นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/09/2011, 02:06
-
ตำนานกตัญญู
คำนำ
มีคำกล่าวว่า "ความกตัญญูอยู่เหนือความดีทั้งปวง" "ความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี" ฯลฯ จากประวัติศาสตร์จีนอันยาวนานหลายพันปีที่ผ่านมาข้าแผ่นดินผู้ซื่อสัตย์ส่วนมาก มาจากลูกกตัญญู พระพุทธอริยเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่เคยมีพระองค์ใดเลยที่ขาดความกตัญญู ความกตัญญูจึงเป็นบรรทัดฐานของการปกครองบ้านเมือง เป็นบรรทัดฐานของการบำเพ็ญ ฯลฯ คนที่ก่อกรรม ทำผิดบาปชั่วร้าย ส่วนใหญ่จะเริ่มจากขาดความกตัญญู คนที่ไม่รู้คุณพ่อแม่ เขายังจะมีความสำนึกดีเหลือไว้ให้ใครได้อีก
จึงหวังว่า "ตำนานกตัญญู " เล่มบาง ๆ นี้ จะมีคุณประโยชน์บ้าง ในการปูพื้นฐานให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจต่อความกตัญญู อันจะเป็นทางนำไปสู่ความดีทั้งปวงต่อไป
ศุภนิมิต
แปลเรียบเรียง
-
ตำนานกตัญญู
1. วันละสามเวลา
ด้วย "ตำนานกตัญญู" นี้
ลูกขอกราบบูชา
คุณบิดามารดา
อีกทั้งกราบขอขมา
ที่ละเลย เคยไม่กตัญญู.....
ลูกร่ำรวย สูงศักดิ์ สักเพัยงไร
ยังรับใช้ เอาใจใส่ ในพ่อแม่
ไม่ทิ้งให้ ใครอื่นเขา เฝ้าดูแล
ท่านชะแง้ แลหาหรือ คือลูกตน
โจวอุ๋นอ๋องฮ่องเต้ได้รับการเฉลิมพระเกียรติว่า : "บารมีคุณยิ่งใหญ่" เพราะโอบอุ้มบ้านเมืองใกล้ไกลไว้ในความปกครองมากมาย ได้รับการเฉลิมพระเกียรติว่า
"กตัญญูยิ่งใหญ่" เพราะเอาใจใส่ทุกข์สุขของบิดามารดายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ทุกเช้า กลางวัน เย็น พระองค์จะต้องมาเยี่ยมเยียนดูแลความเป็นอยู่ของบิดามารดาเป็นประจำ
เมื่อรู้ว่าสุขสบายก็วางใจกลับไป แม้นไม่สบาย พระองค์ก็จะห่วงใยเอาใจใส่ดูแลยิ่งขึ้น จนกว่าบิดามารดาจะเป็นปกติ แม้แต่อาหารทั้งสามเวลาก็จะถามไถ่ชอบเสวยอะไร เหตุใดมื้อนี้จึงเสวยมากขึ้นหรือน้อยลง ฯลฯ ทุกอย่างที่ลูกกตัญญูพึงปฏิบัติต่อพ่อแม่ โจวอุ๋นอ๋องทำได้ครบถ้วน และดียิ่งกว่า เป็นเช่นนี้ทุกวันเวลาไม่เคยขาดราชวงศ์โจว จึงยั่งยืนสืบต่อมา นานถึงสามสิบเจ็ดรัชสมัย รวมเวลาแปดร้อยสามสิบเจ็ดปี นี่คือคุณบารมีที่โจวอุ๋นอ๋องฮ่องเต้ได้สร้างไว้ปรกแผ่ไปไกลถึงลูกหลาน
-
ตำนานกตัญญู
2. ถีอิ๋ง
ชีวิตนี้ ที่ได้มา กายสังขาร
พ่อแม่ท่าน เลี้ยงดูมา อย่าสงสัย
แม้สักวัน หากท่านมี อันตราย
จะยอมตาย ให้ท่านรอด ได้ปลอดภัย
ถีอิ๋ง เป็นบุตรีคนสุดท้องของขุนนางฉุนอวีอี้ ฉุนอวี๋อี้ได้ร่ำเรียนการแพทย์จากอาจารย์หยังผู้มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น ภายหลังจึงลาออกจากราชการ เที่ยวช่วยเหลือรักษาคนป่วยไข้ไปทั่ว เนื่องจากเป็นคนตรงชอบความยุติธรรม จึงเป็นเหตุให้ขัดผลประโยชน์ของขุนนางผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งเข้า ฉุนอวี๋อี้ จึงถูกกลั่นแกล้งจับตัวไปลงโทษในเมืองหลวงถีอิ๋งออกเดินทางทันที แม้หนทางนั้นจะยากเข็ญยาวไกล กว่าจะถึงเมืองหลวงฉางอินได้ กว่าจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้ ใจกายของเธอแทบแตกสลาย เธอรับรองต่อพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ว่า บิดาของเธิเป็นขุนนางมือสะอาด เป็นหมอที่สงเคราะห์คนเจ็บป่วยด้วยความเมตตา ครั้งนี้ถูกจับเพราะถูกปรักปรำใส่ร้าย เธอยินดีถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้ ขอให้ปล่อยตัวบิดาของเธอเสีย อีกทั้งของให้ฮ่องเต้ยกเลิกการลงโทษด้วยวิธีเชือดเฉือนตัดแขนขาเสียด้วย ฮ่องเต้รู้สึกชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวกตัญญูของถีอิ๋ง ยิ่งนัก เมื่อพิจารณาเห็นความแล้วก็ตัดสินใจปล่อยบิดาของเธอไป และประกาศยกเลิกการใช้อาญาโทษเชือดเนื้อเฉียนหนังจากนั้นเป็นต้นมา
3 : ค่าน้ำนม
ค่าน้ำนม ผสมเลือด ไม่เหือดแห้ง
เป็นสายใจ ไม่รู้ลืม เคยดื่มด่ำ
เคยซุกซุบ เคยอบอุ่น คุณควรจำ
ทุกทุกคำ ทุกค่ำเช้า เราเคยกิน
ครั้งหนึ่ง แม่นมของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทำผิด พระเจ้าฮั่นอู่ตี้โกรธมาก เตรียมการจะลงโทษหนัก แม่นมแก่เฒ่าแล้วกลัวการลงโทษมาก จึงขอให้ท่านราชเลขาตงฟังสั่ว ช่วยเหลือ ท่านราชเลขาฯแนะนำว่า "เมื่อฮ่องเต้จะตัดสินลงโทษไม่ต้องร้องขอหรือโต้แย้งอย่างไรทั้งสิ้น ให้มองฮ่องเต้ด้วยความรักเหมือนเมื่อครั้งพระองค์ยังเล็กอยู่ก็พอ" เมื่อฮ่องเต้เรียกตัวแม่นมมาจะลงโทษ แม่นมก็ได้แต่มองดูฮ่องเต้ นัยน์ตาละห้อย ท่านราชเลขาฯเห็นเช่นนั้น ก็แกล้งพูดเหน็บให้สะกิดใจฮ่องเต้ขึ้นว่า "อย่าเพ้อฝันไปเลยว่าฮ่องเต้จะอาทรถึงความหลังครั้งที่เสวยเลือดในอกของแม่นม" พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ แม้จะเด็ดเดี่ยวห้าวหาญเพียงไร เมื่อได้ฟังคำของตงฟังสั่ว ก็อดสะดุ้งในใจไม่ได้ จึงได้โปรดนิรโทษกรรมแม่นมในที่สุด
-
ตำนานกตัญญู
4. เทิดทูนบูชา
ถึงเวลา จะเลี้ยงดู ชูพ่อแม่
ท่านก็แก่ เฒ่าชรา หาอยู่ไม่
เสียการงาน ธนสารฯ หาได้ใหม่
หาไม่ได้ ให้ท่านฟื้น กลับคืนมา
กู้ที่ เคยเป็นแม่ทัพหนุ่มของเมืองอู่ในสมัยสามก๊ก ท่านมีนิสัยโผงผางตรงไปตรงมา ทำให้เพื่อนร่วมงานไม่ชอบหน้า จึงลาออกจากราชการด้วยความเบื่อหน่าย ในช่วงเวลาที่ลาออกจากราชการ กลับมาอยู่บ้านเดิมนั้น บิดาของท่านยังรับราชการเป็นนายอำเภออยู่อีกเมืองหนึ่ง กู้ที่ เป็นลูกกตัญญูที่เทิดทูนบูชาพระคุณบิดามารดามาก ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากบิดา ท่านจะรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หมดจด จัดโต๊ะให้เรียบร้อยกางจดหมายของบิดาไว้บนโต๊ะ คุกเขาอ่านอย่างนอบน้อม อ่านจบก็จะกราบด้วยสำนึกในพระคุณ เมื่อบิดาตาย ท่านเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ท่านเดินทางไกลนับร้อยลี้ไปจัดงานศพให้บิดา ท่านแขวนรูปบิดาไว้บนฝาผนัง ตั้งโต๊ะบูชา ทำการสักการะกราบไหว้ด้วยผลไม้น้ำชา ไม่เคยขาดทุกวันเช้าเย็นจนชั่วชีวิต ท่านจึงได้ชื่อว่า ลูกกตัญญู มาจนทุกวันนี้
ตำนานกตัญญู
5. ขวัญกำลังใจ
ใครเทิดทูน คุณพ่อแม่ แลล้ำเลิศ
ท่านกำเนิด เลี้ยงดูเรา เฝ้ารักใคร่
ให้ศึกษา อนาคต ทางสดใส
จงกราบไหว้ ไม่ลืมลบ นบบูชา
พันเอวี้ย เป็นนายอำเภอเมืองเหอหยัง เมื่อเยาว์วัยเคยได้รับสมญาว่าเด็กวิเศษ เพราะปัญญาปราดเปรื่องเกินใคร เมื่อไปรับราชการเมืองไกล พันเอวี้ยก้พามารดาไปด้วย เมื่อมีเวลาว่างจากงานราชการ พันเอวี้ยก็ลงมือปลูกต้นไม้จัดสวนดอกไม้เอง วันใดอากาศดีก็จะพาแม่ออกมาเดินเล่น นั่งเล่น ชมนกชมไม้ให้แม่เพลิดเพลินเจริญใจ แม่จึงไม่เบื่อหน่ายที่จากบ้านติดตามลูกมารับราชการเมืองไกล วันหนึ่งแม่ล้มป่วยลงด้วยโรคชรา คนเราเมื่อแก่เฒ่าเจ็บป่วยก็มักจะคิดถึงบ้าน อยากไปตายที่บ้านที่พ่อแม่ปู่ย่าของตนเคยอยู่ แม่ของพันเอวี้ยก็เช่นกัน ร่ำร้องทุกวันว่าอยากกลับบ้าน อาการป่วยก็ทรุดหนักลง พันเอวี้ยจึงตัดสินใจลาออกจากราชการ ผู้บังคับบัญชาและผู้น้อยต่างก็พากันขอร้องให้อยู่ต่อไปแต่พันเอวี้ยยืนกรานว่า "เมื่อแม่แก่เฒ่าไม่เฝ้ารับใช้ใกล้ชิด แม้สูงด้วยยศศักดิ์ แต่จักเป็นคนสมบูรณ์ได้หรือ" พันเอวี้ยเป็นขุนนางสุจริต จึงพาแม่กลับไปอยู่บ้านอย่างคนมือเปล่า ท่านปลูกผักไปขายเลี้ยงดูแม่ เลี้ยงแพะไว้รีดน้ำนมบำรุงร่างกายแม่ โรคชราที่น่าห่วงของแม่ก็หายคืนหายวัน เพราะขวัญกำลังใจ และความกตัญญูที่ลูกบำรุงให้นั่นเอง
-
ตำนานกตัญญู
6. รักตัวกลัวพ่อแม่เจ็บ
อันกายา จากเกศา ถึงปลายเท้า
พ่อแม่เรา เฝ้าถนอม ล้อมรักไว้
ป้องยุงลิ้น แม้บินผ่าน ไล่ให้ไกล
ท่านปวดใจ แม้ลูกเจ็บ เพียงเล็บเดียว
ลูกกตัญญูอีกผู้หนึ่งชื่อ ฟั่นเซวียน เกิดในสมัยราชวงศ์จิ้น เมื่อเยาว์วัยอายุได้สิบปี ก็มีความซาบซึ้งต่อพระวจนะของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อที่ว่า "ร่างกายตัวเรา ตั้งแต่เส้นผมจนถึงปลายเท้า เป็นสมบัติที่พ่อแม่ให้มา มิกล้าทำลายให้เสียหาย" ฟั่นเซวียน นอกจากจะว่าง่ายกตัญญูรับใช้พ่อแม่ แล้วยังระมัดระวังตัว ไม่ทำอะไรที่ล่อแหลมเป็นอันตรายต่อตัวเองอีกด้วย วันหนึ่ง ขณะที่เด็กขายฟั่นเซวียนนั่งเหลาไม้ใฝ่ทำตะเกียบอยู่ มือที่ถือมีดเกิดพลาด บาดนิ้วชี้ซ้ายไปหน่อยหนึ่งเลือดออกซิบ ๆ ฟั่นเซวียน น้ำตาไหลด้วยความเสียใจ คนที่อยู่ใกล้ ๆ ถามว่า " เจ็บหรือ" ฟั่นเซวียนส่ายหน้า "ถ้างั้นร้องไห้ทำไม" "ความเจ็บหนูทนได้ ที่ร้องไห้เพราะเสียใจที่ทำให้ร่างกายที่พ่อแม่รักต้องเสียหาย" ผู้ที่สำนึกได้ว่า "กายสังขารตนเป็นที่รักของพ่อแม่ จะต้องรักษาไว้ด้วยความกตัญญู" เขาผู้นั้นก็จะไม่กล้าสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสเพล ฯ ทำความชั่วใด ๆ ที่จะทำให้พ่อแม่ห่วงใยเจ็บปวดเป็นแน่แท้
7. ข้าวก้นกระทะ
รักลูกแท้ ทั้งพ่อแม่ จดจ่อใจ
ลูกอยากได้ ไม่เคยขัด จัดหาให้
สิ่งท่านรัก มักไม่ได้ ดังหมายไว้
ลูกไม่ใฝ่ ให้สมปอง ท่านต้องการ
เฉินอี๋ เกิดมากำพร้าพ่อ ท่านรู้จักกตัญญูดูแลแม่ตั้งแต่เด็ก สิ่งใดที่แม่ชอบก็จะหามาให้ อย่างเช่นแม่ชอบกินข้างตังก้นกระทะ เฉินอี๋ก็จะเก็บไว้ให้แม่โดยเฉพาะ เฉินอี๋ มีกระเป๋าผ้าคาดเอวไว้หนึ่งใบ เจอข้าวตังก้นกระทะเมื่อไหร่ ท่านก็จะเก็บใส่พกใส่กระเป๋าผ้าไว้ แม่กินไม่หมดก็ตากแห้งเก็บไว้ ทำ
อย่างนี้ตลอดเวลา จนที่บ้านสะสมข้าวตากแห้งไว้มากมาย ครั้งนั้น เป็นรัชสมัยซ้องตอนใต้ ครั้งหนึ่งเมื่อบ้านเมืองเกิดการจลาจล อีกทั้งดินฟ้าเกิดอาเพทข้าวยากหมากแพง ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองอดตายไม่น้อย เคราะห์ดีที่เฉินอี๋กับแม่ มีข้าวตังตากแห้งไว้ประทังชีวิต จึงไม่อดตายไปเหมือนอย่างเพื่อนบ้านความกตัญญูของเฉินอี๋ เป็นที่ประจักษ์ต่อฟ้าดินและผุ้คน จนในที่สุดเมื่อเติบใหญ่ ท่านได้รับราชการและก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นข้าหลวงผู้ตรวจการเมืองอู๋ ซึ่งความกตัญญูของท่านก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
-
ตำนานกตัญญู
8. พัดของแม่
ลูกที่เห็นพ่อแม่เป็นที่เคารพรัก
มักไม่กล้าทำผิดบาป
ลูกที่เห็นพ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณ
มักจะสร้างตนให้สูงส่งดีงาม
จังฟู ลืมตาขึ้นมองดูโลกได้ไม่นานแม่ก็ตาย ท่านยังจำหน้าแม่ไม่ได้เลย แต่ด้วยจิตสำนึกดีงาม ด้วยความกตัญญู พอรู้ความ ท่านจึงได้เที่ยวถามญาติผู้ใหญ่ ไปทั่วว่า แม่มีหน้าตาเป็นอย่างไร แม่เคยมีความเป็นอยู่อย่างไร มีกิริยาวาจาท่าทีเป็นอย่างไร ไม่เคยมีสักวันเลยที่จังฟูจะไม่คิดถึงแม่ จนกระทั่งเมื่อจังฟูอายุได้สิบกว่าปี หลังจากที่ค้นหาของใช้ประจำตัวของแม่มานาน แต่ก็หาไม่ได้ เพราะหลังจากแม่ตาย ข้าวของก็สูญหายกระจัดกระจายไปหมด วันหนึ่ง เมือฟ้าดลบันดาลเพราะสงสารจังฟู ทำให้ท่านได้ค้นพบพัดเก่า ๆ อันหนึ่งที่แม่เคยใช้อยู่เสมอ จังฟูน้ำตาไหลพราก ก้มลงกราบพัดอันนั้นอย่างเทิดทูนบูชา จากวันนั้นเป็นต้นมา ท่านตั้งพัดอันนั้นไว้ตรงหน้าบนโต๊ะเขียนหนังสือ แสดงความมุ่งมั่นต่อหน้าพัดซึ่งท่านถือเป็นสัญลักษณ์ของแม่ว่า "จะตั้งใจศึกษา จะเป็นคนดี เชิดชูเกียรติคุณของแม่ให้ได้" เมื่อเติบใหญ่ท่านได้รับราชการมีตำแหน่งสำคัญเป็นถึงราชเลขาฯ ในสมัยหนันเป่ยเฉา
ตำนานกตัญญู
9. องุ่นกตัญญู
กตัญญูเมื่อพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่
ดีกว่าเซ่นไหว้มากมายเมื่อท่านตายแล้ว
เฉินสูต๋า ราชเลขาฯ อีกคนหนึ่ง ในสมัยราชวงศ์ถัง ที่มีความกตัญญูต่อแม่เป็นเลิศ จนเป็นที่เชิดชูกล่าวขวัญสืบมา วันหนึ่ง แม่ของท่านล้มป่วยลงมีอาการร้อนในกระหายน้ำ อยากกินองุ่นสดเหลือเกิน เฉินสูต๋า แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็หาซื้อองุ่นไม่ได้เลย ในสมัยนั้น ภาคพื้นส่วนกลางของประเทศจีนยังไม่มีการเพาะปลูกองุ่น จนกระทั่งมาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ขุนนางจังเชียน เป็นทูตไแเจริญสัมพันธไมตรีตามหัวเมืองแถบธิเบต จึงได้นำองุ่นกลับมาแพร่พันธุ์เฉินสูต๋า คร่ำเครียดกับการหาองุ่นอยู่นานวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง บ้านเมืองทางชายแดนได้นำเครื่องบรรณาการมาถวายฮ่องเต้ ในจำนวนสิ่งของเหล่านั้นมี
ผลองุ่นสดอยู่ด้วย จะด้วยเหตุบังเอิญหรืออย่างไร ฮ่องเต้โปรดพระราชทานอนุญาตให้เฉินสูต๋า ลองชิมองุ่นดู เฉินสูต๋าน้ำตาคลอมือไม้สั่นไม่กล้าหยิบ ฮ่องเต้จึงถามว่ามีเหตุอะไร เมื่อเฉินสูต๋าได้กราบบังคมทูลให้ทราบแล้ว พระองค์ทรงชื่นชมมากจึงยกองุ่นทั้งกระเช้าให้ อีกทั้งให้แพรพรรณอีกหลายสิบพับเป็นรางวัลกตัญญู แม่ของเฉินสูต๋าชื่นใจที่ได้กินองุ่น อาการป่วยไข้ก็หายไปในไม่ช้า
ตำนานกตัญญู
10. ม่านเมฆมิอาจกั้น
พ่อแม่รักลูกเหมือนสายน้ำ
ไม่ว่าลูกจะอยู่แห่งหนใด
จะชั่วดี มี จน อย่างไร
ไม่ว่าลูกจะเป็นหรือตาย
สายน้ำแห่งความรัก
ไม่เคยตัดขาด เหือดหาย
ตี๋หยินเจี๋ย เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ใคร ๆ ยกย่องชมเชย ท่านสร้างฐานะขึ้นจากความยากจน เมื่อเป็นขุนนางก็ใจซื่อมือสะอาด ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโอบอ้อมอารีต่อบริวารคนรอบข้าง วันหนึ่งขันนางผู้น้อยภายใต้บังคับบัญชาของท่าน มีอาการเศร้าซึม เพราะได้รับคำสั่งไปตรวจราชการชายแดน ตี็เหยินเจี๋ยจึงถามาเหตุก็ได้ความวว่า แม่ของเขากำลังเจ็บป่วยจะต้องอยู่ดูแลรับใช้ ไม่อยากจากไปไกล ตี๋เหยินเจี๋ย รู้สึกเห็นใจมากเพราะนึกถึงหัวอกเดียวกัน จึงรีบทำหนังสือถวายต่อฮ่องเต้ ขอให้ส่งผู้อื่นไปแทน เพื่อให้ลูกกตัญญูได้อยู่ใกล้ชิดแม่ วันหนึ่ง เมื่อตี๋เหยินเจี๋ยออกตรวจราชการแผ่นดินมาถึงเทือกเขาไท่หังซัน ขณะที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงเทียมฟ้า ท่านก้มลงมองดูเมฆที่แผ่กระจายอยู่เบื้องล่าง เงียบงันอยู่นาน แล้วจึงหันกลับมากล่าวกับผู้ติดตามว่า "ขณะนี้มารดาของเราก็เฝ้ารอลูกกลับบ้านภายใต้ม่านเมฆนี้เช่นกัน"
-
ตำนานกตัญญู
11. ขอทานกตัญญู
เงินทองเป็นของมีค่า
แต่บิดามารดามีค่ามากกว่า
ด้วยเงินทองอาจหามาได้ใหม่
แต่บิดามารดาสิ้นไปมิอาจหาใหม่ได้เลย
หยังฉี่ เป็นลูกกตัญญูในราชวงศ์ถัง ฐานะยากจนที่สุด เมื่อพ่อแม่ร่างกายทรุดโทรมมาก ท่านก็ไม่ยอมไปทำมาหากินห่างไกลอีกเลย ได้แต่เที่ยวขอทานอยู่ในละแวกนั้น พอได้อาหารก็รีบกลับมาเลี้ยงดูพ่อแม่ บางครั้งแม้ตัวเองจะหิวจนไส้กิ่ว แต่ถ้าพ่อแม่ยังกินไม่อิ่มท่านก็จะไม่แตะต้องอาหารนั้นเลย ใคร ๆ ก็รู้ท่านเป็นลูกกตัญญู ที่เฝ้าปรนนิบัติพ่อแม่อยู่ เมื่ออากาศหนาวจัด จึงมีคนใจดีให้ทานด้วยสุราเพื่อประทังความหนาว หยังฉี่จะคุกเข่าลงทูนจอกสุราให้พ่อแม่ เหมือนถวายแด่ฮ่องเต้ เมื่อพ่อแม่รับไปดื่มแล้วท่านก็จะยืนขึ้น ร้องรำทำเพลงสร้างความครึกครื้นให้พ่อแม่คลายเหงา พ่อแม่จึงได้รับความอบอุ่นทั้งกายและใจจากลูกมาก ใคร ๆ ที่รู้ต่างก็ชื่นชมและชักชวนให้ท่านไปทำงานด้วย ท่านตอบว่า "ข้าพเจ้ายังไม่อาจทำงานรัดตัวได้ เพราะต้องการเวลาดูแลพ่อแม่ ไม่รู้ว่าท่านจะอยู่กับข้าพเจ้าไปได้นานสักเท่าไร" เมื่อพ่อแม่ตาย ท่านร้องไห้อาลัยรักอย่างสุดซึ้ง ท่านเซ่นไหว้พ่อแม่ด้วยสุรอาหารเป็นประจำ เสมือนว่าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่กระนั้น
ตำนานกตัญญู
12. จำใจฆ่าไก่ให้แม่กิน
ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่
บูชาพระก็ไม่เกิดคุณ
ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่
คบหาใครก็ไม่ยั่งยืน
เหมาหยง เป็นลูกกตัญญูในสมัยฮั่นยุคหลัง วันหนึ่ง เมื่อท่านอายุได้สี่สิบเศษ ขณะทำนาอยู่ ฝนเกิดตกหนัก จึงต้องหลบพักได้ต้นไม้ใหญ่ ขณะนั้น บัณฑิตกัวไท่เดินทางผ่านมาจึงเข้าไปอาศัยหลบฝนด้วย บัณฑิตสังเกตุเห็นชาวนาหญิงชายที่หลบฝนกันอยู่ บางคนเหยียดแข้งเหยียดขา บ้างคุยโขมง บ้างบิดขี้เกียจฯ มีแต่หมาหยงคนเดียวที่นั่งตัวตรงสำรวมกาย บัณฑิตรู้สึกชื่นชม จึงเข้าไปทำความรู้จักพูดคุยกันเป็นที่ถูกใจ คืนนั้น บัณฑิตกัวไท่ขออาศัยพักแรมที่บ้านของเหมาหยง บัณฑิตได้ยินเหมาหยงสั่งให้ภรรยาฆ่าไก่เป็นอาหารเช้า เขารู้สึกเกรงใจมาก รุ่งขึ้นกินอาหารเช้า กับข้าวที่ภรรยาเหมาหยงจัดมาเลี้ยงกลับมีแต่ผัดผักง่าย ๆ ไม่มีไก่สักชิ้นเดียว เหมาหยงรีบชี้แจงต่อบัณฑิตว่า "ไก่ที่ฆ่านั้นจำใจเพราะเพื่อตุ๋นยาให้แม่ซึ่งแก่เฒ่าอ่อนแอมากได้บำรุงร่างกาย" บัณฑิตไม่เพียงแต่ไม่ติดใจอยากกินไก่ที่คาดว่าจะได้กิน แต่กลับชื่นชมในความกตัญญูของเหมาหยงยิ่งนัก จึงส่งเสริมให้ศึกษาวิชาการ สุดท้ายเหมาหยงก็ได้รับความสำเร็จเช่นเดียวกับบัณฑิตกัวไท่
ตำนานกตัญญู
13. พลังกตัญญู
เมื่อพ่อแม่ ท่านแก่เฒ่า เฝ้ารับใช้
อย่าปล่อยให้ ท่านเงียบเหงา เศร้าผวา
ช่วยคุ้มภัย ให้คลายทุกข์ สุขอุรา
ท่านชรา ร้องหาลูก อยู่ทุกวัน
เป้าชู เป็นลูกตัญญูในสมัยราชวงศ์ฮั่นยุคหลังเช่นเดียวกับเหมาหยง ครั้งนั้น โจรผู้ร้ายฮึกเหิมฉุดคร่าชาวบ้านไปไม่ขาด วันหนึ่ง เมื่อเป้าชูกลับมาถึงบ้านรู้ว่าแม่ถูกฉุดตัวไป ท่านโกรธจัด ติดตามฆ่าฟันผู้ร้ายตายไปกว่าสิบคน ภายในเวลาชั่วพริบตา จนฟันฝ่าวงล้อมเข้าไปได้ แม่และหญิงเพื่อนบ้านถูกผูกรวมกันไว้ที่นั่น ท่านไม่มีฝีมือสู้รบหรือวิทยายุทธอะไรเลย มีแต่แรงกตัญญูและร่างกำยำล่ำสัน ฟาดฟันจนโจรผู้ร้ายขวัญกระเจิงแตกระส่ำระสาย เป้าชูจึงช่วยชีวิตแม่และเพื่อนบ้านทุกคนให้พ้นมาได้ เมื่อบ้านเมืองแถบนั้นมีภัยอยู่ไม่ได้ ท่านจึงพาพ่อแม่หลบไปอยู่ที่เมืองหนันหยัง หลายปีต่อมา เมื่อบ้านเมืองสงบสุขแล้วจึงพาแม่กลับมาอยู่ถิ่นเดิม การเดินทางไกลไม่สะดวกเลยสำหรับแม่แก่ ๆ ท่านจึงลงมือสานกระบุงใบใหญ่ให้แม่นั่งสบาย ๆ แล้วสะพายกระบุงใส่บ่าเดินทางรอนแรมกลับมาจนถึงบ้านเดิมด้วยความปลอดภัย ขณะนั้น แม่ของท่านอายุเกือบร้อยปี ตัวท่านเองก็เป็นคนแก่อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว
-
ตำนานกตัญญู
14. ธงชัยเกียรติประวัติ
ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว ปลูกงาย่อมได้งา
ลูกตัญญู ย่อมได้ลูกกตัญญู
การกระทำของเรา
จะเป็นตัวอย่างของลูกหลานสืบไป
เฉินคั่ง เป็นลูกกตัญญูสมัยราชวงศ์ซ้อง ท่านอ่อนน้อมต่อพ่อแม่เป็นที่สุด ทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่มีความสุขสบายใจ เมื่อพ่อแม่ป่วยไข้ก็จัดการต้มยาเอง ยกมาให้ดื่มเอง เฝ้าดูแลรับใช้อยู่ไม่ห่าง ทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อพ่อแม่ท่านสิ้นชีวิตไป ท่านเศร้าโศกเสียใจ อาลัยรักจนแทบจะตายตามก็ว่าได้ ความกตัญญูของเฉินคั่งเป็นแบบอย่างดีงามของคนในสมัยนั้น และลูกหลานของท่านเองสืบต่อมา ครอบครัวตระกูลใหญ่ของท่านจึงอบอุ่นด้วยพ่อแม่เมตตา ลูกหลานกตัญญูเชื่อฟัง พี่น้องเคารพปรองดองกัน ทั้งสามีภรรยาเขยสะใภ้น้อยใหญ่ ต่างอยู่ร่วมกันด้วยความสมัครสมานสันติสุขในบ้านเดียวกัน พร้อมกันถึงห้ารุ่นห้าชั่วคน จนฮ่องเต้ต้องพระราชทานธงชัยเกียรติประวัติมาประดับไว้ที่หน้าประตูใหญ่ว่า "ประตูกตัญญูสกุลเฉิน"
15. สะพานลั่วหยังความหวังของแม่
การตอบแทนพระคุณพ่อแม่
ใช่แต่จะเลี้ยงดูกายสังขาร
ยังต้องสร้างบุญหนุนส่งท่าน
ให้ท่านสมใจในกุศลเจตนา ฯลฯ
ไซ่เซียง เป็นข้าหลวงใหญ่ผู้มีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์ซ้อง ท่านเป็นลูกกตัญญูตั้งแต่เกิดทีเดียว เพราะมารดาได้ตั้งปณิธานจะให้ลูกเกิดมาสร้างสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำลั่วหยังตรงช่วงเมืองเฉวียนโจว เพื่อลดอุบัติเหตุแก่ผู้คนที่ต้องข้ามฟากด้วยเรือแพ ไซ่เซียงมุ่งหวังจะให้แม่สมหวังในปณิธานให้ได้จึงตั้งใจเล่าเรียนตั้งแต่เยาว์วัยจนสอบได้เป็นนักศึกษาหลวง แล้วเลื่อนตำแหน่งมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเมืองเฉวียนโจว ไซ่เซียงก็เตรียมการสร้างสะพานใหญ่ทันที ในสมัยนั้นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ไม่ใช่ของง่ายเลย ไซ่เซียงทุ่มเทเงินทองสมบัติทุกชิ้น ทุ่มเทเวลาทั้งกลางวันกลางคืน ทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจ คร่ำเครียดเหนื่อยนักเป็นปี จนกระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซาบซึ้งในความกตัญญู พระโพธิสัตว์กวนอิม พระองค์แปดเซียน และพระองค์อื่น ๆ ได้โปรดดลบันดาลช่วยงานสร้างสะพานจนเสร็จ ได้ใช้เป็นสาธารณประโยชน์มาจนปัจจุบัน (อ่านรายละเอียดความเป็นมาได้จาก "ใครกำหนด" ชุดที่ 5)
-
ตำนานกตัญญู
16. แม่เลี้ยงลูกเลี้ยง
สิ่งใดที่ทำให้พ่อแม่มีความสุขได้
โดยไม่ผิดต่อศีลธรรม
ไม่เป็นการก่อหนี้เวรกรรม
ไม่ทำให้อัปยศอดสู ฯ
ลูกกตัญญูพึงยินดี
เด็กหญิงจางจวี๋ฮวา กำพร้าแม่ตั้งแต่อายุเจ็ดปี พ่อจึงมีภรรยาใหม่เพื่อให้มาเลี้ยวดูลูกกำพร้า เธอไม่กล้าดื้อกับแม่เลี้ยงเลย อีกทั้งยังเอาอกเอาใจรับใช้งานสารพัด แต่แม่เลี้ยงกลับมีจิตใจอิจฉาริษยาอยากกำจัดเธอไปเสียให้พ้น วันหนึ่ง เมื่อพ่อออกไปค้าขายเมืองไกล แม่เลี้ยงก็จัดการขายเธอให้ไปเป็นข้าทาสที่เมืองอื่น แล้วหลอกพ่อว่าลูกแอบไปเที่ยวเลยหลงหายไป วันหนึ่ง พ่อไปค้าขายที่เมืองนั้น ได้พบลูกโดยบังเอิญ พ่อลูกกอดกันร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ และเมื่อสอบถามเจ้าของบ้านก็รู้ความจริงว่าแม่เลี้ยงพามาขายให้ จึงไถ่ตัวลูกกลับมา พ่อโกรธมากขับไล่แม่เลี้ยงไปทันที เด็กหญิงจางจวี๋ฮวากลัวพ่อจะลำบากไม่มีใครดูแลจึงคุกเข่าอ้อนวอนพ่อขอให้ยกโทษให้แม่เลี้ยง หลายปีต่อมาพ่อตาย แม่เลี้ยงไม่มีลูกของตัวเอง จางจวี๋ฮวาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอเอาใจใส่เลี้ยงดูแม่เลี้ยงเป็นอย่างดี จนได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูอีกคนหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ้อง
17. แย่งจากมือโจร
โจรผู้ร้าย แม้ใจดำ อำมหิต
ยังได้คิด จิตสะท้าน และหวั่นไหว
กตัญญู มีพลัง เหนืออื่นใด
สะกิดใจ ไปถึงแม่ และพ่อตน
ซุนอี้ เป็นลูกกตัญญูในสมัยราชวงศ์เอวี๋ยน เริ่มต้นชีวิตราชการจากนักศึกษาหลวง จนถึงระดับตุลาการ ต่อมาเนื่องจากไม่พอใจการปกครองจึงลาออกจากราชการเด็ดขาด แต่ข้อสำคัญในการลาออก ก็เพื่อจะกลับมาอยู่ดูแลพ่อแม่ได้ใกล้ชิด ขณะนั้นบ้านเมืองเกิดการจลาจล โจรผู้ร้ายก่อกวนหนัก ซุนอี้จึงพาพ่อแม่จะหลบภัยไปอยู่ทางหนันหยัง เผอิญเป็นคราวเคราะห์ ระหว่างทางท่านประจัญหน้ากับกองโจรเข้าอย่างจัง พวกโจรกรูกันเข้ามา ซุนอี้ตัดสินใจช่วยแม่ที่อ่อนแอกว่าเป็นคนแรก ท่านแบกแม่คร่อมหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตจนพ้นมาได้ เมื่อให้แม่อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วก็รีบกลับไปรับพ่อ ปรากฏว่าพ่อถูกจับตัวไว้ ซุนอี้ ไม่มีอาวุธอะไรติดตัวเลยมีแต่แรงกตัญญู ท่านบุกเข้าไปต่อสู้กับพวกโจรอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ถูกจับ ซุนอี้ร้องไห้เสียใจมากที่ช่วยพ่อไม่ได้ ท่านกราบวิงวอนขอให้โจรปล่อยพ่อ สำหรับตัวเองจะอย่างไรก็ได้ หัวหน้าโจรเห็นแก่ความกตัญญูของซุนอี้เช่นนี้ก็ใจอ่อน จึงปล่อยซุนอี้และพ่อไป
-
ตำนานกตัญญู
18. พี่น้องช่วยกันกตัญญู
กตัญญุตา มหากุศล ผลบุญใหญ่
ตกน้ำไม่ไหล ไฟไม่ไหม้ ภัยไม่ต้อง
คุณพระเจ้า เฝ้ารักษา พาประคอง
อีกปกป้อง ผองภัย ไม่แผ้วพาน
ในสมัยราชวงศ์เอี๋ยนอีกเช่นกัน สองพี่น้อง อุ๋นจง อุ๋นเซี่ยว ได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกกตัญญู เมื่อแม่เจ็บป่วย ลูกทั้งสองช่วยกันดูแลทุกอย่างทั้งกลางวันกลางคืนไม่เคยว่างเว้น จนกระทั่งแม่ตายก็ยังติดตามปลูกเพิงนอนเฝ้าอยู่ข้างหลุมฝังศพอีกสามปี ไม่นานต่อมาพ่อก็ล้มป่วยด้วยโรคร้าย สองพี่น้องเที่ยวดั้นด้นค้นหายาวิเศษ หมอดีมีฝีมือไปทั่ว ทุ่มเทเงินทองชีวิตร่างกายเท่าไรไม่ว่า แต่พ่อก็หาหายไม่ สองพี่น้องเสียใจยิ่งนัก ช่วยกันต่อรถเข็นขึ้นคันหนึ่งให้พ่อนอน แล้วเข็นพ่อไปไหว้พระตามสถานที่ต่าง ๆ เมื่อหมอช่วยไม่ได้ นี่จึงเป็นวิธีสุดท้าย วันหนึ่งเมื่อเข็นพ่อมาถึงเทือกเขาลูกหนึ่ง ด้วยความศรัทธาภาวนาให้พ่อหาย ทันใดนั้นก็ปรากฏพระสงฆ์แก่ ๆ รูปหนึ่งขึ้นตรงหน้า ท่านเมตตาให้ยาพ่อกินสองเม็ด รวดเร็วอะไรปานนั้น พระรูปนั้นยังไม่ทันจะพ้นไปไกล พ่อก็หายป่วยดังปลอดทิ้งทันที นี่คือผลจากความกตัญญู
19. ว่าที่ลูกสะใภ้ให้สติ
อกเขา และอกเรา ให้เข้าใจ
เป็นสะใภ้ เห็นใจแท้ แม่สามี
ท่านรักลูก เฝ้าปลูกฝัง จนวันนี้
สะใภ้ดี แม่สามี สิแม่ตัว
หลิวหลัน เป็นเด็กหญิงอายุสิบสองปี ในสมัยราชวงศ์หมิง เธอถูกซื้อไปเป็นลูกสะใภ้เด็ก เพื่อรับใช้แม่ของว่าที่สามีตั้งแต่เล็ก (ประเพณีจีนโบราณชอบจะซื้อเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ ทาเลี้ยงดูคู่กับลูกชายของตน เมื่อทั้งสองโตขึ้นจนวันและโอกาสสมควรก็จะให้แต่งงานกัน) ว่าที่แม่สามีเป็นคนปากร้าย ชอบด่าว่าแม่สามีของตนเสมอ และมักจะแช่งว่า "แก่แล้วไม่รู้จักตายเสียที" คืนหนึ่งกลางดึก เด็กหญิงหลิวหลันนอนไม่หลับ เธอเข้าไปคุกเข่าร้องไห้อยู่หน้าเตียงว่าที่แม่สามีจนนางตกใจตื่นถามว่า เกิดอะไรขึ้น หลิวหลันตอบว่า "หนูเห็นว่าแม่ด่าย่าอยู่ทุกวัน หนูหวั่นใจว่าสักวันหนึ่ง ถ้านิสัยใจคอของหนูเปลี่ยนไป เกลียดแม่เหมือนอย่างที่แม่เกลียดย่า แล้วหนูจะทำอย่างไร" ว่าที่แม่สามีได้ยินเด็กหญิงหลิวหลันซึ่งเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตัวน้อย ๆ พูดเช่นนี้ก็สำนึกได้ นางน้ำตาคลอ พยุงว่าที่ลูกสะใภ้ตัวน้อยลุกขึ้นโอบกอดขอบใจที่เธอให้สติ จากนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวตระกูลหยังบ้านนี้ก็สงบสุข ไม่มีเสียงด่าทอกระทบกระเทียบอีกเลย
20. สู้ตายไว้ลายบิดา
ลูกเป็นผู้สืบสกุล
ลูกเป็นผู้สืบต่อกิจการงาน
ลูกเป็นผู้สืบต่ออุดมการณ์ฯ
ลูกเป็นผู้เชิดชูคุณความดีของบิดามารดา
ปลายราชวงศ์หมิง นายทหารผุ้รักษาการเมืองเต้าโจว มีธิดาสาว ชื่อว่า เสิ่นอวิ๋นอิง เธอฉลาดปราดเปรื่อง และได้ร่ำเรียนวิทยายุทธจากบิดามาเป็นอย่างดี ในปีรัชสมันฉงเจิน ขอนโจรจางเซี่ยนจง ฮึกเหิมยกกองโจรใหญ่มาล้อมเมืองเต้าโจวไว้ บิดาของเธอยกทัพออกขับไล่ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จึงถูกฆ่าตายในสนามรบ อวิ๋นอิงเพิ่งอายุได้สิบเ็จ็ดปี เธอขึ้นไปยืนตระหง่านบนกำแพงเมืองประกาศก้องทันทีว่า "แม้ข้าจะเป็นหญิง แต่เพื่อจะรักษาเมืองไว้ให้สมใจบิดา ข้าจะสู้ตายกับโจรผู้ร้าย ขอให้ทหารและชาวเมืองพร้อมใจกันขับไล่ศัตรู เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองและลูกเมียตน" พอขาดคำเสียงไชโยโห้ร้องก็ดังก้องเมือง ทั้งทหารและชาวเมืองกรูกันออกจากประตูเมืองพร้อมจะสู้ตาย กองโจรผู้ขึ้นชื่อว่าผู้ชนะสิบทิศแตกพ่ายในครั้งนี้ เสร็จศึกแล้ว อวิ๋นอิงกอดศพบิดาร่ำไห้อยู่กลางสนามรบ ทหารและชาวเมืองก็พากันน้ำตาไหลสะอื้นไห้ไปด้วยกัน ทั้งเมืองพร้อมใจกันไว้ทุกข์ให้บิดาของเธอ ฮ่องเต้โปรดแต่งตั้งให้บิดาของเธอเป็นรองผู้บัญชาการฯ ให้เธอเป็นแม่ทัพกองกำลังกวาดล้างฯ รักษาเมืองเต้าโจวแทนบิดาสืบไป ต่อมาชาวเมืองยังได้สร้างอนุสาวรีย์อวิ๋นอิงไว้ เพื่อเชิดชูเกียรติคุณความกล้าหาญกตัญญูของเธอ
-
ตำนานกตัญญู
21. คุกเข่าขอเลี้ยงดู
เมื่อพ่อแม่ตาย
ให้อุปการะน้อง ๆ
ให้เอื้อเฟื้อดูแลคนที่พ่อแม่ห่วงใย
ให้มีอัธยาศัยกับคนที่พ่อแม่เคยคบค้า ฯ
ทำหน้าที่แทนพ่อแม่มิให้บกพร่อง
เช่นนี้ก็ได้ชื่อว่าลูกกตัญญู
กุยหมิงหยง เป็นลูกกตัญญูในราชวงศ์หมิง ท่านกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก พ่อจึงหาภรรยาใหม่มาเป็นแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงมีจิตริษยาชอบว่าร้ายให้พ่อเกลียดหมิงหยง พ่อหูเบาเข้าใจไปตามคำยุแหย่จึงตบตีด่าว่าลูกเป็นประจำ พ่อรักแต่ลูกชายที่เกิดจากภรรยาน้อย เวลาพ่อตีหมิงหยงแทนที่แม่เลี้ยงจะเข้าไปห้ามกลับหาไม้อันใหญ่ให้ เหมือนอยากตีเสียให้ตาย ทุกมื้อ ทุกวัน ทุกคนในบ้านกินกันอิ่มหนำ แต่ไม่เหลืออะไรให้หมิงหยงกินเลย นับวันแม่เลี้ยงก็ยิ่งร้ายกาจมากขึ้น จนวันหนึ่งก็ยุแหย่ให้พ่อไล่หมิงหยงออกจากบ้านจนได้ หมิงหยงตัวน้อย ๆ จึงต้องไปหาบเกลือขาย ขายเกลือราคาถูก ๆ กำไรน้อยนิด แต่หมิงหยงก็อุตสาห์ประสมเล็กประสมน้อยซื้อของดี ๆ แอบฝากน้องชายมาให้พ่อแม่กิน จนกระทั่งพ่อตาย ปีนั้นเกิดกันดารอดอยาก หมิงหยงกลัวว่าแม่และน้องจะลำบาก จึงมาขอทำหน้าที่เลี้ยงดู แม่เลี้ยงละอายใจมากไม่กล้ารับน้ำใจ หมิงหยงเห็นสภาพชีวิตแม่เลี้ยงกับน้องคงไปไม่รอดแน่ จึงคุกเข่ายืนยันขอเลี้ยงดูให้ได้ หมิงหยงได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญู จนกระทั้งแม่เลี้ยงตายจากไป
22. รอดตายได้วาสนา
กตัญญู จะชูช่วย ให้รวยได้
ขจัดภัย ให้อายุ อยู่ยงมั่น
ให้อุดม สมบูรณ์สุข ถึงลูกหลาน
ยิ่งยืนนาน ปัญญาเฟื่อง รุ่งเรืองจริง
ติงเค่อเจีย เป็นลูกกตัญญูในสมัยราชวงศ์ชิง บิดาข้ามทะเลมาค้าขายที่ไต้หวัน ไม่นานก็ส่งข่าวกลับไปบ้านว่าเป็นอัมพาต ปีนั้น เค่อเจียเพิ่งอายุได้สิบสามปี ท่านรีบเดินทางมาตามหาพ่อที่ไต้หวันทันที สมัยนั้น การเดินทางฝ่าคลื่นลมข้ามมหาสมุทรด้วยเรือลำเล็ก ๆ อันตรายมาก แรงกตัญญูผลักดันให้เกิดความกล้า เค่อเจียมาตามหาพ่อจนพบ จากนั้นเด็กอายุสิบสาม ก็ตื่นตีสี่หุงข้าวซักผ้า ทำความสะอาดเช็ดล้างอุจจาระปัสสาวะให้พ่อ กลางดึกพอพ่อครางหรือกระดิกตัวก็สะดุ้งตื่นลุกขึ้นปรนนิบัติรับใช้..... ทำเช่นนี้อยู่สิบกว่าปี วันหนึ่งเกิดเพลิงไหม้ใกล้บ้าน เค่อเจียแบกพ่อจะหนีไฟไม่ทันการ ไฟลุกลามรอบบ้าน จะออกจากประตูบ้านก็ไม่ได้ ไม่มีใครดับเพลิง ได้แต่หนีไฟกัน ทันใดนั้น เหตุการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เพลิงที่ไหม้อยู่รอบด้านดับพรึบลงทันทีเหมือนมีใครเอาพัดเล่มใหญ่พัดให้ดับลง พ่อลูกจึงรอดตายอย่างไม่น่าเชื่อ บั้นปลายชีวิตของเค่ยเจียฐานะมั่งคั่ง มีลูกชายกตัญญูเจ็ดคน ล้วนทรงคุณวุติ คนที่หกสอบได้รองจอหงวน มีหลานยี่สิบกว่าคน ก็ล้วนปราดเปรื่องเรืองปัญญา ฮ่องเต้โปรดเชิดชูเค่อเจีย ให้ได้รับสักการะฐานะลูกกตัญญูในพระบรมราชูปถัมภ์
-
ตำนานกตัญญู
23. สละลูกเพื่อให้นมแม่
มนุษย์ชาติสืบสายเผ่าพันธุ์
อยู่ร่วมกันมาช้านานได้ด้วยความกตัญญู
ความกตัญญูรู้คุณ
หนุนนำให้เกิดความเมตตากรุณา
ความเมตตากรุณาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก
ความกตัญญูจึงอยู่เหนือความดีทั้งปวง
โจวซื่อจิ้น เป็นลูกกตัญญูในราชวงศ์ชิง ท่านและภรรยาเอาใจใส่ดูแลแม่อย่างหาที่เปรียบได้ยาก เมื่อแม่แก่เฒ่าร่างกายทรุดโทรม หมดแนะนำว่าจะต้องให้ดื่มนมคนจะได้ยืดอายุต่อไป สองสามีภรรยาจึงตัดใจยกลูกชายคนเดียวเก้าเดือนให้คนหมู่บ้านอื่นไป น้ำนมท้งหมดจะได้พอเพียงสำหรับบำรุงแม่(สมัยก่อนไม่นิยมดื่มนมวัว และไม่มีอาหารเสริมประเภทนี้) แม่ได้น้ำนมจากอกลูกสะใภ้อย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่นานก็แข็งแรงขึ้น แต่ลูกสะใภ้ก็มีลูกได้คนเดียวเท่านั้น เวลาผ่านไปจนลูกชายที่ให้คนอื่นไปเติบใหญ่ พ่อแม่ที่รับเลี้ยงไว้จะจัดการแต่งงานให้ จึงกลับมาถามพ่อแม่แท้ ๆ ว่าลูกเกิดวันเดือนปีอะไร โจวซื่อจิ้นและภรรยาน้ำตานองเมื่อนึกถึงลูกที่ยกให้เขาไป พ่อแม่ที่รับเลี้ยงมีน้ำใจ จึงบอกเล่าความจริงแก่ลูกและยินดีให้ลูกทำหน้าที่ผู้สืบสกุลทั้งสองครอบครัว มีคำกล่าวว่า "เชื้อไม่ทิ้งแถว" ลูกชายของโจวซื่อจิ้น เจริญรอยกตัญญูอย่างพ่อแม่ไม่มีผิด เขาดูแลพ่อแม่ทั้งสี่อย่างไม่มีที่ติเลย
24. แย่งกันกตัญญู
กว่าจะเลี้ยงดูให้เติบใหญ่
พ่อแม่ต้องแบกทุกข์หวาดภัยเพียงใด
ระวังมีดไม้ฟืนไฟ ระวังโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ
อาหารแต่ละคำ.....
ตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย จนลูกน้อยเจริญวัย.....
ใครเล่าจะเข้าถึง ซาบซึ้งกตัญญู
ในสมัยราชวงศ์ชิง บนเกาะฉงหมิงปากแม่น้ำแยงซีเกียง สี่พี่น้องตระกูลอู๋เป็นลูกกตัญญู ยากที่จะหาใครเสมอเหมือน พ่อแม่ของท่านยากจนมาก จึงนำลูกทั้งสี่ไปขายฝากไว้ที่บ้านเศรษฐี ทั้งสี่พี่น้องอดทนขยันมัธยัสถ์ โตขึ้นพอมีเงินเก็บได้ก็ขอไถ่ตัวเองกลับมาบ้าน และต่างแต่งงานมีครอบครัว ท่านต่างไม่ได้ขัดเคืองใจเลยที่พ่อแม่ขายท่านไป แต่กลับเห็นอกเห็นใจ และพยายามจะแย่งกันเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดี ที่สุดก็ตกลงกันว่า เวียนกันเลี้ยงดูพ่อแม่บ้านละหนึ่งเดือน พี่น้องตกลงกันได้ แต่สะใภ้กลับไม่ยอม นางต่างเกี่ยงว่า ถ้าบ้านละหนึ่งเดือนกว่าจะเวียนมาถึงคนสุดท้ายได้ก็ต้องคอยนานถึงสามเดือน อย่ากระนั้นเลยเปลี่ยนเป็นบ้านละหนึ่งวันดีกว่า แต่พอไม่กี่วันผ่านไปก็ยังรู้สึกว่านานอีก จึงตกลงกันใหม่ว่าเป็นบ้านละมื้อ คนโตมื้อเช้า คนรองมื้อกลางวัน คนที่สามมื้อเย็น คนที่สี่ก็เรียงต่อไป มื้อพิเศษห้าวันต่อหนึ่งครั้งให้ร่วมกันทำ เวลาอาหารเป็นเวลาที่ทุกคนมีความสุขที่สุด ลูกหลานกุลีกุจอช่วยกันจัด ช่วยกันยก ปู่ย่าคู่นี้มีความสุขอยู่จนอายุเกือบร้อยปี
~ จบเล่ม ~
พระอมตะพุทธะจี้กงได้โปรดว่า :
เราได้รับวิธีธรรมก็คือได้รับวิถีแห่งจิต
หากไม่มีวิถีแห่งจิตนี้
เจ้าก็จะไม่เข้าใจว่าจะกลับสู่ฟ้าได้อย่างไร
จะบำเพ็ญกันอย่างไร