก็หาย จะได้ประโยชน์มาก และถ้าฉันมีกลวิธีหลายอย่าง เจอปัญหาอะไรก็มีจะแก้ไขได้ ไม่นานใคร ๆ ก็จะร่ำลือว่า "เตี่ยนฉวนซือท่านนี้มีบุญญาธิการเหมือนพระพุทธเจ้าทีเดียว"  อย่างนี้จะปั้นเต้าได้เฟื่องฟูมาก  ทำไมจึงมีความคิดจิตใจอย่างนี้ ผู้น้อยพิจารณาดูได้รู้ว่า เพราะเขามีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อเหลาหมู่ไม่พอ  เขาจึงรู้สึกว่า ธรรมะที่เหลาหมู่โปรดประทานให้เรานั้นยังสูงสุดไม่พอ จะต้องมีสิ่งอื่นช่วยหนุนด้วยจึงจะใช้ได้ อย่างนี้เรียกว่าคุณธรรมของศรัทธายังไม่พอ ถ้าหากเรามีคุณธรรมศรัทธาต่อเหลาหมู่ เราก็จะบอกว่า "ฟ้าเบื้องบนจัดการได้"  เมื่ออย่างที่ท่านเหล่าเฉียนเหยินของเรา เมื่อครั้งที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลซิ่วฉวน  ผู้น้อยไปกราบเยี่ยมท่าน  ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้สั่งความบางเรื่องแล้ว สุดท้ายได้สั่งว่า "ไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องของภายหน้า เรื่องของภายหน้าคนข้างหลังต่อมาจะจัดการได้เอง"  นี่เป็นจิตใจเป็นขวัญวิญญาณอย่างหนึ่ง  ครั้งหนึ่ง ท่านเฉียนเหยินของหน่วยสายธรรมหนึ่งไปกราบท่านอู๋เฉียนเหยินที่ฮ่องกง แล้วกราบเรียนถามท่านว่า "ต่อไป "เทียนมิ่ง" นี้จะสืบต่อกันอย่างไร"  ท่านอู๋เฉียนเหยินตอบว่า "คุณยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี (ตอนนั้นผู้ถามอายุได้เจ็ดสิบกว่าปีแล้ว)  คุณจะยุ่งกับเรื่องนี้ไปทำไม เรื่องนี้มีเหลาหมู่จัดการอยู่ ไม่ต้องให้คุณมาเป็นธุระ"   คำพูดนี้เหมือนจิตใจของท่านเหล่าเฉียนเหยิน ธรรมะไม่ใช่อาศัยคนคิดคำนึงเอา  ครั้งที่แล้ว อยู่ที่ฮ่องกงท่านอู๋เฉียนเหยินก็กล่าวว่า พวกเราคนรุ่นนี้พูดว่า "เราจะต้องวางแผนเอางานไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างไรบ้าง"  พอถึงสมัยคนรุ่นหลังเขาเหนือกว่าเราเสียอีก แล้วดูซิ ที่เราวางแผนไว้ให้เขาน่ะ พวกเขาจะบอกว่า "ไม่มีระดับ ไม่มีมาตรฐาน"  ฉะนั้น  ท่านอู๋เฉียนเหยินนั้นเหมือนกับท่านเหล่าเฉียนเหยินข้อแรกที่ว่า "ฟ้าเบื้องบนจัดวางให้ดี ไม่ต้องให้เราไปเจ้ากี้เจ้าการ" ท่านมีคุณธรรมศรัทธาต่อฟ้าเบื้องบนต่อเหลาหมู่อย่างเด็ดขาดชัดจริงอย่างนี้   

                               บำเพ็ญจริง  ดำเนินตรง  หมื่นศาสน์พากันมาบรรจบ

        ท่านอู๋เฉียนเหยินยังกล่าวอีกว่า มีอยู่ปีหนึ่ง ที่มหานครเทียนจิน พระธรรมาจารย์ได้โปรดมาเยี่ยมที่สถานธรรม ที่หน้าประตูสถานธรรมมีกลอนคู่อยู่บทหนึ่งว่า " วิถีรู้แจ้งแทงตลอดถ่ายทอดจริงชัด  หมื่นศาสน์เก็บเสมอไว้ในธรรมเดียวกัน.................
พระธรรมาจารย์ (ซือจุน)  จึงโปรดตั้งคำถามว่า หมื่นศาสน์เก็บเสมอไว้ในธรรมเดียวกันน่ะ เก็บได้อย่างไร"  ท่านธรรมปรินายกและเตี่ยนฉวนซือทั้งหลายต่างคุกเข่าลงไม่กล้าพูด พระธรรมาจารย์จึงได้โปรดว่า " ลุกขึ้น  ลุกขึ้น  ข้อความนี้ต้องแก้ไขเสียหน่อย" พระธรรมาจารย์ได้โปรดแก้ไขให้เป็น "บำเพ็ญจริง เดินตรงชัด หมื่นศาสน์พากันมาบรรจบ"   "ถ้าเราบำเพ็ญได้จริง ดำเนินได้ตรง หมื่นศาสน์ก็จะพากันมาบรรจบ"  หลังจากที่ซือจุน แก้คำว่า  "หมื่นศาสน์เก็บเสมอไว้ในธรรมเดียวกัน"  แล้ว  จากนั้นสถานธรรมน้อยใหญ่ในมหานครเทียนจินก็ไม่ปรากฏกลอนคู่ประโยคเดิมที่หน้าประตูสถานธรรมใดอีกเลย  ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ถ้าหากเราบำเพ็ญจริง ดำเนินตรง เรายังจะต้องกลัวอีกทำไม เหตุและปัจจัย ฟ้าเบื้องบทรงจัดวาง เราบำเพ็ญจริงดำเนินตรงก็แล้วกัน นี่เป็นการไตร่ตรองเพื่อความเป็นชั่วกาลนาน มัวคิดว่า ฉันดำเนินการแพร่ธรรมอย่างนี้จะเจริญรุ่งเรืองไหม นี่เป็นการไตร่ตรองสั้นชั่วระยะ ท่านเหล่าเฉียนเหยินกล่าวว่า "เธอนำพาคนรับธรรมะหนึ่งหมื่นคน มีสักกี่คนที่จริงใจบำเพ็ญธรรม"  นี่เป็นประโยคหนึ่ง หวังให้ดอกไม้บานไม่ขาดสาย นี่คือ สั้นชั่วระยะ  มีสักกี่คนที่รู้ตื่นเข้าถึงธรรมะ กี่คนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง ๆ  ฉะนั้น  ถ้าคุณธรรมศรัทธาที่เรามีต่อเหลาหมู่พอเพียง เราก็จะคิดได้ว่า "การถ่ายทอดวิธีธรรมนั้น สิทธิ์ขาดอยู่ที่ฟ้าเพื้องบน ไม่ใช่อยู่ที่คน"  เราต้องตกอยู่กับสภาพแวดล้อมลำบาก เรายังคงบำเพ็ญต่อไป จิตใจไม่ห่างจากเหลาหมู่  ไม่ห่างจากฟ้าเบื้องบน ฉะนั้น จึงกล่าวว่า "ทำงานธรรมะให้สุดความตั้งใจ"  อย่างไรจึงเรียกว่าสุดความตั้งใจ ผู้น้อยคิดว่า "สุดความตั้งใจก็คือ"  ไม่ห่างจากเหลาหมูทุกขณะจิต ไม่ห่างจากเวไนยทุกขณธจิต"  ใจของเรานั้นไม่อยู่กับเหลาหมู่ก้อยู่กับเหล่าเวไนยฯ นี่คือสุดความตั้งใจ  เรื่องอื่นเป็นเรื่องที่ฟ้าเบื้องบนจัดวางให้ไม่ต้องเจ้ากี้เจ้าการ"  บางคนบำเพ็ญธรรมด้วยจิตใจหวาดกลัว กลัวว่าตัวเองจะแพร่ธรรมไม่ออก กลัวสิ่งแวดล้อมของตนจะลำบากมาก ไม่ต้องกลัว เราเป็นคนในสหาโลกธาตุ (โลกที่ลำบากยากจะแก้ไข)  เราจึงไม่ต้องกลัวลำบาก เหนื่องเพียงใด ลำบากเพียงไหนก็ผ่านไปได้ทั้งนั้น มีคำโบราณคำหนึ่งว่า "คน  ไม่มีที่จะกล้ำกลืนความทุกข์ไม่ได้ มีแต่จะเสวยสุขวาสนาไปไม่ถึง"  สุขวาสนาบางอย่างเธอเสวยรับได้ไม่ถึง ถ้าเธอขืนไปเสวยรับไว้ เธอจะแย่เอา อย่าได้ยินดี   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ   

                         ด่านสอบสุดท้ายสามด่านใหญ่

        คุณธรรมศรัทธาของเรานี้จะต้องเรียกฟื้นฟู คุณธรรมศรัทธาต่อเหลาหมู่จะต้องเชื่อมั่นศรัทธาเต็มร้อย ไม่มีข้อโต้แย้ง จะไม่กลัว ไม่กังวลใจแม้แต่น้อย ไม่พูดว่า "ภายหน้าฉันควรจะทำอย่างไร" ภายหน้าเหลาหมู่จัดวางได้ อย่ายุ่งเกี่ยว เกี่ยวข้องเฉพาะตนเองให้บำเพ็ญจริง ดำเนินจริงเท่านั้น เพราะถึงกาลเวลาทดสอบสุดท้ายแล้ว มีแนวทางการสอบใหญ่สามทางคือ...
1.  การทดสอบ         "ชั่วดี  ถูกผิด  นินทา  ว่ากล่าว"  ซึ่งจะมีอยู่ทุกแห่ง
2.  อารมณ์เจ็ดตัณหา  ทุกอย่างที่เกิดจากโลภ  โกรธ  หลง  รัก  เงินทองไม่โปร่งใส  หยฺงชายไม่ขาวสะอาด  ที่มีปัญหามากมายอยู่ในเรื่องนี้ใช่ไหม
3.  อภิญญาสื่อจิต      เวทมนตร์คาถา  ศาสตร์ต่าง ๆ มากมาย  ก่อเกิดสำแดง ทำเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ ปลุกใจให้ไหวตาม
        นี่เป็นด่านสอบสุดท้ายสามด่าน  เรื่องดีชั่ว ถูกผิด นินทา ว่ากล่าว  เธออย่าดูถูกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย  หากเธอใฝ่ใจสั้นชั่วระยะ เธอจะต้องถูกสอบล้มลงแน่นอน แล้วเธอก็จะพูดว่า "ฉันไม่ออกมาสู่อาณาจักรธรรมแล้ว ด่าว่าฉันจนเสียหายอย่างนี้ ไม่น่าฟัง"  ว่ากันไปตรง ๆ ที่เธอหลุดร่วงไปไม่ออกมา ทำให้ใครต้องตื่นตกใจไปด้วยหรือ ไม่ออกมาก็ไม่ออกไปซิ ฉะนั้น เมื่อมีคนร้องบอกว่า "จะไม่ออกมางานธรรมแล้ว" บางครั้งท่านเหล่าเฉียนเหยิน ก็จะพูดเหมือนไม่มีเยื่อใยว่า "อาภัพอับวาสนา...................."  นี่เป็นข้อตัดสินความเป็นชั่วกาลนาน  ฉะนั้น ถึงกำหนดกาลสุดท้ายแล้ว จะผ่านด่านเหล่านี้ไปได้จะต้องมีข้อแกร่งแรงมุ่ง เวลาปกติไม่ได้เสริมสร้างข้อแกร่งแรงมุ่ง พอถึงเวลาไม่อาจปรากฏสำแดง ก็ไม่ง่ายที่จะได้พ้นด่านนี้

                            สอบราบรื่นอันน่ากลัว

        สุดท้าย  ผู้น้อยจะเล่าเรื่องเพื่อพึงสังวรกันบางเรื่อง  ให้เราได้ช่วยกันเสริมสร้างกำลังใจ  ปีหมินกั๋วที่สามสิบแปด  ซือหมู่ลี้ภัยไปอยู่ฮ่องกง ท่านเฉียนเหยินมากมายในจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ลี้ภัยไปอยู่ที่ฮ่องกงเหมือนกัน จนถึงปีหมินกั๋วที่สามสิบเก้า  ทั่วท้องถนนในฮ่องกงมีแต่ผู้ลี้ภัย  แต่ก่อน  นักธรรมข้างหน้าเหล่านี้ มีสภาพเป็นธรรมภันเตเฉียนเหยินที่จีนแผ่นดินใหญ่  พอลี้ภัยมาถึงฮ่องกง ต้องเปลี่ยนสภาพมาเป็นผู้ลี้ภัย  ซือหมู่เห็นว่าอย่างนี้ไม่ได้ จึงซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขตุซาเถียน สร้างสถานสงเคราะห์คนชราขึ้น  (แสดงชื่อต่อคนภายนอกว่า สถานสงเคราะห์คนชรา) แท้จริงแล้วคือสถานโอบอุ้มนักธรรมผู้ใหญ่ที่ระหกระเหินอยู่ในฮ่องกง  รวมเฉียนเหยินทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบกว่าท่านอยู่ในนั้นทั้งหมด ซือหมู่ได้โปรดว่า "ทุกคนสร้างบุญกุศลไว้เกินพอ แต่แรงไฟสุขุมยังไม่พอ จะต้องทดสอบแรงไฟสุขุม (ความประณีตลุ่มลึกละเอียดของจิต)  ม่ายเช่นนั้น  วันข้างหน้าจะไม่อาจกลับคืนเบื้องบนไปได้"  นี่เป็นข้อสอบที่แยบยลมาก  ในฤดูหนาวปีหมินกั๋วที่สามสิบเก้า ซือหมู่ได้โปรดประกาศว่า "หยุดการถ่ายทอดวิถีธรรมในฮ่องกง"  พระองค์ท่านใช้การ "หยุดการถ่ายทอด"  มาเป็นข้อทดสอบ  ดูซิ  ขณะนี้เราทุกคนถ่ายทอดวิถีธรรมกันจนไม่มีเวลาว่างเลยเหมือนกัน อยู่ ๆ มีพระโองการประกาศทันทีว่าให้ "หยุด"  พอ "หยุด" ก็จะล้มละ  ท่านนักธรรมผู้ใหญ่ซึ่งเป็นแนวหน้าเหล่านั้น รับทราบว่าซือปหมู่จะหยุดถ่ายทอด พระองค์ได้โปรดว่า "เอาทางโลกเป็นหลัก เอาทางธรรมเป็นรอง ทุกคนจึงออกไปทำมาหากิน ไปค้าขายกัน"   นักธรรมเหล่านั้นก็พากันออกจากอาณาจักรธรรม กลับไปสู่อาณาจักรธรรมแห่งลาภสักการะอีกครั้งหนึ่ง  จุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครที่ไม่มีข้อแกร่งแรงมุ่งก็จะรักษาสภาวะธรรมไว้ไม่อยู่ ในจำนวนนักธรรมชั้นแนวหน้าเหล่านั้น  หลายท่านทำงานใหญ่มาแล้ว อย่างเช่น เฉียนเหยินท่านหนึ่ง เคยติดตามปั้นเต้าใกล้ชิดกับซือจุนมาแล้ว  วันหนึ่ง ซือจุนได้โปรดแก่เฉียนเหยินท่านนั้นว่า "อย่าเอาแต่ติดตามฉันออกไปบุกเบิกแพร่ธรรม"  เฉียนเหยินท่านนี้กราบเรียนถามซือจุนว่า "จะโปรดให้ศิษย์ไปบุกเบิกที่ไหน"  ซือจุนโปรดว่า "แผนที่อยู่นั่นไปหาเอาเอง"  ประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน เฉียนเหยินท่านนั้นเอานิ้วชี้ลงไปจุดหนึ่ง คิดวาจุดนี้คงไม่เลว ซือจุนก็โปรดอนุญาตให้เฉียนเหยินท่านนั้นไป  ต่อมา  เฉียนเหยินท่านนั้นสืบถามได้ความว่า เพราะที่นั่นมีศาสนิกคาทอลิกอยู่ถึงสองล้านคน แย่แล้ว  ท่านจึงไปคุกเข่ากราบเรียนซือจุนว่า "พระอาจารย์ได้โปรด ศิษย์จะไปที่นั่นไม่ได้ เพราะที่นั่นมีศาสนิกคาทอลิกมากเหลือเกิน"   ซือจุนได้โปรดว่า "ไม่ต้องกลัวจะส่งต้าเซียนองค์หนึ่งไปช้วย" ส่งคนไปช่วย มองเห็นตัวตนได้ค่อยอุ่นใจ ซือจุนว่าจะส่งเซียนใหญ่ไปช่วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็นตัวตน จึงกราบเรียนถามซือจุนเพื่อความมั่นใจอีกว่า "พระอาจารย์จะโปรดส่งเซียนพระองค์ใดไปช่วยหรือ"  ซือจุนโปรดว่า "จะส่งอู่ซวิ่นต้าเซียนไปช่วยเธอ"  วาจาประกาศิตของพระอาจารย์ อู่ซวิ่น............. ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นต้าเซียนไปทันที เฉียนเหยินท่านนั้นเดินทางไปถึงจุดหมายที่จะบุกเบิกแพร่ธรรมแล้วจัดการเช่าบ้าน จัดตั้งตำหนักพระ แต่ฉุดช่วยนำพาใครให้มารับวิถีธรรมไม่ได้เลย อึดอัดกลัดกลุ้มมาก พระอาจารย์ว่าจะส่งอู่ซวิ่นต้าเซียนมาช่วย ก็ยังไม่เห็นมา เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เช้าวันหนึ่ง ได้ยินเสียงผู้คนมากมายมาชุมนุมพูดคุยกันหน้าตำหนักพระ คนเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน โอ ล้วนแต่ได้รับนิมิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้าเซียนไปเข้าฝันบอกว่า พวกท่านต่างรอพระเยซูกลับมาอีกไม่ใช่หรือ จะบอกให้ พระเยซูกลับมาแล้ว พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยโลกมาแล้ว อยู่ที่นั่น ที่นั่น บ้านเลขที่เท่านั้นเท่านี้ บอกกล่าวให้ถี่ถ้วน อีกทั้งยังแสดงภาพรูปร่างหน้าตา ของเฉียนเหยินท่านนั้นให้เห็นอีก เพียงแค่ข้ามคืน ก็มีคนถึงร้อยกว่าคนที่ฝันเห็นแล้วมาขอรับวิถีธรรม  เช้าวันนั้น เฉียนเหยินท่านนั้นรู้สึกแปลกใจ ที่มีเสียงผู้คนมากมายเหมือนออกันอยู่เต็มหน้าตำหนักพระ เปิดประตูออกไปดู พอผู้คนเหล่านั้นเห็นท่านเฉียนเหยิน ก็พร้อมกันคุกเข่าลงวิงวอนว่า "พระผู้ช่วยโลกได้โปรดช่วยพวกเราด้วย"   เฉียนเหยินท่านนั้นเริ่มต้นบุกเบิกแพร่ธรรมได้ด้วยเหตุปัจจัยอันนี้  สามปีต่อมา  ได้จัดตั้งสถานธรรมใหญ่ คนที่ได้รับวิถีธรรมมากถึงสองแสนคน จนก่อเกิดเป็นหน่วยสายธรรมขึ้นมาอีกหน่วยสายหนึ่ง จึงกล่าวได้ว่าเฉียนเหยินท่านนั้นได้ทำงานใหญ่มามาก มีพื้นฐานบุญมาก
        ทีนี้เราจะมาพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่งต่อไป เรื่องที่จะเล่านี้ ไม่ได้เจาะจงตัวบุคคล อย่าว่าแต่ท่านที่เคยทำงานใหญ่มาแล้วเลย เราเองก็เถอะ ถึงสุดท้ายก็จะต้องพึงสังวรระวัง ต้องเสริมสร้างความมั่นคงกัน วันข้างหน้าจึงจะรักษาความมั่นคงไว้ได้ ภายหลังเฉียนเหยินท่านนั้นมาลี้ภัยอยู่ที่ฮ่องกง ซือหมู่โปรดประทานข้อทดสอบ ให้หยุดการถ่ายทอดวิถีธรรม เฉียนเหยินท่านนั้นก็ทำตามพระบัญชาออกไปค้าขาย  การค้าของท่านจะต้องติดต่อกับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะศาสนิกคาทอลิก การค้าของท่านรุ่งเรืองมาก ซื้อง่ายขายคล่อง ราบรื่นไปหมดทุกอย่าง  สุดท้ายเพื่อความสะดวกในการร่วมงานติดต่อซื้อขายกับศาสนิกคาทอลิกเป็นหลัก ก็เลยเปลี่ยนไปเป็นศาสนิกคาทอลิกเหมือนกับเขา พอเปลี่ยนศาสนาแล้ว การค้ายิ่งเฟื่องฟูรุ่งเรืองใหญ่โต ทำให้สำคัญผิดคิดว่าถูกต้องแล้ว นั่นยังพอจะเข้าใจได้ แต่สุดท้ายที่ไปมีอนุภรรยาอีกคนหนึ่งซิ ไม่น่าเป็นไปได้เลย ภรรยาหลวงดั้งเดิมของท่านอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ลี้ภัยมาฮ่องกง  เฉียนเหยินท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในการแพร่ธรรมมากเป็นบุคคลสำคัญในบัญชีกวาดล้างศาสนาของคอมมิวนิสต์ เมื่อท่านเล็ดลอดลี้ภัยมาฮ่องกง คอมมิวนิสต์จึงจับตัวภรรยาของท่านไปแทน  ท่านได้อนุภรรยาคนหนึ่งที่ฮ่องกง เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาได้อนุภรรยาคนที่สอง  และตอมาได้อนุภรรยาคนที่สาม แต่เวรกรรมชักนำ ว่าที่อนุภรรยาคนที่สามเป็นคนของกลุ่มอิทธิพลมืด สุดท้ายท่านถูกทำร้าย  ขาหักไปข้างหนึ่ง  เรื่อราวฉาวโฉ่ทำให้อับอายขายหน้าจนต้องไปกระโดดน้ำตายที่ชายทะเลอวั้งเจี่ยว  แต่ยังไม่ตายถูกช่วยชีวิตไว้  หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวลงบทความพิเศษ  คนทั่วฮ่องกงรู้ไปหมด ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เฉียนเหยินคนนี้ทำไมเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงเสียหายจนไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก สุดท้ายไม่รู้ว่าไปทางไหนแล้ว

                            มีแต่ข้อแกร่งแรงมุ่งเท่านั้นที่ชั่วกาลนาน

        ผู้น้อยได้ยินท่านอู๋เฉียนเหยินที่ฮ่องกงเล่าเรื่องนี้แล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ถึงบั้นปลายไม่ใช่เคยทำงานใหญ่มา รากฐานบุญลุ่มลึก หรือแม้กระทั่งเคยติดตามใกล้ชิดพระอาจารย์มา ก็จะรักษาสภาวะธรรมในตนไว้ได้ นี่เป็นเรื่องอันตรายเหลือเกิน  ฉะนั้น  วันนี้ที่เราพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่ง จึงเป้นเรื่องสำคัญมาก  แต่ข้อแกร่งแรงมุ่งนั้น ไม่ใช่เราจะใช้ความคิดแล้วคิดออกมาได้ เชื่อว่าเฉียนเหยินท่านนั้นต้องแน่มากทีเดียว ดูซิ เคยทำงานใหญ่ได้ถึงอย่างนั้น เคยติดตามใกล้ชิดพระอาจารย์ แต่จิตใจภายในไม่ได้ก่อเกิดสภาวะธรรมอย่างแท้จริง  ปกติก็ไม่ได้ปลุกฝังบำรุงเลี้ยงจิต  บริสุทธิ์  พอถึงเวลา ตกสู่สภาวะแวดล้อมใหม่ ถูกทอสอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ก็จะ "รูปโฉมแท้ตีแผ่เอง"  น่ากลัวเหลือเกิน  ท่านอู๋เฉียนเหยินกล่าวว่า ตัวอย่างอย่างนี้มีมากมายในฮ่องกงนี่คือการทดสอบราบรื่น มุ่งทางโลก ไม่มุ่งทางธรรม พอสอบราบรื่น คนถูกสอบมากมายก็ราบ (ลื่น) ไปเลย 
        สำหรับท่านอู๋เฉียนเหยินเอง ในระหว่างนั้นก็ลำบากมาก ท่านต้องไปรับจ้างเป็นกรรมกรสร้างทาง  หิ้วปูน เทปูน ซือหมู่รู้ว่า ทุกคนลำบากกันปานนั้นเรียกให้มารับเงินจากพระองค์คนละหนึ่งตำลึงทองเพื่อประทังชีวิตไป  ท่านอู๋เฉียนเหยินกล่าวแก่พวกเราว่า "มาถึงวันนี้ พวกเราสบายใจมาก เราไม่เคยได้รับเงินจากซือหมู่แม้สักครั้ง แม้ชีวิตจะยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร เราก็ผ่านมาได้แล้ว  ไม่เพียงแต่ผ่านมาได้แล้ว ต่อมาเรายังมีเงิน ได้ซื้อบ้านสร้างตำหนักพระ ตอนนี้ย้อนคิดดู เราสบายใจมาก" นี่คือข้อแกร่งแรงมุ่ง เราทุกคนเป็นคนบ้านเดียวกัน  จะต้องส่งเสริมให้กำลังใจแก่กัน ยิ่งถึงวาระสุดท้าย  ยิ่งจะต้องมีข้อแกร่งแรงมุ่ง สันหลัง  เอว  จะต้องยึดตรง  จะต้องมีพลังโดยแท้จากกระดูกแกร่ง ไม่มีทุกข์ยากอันใดที่คนจะกล้ำกลืนไม่ได้  ขอให้เห็นชั่วกาลนานสำคัญสักหน่อยที่มันสั่นชั่วระยะไม่ได้เสียอะไรนัก ก็ปล่อยมันไป ไม่มีอะไรที่ผ่อนผันไม่ได้
        เหล่านี้คือ  รายงานจากผู้น้อยที่ยังด้อยความนึกคิดนัก พูดก็เพื่อเสริมสร้างตนเองไปด้วย คำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควรท่านทั้งหลายโปรดชี้แนะ

                           ~ ตัดหัวยิงเป้า  เกษียณแล้วกลับบ้าน ~ 
                                                                                   ~ จบเล่ม ~

Tags: