collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม ถ้อยแถลงจากผู้เรียบเรียง  (อ่าน 41011 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

            การได้รับวิถีธรรมมีความยากอยู่สี่ประการอย่างไร

        การที่จะได้รับวิถีธรรมมีความยากอยู่สี่ประการ  คือ
1.  ยากนักที่จักได้เกิดกายเป็นคน
2.  ยากนักจักได้เกิดทันยุคที่สาม
3.  ยากนักจักได้เกิดกายในศูนย์กลางโลก
4.  ยากนักจักได้พบวิถีสัจธรรม
        ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อ กล่าวไว้ว่า  "เรามีความทุกข์กับกายสังขารนี้ แต่เรารักกายสังขารนี้"  ที่เรามีความทุกข์กับกายสังขารนี้ เพราะกายสังขารนี้มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ  เป็นนายโจรทำลายเรา   เมื่อนายโจรนัยน์ตาเห็นรูป  นายโจรหูได้ยินเสียง  นายโจรจมูกได้ดมกลิ่น    นายโจรลิ้นได้ลิ้มรส  นายโจรกายได้สัมผัส  และนายโจรความคิดได้เกิดโลภหลง อาทิ เงินตรา  นารีที่ยั่วเย้าอยู่ภายนอก  และอารมณ์ทั้งเจ็ดที่เบ่งบานอยู่ภายใน ประกอบเข้าด้วยกัน  เมื่อมโนธรรมสำนึกไม่อาจเป็นหลัก เมื่อจิตที่ใฝ่ต่ำระเริงไม่อาจควบคุมได้ นรกขุมลึกจึงได้ก่อขึ้นสนองรับ กายสังขารนี้จึงเป็นทุกข์ คน มีชีวิตที่สูงส่งกว่าสรรพสิ่งชีวิตใด ๆ  จิต (ธรรมญาณ) อาศัยดำรงอยู่ในกายสังขาร  กายสังขารก็อาศัยจิตดำรงความมีชีวิตไว้  ธาตุแท้ของชีวิตจึงไม่พ้นไปจากกายสังขาร ซึ่งเป็นธาตุสมมุติ  ทั้งธาตุแท้และธาตุสมมุติจึงประกอบอยู่ด้วยกัน  ดังพระคัมภีร์ที่ว่า  "สริสัมภวะ รูปอยู่กับความว่าง (กายสังขารอยู่ได้ด้วยธรรมญาณ)  "ความว่างอยู่กับรูป (ธรรมญาณเป็นชีวิตได้ด้วยกายสังขาร)"  คนจึงต้องอาศัยกายสังขารนี้บำเพ็ญ เพื่อให้ธรรมญาณหลุดพ้นการเวียนว่าย แม้ปราศจากกายสังขารนี้  ธรรมญาณนี้จะหลุดพ้นได้อย่างไร ที่ว่าเรารักกายสังขารเป็นฉะนี้  จึงกล่าวว่า " ยากนักจักได้เกิดกายเป็นคน" 
        แม้มิรู้ในสัทธรรม ไม่รู้แจ้งความเป็นจริงของชีวิต  ไม่รู้แจ้งในคุณและโทษของชีวิตก็จะเหลวไหลผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่ง ในยุคสามมหันตภัยครั้งสุดท้ายนี้ ก้เท่ากับเป็นยุคเบิกดิถีสามศุภธรรมกาลด้วย (ซันหยังไคไท่)  ภัยพิบัติกับศุภวาระเกิดขึ้นคู่กัน เป็นยุคที่ธรรมกาลยุคเขียว  ยุคแดง  และยุคขาวถึงกาลพลักผันพร้อมกันทั้งหมด  วิถีอนุตตรธรรมอันสูงส่ง  เบื้องบนจะไม่โปรดประทานให้ แม้มิใช่วาระอันควรได้รับ อุปมากับผู้ป่วยหนักจักต้องได้รับก่ารเยียวยารักษา ให้ตรงต่อสมุฐสนของโรค  เช่นเดียวกัน  วิถีธรรมอันได้โปรดถ่ายทอดในครั้งนี้เพื่อรับมือกับมหันตภัย ในยุคที่สามยุคมหันตภัยครั้งสุดท้ายนี้ ภัยจากน้ำ  ลม  ไฟ   ความทุกข์ที่เกิดจากน้ำ  ไฟ  ศาสตราวุธ  การสงคราม  ความแห้งแล้ง  น้ำท่วม  อดอยาก  ข้าวยากหมากแพง  เกิดขึ้นประดังกัน เป็นปรากฏการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้น แม้มิใช่สัจธรรมไซร์ ไม่อาจกอบกู้ชาวโลกให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ เมื่อเบื้องบนโปรดประทานเบิกดิถีศุภธรรมกาล วิถีอนุตตรธรรม จึงได้ปรกโปรดชุบชูญาณทั้งมวล จึงได้กล่าวว่า  "ยากนักจักได้เกิดทันยุคที่สาม 
        ประเทศจีนตั้งอยู่ในทวีปเอเซีย อักษรจีนคำว่าเอเซียเป็นรูปกากบาทโปร่งขาว อยู่ในกรอบตัวอักษรดังนี้.............
ชื่อของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น จงกั๋ว  จงฮว๋า  จงเอวี๋ยน  หรือจงเอียง  ล้วนเป็นศูนย์กลางของฟ้าดิน
คำว่า จง  แปลว่ารากฐาฯของฟ้าดิน พระอริยบุคคลจึงอุบัติขึ้นมิขาดสาย ประเทศจีนเจริญด้วยวัฒนธรรมเก่าก่อนกว่าชาติใดในโลก  ในครั้งโบราณ ประเทศจีนมีชื่อว่า  เทียนเฉา  แปลว่า ราชฐานแห่งฟ้าเบื้องบน  เป็นดินแดนแห่งแรกของโลกที่สัทธรรมได้โปรดถ่ายทอด จึงกล่าวได้ว่า "ยากนักจักได้เกิดกายในศูนย์กลางของโลก"
        ในยุคที่สามนี้ศาสนาลัทธินิกายต่าง ๆ นับพันพร้อมกันปรากฏ  แต่สัจธรรมวิถีทางตรงมีเพียงหนึ่ง ทางอื่น ๆ เป็นหนทางทั่วไป  ดังคำที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า  "แม้พบรากฐานจะบรรลุนิพพาน ไม่พบรากฐานเหมือนคลำทางบำเพ็ญ"  ผู้ใดแม้มิได้มีเหตุปัจจัยแห่งบุญกุศลลึกซึ้งมาก่อน  บรรพบุรุษ มิได้มีบารมีเสริมส่งมา ก็ยากนักที่จะได้พบ จึงกล่าวได้ว่า "ยากนักจักได้พบวิถีสัจธรรม"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

           คนเมื่อได้ "หนึ่ง" จะเป็นอริยะหมายความว่าอย่างไร

        เมื่อภาวะสูญตาอันสงบนิ่งเกิดการเคลื่อนไหว ทำใหเกิดจุดหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง ในมหาจักรวาล สุญญตาภาวะของ หนึ่ง คือ เต๋า  หรือธรรมะ  เต๋าหรือธรรมะ เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องต่อไปให้เกิดสรรพสิ่ง จากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่  เป็นหมื่นแสนมิรู้จบ ฟ้าได้ความเป็นหนึ่งฟ้าสงบใส  พื้นโลกได้ความเป็นหนึ่งพื้นโลกจะสงบสุข คนได้ความเป็นหนึ่งคนจะเป็นอริยะ ดังที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า  "รู้แจ้งเห็นจิตแท้ธรรมญาณ  แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นหนึ่ง"
ท่านเหลาจื้อได้โปรดสอนว่า "บำเพ็ญจิตฝึกธรรมญาณ ประคองธาตุกำเนิดรักษาความเป็นหนึ่งไว้"......
ท่านขงจื้อก็ได้โปรดสอนว่า  "โน้มนำจิตกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณ  ประคองความเป็นกลางเข้าสู่ความเป็นหนึ่ง"...........
        หนึ่งคือภาวะหลักของสัจธรรม คนได้รับหลักสัจธรรม คือได้รับธาตุแท้ญาณเดิม ได้รับความเป็นหนึ่งของฟ้า จึงเป็นชีวิตของกายสังขาร ดังนั้น ภาวะเดิมของธรรมญาณอันกลมกลืนสว่างใส เป็นธรรมชาติธาตุเดียว ขณะอยู่ในครรภ์มารดาจึงไม่ต้องดื่มกิน  ไม่ีมีความคิดดำริวิตก  อาศัยการหายใจของมารดา เป็นกระแสเดียว จนเมื่อเกิดกายออกมาร้องแว้ กระแสของอิน หยังเข้าทางจมูก  ภาวะความเป็นหนึ่งจึงกลายเป็นสองไปทันที  ดังที่กล่าวแล้วว่าก่อนธรรมญาณจะอาศัยในกายเนื้อ ธรรมญาณวิภาวะเป็นหนึ่ง เมื่อเข้าอาศัยกายกำเนิดจึงมีผลของชะตากรรมกำหนดมาประกอบเข้าด้วยกัน  จึงเป็นชีวิตที่มีอิน หยัง คือมืด สว่าง ถูก ผิด ดี ร้าย ฯลฯ  ดังนั้น ธรรมญาณและชะตาชีวิตจึงสูญสิ้นความเป็นหนึ่ง เมื่อขาดความเป็นหนึ่ง ธรรมญาณจะกระจายระเริงไป เมื่อธรรมญาณระเริงไป ธรรมญาณก็มิได้สถิตอยู่กับญาณทวาร  ไปพ้นจากฐานของสริสัมภวะ ฐานนั้นจึงว่างเปล่า ปราศจาพลังสถิต  เมื่อธรรมญาณระเริงไปสู่นัยน์ตาก็ติดในรูป  ระเริงไปสู่หูก็ติดในเสียง  ระเริงไปสู่จมูกก็ติดกลิ่น  ระเริงไปสู่ปากก็ติดรส และวาจา  ระเริงไปสู่แขนขาก็ติดอาการ ระเริงไปสู่ผิวหนังก็รู้สึกเจ็บคันระเริงไปสู่รูขุมขนก็รู้หนาวร้อน ระเริงไปสู่อวัยวะช่องท้องก็รู้อิ่มรู้หิว 
ระเริงไปสู่จิตก็รู้ในกามคุณทั้งหก คือ รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  อารมณ์ 
ระเริงไปสู่มโนวิญญาณก็รู้อารมณ์ทั้งเจ็ดคือ ยินดี โกรธ โศก สุข รัก เกลียน อยาก 
        เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตจิตใจจึงร่อนเร่ เมามายเหมือนคนตาย เหมือนหลับฝัน  ถลำตัวมั่วหมก อยู่กับความวิตกทุกข์ภัย เมื่อชะตาชีวิตขาดความเป็นหนึ่งชะตาชีวิตจะตกวิบาก  วิญญาณจะถลำอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ ในกามคุณ จะจมอยู่กับสุรา นารี  จะฝังชีวิตไว้กับลาภสักการะ เมื่ออกจากกายสังขารก็จะเวียนว่ายต่อไปในรูปกำเนิดสี่ชีววิถีหก ไม่อาจกลับคืนสู่สภาวะความเป็น หนึ่ง แห่งธาตุแท้ธรรมญาณได้
เมื่อฟ้าขาดความเป็น หนึ่ง  ดาวเดือนจะผิดระบบการโคจร
เมื่อแผ่นดินขาดความเป็นหนึ่ง ภูเขาจะถล่มแผ่นดินจะทลาย 
เมื่อคนขาดความเป็นหนึ่งจะตกไปสู่วัฏจักรของการเวียนว่าย
จิตเดิมแท้ของธรรมญาณ เป็นภาวะหลักของสังขาร  คำว่า  หลัก  อักษรจีนเขียนว่า  หลี่
เมื่อหลักขาดความเป็น หนึ่ง อ่านว่า ไหม          แปลว่า ถูกฝัง
มีความเป็นหนึ่งจึงเป็น หลัก  ดังคำกล่าวที่ว่า "มีหลักท่องไปได้ในโลกกว้าง  ขาดหลักไปได้ยากนักแม้สักก้าวเดียว"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17/10/2011, 18:44 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

                เหตุใดวิถีสัจธรรมจึงมีผู้ลบล้างทำลาย

        มีคำกล่าวว่า  "หากทำนองเพลงสูงส่งลึกล้ำ  น้อยคนจักร้องคลอได้" 
"เมื่อใดที่สัทธรรมปรากฏโดดเด่นจะถูกทำลาย"
" ผู้ที่บำเพ็ญคุณธรรมจะถูกวิจารณ์ลบล้าง"

        สัจธรรมยิ่งใหญ่วิเศษลึกล้ำจนมิอาจประมาณซึ่งคนทั่วไปยากที่จะคะเนถึงความแยบยลได้  จึงก่อให้เกิดความลังเลสงสัย วิจารณ์กล่าวร้ายเป็นธรรมดา ดังที่ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อได้กล่าวไว้ว่า "เราไม่ขุ่นเคืองแม้ใครจะไม่รู้แท้ในธรรมที่เราบำเพ็ญ ฉะนี้แล้ว เราก็คือกัลยาณชนหรือมิใช่"  วิถีสัจธรรมไม่ถูกกล่าวร้ายจะไม่เฟื่องฟู ดังที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า "ผ่านการถูกทำร้ายไปได้ครั้งหนึ่ง ก็จบสิ้นวิบากกรรมไปส่วนหนึ่ง"   ในครั้งที่ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อเดินทางแพร่ธรรมไปตามเมืองต่าง ๆ ผู้คนก็พากันกล่าวร้าย  ในที่สุดท่านก็บรรลุมรรคผลนิพพาน คงชื่อดีงามไว้ในโลกา มีผู้สร้างศาลบูชาท่านมากมายทุกมุมเมือง  ชาวจีนและชาวต่างชาติยกย่องเคารพบูชา  ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อกล่าวว่า "ตั้งแต่จื่อลู่เข้ามาเป็นศิษย์ คำขัดหูที่ลบล้างทำลายสัทธรรมก็หมดไป" จะเห็นได้ว่า สัทธรรมแท้ย่อมมีผู้ลบล้างทำลาย 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

            เหตุใดวิถีสัจธรรมยังจะมีการถูกทำลาย

        วิถีสัจธรรมเป็นหนทางที่ต้องฝืนเดิน (ฝืนโลกีย์) หนทางที่เดินง่ายคือเดินไปเป็นผี (ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปตามอารมณ์)  ผู้ฝืนเดินได้จะบรรลุเป็นพระพุทธะ ดังคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า "บำเพ็ญธรรมเปรียบดังปืนกระบอกไม่ไผ่ ลื่นลงไปง่ายแต่จะปืนป่ายขึ้นไปยาก"  พระพุทธะจี้กงก็ได้ตรัสไว้ว่า "อนุตตรธรรมล้ำลึกซ่อนเร้น แต่ก็เด่นชัด วิถีสัจธรรมต้องทดสอบจริงจึงเห็นใจจริง" ดังคำกล่าวที่ว่า "หยกแม้มิได้เจียระไนไม่เป็นรูป ทองแท้มิได้หล่อหลอมก็ไร้ราคา" ศาสนาเต๋าของท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อ   ให้ฝึกปรือเคี่ยวกรำทั้งบุ๋นและบู๊ คือทั้งปัญญาและอาการสังขาร
ศาสนาปราชญ์ของท่านบรมครูขงจื้อ  ให้ขัดเกลากระดูกที่แข็งดั่งหิน (สันดานหยาบ) ของตน 
        ทั้งนี้เพื่อทดสอบความมั่นคงของจิตในการบำเพ็ญเท่านั้น  ในครั้งที่ท่านบรมครูขงจื้อเดินทางไปแพร่ธรรมยังเมืองต่าง ๆ ท่านต้องประสบวิบากกรรม ถูกกักกันอยู่ที่ชายแดนระหว่างเมืองเฉินกับเมืองไซ่  แต่ท่านกลับกล่าวว่า

"ไม่ขึ้นภูเขาสูง ไม่รู้ภัยที่จะหงายหลังตกลงมา"
"ไม่อยู่ริมน้ำลึก ไม่รู้ภัยของการจมน้ำ"
"ไม่อยู่ริมทะเลใหญ่ ไม่รู้ภัยของคลื่นลม"
"กล้วยไม้เกิดอยู่ในป่าสงัด  มิเป็นด้วยขาดผู้คน จึงไม่ส่งกลิ่นหอม
"กัลยาณชนบำเพ็ญธรรมตั้งมั่นในคุณความดี มิเป็นด้วยลำเค็ญจึงผิดข้อสำรวม" 
 
        เมื่อพ้นจากการถูกกักกันแล้ว ท่านบรมครูขงจื้อได้หันมาทางศิษย์สองสามคน ที่ร่วมวิบากกรรมด้วยกัน ในที่นั้นแล้วกล่าวว่า
 "เหตุการณ์ที่ชายแดนระหว่างเมืองเฉินกับเมืองไซ่ เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเรา และเป็นที่น่ายินดีสำหรับเจ้า ทั้งสองสามคนด้วย"   
"พึงรู้ไว้ว่าการถูกทิ่มแทงนั้นเป็นเหตุเบื้องต้นให้เกิดมานะต่อสู้ ผู้ที่ได้รับความสำเร็จมีหรือที่จะไม่เริ่มจากจุดนี้"

        ท่านปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวไว้ว่า

"เมื่อเบื้องบนจะมอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ใดนั้น จะต้องเคี่ยวกรำจิตใจ ให้เขาทุกข์ร้อน บั่นทอนแรงกายของเขให้เหนื่อยนัก ให้สังขารต้องหิวกระหายให้ยากไร้ไม่มีอะไรติดตัว"

        การถูกทดสอบเป็นพระมหากรุณา ฯ ที่เบื้องบนต้องการจะเสริมสร้าง เปรียบได้ดังจังหวัดคัดเลือกนายอำเภอ ผู้สมัครสอบจะต้องมีคุณวุติตามกำหนดมิใช่คนทั่วไปจะสมัครสอบได้ 

 ท่านบรมครูขงจื้อได้กล่าวไว้ว่า
"ไม้ผุไม่อาจนำมาสลักเสลาได้  กำแพงที่ก่อด้วยมูลดินโสโครกมิอาจฉาบสีได้"

        คนที่มีพุทธะบารมีสูงส่ง เบื้องบนจะโปรดทดสอบ หากมิใช่คนระดับนี้แล้วไซร์ มีหรือที่เบื้องบนจะทดสอบเสริมสร้าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

               @   องค์ธรรมอันศักดิ์สิทธิ์วิสุทธิ์

        หลักสัจธรรม เป็นศูนย์พลานุภาพเป็นหลักที่กำหนดกำเนิดฟ้าดิน และสรรพสิ่ง ศูนย์พลังนั้นเป็ฯที่สุดแห่งความลุ่มลึก กว้างใหญ่ไพศาลจนมิอาจประมาณได้ เป็นที่สุดแห่งความสงบนิ่ง  เป็นที่สุดของคุณวิเศษ ใสสว่างอันวิสุทธิ์ เป็นที่สุดแห่งความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ เราจึงถวายพระนามสดุดีว่า "พระผู้เป็นเจ้า" ถวายพระนามว่า "พระผู้ปกเกล้าเหล่าธรรมกาล"  พระศักย - พลานุภาพที่ก่อกำเนิดฟ้าดินให้สรรพสิ่งเจริญงอกงาม พระองค์จึงเป็นพระแม่ของสรรพสิ่ง เราจึงถวายพระนามเทิดทูนว่า "พระแม่องค์ธรรม"  ในคัมภีร์ซื่ออิงบทต้าเอี่ย บันทึกไว้ว่า "ฮ่องเต้อินโจ้วแห่งราชวงศ์ซัง  เมื่อครั้งที่ยังมิได้สูญเสียความสวามิภักดิ์จากประชาราษฏร์ พระองค์ทรงมีพระทัยดำริสอดคล้องกับพระผู้เป็นเจ้า  ในพระคัมภีร์ซือจิงบทเสี่ยวเอี่ย ก็มีคำเทิดทูนพระนามพระผู้กำหนดกำเนิดฯไว้ว่า "เอกองค์พระผู้เป็นเจ้า" พระผู้เป็นเจ้าจึงหมายถึง พระองค์จึงเป็นที่สุดแห่งความสู.ส่งและศักดิ์สิทธิ์ ฟ้าดินตะวันเดือน สรรพชีวิตสรรพสิ่งที่บังเกิดมี อีกทั้งความเป็นความตาย  ความผันแปร ล้วนอยู่ในความควบคุมของพระองค์ มิฉะนั้น โลกนี้จะหยุดนิ่ง  สรรพสิ่งจะถึงกาลสิ้นสุด  ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าโลกเจริญด้วยวัตถุ  ผู้คนจึงไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธะอริยะ รู้แต่ว่าทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เข้าใจว่าทุกอย่งเกิดขึ้นได้ด้วยการคิดค้นของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลง  สร้างสรรค์ด้วยความสามารถของคน ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นแท้จริงใครเป็นผู้สร้าง  ความสามารถของมนุษย์นั้น ได้รับประสิทธิ์ประสาทมาอย่างไร พลังงาน เสียง แสง ไฟฟ้า หรือสารเคมี ใครกำหนดกำเนิด  ไฟฟ้าในอากาศทำให้เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือเมฆกลับกลายเป็นน้ำฝนและอื่น ๆ กระบวนการเหล่านี้ ใครกำหนดความเป็นไป คนได้แต่สรุปว่า เป็นผลจากธรรมชาติ ซึ่งมิได้รู้ลึกซึ้งถึงแก่นของความเป็นจริง จึงมิอาจเข้าใจในหลักสำคัญได้ หลักสัจธรรมของธรรมะเชื่อได้หรือไม่ ธรรมญาณของคนเราเชื่อได้หรือไม่ว่ามีจริงเมื่อเห็นแสงแดดเราจึงรูว่ามีดวงตะวัน  เห็นคนจึงรู้ลักษณะสังขาร  เห็นลูกหลานจึงรู้ว่าเขามีบรรพบุรุษ  ดังนั้น เมื่อเห็นสรรพสิ่งที่เกิดท่ามกลางฟ้าดินและสรรพสิ่ง เมื่อดื่มน้ำเราจึงรู้ว่า จะรำลึกถึงต้นกำเนิดแห่งน้ำ ย้อนรำลึกขึ้นไปถึงเมื่อครั้งเริ่มมีมนุษย์ชาติเกิดขึ้นในโลกนี้ (ตามกำหนดกาลของโลกยุคนั้นเป็นบรรจบกาลเกณฑ์ขาล)  คนเราเริ่มมีพ่อมีลูกสืบ ๆ กันต่อมาไม่ขาดสาย  บัดนี้เรารู้แต่บรรพบุรุษตน แต่มิรู้บรรพบุรุษต้นกำเนิดของมนุษยชาติ ธรรมญาณของเราเมื่อพ้นกายสังขารนี้แล้วจึงกลับมาเกิดในกายสังขารตัวใหม่  เป็นเช่นนี้เรื่อยไป  เราจึงรู้จักแต่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดกายสังขาร  แต่มิรู้พระแม่องค์ธรรมที่ให้กำเนิดธรรมญาณ สะท้อนใจนักกับจิตใจของคน ที่นับวันจะอับแสง โลกธรรมที่นับวันจะจมลง  มนุษย์ล้วนหลงลืมต้นกำเนิดของชีวิตตน จึงต้องเวียนว่ายตายเกิด  ยึดเอาแต่สิ่งที่นัยน์ตามองเห็นเป็นของจริง  มองไม่เห็นก็ว่าไม่มี เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ จะเห็นแต่สัตว์น้ำด้วยกัน เหมือนคนที่อยู่กับบรรยากาศของโลก จึงมองเห็นแต่รูปวัตถุ สิ่งสำคัญใหญ่ ๆ ของฟ้าดินนี้ ยังมีอีกเหนือประมาณไม่สิ้นสุด แต่ความรู้ของคนมีขีดจำกัด 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                @   วิถีธรรมในไตรยาน

        ยาน  คือธรรมนาวาที่จะพาผู้ปฏิบัติธรรมกลับไปสู่ฝั่งนิพพาน  ยานแบ่งออกเป็นสามระดับของการบำเพ็ญ คือ สูง กลาง ต่ำ  ดังนั้นในการเรียนรู้จึงแบ่งออกเป็นหลายวิธี  เช่น รู้โดยพลัน  ค่อยเรียนรู้ไป  รู้เฉพาะกาล และรู้เที่ยงแท้  วิถีธรรมจริงมีพงศาธรรมสืบต่อกันมา  มีกำหนดกาลแฝงเร้น  มีกำหนดกาลปรากฏชัดเจน ถ่ายทอดโดยช้ให้เห็นจิตแท้โดยตรง ถ่ายทอดจากปากประทับไว้ในจิตเป็นการเฉพาะ หนึ่งจุดให้บรรลุความเป็นพุทธะ  ก้าวเดียวให้ล่วงพ้นวัฏสงสาร  บรรลุสู่ชั้นนิพพาน เช่นนี้เรียกว่ารู้โดยฉับพลัน  ผู้ได้สดับจักบรรลุความเป็นพุทธะอริยะ เป็นคุณวิเศษอันเร้นลับ ซึ่งมิได้โปรดให้ถ่ายทอดแต่โบราณกาลมา  ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อได้กล่าวไว้ว่า "เช้าได้สดับวิถีธรรม เย็นตายไม่ห่วงเลย"  ดังที่กล่าวมานี้ เป็นวิถีแห่งญาณระดับสูง  ส่วนการทำสมาธิ การเวียนธรรมจักรในกายตน การเวียนพลังธาตุรอบกาย การกำหนดลมปราณยักย้ายจากส่วนล่างไปสู่ส่วนบน ฯลฯ ฝึกฝนทั้งกายธาตุและพลังธาตุจนเป็นหนึ่งเกิดอินเกิดหยัง คือความมืดความสว่างได้ แม้จะโชคดีฝึกฝนได้จนสำเร็จ  แต่ก็เป็นผลของการบำเพ็ญที่ยังตกอยู่ในภาวะของอินหยัง คือเวียนว่ายเกิดดับ  ยังเป็นการบำเพ็ญที่เกิดจากความศรัทธาไปสู่ความเข้าใจ จากความเข้าใจไปสู่การปฏิบัติ จากการปฏิบัติไปสู่ประจักษ์รู้ เช่นนี้เรียกว่าค่อยเรียนรู้ไป จนกว่าจะถึงจุดของความว่าง ผู้บำเพ็ญในลักษณะนี้จะบรรลุได้ในชั้นเทวโลก คือมรรคผลระดับกลาง  สำหรับการบำเพ็ญด้วยวิธีการสวดมนต์ภาวนา
สร้างบุญทานบารมีภายนอก เช่น สร้างถนน สร้างสะพาน ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ยากไร้และอื่น ๆ เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยแห่งบุญวาสนา ที่จะพาตนกลับเวียนว่าย เกิดมาเสวยสุขใหม่ในชาติหน้า  จนกว่าผลบุญวาสนาจะหมดสิ้น แล้วเวียนว่ายในวัฏสงสารต่อไป ดังในพระคัมภีร์ที่ว่า "หากถามเหตุแห่งกรรมที่ทำมาในชาติก่อน ดูได้จากผลของกรรมที่กำลังได้รับอยู่ในชาตินี้ " แรงแห่งบุญวาสนาจึงอุปมาดั่งยิงธนูขึ้นฟ้า เมื่อกำลังที่ยิงถึงที่สุด ธนูก็ตกลงสู่พื้นดินเช่นเดิมผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในลักษณะนี้ จะสำเร็จเป็นนักบุญคนดี มิอาจบรรลุอรหัตผล เป็นยานระดับต่ำ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                   @   รับวิถีธรรมแล้วพึงบำเพ็ญเช่นไร

        ธรรมะ เมื่อสำรวมไว้ในใจ เป็นกุศลจิต  เมื่อแสดงออกเป็นคุณสัมพันธ์ หากมีแต่ภาวะธรรมอยู่ภายใน แต่ขาดคุณงาม มารจะผจญ ดังคำที่ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อกล่าวไว้ว่า "แม้ขาดคุณงามอันยิ่งใหญ่ จะไม่อาจรักษาสภาวะธรรมอันสูงส่งแห่งตนจนบรรลุได้"  คุณงามคือบารมี  สร้างบุญคือสร้างคุณงาม จึงพึงสงเคราะห์ผู้คน สร้างคุณต่อสรรพสิ่ง มีน้ำใจฉุดช่วยกอบกู้ชาวโลกให้พ้นจากทุกข์ภัย ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาทั้งสามด้วยความเคารพอย่างจริงจัง การคัดลอกพระธรรมโอวาท จัดตั้งพุทธสถาน แพร่คำเตือนโน้มนำกล่อมเกลาผู้คน บุกเบิกเผยแพร่ธรรม ประกาศสัจธรรมคำสอนให้กว้างไกล เปิดใจคนหลงให้เกิดปัญญา  ส่งเสริมกล่อมเกลาให้เขาบรรลุมรรคผลได้ เป็นบุญกุศลมิใช่น้อย  เมื่อบุญบารมีภายนอกเสริมสร้างได้พร้อมแล้ว กุศลจิตภายในก็จะสมบูรณ์ใสไปด้วย  ในส่วนของการดำรงตนทางโลก การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งทรัพย์สิ่งของเงินทอง และกำลังความสามารถ หากเป็นเรื่องเล็กน้อย กำลังเฉพาะตนช่วยได้ก็ช่วยไป  ถ้าเป็นเร่องใหญ่ให้รวบรวมกัน ร่วมกันสงเคราะห์ให้เหมาะกับกาลเทศะ บุคคล และเหตุอันควร โน้มนำให้เกิดคุณในทุก ๆ ด้าน    คนที่เป็นพ่อให้เกิดเมตตาคุณ   คนที่เป็นลูกให้มีกตัญญุตาคุณ   คนที่เป็นพี่ให้มีมิตรไมตรีคุณ   คนที่เป็นน้องให้มีสัมมาคารวะคุณ   สามีภรรยากันให้มีฉันทคุณ   เพื่อนพ้องให้มีสัตยคุณ     เจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้มีความยุติธรรมและสุจริตคุณ   แปรบาปให้เป็นบุญ   แปรคนโง่หลงให้เป็นปัญญาชน
        จึงนับเป็นการสร้างบุญที่แท้จริง  มิได้ทำไปด้วยหวังชื่อเสียงอวดตน มิได้แสดงอาการหรือน้ำเสียงเกรี้ยวกราด  หากทำไปเพื่อหวังชื่อเสียง มิจัดว่าเป็นบุญ  แม้ตักเตือนผู้คนด้วยโมหะ โทสะ  จะขาดคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญธรรม

                         @  โปรดสามโลกทั่วไปคืออย่างไร

        วิถีอนุตตรธรรมมีขอบข่ายของการฉุดช่วยจิตญาณทั้งหลายอย่างกว้างขวาง ในเบื้องบนสามารถฉุดช่วยเทพเจ้า แห่งดวงดาวต่าง ๆ อีกทั้งเทพเทวาทั้งหลายในชั้นเทวโลก  ในเบื้องกลางสามารถฉุดช่วยชาวโลกหญิงชายเหลือคณานับ ส่วนเบื้องล่างก็สามารถฉุดช่วยผีนรกทั้งหลาย เช่นนี้เรียกว่าฉุดช่วยพร้อมกันทั้งสามโลก

                         @  เบื้องบนฉุดช่วยเทพเจ้าแห่งดวงดาวต่าง ๆ อย่างไร

        บัดนี้  เป็นกำหนดกาลยุคสามมหันตภัยสุดท้ายของโลก พระพุทธาทั้งสามพระองค์   ( พระทีปังกรพุทธเจ้าแห่งธรรมกาลยุคเขียว   พระศากยะพุทธเจ้าแห่งธรรมกาลยุคแดง   และพระศรีอริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าแห่งธรรมกาลยุคขาว )   ( พระศรีอาริย์  พระพุทธะจี้กง  และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ) ร่วมกันสนองพระโองการ ฯ เก็บงานขั้นสมบูรณ์  จึงได้มีการปรกโปรดฉุดช่วยทั้งสามโลกอย่างกว้างขวางเกิดขึ้น ด้วยเหตุที่ผู้บำเพ็ญแต่เก่าก่อนมา ผู้อุตส่าห์ทำสามธิฝึกจิต กำหนดลมปราณ ฯ ล้วนแต่ยังมิได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ประทานถ่ายทอดวิถีจริงให้คืนกลับนิพพานได้  อีกทั้งขันนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน  ลูกกตัญญู  วีรสตรี  และหญิงหม้ายที่รักนวลสงวนตัว เมื่อตายไปแล้วก็มิอาจถูกลบลืมความดีงามได้ แม้จะได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเทวาในชั้นเทวโลกหรือเป็นใหญ่ในเมืองผี แต่หากมิได้รับวิถีอนุตตรธรรมก็ยังยากที่จะพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่อาจคืนสู่ต้นกำเนิดเดิมได้ บัดนี้ ถึงกำหนดกาลยุคสามมหันตภัยสุดท้าย วิถีอนุตตรธรรมได้โปรดถ่ายทอดฉุดช่วยทั่วไป ดังนั้นเทพเทวาทั้งหลายในชั้นเทวโลกจึงมักจะติดตามพระบาทพระุพุทธอรหันต์มาสู่พุทธสถานหรือปรากฏบุญญาธิการไปทั่ว เพื่อค้นหาผู้เคยมีบุญสัมพันธ์กันมาเมื่อชาติก่อน ให้คนเหล่านั้นเป็นผู้เชื่อมโยงนำพาและรับรองให้ได้ขอรับวิถีอนุตตรธรรมด้วย เพื่อพระองค์จะได้คืนกลับนิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตลอดไป ดังนั้น การจะฉุดช่วยเทพเจ้าแห่งดวงดาวจึงเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าการฉุดช่วยคน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @   ยุคที่สามมหันตภัยสุดท้าย คืออย่างไร

        เริ่มจากกำหนดกาลของฟ้าดินนี้ จนถึงกาลสิ้นสุดของฟ้าดินนี้ ถือเป็นอุบัติกาล (เอวี๋ยนธรรมกาล) ใหญ่  หนึ่งอุบัติกาลใหม่แบ่งเป็นสิบสองบรรจบกาล (ฮุ่ย)  โดยใช้สิบสองนักกษัตร คือ ชวด ฉลู ขาล เถาะ ฯลฯ  เป็นชื่อบรรจบกาลนั้น ๆ  หนึ่งบรรจบกาลเท่ากับหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี  ในแต่ละช่วงเวลาหนึ่งบรรจบกาล เนื่องจากเกิดความผันผวนของสภาวการณ์ต่าง ๆ จึงก่อให้เกิดภัยพิบัติอันเป็นชะตากรรม บัดนี้ เวลาของบรรจบกาลมะเมียได้สิ้นสุดลง และเริ่มต้นเข้าสู่บรรจบกาลมะแม กำเนิดของฟ้าดินในอุบัติกาลนี้ ประมาณได้หกหมื่นปี หลังจากที่พระอริยเจ้าได้อุบัติแล้วในโลกนี้ จึงได้แบ่งเวลาบรรจบกาลมะเมียกับมะแมออกเป็นสามยุคคือ
1.  ยุคเขียว   เป็นสมัยพระอริยเจ้าฟู่ซี
2.  ยุคแดง    เป็นสมัยพระเจ้าอุ๋นอ๋วง
3.  ยุคขาว    เป็นสมัยบรรจบกาลมะเมียคาบเกี่ยวมะแม
        คนดีจะได้เข้าสู่วิถีธรรม ส่วนคนชั่วคนบาปก็ตกไปสู่ภัยพิบัติ นับจากบรรจบกาลที่สาม (ขาล) ที่คนได้ถือกำเนิดมาในโลกจนบัดนี้ ธรรมกาลเดิมได้เกิดกายมาในโลกครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะหลงอยู่ในโลกีย์วิสัยอันเป็นภาพมายา ไม่รู้จิตญาณแห่งตน ไม่รู้กำเนิดที่มา และไม่รู้จักหาหนทางคืนกลับ กลับหลงลึก เลวลง เมื่อคนมีเล่ห์ร้ายจนถึงที่สุดเช่นนี้แล้ว จึงก่อให้เกิดมหันตภัยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเรียกได้ว่า "ยุคที่สามมหันตภัยสุดท้าย"

                     @  การจะฉุดช่วยวิญญาณผีทำได้อย่างไร

        คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ และปรองดองกับพี่น้องเป็นพื้นฐาน ในคัมภีร์กตัญญุตาธรรมกล่าวว่า "การดำรงตน  (ให้พ้นจากเหตุของการเวียนว่ายต่อไป ด้วยการดำเนินธรรม  (สำรวม  ปฏิบัติ  แพร่ธรรม)  ไว้ชื่อ ระบือนาม เชิดชูเกียรติประวัติของบิดามารดา เป็นที่สุดของความกตัญญู" ใครที่ไม่อยากบกพร่องในกตัญญุตา ขณะมีชีวิตอยู่พึงแสดงความเคารพ กตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริง  เมื่อพ่อแม่สิ้นแล้วยิ่งจะต้องบำเพ็ญจริง สร้างบุญกุศลฉุดช่วยดวงวิญญาณของท่านให้พ้นจากความทุกข์ของการเวียนว่ายในวัฏสงสารตลอดไปอีกทั้งได้กลับขึ้นไปเสวยวิมุติสุข ณ โลกุตรสถานอันสงบ ลูกหลานที่คิดจะฉุดช่วยดวงวิญญาณของพ่อแม่ บรรพชนเจ็ดชั่วคน หรือฉุดช่วยบุตรหลานอีกเก้าชั้น จะฉุดช่วยอย่างไรจุงจะบรรลุเป้าหมาย นั่นก็คือจะต้องศรัทธาบำเพ็ญเสมอต้นเสมอปลาย  เสริมสร้างบุญกุศล แสดงความจริงใจต่องานธรรมะ  เช่นนี้  จึงจะฉุดช่วยได้ ดังคำที่ว่า  " ลูกหนึ่งคนได้เข้าสู่ประตูอนุตตรธรรม  บรรพบุรุษอีกเก้าชั้นก็ได้รับการเชิดชู"  ลูกหนึ่งคนได้บรรลุธรรม  บรรพบุรุษเก้าชั้นก็หลุดพ้นเลื่อนชั้นตามไป"

                      @  ในพระอนุตตรธรรมโอวาท มักจะกล่าวถึงคำว่า " ไก่ทองขันครั้งที่สาม " คืออย่างไร

        ทองเป็นหนึ่งในธาตุทั้งห้า ตามหลักคำนวณโป๊วก้วยแต่โบราณมา สัญญลักษณ์ธาตุทองอยู่ในตำแหน่งทิศตะวันตกจึงกลาวว่า ธาตุทองทิศตะวันตก  ในสิบสองนักกษัตร ระกาหมายถึงไก่ ระกาก็เป็นสัญญลักษณ์หนึ่งในกำหนดสิบสองชั่วยามของจีน ระกาเป็นยามที่สิบ คือ ระหว่างเวลา 17.00 - 19.00 น.  เวลาระกาจึงเป็นเวลาที่ดวงอาทิคย์ลับหายไปทางทิศตะวันตก ไก่ทองจึงหมายถึงทิศตะวันตก  ทิศตะวันตก เป็นธาตุทอง  ธาตุทองเป็นสีขาว  โดยหลักคำนวณโป๊วก้วย กำหนดกาลของโลกตกอยู่ในตำแหน่งธรรมกาลยุคขาว พระธรรมาจารย์สมัยที่สิบเจ็ด ซึ่งเป็นพระภาคหนึ่งของพระศรีอริยเมตตรัยได้ถืออุบัติขึ้น รับพระภาระปกครองธรรมกาล ฉุดช่วยธรรมญาณทั้งหลาย กลับคืนนิพพานอันเป็นสถาเดิมของเราในครั้งนี้ พระองค์ได้รับอริยฐานธจากเบื้องบนว่า "  " จินกงจู่ซือ "  คือ  " พระบรรพจารย์ทอง "  ซึ่งตรงกับหลักคำนวณของโป๊วก้วยในตำแหน่งระกาหรือธาตุทอง  " ขันสามครั้ง "  หมายถึง กำหนดกาลมหันตภัยสุดท้ายในยุคที่สาม  พระองค์จะอุบัติมาโปรดประทานพระโอวาท ในครั้งที่สามการถ่ายทอดวิถีธรรมจะกระจ่างแจ้ง จึงได้มีคำกล่าวว่า " ไก่ทองขันสามครั้ง "  ซึ่งก็หมายความว่า วิถีอนุตตรธรรมจะปรากฏชัดเจน เมื่อถึงกำหนดกาลนั้น ธรรมะกับภัยพิบัติจะครอบคลุมโลกมนุษย์พร้อมกัน วิถีธรรมจะแผ่ไพศาล   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

        @   คนเราดื่มกินอย่างเดียวกัน แต่เหตุใดบ้างจึงเจ็บป่วยไม่ขาด แต่บางคนไม่เป็นอะไรเลยทั้งปี ๆ

        คนเรามีเลือดเนื้อเป็นกายสังขาร มีหรือที่จะไม่เกิดทุกข์ภัย แต่โรคภัยไข้เจ็บใหญ่มักเกิดจากกรรมสนอง ส่วนการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นเกิดจากการละเลยไม่ดูแลสุขภาพของตนเอง พญายมจึงมีสมุนปีศาจฝ่ายแพร่โรคระบาด บนเทวโลกจึงมีเทพเจ้าฝ่ายเพทภัยซึ่งล้วยปฏิบัติไปตามพระบัญชา ความเจ็บป่วยมิใช่เกิดจากความผิดพลาดของความหนาวร้อนของร่างกายเท่านั้น อารมณ์ยินดี  โทสะเสียใจ  เป็นสุข  รักชอบ  โกรธเกลียด ฯ  หรือตัณหาที่เกิดจากรูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส  นึกคิด  เหล่านี้ก็ล้วนเป็นเหตุให้เกิดเจ็บป่วยได้ ร่างกายของคนเรา ไม่เพียงแต่ถูกทำลายด้วยอาหารการกิน ถูกทำลายด้วยตัณหาราคะของตน แม้แต่ความโลภ  หลงไม่รู้จักพอ  หรือผิดหวังในสิ่งที่ต้องการ ฯ  ก็เป็นภัยร้ายแรงแก่สุขภาพอย่างยิ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า
 " ใจสบายกระท่อมหญ้าคาก็น่าอยู่ 
 จิตสงบน้ำแกงผักหญ้าก็ว่าหวาน "
         ในคัมภีร์ต้าเสวียกล่าวไว้ว่า
" ความร่ำรวยช่วยให้บ้านดูหรูหรา
 คุณความดีช่วยให้กายงดงาม 
ใจกว้างช่วยให้ใจสมบูรณ์ "
        ฉะนั้น  กัลยาณชนจึงพึงวางตน จะกล่าววาจาให้รู้สัจจะ ทำการใดให้ระวังผิดพลาด ครึ่งหนึ่งทำเต็มกำลังความสามารถ ครึ่งหนึ่งล้วนแต่กำหนดของเบื้องบน  พึงรู้ว่าสิ่งซึ่งพึงมีได้ในชีวิตของเราฟ้ามิอาจช่วงชิง  สิ่งที่ฟ้าประทานให้ ใครก็มิอาจปฏิเสธ  จึงมีคำกล่าวว่า "กัลยาณชนรู้ครองชีวิตโดยสงบ" ในครั้งสามก๊ก เมื่องลั่วหยังเกิดยุคเข็ญอดอยาก ความหิวกระหายปรากฏอยู่บนใบหน้าของประชาชนทั่วเมือง มีเพียงคนเดียวที่ใบหน้ายังคงอิ่มเอิบเป็นปกติโจโฉ จึงถามหาสาเหตุ คนผู้นั้นตอบว่า "ข้าพเจ้าตัดกิเลส กินเจมาสามสิบปีแล้ว" ฉะนั้น ผู้ตั้งใจบำเพ็ญ ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ หอม กระเทียม สุรายาเมาอย่างบริสุทธิ์ได้ โลหิตก็จะบริสุทธิ์ โรคภัยไข้เจ็บก็จะลดน้อยลงได้เอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @  ได้รับวิถีธรรมแล้วอยากก้าวหน้าควรเริ่มต้นอย่างไร

        อยากจะก้าวหน้า จะต้องเริ่มด้วยตั้งความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอน เพราะความเชื่อมั่นเป็นฐานของการบำเพ็ญ เป็นต้นกำเนิดของบุญกุศล คนที่ขาดความเชื่อมั่น แม้ดูฤกษ์ยามดวงชะตาหาแม่นไม่ อย่าว่าแต่การบำเพ็ญ พึงรู้ว่าทุกคนเป็นธรรมญาณอันวิเศษสมบูรณ์เช่นเดียวกับธรรมญาณของพระอริยะผู้บรรลุทั้งหลายแต่เหตุที่บ้างก็หลง บ้างก็สำนึกรู้ จึงได้ต่างกันไป เรามีศรีษะทรงกลม มีฝ่าเท้าแบนราบ ลักษณะเปรียบได้ดังท้องฟ้าและแผ่นดิน เรามีลมหายใจเข้าออกเป็นลักษณธอิน - หยัง ในธรรมชาติ นัยน์ตาทั้งสองเปรียบดังตะวันเดือน ( มีปอดเป็นธาตุทอง  ไตเป็นธาตุน้ำ   ตับเป็นธาตุไม้   หัวใจเป็นธาตุไฟ   และม้ามเป็นธาตุดิน )  เรามีอารมณ์ยินดี  โทสะ  โศกเศร้า  เป็นสุข  เปรียบได้ดังลมไฟ้าคะนอง เมฆและฝน  เรามีเมตตา  มโนธรรม  จริยธรรม  และปัญญา  เปรียบกับฟ้าเบื้องบนที่มี ธาตุแท้  แผ่ไพศาล   ปัจจการกำเนิด   อนุรักษ์  จิตบริสุทธิ์จากฟ้าหรือผู้ได้รับวิถีอนุตตรธรรมบำเพ็ญจิตกำเนิดแห่งตน เหมือนทารกไร้เดียงสาเป็นสภาวะเดียวกันกับฟ้าดิน พระอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น  จอมปราชญ์ขงจื้อ  เมิ่งจื้อ  มิได้กำเนิดต่างไปจากคนเรา ต่างกันแต่ว่า

ผู้รู้สัจธรรมของชีวิตได้บรรลุความเป็นพุทธะ
ผู้ฝืนต่อกฏสัจธรรมของชีวิตเป็นวิญญาณผี
นำพาบำเพ็ญจิต เรียกว่า ธรรมะ  อันเป็นหลักเที่ยงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

             @ #  พุทธานุภาพมิอาจประมาณ มีวิธีการสะดวกอย่างไรสำหรับผู้บำเพ็ญใหม่ จะได้ปฏิบัติต่อไปได้ตามขั้นตอน

        ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ สอนให้โน้มนำจิตสำนึกกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณฯ ซึ่่งผู้บำเพ็ญใหม่สามารถปฏิบัติได้ทันที ด้วยเหตุที่โน้มนำจิตไปสู่ความดีงาม จึงได้บรรลุสู่หนทางบุญ แต่หากโน้มนำจิตไปสู่ความชั่วก็จะนำภัยมาสู่ตน  โน้มนำจิตไปสู่ความสงบก็จะพาให้อายุวัฒนะ ประคองจิตใว้ ณ จุดญาณทวารอันเป็นประตูวิเศษเรียกว่า " กัลยาณชนรู้รักษาความเป็นกลาง  (มโนธรรม) อยู่ทุกขณะ " เมื่อกล่อมเกลี้ยงญาณโน้มนำจิตได้แล้ว จะไม่เป็นเช่นที่ท่านจอมปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวหรือว่า " สิ่งที่กัลยาณชนแตกต่างจากคนทั่วไปก็คือ การโน้มนำจิตของเขา " กัลยาณชนใช้เมตตาธรรมโน้มนำจิต  ใช้จริยธรรมโน้มนำจิต  เมตตาธรรมเป็นความรักที่ให้ต่อคนทั้งหลาย  จริยธรรมเป็นความเคารพที่แสดงต่อคนทั้งหลาย  คนที่ให้ความรักต่อคนทั้งหลายจะได้รักตอบเสมอ  คนที่แสดงความเคารพต่อคนทั้งหลาย จะได้ความเคารพตอบเสมอ  ผู้ศึกษาธรรม เพียงให้ใช้จิตสำนึกที่มีต่อธรรมะเพิ่มเติมเข้าไว้ในสองประการนี้เท่านั้นก็เหมาะแล้ว

Tags: